Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เดินเกมรุกอีคอมเมิร์ซดันคู่ค้าโต พร้อมผลักดันดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น ภายใต้กลยุทธ์และแนวคิดการบริหาร

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เดินเกมรุกอีคอมเมิร์ซอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น พร้อมเน้นย้ำกลยุทธ์การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับคู่ค้า ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการซื้อขายผลิตภัณฑ์ (End-to-end customer experience) ตั้งเป้าช่วยคู่ค้าทั้งรายใหญ่ และรายย่อยเพิ่มยอดขาย พร้อมสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยการขยายช่องทางการขายออนไลน์สำหรับคู่ค้า B2ผ่านทางเว็บไซต์ https://eshop.se.com/th/

การเปิดเว็บไซต์ดังกล่าวทำให้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค สามารถเข้าถึงกลุ่มคู่ค้าธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็กที่มีอยู่ในตลาดได้อย่างทั่วถึง ทั้งยังช่วยเพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์ให้ตอบสนองความต้องการของคู่ค้าได้ครบครันมากยิ่งขึ้น โดยครอบคลุมตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ขนาดเล็กถึงใหญ่ เช่น ผลิตภัณฑ์สำหรับที่อยู่อาศัย อาคาร และธุรกิจขนาดเล็ก รวมถึงอุปกรณ์สำรองไฟและป้องกันไฟกระชาก กลุ่มผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าแรงดันต่ำและระบบไฟฟ้า กลุ่มระบบอัตโนมัติและระบบควบคุมในอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังมีอะไหล่ ซอฟต์แวร์ศูนย์ข้อมูล งานบริการหลังการขาย และการขยายความคุ้มครองด้านผลิตภัณฑ์อีกด้วย

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นด้านการบริหารจัดการพลังงาน และระบบออโตเมชั่น มีแพลตฟอร์ม “EcoStruxure” ซึ่งเป็นระบบเปิดด้าน IoT 3 ระดับ ตั้งแต่ระดับผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า Connected Product ที่สามารถเชื่อมต่อแต่ละผลิตภัณฑ์ได้ ระดับต่อมาคือระบบควบคุมและการมอนิเตอร์ ที่เรียกว่า Edge Control และระดับสุดท้ายคือระบบการวิเคราะห์ และบริการ ที่เรียกว่า Apps, Analytics & Services โดยแพลตฟอร์มทั้ง 3 ระดับทำงานสอดประสานกัน มีโซลูชั่นครอบคลุมตั้งแต่บ้านพักอาศัย อาคารพาณิชย์ ดาต้าเซ็นเตอร์ โรงงาน และโครงข่ายไฟฟ้า โดยผลิตภัณฑ์บางส่วนของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้มีการนำร่องขายออนไลน์ ทั้งในรูปแบบ B2B (คู่ค้ารายใหญ่ไปสู่รายย่อย) และ B2C (คู่ค้ารายย่อยไปสู่ผู้บริโภค)

คุณทัศนารมย์ กูเดียร์ รองประธานฝ่ายขาย ธุรกิจดิจิตอล ประจำภาคพื้นอาเซียนรวมถึงประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น และไต้หวัน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวว่า “ในปัจจุบัน ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าพฤติกรรมการใช้ชีวิต และการทำงานของผู้คนส่วนใหญ่เปลี่ยนไป โดยมีการใช้ประโยชน์จากช่องทางดิจิทัลในการทำงานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่บ้าน ประชุมออนไลน์ สัมมนาออนไลน์ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีการทำงานไปแล้ว แม้แต่การปิดการขาย ก็สามารถทำได้ในรูปแบบออนไลน์ด้วยเช่นกัน สิ่งเหล่านี้สร้างความสะดวก ช่วยลดเวลาในการเดินทาง หรือแม้กระทั่งการใช้ชีวิตในชีวิตประจำวัน คนส่วนใหญ่ก็นิยมสั่งซื้อสินค้า และอาหารในรูปแบบออนไลน์เพิ่มขึ้น ดังนั้น ช่องทางดิจิทัลจึงเป็นช่องทางสำคัญที่ช่วยเปิดโอกาสในการเติบโตให้กับบริษัทและคู่ค้า ทั้งคู่ค้ารายใหญ่ อาทิ ตัวแทนจำหน่าย และคู่ค้ารายย่อย เช่น ร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้า ผู้รับประกอบตู้ไฟฟ้า ช่างไฟฟ้า โดยจะช่วยเพิ่มโอกาสให้คู่ค้ารายใหญ่สามารถปิดการขายกับคู่ค้ารายย่อยได้มากขึ้น ขณะที่คู่ค้ารายย่อยก็สามารถมองหาผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการและครบครันได้ง่ายขึ้นเช่นกัน นั่นจึงเป็นที่มาที่บริษัทสร้าง eshop ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เพื่อช่วยให้คู่ค้าของเราสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ง่าย ทุกที่ทุกเวลา ทั้งยังสามารถสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ได้อย่างสะดวกสบายในทุกๆ อุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ หากคู่ค้ามีข้อสงสัยสามารถแชตถามได้ทันที โดยมีเจ้าหน้าที่ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่มีความเชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาเสมือนมีเพื่อนคู่คิดทางธุรกิจแบบส่วนตัว นับเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้คู่ค้า พร้อมก้าวไปสู่การซื้อขายผลิตภัณฑ์ออนไลน์แบบไร้รอยต่อในยุคดิจิทัล 4.0 นี้”

คุณทัศนารมย์ เผยต่อว่า “เว็บไซต์ eshop ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีความพิเศษที่ไม่ได้ผูกขาดกับคู่ค้ารายใดรายหนึ่ง โดยคู่ค้ารายย่อยสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์โดยตรงจากตัวแทนจำหน่ายที่ตนเองติดต่อซื้อขายอยู่เป็นประจำได้ผ่านเว็บไซต์ดังกล่าว”

นอกจากนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังช่วยคู่ค้าในระบบให้ขายผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้น โดยการออกแคมเปญส่งเสริมการขาย ทั้งการสร้างแบรนด์โดยชไนเดอร์ อิเล็คทริคเอง การแนะนำผลิตภัณฑ์ผ่าน Influencer รวมถึงการจัดแคมเปญโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในช่องทางโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ ยูทูป โดยเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์ สวิตช์ไฟ เบรกเกอร์ เครื่องสำรองไฟ อีวีชาร์จเจอร์ และผลิตภัณฑ์สำหรับอุตสาหกรรม เช่น ปุ่มกดและอุปกรณ์อื่นๆ ด้านไฟฟ้าสำหรับโรงงาน  และมีการจัดกิจกรรมสร้างความเคลื่อนไหวในตลาดออนไลน์อย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นยอดขายให้คู่ค้าในภาพรวมของตลาดอุปกรณ์ไฟฟ้า

นอกจากนี้ยังมีการนำ LINE แอปพลิเคชัน มาผสานกับการทำงานของทีมขาย การนำระบบ Virtual Sales มาช่วยเพิ่มศักยภาพการขาย และตอบสนองความต้องการของคู่ค้าให้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการ พร้อมปิดการขายผ่านทางออนไลน์ ทีมขาย Virtual Sales จะนำเสนอขายผลิตภัณฑ์ในรูปแบบไฮบริด ทั้งการประชุมทางวิดีโอ การโทรทางออนไลน์ หรือนัดพบคู่ค้า และสามารถปิดการขายผ่านทางเว็บไซต์ eshop ชไนเดอร์ อิเล็คทริค หากคู่ค้าต้องการข้อมูลผลิตภัณฑ์ หรือรูปภาพเพิ่มเติม ทีมขาย Virtual Sales จะติดต่อคู่ค้าผ่านทางไลน์ @SE-TH ชไนเดอร์ อิเล็กทริค นอกจากนี้ คู่ค้ายังสามารถดาวน์โหลดแคตตาล็อกผลิตภัณฑ์ พร้อมรับสิทธิพิเศษดีๆ มากมายเมื่อลงทะเบียนผ่านไลน์ อาทิ โปรโมชั่นพิเศษ สะสมคะแนนจากยอดสั่งซื้อผลิตภัณฑ์แลกของรางวัล และสิทธิพิเศษในการร่วมงานสัมมนาออนไลน์กับ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้ก่อนใคร

“ในทุกผลิตภัณฑ์และการบริการของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เราคำนึงถึงความยั่งยืนของโลก แม้แต่เรื่องการเพิ่มช่องทางการขายผลิตภัณฑ์ผ่านทางออนไลน์ การผสานเทคโนโลยีเข้ากับการนำเสนอขายผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงบรรจุภัณฑ์ที่เราส่งตรงถึงคู่ค้า และผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นที่ออกแบบและผลิต เราก็คำนึงถึงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ เพื่อสนองตอบสนองนโยบายหลักของเราในการสร้างความยั่งยืนของโลก ควบคู่ไปกับธุรกิจที่ยั่งยืน ของทั้งชไนเดอร์ อิเล็คทริค เอง และคู่ค้าในอีโคซิสเต็มส์” คุณทัศนารมย์ กล่าวทิ้งท้าย


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค แนะนำยูพีเอสสายพันธุ์พิฆาตคาร์บอน ให้ประสิทธิภาพสูงสุด ขับเคลื่อนความยั่งยืนเหนือชั้น ด้วยโหมด eConversion

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค แนะนำผลิตภัณฑ์เครื่องสำรองไฟ (UPS) แบบ 3 เฟส โดยเป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับโครงสร้างพื้นฐานที่ จำเป็นต่อการดำเนินงาน เช่น ศูนย์ข้อมูล เฮลธ์แคร์ และการดำเนินงานที่ต้องการความเที่ยงตรง รวมถึงการผลิตที่ต้องอาศัยความต่อเนื่อง โดยมีความจุพลังงานให้เลือกตั้งแต่ 5 กิโลโวลต์แอมป์ ไปจนถึงเมกะวัตต์

หน้าที่สำคัญของ UPS 3 เฟส คือการให้คุณภาพไฟฟ้าที่เสถียรแก่อุปกรณ์ และเป็นพลังงานสำรองในกรณีที่ไฟฟ้าขัดข้อง ซึ่งการมีแหล่งพลังงานที่เชื่อถือได้ จะยิ่งเป็นการเพิ่มคุณภาพและความเสถียรของพลังงาน ซึ่งอุปกรณ์จะใช้พลังงานจำนวนมากในระหว่างการแปลงพลังงาน โดยปกติอุปกรณ์จะทำงาน 24 ชั่วโมง ตลอด 365 วัน ดังนั้นการสูญเสียพลังงานจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องระหว่างที่เครื่องทำงาน

โหมด Double Conversion สำหรับ UPS 3 เฟส เป็นที่รู้จักกันมานานกว่า 20 ปี ในแง่การป้องกันแบบ ‘normal’ โดยมีประสิทธิภาพเฉลี่ยประมาณ 96% แม้ว่าตัวเลขประสิทธิภาพจะดูสูงก็ตาม แต่หมายความว่า 4% ของไฟฟ้าทั้งหมดสูญเสียไปกับการกระจายความร้อนเพื่อให้ UPS ทำงานด้วยเช่นกัน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอเทคโนโลยีและโซลูชันที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูงสุดในการดำเนินงานต่างๆ จึงลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้าง UPS ที่นอกจากจะให้ประสิทธิภาพสูงสุดในโลกแล้ว ยังให้คุณภาพของไฟฟ้าที่ดีที่สุดอีกด้วย

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้คิดค้นโหมด eConversion ซึ่งจดสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อย ความโดดเด่นคือช่วยลดการสูญเสียไฟฟ้าได้มากจากความร้อนที่เกิดขึ้นระหว่างที่ UPS ทำงาน จึงช่วยลูกค้าประหยัดเงินและลดการปล่อยคาร์บอนได้ ซึ่งการช่วยให้โลกน่าอยู่ขึ้นอีกทั้งประหยัดเงิน คือแรงจูงใจที่ดี

หลักการทำงาน

eConversion เป็นโหมดสำหรับ UPS แบบ 3 เฟส ที่เป็นสิทธิบัตรของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่ช่วยให้เวลาในการสลับโหมดการทำงานเป็นศูนย์ จึงให้ประสิทธิภาพสูงสุดถึง 99% โดยสถาปัตยกรรมดังกล่าวจะทำการตรวจสอบคุณภาพของพลังงานที่จ่ายจากกริดในแบบไดนามิก

หากคุณภาพไฟฟ้าเพียงพอ ก็จะจ่ายไฟให้กับโหลดโดยตรง (ผ่าน static switch) แต่อินเวอร์เตอร์จะยังคงทำงานควบคู่ไปพร้อมกับการชาร์จแบตเตอรี่ การแก้ไขตัวประกอบกำลัง และการชดเชยฮาร์มอนิกส์ (harmonics) ตามรายละเอียดในหมายเหตุการณ์ใช้งาน

ซึ่งหากคุณภาพของกริดไม่เพียงพอ UPS จะเปิดโหมด Double Conversion โดยอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเงื่อนไขทุกอย่างเป็นไปตามต้องการ ก็จะกลับสู่ eConversion ในทำนองเดียวกัน ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์กับกริด (เช่น ไฟดับ ไฟฟ้าลัดวงจร) UPS จะปรับไปสู่การทำงานด้วยแบตเตอรี่ในทันทีโดยไม่เกิดการหยุดชะงัก ไม่มีการสะดุดเมื่อเปลี่ยนโหมด

เทคโนโลยีนี้ได้รับการจดสิทธิบัตรและได้รับการรับรองจาก UL (Underwriter Laboratories) ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่ช่วยยกระดับการป้องกันในมาตรฐาน IEC 62040-3 คลาส 1 (หมวดหมู่สูงสุด) ซึ่งได้รับการพิสูจน์ด้านประสิทธิภาพเช่นเดียวกับ Double Conversion

เทคโนโลยีนี้คล้ายคลึงกับเทคโนโลยี Start-stop ของอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ประสบความสำเร็จในการลด CO2 ลงได้อย่างมากโดยที่ยังคงความความปลอดภัย และให้ความสะดวกสบาย ด้วยการออกแบบที่ชาญฉลาดของการทำงานแบบ Start-Stop ของรถยนต์ คือเครื่องยนต์จะหยุดทำงานเมื่อรถไม่ได้ทำงาน อย่างช่วงติดไฟแดงหรือการจราจรหนาแน่น โดยการทำงานของเครื่องยนต์จะหยุดโดยอัตโนมัติ เมื่อรถไม่มีการเคลื่อนที่

การปรับปรุงประสิทธิภาพ 2-3% ช่วยได้มากแค่ไหน

ในกรณีที่ระบบเหล่านี้ทำงานตลอด 24/365 เรื่องนี้นับเป็นเรื่องสำคัญมาก การทำงานในโหมด eConversion ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ข้อมูลหรือโรงงานผลิต สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าต่อปีได้มากเท่ากับการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อป 30 หลังคาเรือน (กำลังการผลิต 3kWc ต่อแห่ง) นั่นคือปริมาณไฟฟ้าที่ต้องใช้ในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 50 คันทุกปี (อ้างอิงจาก Tesla model 3)

การปรับปรุงต้นทุนในการเป็นเจ้าของ หรือ TCO (Total Cost of Ownership) ก็มีความสำคัญเช่นกัน ช่วยประหยัดไฟฟ้าต่อปีอยู่ที่ 13.5k€  โดยภายในเวลา 10 ปี จะช่วยประหยัดเงินประมาณ 3 เท่า จากที่ลงทุนไปกับ UPS

นอกจากจะประหยัดเงินแล้ว ลูกค้ายังสามารถลดการปล่อย CO2 ได้อย่างมากเช่นกัน

ดังนั้นมีหลายวิธีที่พิสูจน์ให้เห็นว่าการตัดสินใจที่ดีที่สุดที่บริษัทสามารถทำได้คือ การลงทุนในเทคโนโลยีและโซลูชันประหยัดพลังงานในโหมด eConversion ซึ่งเป็นสิทธิบัตรของชไนเดอร์ อิเล็คทริค โดยเป็นการผสมผสานจุดเด่นไว้ด้วยกัน ทั้งให้การป้องกันสูงสุด และให้ประสิทธิภาพสูงสุดในคราวเดียวกัน เมื่อลูกค้าเริ่มใช้งาน ต่างก็ยืนยันถึงผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนในระยะเวลาอันสั้น จึงช่วยลดต้นทุนการเป็นเจ้าของโดยรวม ในขณะที่สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ในทันที

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ eConversion คลิก ที่นี่


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

PEA เปิดตัวแพลตฟอร์ม PEA ADMS Control Center ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังความยั่งยืนของ EcoStruxure จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) จับมือชไนเดอร์ อิเล็คทริค มุ่งสู่การเป็นดิจิทัลยูทิลิตี้ และเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน พร้อมเตรียมระบบรองรับตลาดไฟฟ้าเสรีในอนาคต ตามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟ (คปศ.) โดยใช้เทคโนโลยี EcoStruxure™ ADMS (Advanced Distribution Management System) ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่สามารถวิเคราะห์ และสนับสนุนการสั่งจ่ายไฟฟ้าที่มี DERs (Distributed Energy Resources) กระจายตัวอยู่ในระบบส่งและระบบจำหน่าย ให้พนักงานศูนย์ควบคุมการจ่ายไฟ สามารถควบคุมระบบไฟฟ้าให้มีเสถียรภาพ ความมั่นคงและปลอดภัยแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ให้บริการของ PEA ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับการขยายขอบเขตเพื่อมุ่งเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงในอนาคต อาทิ การเป็น Distribution System Operator (DSO) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบไฟฟ้าเสรีในอนาคต

PEA มีเป้าหมายสูงสุดในมิติด้านความยั่งยืน คือ การให้ประชาชนในประเทศเข้าถึงพลังงานไฟฟ้าสะอาดและมีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม สร้างความสมดุลให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตควบคู่กับสังคมและสิ่งแวดล้อมร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างยั่งยืน โดย EcoStruxure™ ADMS ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับงานควบคุมการสั่งการจ่ายไฟฟ้า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟ และเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่เป็นพลังขับเคลื่อนสู่การเป็น Digital Utility ตามวิสัยทัศน์ “SMART ENERGY FOR BETTER LIFE AND SUSTAINABILITY ไฟฟ้าอัจฉริยะเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน”

ในปัจจุบัน กฟภ. กำลังดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟ (คปศ.) และพร้อมเดินหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อไปสู่เป้าหมายดิจิทัลยูทิลิตี้ และ Green Grid โดยใช้เทคโนโลยี EcoStruxture ADMS ที่มี Software Module สำคัญที่ใช้ในการบริหารจัดการแหล่งพลังงานแบบกระจายตัว (DERMS) และช่วยในการสนับสนุนให้บริการทางด้านพลังงานไฟฟ้า  ซึ่งเทคโนโลยีข้างต้นจะเป็นระบบหลักของสายงานปฏิบัติการและบำรุงรักษา ที่มีการเชื่อมโยงระหว่างระบบบริหารจัดการการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ (OT) และ ระบบบริหารจัดการข้อมูลด้านสานสนเทศ (IT) เพื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจต่างๆ ได้มีไฟฟ้าใช้ในการดำรงชีวิต การประกอบอาชีพ และขับเคลื่อนธุรกิจต่างๆ ได้ตามเป้าหมาย อีกทั้งยังช่วยให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสามารถบรรลุเป้าหมายแห่งชาติในการลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ตามแผนงานในอนาคตอีกด้วย

นายปราโมทย์ สุดทรัพย์ รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เผยว่า “แพลตฟอร์ม EcoStruxture ADMS ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นำเข้ามาใช้งานทดแทนระบบเดิมในเร็วๆ นี้ โดยจะเข้ามามีบทบาทในการช่วยให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสามารถไปสู่เป้าหมายในการเป็นดิจิทัลยูทิลิตี้ได้อย่างราบรื่น เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายแห่งชาติ ในการลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ และยังนำไปสู่การเตรียมพร้อมรองรับตลาดไฟฟ้าเสรีที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยตามนโยบายของภาครัฐในอนาคต เรามองว่าการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสภาวะการปัจจุบัน รวมถึงความพร้อมในการขยับขยาย และการปรับปรุงเพิ่มเติม เพื่อให้รองรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง”

PEA มีนโยบายการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล (Digital Transformation) เพื่อเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพ ในการให้บริการทางด้านพลังงานไฟฟ้า เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ไฟฟ้าที่หลากหลาย และตอบสนองนโยบายของภาครัฐในการส่งเสริมให้มีแหล่งพลังงานทางเลือกมากขึ้นเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากแผนปฏิบัติการลดก๊าชเรือนกระจกของประเทศ สาขาพลังงาน ปี พ.ศ. 2564- 2573 ของกระทรวงพลังงาน จึงเร่งเดินหน้าเต็มที่ทั้งเพื่อประชาชน และเพื่อประเทศเพื่อสร้างภาพรวมด้านพลังงานที่ยั่งยืน

นายสเตฟาน นูสส์ ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ดูแลประเทศไทย เมียนมา และลาว ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยว่า “เรารู้สึกภาคภูมิใจ ที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาศักยภาพของระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟของ กฟภ. โดยศูนย์ PEA ADMS Control Center เป็นศูนย์ควบคุมส่วนกลางด้านไฟฟ้า ด้วยโซลูชั่น ADMS ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค มั่นใจได้ว่า จะช่วยให้ประเทศไทยได้ใช้พลังงานได้อย่างมีเสถียรภาพมากขึ้นด้วย ช่วยให้ กฟภ. สามารถมองเห็นความเป็นไปของระบบไฟฟ้าได้ทั้งระบบ พร้อมการวิเคราะห์ การคาดการณ์แนวโน้ม สามารถแก้ไขปัญหาได้ก่อนที่จะเกิดขึ้น เมื่อต้องมีการเชื่อมต่อกับไมโครกริดผู้ให้บริการรายต่างๆ ในอนาคต ช่วยให้ระบบไฟฟ้าของประเทศมีความยั่งยืน เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศในภาพรวม เพราะพลังงานเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ในการหล่อเลี้ยงธุรกิจทุกอุตสาหกรรมของประเทศ”

นอกจากนี้ ภายในงานยังมี นายฌอง ปาสคาล ตริคัวร์ ประธานบริหาร ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และนายอเล็กซิส เกรนอน รองประธานอาวุโส ธุรกิจดิจิทัลกริด จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค รวมถึงผู้บริหารอีกหลายท่านมาร่วมแสดงความยินดีกับการนำร่องใช้งาน ศูนย์ PEA ADMS Control Center ซึ่งกำลังจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการและใช้งานอย่างเต็มรูปแบบในอนาคตอันใกล้


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และมูลนิธิชไนเดอร์ อิเล็คทริค ลงนามความร่วมมือกับสอศ.และ มจพ.เพื่อยกระดับ 15 สถาบันการศึกษาทั่วประเทศ

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และมูลนิธิชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้ลงนามในบันทึกความร่วมมือเพื่อมอบชุดฝึกสำหรับการเรียนรู้และการฝึกอบรมทางด้านไฟฟ้าและออโตเมชัน ให้กับ 15 สถาบันการศึกษาทั่วประเทศ โดยจะจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมมาตรฐานด้านการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric Standard Training Center) ที่วิทยาลัยระดับอาชีวศึกษา 14 แห่ง และจะจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric Center of Excellence) ที่สถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยีไทย-ฝรั่งเศส เพื่อผลิตกำลังพลคนรุ่นใหม่ด้านพลังงาน และอุตสาหกรรมอัตโนมัติจำนวนมาก

นายฌอง ปาสคาล ตริคัวร์ ประธานบริหาร ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และประธานมูลนิธิชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวว่า “ตั้งแต่ปี 2552 มูลนิธิชไนเดอร์ อิเล็คทริค พร้อมด้วยโครงการ Youth Education และ Entrepreneurship ได้ก้าวสู่การเดินทางอย่างจริงจังโดยมุ่งมั่นในการให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการพลังงาน ซึ่งเป็นคำมั่นสัญญาที่กำหนดโดยผลกระทบด้านความยั่งยืนของชไนเดอร์ อิเล็คทริค  เป้าหมายของเราก็คือการลดช่องว่างด้านการศึกษาโดยให้การสนับสนุนเรื่องการฝึกอบรมแก่เยาวชน 1 ล้านคน และผู้ประกอบการ 10,000 รายภายในสิ้นปี 2568  โดยมูลนิธิชไนเดอร์ มุ่งเป้าในการมีส่วนร่วมสนับสนุนสังคมคาร์บอนต่ำ และสร้างความทัดเทียมมากยิ่งขึ้น ด้วยการอาศัยความเชี่ยวชาญ และบรรดาพันธมิตรในภูมิภาค เพื่อจุดประกายให้กับคนรุ่นใหม่และชุมชนในวงกว้างเพื่อขับเคลื่อนไปสู่อนาคตที่ดียิ่งขึ้นผ่านการพัฒนาที่ยั่งยืน การร่วมมือระหว่างมูลนิธิชไนเดอร์ อิเล็คทริค และชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย จะให้การสนับสนุนด้วยการมอบสื่อการสอน จัดซื้ออุปกรณ์ด้านเทคนิค และการฝึกอบรมผู้สอน  โดย ทาง Asia Society for Social Improvement and Sustainable Transformation (ASSIST)  จะประสานความร่วมมือในครั้งนี้ ด้วยการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา”

สำหรับประเทศไทยทางมูลนิธิชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีการลงนามความร่วมมือกับสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกในปี 2565 และกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือในวันนี้ ตั้งเป้าฝึกอบรมนักศึกษาระดับอาชีวศึกษาสาขาไฟฟ้าทั่วประเทศให้ได้ 55,000 คน ตลอดระยะเวลาความร่วมมือถึงปี 2570 โดยนักศึกษาแต่ละคนจะต้องได้รับการฝึกอบรมทางด้านไฟฟ้าและออโตเมชันเป็นเวลา 180 ชั่วโมงหรือ 1 ภาคการศึกษา โดยมอบหมายให้ ASSISTเป็นผู้วัดผลการดำเนินการทุกไตรมาศ

นายสเตฟาน นูสส์ ประธานคลัสเตอร์ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา เผยว่า “ทุกวันนี้ทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมต่างมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน คือการทรานส์ฟอร์มไปสู่ดิจิทัล เรามีการรวมกันระหว่างเทคโนโลยี IT และ OT เข้าด้วยกัน และใช้ประโยชน์จากดิจิทัลในการทำงานในกระบวนการต่างๆ เช่น การมอนิเตอร์พลังงาน และกระบวนการต่างๆ เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ในเชิงลึกได้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในเชิงบวก รวมถึงการประหยัดพลังงาน และคาดการณ์แนวโน้มในการซ่อมบำรุงได้ พร้อมทั้งสร้างความยั่งยืนควบคู่กันไป ดังนั้นความท้าทายของผู้เริ่มทำงานคือการทำความเข้าใจกับระบบใหม่ๆ นี้ให้เข้าใจ ก่อนเข้าสู่การทำงานจริง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีความยินดีในการมอบสื่อการสอนที่จะทำให้นักศึกษาสามารถบ่มเพาะความรู้จากเทคโนโลยีของเราเพื่อการทำงานที่มั่นคงในอนาคต”

การส่งมอบเทคโนโลยีที่ใช้งานจริงให้กับสถาบันการศึกษานับเป็นการปูพื้นฐานสำหรับอนาคต ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมมีการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลมากขึ้น ทำให้มีความต้องการบุคลากรมืออาชีพที่รู้ลึกด้านเทคโนโลยีดิจิทัลด้านไฟฟ้า พลังงาน และอุตสาหกรรมมากขึ้น มูลนิธิชไนเดอร์ อิเล็คทริค และชไนเดอร์ อิเล็ค ประเทศไทย มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษา เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ และความเชี่ยวชาญด้านพลังงานและอุตสาหกรรมอัตโนมัติให้กับครูอาจารย์และนักศึกษาทั่วประเทศ เพื่อสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ให้กลายเป็นกำลังหลักที่แข็งแกร่งและเชี่ยวชาญในด้านอุปกรณ์ต่างๆ ที่ทันสมัย พร้อมรับเทรนด์การพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้งในอนาคต


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว Innovation Hub Bangkok รวมนวัตกรรมโซลูชั่นด้านความยั่งยืนและดิจิทัล

ตลอดปีที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่หลายองค์กรต่างเดินหน้ารับมือกับผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศ โดยมีบริษัทมากกว่า 4,000 แห่งทั่วโลกให้คำมั่นสัญญาว่าจะบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอน ขณะที่ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้คิดค้นนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องในการนำเสนอคุณค่าที่แตกต่าง เพื่อสนับสนุนองค์กรต่างๆ ไปสู่การสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจควบคู่กันไปด้วยดิจิทัลโซลูชั่นแบบครบวงจร

นายสเตฟาน นูสส์ ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ดูแลประเทศไทย เมียนมา และลาว ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยว่า “เราขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ด้วยนวัตกรรมโซลูชั่นแบบบูรณาการสำหรับบ้าน อาคาร ศูนย์ข้อมูล โครงสร้างพื้นฐาน และอุตสาหกรรม ด้วยโซลูชั่นทั้งฮาร์ดแวร์ คืออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันได้ และซอฟต์แวร์ เพื่อใช้ในการมอนิเตอร์ และตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ทำให้เรามีอำนาจในการควบคุมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และคาดการณ์การซ่อมบำรุง รวมถึงการลดคาร์บอน และก๊าซเรือนกระจก โดยมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนคือการสร้างความยั่งยืนให้กับโลก และธุรกิจ การเปิดตัว Innovation Hub Bangkok ในวันนี้ นับเป็น Innovation Hub ที่รวมโซลูชั่นด้านดิจิทัล ตอบโจทย์ทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อการทรานส์ฟอร์มสู่ระบบดิจิทัลให้กับธุรกิจที่ต้องการมุ่งไปสู่ความยั่งยืน”

 Innovation Hub Bangkok ตั้งขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทในกรุงเทพฯ ถนนรัชดาภิเษก โดยจัดแสดงโซลูชั่นสำหรับแต่ละอุตสาหกรรมต่างๆ ครอบคลุม ที่อยู่อาศัย อาคาร โรงงานอุตสาหกรรม ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบกริดและอินฟาสตรัคเจอร์ต่างๆ ดังนี้

Industries of the Future เทคโนโลยีผสานรวมระหว่าง IT และ OT เข้าด้วยกัน มอบความยั่งยืนและยืดหยุ่นผ่านระบบอัตโนมัติ บนแพลตฟอร์มเปิด เน้นซอฟต์แวร์เป็นศูนย์กลาง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น ซึ่งมีตัวอย่างตัวต้นแบบการใช้งานโดยโรงงานของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ซึ่งใช้โซลูชันและบริการ EcoStruxure™ รวมถึงเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ Modicon, Foxboro, Triconex, TeSys, Altivar และ Harmony รวมถึงซอฟต์แวร์ AVEVA

Data Centers of the Future นำเสนอโซลูชั่นตั้งแต่ดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ไปจนถึงไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ พร้อมรองรับการทำงานในรูปแบบเอดจ์คอมพิวติ้ง พร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะต่างๆ ที่ช่วยรองรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที เช่น การมอนิเตอร์ การควบคุมระยะไกล การควบคุมความเย็น และการไหลเวียนของอากาศ รวมถึงซอฟต์แวร์เฉพาะของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่สามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลในดาต้าเซ็นเตอร์ และเครือข่ายได้ทั้งหมด ช่วยรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจ และลดต้นทุนทางธุรกิจ

Buildings of the Future มาพร้อมเทคโนโลยีมาตรฐาน KNX โดยสามารถเชื่อมต่อกับโซลูชั่นสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับอาคารได้อย่างไร้ขีดจำกัด ทำให้การออกแบบอาคารในการรองรับการใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ เช่น อาคารสำนักงาน ที่เน้นเรื่องการใช้งานและประหยัดพลังงานเป็นหลัก มีความยืดหยุ่น ให้ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์ค่าพลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งในโซนออฟฟิศและส่วนกลางได้อย่างครบวงจรในหนึ่งเดียว

นอกจากนี้ โซลูชั่นสำหรับอาคารของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังสามารถตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจโรงแรม เน้นที่ความสะดวกสบายและประสบการณ์ที่ดีของแขกที่เข้ามาพัก ขณะที่กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาล สามารถใช้โซลูชั่นจัดการอาคารที่ออกแบบมาเพื่อเน้นความปลอดภัยและความอุ่นใจของคนไข้ สามารถผสานรวมกับสิ่งอำนวยความสะดวกทางการแพทย์อื่นๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นห้องปฏิบัติการ ห้องผ่าตัด ห้องพักผู้ป่วย ช่วยให้ผู้ดูแลสามารถวิเคราะห์และควบคุมการทำงานของระบบในแต่ละห้องได้ตามความต้องการ

Homes of the Future แสดงนวัตกรรมสำหรับบ้านของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค โซลูชั่นโฮมออโตเมชั่น เป้าหมายคือการทำให้บ้านมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากโซลูชันพลังงานในบ้านที่รองรับอนาคตและปรับขนาดได้ ตามความต้องการของผู้ใช้งานในบ้าน ช่วยตรวจสอบ ควบคุม และทำงานอัตโนมัติ พร้อมช่วยประหยัดการใช้พลังงาน พร้อมกันนี้ ยังมีโซนนำเสนอผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค สำหรับบ้าน อาทิ สวิตช์ไฟ เต้ารับ เซอร์กิตเบรกเกอร์ ที่มาพร้อมความปลอดภัยของผู้ใช้งานเป็นหลัก

Grids of the Future โซลูชั่นช่วยในการบริหารจัดการพลังงาน และกริดอัจฉริยะในแบบครบวงจร ทั้งซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ นอกจากนี้ ยังมีมุมนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด SM Airset สวิตช์เกียร์ (Switchgear) รุ่นใหม่ล่าสุดแบบโมดูลาร์ ไร้สาร SF6 ที่ส่งผลต่อสภาวะโลกร้อน

“นอกจากนี้ เรายังพร้อมให้คำปรึกษาในการปรับใช้ระบบการจัดการพลังงานและระบบดิจิทัลในอุตสาหกรรมต่างๆ ในการดำเนินงานขององค์กร ปัจจุบัน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีพนักงานมากกว่า 130,000 คนทั่วโลก ในประเทศไทยมีพนักงานกว่า 1,500 คน ที่พร้อมให้การต้อนรับองค์กรต่างๆ ในการเข้าเยี่ยมชม Innovation Hub Bangkok เพื่อเรียนรู้นัวตกรรม โซลูชั่นด้านดิจิทัลเพื่อนำไปปรับใช้ในองค์กร เพื่อสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนต่อไป” นายสเตฟาน กล่าวสรุป


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์ บทความ เทคโนโลยี

ซอฟต์แวร์สร้างศักยภาพให้โลกใบนี้

โดย นาทัลยา มากาโรชคินา รองประธานอาวุโส Secure Power ฝ่ายปฏิบัติการระหว่างประเทศ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

ศักยภาพของซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ คือการเชื่อมต่อการทำงานร่วมกัน พร้อมมอบความฉลาดในทุกแง่มุมสำหรับธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยให้ประโยชน์ด้านดิจิทัลแก่ทุกภาคส่วน

แม้จะมีข้อถกเถียงว่าซอฟต์แวร์กำลังกลืนกินโลกก็ตาม แต่แค่เพียงช่วงเวลาไม่นานมานี้ ประเด็นดังกล่าวก็เปลี่ยนไปสู่ความจริงที่ว่า ซอฟต์แวร์ “กำลังสร้างศักยภาพ” ให้กับโลกใบนี้

ทุกวันนี้สถาปัตยกรรมขององค์กรปรับเปลี่ยนไปสู่โมเดลที่ใช้ซอฟต์แวร์ควบคุมการทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ การควบคุมเหล่านี้นำไปสู่ความยืดหยุ่นและคล่องตัวที่เหนือชั้นขึ้นไปอีกระดับเพื่อให้ตอบสนองและรับมือกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และความขัดข้องที่เกิดจากอิทธิพลของสภาพอากาศ รวมถึงแนวโน้มของตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในขณะที่ต้องพร้อมรับมือกับเรื่องความปลอดภัย อีกทั้งให้ความยั่งยืน

การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วโลกเมื่อเร็วๆ นี้แสดงให้เห็นว่าซัพพลายเชนมีความเสี่ยง และอยู่ภายใต้อิทธิพลที่คาดเดาได้ยาก นอกเหนือจากสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์แล้ว เหตุการณ์ black swan เช่น การปิดกั้นคลองสุเอซ ยังได้ถูกรวมเข้ากับประเด็นการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ ตั้งแต่ไฟป่าในแคลิฟอร์เนีย น้ำท่วมยุโรป และความแห้งแล้งในออสเตรเลีย ไปจนถึงคลื่นความร้อน และอุณหภูมิที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในหลายทวีป

องค์กรต่างๆ ต้องปรับตัวให้เข้ากับความเป็นจริงครั้งใหม่เรื่อยมาภายใต้ระยะเวลาอันสั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการคว่ำบาตร ราคาพลังงานที่ผันผวน หรือความขัดข้องในการเข้าถึงพลังงาน (access disruption) การขาดแคลน และความล่าช้าในการจัดหา ซึ่งส่งผลกระทบอย่างยิ่งโดยเฉพาะเรื่องการก่อสร้าง อุตสาหกรรมยานยนต์ และแม้กระทั่งอุตสาหกรรมอาหารก็ตาม

แบบจำลอง แผนงาน และการพลิกแพลง

ในการรับมือกับฉากทัศน์เหล่านี้ องค์กรต่างๆ ต้องมีความยืดหยุ่นและความคล่องตัว พร้อมมีการตรวจสอบดูแลมากขึ้น โดยอาศัยข้อมูลเชิงลึก เพื่อให้สามารถจำลอง วางแผน และพลิกแพลงได้

นั่นหมายถึงการมีระบบซอฟต์แวร์ที่เชื่อมโยงการทำงานในทุกด้าน เพื่อให้สามารถมองเห็น วัดผลการดำเนินงาน และบริหารจัดการได้ดี

การออกรายงานการดำเนินงานทั่วไปขององค์กรนับว่าไม่เพียงพออีกต่อไป หากต้องการแข่งขันและอยู่รอดได้ องค์กรต้องสามารถจำลองและคาดการณ์ได้ว่า การเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นเหล่านี้จะส่งผลต่อผลผลิต ความสามารถในการทำกำไร และเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้อย่างไร

20-30-50

พื่อให้บรรลุมิติใหม่ในการมองเห็น และควบคุมได้ดียิ่งขึ้น จึงทำให้มีสถาปัตยกรรมใหม่เกิดขึ้น

ปัจจุบัน มีการคาดการณ์กันว่าสถาปัตยกรรมขององค์กรในอนาคตมีองค์ประกอบที่ผสมผสานกันระหว่างศูนย์ข้อมูลหลัก 20% คลาวด์สาธารณะ 30% และการปรับใช้ Edge 50% ภายในสามปีข้างหน้า

สถาปัตยกรรมที่ว่าจะนำไปสู่การยกระดับความสามารถให้เหนือชั้นไปอีกขั้น ทั้งเรื่องของเซ็นเซอร์ (IIoT) การมอนิเตอร์ การมองเห็น การบริหารจัดการ และการวิเคราะห์ โดยระบบงานบนคลาวด์จะทำหน้าที่ดูแลสถาปัตยกรรมใหม่เหล่านี้ที่มีองค์ประกอบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เรื่องของสายการผลิต พื้นที่ในร้านค้าปลีก และระบบดูแลคนไข้ในสถานพยาบาล ไปจนถึงการนำเอดจ์มาใช้งาน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกในการจัดเก็บข้อมูลในระดับภูมิภาค รวมถึงศูนย์ข้อมูลส่วนกลาง

รากฐานของแนวทางนี้จะไม่ใช่แค่การมองเห็นข้อมูลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการจัดการโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลด้วยความสามารถใหม่ของ DCIM3.0

มาตรการป้องกัน

สิ่งสำคัญของโลกใหม่ที่สร้างศักยภาพด้วยซอฟต์แวร์ คือการผสานรวมการทำงานเชิงลึกของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML)

ความยืดหยุ่นนั้นเกิดขึ้นจากความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการคาดการณ์ ซึ่งการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ที่อาศัยแอปพลิเคชั่นเชิงลึกของเทคโนโลยีเหล่านี้ ช่วยให้เกิดระบบการบำรุงรักษาเชิงป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งสามารถตรวจจับ หรือป้องกันความล้มเหลวก่อนที่จะส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน

การปรับตัวโดยใช้มุมมองเชิงลึก

ตัวอย่างของการปรับตัวที่ว่า มีให้เห็นในอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งผู้ผลิตในสวนปลูกผักและผลไม้ กำลังลดอุณหภูมิเรือนกระจกซึ่งเป็นผลโดยตรงจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น

ด้วยชุดเซ็นเซอร์เต็มรูปแบบ ตั้งแต่เริ่มต้นปลูกจนไปถึงการวางขายหน้าร้าน ผู้ปลูกสามารถจำลองการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ คาดการณ์ผลผลิตและการเปลี่ยนแปลงของพืชผล เพื่อให้เข้าใจว่าจะต้องปรับต้นทุนจุดไหนให้เหมาะสมต่อการรับมือกับสถานการณ์ โดยสามารถประมวลผลข้อมูลได้ใกล้เคียงกับจุดที่สร้างข้อมูล ก่อนที่แบบจำลองส่วนกลางจะคัดกรองตัวเลข ผู้ปลูกสามารถปรับความต้องการด้านแรงงาน การขนส่ง และการกระจายสินค้าให้เหมาะสมได้ โดยอิงจากข้อมูลที่ถูกต้อง และการวิเคราะห์ที่มีข้อมูลครบรอบด้าน หรือตัวอย่างอื่นๆ นอกเหนือจากการเกษตรได้แก่ การดูแลสุขภาพที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยที่ได้จากแพทย์ผู้ดูแล โดยนำเอดจ์มาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แบบเรียลไทม์

การใช้วิธีการเหล่านี้ในการรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์เบื้องต้น ทำได้ด้วยการผสานรวมความสามารถของเอดจ์กับแหล่งข้อมูลส่วนกลางอย่างราบรื่น ผ่านการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลจาก DCIM ไปจนถึง Data Lake และการวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI

ในการเชื่อมต่อข้อมูลจากจุดเชื่อมต่อทั้งหมดระหว่างแอปพลิเคชันและผู้ใช้งาน ต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง

นี่คือเหตุผลที่เราได้พัฒนาพันธมิตรที่แข็งแกร่ง เพื่อให้เข้าใจถึงความเสี่ยง และเพื่อให้มั่นใจว่าแอปพลิเคชันและบริการของเรามีความยืดหยุ่น ปลอดภัย และให้ความยั่งยืนสำหรับระบบไอทีในอนาคต แม้ว่าจะมีขยายการใช้งานไปสู่สภาพแวดล้อมไอทีแบบไฮบริดมากขึ้นก็ตาม

เมตริกที่อิงตามหลักวิทยาศาสตร์และได้มาตรฐาน

ประเด็นสำคัญเรื่องความยืดหยุ่นและความปลอดภัยในเรื่องเหล่านี้ ต้องไปด้วยกันกับข้อกำหนดอื่นที่สำคัญ คือ เรื่องความยั่งยืน

ประโยชน์หลักของซอฟต์แวร์ใหม่ที่ช่วยสร้างศักยภาพให้โลกนี้ คือความสามารถในประยุกต์ใช้เมตริกที่ได้มาตรฐานได้ครอบคลุมทั่วทั้งระบบ เพื่อวัดและจัดการการปล่อยมลพิษและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป้าหมายการปล่อยมลพิษที่อิงตามหลักวิทยาศาสตร์กำลังได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายมากขึ้น และสามารถช่วยให้องค์กรต่างๆ เข้าใจและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ แม้จะอยู่ท่ามกลางแนวโน้มปัจจุบันก็ตาม

สร้างโลกแห่งศักยภาพ

แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ระบบซอฟต์แวร์และการควบคุม ซึ่งต่อยอดจากการพัฒนาใน IIoT, AI และ ML รวมถึงคลาวด์และเอดจ์คอมพิวติ้ง ก็สามารถช่วยให้องค์กรต่างๆ มีการมองเห็นที่ดีขึ้น มีข้อมูลเชิงลึก และการกำกับดูแลการดำเนินงานที่ดีขึ้น

เรื่องนี้จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นขึ้นไปอีกขั้น เพื่อรับมือกับกระแสอิทธิพลของโลกปัจจุบัน ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่สามารถทำได้

การเพิ่มศักยภาพด้านการจัดการกับความเสี่ยงทางไซเบอร์ได้ดีขึ้น รวมถึงเป็นรากฐานเพื่อขับเคลื่อนความมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน ทำให้มุมมองด้านซอฟต์แวร์เปลี่ยนไป จากสิ่งที่กำลังกลืนกินโลก กลายเป็น สิ่งที่สร้างศักยภาพให้กับโลกใบนี้


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จัดทัพเบิกทางสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ในงาน Innovation Summit Bangkok 2023

การปฏิรูปอุตสาหกรรมให้เป็นดิจิทัล จำเป็นต้องมีการรวมเทคโนโลยี IT และ OT เข้าด้วยกัน และรวมเข้ากับระบบซอฟต์แวร์การจัดการพลังงาน เพื่อให้สามารถวัดและควบคุมโหลดไฟฟ้าที่ใช้พลังงาน สู่ควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 1 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง) ขอบเขตที่ 2 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน ควบคู่กับการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

งาน Innovation Summit Bangkok 2023 เป็นโอกาสสำหรับภาคอุตสาหกรรม ที่จะปลดล็อกศักยภาพด้านพลังงาน และระบบออโตเมชั่น อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มพลังให้กับกระบวนการทางอุตสาหกรรม ทั้งการยกระดับอาคารสำหรับอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ลดการสูญเสียพลังงาน พร้อมพบกับพันธมิตรกับผู้เชี่ยวชาญด้านระบบอัตโนมัติดิจิทัลและการจัดการพลังงานต่างๆ และพบกับเทคโนโลยีที่ช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลเพื่อไปสู่ความยั่งยืนได้อย่างง่ายดาย เทคโนโลยีไฮไลต์ได้แก่

  • Lexium™ MC12 multi carrier ระบบการลำเลียงในสายการผลิต ที่มุ่งแก้ pain point สำหรับอุตสาหกรรมการผลิต มีจุดเด่นด้านการติดตั้งและการออกแบบได้อย่างรวดเร็ว มาพร้อมซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้สามารถออกแบบและจำลองกระบวนการได้ล่วงหน้า ช่วยให้สามารถออกแบบสายการผลิตได้หลากหลายตามความต้องการ พร้อมทั้งสามารถประเมินประสิทธิภาพได้ก่อนติดตั้งจริง ผสานพลังซอฟต์แวร์จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค พร้อมกันนี้ Lexium™ MC12 multi carrier ได้รับการออกแบบเป็นแบบโมดูล ทำให้สามารถติดตั้งง่าย ลดต้นทุนการติดตั้งและการดูแลรักษา พร้อมมอบความสามารถครบครันที่ตอบโจทย์การทำธุรกิจในยุคอุตสาหกรรม 4.0 สามารถผสานรวมระหว่าง OT และ IT ด้วย EcoStruxure ซึ่งช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถมองเห็นประสิทธิภาพทั้งระบบและวิเคราะห์การทำงาน เพื่อนำไปต่อยอดทางธุรกิจได้ต่อไปอีกด้วย
  • CMR (Collaborative Mobile Robot) หุ่นยนต์อัจฉริยะสำหรับอุตสาหกรรม Health Care ที่ให้ความสามารถในการจดจำภาพสภาพแวดล้อมในการทำงาน ผสานการตั้งโปรแกรมในการทำงานได้อย่างแม่นยำ นับเป็นผู้ช่วยมือฉมังในการทำงานซ้ำๆ จึงช่วยลดโหลดและลดเวลาทำงานของเจ้าหน้าที่
  • Smart Water เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยี ในการบริหารจัดการน้ำ เก็บข้อมูลด้วยเซ็นเซอร์ ทั้งระดับน้ำ อุณหภูมิ การไหล ฯลฯ ช่วยให้ได้ข้อมูลเชิงลึกสำหรับวิเคราะห์ ผ่านสถาปัตยกรรม EcoStruxure ทั้งช่วยในเรื่องการควบคุมแบบอัตโนมัติ พร้อมสามารถรองรับการทำงานร่วมกับระบบพยากรณ์อากาศได้ สามารถมอนิเตอร์ วิเคราะห์ ควบคุม ได้ตั้งแต่ระดับโรงงาน เมือง และประเทศ
  • โซลูชั่นสำหรับการผลิตสินค้าอุปโภค/ บริโภค ซึ่งเป็น end to end โซลูชั่น จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค ด้วยขุมพลังจาก EcoStruxure ผสานศักยภาพระหว่าง IT และ OT ที่เป็นระบบเปิด ทำให้ง่ายในการติดตั้ง หรือประยุกต์ใช้ร่วมกับระบบเดิมที่มีอยู่แล้ว ใช้งานง่าย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุนด้านพลังงาน ควบคู่กับการสร้างความยั่งยืน
  • EcoStruxure Automation Expert เทคโนโลยี Software Base PLC สามารถติดตั้งผ่านคอมพิวเตอร์ได้เลย สามารถเชื่อมต่อ ควบรวมอำนาจการควบคุม ทั้งจากผลิตภัณฑ์ หรือเครื่องจักร ที่มาจากหลากหลายแบรนด์ทั่วโลกได้อย่างเป็นหนึ่งเดียว โดยไม่ต้องมีการติดตั้งซอฟต์แวร์หลากหลายที่ทำให้เกิดซ้ำซ้อน เหมาะกับอุตสาหกรรมทุกประเภท ลดความยุ่งยาก และกระบวนการทำงาน ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพในด้านเวลาอีกด้วย เรียกได้ว่าถ้าโรงงานมีเป้าหมายด้านการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล แต่ไม่อยากลงทุนในการเปลี่ยนระบบเดิมมากมาย EcoStruxure Automation Expert คือคำตอบแรกที่ดีที่สุด

ร่วมสัมผัสประสบการณ์ทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล ไปสู่โรงงานที่ยั่งยืน ในแบบครบวงจร ได้ในงาน Innovation Summit Bangkok 2023 ใน วันที่ 5-6 กรกฎาคม 2566 ณ Grand Hall ชั้น 2, ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

ลงทะเบียนได้แล้ววันนี้


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เตรียมจัดงาน Innovation Summit Bangkok 2023 เพื่อให้ภาคธุรกิจมุ่งสู่การลดคาร์บอน เร่งสู่ทางลัด Net Zero

กรุงเทพฯ 24 พฤษภาคม 2566 –  ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำระดับโลกด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น สำหรับการจัดการพลังงานและระบบออโตเมชั่น ปักหมุดจัดงาน Innovation Summit Bangkok 2023 งานเดียวที่ครบครันด้านเทคโนโลยีสำหรับการสร้างความยั่งยืน สำหรับองค์กรที่มีเป้าหมายไปสู่ความเป็น Carbon Neutral และ Net Zero พร้อมพบกับกรณีศึกษาจากองค์กรกรชั้นนำระดับประเทศ ที่จะมาร่วมแชร์กลยุทธ์ในเส้นทางไปสู่ความยั่งยืน พร้อมเผยประเด็นสำคัญที่สนับสนุนเส้นทางเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ หรือ Net Zero

Innovation Summit Bangkok เป็นงานสำคัญระดับโลกของชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีขึ้นระหว่างวันที่ 5 – 6  กรกฎาคม 2566  เพื่อจัดการกับความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศทั่วโลกและเพื่อแนะแนวทางให้ลูกค้า คู่ค้า หน่วยงานที่กำกับดูแล รวมไปถึงผู้กำหนดนโยบายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้ดำเนินการได้อย่างรวดเร็วเพื่อกำจัดคาร์บอนในเศรษฐกิจประเทศไทยในทศวรรษนี้ ผู้เข้าร่วมจะได้สัมผัสกับนวัตกรรมดิจิทัลและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนของชไนเดอร์ อิเล็คทริค รวมไปถึงการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางขององค์กรระดับท็อปของประเทศในการนำพาองค์กรไปสู่ความยั่งยืน

สเตฟาน นูสส์ ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ดูแลประเทศไทย เมียนมา และลาว ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยว่า “Innovation Summit Bangkok ของเรา เป็นงานใหญ่ที่รวมนวัตกรรมดิจิทัลด้านการบริหารจัดการพลังงาน และระบบออโตเมชั่น ตั้งแต่ บ้าน อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ โรงงาน เครื่องจักร โครงข่ายไฟฟ้า ทุกโซลูชั่นและผลิตภัณฑ์ถูกคิดค้นและพัฒนาขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์องค์กรที่ต้องการมุ่งเน้นสู่ความยั่งยืน ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และช่วยโลกลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อหยุดอุณหภูมิของโลกไม่ให้ร้อนขึ้นไปอีก

สำหรับไฮไลต์ ในงาน Innovation Summit Bangkok 2023 ได้แก่ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน

  • Homes of the Future ตั้งแต่โซลูชั่นสำหรับบ้านเริ่มจากเบรกเกอร์ สวิตช์ ไปจนถึงโฮมออโตเมชั่น EV Chargerสำหรับบ้าน ที่จะเปลี่ยนบ้านธรรมดาให้เป็นบ้านลดคาร์บอนได้
  • Buildings of the Future โซลูชั่นอาคารยุค 4.0 ช่วยให้อาคารทั้งเก่า หรือใหม่ให้เป็นอาคารสีเขียว ต่อยอดการลดคาร์บอน ปูหนทางไปความเป็นกลางทางคาร์บอน และ Net Zero ด้วย ระบบการจัดการอาคาร (BMS) ช่วยให้สามารถตรวจสอบควบคุมและเพิ่มประสิทธิภาพอาคาร ได้แบบรวมศูนย์ พร้อมพบกับ EV Charger สำหรับอาคาร สุดล้ำ และโซลูชั่นอื่นๆ อีกมากมาย
  • Data Centers of the Future โซลูชั่นสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ที่ยั่งยืน และเพิ่มประสิทธิภาพของดาต้าเซ็นเตอร์ พบโซลูชั่นตั้งแต่การเริ่มสร้าง ไปจนถึงการใช้งานที่มุ่งไปสู่ความยั่งยืน รวมไปถึงเอดจ์ดาต้าเซ็นเตอร์ ยูพีเอส และโซลูชั่นอื่นๆ อีกมากมาย
  • Industries of the Future โซลูชั่นโรงงานและเครื่องจักร ช่วยเปลี่ยนโรงงานธรรมดาให้เป็นสมาร์ทแฟคทอรี่ เพิ่มประสิทธิภาพให้กระบวนการทั้งหมด ผสานพลังจาก AI และระบบอัตโนมัติ ให้ความยืดหยุ่น ประหยัดพลังงาน และที่สำคัญสร้างความยั่งยืน อาทิ ระบบลำเลียงเพื่อผลิตสินค้าอัจฉริยะ หุ่นยนต์อัจฉริยะที่ช่วยในการจัดเก็บสินค้า ระบบ PLC ระบบสั่งการดำเนินงานทางไกล และระบบอื่นๆ อีกมากมาย
  • Grids of the Future พบกับโซลูชั่นช่วยในการบริหารจัดการพลังงาน และกริด อัจฉริยะในแบบครบวงจร ทั้งซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ นอกจากนี้ยังมีไฮไลต์ สวิตช์เกียร์รุ่นใหม่ล่าสุดแบบโมดูลาร์ SM AirSeT ไร้สาร SF6 ที่ส่งผลต่อสภาวะโลกร้อน

“งาน Innovation Summit Bangkok มุ่งเน้นการนำเสนอนวัตกรรมของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่เสมือนเป็นดีเอ็นเอเพื่อเป็นแนวทางช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถทำตามเป้าหมายด้านนโยบายความยั่งยืนได้ ด้วยการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ผ่านเทคโนโลยีที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ซึ่งเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการขจัดคาร์บอนในอาคาร การขนส่ง และอุตสาหกรรม เพื่อไปสู่เป้าหมายในการจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส โดย ชไนเดอร์ อิเล็คทริค สามารถให้คำปรึกษา ในการผสานรวมทั้งเรื่องการวางแผนเชิงกลยุทธ์และการกำหนดเป้าหมายด้วยการติดตั้งโซลูชั่นที่ได้รับการพิสูจน์ในเรื่องของประสิทธิภาพมาแล้ว เพื่อมอบผลลัพธ์ที่ยั่งยืนอย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม จะช่วยให้องค์กรสามารถก้าวไปสู่การดำเนินการสู่ความยั่งยืนได้เร็วยิ่งขึ้น” สเตฟานกล่าวทิ้งท้าย

สามารถสัมผัสนวัตกรรมดิจิทัล และงานสัมมนาที่มีผู้นำองค์กรระดับแถวหน้าของประเทศที่จะให้แนวคิดนำพาองค์กรไปสู่ความยั่งยืน ได้ในงาน Innovation Summit Bangkok 2023 ใน วันที่ 5-6 กรกฎาคม 2566 ณ Grand Hall ชั้น 2, ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

ลงทะเบียนได้แล้ววันนี้

Categories
บทความ เทคโนโลยี

การตัดสินใจอย่างชาญฉลาด นำพาศักยภาพมาสู่อุตสาหกรรม CPG แห่งอนาคต

โดย เคาสทูปห์ โจชิ

คลื่นลูกใหม่อย่างดิจิทัลนำมาซึ่งโอกาสที่ยิ่งใหญ่มหาศาล และปูทางเพื่อรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต การมาถึงของระบบออโตเมชั่น และ IIoT ยังเร่งการเติบโตและเร่งการพัฒนาในอุตสาหกรรมต่างๆ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองความต้องการที่เกิดขึ้นในโลกใหม่

การทำให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพนั้น ต้องอาศัยการประสานงานหลายด้าน เช่น การบริหารจัดการและการดำเนินงาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบเชิงรุกพร้อมดำเนินการได้อย่างทันท่วงที ตัวอย่าง เช่น เมื่อสินทรัพย์ของอาคารอยู่ในสภาพที่เหมาะสมและดำเนินการได้ตามที่ควรเป็น ก็จะสร้างสภาวะที่เหมาะสมที่สุดให้กับผู้อาศัยในอาคาร พร้อมกับสร้างความพึงพอใจมากขึ้นในภาพรวมของตัวอาคาร ในทำนองเดียวกัน อุตสาหกรรม CPG (Consumer Packaged Goods) หรือสินค้าอุปโภคบริโภค ก็สามารถมั่นใจในเรื่องของความต่อเนื่องและประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากขุมพลังของ IoT และการเชื่อมต่อกับระบบอัตโนมัติในการดำเนินงานต่างๆ

เครื่องมือ Advisor เปี่ยมด้วยขุมพลังจาก Machine Learning และ IoT ช่วยตอบโจทย์ความท้าทายในอุตสาหกรรม CPG อีกทั้งสามารถเรียนรู้การทำงานจากกระบวนการที่แตกต่าง พร้อมวิเคราะห์ความหลากหลายของอุปกรณ์และสินทรัพย์ เพื่อให้ประโยชน์และการทำงานที่เหมาะสม รวมถึงการติดตามงานทั่วไป จึงช่วยให้มั่นใจได้ว่าสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จะรองรับความเสี่ยงที่คาดไม่ถึงได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น ให้ผลลัพธ์ต่อเนื่องได้เต็มประสิทธิภาพโดยที่ไม่สะดุด

นอกจากนี้ เทคโนโลยียังให้ผลกระทบตามมาอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการวิเคราะห์ ช่วยให้อุปกรณ์พร้อมใช้งานตลอดเวลา รวมถึงช่วยในการตรวจสอบสถานะ บำรุงรักษาได้โดยที่ไม่ต้องสัมผัส และที่สำคัญกว่านั้น คือช่วยบรรเทาภัยพิบัติ ทำให้มั่นใจเรื่องความปลอดภัยและการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ

ให้ภาพรวมเรื่องของพลังงานและความยั่งยืนได้ดีขึ้น ด้วยการใช้แพลตฟอร์มเดียวบนคลาวด์ในการรวบรวมข้อมูลทั่วองค์กรมาไว้ด้วยกัน เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลทั้งหมดได้อย่างสะดวกจากแหล่งเดียวโดยปราศจากความยุ่งยาก ไม่ว่าจะเป็นตัวชี้วัดด้านความยั่งยืน ข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวก และข้อมูลด้านซัพพลาย ทำให้คุณสามารถนำระบบวิเคราะห์มาช่วยปรับปรุงการทำงานร่วมกัน เหล่านี้ส่งผลถึงการได้มาซึ่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่จำเป็นต่อการตัดสินใจเรื่องสำคัญ อีกทั้งยังช่วยให้จัดลำดับความสำคัญของโครงการ เพื่อปรับปรุงเรื่องของประสิทธิภาพและความยั่งยืนได้อย่างต่อเนื่อง

ทุกสิ่งสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการใช้ AVEVA และซอฟต์แวร์อุตสาหกรรมจากชไนเดอร์ อิเล็คทริค ปรับปรุงการดำเนินการ ทั้งยังได้รับผลตอบแทนการลงทุนสูงสุด และเพิ่มผลกำไรด้วยข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ได้จริง ช่วยให้ตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างชาญฉลาดและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านอาหารและเครื่องดื่มสำหรับอุตสาหกรรม CPG ในอนาคต

คลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงมาถึงแล้ว และกำลังพลิกโฉมอุตสาหกรรม CPG ให้เชื่อมต่อการทำงานได้มากขึ้น พร้อมรองรับการทำงานได้ตลอดเวลา ครอบคลุมทุกแง่มุมของการดำเนินงานในเชิงรุกอีกทั้งให้ความยั่งยืน ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนควรใช้ประโยชน์จากโอกาสอันกว้างใหญ่ไพศาลจากการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานสู่ดิจิทัล เพื่อสร้างอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพและให้ความยั่งยืน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จับมือไทยออยล์ มอบความรู้สู่ความยั่งยืน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ประเทศไทย โดยสเตฟาน นูสส์ (Stephane NUSS) ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ดูแลประเทศไทย เมียนมา และลาว ร่วมกับ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) โดยนายณรงค์ศักดิ์ เฉวียงภพ ผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรม ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านวิชาการ (Memorandum of Cooperation: MOC) ในการถ่ายทอดความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ให้แก่นิสิต นักศึกษาและคณาจารย์ ในสถาบันต่างๆ เป็นการส่งเสริมด้านวิชาการ ในระดับบัณฑิตศึกษา นิสิต/นักศึกษาระดับปริญญาตรี ของ 6 สถาบัน ประกอบด้วย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เพื่อเตรียมความพร้อมให้เยาวชนมีความรู้ความสามารถและทักษะด้านต่างๆ โดยชไนเดอร์ อิเล็คทริค จะแบ่งปันทั้งความรู้ด้านเทคนิคในการจัดการพลังงานและระบบออโตเมชั่น รวมถึงทักษะความคิดเชิงออกแบบและการเป็นผู้ประกอบการ ด้านไทยออยล์ฯ จะแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงานและธุรกิจ โดยความร่วมมือของทั้งสองยักษ์ใหญ่ในครั้งนี้มีความคาดหวังเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับบุคลากรของชาติในการพัฒนาประเทศไปสู่ความยั่งยืนต่อไป


 

Exit mobile version