Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัวพอร์ตโฟลิโอกลุ่มระบายความร้อนด้วยของเหลว จาก Motivair ด้วยโซลูชั่นและบริการที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับ HPC และเวิร์กโหลด AI

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ เปิดตัวพอร์ตโฟลิโอโซลูชั่นการระบายความร้อนด้วยของเหลวแบบครบวงจรชั้นนำระดับโลก สำหรับไฮเปอร์สเกล (Hyperscale), โคโลเคชั่น (Colocation) และดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีสภาพแวดล้อมความหนาแน่นสูง (High-density Data Center) ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อขับเคลื่อน AI Factories ในอนาคต

โซลูชั่นการระบายความร้อนจาก Motivair by Schneider Electric พร้อมวางจำหน่ายทั่วโลก มาพร้อมกับขุมพลังและการประมวลผลระดับสูงที่ต้องใช้ GPU ของดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีความหนาแน่นสูงได้อย่างน่าเชื่อถือและสามารถปรับขนาดได้พอร์ตโฟลิโอนี้ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพของดาต้าเซ็นเตอร์ ทั้งแบบ Liquid Cooling และ Air Cooling รวมถึง CDUs, RDHx, HDUs, Dynamic Cold Plates, Chillers ตลอดจนซอฟต์แวร์และบริการ ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ออกแบบเพื่อรองรับการจัดการความร้อนของการประมวลผลประสิทธิภาพสูง (HPC) ในเจนเนอร์เรชั่นใหม่ รวมถึง AI และเวิร์กโหลดการประมวลผลแบบเร่งความเร็ว โดยการประกาศเปิดตัวพอร์ตโฟลิโอครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค นำเสนอขีดความสามารถด้านการระบายความร้อนด้วยของเหลวแบบครบวงจร นับตั้งแต่เข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ใน Motivair เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568

เนื่องจากอุตสาหกรรมกำลังขับเคลื่อนผ่านความหนาแน่นพลังงานที่สูงเกิน 140kW ต่อแร็ค และต้องเตรียมพร้อมสำหรับความหนาแน่นพลังงานในอนาคตที่ระดับ 1MW และสูงกว่านั้น ทำให้ชิป AI ยิ่งมีความร้อนสูงขึ้นและมีความหนาแน่นมากขึ้น ดาต้าเซ็นเตอร์จึงจำเป็นต้องใช้การระบายความร้อนด้วยของเหลว เพื่อทำความเย็นให้กับเวิร์กโหลดที่มีอุณหภูมิสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรักษาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและมีช่วงเวลาทำงานสูงสุด (peak uptime) 

ระบบทำความเย็น อาจใช้พลังงานสูงถึง 40% ของงบประมาณด้านพลังงานในดาต้าเซ็นเตอร์ ขณะที่การระบายความร้อนด้วยของเหลวโดยตรง (Direct Liquid Cooling) มีประสิทธิภาพมากกว่าในการดึงความร้อนออกจากระบบถึง 3,000 เท่า เมื่อเทียบกับการใช้ระบบอากาศ เนื่องจากสามารถดักจับความร้อนที่ระดับชิปได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม การติดตั้งเทคโนโลยีระบายความร้อนด้วยของเหลวเป็นเรื่องที่ซับซ้อน และต้องใช้วิธีการแบบองค์รวมตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งครอบคลุมทั้งการจัดหา ติดตั้งและการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง 

ทั้งนี้เพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และ Motivair ได้นำเสนอพอร์ตโฟลิโอสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์และระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวที่ครอบคลุมที่สุดในตลาดให้กับลูกค้า ซึ่งครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานในการทำความเย็นหลักทั้งหมด ควบคู่ไปกับความสามารถของซัพพลายเชนที่พร้อมรองรับความต้องการในระดับโลก

“เนื่องจากระบบทำความเย็นในดาต้าเซ็นเตอร์มีความซับซ้อนมากขึ้นในยุค AI พอร์ตโฟลิโอของเราจึงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถรองรับความต้องการโครงสร้างพื้นฐานของทั้งปัจจุบันและอนาคต” ริชาร์ด วิทมอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Motivair by Schneider Electric กล่าว “ปัจจุบันเราเป็นผู้ให้บริการระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวเพียงรายเดียวที่แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในระดับซิลิคอน โดยการพัฒนาร่วมกับ NVIDIA และผู้ผลิต GPU ชั้นนำอื่นๆ และเมื่อร่วมมือกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค เราได้สร้างกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เหนือชั้น ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดระยะเวลาในการนำสินค้าออกสู่ตลาด แต่ยังเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนให้กับลูกค้าทั่วโลก”

พอร์ตโฟลิโอระบายความร้อนด้วยของเหลวแบบครบวงจรสำหรับ ดาต้าเซ็นเตอร์ AI

โซลูชั่นระบายความร้อนด้วยของเหลวและอากาศของ Motivair by Schneider Electric ได้แก่ Coolant Distribution Units (CDUs) ระดับ Megawatt-class, ChilledDoor® Rear Door Heat Exchangers และ Dynamic® Cold Plates ซึ่งให้การควบคุมอุณหภูมิที่แม่นยำสำหรับตู้แร็ค AI ที่มีกำลังไฟ 100 kW+ โซลูชั่นเหล่านี้ยังช่วยรักษาประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมเพิ่มศักยภาพการใช้พลังงานและเพิ่มเวลาทำงานให้กับผู้ปฏิบัติการดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งประกอบด้วย

· Coolant Distribution Units (CDUs) : CDUs ของ Motivair ได้รับการออกแบบโดยความร่วมมือกับผู้ผลิตซิลิคอนชั้นนำเพื่อการผสานรวมที่ราบรื่นกับโปรเซสเซอร์และตัวเร่งความเร็วรุ่นใหม่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ CDU สามารถขยายขนาดตั้งแต่ 105 กิโลวัตต์ ถึง 2.5 เมกะวัตต์ ซึ่งล้ำหน้าความต้องการของตลาดไปหลายปี ปัจจุบันเทคโนโลยี CDU ของ Motivair ยังช่วยให้เกิดประสิทธิภาพด้านความร้อนในซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ใน 10 อันดับแรกของโลก และได้รับการรับรองสำหรับฮาร์ดแวร์ล่าสุดของ NVIDIA ในขณะที่ยังมีความพร้อมสำหรับความหนาแน่นของตู้แร็คที่เพิ่มขึ้นในอนาคต

· ChilledDoor® Rear Door Heat Exchanger: เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน (Rear-door heat exchanger) นี้ สามารถระบายความร้อนให้กับตู้แร็คที่มีความหนาแน่นสูงสุด 75 kW ทำให้เหมาะสำหรับ GPU ที่ใช้พลังงานสูง การออกแบบที่ยืดหยุ่นไม่จำกัดรุ่นตู้แร็ค ทำให้เป็นโซลูชั่นที่ใช้งานได้หลากหลายในทุกสภาพแวดล้อมสำหรับ HPC

· Liquid-to-Air Heat Dissipation Unit (HDU™): เหมาะสำหรับตัวเร่งความเร็ว AI สภาพแวดล้อมของ Colocation หรือห้องปฏิบัติการที่มีน้ำไม่เพียงพอในการใช้งาน โดย Motivair HDU เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในตลาด สามารถระบายความร้อนได้ 100 กิโลวัตต์ ในพื้นที่ติดตั้งเพียง 600 มิลลิเมตร นอกจากนี้ยังสามารถสร้างระบบหมุนเวียนน้ำ (Water Loop) เพื่อระบายความร้อนได้สูงสุดถึง 132 กิโลวัตต์ ซึ่งเป็นอัตราส่วน 1:1 กับสถาปัตยกรรมการประมวลผล NVL144 ของ NVIDIA

· Chillers and Technology Cooling System (TCS) Loops: เครื่องทำความเย็นแบบอากาศปิด (Closed loop air cooled chillers) ของ Motivair และ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยให้ผู้ประกอบการประหยัดการใช้น้ำได้หลายล้านแกลลอนต่อปีต่อในทุกเมกะวัตต์ของความต้องการทำความเย็น ในขณะเดียวกันก็ให้ประสิทธิภาพที่สูงกว่าโซลูชั่นอื่นๆ ในตลาดถึง 20%

· ซอฟต์แวร์ : กว่า 50 ปี ซอฟต์แวร์ EcoStruxure ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากหลายๆโดเมน โดยสร้างขึ้นเพื่อจัดการกับความท้าทายด้านการระบายความร้อนด้วยอากาศและของเหลวของดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งให้การจัดการความร้อน ประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดสำหรับสภาพแวดล้อมที่มีความสำคัญต่อภารกิจ (Mission-critical Environments)

· บริการ: Motivair มีประสบการณ์ในการติดตั้งและบำรุงรักษาระบบระบายความร้อนที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในภาคสนามกว่าทศวรรษ เป็นบริษัทดูแลฐานการติดตั้งโซลูชั่นระบายความร้อนด้วยของเหลวความหนาแน่นสูงใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีช่างเทคนิคที่ผ่านการฝึกอบรมพร้อมให้บริการในทุกพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่สำคัญ ปัจจุบันเราฝึกอบรมช่างเทคนิคเพื่อบริการภาคสนามในด้านระบบทำความเย็นกว่า 600 ราย และร่วมมือกับพันธมิตร EcoXpert ด้านระบบทำความเย็นทั่วโลก

การผลิตระดับโลก ความเชี่ยวชาญทางเทคนิค และการทดสอบที่เข้มงวด

พอร์ตโฟลิโอที่ครอบคลุมของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้รับการสนับสนุนโดยความสามารถด้านการผลิตและซัพพลายเชนทั่วโลก พร้อมด้วยความเชี่ยวชาญทางเทคนิค ตลอดจนการทดสอบและตรวจสอบครอบคลุมโซลูชั่นทั้งหมด

· ซัพพลายเชนทั่วโลก : Motivair เพิ่งเปิดโรงงานผลิตแห่งที่ 4 ในเมืองบัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก และบริษัทยังขยายขีดความสามารถในการผลิตในอิตาลีและอินเดีย ซึ่งเพิ่มผลผลิตเป็น 3 เท่า และลดระยะเวลารอสินค้าสำหรับลูกค้าทั่วโลก

· การทดสอบที่เข้มงวด:ผลิตภัณฑ์ระบายความร้อนด้วยของเหลวทุกรุ่นผ่านการทดสอบประสิทธิภาพเพื่อจำลองโหลดความร้อนที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเป็นการตรวจสอบยืนยันทั้งประสิทธิภาพทางความร้อนและทางกลก่อนที่จะจัดส่งสินค้า ขณะที่ในระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์จะได้รับการตรวจสอบความถูกต้องภายในบริษัทและอุปกรณ์ทุกชิ้นจะผ่านการทำความสะอาดก่อนการติดตั้งใช้งานเพื่อช่วยป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น ณ สถานที่ติดตั้ง

AI คือการปฏิวัติเทคโนโลยีในยุคถัดไป และแน่นอนว่ามันทำให้การระบายความร้อนด้วยของเหลวเป็นสิ่งจำเป็นเชิงกลยุทธ์สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์และ AI Factories” แอนดรูว์ แบรดเนอร์ รองประธานอาวุโสฝ่ายธุรกิจทําความเย็น ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “ด้วยการรวมความเชี่ยวชาญหลากหลายโดเมนของเราเข้ากับ Motivair เรากำลังบุกเบิกพื้นที่โอกาสใหม่ๆ ในการทำตลาดสำหรับการประมวลผลแบบเร่งความเร็ว ด้วยพอร์ตโฟลิโอระบายความร้อนด้วยของเหลวที่ไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งมาพร้อมกับขนาดการผลิตและการเข้าถึงในระดับโลกและความมุ่งมั่นที่จะทดสอบและตรวจสอบทุกโซลูชั่นที่เราส่งมอบอย่างเข้มงวด เพื่อลดความเสี่ยงและมอบความมั่นใจสูงสุดให้กับลูกค้าของเรา”

“การระบายความร้อนด้วยของเหลวได้เปลี่ยนจากการเป็นตัวเสริมประสิทธิภาพ ไปสู่การเป็นองค์ประกอบพื้นฐานหลักของสภาพแวดล้อมการประมวลผลความหนาแน่นสูงสมัยใหม่” โอลก้า ยาชโควา ผู้จัดการวิจัยด้านเวิร์กโหลดองค์กร และ โครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ ไอดีซี กล่าว “การเข้าซื้อกิจการ Motivair โดยชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยยกระดับความแข็งแกร่งในด้านโครงสร้างพื้นฐานพลังงานไฟฟ้า และระบบทำความเย็นของดาต้าเซ็นเตอร์ได้อย่างครบวงจร ในฐานะเวนเดอร์รายเดียวที่สามารถออกแบบและจัดหาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและระบบทำความเย็นที่สำคัญทั้งหมดของดาต้าเซ็นเตอร์ แนวทางของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังช่วยลดความซับซ้อนในการปฏิบัติงานของ ดาต้าเซ็นเตอร์ AI”


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว “EBO 7.0” หัวใจหลักจัดการอาคารปลอดคาร์บอน EcoStruxureTM Building Operation เวอร์ชั่นใหม่ วัดผลชัดเจน จบครบแพลตฟอร์มเดียว

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electricผู้นำระดับโลกด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลในด้านการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ ประกาศเปิดตัว EcoStruxureTM Building Operation เวอร์ชั่นใหม่ “EBO 7.0” ที่มาพร้อมความสามารถในการบริหารจัดการอาคารแบบครบวงจรบนแพลตฟอร์มเดียว รองรับการดำเนินงานอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมฟีเจอร์วัดผลการปล่อยคาร์บอนอย่างแม่นยำ และยกระดับการผสานรวมระบบจากรูปแบบเดิมให้เป็นเรื่องง่าย ตอบโจทย์การบริหารจัดการทั้งอาคารเก่าและใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จากข้อมูลสถิติของชไนเดอร์ อิเล็คทริค พบว่า 37% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกยังคงมาจากกลุ่มอาคาร และ 100% ของอาคารในสหภาพยุโรปจะต้องติดตั้งระบบบริหารจัดการอาคาร (Building Management System: BMS) ภายในปี 2568 แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า “การบริหารจัดการอาคาร” กลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลกที่ท้าทายมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อรูปแบบการบริหารจัดการอาคารในปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ฝ่ายบริหารอาคารต้องเผชิญกับข้อกำหนดใหม่ๆ ที่เข้มงวดมากขึ้น ทั้งในด้านการลดการปล่อยคาร์บอน การบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน รวมถึงการตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้อาคารที่มุ่งเน้นบริการที่ทันสมัย และพื้นที่ที่มีสุขอนามัยที่ดี เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัยภายในอาคาร

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เดินหน้าพัฒนาฟีเจอร์ของ EcoStruxureTM Building Operation (EBO) แพลตฟอร์มแบบเปิด (Open Integration Platform) อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน เพื่อรองรับการบริหารจัดการอาคารให้สอดคล้องกับแนวทางและข้อกำหนดมาตรฐานที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ล่าสุดได้เปิดตัว EcoStruxureTM Building Operation 7.0 (EBO 7.0) เวอร์ชั่นใหม่ที่มาพร้อมความสามารถในการบริหารจัดการอาคารอย่างชาญฉลาดและง่ายดายยิ่งขึ้น โดยลูกค้าปัจจุบันสามารถอัปเกรดจากเวอร์ชั่น 1.9 หรือสูงกว่า เป็นเวอร์ชั่น 7.0 ได้ในขั้นตอนเดียว ช่วยลดต้นทุนในการเปลี่ยนอุปกรณ์ เนื่องจาก EBO 7.0 ได้รับการออกแบบให้สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เดิมที่มีอยู่แล้วได้อย่างมีประสิทธิภาพ

EBO 7.0 ยังยกระดับฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การผสานรวมกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในอาคารและระบบไฟฟ้าแบบหลายระบบเป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยการรองรับมาตรฐาน OPC UA, AVEVA PI และระบบอื่นๆ ทำให้สามารถรวบรวม วิเคราะห์ และบริหารจัดการข้อมูลทั้งองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านศูนย์ควบคุมเดียวแบบอัตโนมัติ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน พร้อมชี้วัดผลลัพธ์ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้อย่างชัดเจน และช่วยลดระยะเวลาการปฏิบัติงานของผู้ใช้ระบบได้ถึง 20%

อีกทั้งการทำงานของอาคารโดยอัตโนมัติบนเครือข่ายเดียวที่มีการอัปเกรดให้ทันสมัยนี้ ทำให้แพลตฟอร์ม EBO 7.0 เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการอาคารสำหรับอนาคต ด้วยฟีเจอร์ในการรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ IoT ที่เชื่อมต่อกันมากขึ้น พร้อมนำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาใช้ในการวิเคราะห์และตัดสินใจเชิงระบบ รวมถึงฟีเจอร์ด้าน Cybersecurity ที่มีการอัปเดตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของทุกการเชื่อมต่อระหว่างระบบและอุปกรณ์ภายในอาคาร

นอกจากนี้ EBO 7.0 ได้อัปเดตแพ็กเกจไลเซนส์ใหม่ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ฟีเจอร์ที่เหมาะสมกับแต่ละขนาดอาคารและความต้องการใช้งานได้อย่างครบถ้วน โดยแบ่งเป็น 3 แพ็กเกจหลัก ได้แก่

  • Essentialไลเซนส์ที่รวบรวมฟีเจอร์พื้นฐานสำหรับการบริหารจัดการอาคารไว้อย่างครบถ้วน เหมาะสำหรับอาคารขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่มีระบบไม่ซับซ้อน
  • Advancedไลเซนส์ที่อัปเกรดเพิ่มจากแพ็กเกจ Essential โดยอัดแน่นด้วยตัวช่วยฟีเจอร์ด้านการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อเพิ่มการจัดการที่มีตัวชี้วัดชัดเจน การแบ่งโซนการทำงานของระบบ และการผสานรวมกับระบบภายนอกที่มากยิ่งขึ้น เช่น External Log storage (Timescale, MSSQL), SNMP, OPC UA client และ SAML 2.0 Authentication เป็นต้น ซึ่งเป็นไลเซนส์ที่ตอบโจทย์กับกลุ่มอาคารขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่ให้ความสำคัญในการจัดการด้านการชี้วัดผลลัพธ์ที่ละเอียด
  • Advanced Plus ไลเซนส์ที่เหนือกว่าด้วยฟังก์ชันเพิ่มเติมจากแพ็กเกจ Advancedเช่น ฟังก์ชั่น Change control สำหรับควบคุมและบันทึกการเปลี่ยนแปลงภายในระบบ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ เหมาะสำหรับอาคารที่มีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการใช้กฎระเบียบที่เข้มงวด

โดยทั้ง 3 แแพ็กเกจไลเซนส์ โดดเด่นด้วยฟีเจอร์ที่ตอบรับกับการใช้งานที่ครอบคลุมในระดับที่แตกต่างกัน ซึ่งชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้มอบประสบการณ์พิเศษด้านความยืดหยุ่นของแแพ็กเกจ ในการอัปเกรดไลเซนส์ตามความต้องการของผู้ใช้งานได้ตลอดเวลา

ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดฟีเจอร์เพิ่มเติมได้ที่ EcoStruxureTM Building Operation 7.0 (EBO 7.0) New Features และแพ็กเกจไลเซนส์เพิ่มเติมได้ที่ EcoStruxure™ Building Operation 7.0 (EBO 7.0) Licensing Plans


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัวแพลตฟอร์ม “Zeigo™ Hub” ตัวช่วยสร้างความยั่งยืนองค์กร เร่งลดคาร์บอนในซัพพลายเชน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ เปิดตัว Zeigo™ Hub by Schneider Electric แพลตฟอร์มดิจิทัลทรงพลัง ออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรต่างๆ ลดคาร์บอนในซัพพลายเชนในวงกว้าง ถือเป็นก้าวสำคัญในการใช้นวัตกรรมโซลูชั่นเพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประเภทที่ 3 (Scope 3 emissions) เพื่อนำไปสู่เป้าหมาย Net-Zero ได้อย่างมั่นใจและชัดเจน

กลุ่มซัพพลายเชนทั่วโลกกำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้า หน่วยงานกำกับดูแลและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการรายงานและดำเนินการเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มขึ้นขึ้นนี้ได้ ด้วยการใช้โมดูลาร์ที่เน้นการลงมือปฏิบัติเพื่อความยั่งยืน ช่วยให้องค์กรต่างๆ มีส่วนร่วมกับซัพพลายเออร์ในทุกขนาดธุรกิจ สามารถเข้าถึงและติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของซัพพลายเออร์หลายระดับ และขับเคลื่อนผลลัพธ์ที่วัดผลได้โดยตรงผ่านการให้ความรู้ เครื่องมือและการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญ

“การมีซัพพลายเชนที่ไร้คาร์บอน ไม่ใช่แค่สิ่งดีที่ควรมีอีกต่อไปแล้ว แต่มันคือความจำเป็นเชิงกลยุทธ์ สำหรับแพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub ชไนเดอร์ อิเล็คทริคกำลังติดอาวุธเสริมเพื่อเป็นเครื่องมือและข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็นให้กับบริษัทต่างๆ เพื่อเปลี่ยนซัพพลายเชนของพวกเขาให้เป็นกลไกขับเคลื่อนความยืดหยุ่นที่ยั่งยืน” ลอร่า อีฟ รองประธานฝ่ายโซลูชั่นความยั่งยืน SaaS ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว

ยุคใหม่แห่งการมีส่วนร่วมของซัพพลายเออร์และนวัตกรรม

Zeigo™ Hub ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นแพลตฟอร์มส่งเสริมการมีส่วนร่วมของซัพพลายเออร์ในทุกขั้นตอนของการเดินทางสู่ความยั่งยืน ไม่ว่าจะมีขนาดองค์กรที่พร้อม หรือประสบการณ์ในระดับใด แพลตฟอร์มนี้ช่วยขจัดอุปสรรคการมีส่วนร่วมได้ ด้วยระบบการเริ่มต้นใช้งานที่มีคำแนะนำ มีอินเทอร์เฟซต่อผู้ใช้ที่เรียบง่าย และเครื่องมือการเรียนรู้ในตัวที่ช่วยให้ซัพพลายเออร์สามารถเริ่มคำนวณและบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ทันที แพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub ไม่ใช่เพียงเครื่องมือเก็บข้อมูลสถิติเท่านั้น แต่ยังทำงานร่วมกันแบบตอบกลับผ่านเการเรียนรู้ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ มีชุดเครื่องมือลดคาร์บอนและแดชบอร์ดการเปรียบเทียบมาตรฐาน ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่คล่องตัวและเข้าถึงได้ง่าย ซัพพลายเออร์สามารถดำเนินการจากข้อมูลและวัดผลได้ ส่วนผู้สนับสนุนก็สามารถส่งต่อผลกระทบได้ทั้งซัพพลายเชน

แพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub มีกลไกการวิเคราะห์ประสิทธิภาพสูง ช่วยให้มองเห็นข้อมูลเรียลไทม์ของการมีส่วนร่วมจากซัพพลายเออร์ ทั้งข้อมูลแนวโน้มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและความคืบหน้าในการบรรลุเป้าหมายที่อ้างอิงตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งโครงสร้างข้อมูลได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับการเปิดเผยข้อมูลตามมาตรฐาน CDP, CSRD และ TCFD รวมถึงการจัดทำรายงานความยั่งยืนภายในองค์กร ซึ่งเป็นการรับรองด้านความโปร่งใสและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล

ทั้งนี้ซัพพลายเออร์ทุกรายที่ได้รับเชิญเข้าร่วมแพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub จะได้รับสิทธิ์เข้าถึงแผนงานลดคาร์บอนและผู้ให้บริการโซลูชั่นที่ปรับเปลี่ยนได้ ซึ่งช่วยให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเป็นรูปธรรมในวงกว้าง ส่วนผู้สนับสนุนจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมทั้งหมด ทำให้ไม่มีอุปสรรคด้านต้นทุนสำหรับซัพพลายเออร์ และครอบคลุมถึงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในฐานะส่วนหนึ่งของชไนเดอร์ อิเล็คทริค อีกทั้งแพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub สามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบนิเวศระดับโลกที่เชื่อถือได้ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน บริการให้คำปรึกษาและโซลูชั่นการลดคาร์บอนได้อย่างราบรื่น โดยมอบการสนับสนุนเชิงลึกและความน่าเชื่อถือให้แก่องค์กรที่เหนือกว่าแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์แบบเดี่ยวทั่วไป

แพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub ใช้ความสามารถของ Agentic AI ขั้นสูง เพื่อเร่งการลดคาร์บอนด้วยการใช้ข้อมูลขับเคลื่อนการตัดสินใจ และขยายผลกระทบไปทั่วทั้งห่วงโซ่คุณค่าที่หลากหลาย (Complex value chains) และเป็นผลิตภัณฑ์แรกที่ถูกนำมาใช้ใน ระบบนิเวศ AI-native ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ซึ่งได้ประกาศไปเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568ที่ผ่านมา โดยระบบนี้ผสานรวมความเชี่ยวชาญชั้นนำด้านความยั่งยืนของชไนเดอร์เข้ากับนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งฟีเจอร์  Agentic AI ของแพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub จะช่วยยกระดับและปรับเปลี่ยนประสบการณ์การเริ่มต้นใช้งานของผู้ใช้ให้เป็นส่วนตัวมากขึ้น โดยจะช่วยลดความยุ่งยากในการป้อนข้อมูลด้วยการใช้เครื่องมือการดึงข้อมูลจากเว็บไซต์และการอัปโหลด, การปรับแต่งคำเชิญเข้าร่วมโปรแกรม และให้การกำกับดูแลโปรแกรมเพิ่มเติมในนามของผู้สนับสนุนโครงการขององค์กร

ขับเคลื่อนผลกระทบระดับโลกผ่านความร่วมมือ

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับในด้านการลดคาร์บอนในซัพพลายเชน จากการทำงานร่วมกับแบรนด์ใหญ่และจากโครงการริเริ่มด้านซัพพลายเชนภายในองค์กรที่ได้รับรางวัล เช่น Zero Carbon Project ตั้งแต่ปี 2564 ได้เปิดตัวโครงการลดคาร์บอนในซัพพลายเชนทั่วโลก มีบริษัทซัพพลายเชนเข้าร่วมกว่า 20 โครงการ รวมถึงโครงการความร่วมมือกับกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น EnergizeCatalyze และ Materialize จนถึงปัจจุบันชไนเดอร์ อิเล็คทริคได้ร่วมงานกับแบรนด์ต่างๆ มากกว่า 40 แบรนด์ โดยเป็นผู้สนับสนุนโครงการที่มีซัพพลายเออร์ลงทะเบียนมากกว่า 2,700 ราย

แพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub จะทำหน้าที่เป็นตัวขับเคลื่อนเทคโนโลยีและเครื่องมือสำหรับการดำเนินการร่วมกันในโครงการซัพพลายเชนเหล่านี้ ทำให้ช่วยลดคาร์บอนในวงกว้างง่ายกว่าวิธีเดิม อีกทั้งแพลตฟอร์มนี้ช่วยให้องค์กรต่างๆ สร้างวัฒนธรรมของการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างผู้ซื้อและซัพพลายเออร์ และแนวทางนี้ไม่เพียงเร่งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างความยืดหยุ่นของซัพพลายเชนและเพิ่มคุณค่าทางธุรกิจในระยะยาวอีกด้วย

“แพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub แสดงถึงก้าวที่กล้าไปข้างหน้าในด้านความยั่งยืนของซัพพลายเชน นี่คือการเปลี่ยนความมุ่งมั่นให้เป็นการลงมือทำ เสริมสร้างศักยภาพให้กับซัพพลายเออร์ทุกราย พันธมิตรทุกคน และทุกองค์กร ให้มีส่วนร่วมสร้าง Net-Zero ในอนาคต” ลอร่า อีฟ รองประธานฝ่ายโซลูชันความยั่งยืน SaaS ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว

การวางจำหน่าย
แพลตฟอร์ม 
Zeigo™ Hub พร้อมให้บริการแก่ทุกองค์กรทั่วโลกแล้ววันนี้ และหากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเส้นทางการลดคาร์บอนในซัพพลายเชนของธุรกิจ สามารถเข้าชมได้ที่ https://www.zeigo.com/zeigo-hub


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประกาศจับมือพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญ ร่วมกับ “พร้อม เทคนิคคอล เซอร์วิสเซส” เร่งพัฒนาโซลูชั่นทรานส์ฟอร์มธุรกิจพลังงาน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ บริษัท พร้อม เทคนิคคอล เซอร์วิสเซส จำกัด เพื่อพัฒนาโซลูชั่นเชิงนวัตกรรมขับเคลื่อนการทรานส์ฟอร์มเมชั่นธุรกิจพลังงานและอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (Upstream Oil & Gas) สร้างผลกระทบเชิงบวก ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

นายซิงเจียง ปัง ประธานชไนเดอร์ อิเล็คทริคประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก กล่าวว่า ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีความมุ่งมั่นในการผลักดันพันธมิตรเพื่อเป้าหมายสำคัญในการสร้างผลกระทบเชิงบวกและความยั่งยืนให้กับระบบนิเวศ ความร่วมมือกับบริษัท พร้อม เทคนิคคอล เซอร์วิสเซส จำกัด จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่สำคัญของไทย จากความร่วมมือด้านข้อมูลที่ใช้พัฒนานวัตกรรมโซลูชั่นจากหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างนวัตกรรมดิจิทัลตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีให้กับกลุ่มธุรกิจพลังงาน ได้แก่ กระทรวงพลังงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.), บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT)

นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวเสริมว่า ธุรกิจพลังงานและอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียมคือกลไกที่เกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วนสำคัญในประเทศไทย ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้กับบริษัท พร้อม เทคนิคคอล เซอร์วิสเซส จำกัด ได้มุ่งเน้นไปที่การร่วมกันพัฒนาโซลูชั่นเชิงนวัตกรรมเพื่อเป้าหมายเปลี่ยนผ่านกระบวนการทำงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลสู่ผลลัพธ์ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีขอบเขตความร่วมมือสำคัญในด้านต่างๆ ดังนี้

1.การจัดการข้อมูลแบบใกล้เคียงเวลาจริง (Near Real-Time) 2. วิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science) และการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) 3.การดำเนินธุรกิจอัจฉริยะและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ 4.บริการคลาวด์ยุคใหม่ (Next-generation Cloud Services) 5.ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) 6.การสื่อสาร 5G และ 7.ศูนย์ข้อมูลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Data Centers) เพื่อสนับสนุนการลดคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรม

นายพงัน เชาวนการกิจ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พร้อม เทคนิคคอล เซอร์วิสเซส จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในครั้งนี้จะช่วยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholder) ในธุรกิจพลังงานและอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ได้นำความรู้และนวัตกรรมโซลูชั่นที่เกิดจากความร่วมมือ ใช้ประโยชน์ในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

สำหรับโซลูชั่นและผลิตภัณฑ์ที่จะพัฒนาร่วมกัน ด้านสำคัญ ได้แก่ 1.การวิเคราะห์ข้อมูลและความเป็นเลิศในการดำเนินงาน ด้วยการพัฒนาแอปพลิเคชั่นการวิเคราะห์ข้อมูลและยกระดับความเป็นเลิศในการดำเนินงาน โดยการผสมผสานโมเดล AI และ ML วมถึงโซลูชั่นอัจฉริยะเข้ากับความสามารถของคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง (HPC)

2.การพยากรณ์และวิเคราะห์พลังงานหมุนเวียน ด้วยการพัฒนาแอปพลิเคชั่นและโซลูชั่นที่มีประสิทธิภาพสำหรับแบบจำลองและแพลตฟอร์มการพยากรณ์พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวางแผนการเชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Grid Integration) และประสิทธิภาพการดำเนินงาน

3.แอปพลิเคชั่นจัดการข้อมูลพลังงานแบบใกล้เคียงเวลาจริง โดยจะพัฒนาระบบและเทคโนโลยีล้ำสมัยสำหรับการรวบรวมประมวลผล และวิเคราะห์ข้อมูลพลังงานแบบ Near Real-Time รวมถึงโซลูชั่นในรูปแบบบริการซอฟต์แวร์ (SaaS) ที่ยืดหยุ่นโดยใช้ประโยชน์จากบริการคลาวด์ยุคใหม่

และ4.ศูนย์ปฏิบัติการแบบบูรณาการ (IOC) ซึ่งจะพัฒนาโซลูชั่นศูนย์ปฏิบัติการแบบบูรณาการ (Integrated Operation Center) เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการสร้างความเป็นเลิศในการดำเนินงานมีหน้าจอควบคุมและติดตามแบบครบวงจรที่สามารถรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งทั้ง IT และOT ได้อย่างราบรื่น โดยสร้างขึ้นบนสถาปัตยกรรมระบบที่มีความพร้อมใช้งานสูง (High-Availability)

นายชัยวิชิต สารกุล ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจดิจิทัล บริษัท พร้อม เทคนนิคคอล เซอร์วิสเซส จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือในการพัฒนาโซลูชั่นร่วมกันจะช่วยผลักดันศักยภาพการให้บริการดิจิทัลแพลตฟอร์มในรูปแบบครบวงจร และสามารถนำเสนอบริการด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการดำเนินธุรกิจให้กับกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและธุรกิจพลังงาน และเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านพลังงานอย่างยั่งยืน

ชไนเดอร์อิเล็คทริค มุ่งมั่นขับเคลื่อนองค์กรต่างๆ ในระบบนิเวศ เพื่อร่วมกันสร้างผลกระทบเชิงบวกโดยเชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน ด้วยการเป็นพันธมิตรที่เชื่อมั่นได้ ทั้งในด้านการสร้างความยั่งยืนและสร้างประสิทธิภาพ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว “New EasyPact MVS” เซอร์กิตเบรกเกอร์ดิจิทัลทรงสมาร์ท โชว์เคสเชื่อมต่อแบบไร้สัมผัส

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ เปิดตัว ‘New EasyPact MVS’ เซอร์กิตเบรกเกอร์ดิจิทัลใหม่ล่าสุด โชว์ประสบการณ์ใช้งานง่ายแบบไร้การสัมผัส ด้วยฟีเจอร์ NFC ผ่านแอปพลิเคชัน EcoStruxure Power Device ภายในงานสัมมนา Innovation Talk : Smart Solar Solution & Safer Switchgear

นายเผดิมศักดิ์ รัตนเรืองศักดิ์ รองประธานฝ่ายธุรกิจ เพาเวอร์ โพรดักส์ ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ไทย ลาว และเมียนมา กล่าวว่า New EasyPact MVS เซอร์กิตเบรกเกอร์ดิจิทัลรุ่นใหม่ในกลุ่มเซอร์กิตเบรกเกอร์ที่รองรับเครือข่ายกระแสไฟฟ้าแรงดันต่ำตั้งแต่ 630 ถึง 4,000 แอมแปร์ ได้รับการปรับโฉมการใช้งานใหม่ทั้งหมดด้วยฟีเจอร์ที่เน้นความสะดวกสบาย เชื่อมต่อง่าย สมาร์ททุกฟังก์ชัน คุ้มค่ามากขึ้น เพื่อตอบรับความต้องการใช้งานของกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMB) ล่าสุดเปิดตัวและโชว์ศักยภาพในงานสัมมนาทางด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าแสงอาทิตย์ เพื่อระบบที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ‘Innovation Talk : Smart Solar Solution & Safer Switchgear’

โดยงานนี้ได้มีผู้เชี่ยวชาญด้านระบบพลังงานร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ในหลากหลายหัวข้อ เช่น เจาะลึกโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์ครบวงจร (Solar Total Solutions), เทคโนโลยีการจัดเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่และระบบป้องกัน (Battery Energy Storage Technology and Protection), มาตรฐานและการเลือกใช้อปุกรณ์สำหรับตู้ไฟฟ้า และแนวทางการออกแบบระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เชิงวิศวกรรมสำหรับอาคารและภาคอุตสาหกรรม

New EasyPact MVS เซอร์กิตเบรกเกอร์ดิจิทัล มาพร้อมดีไซน์เรียบง่ายแต่สมาร์ท การันตีด้วยรางวัล reddot winner 2023 ด้วยคุณสมบัติหน้าจอแสดงผลทริปยูนิต (Trip Unit) ที่ใหญ่ขึ้น โดดเด่นด้านการแจ้งเตือนสถานะการทำงานต่างๆ ง่ายต่อผู้ใช้งาน ด้วยการเพิ่มแสงไฟสว่างแบบ LED ช่วยเปิดการมองเห็นที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นตั้งแต่ระยะ 10 เมตร และในกรณีที่เกิดภาวะโหลดเกิน หรือการลัดวงจร ผู้ใช้งานสามารถมองเห็นการแจ้งเตือนในระยะ 1 เมตร โดยหน้าจอจะแสดงผลแบบรหัสอักษรที่เข้าใจง่าย มองเห็นความผิดปกติได้ชัดเจน พร้อมปรับตำแหน่งการติดตั้งแบตเตอรี่ในส่วนหน้าของเซอร์กิตเบรกเกอร์ ซึ่งง่ายต่อการเปลี่ยนแบตเตอรี่

ส่วนไฮไลต์ฟังก์ชันของ New EasyPact MVS คือการเชื่อมต่อแบบไร้สัมผัสด้วย NFC (Near-field wireless) ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานไม่พลาดการเข้าถึงข้อมูล สถานะการทำงานอย่างละเอียดของเซอร์กิตเบรกเกอร์ได้ง่ายขึ้น ผ่านแอปพลิเคชัน Ecostruxure Power device ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เข้ากับกลุ่มผลิตภัณฑ์ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค โดยรองรับทั้งระบบปฏิบัติการ Android ,iOS และ iOS By Huawei

นอกจากนี้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ EPC (EcoStruxure Power Commission) ผ่านพอร์ต USB 3.0 เข้ากับแล็ปท็อป (Laptop) โดยซอฟต์แวร์ EPC ออกแบบเพื่อรองรับการเข้าถึงการตั้งค่าแบบยืดหยุ่นครอบคลุมการป้องกันอย่างละเอียดและเพิ่มความแม่นยำมากขึ้น ผู้ใช้งานสามารถทำการอัปเดตเฟิร์มแวร์ได้ง่ายขึ้น รวมถึงสามารถเรียกดูข้อมูลประวัติการป้องกันย้อนหลังได้ รวมถึงการติดตามตรวจสอบกระแสพลังงาน ช่วยให้หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด และนำข้อมูลมาใช้ประมวลผลเพื่อคาดการณ์อายุการใช้งาน ทำให้ช่วยลดต้นทุนและสร้างความคุ้มค่าให้กับผู้ประกอบการในระยะยาวได้

New EasyPact MVS เซอร์กิตเบรกเกอร์ดิจิทัลทรงสมาร์ท เชื่อมต่อง่าย ฟีเจอร์ทันสมัย คุ้มค่ามากขึ้น ตอบโจทย์ SMB วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ https://www.se.com/th/th/


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ส่ง โมดูลาร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ แก้ปัญหาการเติบโตของ AI ที่เอดจ์

องค์กรธุรกิจในหลายภาคส่วนกำลังนำ AI มาช่วยจัดการกับปัญหาข้อมูลล้นจนเกินขีดความสามารถที่คนจะจัดการได้ ทั้งในแง่ของความเร็วและความเป็นไปได้ ซึ่งการปฏิวัติ AI ทำให้มีความต้องการด้านพลังการประมวลผลที่เอดจ์อย่างมาก เช่นเดียวกับกระแสการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ แต่ในครั้งนี้ มีความต้องการสูงกว่าที่ผ่านมามาก เนื่องจาก AI ต้องใช้ความหนาแน่นของแร็คในการประมวลผลที่เอดจ์สูงมากเป็นพิเศษ ซึ่งจุดนี้ โมดูลาร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ช่วยตอบโจทย์ได้อย่างดี โดยช่วยให้องค์กรมีโครงสร้างที่ยืดหยุ่นและสามารถขยายศักยภาพรองรับการเติบโตที่รวดเร็วของ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มีการคาดการณ์ว่า AI จะเติบโตในอัตราเฉลี่ย 33% ต่อปีระหว่างปี 2023 ถึง 2030 เพราะการพัฒนา Generative AI คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันกระแสของ AI โดยหลายองค์กรกำลังนำ AI มาใช้แทนที่หรือมาช่วยงานมนุษย์ในด้านต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพในการทำงานมากขึ้น เครื่องมืออย่าง ChatGPT และ Microsoft Copilot กำลังช่วยให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงและใช้ AI ได้ง่ายขึ้น

การใช้งาน AI นั้นแทบจะไม่มีขีดจำกัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเฮล์ธแคร์ การเงิน การผลิต การขนส่ง ตลอดจนความบันเทิง แม้แต่งานต่างๆ อย่างการทำพรีเซนเทชันหรือการทำรายงานการขาย ก็สามารถทำได้รวดเร็ว เพียงป้อนข้อมูลที่เกี่ยวข้องไปในระบบ AI และขอให้ AI จัดการกับข้อมูลตามรูปแบบที่ต้องการ

นอกจากนี้ องค์กรมากมายต่างกำลังนำเทคโนโลยี AI มาช่วยในการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ บริหารจัดการซัพพลายเชนได้อย่างฉลาด รวมถึงปรับบริการให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของลูกค้ามากขึ้น ซึ่งความต้องการด้านข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ AI กำลังผลักดันให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีชิปและเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ ทำให้ความหนาแน่นของพลังงานต่อแร็คสูงขึ้นมาก ขณะที่ความต้องการพลังประมวลผลที่มีความหนาแน่นสูงก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน

ความต้องการใช้งาน AI ที่เอดจ์

นอกจาก AI ช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจมากมายจากการพัฒนาและนำความสามารถใหม่ๆ มาใช้ แต่ก็มาพร้อมความท้าทายเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องการติดตั้งฮาร์ดแวร์และโครงสร้างพื้นฐานของดาต้าเซ็นเตอร์ที่จำเป็นต่องาน AI ทำให้ต้องมีแนวทางใหม่สำหรับเอดจ์ เช่น การใช้โครงสร้างดาต้าเซ็นเตอร์แบบโมดูลาร์ที่สามารถปรับขยายได้ตามต้องการ

การนำความสามารถด้าน AI ไปไว้ที่เอดจ์ จะเป็นเหตุผลลักษณะเดียวกับการผลักดันให้บริษัทต่างๆ หันมาใช้เอดจ์ตั้งแต่แรก

  • เพื่อควบคุมและรักษาความปลอดภัยข้อมูลในองค์กรได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ลดความหน่วงของระบบ และรองรับการประมวลผลได้แบบเรียลไทม์ หรือใกล้เคียง

AI เป็นเทคโนโลยีที่ต้องอาศัยข้อมูลจำนวนมาก เนื่องจากมีงานหลักอยู่ 2 ส่วนด้วยกัน คือการฝึก AI และการสรุปผลลัพธ์ (inference) ซึ่งในขั้นตอนการฝึกโมเดล ต้องมีการฟีดข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อให้ AI มีฐานความรู้ที่แน่นมากขึ้น ยิ่งมีข้อมูลป้อนให้อัลกอริธึมมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ AI ฉลาดมากขึ้นเท่านั้น หลังจากนั้น โมเดลจะนำความรู้ที่ได้มาใช้ในการสรุปผลลัพธ์เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความท้าทายของโครงสร้างพื้นฐาน IT

ในแง่ของโครงสร้างพื้นฐาน AI ต้องการพลังประมวลผลสูงมาก โดยปกติแล้ว ในหนึ่งเซิร์ฟเวอร์แร็คจะใช้พลังงานประมาณ 10 กิโลวัตต์ แต่ปัจจุบันความต้องการพลังงานไปไกลถึง 50–100 กิโลวัตต์ ตัวอย่างเช่น ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กำลังพัฒนาดีไซน์อ้างอิงเพื่อรองรับแร็คเซิร์ฟเวอร์พลังงานสูงเกือบ 90 กิโลวัตต์ ซึ่งพร้อมใช้งานตั้งแต่ปลายปี 2024  โดยเซิร์ฟเวอร์ที่ออกแบบมาสำหรับ AI นอกจากจะมีหน่วยประมวลผลหลายตัวแล้ว ยังต้องใช้ชิปเซ็ตขั้นสูงเพื่อเพิ่มพลังการประมวลผลและช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งความหนาแน่นสูงระดับนี้ อาจทำให้เกิดความร้อนปริมาณมาก ซึ่งระบบระบายความร้อนแบบเดิมอาจรับมือไม่ไหว

ดังนั้น จึงมีการนำเทคโนโลยีระบายความร้อนด้วยของเหลวมาใช้ เพื่อช่วยกระจายความร้อนจากตัวประมวลผล ด้วยการส่งผ่านน้ำหรือของเหลวชนิดอื่นไปยังชิปผ่านหน่วยกระจายสารหล่อเย็น (Coolant Distribution Unit – CDU) เพื่อดูดซับความร้อน จากนั้นของเหลวในลูปที่สองจะถูกส่งต่อไปยังหน่วยทำความเย็น (Chiller Unit) และส่งกลับมายัง CDU อีกครั้ง ซึ่งกระบวนการนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐาน และทำให้ต้องเพิ่มท่อ และท่อร่วม (Manifolds) เพื่อส่งของเหลวผ่านแร็คและระบายออกไปยังนอกอาคาร ซึ่งอาจสร้างความซับซ้อนเพิ่มขึ้น เพราะการที่โครงสร้างพื้นฐานต้องรองรับระบบท่อเพิ่ม ทำให้กินพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เอจด์ที่มีขนาดจำกัด

ด้วยภาระงานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น โซลูชั่นระบายความร้อนที่ดีขึ้น และระบบแร็คไอทีที่ซับซ้อน ทำให้ต้องมีการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ที่ให้ความล้ำหน้าและวางวิศวกรรมที่ให้ความยืดหยุ่น เพื่อรองรับ AI ยุคใหม่

โมดูลาร์ ดาต้าเซ็นเตอร์  ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด

คาดว่าในปี 2028 งานที่เกี่ยวข้องกับ AI จะใช้ 20% ของพลังงานทั้งหมดในดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งดาต้าเซ็นเตอร์แบบโมดูลาร์สามารถตอบสนองความต้องการของธุรกิจที่ใช้ AI ที่เอดจ์ได้อย่างตรงจุด ทั้งเรื่องของระบบโครงสร้างพื้นฐาน การประมวลผล และพลังงานไฟฟ้า รวมถึงระบบระบายความร้อนที่จำเป็นต่อการฝึกโมเดล AI และการสรุปผลลัพธ์

ซึ่งแต่ละยูนิตในโครงสร้างสร้างพื้นฐาน จะถูกออกแบบเพื่อให้ทำงานแยกส่วนเป็นโมดูลได้ตามกรณีการใช้งานแต่ละประเภท โดยดีไซน์นี้ มีการเปิดตัวไปในปีที่ผ่านมา และสามารถขยายเป็นคลัสเตอร์ที่ทำซ้ำๆ ได้  เพื่อช่วยให้ติดตั้งได้อย่างรวดเร็วและยืดหยุ่นในทุกที่ต้องการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการใช้ AI ในเชิงกลยุทธ์ได้ตามเป้าหมาย ดีไซน์ดังกล่าว ทำให้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค สามารถช่วยลูกค้าแก้ปัญหาท้าทายในการใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยช่วยให้องค์กรใช้เทคโนโลยีได้อย่างเต็มศักยภาพเพื่อสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน  

เมื่อมีการใช้ AI แพร่หลายมากยิ่งขึ้น คำถามจะไม่ใช่ประเด็นที่ว่าองค์กรจะขยายโครงสร้างพื้นฐานไอทีหรือไม่ แต่อยู่ที่จะขยายเมื่อไหร่ เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้โซลูชั่น AI ที่ต้องอาศัยทรัพยากรจำนวนมากทั้งข้อมูล พลังงาน และระบบระบายความร้อน ทั้งนี้ หากองค์กรต้องการเตรียมความพร้อมในการใช้งาน AI สามารถศึกษาแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด รวมถึงเอกสารวิชาการ และเข้าร่วมงานสัมมนาผ่านเว็บ และ ฯลฯ ได้ที่ Transitioning to AI-Ready Data Centers


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มัดรวมสูตรสำเร็จ EcoStruxure™ IT ปี 2024 พร้อมเจาะลึกพัฒนาการก้าวต่อไป ในปี 2025

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น สำหรับการบริหารจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ เปิดเผยถึงความสำเร็จของเส้นทางในการพัฒนา EcoStruxure IT ในปีที่ผ่านมา พร้อมแผนงานปี 2025 ว่ายังคงมุ่งเน้นที่การช่วยให้ลูกค้าใช้ซอฟต์แวร์ Data Center Infrastructure Management (DCIM) อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้โครงสร้างพื้นฐานด้านไอที มีความยืดหยุ่น ปลอดภัย และยั่งยืนมากที่สุด ในทุกที่

ท่ามกลางความท้าทายที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนของการใช้งานไฮบริดไอที นับเป็นโอกาสดีที่จะหันมาทบทวนว่า EcoStruxure IT ช่วยให้องค์กรลูกค้าเติบโตอย่างไรบ้าง และระบบของเราช่วยให้โครงสร้างพื้นฐานไอทีมีความยืดหยุ่น ปลอดภัยและยั่งยืนอย่างไรบ้าง

การอัปเดตและพัฒนาต่อเนื่องเพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้ระบบมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างความสำเร็จบางส่วนในการดำเนินการปีที่ผ่านมา ซึ่งทีมงาน EcoStruxure IT ได้มีการปรับปรุงและเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์ทั้งสำหรับการใช้งานแบบ On-Premise และ Cloud-Based เพื่อช่วยให้การดำเนินงานของลูกค้าง่ายขึ้น ยืดหยุ่นมากขึ้น ได้แก่

  • นโยบายในการแจ้งเตือน (alarm threshold policies) ใน IT Expert สามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนโดยใช้เงื่อนไขขั้นสูง เช่น กำหนดให้แจ้งเตือนหากอุณหภูมิสูงเกิน 25 องศาจากค่าปกตินานเกิน 30 นาที ช่วยลดจำนวนการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็นและทำให้มีความแม่นยำมากขึ้น
  • วิดเจ็ต “Service Contracts and Visits” บนแดชบอร์ดของ IT Expert ช่วยให้องค์กรดูภาพรวมของอุปกรณ์ทั้งหมดได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว พร้อมแจ้งให้ทราบว่าอุปกรณ์ใดอยู่ภายใต้สัญญาบริการ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะได้รับการอัปเดตทุกสัปดาห์
  • การบันทึกเหตุการณ์ (Windows event logging) สำหรับ PowerChute ช่วยให้สามารถบันทึกทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระบบได้ โดยจะรวบรวมข้อมูลไว้ที่ส่วนกลางเพื่อให้สามารถติดตามเหตุการณ์เหล่านั้นได้ง่ายขึ้น  นอกจากนี้ ยังรองรับ Syslog สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการส่งบันทึกเหตุการณ์ไปที่ Syslog Server ส่วนกลางได้ด้วย
  • ขยายการรองรับ PowerChute vCLS สำหรับทุกการตั้งค่า UPSช่วยให้เลือกปิดระบบเฉพาะส่วนที่จำเป็นได้อย่างยืดหยุ่น
  • รองรับ LDAP (Lightweight Directory Access Protocol) บน Network Management Card (NMC) ช่วยให้ลูกค้าสามารถตั้งค่าอุปกรณ์เพื่อใช้ LDAP Server เพื่อยืนยันตัวตนได้จากระยะไกล เช่นในการใช้ Microsoft Active Directory และ OpenLDAP
  • PowerChute Network Shutdown สามารถตั้งค่าให้รันคำสั่งบนระบบได้จากระยะไกล เช่น Storage Array หรือ Backup Server ผ่านการเชื่อมต่อ SSH ซึ่งให้ประโยชน์ในการจัดการระบบจัดเก็บข้อมูลหรือระบบอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน ที่อาจจำเป็นต้องปิดระบบให้เรียบร้อย พร้อมกับอุปกรณ์ที่เหลืออื่นๆ
  • การรวมศูนย์ Syslog ของ Data Center Expert จากหลากหลายระบบ ช่วยให้จัดการเรื่องการบันทึกเหตุการณ์ในระบบได้ง่ายขึ้น

เหล่านี้ คือการดำเนินการสำหรับลูกค้าในปีที่ผ่าน ด้วยการอัปเกรดและเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้กับผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้ระบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีทำงานได้ประสิทธิภาพมากขึ้น จัดการได้ง่ายขึ้น

ปรับปรุงฟีเจอร์ด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง

ความปลอดภัยทางไซเบอร์คือสิ่งที่อุตสาหกรรมให้ความสำคัญมานาน และองค์กรธุรกิจ ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น การรักษาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีให้ปลอดภัยเป็นงานที่ท้าทายและมีความซับซ้อนมากขึ้น จึงทำให้ทีมงาน EcoStruxure IT เข้ามาช่วยดูแลเรื่องนี้

ด้วยการใช้งานยูพีเอสและตู้แร็คจำนวนนับหลายพันในดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งแต่ละเครื่องมีรหัสผ่านเพื่อรักษาความปลอดภัย การดูแลเรื่องเหล่านี้ จึงเป็นงานที่ยากและท้าทายมาก โดยปัจจุบัน IT Expert มีตัวเลือกให้สามารถตั้งค่าเพื่อเชื่อมต่อและเปลี่ยนรหัสผู้ใช้ และรหัสผ่านของทุกอุปกรณ์ได้พร้อมกันทีเดียว จึงช่วยองค์กรลดเวลาในเรื่องดังกล่าว อีกทั้งสามารถดำเนินการระยะไกลผ่านระบบคลาวด์ได้

ในทำนองเดียวกัน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้เพิ่มความปลอดภัยให้กับ Data Center Expert โดยเปลี่ยนโปรโตคอลการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์และ DCE จาก SNMPv1 เป็น SNMPv3 ได้อย่างง่ายดายเพียงกดปุ่ม ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้าเรียกร้อง และบริษัทฯ ยินดีที่ได้ช่วยให้ทำเรื่องนี้เป็นจริง

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้มีการประกาศว่าแพลตฟอร์ม EcoStruxure IT NMC ได้รับการรับรองตามมาตรฐานที่กำหนดโดยคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐานอิเล็กทรอนิกส์ (IEC) และในเดือนตุลาคม ยังได้ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญของอุตสาหกรรม ว่า NMC ของเราได้รับการรับรองด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ในระดับสูง จน กลายเป็น DCIM NMC ตัวแรกที่ได้รับการรับรอง IEC 62443-4-2 Security Level 2 (SL2) จาก IEC

ชไนเดอร์ อิเล็คทริคมุ่งเน้นความสำคัญเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างจริงจัง และการรับรองที่ยกระดับไปอีกขั้นจากหน่วยงานอิสระช่วยยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ของผู้จำหน่ายรายนั้นๆ ที่ออกแบบมาสำหรับศูนย์ข้อมูลและสภาพแวดล้อมไอทีแบบกระจายศูนย์ ผ่านการทดสอบและประเมินเรื่องความปลอดภัยอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ เรายังได้รับการรับรองว่ากระบวนการพัฒนาของเราสอดคล้องตามมาตรฐาน ISASecure® Secure Development Lifecycle Assurance (SDLA) อีกด้วย

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังช่วยบริษัทต่างๆ แก้โจทย์ที่เป็นปัญหาท้าทายในการตามอัปเดตเฟิร์มแวร์ โดยระบบ EcoStruxure IT Secure NMC System (SNS) ช่วยจัดการเรื่องของเฟิร์มแวร์ได้ในตัวด้วยเครื่องมือใหม่เฉพาะสำหรับดูแลเรื่องนี้  ซึ่ง SNS Tool ช่วยลดกระบวนการที่ยุ่งยากในการค้นหาและติดตั้งเฟิร์มแวร์ล่าสุดบนอุปกรณ์ทั้งหมด ช่วยให้ดำเนินการได้เร็วขึ้นถึง 90%

ในแง่ของความปลอดภัยทางไซเบอร์ ยังมีการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์เหนือชั้นไปอีกขั้น ด้วยการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ พร้อมการรับรองมาตรฐานถึงสองรายการ ช่วยให้ลูกค้าจัดการและอัปเดตระบบได้สะดวกและง่ายดายขึ้น

การรายงานความยั่งยืนรูปแบบใหม่ด้วยระบบอัตโนมัติ

หนึ่งในการพัฒนาที่น่าจับตามองที่สุด ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาก คือการที่ทีม EcoStruxure IT ได้นำเสนอฟีเจอร์การออกรายงานด้านความยั่งยืนแบบใหม่ด้วยระบบอัตโนมัติ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ล้ำหน้าของสายผลิตภัณฑ์ EcoStruxure IT ที่ช่วยให้องค์กรสามารถคำนวณและรายงานข้อมูลด้านความยั่งยืนได้อย่างรวดเร็วเพียงปลายนิ้วสัมผัส ไม่ต้องเสียเวลานั่งทำเองนานๆ ขุมพลังของ AI ช่วยให้องค์กรควบคุมข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมภายในดาต้าเซ็นเตอร์

ฟีเจอร์การรายงานใหม่ที่ผ่านการปรับปรุงและพัฒนา และได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากอุตสาหกรรม เปิดให้ใช้งานสำหรับผู้ใช้ EcoStruxure IT ทุกคนตั้งแต่เดือนเมษายนในปีที่ผ่านมา ก่อนที่ข้อบังคับด้านประสิทธิภาพพลังงานของสหภาพยุโรป (Energy Efficiency Directive หรือ EDD) จะมีผลบังคับใช้ เนื่องจาก EED เรียกร้องให้ประเทศในสหภาพยุโรปลดการใช้พลังงานพร้อมรายงานข้อมูลตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลักของดาต้าเซ็นเตอร์ เพราะความยั่งยืนคือหนึ่งในวิธีที่ช่วยจำกัดการใช้พลังงาน ช่วยลดต้นทุนด้านพลังงาน และลดของเสียในดาต้าเซ็นเตอร์ ทำให้ DCIM มีบทบาทสำคัญมาก และชไนเดอร์ อิเล็คทริคก็เล็งเห็นความสำคัญดังกล่าว จึงเข้ามาช่วยลูกค้าจัดการทรัพย์สินไอที อีกทั้งให้การสนับสนุนเรื่องการรายงานที่สอดคล้องตามกูฏข้อบังคับ

ที่ ชไนเดอร์ อิเล็คทริคเราได้ดำเนินโครงการ Green IT ร่วมกับทีม CIO  และพบว่าเครื่องมือต่างๆ ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้ใช้งานได้ง่ายเสมอไป ทำให้ไม่สามารถจัดการกับข้อมูลได้ตามต้องการ และบางครั้งข้อมูลก็ไม่สมบูรณ์ เรื่องนี้ จึงเป็นแรงขับเคลื่อน ให้เราสร้างการเปลี่ยนแปลง และผลลัพธ์จากเรื่องนี้ ก็คือการที่เราออกมาตรวัดการรายงานความยั่งยืนแบบใหม่ ที่ช่วยให้ลูกค้าก้าวข้ามความท้าทายในการออกรายงานความยั่งยืน เพื่อช่วยให้จัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

มุมมองของชไนเดอร์ อิเล็คทริค สำหรับปี 2025

เป็นการมองไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่น เพราะที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เรามั่นใจว่าทีม EcoStruxure IT จะยังคงสร้างนวัตกรรมและต่อยอดจากความสำเร็จขึ้นไปอีก ด้วยการตระหนักดีว่า สภาพแวดล้อมไอทีแบบไฮบริดจะทวีความซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในเวลาที่ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในดาต้าเซ็นเตอร์ เป้าหมายหลักของเรามีความชัดเจนมาก นั่นคือการสนับสนุนและเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกค้า เพื่อช่วยให้ลูกค้าเตรียมพร้อมในการรับมือกับทุกความท้าทาย พร้อมกับภารกิจในการสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานไอที ที่มีความยืดหยุ่น ปลอดภัย และยั่งยืนที่สุดในทุกที่ ทุกเวลา

Tags: DC ProfessionalDCIMEcoStruxure ITIT ProfessionalKevin Brown


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว โซลูชั่นสำหรับอาคารขนาดเล็ก และขนาดกลาง

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว EcoStruxure Building Activate โซลูชั่นอัจฉริยะที่ช่วยพลิกโฉมอาคารขนาดเล็กและกลางสู่ Smart & Sustainable Building ด้วยเทคโนโลยี IoT และ AI ในรูปแบบ SaaS ที่ช่วยลดต้นทุนด้านพลังงาน ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน และมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้แก่ผู้ใช้งาน รองรับการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ ครอบคลุมตั้งแต่อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม ไปจนถึงมหาวิทยาลัย พร้อมระบบเปิดที่สามารถผสานการทำงานกับโครงสร้างเดิมได้อย่างราบรื่น ตอบโจทย์อนาคตของอาคารอัจฉริยะอย่างแท้จริง

นายเผดิมศักดิ์ รัตนเรืองศักดิ์ รองประธานฝ่ายธุรกิจ เพาเวอร์ โพรดักส์ ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ไทย ลาว และเมียนมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวว่า “EcoStruxure Building Activate เป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของอาคารสู่ยุคดิจิทัล ด้วยเทคโนโลยี IoT และขับเคลื่อนด้วย AI เราสามารถช่วยให้ลูกค้าลดต้นทุน ยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้งาน และเดินหน้าสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

EcoStruxure Building Activate เป็นโซลูชั่นการจัดการพลังงานและสินทรัพย์สำหรับอาคารขนาดเล็กและขนาดกลาง ในรูปแบบ Software as a Service (SaaS) ให้ความยืดหยุ่น ช่วยให้มองเห็นความเป็นไปของระบบแบบรวมศูนย์ ช่วยลดความซับซ้อนในการดำเนินงานและการบำรุงรักษา สำหรับอาคารที่ขนาดต่ำกว่า 10,000 ตารางเมตร

  • ใช้งานง่าย: ปรับการดำเนินงานให้เหมาะสมด้วย Interface ที่ใช้งานง่าย การตรวจจับความผิดปกติอัจฉริยะ และรายงานอัตโนมัติ
  • ระบบเปิด: โซลูชั่นโปรโตคอลแบบเปิดที่สามารถรวมเข้ากับหลากหลายระบบอาคารที่มีอยู่อย่างได้อย่างราบรื่น แม้แต่ระบบยี่ห้ออื่น
  • มีความยืดหยุ่น: จัดการอาคารเดี่ยวและกลุ่มอาคารได้มากว่า 100 สาขา ได้ด้วยคุณสมบัติเพิ่มเติมที่สามารถเพิ่มได้ตามการเติบโตของกิจการ
  • ให้ความยั่งยืน:ช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ด้วยการวัด การจัดการ และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอน

“เราสามารถเปลี่ยนอนาคตของอาคารดั้งเดิมที่ไม่เคยใช้ดิจิทัลเลย ให้เป็น Smart & Sustainable ด้วย EcoStruxure Building Activate อาทิ อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม โรงพยาบาล และมหาวิทยาลัย ที่ต้องการปฏิรูปสู่ Smart Building อย่างเต็มรูปแบบ โดยโซลูชั่นนี้สามารถช่วยให้เจ้าของอาคาร ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยรวม 

นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าด้านอสังหาริมทรัพย์ และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในยุคเศรษฐกิจสีเขียว”นายเผดิมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยโฉมโซลูชั่นสำหรับ AI ดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านพลังงานและความยั่งยืน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ด้านการบริหารจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ เร่งผลักดันโซลูชั่นดาต้าเซ็นเตอร์ที่พร้อมรองรับ AI ได้ครบวงจร ด้วยการเปิดตัวโซลูชั่นใหม่เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายเร่งด่วนด้านพลังงานและความยั่งยืน ที่เกิดจากความต้องการด้านระบบ AI ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด

ประกาศเรื่องแรกคือการเปิดตัวการออกแบบอ้างอิงใหม่สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ (New data center reference design) ซึ่งเป็นการพัฒนาร่วมกับ NVIDIA รองรับการระบายความร้อนด้วยของเหลว และคลัสเตอร์ AI ที่มี high-density ได้สูงสุดถึง 132 กิโลวัตต์ต่อแร็ค การออกแบบใหม่นี้ มีการประยุกต์ให้เหมาะกับชิป GB200 NVL72 และ Blackwell ของ NVIDIA โดยช่วยลดความซับซ้อนในกระบวนการวางแผนและการติดตั้ง ด้วยสถาปัตยกรรมที่ผ่านการพิสูจน์และรับรอง ซึ่งตอบโจทย์ความท้าทายเฉพาะในการใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวในสเกลใหญ่

นอกจากนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังเปิดตัว ยูพีเอสรุ่นใหม่  Galaxy VXL มี high-density สูง ในรูปทรงที่กะทัดรัดที่สุดในอุตสาหกรรม โดยยูพีเอสแบบ high-density ตัวนี้ ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งาน AI ดาต้าเซ็นเตอร์และเวิร์กโหลดไฟฟ้าขนาดใหญ่ ซึ่ง Galaxy VXL นี้ช่วยให้สามารถประหยัดพื้นที่ได้ถึง 52% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม และด้วยความหนาแน่นด้านพลังงานที่สูงถึง 1,042 กิโลวัตต์ ต่อตารางเมตร จึงเป็นยูพีเอสแบบโมดูลาร์ที่ปรับขยายได้ถึง 1.25 เมกะวัตต์ โดยออกแบบมาเพื่อให้พลังงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีความหนาแน่นสูง

ทั้งสองนวัตกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโซลูชั่นดาต้าเซ็นเตอร์ที่รองรับ AI แบบครบวงจรของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่มุ่งเน้น 3 เรื่องหลัก ได้แก่ การพัฒนากลยุทธ์ด้านพลังงานสำหรับยุค AI การปรับใช้โครงสร้างพื้นฐานขั้นสูง และการให้คำปรึกษาด้านความยั่งยืน เพื่อให้ประโยชน์สำหรับเจ้าของและผู้ประกอบการดาต้าเซ็นเตอร์ ในการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานที่มีความหนาแน่นสูงและประหยัดพลังงาน เพื่อรองรับเวิร์กโหลด AI ได้อย่างยั่งยืนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

“ผลกระทบด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมจาก AI กำลังขยายตัวรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องลดปริมาณการใช้พลังงานให้น้อยลง ด้วยการหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจากดาต้าเซ็นเตอร์และโครงสร้างพื้นฐานระบบดิจิทัล” ปานกาจ ชาร์มา รองประธานบริหาร กลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ และเครือข่าย ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “ที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เรามุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามขีดจำกัด ด้วยการยกระดับมาตรฐานใหม่ และกำหนดทิศทางอนาคตของ AI ควบคู่กับการปกป้องสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องอาศัยกลยุทธ์ที่ครอบคลุมตั้งแต่ระบบกริด ไปจนถึงชิป เครื่องทำความเย็น และอื่นๆ อีกมากมาย”

การเป็นพันธมิตรกับ NVIDIA

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้พัฒนาการออกแบบอ้างอิงด้านดาต้าเซ็นเตอร์ล่าสุดร่วมกับ NVIDIA โดยรองรับคลัสเตอร์ AI ที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว พร้อมทั้งแก้ปัญหาท้าทายในการติดตั้งระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวในสภาพแวดล้อมดาต้าเซ็นเตอร์ประเภท Hyperscale, Colocation และ Enterprise โดยเฉพาะ

การออกแบบอ้างอิงนี้ สร้างจากความร่วมมือระหว่างสองบริษัท โดยให้ทางเลือกทั้งสำหรับระบบกระจายของเหลวหล่อเย็น (Liquid-to-liquid Coolant Distribution Units หรือ CDUs) ไปยังจุดต่างๆ ของระบบระบายความร้อน และระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวหล่อเย็นให้ไหลผ่านโดยตรงไปยังชิป (Direct-to-Chip) ซึ่งเป็นจุดที่มีความร้อนสูง นอกจากนี้ยังแบ่งปันแผนงานด้านกลไกการทำงานและระบบไฟฟ้าอย่างครบถ้วน เพื่อให้มั่นใจถึงการดำเนินงานของ AI ดาต้าเซ็นเตอร์ ในอนาคตที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

การออกแบบดังกล่าว พัฒนาขึ้นโดยใช้เครื่องมือด้านซอฟต์แวร์ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค เช่น Ecodial และ EcoStruxure™ IT Design CFD โดยสามารถปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการเฉพาะด้านเวิร์กโหลด AI ขณะเดียวกันยังช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ประโยชน์จากการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนและให้ประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงสุดสำหรับการใช้งานแบบ high-density

การสร้างอนาคตของการประมวลผลแบบเร่งความเร็ว และ AI จำเป็นต้องอาศัยความเร็วและระบบโครงสร้างที่มั่นคง” เจนเซนหวง ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ NVIDIA กล่าว “ความร่วมมือของเรากับ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยให้ลูกค้าสามารถออกแบบนวัตกรรมเทคโนโลยีของโลกบนโครงสร้างพื้นฐานที่เสถียรและมีความยืดหยุ่น เรากำลังร่วมกันสร้างศูนย์ข้อมูล AI ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการประมวลผลแบบเร่งความเร็ว รองรับสถาปัตยกรรมที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการส่งมอบระบบอัจฉริยะทางดิจิทัลให้กับทุกบริษัทและทุกอุตสาหกรรม”

โซลูชั่น AI ดาต้าเซ็นเตอร์ แบบครบวงจร

การประกาศเปิดตัวนวัตกรรมเหล่านี้ นับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในการสร้างโซลูชั่นดาต้าเซ็นเตอร์แบบครบวงจร ให้ความยั่งยืน และพร้อมรองรับ AI อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อช่วยลูกค้าลดการปล่อยคาร์บอนจากโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทุกที่ทั่วโลก โดยเน้นที่ 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

กลยุทธ์พลังงานสำหรับยุค AI: ชไนเดอร์ อิเล็คทริค สนับสนุนบริษัทต่าง ๆ ในการจัดหาพลังงานหมุนเวียนและเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้าในสถานที่ได้อย่างเหมาะสม ด้วยแหล่งพลังงานที่หลากหลาย เช่น ลม แสงอาทิตย์ และไฮโดรเจน โดยให้บริการหลากหลาย เช่น การเลือกสถานที่ และการวิเคราะห์ภูมิศาสตร์ตามแผนการติดตั้งของลูกค้า รวมถึงสนับสนุนการผลิตพลังงานในสถานที่ผ่าน AlphaStruxure ซึ่งช่วยให้มั่นใจถึงความรวดเร็วในการออกสู่ตลาด ความน่าเชื่อถือ ความยืดหยุ่น และความยั่งยืนของแหล่งพลังงานที่เลือกใช้

โซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานขั้นสูง ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้พัฒนาพอร์ตโฟลิโอที่ครอบคลุมระบบโครงสร้างพื้นฐานที่มีความหนาแน่นสูง และประหยัดพลังงาน เพื่อรองรับความต้องการด้าน AI ที่เกินกว่า 100 กิโลวัตต์ ต่อแร็ค ซึ่งรวมถึงส่วนประกอบโครงสร้างพื้นฐานของดาต้าเซ็นเตอร์ตั้งแต่กริดไปจนถึงชิป และจากชิปไปจนถึงชิลเลอร์ รวมถึงซอฟต์แวร์บริหารจัดการพลังงาน และการมอนิเตอร์ระยะไกลด้วยขุมพลังของ AI และการบริการด้านดิจิทัลสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพตลอดวงจรการทำงานของระบบเหล่านี้

Galaxy VXL UPS รุ่นใหม่ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่เปิดตัวในวันนี้ เป็นผลิตภัณฑ์ล่าสุดที่เสริมเข้ามาในสายผลิตภัณฑ์ด้านระบบโครงสร้างพื้นฐานขั้นสูงที่ครบวงจรของบริษัทฯ

นอกจากนี้ เพื่อรับมือกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นจากเวิร์กโหลดที่มี high-density สูง ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เพิ่งลงนามในข้อตกลงเพื่อเข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ใน Motivair Corporation ซึ่งจะช่วยเสริมสายผลิตภัณฑ์ด้านการระบายความร้อนด้วยของเหลวของบริษัทและเสริมความเชี่ยวชาญในระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวแบบ Direct-to-Chip และโซลูชั่นความร้อนที่มีความจุสูง

ให้ประสิทธิภาพและความยั่งยืน ธุรกิจที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยลูกค้าลดคาร์บอนได้เกินเป้าหมายด้วยกลยุทธ์ความยั่งยืนที่ปรับให้เหมาะต่อความต้องการเฉพาะ รวมถึงการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และโปรแกรมการมีส่วนร่วมกับซัพพลายเออร์ โดยบริการให้คำปรึกษาระดับโลกเหล่านี้ ยังให้ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลผ่าน EcoStruxure Resource Advisor และได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญ 2,400 ราย ในกว่า 100 ประเทศ

เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของ AI

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังสนับสนุนแนวทางที่ยึดตามหลักวิทยาศาสตร์ในการ ‘bend the curve’ ซึ่งเป็นการลดการใช้พลังงาน หัวใจสำคัญของแนวทางนี้คือการนำ ‘ความฉลาดด้านพลังงานสำหรับ AI ที่ยั่งยืน’ มาช่วย ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เชื่อว่าสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้ ด้วยการผสานโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลเข้ากับการดำเนินงานที่ขับเคลื่อนด้วย AI

วิธีนี้นอกจากจะช่วยให้อุตสาหกรรมต่างๆ ลดการปล่อยคาร์บอนจากการใช้พลังงานของ AI แล้ว ยังเป็นการนำความสามารถของ AI มาช่วยในการตรวจสอบและให้ข้อมูลเชิงลึก เสมือนเป็นเครื่องมือที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในวงกว้างได้อีกด้วย การบรรลุวิสัยทัศน์นี้ต้องอาศัยความมุ่งมั่นร่วมกันในการติดตั้งโซลูชั่นที่ให้ความยั่งยืนและใช้ศักยภาพของ AI มาช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพในทุกภาคส่วน
“ภายในปี 2027 คาดว่าการใช้พลังงานไฟฟ้าของดาต้าเซ็นเตอร์จะคิดเป็น 2.5% ของความต้องการพลังงานทั่วโลก โดยส่วนที่เหลือ 97.5% จะกระจายอยู่ตามอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อาคาร ภาคการผลิต ภาคขนส่ง และภาคพลังงาน” นายฌอน เกรแฮมกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัย ด้าน Cloud to Edge Datacenter Trends จาก IDC กล่าว “ในขณะที่ดาต้าเซ็นเตอร์ต่างมุ่งสู่เป้าหมายการเป็น Net Zero ท่ามกลางการเติบโตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน คำมั่นสัญญาด้านความยั่งยืนที่แท้จริงอยู่ที่การใช้ AI เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดในอุตสาหกรรมต่างๆ ดังที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และ NVIDIA ได้ให้เห็นว่าความร่วมมือในระยะยาว และนวัตกรรม คือสิ่งจำเป็นในการขับเคลื่อนประสิทธิภาพและความยั่งยืน”

ข้อมูลเพิ่มเติมด้านการออกแบบอ้างอิง ที่พัฒนาร่วมกับ NVIDIA ในยูพีเอสรุ่น Galaxy VXL หรือ โซลูชั่นดาต้าเซ็นเตอร์ที่พร้อมสำหรับ AI แบบครบวงจร เยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค นำจัดงาน Innovation Day เปิดตัว MasterPacT MTZ Active เบรกเกอร์ขุมพลังดิจิทัล

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค นำทีมโดย นายเผดิมศักดิ์ รัตนเรืองศักดิ์ (กลาง) รองประธานฝ่ายธุรกิจ เพาเวอร์ โพรดักส์ ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ไทย ลาว และเมียนมา  ได้จัดงาน Innovation Day เปิดตัว MasterPacT MTZ Active เซอร์กิตเบรกเกอร์มาพร้อมขุมพลังแห่ง IoT รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้า ยกระดับความปลอดภัยและความยั่งยืน มาพร้อม Energy Reduction Maintenance Setting (ERMS) ภายในตัว ช่วยปกป้องอันตรายจากประกายไฟ ที่อาจเกิดกับเจ้าหน้าที่บำรุงรักษา และด้วยการออกแบบที่ใช้งานง่ายของชุดควบคุม ช่วยให้การตั้งค่าฟังก์ชั่นการป้องกันทั้งหมดสะดวกขึ้น รวมถึงเรื่องของกระแสไฟฟ้า การทดเวลา และการแจ้งเตือน อีกทั้งตอกย้ำความมุ่งมั่นด้านการคิดค้นนวัตกรรมของชไนเดอร์ อิเล็คทริค งานนี้ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานจำนวนมาก อาทิ ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมพลังงาน และพันธมิตรทางธุรกิจ โดยงานมีขึ้น ณ QUARTIER CineArt, ชั้น 4, ศูนย์การค้า EmQuartier เมื่อเร็วๆ นี้


 

Exit mobile version