Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค รุดหน้าดำเนินการด้านสภาพอากาศ ด้วยบริการลดคาร์บอนในซัพพลายเชนทั่วโลก

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค(Schneider Electric) ผู้นำระดับโลกด้านการจัดการพลังงาน ระบบออโตเมชั่น และความยั่งยืน ประกาศเปิดตัวบริการล้ำหน้าในการลดก๊าซเรือนกระจกในซัพพลายเชนทั่วโลก ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรต่างๆ แก้ปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณมากในแวร์ลูเชน (value chain) ขององค์กร การประกาศดังกล่าวออกมาเพื่อดำเนินการตามจุดมุ่งหมายใหม่ของบริษัทฯ ในการเพิ่มความมุ่งมั่นพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในซัพพลายเชนขององค์กรฯ โดยมุ่งมั่นลดการปล่อยคาร์บอนจากการดำเนินการของซัพพลายเออร์ชั้นนำจำนวน 1,000 แห่งให้ได้ 50 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2025

สำหรับหลายบริษัท คาร์บอนฟุตพริ้นท์หลักๆ จะอยู่ในส่วนของซัพพลายเชนและแวร์ลูเชน (value chain) ทั้งนี้ CDP รายงานว่าตามข้อมูลในปี 2020 จากบริษัทกว่า 8,000 แห่ง มีการปล่อยคาร์บอนในซัพพลายเชนโดยเฉลี่ยจะสูงกว่าการปล่อยคาร์บอนในการดำเนินการทั่วไปมากกว่า 11 เท่า ซึ่งปริมาณเหล่านี้จะยิ่งมากขึ้นในภาคอุตสาหกรรมเช่น ค้าปลีก อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องแต่งกาย รวมถึงการบริการ

การนำเสนอของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่อยู่ในภายใต้การบริการ Climate Change Advisory Service ที่ครอบคลุมของบริษัทฯ ช่วยให้องค์กรต่างๆ รับมือกับตัวเลขที่น่าตกใจนี้ ด้วยการผสานรวมทั้งในเรื่องของการร่วมมือกับซัพพลายเออร์ เกณฑ์การวัด การกำหนดกลยุทธ์ และนำมาใช้งานผ่านการจัดหาพลังงานหมุนเวียนที่มีประสิทธิภาพ และการชดเชยคาร์บอน การนำเสนอดังกล่าวต่อยอดจากความสำเร็จของโซลูชันซัพพลายเชนที่พัฒนาเพื่อลูกค้าอยู่แล้ว เช่น Wallmart, Maple Leaf Foods และ Takeda Pharmaceuticals

“แรงผลักดันอย่างต่อเนื่องของการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศในระดับองค์กรนั้นมากมาย ส่วนใหญ่ขับเคลื่อนจากความกดดันของผู้ลงทุนที่เพิ่มขึ้นในเรื่องความโปร่งใสและการเปิดเผยถึงความเสี่ยงทั้งเรื่องสภาพแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล” สตีฟ วิลไฮท์ รองประธานอาวุโส ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “สำหรับบริษัทส่วนใหญ่ ขอบเขตถัดไปจากเรื่องของการดำเนินการคือเรื่องซัพพลายเชน ข่าวดีก็คือการดึงซัพพลายเออร์ให้เข้ามามีส่วนร่วมในความมุ่งมั่นในการดำเนินการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากจะช่วยให้บริษัทตอบสนองต่อแรงกดดันเหล่านั้นได้แล้ว ยังช่วยบ่งชี้ถึงการประหยัดค่าใช้จ่าย พัฒนานวัตกรรม และเพิ่มคุณค่าในสัมพันธภาพกับซัพพลายเออร์”

ในเดือนมกราคม ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้รับการยกย่องจาก Corporate Knights ในฐานะองค์กรที่มีความยั่งยืนมากที่สุดในโลก ซึ่งเป็นการยกย่องที่สะท้อนมาจากความมุ่งมั่นในแนวทางปฏิบัติในการสร้างความยั่งยืนของบริษัทฯ มานานกว่า 15 ปี รวมถึงเป้าหมายในการพัฒนาความยั่งยืนของ U.N.  นอกจากการตั้งเป้าของบริษัทฯ ที่เฉพาะเจาะจงเพื่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในซัพพลายเชนของบริษัทให้ได้ภายในปี 2025 ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังมุ่งมั่นในการทำงานอย่างจริงจังร่วมกับซัพพลายเออร์ในเชิงกลยุทธ์ทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงบรรลุการเป็นซัพพลายเชนที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2050 เช่นกัน

เรียนรู้เกี่ยวกับบริการของชไนเดอร์ อิเล็คทริค เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในซัพพลายเชน โดยอ่านได้ที่ https://perspectives.se.com

ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค พัฒนาความยั่งยืนไปสู่อีกระดับ รวมถึงโปรแกรมใหม่ในการสร้างผลกระทบด้านความยั่งยืนระหว่างปี 2021-2025 ได้ที่นี่


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค อัดฟีเจอร์ใหม่ให้ TeSys™ island ระบบการบริหารจัดการโหลดดิจิทัลล้ำยุค พร้อมความสามารถในการใช้งานร่วมกับโปรโตคอล PROFIBUS และ PROFINET รองรับการทำงานครบถ้วนในยุค 4.0

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันด้านการจัดการพลังงานและระบบออโตเมชัน ประกาศถึงการเพิ่มฟีเจอร์ครั้งสำคัญใน TeSys™ island โซลูชันระบบบริหารจัดการโหลดดิจิทัลได้หลากหลาย

TeSys island ได้รับการแนะนำว่าเป็นนิยามใหม่ของแนวทางในการบริหารจัดการโหลด พร้อมศักยภาพที่ไม่เคยมีมาก่อน ที่ให้ประสิทธิภาพในการออกแบบเครื่องจักร และการติดตั้งรวมไปถึงขั้นตอนการบริการ โดย TeSys island เป็นทั้งระบบบริหารจัดการโหลดแบบอ็อบเจ็กต์ และดำเนินการด้วยระบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ อีกทั้งรองรับการทำงานสอดคล้องกับผู้ให้บริการข้อมูลสำหรับอุตสาหกรรม 4.0 ด้วยความพร้อมในเรื่องของพลังงานขั้นสูงและข้อมูลในการวินิจฉัย จึงช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพและการควบคุมโหลดเพื่อจำกัดการเกิดดาวน์ไทม์  ด้วยการออกแบบที่มีประสิทธิภาพของ TeSys island ในลักษณะของโมดูลที่ปรับขยายขีดความสามารถได้ตามต้องการ จึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการประกอบแบบ OEM เนื่องจากช่วยลดการเดินสายไฟได้มาก และประหยัดค่าใช้จ่ายในการผสานรวมการทำงาน เพราะเชื่อมต่อได้ง่ายในสภาพแวดล้อมที่ใช้หลากหลายแบรนด์ผู้ผลิต ช่วยประหยัดการบำรุงรักษาเนื่องจากสามารถบำรุงรักษาจากระยะไกลได้ ผู้ใช้จะได้รับประโยชน์จากชุดฟังก์ชันมากมาย ที่ขับเคลื่อนประสิทธิภาพในการดำเนินงาน นอกจากนี้ทั้งผู้ใช้และ ผู้ผลิต OEM ยังได้รับประโยชน์จากการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ที่ช่วยลดการดาวน์ไทม์ได้

ง่ายในการใช้ควบคุมมอเตอร์

ปัจจุบันแอปพลิเคชันอวาตาร์สของ TeSys island ได้ถูกเพิ่มไว้ในไลบรารีของฟังก์ชันที่เป็นอวาตาร์ส ซึ่งเป็นดิจิทัลอ็อบเจ็ค ที่ผสานรวมฟังก์ชันการทำงานที่ตั้งโปรแกรมล่วงหน้าได้ แอปพลิเคชันอวตาร์ 2 ตัวใหม่ที่กำหนดค่าได้ ตัวหนึ่งสำหรับแอปพลิเคชันด้านการสูบน้ำ อีกตัวสำหรับแอปพลิเคชันด้านการขนถ่ายลำเลียง ต่างได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ความมั่นใจเรื่องการผสานการทำงานเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานของระบบที่มีอยู่ปัจจุบันได้ง่าย ผ่านการเชื่อมต่อกับ bus coupler และโมดูล I/O ของ TeSys island ผู้ใช้สามารถเลือกโหมดการควบคุมว่าจะให้เป็นแบบรีโมต (ขับเคลื่อนด้วย PLC) ระบบอัตโนมัติ (ขับเคลื่อนด้วยตัวแปรกระบวนการ) หรือเป็นแบบ local (ขับเคลื่อนด้วยผู้ดำเนินการ)

ฟีเจอร์ของแอปพลิเคชั่นอวาตาร์สให้ศักยภาพการดำเนินงานที่ยืดหยุ่นของระบบบริหารจัดการโหลดดิจิทัล TeSys island ด้วยวิธีใหม่หลายแนวทางด้วยกัน

  • โหมดควบคุมอัตโนมัติ (Autonomous control mode) โหมดอัตโนมัติช่วยให้ TeSys island ควบคุมโหลดได้โดยอิสระจาก PLC  ซึ่ง TeSys อวาตาร์ส สามารถตรวจสอบค่าลอจิกที่มาจากเซ็นเซอร์ (เช่น ความดัน, การไหล) และดูให้ตรงกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าโหลดทำงานในรูปแบบที่เหมาะสมที่สุด ตัวอย่างเช่น ในโหมดนี้ แอปพลิเคชันสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะไม่มีการเชื่อมต่อกับ PLC ก็ตาม
  • การแจ้งเตือนเชิงพยากรณ์ (Predictive alarms) ระบบ TeSys island สามารถสร้างสัญญาณเตือนและแจ้งเตือนเมื่อกำลังจะเกิดความล้มเหลวในระดับโหลด ก่อนที่ความล้มเหลวจะเกิดขึ้น จึงช่วยลดการดาวน์ไทม์แบบฉับพลัน การแจ้งเตือนเชิงพยากรณ์จะถูกกระตุ้นจากฟังก์ชันการแจ้งเตือนเพื่อป้องกันที่ผสานรวมอยู่ในระบบ (สร้างขึ้นจากค่าเซ็นเซอร์เช่นอุณหภูมิหรือความหนืดของของเหลว) และเงื่อนไขการป้อนตัวแปรของกระบวนการแอปพลิเคชันของอุปกรณ์ (เช่นระดับของเหลวและความดันการไหลในปั๊ม) ตัวอย่างเช่นระบบสามารถเอาคำเตือนทั้งสองเรื่องมารวมกันและระบุว่ามีโอกาสสูงที่ปั๊มจะไม่มีน้ำ หากไม่รีบดำเนินการแก้ไข

การเพิ่มโปรโตคอลการสื่อสาร การยกระดับการป้องกัน และการวินิจฉัยที่สมบูรณ์

นอกจากการอ้างอิงปัจจุบัน ถึงความสามารถในการสื่อสารภายในสภาพแวดล้อม EtherNet / IP และ Modbus-TCP แล้ว ปัจจุบัน TeSys island สามารถใช้งานร่วมกับ PROFIBUS และ PROFINET ได้ นอกจากนี้ ยังมีอวาตาร์สสำหรับการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์เพื่อการป้องกันโดยเฉพาะ การวินิจฉัยที่ล้ำหน้า ยังช่วยตรวจจับความล้มเหลวของอุปกรณ์ที่อยู่ภายในแผงควบคุม หรือความล้มเหลวของโหลดที่เชื่อมต่อ

การผสานรวมพอร์ทัล TIA (Totally Integrated Automation)

ปัจจุบัน TeSys island ทำหน้าที่ดำเนินงานเสมือนเป็นอุปกรณ์ที่อยู่ในพอร์ทัล TIA  ซึ่งจะมีการกำหนดค่า TeSys island ด้วยเครื่องมือกำหนดค่า SoMove ที่สามารถอิมพอร์ตผ่าน AML file interface  นอกจากนี้ยังมีไลบรารีของ function blocks ให้ใช้ภายในพอร์ทัล TIA  โดยจะช่วยให้ธุรกิจ OEM และผู้ใช้งานปลายทาง ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาในการเขียนโปรแกรม และพัฒนาไลบรารีซึ่งช่วยลดกระบวนการทางวิศวกรรมได้

ด้วยคุณสมบัติใหม่เหล่านี้ จึงทำให้ TeSys island ได้รับรางวัลอันดับสามในหมวด Automation ของ SPS Nürnberg ในปี 2019

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมของ TeSys island ได้ทาง videoweb site หรือ e-guide.  โดยการฝึกอบรมสำหรับพาร์ทเนอร์ OEMs และผู้ประกอบการเครื่องจักร สามารถเข้าไปดูได้ที่ Partner portal.


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

สร้างเหตุและผลของความเป็นไปได้ทางธุรกิจ เพื่อปรับปรุงดาต้าเซ็นเตอร์ให้ทันสมัย

แพทริก โดโนแวน นักวิเคราะห์อาวุโส และผู้จัดการโครงการ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric)

สำหรับหลายคนที่ตอนนี้ไม่ได้นั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ ความคิดที่จะออกแบบห้องว่างให้เป็นพื้นที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอาจเป็นเรื่องน่าหนักใจ และมีคำถามตามมา เช่น เราจะต้องอัพเกรดแบนด์วิดธ์หรือไม่ เรื่องนี้อาจเป็นความกังวลพื้นฐานเมื่อทุกคนในครอบครัวต้องทำงานที่บ้านในตอนนี้ (พร้อมกับทุกคนที่อยู่ในละแวกบ้านเช่นกัน) และใช้เน็ตไปกับการดูวิดีโอผ่านยูทูบ เล่นเกมออนไลน์ และฟังเพลง ซึ่งประเด็นคือคุณจะออกแบบพื้นที่ใหม่ยังไงไม่ให้เกิดเสียงรบกวนและปัจจัยที่ทำลายสมาธิในการทำงานเหล่านี้ บริษัทคุณจะออกค่าใช้จ่ายเหล่านี้หรือไม่ และบางทีคุณอาจจบลงด้วยการประชุมผ่านซูมแบบติดๆ ขัดๆ เพราะสัญญาณเน็ตอ่อนแรงแถมยังแทรกด้วยเสียงสุนัขเห่า

ดาต้าเซ็นเตอร์ก็เช่นเดียวกัน แม้มืออาชีพส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าการจะได้ประสิทธิภาพที่โดดเด่นสามารถทำได้ ด้วยการปรับปรุงระบบโครงสร้างของดาต้าเซ็นเตอร์ให้มีความทันสมัย แต่ความล่าช้าที่เกิดขึ้นกับโครงการเหล่านี้ถือเป็นเรื่องปกติทั่วไป ซึ่งอาจเป็นความท้าทายในการให้เหตุผลกับผู้บริหารระดับอาวุโสเพื่อดำเนินการในเรื่องต่างๆ เช่นการเปลี่ยนแบตเตอรี่หรือบำรุงรักษาเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เปลี่ยนหรืออัพเดตระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้มายาวนานและไม่อยู่ในประกัน หรือย้ายไปใช้ซอฟต์แวร์ระบบบริหารจัดการดาต้าเซ็นเตอร์รุ่นใหม่ ดังนั้น หลายคนจึงก้าวไปอย่างช้าๆ พร้อมกับหวังว่าจะไม่มีอะไรเสียหรือเปลี่ยนแปลง ซึ่งนั่นคือธุรกิจที่ตั้งอยู่บนความเสี่ยง

เครื่องมือช่วยสนับสนุนข้อมูลเพื่อสร้างเหตุและผลที่เป็นไปได้ทางธุรกิจ

เห็นได้ชัดว่า เหตุและผลที่ดีเพื่อความเป็นไปได้ทางธุรกิจ ต้องสามารถวิเคราะห์การคืนทุนซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น การประเมินหรือบอกคุณค่าของการปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานให้ทันสมัยอาจเป็นเรื่องท้าทายแน่ๆ อย่างไรก็ตาม ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้พัฒนาเครื่องมือฟรีที่ใช้งานง่ายเพื่อช่วยในเรื่องดังกล่าว โดยพื้นฐานแล้วระบบงานใหม่ๆ ในส่วนโครงสร้างพื้นฐาน จะให้ประสิทธิภาพด้านพลังงานมากขึ้น และค่อนข้างจะมีขนาดที่เล็กลง เบาขึ้น ให้ความน่าเชี่อถือมากขึ้น นำมาปรับใช้งานและขยายขีดความสามารถได้เร็วขึ้น อีกทั้งบริหารจัดการและบำรุงรักษาได้ง่ายขึ้น รวมถึงมีแนวโน้มที่จะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทั้งนี้ การคำนวณคุณค่าจากการปรับปรุงเรื่องเหล่านี้ให้ดียิ่งขึ้น (ในธุรกิจของคุณ) คือเคล็ดลับในการให้เหตุและผลทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ และคุณค่าของประโยชน์ที่ได้ในแต่ละส่วนก็เห็นได้ชัดว่ามาจากกลยุทธ์และการจัดลำดับความสำคัญขององค์กรคุณ

ระบบพลังงานและการทำความเย็นที่ออกมาในช่วงต้นของปี 2000 ไม่ได้ให้ประสิทธิภาพด้านพลังงานเหมือนระบบปัจจุบัน การรู้จักตัวแปรง่ายๆ บางประการ ก็จะทำให้คุณคำนวณการประหยัดพลังงานที่สามารถนำมาใช้เป็นเหตุผลสำหรับค่าใช้จ่ายในการอัพเกรดระบบได้  ตัวอย่างเช่น ตัวคำนวณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่ทันสมัยสำหรับยูพีเอส 3 เฟส ของเรา สามารถเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายของยูพีเอสของชไนเดอร์ อิเล็คทริค 1 ตัวกับยูพีเอสตัวอื่นภายในระยะเวลา 10 ปี เพื่อดูว่าสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายการดำเนินการส่วนใดบ้าง โดยครอบคลุมเรื่องการใช้พลังงาน ค่าอะไหล่ การบำรุงรักษา และการเปลี่ยนแบตเตอรี่ โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายมาใช้เป็นเหตุและผลทางธุรกิจ เพื่อหักลบกับค่าใช้จ่ายตั้งต้นสำหรับการซื้อยูพีเอสตัวใหม่ ซึ่งเรายังได้นำเสนอตัวคำนวณประสิทธิภาพยูพีเอสแบบเฟสเดียว และตัวคำนวณประสิทธิภาพยูพีเอสแบบ 3 เฟส ซึ่งจะให้ผลกระทบในแง่ของประสิทธิภาพการใช้พลังงานของยูพีเอส รวมถึงคาร์บอนฟุตปรินท์ อีกทั้งช่วยในการสร้างเหตุผลสำหรับความเป็นไปได้ทางธุรกิจเพื่อปรับปรุงระบบให้ทันสมัย  และสำหรับยูพีเอสที่จำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ เราแนะนำให้พิจารณาการเปลี่ยนจากระบบควบคุมวาวล์แบบเดิมที่เป็นตะกั่วกรด (VRLA) ไปใช้แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน ที่เล็กและเบากว่า อีกทั้งยังให้อายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า โดยตัวคำนวณต้นทุนในการเป็นเจ้าของยูพีเอส แบตเตอรี่แบบ VRLA เทียบกับลิเธียมไออน จะช่วยประเมินการประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนต้นทุนการเป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี

ปัจจัยหลักอื่นๆ ในการปรับปรุงดาต้าเซ็นเตอร์ให้ทันสมัย

ผู้จำหน่ายอย่าง ชไนเดอร์ อิเล็คทริค(Schneider Electric) ได้นำเสนอบริการอื่นๆ ในการปรับปรุงระบบงานให้ทันสมัย นอกเหนือจากการขายอุปกรณ์ใหม่ในราคาที่ให้ส่วนลด  ซึ่งหลายระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบโมดูลจะมาพร้อมองค์ประกอบที่สามารถอัพเกรดและให้บริการได้ โดยเมื่อผนวกเข้ากับการขยายการประกันและข้อเสนอในการส่งมอบการบริการ ก็จะสามารถยืดอายุการใช้ระบบงานเดิมที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งช่วยลดความเสี่ยงของระบบล่ม หรือทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักเนื่องจากผลิตภัณฑ์มีอายุการใช้งานที่นานเกินไป ทั้งนี้ในเวลาที่คุณพัฒนาแผนงานด้านการปรับปรุงระบบงานให้ทันสมัยรวมถึงความเป็นไปได้ทางธุรกิจ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจทางเลือกทั้งหมดที่มีอยู่ ทั้งนี้ White Paper ในเรื่อง แนวทางในการจัดการกับยูพีเอสรุ่นเก่า (Guidance on What to Do with an Older UPS) จะให้กรอบการทำงานเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าควรจะอัพเกรดอุปกรณ์ หรือเปลี่ยนใหม่ หรือไม่ต้องทำอะไรและปล่อยไปจนกว่าจะใช้งานไม่ได้ แม้ว่าเรื่องนี้จะมุ่งเน้นที่ยูพีเอสของดาต้าเซ็นเตอร์ แต่กรอบการทำงานเพื่อช่วยในการตัดสินใจในลักษณะเดียวกันก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับระบบโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ได้เช่นกัน

สิ่งที่ต้องคำนึงในการสร้างเหตุและผลของความเป็นไปได้ทางธุรกิจคือ คุณต้องมีระบบโครงสร้างพื้นฐานมากแค่ไหนสำหรับปัจจุบัน และแค่ไหนที่จำเป็นสำหรับอนาคต ซึ่งเป็นไปได้ที่ดาต้าเซ็นเตอร์จะถูกสร้างขึ้นมามากเกินความจำเป็นจากจุดยืนเรื่องของศักยภาพด้านพลังงานและการทำความเย็น ซึ่งทั้งเวอร์ชวลไลเซชันและการควบรวมระบบอาจช่วยลดพื้นที่ในการประมวลผลได้มากขึ้น โดยบางแอปพลิเคชันและการบริการซึ่งปัจจุบันส่วนใหญ่อยู่บนคลาวด์ หรือกระจายอยู่ตามโคโลเคชันของดาต้าเซ็นเตอร์  ประเด็นคือ ความต้องการด้านพลังงานและการทำความเย็นในปัจจุบันอาจจะน้อยกว่าศักยภาพของโครงสร้างระบบของเดิมที่ติดตั้งใช้งานอยู่ ดังนั้นการประหยัดจึงควรเป็นหนึ่งในเหตุผลสำหรับความเป็นไปได้ทางธุรกิจ คุณอาจไม่จำเป็นต้องจ่ายมากเท่ากับที่คิดไว้ในตอนแรกว่าจะอัพเกรดไปใช้อุปกรณ์ใหม่ และต้องมั่นใจว่าคุณรู้แผนงานอนาคตในการเอาท์ซอร์สระบบไอทีขององค์กร ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ได้ตามต้องการในส่วนของระบบโครงสร้างด้านพลังงานและการทำความเย็นอย่างชัดเจนเช่นกัน  และอย่าลืมรวมเรื่องคุณค่าของการมีพื้นที่ที่สร้างรายได้เพิ่มหากระบบโครงสร้างของคุณใช้พื้นที่ขนาดเล็กลง และจะนำพื้นที่มาใช้ให้เกิดประโยชน์มากขึ้นได้อย่างไร จะใส่คุณค่าอะไรไปในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งต้องแน่ใจว่ามีการพิจารณาเรื่องนี้รวมไว้ในเหตุผลสำหรับความเป็นไปได้ในธุรกิจของคุณ

สิ่งหนึ่งที่พิจารณาได้ยากที่สุดน่าจะเป็นเรื่องของผลกระทบทางการเงิน นั่นคือค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดาวน์ไทม์ เมื่อโครงสร้างระบบมีอายุการใช้งานมาก ก็จะมีความเสี่ยงจากการอุปกรณ์ล้มเหลวได้มากขึ้น ความเสี่ยงจากอุปกรณ์ล้มเหลวที่เป็นสาเหตุทำให้ธุรกิจหยุดชะงักได้มากแค่ไหนอาจเป็นเรื่องที่รู้ได้ยาก เพราะขึ้นอยู่กับรายละเอียดของการออกแบบระบบพลังงานและการทำความเย็น และการออกแบบนั้นช่วยให้บริหารจัดการและบำรุงรักษาได้ดีแค่ไหนเมื่อเวลาผ่านไป ไม่ว่ายังไงก็ตาม การคำนวณจะช่วยได้มากในเรื่องของค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปในหลักนาทีหรือชั่วโมงหากแอปพลิเคชัน หรือฟังก์ชั่นของระบบไอทีนั้นๆ (ที่ขับเคลื่อนและทำความเย็นด้วยระบบโครงสร้าง) หยุดทำงาน หากคุณไม่สามารถประมวลผลการจ่ายเงินได้ภายใน 30 นาที จะทำให้ธุรกิจต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่? หากระบบออโตเมชั่นของโรงงานหยุดทำงานระหว่างช่วงเวลาการทำงาน จะทำให้ธุรกิจเสียอะไรไปบ้าง? บางครั้งตัวเลขประเภทนี้เพียงอย่างเดียวอาจช่วยโน้มน้าวผู้บริหารระดับสูงว่าไม่คุ้มค่าความเสี่ยงหากไม่ปรับปรุงระบบให้ทันสมัย

พิจารณากลยุทธ์ด้านการปรับปรุงความทันสมัยให้กับธุรกิจคุณ

แม้เครื่องมือ TradeOff ใหม่ของเราจะใช้ได้กับยูพีเอสแบบ single phase รุ่น UPSs 20kVA หรือต่ำกว่านั้น แต่ตัวคำนวณเปรียบเทียบการบริหารจัดการ Edge UPS Fleet น่าจะเป็นประโยชน์ในการช่วยให้คุณรับทราบถึงความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายด้านสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นในการใช้ UPS ที่มีอายุใช้งานนาน ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของการคำนวณคือการช่วยให้ประเมินได้ว่าควรบริหารจัดการ UPS แบบกระจายศูนย์ด้วยตัวเอง หรือให้ผู้จำหน่ายที่เป็นบุคคลที่สามดูแลให้ ค่าใช้จ่ายจะแยกย่อยออกเป็นค่าขนส่งและค่าอะไหล่ ค่าพนักงาน การดาวน์ไทม์ และบริการจากพันธมิตร/ผู้จำหน่าย

ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเป็นแบบไหน ก็ควรพิจารณาเรื่องการปรับปรุงอายุการใช้งานของระบบไอทีและอุปกรณ์ดาต้าเซ็นเตอร์ ผมหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณสร้างกรณีธุรกิจที่จำเป็นสำหรับการปรับปรุงระบบงานให้ทันสมัย


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

สร้างดาต้าเซ็นเตอร์อย่างไร ให้ยืดหยุ่นและยั่งยืน

โดยปานกาจ ชาร์มา รองประธานบริหาร ธุรกิจ Secure Power ชไนเดอร์ อิเล็คทริค(Schneider Electric)

ผมเคยเขียนบทความก่อนหน้านี้เกี่ยวกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านพลังงานที่ใกล้เข้ามาทุกที โดยมุ่งเน้นที่การสร้างเอดจ์ดาต้าเซ็นเตอร์ที่ให้ความยั่งยืน

ในขณะที่เรายังคงใช้ชีวิตแบบนิวนอร์มัลกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับวิกฤตด้านสุขภาพที่เกิดขึ้นทั่วโลก ผมคิดว่าสิ่งสำคัญคือการหันกลับมาทบทวนและเปิดมุมมองให้กว้างขึ้นจากจุดเริ่มต้น เพื่อให้ครอบคลุมการเรียกร้องให้มีการดำเนินการเพื่อเพิ่มความยั่งยืนให้กับดาต้าเซ็นเตอร์ทุกขนาด

เมื่อพิจารณาถึงการดำเนินกิจกรรมต่างๆ จากระยะไกลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในทั่วทุกภาคส่วนและอุตสาหกรรมต่างๆ จะเห็นว่าดาต้าเซ็นเตอร์ กลายเป็นปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังในการสร้างศักยภาพให้กับการดำเนินชีวิตในแบบนิวนอร์มัล

เมื่อต้องพึ่งพาดาต้าเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง การหยุดชะงักของดาต้าเซ็นเตอร์จึงส่งผลกระทบอย่างมาก ทำให้ไม่สามารถประชุมทางวิดีโอ ไม่สามารถตรวจสอบการทำงานจากระยะไกล และไม่สามารถเข้าถึงการบริหารจัดการ หรือการสตรีมเนื้อหา ที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากและเป็นที่จับตาของสาธารณชน

ในเวลาที่เราต้องพึ่งพาดาต้าเซ็นเตอร์มากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งจำเป็นคือการทำให้ดาต้าเซ็นเตอร์มีทั้งความยืดหยุ่นและยั่งยืน ซึ่งเรามีทั้งวิสัยทัศน์และแผนงานที่จะช่วยให้บรรลุผลได้ทั้งสองด้าน

เมื่อเร่งการปฏิรูปสู่ดิจิทัลแล้ว ห้ามหันหลังกลับ

การปฏิรูปสู่ดิจิทัล ช่วยย่นระยะเวลาในการตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ได้เร็วขึ้น จากหลายปีเหลือแค่เพียงไม่กี่เดือน นับเป็นความก้าวหน้าที่พาเราเข้าใกล้โลกดิจิทัลทั้งหมดได้มากขึ้น และไม่สามารถย้อนกลับไปได้ ในทางกลับกันเราสามารถคาดหวังว่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ในการเปลี่ยนกระบวนการของกิจกรรมมากมายสู่ระบบดิจิทัล ทั้งในการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว

ดังเช่นที่ระบุไว้ในรายงานฉบับล่าสุดเรื่อง ‘บทบาทของสิ่งกระตุ้นโครงสร้างพื้นฐานในการฟื้นฟูของโควิด 19 และถัดไป’ ของ บอสตัน คอลซัลติ้ง กรุ๊ป และสภาเศรษฐกิจโลกที่ว่า “การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตดิจิทัลมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เนื่องจากคาดว่าจะมีการเร่งนำเทคโนโลยีมาปรับใช้มากขึ้นหลังช่วงโควิด-19”

เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มขึ้น ดาต้าเซ็นเตอร์จะต้องปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการและมีความยืดหยุ่น ในขณะเดียวกัน ดาต้าเซ็นเตอร์ยังต้องให้ประสิทธิภาพและความยั่งยืน ซึ่งเป็นความย้อนแย้งที่น่าสนใจแต่ไม่ยากเกินไปที่จะทำ

เพื่อให้มั่นใจว่าดาต้าเซ็นเตอร์จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น แนวทางปฏิบัติทั่วไปก่อนหน้านี้ คือการเพิ่ม redundancy เพื่อสร้างความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งต้องแลกกับเรื่องของประสิทธิภาพและความยั่งยืน ด้วยย่างก้าวในปัจจุบันและจากการอิงฐานของการจำลองระบบภายใน โดยคาดว่าการใช้พลังงานจากดาต้าเซ็นเตอร์จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี 2040 ซึ่งการเพิ่มส่วนใหญ่จะมาจากเอดจ์ดาต้าเซ็นเตอร์ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การใช้พลังงานเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์จะไม่ถูกมองข้ามโดยภาครัฐหรือรัฐบาลของประเทศ เนื่องจากความยั่งยืนยังคงเป็นประเด็นสำคัญสำหรับทั้งภาครัฐและเอกชน

แม้เราจะอยู่ในช่วงเวลาของสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผมก็ดีใจที่ได้เห็นว่าความยั่งยืนยังคงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก เพราะความก้าวหน้าในปัจจุบันไม่ควรเป็นสาเหตุที่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนรุ่นถัดไปในอนาคต ซึ่งชไนเดอร์ อิเล็คทริคให้การสนับสนุนเรื่องที่ละเอียดอ่อนนี้อย่างจริงจัง

โดยทั่วไปการต่อต้านการลดความสำคัญของความยั่งยืนในช่วงที่เศรษฐกิจทั่วโลกในปัจจุบันอยู่ในความไม่แน่นอน (ส่วนใหญ่มาจากโควิด-19) ค่อนข้างเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิงกับการผันผวนของเศรษฐกิจทั่วโลกด้านอื่นๆ ซึ่งทำให้ประเด็นความยั่งยืนถูกลดทอนความสำคัญลงไป

ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตามรายงานการวิจัยฉบับล่าสุดของ 451 Research ที่สนับสนุนการจัดทำโดยชไนเดอร์ อิเล็คทริค(Schneider Electric) พบว่าผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับผู้เช่าหลายราย (MTDC – Multi-Tenant Data Center) จำนวนกว่า 800 แห่งจาก 19 ประเทศ ถูกขอให้ชั่งน้ำหนักความสำคัญระหว่างแนวทางขององค์กรในเรื่องประสิทธิภาพและความยั่งยืน

ผู้ตอบสำรวจส่วนใหญ่ คิดเป็น 43 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ให้บริการ MTDC รายงานว่าองค์กรของตนมีโปรแกรมด้านความยั่งยืนในเชิงกลยุทธ์ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของโครงสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ผ่านวงจรการทำงานส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในขั้นตอนการออกแบบ สร้าง และดำเนินการ

แก้ปัญหาย้อนแย้งด้านความยืดหยุ่นและความยั่งยืนไปพร้อมๆ กัน

ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ความย้อนแย้งของการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ที่ให้ทั้งความยืดหยุ่นและความยั่งยืน ในสภาพการทำงานของระบบไอทีแบบไฮบริดสามารถแก้ไขได้ ที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เราเชื่อว่าการทำงานร่วมกัน จะช่วยให้อุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์สามารถจัดการกับความท้าทาย 4 ปัจจัยหลักต่อไปนี้ได้

  • ความยั่งยืน – ตอบสนองความต้องการทางธุรกิจอย่างรับผิดชอบ โดยไม่กระทบต่ออนาคตในการอยู่ร่วมกัน
  • ประสิทธิภาพ – ช่วยปรับปรุงค่าใช้จ่าย เพิ่มความเร็ว และข้อได้เปรียบที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การปรับตัว – ด้วยการออกแบบที่พร้อมรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ในอนาคต
  • ความยืดหยุ่น – ลดภาวะเสี่ยงจากการดาวน์ไทม์ที่ไม่ได้วางแผนล่วงหน้า

การพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ท่ามกลางความท้าทายถือเป็นความรับผิดชอบที่สำคัญ ที่ต้องดำเนินการด้วยความเร่งด่วนยิ่งขึ้น เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในช่วงวิกฤตด้านสุขภาพที่เกิดขึ้นทั่วโลก

เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เป้าหมายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการช่วยให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราเรียกสิ่งนี้ว่า Life Is On

ภารกิจของเราคือการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลกับคุณ เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน

เราขับเคลื่อนการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกด้านพลังงานและกระบวนการจัดการ เข้ากับผลิตภัณฑ์ตั้งแต่จุดเชื่อมต่อปลายทางไปยังคลาวด์ ระบบควบคุม รวมถึงซอฟต์แวร์และการบริการครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตการทำงานทั้งหมด เพื่อสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการ ทั้งสำหรับบ้าน อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม

เราคือบริษัทระดับโลกที่มีการดำเนินงานในระดับท้องถิ่นมากที่สุด เราสนับสนุนมาตรฐานระบบเปิดและระบบนิเวศของคู่ค้าที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการทำตามวัตถุประสงค์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน และคุณค่าในการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การนำเทคโนโลยีช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้มากขึ้น เพื่อป้องกันอัคคีภัย

แมทเธีย กุเอลล็อท วิศวกรฝ่ายเทคนิคดีเด่น เชี่ยวชาญด้าน Low Voltage Applications ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

หากพูดถึงเรื่องอัคคีภัย การป้องกันคือวิธีที่จะรับมือได้ดีที่สุด การให้ความสำคัญจึงมุ่งเน้นด้านการออกแบบอาคาร รวมถึงวิธีการและขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าบุคลากรและสินทรัพย์จะได้รับการป้องกันกรณีเกิดเพลิงไหม้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดเพลิงไหม้ ก็นับว่าสายเกินไปสำหรับธุรกิจส่วนใหญ่ ซึ่งสอดคล้องตามข้อมูลจาก AXA Insurance กล่าวว่าจำนวนองค์กรกว่าครึ่งที่เดือดร้อนจากเหตุเพลิงไหม้ ต้องปิดกิจการลงภายในห้าปีต่อมา

ความสูญเสียจากเหตุระเบิดและเพลิงไหม้ นับเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้บริษัทประกันต้องชดเชยค่าสินไหมทดแทนด้วยการรับผิดชอบต่อเรื่องดังกล่าวคิดเป็นอัตราเกือบหนึ่งในสี่ (24 เปอร์เซ็นต์) สำหรับการเรียกร้องสินไหมทดแทนที่เกิดขึ้นทั้งหมด กว่า 470,000 รายการที่เกิดขึ้นกับบริษัท Allianz ภายในช่วงเวลาห้าปี มาจากเหตุเพลิงไหม้ที่ทำให้ต้องเสียเงินประกันสูงถึง 14 ล้านยูโร หรือเกือบ 540 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ค่าใช้จ่ายจากการเกิดเพลิงไหม้กลายเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากเมื่อพิจารณาในแง่ของการเสื่อมเสียชื่อเสียงและเสียส่วนแบ่งทางการตลาดอันเป็นผลมาจากการหยุดชะงักของธุรกิจ

การเกิดเพลิงไหม้เป็นอันตรายโดยตรงต่อชีวิต รวมถึงสินทรัพย์และสภาพคล่องของธุรกิจ ฉะนั้นการมีแผนรับมือกับการเกิดเพลิงไหม้เพียงอย่างเดียวนับว่าไม่เพียงพอ คุณจำเป็นต้องมีกลยุทธ์การป้องกันการเกิดเพลิงไหม้ได้อย่างครอบคลุมด้วยการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการตรวจจับความผิดปกติ พร้อมทั้งการดำเนินการตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที

เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย

การเกิดเพลิงไหม้อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งปัจจุบันมาตรฐานที่มี ช่วยสร้างความมั่นใจได้ว่าอาคารจะได้รับการปกป้องอย่างถูกวิธีจากเหตุเพลิงไหม้ที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าเกินซึ่งมีสาเหตุมาจากการเกิดโอเวอร์โหลดและลัดวงจร

อย่างไรก็ตาม การเกิดเพลิงไหม้จากกระแสไฟฟ้าเกินยังอาจเกิดจากความผิดพลาดระหว่างการติดตั้ง เช่น การเดินสายหลวมหรือใช้แผงวงจรเก่า ซึ่งระบบป้องกันกระแสไฟเกินจะไม่สามารถตรวจจับเรื่องเหล่านี้ได้ จริงๆแล้วฉนวนที่ชำรุดหรือสึกหรอเป็นสาเหตุของเพลิงไหม้จากระบบไฟฟ้าภายในอาคารโดยคิดเป็นอัตรา 14 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอาคารขนาดใหญ่ที่มีการติดตั้งสายไฟจำนวนมากจะยิ่งเกิดความเสี่ยงมากขึ้น

ยังคงมีจุดบอดที่คุณไม่สามารถมองข้ามได้ ผู้จัดการอาคารหรือวิศวกรที่ปรึกษาทำได้เพียงเล็กน้อยในการปกป้องอาคารหากเกิดเพลิงไหม้ ซึ่งความสูญเสียและการหยุดชะงักของธุรกิจอาจสร้างความเสียหายอย่างมาก

สำหรับการป้องกันสูงสุดนั้น คุณจำเป็นต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมและเชื่อถือได้ซึ่งอยู่เหนือมาตรฐาน เพื่อป้องกันก่อนเกิดเพลิงไหม้ตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งหมายความว่ามีการป้องกันเสริมในส่วนของแผงสวิตช์และวงจรในการติดตั้งระบบไฟฟ้าในทุกกระดับ และเสริมความมั่นคงด้วยระบบตรวจสอบและจัดการอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้ตรวจสอบและดำเนินการได้ในเชิงรุก

ความเสี่ยงและความผิดปกติของฉนวนสายไฟมีให้เห็นมากขึ้นและอาจส่งผลต่อเนื่องที่ร้ายแรง โดยความผิดปกติของการเกิดประกายไฟที่มีความหนาแน่นต่ำ อาจเกิดจากสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นมากและความชื้นสูง ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้จนกระทั่งเสียชีวิตได้ หากไม่มีการป้องกันไว้ก่อนหน้านี้ การจะช่วยให้ความมั่นใจเรื่องการป้องกันความผิดปกติของฉนวนสายไฟ คือการใช้อุปกรณ์ป้องกันไฟรั่ว ซึ่งจะทำงานกรณีเกิดกระแสไฟฟ้ารั่วลงดินเกิน 300mA  ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ ComPacT NSX และ NSXm ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค(Schneider Electric) ให้การป้องกันกระแสไฟฟ้ารั่วลงดินในลักษณะเดียวกับการป้องกันกระแสไฟฟ้าลัดวงจรและโอเวอร์โหลดแบบทั่วไป นอกจากนี้ โซลูชันดังกล่าวยังสามารถตรวจวัดกระแสไฟฟ้ารั่วลงดินอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อมต่อเข้ากับระบบตรวจสอบ ก็จะช่วยเรื่องการแจ้งเตือนล่วงหน้า อีกทั้งคอยตรวจสอบการเกิดความต่างศักย์ของฉนวนไฟฟ้า

นอกจากนี้ วงจรที่เชื่อมต่อกับโหลดปลายทางมีการแนะนำตามมาตรฐาน IEC60364 ว่าควรได้รับการป้องกันด้วยอุปกรณ์ตรวจสอบความผิดปกติของการเกิดอาร์ก (AFDD – Arc Fault Detection Device) ซึ่งเซอร์กิตเบรกเกอร์จะทำหน้าที่ตัดแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าเมื่อตรวจเจอความผิดปกติของการเกิดอาร์กในวงจร โดยอุปกรณ์ AFDD จะหยุดจ่ายกระแสไฟฟ้าทันที ซึ่งจะช่วยหยุดความผิดปกติไม่ให้เกินจุดที่อุณหภูมิสูงจนเกิดเหตุเพลิงไหม้ได้

ตู้สวิตช์บอร์ดอาจเป็นจุดอันตรายสำหรับการเกิดเพลิงไหม้ สิ่งสำคัญที่อยากจะเน้นคือ การปฏิบัติตามกฎข้อบังคับด้านการออกแบบและการผลิตตู้สวิตช์บอร์ด อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงและปัญหาอันเนื่องมาจากการเชื่อมต่อยังสามารถเกิดขึ้น ด้วยปัจจัยสำคัญที่เป็นผลสืบเนื่องจากความต้านทานของจุดเชื่อมต่อในระบบไฟฟ้าก่อให้เกิดการเสื่อมสภาพ เป็นสาเหตุให้อุณหภูมิสูงขึ้น  และทำให้พื้นผิวการเชื่อมต่อเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ก่อให้เกิดวงจรของปัญหาที่ทำให้ความต้านทานของหน้าสัมผัสเพิ่มขึ้นอีก ผลลัพธ์ของการที่ไม่สามารถควบคุมความร้อนได้จะกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้การเชื่อมต่อล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงอาจทำให้เกิดการระเบิดและเพลิงไหม้ได้

นอกจากนั้น ยังมีอีกสองสามทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นใจเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยของอุปกรณ์ตลอดช่วงอายุการใช้งานนั้น

  • การปรับปรุงจุดเชื่อมต่อให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มอุปกรณ์เสริมที่ผ่านการทดสอบและประกอบมาสำเร็จรูป เข้ากับสวิตช์บอร์ด เช่น ระบบ Linergy ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค หรือขั้วต่อพิเศษของอุปกรณ์ป้องกันการคลายตัวของจุดเชื่อมต่อ เช่น EverLink
  • การใช้ระบบตรวจวัดความร้อน เพื่อตรวจจับความผิดปกติที่จุดเชื่อมต่อและแจ้งเตือนเรื่องอุณหภูมิได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อติดตั้งสวิตช์เกียร์ในพื้นที่สำคัญ Easergy TH110 และ CL110 เซนเซอร์วัดความร้อน ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค จะทำหน้าที่วัดอุณหภูมิจุดเชื่อมต่อและแจ้งเตือนอุณหภูมิที่เหมาะสมได้อย่างแม่นยำ
  • ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กำลังพัฒนาเซนเซอร์อัจฉริยะ ที่สามารถตรวจจับอนุภาคก๊าซที่ปล่อยออกมาจากสายไฟเพื่อเตือนผู้ปฏิบัติงานในกรณีที่อุณหภูมิสูงถึงระดับที่เป็นอันตรายได้ก่อนที่จะเกิดวิกฤติ

อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงของการเกิดเพลิงไหม้อาจเพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากอุปกรณ์และส่วนประกอบต่างๆ ถูกใช้งานอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ดังนั้น การเลือกช่วงเวลาของการซ่อมบำรุงได้อย่างเหมาะสมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก อีกทั้งระบบคลาวด์และระบบช่วยวิเคราะห์ จะสามารถวิเคราะห์สภาพการใช้งาน สถานะและประวัติการทำงานของอุปกรณ์สำคัญได้ การแจ้งเตือนพร้อมการให้บริการแบบ 24/7 ทั้งนี้โซลูชัน EcoStruxure™ Asset Advisor ยังสามารถให้การวิเคราะห์พร้อมคำแนะนำตามเงื่อนไขได้ในลักษณะเชิงรุกผ่านการรายงานตามช่วงเวลา

การเกิดเหตุเพลิงไหม้เป็นสิ่งที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เมื่อคุณทำตามวิธีที่ถูกต้องสำหรับการป้องกันอัคคีภัยด้วยเครื่องมือที่ดีที่สุด จะช่วยรักษาชีวิตผู้คนและธุรกิจของคุณได้ หัวใจสำคัญคือการปฏิบัติตามแนวทาง โดยใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมช่วยตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลจากอุปกรณ์ในระบบไฟฟ้าของคุณทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง วิธีดังกล่าวช่วยให้คุณสามารถระบุความเสี่ยงที่เป็นปัจจัยหลักของการเกิดเพลิงไหม้ และดำเนินการแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว ด้วยกลยุทธ์ด้านการป้องกันอัคคีภัยแบบมืออาชีพที่เชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบ ช่วยให้มั่นใจได้ว่าธุรกิจของคุณจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและมั่นคง

เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เป้าหมายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการช่วยให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราเรียกสิ่งนี้ว่า Life Is On

ภารกิจของเราคือการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลกับคุณ เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน

เราขับเคลื่อนการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกด้านพลังงานและกระบวนการจัดการ เข้ากับผลิตภัณฑ์ตั้งแต่จุดเชื่อมต่อปลายทางไปยังคลาวด์ ระบบควบคุม รวมถึงซอฟต์แวร์และการบริการครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตการทำงานทั้งหมด เพื่อสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการ ทั้งสำหรับบ้าน อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม

เราคือบริษัทระดับโลกที่มีการดำเนินงานในระดับท้องถิ่นมากที่สุด เราสนับสนุนมาตรฐานระบบเปิดและระบบนิเวศของคู่ค้าที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการทำตามวัตถุประสงค์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน และคุณค่าในการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่! EasyPact EZS เบรกเกอร์น้องใหม่

ชไนเดอร์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่! EasyPact EZS เบรกเกอร์น้องใหม่ ง่ายจนใครๆ ก็ยกนิ้วให้ ชูโรงง่ายๆ ด้วยแบบ โพล เฟรม ขนาด ความง่าย

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) เปิดตัว EasyPact EZS เบรกเกอร์ MCCB (Molded-Case Circuit Breaker) รุ่นใหม่ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม ‘ชไนเดอร์ อีซี่’ ที่ราคาคุ้มค่า ปรับตั้งค่ามาจากโรงงานแบบสำเร็จรูป พร้อมใช้งานทันที ลดเวลาในการติดตั้งและการปรับตั้งค่า เหมาะสำหรับตู้ ตู้ควบคุมไฟฟ้าที่ติดตั้งในอาคาร สำนักงานขนาดเล็ก เช่น อพาร์ทเมนท์ อาคารพาณิชย์ โรงงานขนาดเล็ก เป็นต้น EasyPact EZS รุ่นใหม่มาพร้อม 3 ความง่าย

ง่ายต่อการเลือกใช้ ไม่ต้องคิดเยอะ! ทุกรุ่นเป็นแบบ 3 โพล มี 3 เฟรม 3 ขนาด ได้แก่ ขนาดเล็ก 100A ทนกระแสลัดวงจร 25-50 kA ขนาดกลาง 160-250A ทนกระแสลัดวงจร 25/36 kA ขนาดใหญ่ 400-630A ทนกระแสลัดวงจร 36/50 kA

ง่ายต่อการติดตั้ง! เนื่องจากมีขนาดเฟรมที่ชัดเจน ช่วยให้ง่ายในการติดตั้งตามสเปคที่ต้องการ ทำให้งานเสร็จไว อีกทั้งเพิ่มความยืนหยุ่นในการเลือกใช้รุ่นกระแสทดแทนกันได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนแบบตู้ใหม่ เช่น การเปลี่ยน ขนาดเบรกเกอร์ 63A เป็นรุ่นขนาด 100A  ได้อย่างง่ายๆ โดยการใช้ตู้เดิม นอกจากนี้ สามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆ เพื่อเพิ่มความสะดวก และเพิ่มศักยภาพการทำงานที่มากขึ้น เช่น Trip release coils, Auxiliary signaling, contacts และ Rotary handles และยังสามารถเข้าถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์ วิดีโอแนะนำการติดตั้งเบรกเกอร์และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ได้ง่าย ผ่านสติ๊กเกอร์ QR Code ข้างผลิตภัณฑ์ได้

ง่ายต่อการใช้งาน! เนื่องจากทริปยูนิตเป็นแบบพร้อมใช้งาน ช่วยลดความยุ่งยาก และความผิดพลาด พร้อมการันตีความทนทานและอายุการใช้งานสูงที่สุดด้วย Ics = 100% Icu ตั้งแต่เฟรม160 ขึ้นไป ที่สำคัญมั่นใจด้วยคุณภาพมาตรฐานสากล และเป็นผลิตภัณฑ์ Green Premium

EasyPact EZS เบรกเกอร์ MCCB รุ่นใหม่แบบ 3 โพล 3 เฟรม 3 ขนาด 3 ความง่าย เหมาะสำหรับงานอาคารขนาดเล็กทั่วไป เช่น อพาร์ทเมนท์ หอพัก โรงแรมขนาดเล็ก โฮสเทล อาคารพาณิชย์ เป็นต้น และนับว่าเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผลิตออกมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานได้กว้างขวางขึ้น ง่ายขึ้น พร้อมราคาที่คุ้มค่า

หาซื้อได้แล้ววันนี้ที่ Schneider Easy Shop และร้านไฟฟ้าชั้นนำทั่วประเทศ หรือซื้อออนไลน์ได้ที่

ร้านค้าออนไลน์อย่างเป็นทางการ (LazMall Flagship Store) ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค: https://bit.ly/3iDLHzt

หรือ ตัวแทนจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์

Ucanbuys | Factomart | Electric2U Plug On

ดูวิดีโอ https://youtu.be/tmWj655EdrM

เยี่ยมชมเว็บไซต์ https://www.se.com/th/th/product-range/63301-easypact-ezs/


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค รุกตลาดเน้นผลิตภัณฑ์กลุ่ม Easy Series ใช้งานง่าย ราคาเบา พร้อมจับมือร้านค้า เปิด Schneider Easy Shop

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) เดินเกมรุกผลิตภัณฑ์กลุ่ม Easy Series หรือที่เรียกว่า Schneider Easy ชูจุดเด่นความคุ้มค่าในราคาเบาๆ ใช้งานง่ายตามความต้องการ ติดตั้งได้รวดเร็ว หาซื้อง่าย และยังคงประสิทธิภาพและความทนทาน ซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับไฟฟ้าแรงดันต่ำ กลุ่มสินค้าสำหรับอุตสาหกรรม  กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับบ้าน อาคาร สวิตช์เต้ารับ รวมไปถึงสวิตช์เต้ารับยอดนิยมอย่าง AvatarOn A เดินหน้าเจาะตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ อาทิ โรงแรม อพาร์ทเมนท์ หอพัก โรงงาน อาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์ สมาร์ทฟาร์มมิ่ง ทั้งฟาร์มผัก ฟาร์มผลไม้ ปศุสัตว์และประมง เพิ่มความง่ายให้ผู้ใช้งาน ทั้ง ผู้รับเหมา ผู้ประกอบการโรงตู้ และช่างไฟฟ้า พร้อมประเดิมกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก จับมือร้านไฟฟ้าเปิด “Schneider Easy Shop” นำร่อง เน้นสร้างประสบการณ์ตรงให้ลูกค้า พร้อมตอบรับยุคดิจิทัล ขยายตลาดผ่านการสั่งซื้อออนไลน์

นายธนากร วงศ์วิเศษ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย เผยว่า “ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Easy Series ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เข้ามาเสริมผลิตภัณฑ์หลักของชไนเดอร์ สำหรับธุรกิจที่ต้องการอุปกรณ์ไฟฟ้าและควบคุมอุตสาหกรรมที่เพียงพอต่อการใช้งานตามความเหมาะสม น่าเชื่อถือ มีประสิทธิภาพและอยู่ภายใต้งบประมาณที่กำหนดไว้ สินค้าบางตัวในกลุ่ม Easy Series ได้วางตลาดมาระยะหนึ่งแล้ว และจะมีสินค้าในกลุ่ม Easy Series นี้ทยอยวางตลาดในอนาคตอันใกล้ต่อไป

ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Easy Series หรือ Schneider Easy มีหลากหลายสำหรับการใช้งาน ประกอบด้วย 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่

  1. กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับไฟฟ้าแรงดันต่ำ (Low Voltage Products) หรือพวกกลุ่มเบรกเกอร์ (MCCB) เช่น EasyPact EZS และ แอร์เซอร์กิตเบรกเกอร์ (ACB) เช่น EasyPact MVS
  2. กลุ่มสินค้าสำหรับอุตสาหกรรม (Industrial Products) ประกอบด้วย กลุ่มอุปกรณ์ควบคุมมอเตอร์ ผลิตภัณฑ์กลุ่มสวิตช์ และไฟสัญญาณ กลุ่มพาวเวอร์ซัพพลายและรีเลย์ รวมไปถึงมิเตอร์วัดค่าพลังงาน อาทิ EasyPact TVS, Easy RXM, ทาวเวอร์ไลท์ XVG เป็นต้น
  3. กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับบ้าน อาคาร สวิตช์-เต้ารับ ฝาครอบกันน้ำ รวมไปถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ AvatarOn A โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ยังคงมีความล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีอีซี่คลิป (Easy Clip) ที่ช่วยให้ติดตั้งง่าย

ในปัจจุบัน มีหลายธุรกิจที่มองหาผลิตภัณฑ์คุณภาพ ในงบประมาณที่จำกัด ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จึงทำการรวมกลุ่มผลิตภัณฑ์ Easy Series หรือ Schneider Easy เพื่อตอบโจทย์การใช้งานในกลุ่มนี้โดยชูความง่ายที่โดดเด่น ได้แก่

ใช้งานง่าย ติดตั้งง่าย รวดเร็ว ผลิตภัณฑ์ Easy Series หรือ Schneider Easy เป็นผลิตภัณฑ์พร้อมใช้ มีการปรับแต่งค่ามาจากโรงงานเรียบร้อยแล้ว เพื่อช่วยลดกระบวนการและลดความผิดพลาดในการปรับตั้งค่า เพียงเลือกสเปคสำเร็จรูปและนำไปติดตั้งได้เลย อีกทั้งออกแบบมาในขนาดกะทัดรัด จึงช่วยประหยัดพื้นที่

หาซื้อง่าย ลูกค้าสามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์ Easy Series หรือ Schneider Easy ได้ง่าย จากร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าชั้นนำทั่วประเทศ รวมถึงสัมผัสสินค้าได้จริงจาก Schneider Easy Shop อีกทั้งยังสามารถสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น MisumiFactomartUcanbuys และอื่นๆมากมาย ให้ความคุ้มค่า ด้วยราคาที่เหมาะสม ตอบโจทย์งบประมาณที่จำกัดด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมตามความต้องการ แต่มาในคุณภาพมาตรฐานระดับสากลที่ทั่วโลกยอมรับ พร้อมฉลากกรีนพรีเมี่ยมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ให้ประสิทธิภาพการทำงานที่แม่นยำ ทนทาน

โดยล่าสุด ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้จับมือกับร้านไฟฟ้า นำร่องเปิดมุมโปรโมทผลิตภัณฑ์ Easy Series หรือ Schneider Easy ภายใต้ชื่อ Schneider Easy Shop (ชไนเดอร์ อีซี่ชอป) ซึ่งสามารถสังเกตได้จากโลโก้ Schneider Easy Shop ในร้านอุปกรณ์ไฟฟ้าชั้นนำที่ขายผลิตภัณฑ์ให้กับชไนเดอร์ อิเล็คทริค เพื่อให้ลูกค้าสามารถสัมผัสการใช้งานผลิตภัณฑ์ Easy Series หรือ Schneider Easy ได้จริง ซึ่งนับเป็นแนวคิดเชิงรุกด้านการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง และพร้อมสร้างประสบการณ์ที่ดีเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้อย่างลงตัว

Schneider Easy (ชไนเดอร์ อีซี่เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีคอนเซ็ปต์ชัดเจน เน้นความง่ายและความคุ้มค่า สมชื่ออีซี่ โดยเรามุ่งเน้นความง่ายในทุกด้าน เพื่อประโยชน์ของลูกค้าเป็นหลัก ทั้งง่ายต่อการใช้งาน ง่ายต่อการติดตั้ง รวมถึงสามารถหาซื้อได้ง่ายอีกด้วย” นายธนากร กล่าวทิ้งท้าย


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ปลดล็อคการปฏิรูปสู่อุตสาหกรรม 4.0 สร้างศักยภาพด้วยเอดจ์คอมพิวติ้ง

โดย เปาโล โคลัมโบ ผู้อำนวยการแผนกพัฒนาการตลาด เพื่อผู้ประกอบการด้านการผลิตเครื่องจักรและผู้วางระบบ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electricและ รัสส์ ซาเกิร์ต ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ด้านโซลูชัน IoT สำหรับเอดจ์ NetApp

อุตสาหกรรม 4.0 คือการปฏิวัติครั้งถัดไปของภาคอุตสาหกรรมการผลิต ที่ให้คำมั่นสัญญาในการนำเสนอการบูรณาการอย่างแท้จริงระหว่างเทคโนโลยีสารสนเทศหรือ IT และเทคโนโลยีการดำเนินงานหรือ OT เพื่อมอบศักยภาพที่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานมากมายได้อย่างน่าทึ่ง อีกทั้งช่วยลดต้นทุน อย่างไรก็ตาม การจะบรรลุเรื่องดังกล่าว บริษัทจะต้องคิดทบทวนว่าได้ข้อมูลมาจากไหน อย่างไร รวมถึงมีกระบวนการดำเนินงานและการจัดเก็บที่ไหนอย่างไร  ซึ่งเอดจ์คอมพิวติ้งสำหรับอุตสาหกรรมจะมีบทบาทสำคัญที่ช่วยในเรื่องดังกล่าว

สำหรับอุตสาหกรรม 3.0 ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับระบบออโตเมชัน การเชื่อมต่ออุปกรณ์ และการกำหนดถึงสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับการดำเนินงานด้วยเครื่องมือสำคัญด้านธุรกิจ ส่วนอุตสาหกรรม 4.0 ก็จะเกี่ยวข้องกับการนำรูปแบบการประมวลผลขั้นสูงมาใช้เพื่อให้มีข้อมูลช่วยสนับสนุนการตัดสินใจได้มากขึ้น บางมุมจะอยู่ที่ความเข้าใจพฤติกรรมและลักษณะการทำงานของเครื่องจักรแต่ละเครื่อง แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ความเข้าใจเรื่องการทำงานพึ่งพากันในส่วนต่างๆ ทั้งสาเหตุและผลกระทบ ของสายการผลิตที่ซับซ้อนทั้งหมด รวมถึงการดำเนินการในโรงงาน กระทั่งที่เป็นเรื่องของตัวโรงงานเองก็ตาม

การจะเข้าใจเรื่องของการทำงานพึ่งพากันในส่วนต่างๆ ต้องอาศัยข้อมูล ซึ่งเป็นข้อมูลจำนวนมาก ข้อมูลดังกล่าวได้จากเซ็นเซอร์ต่างๆ จากอุปกรณ์ และเครื่องจักร และในหลายๆ กรณีต้องอาศัยการจัดการข้อมูลจากในพื้นที่ มากกว่าในดาต้าเซ็นเตอร์บนคลาวด์ เนื่องจากเป็นข้อมูลปริมาณมากที่ได้มาแบบเรียลไทม์

การดำเนินการได้อย่างถูกต้องสามารถให้ประโยชน์มากมายแก่ธุรกิจ ช่วยบริษัทในภาคอุตสาหกรรมได้หลายประเด็น ดังต่อไปนี้

  • ลดต้นทุนการดำเนินงาน
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน
  • ได้ปริมาณงานมากขึ้น
  • ลดเวลาที่ต้องเสียไปโดยไม่เกิดประสิทธิผลหรือการดาวน์ไทม์ที่ไม่ได้วางแผน
  • ลดค่าใช้จ่ายและลดความถี่ในการบำรุงรักษา
  • ปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์
  • ลดปัญหาด้านสุขภาพของคนทำงาน และปัญหาเรื่องความปลอดภัย
  • เพิ่มประสิทธิภาพให้กับซัพพลายเชน และลดสินค้าคงคลัง

 

ความท้าทายที่มาพร้อมกับการก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0

โดยทั่วไปลูกค้าจะเข้าใจดีถึงประโยชน์มากมายที่ได้จากอุตสาหกรรม 4.0 นอกจากนี้ ลูกค้าในเกือบทุกอุตสาหกรรม ต่างพยายามดิ้นรนเป็นอย่างมาก เพื่อดำเนินการสู่การปฏิรูป โดยจากการที่ได้ร่วมงานกับลูกค้าบางราย ทำให้เราได้ทราบถึงเหตุผลที่หลากหลายในเรื่องดังกล่าว

ไซต์การผลิตของลูกค้าส่วนใหญ่ จะดำเนินงานตลอดเวลา 24 ชั่วโมงใน 365 วัน ซึ่งเป็นอุปสรรคในการวางแผนเพื่อปรับเปลี่ยนระบบโครงสร้าง เมื่อมีการดาวน์ไทม์เกิดขึ้นก็จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินงานและกระทบถึงรายได้จากสายการผลิต

การนำทักษะ IT มาใช้ในสาย OT ถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายเช่นกัน ผู้เชี่ยวชาญด้าน OT ล้วนคุ้นเคยกับเครือข่าย โปรโตคอล และเครื่องมือต่างๆ เฉพาะสำหรับสายการผลิตที่ใช้มานานหลายปี แต่อุตสาหกรรม 4.0 คือการขอให้คนเหล่านั้นนำเทคโนโลยีที่อยู่ในโลกของดาต้าเซ็นเตอร์มาใช้ เช่น การสร้างความยืดหยุ่น การทนทานหรือรองรับในกรณีที่เกิดความผิดพลาด (fault-tolerance)   และขีดความสามารถที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ ทั้งนี้ ในลักษณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีได้ก็จะเจอกับความท้าทายในการนำแนวคิดของดาต้าเซ็นเตอร์เหล่านั้นไปปรับใช้ในสภาพแวดล้อมด้านอุตสาหกรรม เพื่อนำเสนอโซลูชันเอดจ์คอมพิวติ้งที่เกี่ยวเนื่องกับดาต้าเซ็นเตอร์ ในแง่ของความน่าเชื่อถือ ประสิทธิภาพ และการรักษาความปลอดภัย

โซลูชันสำหรับอุตสาหกรรม 4.0 ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงเซ็นเซอร์ระบบโครงสร้างในการประมวลผลไอทีและสตอเรจ และการเชื่อมต่อเครือข่าย ซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในการติดตั้งเพื่อให้บริการและช่วยในการปฏิรูปธุรกิจ ทว่าไม่มีผู้จำหน่ายรายใดที่สามารถจัดหาโซลูชันที่ครบวงจรสำหรับอุตสาหกรรม 4.0 ได้ในคราวเดียว ดังนั้นลูกค้าจึง จำเป็นต้องรับหน้าที่เปรียบเสมือนผู้รับเหมาที่จัดหาระบบโครงสร้างและความเชี่ยวชาญทั้งหมดที่ต้องการและทำให้ระบบทั้งหมดทำงานร่วมกันได้ หรือไม่ก็ต้องขอความช่วยเหลือจากผู้จำหน่าย หรือที่ปรึกษาที่น่าจะช่วยในเรื่องดังกล่าวได้

เรายังคงเห็นว่ามีการทดสอบความเป็นไปได้ของแนวคิด (POC) อยู่มากมายที่ยังใช้การไม่ได้ หลายบริษัทเริ่มทดสอบโซลูชัน แต่ก็ยังเห็นว่าเทคโนโลยีทั้งหมดที่อยู่รอบตัวมีการเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ตัดสินใจได้ยากว่าจะเลือกไปในแนวทางไหน เพราะกลัวว่าผู้จำหน่ายจะยึดติดและสนับสนุนเทคโนโลยีหรือแนวทางที่ไม่ถูกต้อง

เรื่องของข้อมูลก็เป็นอีกประเด็น โดย IDC ได้คาดการณ์ไว้ว่าจะมีข้อมูลถึง 79 เซตต้าไบต์ ที่มาจากอุปกรณ์ IoT จำนวน 1 พันล้านเครื่องภายในปี 2025 นอกจากนี้ มีหลายกรณีที่ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลแบบไซโล และไม่สามารถเข้าถึงระบบวิเคราะห์ที่จำเป็นต่อการนำข้อมูลมาช่วยสนับสนุนการตัดสินใจ องค์กรจะต้องพัฒนาแผนงานในการจัดการข้อมูลทั้งหมด รวมถึงนำแผนมาใช้ในการปรับปรุงการดำเนินงาน

 สร้างการบูรณาการ IT/OT บนมาตรฐานระบบเปิด

การจะผสานรวมการทำงาน IT/OT ได้สำเร็จตามบัญญัติของอุตสาหกรรม 4.0 นั้น ลูกค้าต้องทลายระบบไซโลที่มีอยู่ในปัจจุบัน พร้อมสร้างรากฐานใหม่ในการทำงานบนแพลตฟอร์มมาตรฐานระบบเปิดสำหรับเอ็นเตอร์ไพร์ส แพลตฟอร์มมาตรฐานระบบเปิดจะช่วยให้ลูกค้าดำเนินการเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ได้ดียิ่งขึ้น

  1. บริหารจัดการปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขี้นอย่างรวดเร็วที่เอดจ์ได้
  2. ใช้ระบบวิเคราะห์แบบใหม่ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลเชิงลึกในการดำเนินงาน
  3. เพิ่มความยืดหยุ่น ความปลอดภัยของข้อมูล และความน่าเชื่อถือ
  4. เป็นระบบเปิด และมีความยืดหยุ่น สามารถปรับขยายขีดความสามารถในการทำงานได้ในตัวเอง
  5. ทำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์จากผู้จำหน่ายที่หลากหลายได้
  6. ใช้แนวทางเดียวกันทั่วทั้งองค์กรตั้งแต่เริ่มติดตั้ง
  7. แสดงให้เห็นถึงผลกระทบเชิงบวกต่อธุรกิจ ให้ความยั่งยืนในระยะยาว

แพลตฟอร์มใหม่ใดๆ ก็ตามที่จะนำมาใช้ ต้องบำรุงรักษาง่าย และไม่สร้างความซับซ้อน อีกทั้งสามารถให้ความยืดหยุ่นในการดำเนินงานแก่ลูกค้าหรือลดความเสี่ยงในการดำเนินงานได้มากขึ้น และสามารถติดตั้งเพื่อใช้งานได้โดยไม่กระทบต่อการดำเนินงานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน

ความร่วมมือสำหรับโซลูชันอุตสาหกรรม 4.0

ตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ไม่มีผู้จำหน่ายรายใดที่มอบทุกองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับโซลูชัน Industry 4.0 ได้ทั้งหมด และจะต้องส่งมอบผ่านการประสานความร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นผู้จำหน่าย ซึ่งแต่ละรายก็จะให้ทักษะ ผลิตภัณฑ์ และบริการของตน ทำให้ลูกค้าไม่ต้องรับบทเป็นผู้รับเหมาอีกต่อไป

นั่นคือสาเหตุที่ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ร่วมมือกับเน็ตแอพ (NetApp) เพื่อส่งมอบโซลูชันไอทีที่ครบวงจร ช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรม 4.0

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค นำเสนอการสนับสนุนอย่างเต็มรูปแบบในเรื่องระบบโครงสร้างสำหรับสภาพแวดล้อมเอจด์ รวมถึงตู้แร็ค พลังงาน ระบบทำความเย็น และระบบรักษาความปลอดภัยทางกายภาพที่เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมต่างๆ  ตลอดจนกรณีการใช้งานในภาคอุตสาหกรรมที่มีการใช้งานแบบสมบุกสมบั่น โดยมีลูกค้าจำนวนมากที่อาจใช้ซอฟต์แวร์ด้านการวิเคราะห์ และบริการในส่วน EcoStruxure ของชไนเดอร์ อิเล็คทริคกันอยู่แล้ว รวมถึงโซลูชันด้านการบริหารจัดการระบบไอทีจากระยะไกล

เน็ตแอพ จะช่วยคุณจัดการข้อมูลที่เกิดจากการใช้โซลูชัน IIoT ด้วยการนำเสนอ data fabric พร้อมระบบบริหารจัดการที่ครอบคลุมตั้งแต่เอดจ์ ไปยังดาต้าเซ็นเตอร์ ตลอดจนคลาวด์ ทั้งนี้ สภาพแวดล้อมที่กำหนดการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ ช่วยให้บริหารจัดการข้อมูลได้ง่าย มีประสิทธิภาพและปลอดภัย คุณสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือในเวลาใดก็ตาม

ทั้งสองบริษัท ต่างมีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้เล่นรายสำคัญในระบบนิเวศของอุตสาหกรรม 4.0 ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการโซลูชันไอที ผู้วางระบบอุตสาหกรรม และผู้ให้บริการระบบสารสนเทศสำหรับโรงงาน พร้อมด้วยการออกแบบที่ใช้ในการอ้างอิง ซึ่งเป็นตัวกำหนดว่าทุกอย่างจะทำงานร่วมกันได้อย่างไร โดยการร่วมมือระหว่างเรา จะช่วยในการนำเสนอโซลูชันที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งช่วยให้คุณได้รับคุณค่าทางธุรกิจได้เร็วยิ่งขึ้น


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัวบริการให้คำปรึกษาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นครั้งแรก

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ผู้นำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันด้านการบริหารจัดการพลังงานและระบบออโตเมชัน เปิดตัว Climate Change Advisory Service บริการให้คำปรึกษาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นการต่อยอดบริการด้านคำปรึกษาของบริษัทฯ โดยเป็นบริการที่ออกแบบมาเพื่อมอบโซลูชันรวมที่ตอบโจทย์ความท้าทายขององค์กรในเรื่องความยั่งยืน รวมถึงการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ โดยนับเป็นครั้งแรกของบริการประเภทนี้ที่ช่วยสร้างสมดุลทั้งด้านวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์และการวางแนวทางด้วยการติดตั้งใช้เทคโนโลยีและการดำเนินการที่จับต้องได้จริง  ให้แนวทางแบบบูรณาการอย่างเต็มรูปแบบ ที่ครอบคลุมทั้งเรื่องการบริหารจัดการพลังงาน ประสิทธิภาพด้านการใช้ทรัพยากร การจัดซื้อพลังงานหมุนเวียน การชดเชยคาร์บอน การลดการปล่อยคาร์บอนในห่วงโซ่คุณค่า และการรวบรวมและเปิดเผยข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วย AI

แม้ว่าจะมีทั้งข้อตกลงปารีสและคำมั่นสัญญามากมายจากองค์กรระดับโลกนับหลายพันแห่งก็ตาม แต่ก็ยังคงต้องติดตามเรื่องการเพิ่มอุณหภูมิทั่วโลกที่อาจจะเกินเกณฑ์ที่แนะนำคือ 1.5 องศาเซลเซียส (อุณหภูมิร้อนขึ้นประมาณ 1.2 องศาเซลเซียสอยู่แล้วก่อนช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม)  บริการให้คำปรึกษาอย่างครบวงจรของชไนเดอร์ อิเล็คทริค จะรวมเครื่องมือด้านการประเมินและการพัฒนากลยุทธ์ไว้ด้วยกัน พร้อมให้แนวทางในการนำไปการติดตั้งใช้งาน และให้การสนับสนุนเพื่อให้บริษัทขนาดใหญ่และขนาดเล็กสามารถตอบโจทย์เรื่องความยั่งยืนและบรรลุเป้าหมายการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศในระดับโลกได้สำเร็จ

“การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือความท้าทายของทศวรรษนี้ และธุรกิจก็มีบทบาทสำคัญมากในการหยุดเรื่องดังกล่าว ผลที่ได้คือ ผู้บริหารระดับสูงต่างตระหนักกันมากยิ่งขึ้นว่าความยั่งยืนไม่ใช่เรื่องการลงทุนที่ช่วยให้รู้สึกดี แต่เป็นการดำเนินการเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงและพัฒนาความยั่งยืน” สตีฟ วิลไฮท์ รองประธานอาวุโสฝ่ายบริการด้านพลังงานและความยั่งยืน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว

“อย่างไรก็ตาม หากจะเร่งการดำเนินงาน ต้องมีการเปลี่ยนกรอบความคิด แม้ว่าปีที่บันทึกไว้สำหรับพันธสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศคือ 2020 ก็ตาม แต่ก็ยังมีช่องว่างระหว่างความมุ่งมั่นกับการดำเนินการ บริการของเรามุ่งเป้าที่การเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว ช่วยให้ลูกค้ากำหนดกลยุทธ์เชิงการแข่งขันในการลดการปล่อยคาร์บอนโดยอิงตามหลักวิทยาศาสตร์ ในขณะเดียวกันก็สร้างผลกระทบเชิงบวกในแง่ผลกำไร”

แม้ว่าการดำเนินการในส่วนขององค์กร กระตุ้นให้เกิดความคืบหน้าในการตอบสนองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัจจุบัน มีเพียง 23 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรที่ติดอันดับ Fortune 500 ที่ได้ให้คำมั่นสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศต่อสาธารณะ เพื่อบรรลุในปี 2030 ทั้งนี้ บริการให้คำปรึกษาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของชไนเดอร์ อิเล็คทริค จะช่วยให้ลูกค้าเข้าใจความสำคัญของการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นกลยุทธ์ในการลดความเสี่ยง ช่วยกำหนดหรือสร้างความก้าวหน้าในเส้นทางมุ่งสู่ความยั่งยืน และวางกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ บริการดังกล่าวประกอบไปด้วยเรื่องต่อไปนี้

  • การพัฒนากลยุทธ์เพื่อลดการปล่อยคาร์บอน
  • การบริหารจัดการแหล่งข้อมูลระดับโลกด้วย AI
  • การคาดการณ์และตั้งงบประมาณ
  • การบริหารจัดการความเสี่ยงขององค์กร
  • การกำหนดเป้าหมาย และการวางโร้ดแม็ป
  • การระบุศักยภาพและการดำเนินการด้านพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การปรับใช้ไมโครกริดและเทคโนโลยีสะอาด
  • การประเมินโอกาสด้านพลังงานหมุนเวียนและการจัดซื้อ
  • การประเมินและจัดหาตลาดคาร์บอนในภาคสมัครใจ
  • การมีส่วนร่วมและการแก้ปัญหาด้านห่วงโซ่คุณค่าและห่วงโซ่อุปทาน

แนวทางด้านกลยุทธ์และการดำเนินการที่เน้นการปฏิบัติและขับเคลื่อนด้วยข้อมูล คือรากฐานการออกแบบและการบริหารจัดการโดยตรงขององค์กรที่มีจุดมุ่งหมายหลักในการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้รับการยอมรับอย่างต่อเนื่องในการจัดอันดับสำคัญถึงความสำเร็จด้านความยั่งยืน โดยเมื่อไม่นานมานี้ บริษัทฯ ยังได้ประกาศถึงการมุ่งเน้นที่กลยุทธ์ระยะยาวอย่างจริงจัง ด้วยการยึดมั่นและคำนึงถึงสภาพแวดล้อม สังคม และหลักธรรมาภิบาลในทุกแง่มุมของกิจกรรม พร้อมช่วยให้ลูกค้าและพันธมิตรธุรกิจบรรลุวัตถุประสงค์เรื่องความยั่งยืนในองค์กร การประกาศครั้งนี้ เกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่ Corporate Knights บริษัทสื่อและการวิจัยของแคนาดา ได้ออกข่าวการจัดอันดับและการประเมินผลิตภัณฑ์ทางด้านการเงินโดยอิงตามศักยภาพในการสร้างความยั่งยืนขององค์กร นับเป็นครั้งแรกที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริคได้รับการยกย่องให้เห็นเบอร์หนึ่งในดัชนีประจำปีของ 100 องค์กรระดับโลกที่มีความยั่งยืนมากที่สุดในโลก “the Global 100 most sustainable corporations in the world”

การผสานรวมความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ ในฐานะที่ปรึกษารายใหญ่ที่สุดในโลก เรื่องข้อตกลงในการเจรจาซื้อพลังงานในระดับองค์กร พร้อมด้วยเครื่องมือและระบบบริหารจัดการที่ดีที่สุดด้านพลังงานและความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น EcoStruxure™ Resource Advisor, NEO Network™ และ EcoStruxure Microgrid Advisor ซึ่งทำให้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่นำพาองค์กรต่างๆ ไปสู่อนาคตที่ยืดหยุ่นและยั่งยืนได้ในเชิงรุก

ผู้สนใจสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยให้บริษัทชั้นนำอย่าง Faurecia และ Charles River Labs ก้าวสู่การดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศ โดยสามารถเข้าไปที่ webinar ล่าสุดได้ที่ Climate Action in 2021: The Year of Breakthroughs.

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการให้คำปรึกษาของชไนเดอร์ อิเล็คทริค สามารถเยี่ยมชมได้ที่ schneider-electric.com/ess  และเข้าไปดูข่าวสารเกี่ยวกับพลังงานและความยั่งยืน รวมถึงมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มต่างๆ และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ได้ที่ Perspectives พร้อมทั้งติดตาม Schneider Electric Energy & Sustainability Services ได้ที่ LinkedIn

เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เป้าหมายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการช่วยให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราเรียกสิ่งนี้ว่า Life Is On

ภารกิจของเราคือการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลกับคุณ เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน

เราขับเคลื่อนการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกด้านพลังงานและกระบวนการจัดการ เข้ากับผลิตภัณฑ์ตั้งแต่จุดเชื่อมต่อปลายทางไปยังคลาวด์ ระบบควบคุม รวมถึงซอฟต์แวร์และการบริการครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตการทำงานทั้งหมด เพื่อสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการ ทั้งสำหรับบ้าน อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม

เราคือบริษัทระดับโลกที่มีการดำเนินงานในระดับท้องถิ่นมากที่สุด เราสนับสนุนมาตรฐานระบบเปิดและระบบนิเวศของคู่ค้าที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการทำตามวัตถุประสงค์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน และคุณค่าในการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน


Exit mobile version