Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. เปิดศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการ “TFII-Schneider Electric Center of Excellence” แห่งแรกในประเทศไทย

.ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภามหาวิทยาลัย  .ดร.สุชาติ เซี่ยงฉิน อธิการบดี  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เป็นประธานกล่าวเปิดศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการ“TFII-Schneider Electric Center of Excellence” และได้รับเกียรติ H.E. Ambassador Jean-Claude Poimbœuf เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย พร้อมด้วย ผศ.ดร.พรศักดิ์ ศรีสังสิทธิสันติ ผู้อำนวยการสถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยีไทยฝรั่งเศส  นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธานคลัสเตอร์ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย เมียนมาร์ และลาว ดร.ยศศิริ อาริยะกุล ผู้แทนมูลนิธิชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทยและลาว Mr. Arumugaraj Davitdurai Pandian ผู้อำนวยการ ASSIST ดร.นิรุตต์ บุตรแสนลี ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวแสดงความยินดีถึงความร่วมมือของศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการ ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ชั้น 9  อาคารสำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มจพ.

ภายหลังจากร่วมตัดริบบิ้นเปิดศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการด้านอุตสาหกรรมไฟฟ้า/ อิเล็กทรอนิกส์/  ระบบควบคุมอัตโนมัติและพลังงานทดแทนสมัยใหม่ “TFII-Schneider Electric Center of Excellence” อย่างเป็นทางการ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเดินหน้าสู่ความเป็นเลิศด้านอุตสาหกรรม และเป็นแห่งแรกในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันพัฒนานักศึกษา คณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา สถาบันการอาชีวศึกษา ทั้งของรัฐและเอกชน และบุคลากรในภาคอุตสาหกรรม เพื่อผลิตกำลังคนให้มีความเชี่ยวชาญในระบบ ควบคุมอัตโนมัติในงานอุตสาหกรรม ระบบการควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้า ระบบการจัดการพลังงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ   จากนั้นคณะผู้บริหาร มจพ. ได้นำชมการสาธิต การบรรยาย ถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมหลากหลายสำหรับอุตสาหกรรมในยุคดิจิทัล เช่น  IOT Smart Control  Panel และ COBOT ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ผู้ช่วยในการทำงานที่เปี่ยมประสิทธิภาพ เป็นต้น รวมถึงการดำเนินงานสถาบันนวัตกรรมไทยฝรั่งเศสและสำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการ ด้านอุตสาหกรรมไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์/ระบบควบคุมอัตโนมัติ และพลังงานทดแทนสมัยใหม่” (TFII-Schneider Electric Center of Excellence) เกิดขึ้นด้วยร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และบริษัท ชไนเดอร์ (ไทยแลนด์)  โดยจะเป็นหน่วยงานของสถาบันนวัตกรรมไทยฝรั่งเศส ในระยะแรกของการดำเนินงาน TFII-Schneider Electric Center of Excellence จัดฝึกอบรมให้กับคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และฝึกอบรมหลักสูตรวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ให้กับวิทยาลัยเทคนิค และวิทยาลัยการอาชีพ ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำนวน 13 แห่งทั่วประเทศ

ขวัญฤทัย : ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

AI ช่วยโลกได้อย่างไร

ปีเตอร์ เฮอร์เว็ค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เมื่อตอนที่ฉันเป็นนักเรียนในปี 1988 ฉันเขียนวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ และฉันแย้งว่า AI สามารถตรวจจับรูปแบบได้ดีกว่าการตรวจด้วยตา

ในช่วง 30 ปีต่อจากนั้น หัวข้อนี้แทบจะไม่ได้รับความสนใจจากคนทั่วไป ยกเว้นในโลกของวิศวกรด้านซอฟต์แวร์ จนเมื่อปีกว่ามานี่เอง ที่ AI ปรากฏตัวบนเวทีสาธารณะ และมาพร้อมกับเครื่องมือ AI เจนเนอเรชั่นใหม่ ที่สามารถใช้สร้างเนื้อหาที่เป็นลายลักษณ์อักษร ภาพ และเนื้อหาอื่นๆ ได้อย่างฉลาด

ที่จริงแล้ว AI อยู่รอบๆ เรามาระยะหนึ่งแล้ว การค้นหาเว็บแบบง่ายๆ ก็มีความเกี่ยวข้องกับ AI หรือการใช้แชทบอท นั่นก็คือ AI แต่เราจะเห็นการเติบโตแบบทวีคูณ ก็ต่อเมื่อมีการนำ AI มาใช้เพิ่มขึ้น และการใช้งานเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณจะกำหนดรูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตที่เป็นพื้นฐานของเรา นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบมากกับความท้าทายใหญ่ที่สุดที่มนุษยชาติต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิธีที่เราผลิตและใช้พลังงาน

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ไม่ได้ รอ AI

ถ้าจะกล่าวให้ชัดเจนก็คือ แม้ในปีที่ผ่านมาจะมีเรื่องน่าตื่นเต้นเกี่ยวกับ AI อยู่มากมายก็ตาม แต่ AI ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง และก็ไม่ใช่ตัวช่วยที่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างฉับพลันกับการจำกัดภาวะโลกร้อนให้หยุดอยู่ที่ไม่เกิน 1.5°C เหมือนช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม

ดังนั้น การเกิดขึ้นของ AI จะต้องไม่เบี่ยงเบนความสนใจของเราจากการใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ เช่น พลังงานทดแทน ยานพาหนะไฟฟ้าและปั๊มความร้อน ตลอดจนซอฟต์แวร์ระบบอัตโนมัติและการจัดการอาคารที่ช่วยปรับปรุงกระบวนการและการใช้พลังงานในอาคาร โรงงานอุตสาหกรรม และโครงสร้างพื้นฐานให้ใช้งานได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

หากมองถึงอาคารและอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ซึ่งคิดเป็นประมาณ 37% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตและพลังงานทั่วโลก ตามรายงานล่าสุดจากโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ

อาคารใหม่ทุกหลังที่สร้างขึ้นในปัจจุบันสามารถเป็น Net Zero ได้จริง โดยใช้การผสมผสานพลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่แล้วในท้องถิ่น (เช่น พลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา) รวมถึงเซ็นเซอร์และซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกิจกรรมการใช้พลังงานได้สูงสุด นี่ไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์ที่ต้องพึ่งพาการพัฒนา AI ในอนาคต แต่เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ที่เรานำมาใช้ในอาคาร IntenCity ของเราในเมืองเกรอน็อบล์ ประเทศฝรั่งเศส และเรายังช่วยให้อีกหลายๆ อาคารนำแนวทางนี้มาปรับใช้ด้วยเช่นกัน

ในทำนองเดียวกัน เราจำเป็นต้องเร่งนำเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานและให้คาร์บอนต่ำ มาปรับใช้กับบรรดาอาคารที่มีอยู่ในการติดตั้งเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดทั้งต้นทุน รวมถึงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากและเร็วกว่าที่หลายคนเคยรับรู้ โดยไม่จำเป็นต้องรอเครื่องมือ AI ใหม่ เพราะเรื่องเหล่านี้สามารถทำได้ทันที

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและ AI ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนด้วยพลังเทอร์โบ

ความตื่นเต้นมากมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ AI เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เนื่องจากเมื่อจับคู่เทคโนโลยีดังกล่าว เข้ากับ AR (augmented reality) VR (virtual reality) รวมถึง digital twins และ IoT จะยิ่งทำให้  AI ช่วยให้เราเข้าถึงประสิทธิภาพได้มากขึ้น รวดเร็วยิ่งขึ้น และเมื่อเป็นเรื่องของพลังงาน การที่ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นย่อมหมายถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่ลดลง

ตัวอย่างเช่น ไมโครกริดเป็นเครือข่ายไฟฟ้าแบบครบวงจรที่จ่ายไฟให้กับบ้าน ธุรกิจ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ โดยใช้เครื่องกำเนิดพลังงานส่วนตัว (ตามหลักการเป็นพลังงานหมุนเวียน) และการกักเก็บพลังงานในรูปของแบตเตอรี่ โดยซอฟต์แวร์อัจฉริยะสามารถเชื่อมต่อองค์ประกอบต่างๆ เข้ากับระบบสายส่ง (Utility grids) ได้ ทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและต้นทุนของพลังงาน อีกทั้งช่วยคาดการณ์ เพื่อให้สามารถใช้พลังงานอย่างเหมาะสมได้แบบอัตโนมัติ ทั้งเรื่องการผลิต การกักเก็บและนำมาใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่าย ถึงเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่าย รวมถึงจำนวนไฟฟ้าที่ผลิตได้ ตลอดจนการปล่อย CO2

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กับ AI และศูนย์ข้อมูล

เราจำเป็นต้องมองเพื่อให้เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของ AI และศูนย์ข้อมูลที่เป็นขุมพลังนั้น จำเป็นต้องอาศัยน้ำและพลังงาน รวมถึงมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างไรบ้าง เราคาดการณ์ว่าในขณะที่โลกเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นประมาณสองเท่าภายในปี 2571 และสัดส่วนในการใช้งานที่มาจาก AI จะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดในเวลานั้น โดยเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์

สิ่งสำคัญก็คือ การใช้ AI จะต้องไม่นำไปสู่ปัญหาด้านพลังงานหรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น การเพิ่มประสิทธิภาพซอฟต์แวร์การประมวลผลอย่างต่อเนื่อง จะช่วยจัดการกับความท้าทายนี้ โดยการปรับเปลี่ยนการออกแบบและการบริหารจัดการศูนย์ข้อมูล เช่น การเปลี่ยนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบเครื่องยนต์ดีเซลให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำความสะอาดสตอเรจ และใช้การระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นพิเศษ เป็นต้น

เร่งดำเนินการด้านสภาพอากาศด้วย AI (และที่ไม่ใช้ AI)

บางคนชอบ AI ในขณะที่บางคนกลัว AI แต่ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม พลังการเปลี่ยนแปลงของ AI นั้นยิ่งใหญ่กว่าการถือกำเนิดของอินเทอร์เน็ตในทศวรรษ 1990 เสียอีก และ AI ก็เหมือนกับอินเทอร์เน็ต นั่นคือ จะทำงานได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อถูกนำมาใช้งานอย่างมีจรรยาบรรณและรับผิดชอบ โดยให้ขุมพลังที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และถูกใช้เป็นเครื่องมือที่ให้ความคล่องตัวในการทำงาน มากกว่าที่จะเป็นเป้าหมายปลายทางของผลลัพธ์ เป็นตัวช่วยมากกว่าการนำมาทดแทนผลลัพธ์จากมนุษย์ที่จำเป็นจะต้องผ่านการรับรองคุณภาพสูงสุด

นอกจากนี้ ยังไม่ควรให้ AI มาเบี่ยงเบนเราจากการใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วในตอนนี้ เพราะไม่ว่าจะมีหรือไม่มี AI ก็ตาม เราก็ยังสามารถติดตั้งฟาร์มกังหันลมและสถานีชาร์จ EV ได้มากขึ้น และใช้เครื่องมือดิจิทัลที่มีอยู่ปรับปรุงวิธีการออกแบบ สร้างและดำเนินการด้านอาคารและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ มากมาย รวมถึงการบำรุงรักษา

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการใช้งาน AI อย่างเหมาะสม AI จะเป็นตัวเร่งที่จำเป็นและให้ขุมพลังแก่เทคโนโลยีที่มีอยู่ ช่วยเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ ช่วยสนับสนุนความมุ่งมั่นพยายามของเราในการควบคุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

#Schneider Electric


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัวเบรกเกอร์สายพันธุ์ฮีโร่ GoPact ซีรีย์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัวใหม่ เบรกเกอร์ GoPact MCCB พันธุ์แกร่ง พันธุ์ Go! สายพันธุ์ฮีโร่ ในราคาสุดคุ้ม สำหรับโครงการขนาดย่อม เล็งเจาะกลุ่ม  คอนโดมิเนียม ที่พักอาศัย อพาร์ทเมนต์ อาคารทั่วไป โรงงานขนาดย่อม คลังสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ด้วยการใช้งานที่ง่าย และให้ความยืดหยุ่น โดยมีถึง 5 ขนาดให้เลือก มาพร้อมความกะทัดรัด และให้ความสะดวกสำหรับการเลือกใช้ในแต่ละโครงการ ส่วนของทริปยูนิตมีให้เลือกตั้งแต่ 16 แอมป์ ไปจนถึง 800 แอมป์ และในแต่ละขนาดยังสามารถปรับขยายทริปยูนิตได้ ทำให้เมื่อมีโหลดที่เพิ่มขึ้นหน้างานสามารถปรับตั้งค่าได้ทันที พร้อมให้ค่า กระแสลัดวงจรสูงสุด (Breaking Capacity) ที่ทนทานกระแสได้ตั้งแต่ 15 กิโลแอมป์ ถึง 70 KA เลยทีเดียว ขณะที่เบรกเกอร์รุ่นราคาเทียบเท่ากัน ทนกระแสเริ่มที่เพียง 5 KA นอกจากนี้ ยังมีอายุการใช้งานทางกลยาวนานสูงสุดถึง 30,000 ครั้ง ที่อุณหภูมิ 55 องศา

นายเผดิมศักดิ์ รัตนเรืองศักดิ์ รองประธานฝ่ายธุรกิจ เพาเวอร์ โพรดักส์ ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ไทย ลาว และเมียนมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยว่า “สินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เบรกเกอร์ ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค สำหรับกลุ่มอาคาร มีให้เลือกหลายรุ่นตามความต้องการของโครงการต่างๆ สำหรับติดตั้งในตู้เมนดิสตริบิวชั่นบอร์ด (Main Distribution Board) ซับดิสตริบิวชั่นบอร์ด (Sub Distribution Board) ดิสตริบิวชั่นบอร์ด (Distribution Board) มีตั้งแต่รุ่นที่เชื่อมต่อกันได้ในแบบ IoT เพื่อมอนิเตอร์ข้อมูลการใช้พลังงานสำหรับอาคารขนาดใหญ่ และที่ต้องการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลแบบเต็มรูปแบบ อาทิ MasterPact ซีรีย์, Compact ซีรีย์ ขณะที่เบรกเกอร์ GoPact เป็นรุ่นใหม่ล่าสุด มุ่งเน้นที่อาคารขนาดย่อม ที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนด้านการมอนิเตอร์พลังงานแบบเต็มรูปแบบ GoPact จึงถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานง่าย ทนทาน แต่มีความยืดหยุ่นในการใช้งานสำหรับผู้รับเหมาโครงการ และผู้ประกอบการโรงตู้ รวมไปถึงการที่ติดตั้งและการปรับใช้งานที่ง่ายสำหรับช่างไฟ ไม่มีความซับซ้อนในการติดตั้ง และช่วยให้งานเสร็จเร็ว และบำรุงรักษาง่าย ขณะที่ราคาคุ้มค่า”

โดย GoPact ซีรีย์ ใหม่จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีให้เลือก 5 ขนาด ตามความต้องการของแต่ละโครงการ ตั้งแต่รุ่น GoPact 125 ขนาด 15 KA, 30 KA, GoPact 200 ขนาด 25 KA, 36 KA, GoPact 250 ขนาด 25 KA, 36 KA, GoPact 400 ขนาด 36 KA, 50 KA, GoPact 800 ขนาด 50 KA, 70 KA ทุกรุ่นผลิตจากเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีทริปยูนิตในตัว ผลิตจากวัสดุคุณภาพเยี่ยม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้รับมาตรฐาน IEC60947-2 และได้รับฉลากอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กรีนพรีเมี่ยม (Green Premium) ที่ให้ความปลอดภัย ทั้งเรา และทั้งโลก ทำให้มั่นใจได้ว่ารองรับโครงการที่มีนโยบายอาคารสีเขียวอีกด้วย

Go Pact ซีรีย์ ให้ความคุ้มค่าทั้ง ประสิทธิภาพ ฟังก์ชั่น และราคาที่พร้อม Go!!! สามารถหาซื้อได้ผ่านร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าชั้นนำทั่วประเทศและช่องทางช้อปออนไลน์ต่างๆ ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม แอดไลน์ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่นี่ https://lin.ee/XukMLED หรือ ID @se-th


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จับมือ วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) รุกตลาดไทย ขยายโอกาสทางดิจิทัลให้ครอบคลุมทั่วประเทศ

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จับมือ วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จัดทัพโซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีแบบพร้อมใช้ ชูโซลูชั่นไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ พร้อมเทคโนโลยี UPS แบบแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (Lithium-ion) และซอฟต์แวร์อัจฉริยะ เพื่อเสริมแกร่งด้านโครงสร้างพื้นฐานไอทีให้กับภาคธุรกิจเป้าหมาย โดยความร่วมมือนี้ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของทั้งสองบริษัท ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านโครงสร้างพื้นฐานอินฟราสตรัคเจอร์ที่ครบวงจร และนวัตกรรมใหม่จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค ให้ผสานกับผลิตภัณฑ์ในพอร์ตโฟลิโอของ วีเอสที อีซีเอส ตั้งแต่อุปกรณ์ UPS สำหรับธุรกิจตั้งแต่ เฟส ไปจนถึง 3 เฟส โดยโฟกัสรุ่นที่ใช้นวัตกรรมลิเธียมไอออน ครอบคลุมถึงโซลูชั่นไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ พร้อมกับโซลูชั่นซอฟต์แวร์อัจฉริยะจากชไนเดอร์ อิเล็คทริค เพื่อให้เป็น End to End โซลูชั่นด้านไอที ที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการในแต่ละอุตสาหกรรม

นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลประเทศไทย ลาวและเมียนมา เผยว่า “ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เราเป็นผู้นำระดับโลกด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการบริหารจัดการพลังงาน และระบบออโตเมชั่น เพื่อความยั่งยืน โดยมีความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ ที่อยู่อาศัย อาคาร ไอที โรงงานอุตสาหกรรม โครงข่ายไฟฟ้า ซึ่งความร่วมมือกับทาง วีเอสที อีซีเอส เรามุ่งเน้นไปที่การเพิ่มช่องทางขยายผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นในกลุ่มธุรกิจไอทีและดิจิทัล และขยายให้ครอบคลุมทุกหัวเมืองหลักในประเทศไทย เพื่อเป็นการช่วยต่อยอดเพื่อให้ภาคธุรกิจเข้าถึงโซลูชั่นด้านโครงสร้างพื้นฐานไอทีได้ง่ายขึ้น ทั้งในส่วนของตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ โคโลเคชั่น (Colocation) และตลาดในภาคอุตสาหกรรม 4.0  ที่ต้องใช้การประมวลผลด้านไอทีและการสำรองไฟเข้ามาเกี่ยวข้อง พวกเราจะทำงานร่วมกันในการนำเสนอโซลูชั่นและบริการด้านไอทีแบบครบวงจรให้กับลูกค้าในภาคธุรกิจทั่วประเทศ”

คุณสมศักดิ์ เพ็ชรทวีพรเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า “วีเอสที อีซีเอส เป็นผู้แทนการจัดจำหน่ายสินค้าและโซลูชั่นไอทีของไทยมานานกว่า 35 ปี ปัจจุบันเราเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ชั้นนำระดับโลกกว่า 70 แบรนด์ การร่วมมือกับทางชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในครั้งนี้ วีเอสที อีซีเอส ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ APC อย่างเป็นทางการ โดยถือสินค้าทุกหมวดหมู่และยังมุ่งเน้นที่เทคโนโลยีล่าสุดอย่าง APC Smart-UPS Lithium-ion และโซลูชั่นซอฟต์แวร์อัจฉริยะ ซึ่งทางวีเอสทีได้มีโอกาสได้ใช้สินค้าเหล่านี้จริงในสาขาทั่วประเทศและจะสามารถเข้ามาช่วยเติมเต็มความต้องการของลูกค้าให้สามารถทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์มได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น บริษัทมีความพร้อมด้านบุคลากรการตลาด การขายเอ็นจิเนียร์ รวมถึงระบบการทำงานภายในที่มีประสิทธิภาพ และมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 6,000 ราย ที่สำคัญคือ เรามีสำนักงานสาขา ซึ่งเป็น Sales Office กระจายอยู่ใน 11 จังหวัดทั่วไทย ที่มีสินค้ารุ่น Exclusive พร้อมอำนวยความสะดวกให้ตัวแทนจำหน่ายได้สัมผัสสินค้าจริงทั้งในเมืองหลักและเมืองรองและยังสามารถติดต่อประสานงานกับทีมขายและ Engineer Team ได้อย่างใกล้ชิดเต็มที่ ผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศเชื่อมั่นได้เลยว่าด้วยศักยภาพทั้งหมดของเราจะช่วยต่อยอดขายผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยให้ยอดขายลูกค้าในภาคธุรกิจทั่วประเทศให้เติบโตได้อย่างแน่นอน”

คุณอาทิตยา สูรพันธุ์ รองประธานกลุ่มธุรกิจ Secure Power ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา ระบุว่า ”โดยความร่วมมือในครั้งนี้ ทาง VST ECS จะมุ่งเน้นทำการตลาดสำหรับกลุ่มโซลูชั่นด้านไอที ครอบคลุม ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม UPS แบบแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ รวมไปถึง ซอฟต์แวร์ EcoStruxure IT ซึ่งโซลูชั่นเหล่านี้จะช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถลดค่าใช้จ่ายในการลงทุน (CAPEX) และ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ในระยะยาวได้ ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพด้านไอที ลดการเกิดดาวน์ไทม์ และการชัตดาวน์ที่ไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า

เทคโนโลยี UPS แบบลิเธียมไอออนครบไลน์ ให้ขนาดที่บางลง อายุการใช้งานนานกว่า 3 เท่า ชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วขึ้น 2 เท่า อายุการใช้งานราว 10 ปี เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีเดิม ช่วยลดต้นทุนตลอดอายุการใช้งาน นอกจากนี้ UPS ยังมาพร้อมระบบอัจฉริยะอาทิ  eConversion เป็นโหมดสำหรับ UPS แบบ 3 เฟส ที่เป็นสิทธิบัตรของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยให้เวลาในการสลับโหมดการทำงานเป็นศูนย์ จึงให้ประสิทธิภาพสูงสุดถึง 99%

โซลูชั่นไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ หรือ MDC (Micro Data Center) มาพร้อมเทคโนโลยีโซลูชั่นที่ครบครัน ในตู้เดียว อาทิ UPS ระบบปรับอากาศ ระบบเซ็นเซอร์ ระบบตรวจจับอุณหภูมิ ความชื้น ระบบ PDU ระบบการมอนิเตอร์ และระบบการทำงานระยะไกล เป็นต้น ซึ่งมีให้เลือกหลายแบบหลายขนาด สำหรับสภาพแวดล้อมด้านไอทีและการใช้งานที่แตกต่างกัน เช่น ในสำนักงาน โรงงานอุตสาหกรรม หรือพื้นที่ไอทีในอาคารทั่วไป

ซอฟต์แวร์อัจฉริยะ เครื่องมือที่ช่วยเปลี่ยนวิถีการทำงานแบบดั้งเดิม ให้ไปสู่ชีวิตการทำงานแบบดิจิทัล และมีความแม่นยำมากขึ้น ช่วยในการควบคุม สั่งงาน มอนิเตอร์ระยะไกล เพื่อการตัดสินใจในกรณีที่คาดไม่ถึง โดยไม่ต้องเข้าไปที่ไซต์งาน อาทิ Network Management Card for Easy UPS, EcoStruxure IT Expert ช่วยให้ง่ายในการแก้ปัญหา และคาดการแนวโน้มการใช้พลังงานได้ ให้ความยืดหยุ่นสำหรับสภาพแวดล้อมไอที และอุตสาหกรรมในยุค 4.0

วีเอสที อีซีเอส และชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีวิสัยทัศน์ร่วมกันและเล็งเห็นถึงหัวใจสำคัญที่องค์กรต่างๆ จะนำพาธุรกิจให้เติบโตได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น นั่นคือการทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัล  ด้วยระบบไอทีที่มีประสิทธิภาพ ใช้งานง่าย และระบบสำรองไฟเชื่อถือได้ และเสริมให้ธุรกิจไปสู่ความเติบโตแบบยั่งยืนในอนาคต ความร่วมมือในครั้งนี้นับว่าเป็นก้าวสำคัญในการขยายตลาด และเพื่อให้องค์กรธุรกิจที่กำลังมองหาระบบโครงสร้างไอทีที่มีประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงาน และมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผลักดันให้เร่งลดคาร์บอน โดยมุ่งเน้นที่พลังงานไฟฟ้าและการเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัลในการประชุม World Economic Forum ณ เมืองดาวอส

กรุงเทพ (ประเทศไทย) วันที่ 29 มกราคม 2567 – ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำระดับโลกด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นด้านการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ เร่งผลักดันความจำเป็นในการนำเทคโนโลยีที่มีอยู่มาปรับใช้มากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นเรื่องลุกลามจนไม่สามารถควบคุมได้

การเร่งแก้ไขเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และราคาพลังงานที่ผันผวน รวมถึงความกดดันจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อให้เร่งจัดการความเสี่ยงเหล่านี้ ล้วนเป็นปัจจัยผลักดันให้ความยั่งยืนทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและความสามารถในการฟื้นฟูพลังงานกลายเป็นวาระสำคัญขององค์กร รวมถึงนโยบายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้กลายเป็นประเด็นหลักในการประชุมประจำปีของ World Economic Forum ที่จัดขึ้น ณ เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 15-19 มกราคม โดยมีผู้บริหารระดับสูงของชไนเดอร์ อิเล็คทริคหลายคนที่ได้เข้าร่วมงานนี้เช่นกัน

“เนื่องจากการใช้พลังงานทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนมากถึง 80% ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานจึงเป็นปัจจัยหลักสำคัญที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน” ปีเตอร์ เฮอร์เวค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “ศักยภาพของ AI กำลังดึงความสนใจของทุกคนอยู่ในขณะนี้ แต่ต้องไม่ลืมว่าเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งการผลิตพลังงานทดแทน เครื่องมือดิจิทัลและการใช้พลังงานไฟฟ้า ช่วยลดความต้องการใช้พลังงานได้ ด้วยการทำให้ไซต์งานและการดำเนินงานมีประสิทธิภาพด้านพลังงานมากขึ้น โดยสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปัจจุบันได้อย่างรวดเร็ว  เพราะโลกไม่มีเวลารอวิธีการแก้ปัญหาของวันพรุ่งนี้ ในเมื่อสิ่งที่เรามีอยู่ในปัจจุบันสามารถทำอะไรได้มากมาย”

การดำเนินการจากภาคเอกชนที่เป็นบริษัทต่างๆ ในทั่วโลก คือหัวใจสำคัญที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงนับเป็นสิ่งที่น่าส่งเสริมให้โลกธุรกิจให้คำมั่นสัญญาต่อความยั่งยืนและการลดคาร์บอนมากขึ้น โดยในเดือนมกราคม 2024 มีบริษัทมากกว่า 4,200 แห่งทั่วโลกได้กำหนดเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งได้รับการตรวจสอบโดยโครงการริเริ่ม Science Based Targets (SBTi) เป็นต้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมเรื่องประสิทธิภาพด้านพลังงานกำลังได้รับการยอมรับมากขึ้น โดยในปีที่ผ่านมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้ร่วมมือกับสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศในการนำพารัฐบาลและผู้นำจากหลายธุรกิจมารวมตัวกันเพื่อการประชุมใหญ่ในหัวข้อดังกล่าว

รายงานใหม่ที่เผยแพร่โดย World Economic Forum เมื่อวันที่ 8 มกราคม พบว่า การดำเนินการด้านการใช้พลังงานด้วยการประหยัดพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน รวมถึงความร่วมมือที่ช่วยสร้างคุณค่าในเรื่องดังกล่าว สามารถช่วยปลดล็อกต้นทุนด้วยการประหยัดเงินให้กับระบบเศรษฐกิจในวงกว้างได้มากถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งยังช่วยหลีกเลี่ยงให้ไม่ต้องมีการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมได้อีก 3,000 แห่ง หากสามารถดำเนินการในเรื่องดังกล่าวได้ก่อนปี 2030

นอกจากนี้ การวิจัยที่ดำเนินการโดย ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เมื่อเร็วๆ นี้ แสดงให้เห็นว่าการติดตั้งโซลูชันบริหารจัดการพลังงานและอาคารด้วยระบบดิจิทัลให้กับอาคารที่มีอยู่ สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในการปฏิบัติงานได้มาก อีกทั้งให้การคืนทุนได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาไม่ถึงสามปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันมหาศาลจากแค่ส่วนนี้เพียงส่วนเดียว

โอกาสและความท้าทายในการจัดการกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 3

ส่วนอื่นๆ ที่ต้องมุ่งเน้น คือการจัดการกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากบริษัทต่างๆ ที่เกิดจากการดำเนินกิจกรรมที่จัดอยู่ใน Scope 3 ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามกระบวนการต่างๆ ในห่วงโซ่คุณค่า หรือ value chain ขององค์กรตั้งแต่กระบวนการก่อนการผลิต เริ่มจากการจัดหาวัตถุดิบ (upstream) ไปจนถึงกระบวนการในการจัดส่งจนสินค้าถึงมือผู้บริโภค (downstream) และนับเป็นกระบวนการที่ปล่อยคาร์บอนมากที่สุดขององค์กร มากกว่า 70% สอดคล้องตามข้อมูลจาก UN Global Compact

การปฏิรูปด้านซัพพลายเชนทั่วโลกในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ช่วยผลักดันให้หัวข้อนี้กลายเป็นวาระสำคัญขององค์กร กว่าสองในสามของผู้นำธุรกิจที่เข้าร่วมการสัมภาษณ์เพื่อจัดทำเป็นรายงาน โดยชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในปีที่ผ่านมา กล่าวว่าความกดดันด้านกฏระเบียบทำให้ผู้บริหารเหล่านี้ต้องเร่งคิดแผนงานในการลดคาร์บอนร่วมกับพันธมิตรด้านซัพพลายเชน บรรดาผู้ที่เข้าร่วมการสำรวจยังกล่าวว่า ตนกำลังเห็นว่าบรรดานักลงทุนและหน่วยงานด้านการเงินทั้งหลายมีความต้องการข้อมูลด้านการลดคาร์บอนในซัพพลายเชนเพิ่มขึ้น

“องค์กรธุรกิจต่างๆ ที่กำลังให้ความสนใจอย่างจริงจังเกี่ยวกับการลดคาร์บอน ต้องมองไปให้ไกลกว่าเรื่องการดำเนินงานในองค์กรของตัวเอง พร้อมกับต้องจัดการเรื่องนี้ใน value chain ทั้งหมด และต้องตระหนักว่า การผลักดันพร้อมให้การช่วยเหลือซัพพลายเชนและพันธมิตรทางธุรกิจอื่นๆ จะช่วยสร้างประสิทธิภาพด้านพลังงานมากขึ้น ด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าและเทคโนโลยีระบบดิจิทัล รวมถึงการจัดซื้อพลังงานที่สะอาดขึ้น เหล่านี้คือประเด็นสำคัญที่ช่วยแก้โจทย์เรื่องนี้” โอลิเวียร์ บลูม รองประธานบริหาร ฝ่ายบริหารจัดการพลังงาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย คว้า “สถานที่ทำงานที่ยอดเยี่ยม ปี 2567” จาก Great Place to Work®

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นด้านการจัดการพลังงาน และระบบออโตเมชั่น ได้รับการรับรองมาตรฐานในการเป็นสถานที่ทำงานที่ยอดเยี่ยม จาก Great Place to Work® อย่างต่อเนื่อง โดยการรับรองดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องในการที่ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ต้องการสร้างองค์กรที่ดีที่สุดเพื่อพนักงาน โดยมีเป้าหมายที่ให้คุณค่าในเรื่องการทำงาน ตลอดจนการสนับสนุนให้เกิดวัฒนธรรมการยอมรับความแตกต่าง และการเพิ่มขีดความสามารถ และเสรีภาพในการทำงานของพนักงาน

นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยว่า “ผมรู้สึกภูมิใจที่เราได้รับการรับรองให้เป็นสถานที่ทำงานที่ยอดเยี่ยม หรือ Great Place to Work ความสำเร็จนี้นับเป็นภาพสะท้อนถึงความพยายามและความมุ่งมั่นในการสร้างสภาพแวดล้อมเชิงบวก ที่ทุกคนสามารถสร้างแรงบันดาลใจที่ดีต่อกันและกัน เจริญเติบโตไปด้วยกัน แบ่งปันองค์ความรู้ซึ่งกันและกัน เรียกได้ว่าเป็นทีมเวิร์กที่ดีที่สุด ทำให้เราสามารถเป็นที่ไว้วางใจแก่ลูกค้า คู่ค้า ตลอดทั้ง Ecosystem ที่เราให้บริการ”

สิ่งที่ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยึดถือเสมอคือการต้องทำให้พนักงานรู้สึกมีคุณค่าและปลอดภัย และสิ่งนี้คือกุญแจสำคัญในการสร้างนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ ประสิทธิภาพ และความคล่องตัวที่มากขึ้น และจะนำพวกเขาไปสู่ความสำเร็จ นอกจากนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังสนับสนุนให้พนักงานมอบสิ่งที่มีคุณค่าสู่สังคม ชุมชน และโลกอีกด้วย

Great Place to Work® เป็นองค์กรระดับโลกที่มุ่งเน้นการวิจัยไปที่วัฒนธรรมองค์กร ที่ผ่านมาได้สำรวจพนักงานมากกว่า 100 ล้านคนทั่วโลก ตั้งแต่ปี 1992 และใช้ข้อมูลเชิงลึกนั้นเพื่อพิจารณาว่าอะไรที่เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยมและได้รับความไว้วางใจ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

5 แนวทางในการมอนิเตอร์ หม้อแปลงไฟฟ้าด้วยดิจิทัล ที่ช่วยหลีกเลี่ยงความเสียหายพร้อมยืดอายุการใช้งาน และลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน

โดย ฟิลิปป์ อาร์ซอนโน รองประธานอาวุโส ธุรกิจบริการ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

หม้อแปลงไฟฟ้า นับเป็นหัวใจสำคัญของระบบจำหน่ายไฟฟ้าไม่ว่าจะเป็น โรงงานอุตสาหกรรม ศูนย์ข้อมูลหรือสถานที่ที่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก และบ่อยครั้งที่มักจะมองข้ามความสำคัญของเรื่องนี้ไป แต่หากเมื่อเกิดความเสียหายกับหม้อแปลงขึ้นมา ความเสียหายส่วนใหญ่อาจร้ายแรงอย่างคาดไม่ถึง

ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ขัดข้องของหม้อแปลงไฟฟ้าในกรุงปารีสเมื่อก่อนหน้านี้ ส่งผลให้บ้านเรือนกว่า 65,000 หลังคาเรือนไฟดับ หรือกรณีที่โรงงานผลิตน้ำประปาในเมืองฮูสตัน สหรัฐอเมริกา ต้องออกคำแนะนำให้ต้มน้ำก่อนดื่ม เนื่องจากหม้อแปลงไฟฟ้าสองตัวเกิดความเสียหาย ดังนั้นการป้องกันความเสียหายให้กับหม้อแปลงไฟฟ้าจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพื่อให้ธุรกิจ หรือระบบสาธารณูปโภคโภคดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น ปลอดภัย พร้อมลดต้นทุนในการดำเนินงาน

เทคโนโลยียุคใหม่ช่วยให้งานตรวจสอบและวิเคราะห์การทำงาน หม้อแปลงไฟฟ้า มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

ผลการสำรวจที่ทำขึ้นโดย Midel จากกลุ่มของ ผู้ผลิตสินค้า ผู้ประกอบการ และบริษัททางด้านสาธารณูปโภค พบว่าเกือบทั้งหมดเคยพบปัญหาหม้อแปลงไฟฟ้าหยุดทำงานในช่วง ปีที่ผ่านมา ครึ่งหนึ่งของผู้ที่พบปัญหาบอกว่าส่งผลกระทบรุนแรงหรือทำให้ธุรกิจถึงกับหยุดชะงัก และผู้ร่วมตอบคำถามส่วนใหญ่ยังมีความกังวลในเรื่องการเข้าบำรุงรักษา และระยะเวลาที่ระบบหยุดทำงาน รวมถึงสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่าย

การกำหนดช่วงเวลาบำรุงรักษาอุปกรณ์สำคัญประเภทนี้ทำได้ยาก เพราะเราขาดข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานะการทำงานจริง ผลลัพธ์คือ องค์กรมักเลือกทางปลอดภัย เช่น ลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าหรือเปลี่ยนทดแทนก่อนกำหนด ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งรายจ่ายในการดำเนินงาน (OpEx) และรายจ่ายด้านต้นทุน (CapEx) อย่างมาก

เมื่อก่อนองค์กรส่วนใหญ่มักจะมีผู้เชี่ยวชาญที่คลุกคลีกับการทำงานของหม้อแปลงไฟฟ้า ทั้งยังสามารถจดจำได้ทั้งเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา เช่น เหตุการณ์โหลดเกิน ฟ้าผ่า เหตุการณ์ขัดข้อง รวมถึงประวัติการดูแลรักษาได้อย่างแม่นยำ เรียกว่ารู้จักหม้อแปลงไฟฟ้าทุกตัวที่มี รวมถึงผลการตรวจสอบน้ำมันที่อยู่ในตัวหม้อแปลงไฟฟ้า ทำให้ที่ผ่านมาการตัดสินใจใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับหม้อแปลงไฟฟ้าทั้งหมดขององค์กรที่มีอยู่ ผ่านการคาดการณ์ของบุคคลเหล่านี้รวมถึงการคาดการณ์และแนวโน้มการหมดอายุอีกด้วย

อย่างไรก็ตามในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์หลายคนต่างเกษียณอายุ ทำให้เกิดช่องว่างความรู้ด้านการดูแลหม้อแปลงไฟฟ้า เพราะองค์ความรู้เก่าไม่ได้ถูกถ่ายทอดให้วิศวกรรุ่นใหม่เข้าถึงได้ง่าย สิ่งนี้สร้างปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทีมขนาดเล็กที่ต้องรับผิดชอบอุปกรณ์หลากหลาย

เพื่อให้สามารถคาดการณ์และจัดการความล้มเหลวของหม้อแปลงไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทีมปฏิบัติการและบำรุงรักษาจำเป็นต้องมีข้อมูลเชิงลึกที่ดีขึ้นเกี่ยวกับสภาพของหม้อแปลงไฟฟ้าที่มีความแม่นยำ

5 เหตุผลสำคัญในการนำระบบตรวจสอบและวิเคราะห์หม้อแปลงไฟฟ้าแบบต่อเนื่องมาใช้

ตั้งแต่อดีตจนถึงวันนี้ การบำรุงรักษาหม้อแปลงไฟฟ้ามักจะเป็นไปแบบคาดเดา อาศัยการตรวจสอบตามกำหนดเวลาซึ่งสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายและไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ โซลูชันการบำรุงรักษาตามสภาพแบบใหม่ (Condition-based maintenance) อย่างเช่น EcoStruxure Transformer Expert จาก Schneider Electric ช่วยให้สามารถป้องกันปัญหาในเชิงรุก และช่วยให้ตัดสินใจเกี่ยวกับการบำรุงรักษาและเปลี่ยนแทนที่ได้อย่างแม่นยำ โดยอิงจากข้อมูลเชิงลึก ซึ่งระบบจะมีการมอนิเตอร์และให้การวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนวัตกรรมใหม่นี้ช่วยลดเวลาการหยุดทำงานในภาพรวม ทั้งยังลดความเสี่ยงอีกด้วย

เหตุผลสำคัญที่ควรใช้แนวทางใหม่ในการบำรุงรักษาหม้อแปลงไฟฟ้า

  1. พลังงานฟ้าที่มาจากหลายแหล่ง ปัจจุบันรูปแบบของพลังงานไฟฟ้ามีที่มาที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ ลม การจัดเก็บพลังงาน สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และแหล่งพลังงานอื่นๆ กำลังเข้ามามีบทบาท ส่งผลให้ลักษณะการทำงานของกริดแตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการพีคของพลังงานลมและแสงอาทิตย์ ซึ่งสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในโหลดของหม้อแปลง ปริมาณฮาร์มอนิกที่สูงขึ้น และการไหลแบบสองทิศทาง กระบวนทัศน์ใหม่นี้หมายความว่าไม่สามารถใช้ความรู้ในอดีตเพื่อคาดการณ์อนาคตได้ เนื่องจากเงื่อนไขใหม่เหล่านี้จะส่งผลกระทบต่ออายุของหม้อแปลงในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป
  2. การบำรุงรักษาตามสภาพช่วยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในยุคที่ทีมงานมีขนาดเล็กลง อีกทั้งทรัพยากรกระจายตัวอยู่ตามที่ต่างๆ การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานถือเป็นหัวใจสำคัญ ดังนั้นระบบการบำรุงรักษาตามสภาพ (Condition-based maintenance) หรือ บำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ (Predictive maintenance) จะเข้ามาตอบโจทย์ ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างต่อเนื่องและมีการแจ้งเตือนอัจฉริยะ ในการเผยสัญญาณความเสื่อมของอุปกรณ์ก่อนเกิดความล้มเหลว โดยจะช่วยจัดอันดับความเสี่ยงและจัดลำดับความสำคัญของการบำรุงรักษา การซ่อมแซม และการเปลี่ยนเพื่อลด CAPEX หรือ ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน และ OPEX หรือ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
  3. ผลกระทบของการหยุดทำงานของระบบอาจใหญ่หลวง เมื่อเกิดปัญหาเข้าจริงๆ บางครั้งครอบคลุมระยะเวลาถึง 6 เดือนหรือ 12 เดือน กว่าจะหาอะไหล่หรืออุปกรณ์ตัวใหม่มาติดตั้งแทน ฉะนั้นความสามารถในการมองเห็นสุขภาพของตัวหม้อแปลงไฟฟ้าเป็นเรื่องสำคัญ จะทำให้ผู้ดูแลรู้ได้ว่ามีความเสี่ยงในการหยุดทำงานเมื่อไร ทำให้ช่วยในการบริหารจัดการด้วยกระบวนการที่เหมาะสมตลอดระยะการใช้งาน หรือเตรียมพร้อมในการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามเวลาอันสมควร
  4. การยืดอายุการใช้งานของหม้อแปลงไฟฟ้าช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้มาก ซึ่งหม้อแปลงไฟฟ้าที่เก่าสุดไม่ได้แปลว่าเสี่ยงที่สุด! ตัวอย่างเช่น หม้อแปลงไฟฟ้าที่อายุการใช้งานถึงอายุ 60 ปี แต่เมื่อตรวจสอบสภาพการทำงานยังดีอยู่ ไม่มีปัญหา ส่วนบางตัวแม้เพิ่งอายุการใช้งานเพียง 25 ปี แต่เสี่ยงทำงานผิดพลาดหรือหยุดการทำงานอาจโดยจากสาเหตุในการรับปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่สูงกว่า หรือต้องเผเชิญกับความเสียหายจากไฟกระชาก

สำหรับการบริหารจัดการเรื่องของความเสี่ยงอย่างเหมาะสม สิ่งที่ต้องการคือความสามารถในการวิเคราะห์ถึงสมดุลของสภาพอุปกรณ์โดยรวม กับการใช้งานที่เป็นการเร่งไปสู่การเสื่อมสภาพการทำงาน การมีข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้สามารถวางแผนการบำรุงรักษาได้อย่างเหมาะสม หรือกำหนดขั้นตอนการดูแลที่ดียิ่งขึ้น เพื่อทำให้อุปกรณ์มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการซื้อตัวใหม่มาทดแทน ช่วยให้โยกย้ายงบประมาณที่มีอยู่ไปยังโครงการอื่นที่สำคัญยิ่งขึ้นได้ แถมด้วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยอีกทาง

  1. การตรวจสอบสภาพการทำงานหม้อแปลงไฟฟ้า เป็นการช่วยจัดการระบบไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลองนึกภาพสถานีไฟฟ้าที่มีหม้อแปลงสามตัว และจำเป็นต้องเพิ่มโหลดให้กับหม้อแปลงตัวใดตัวหนึ่ง 20% เราจะเลือกตัวไหนได้บ้าง ดังนั้นการวิเคราะห์สภาพการทำงานหม้อแปลงจะช่วยให้คาดการณ์ผลกระทบต่ออายุการใช้งานภายใต้เงื่อนไขการโหลดที่แตกต่างกัน นอกเหนือจากการตัดสินใจเรื่องการบำรุงรักษา ยังสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นในการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของหม้อแปลงแต่ละตัว เมื่อเรารู้ปัญหาว่าเสี่ยงที่จะใช้หม้อแปลงเกินกำลัง หรือควรลดโหลดเพื่อยืดอายุการใช้งาน การวิเคราะห์หม้อแปลงแบบเรียลไทม์จะช่วยให้สามารถตัดสินใจและลงมือทำได้อย่างมั่นใจ

ระบบ EcoStruxure Transformer Expert (ETE) ใหม่ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นโซลูชันติดตั้งง่าย ที่ช่วยตอบสนองความต้องการเฉพาะด้านการบำรุงรักษาและตรวจสอบหม้อแปลง ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อใดก็ตาม

นอกจากนี้ EcoStruxure Transformer Expert ช่วยให้สามารถรับรู้สถานะสุขภาพของหม้อแปลงแบบต่อเนื่องและไร้ขีดจำกัด ให้กับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการและบำรุงรักษา ด้วยระบบเซ็นเซอร์รูปแบบ IoT ที่ติดตั้งภายใน และระบบวิเคราะห์ข้อมูลบนคลาวด์ กระทั่งการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ ยังช่วยให้ทราบแนวโน้มของสุขภาพและอายุการใช้งานของหม้อแปลงทั้งกลุ่มได้อย่างแม่นยำ พร้อมทั้งแนะนำแนวทางเชิงรุก ช่วยให้ผู้ดูแลตัดสินใจเรื่องการบำรุงรักษาและการเปลี่ยนทดแทน ด้วยข้อมูลเชิงลึกที่ได้รับอีกด้วย


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

สร้างอนาคตดิจิทัลที่ยั่งยืนด้วย EcoStruxure™ Resource Advisor Copilot นวัตกรรม AI ล่าสุดจาก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นด้านการจัดการพลังงาน ระบบออโตเมชั่น และความยั่งยืน เผยแผนการเปิดตัว EcoStruxure Resource Advisor Copilot เครื่องมือ AI เชิงสนทนา ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้นำธุรกิจรับมือกับข้อมูลด้านพลังงานและความยั่งยืนในองค์กรได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ใช้เทคโนโลยีแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model) ในการสร้าง Copilot ขึ้นอย่างปลอดภัย เสมือนเป็นเพื่อนร่วมงานด้านดิจิทัลที่คอยอำนวยความสะดวก โดยฝังไว้ใน Resource Advisor ทั้งนี้ Copilot จะมีทีมงานด้านพลังงานและความยั่งยืน พร้อมด้วยระบบวิเคราะห์ข้อมูลแบบล้ำหน้า การแสดงภาพ การสนับสนุนการตัดสินใจ และการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่ดีที่สุด ให้ความสามารถในการประมวลผลความรู้ด้านอุตสาหกรรมที่ซับซ้อนได้อย่างราบรื่น รวมถึงข้อมูลระบบ Resource Advisor  ซึ่งจะมีการเปิดตัวเวอร์ชันไพรเวทเบต้าและเริ่มทำการตลาดในช่วงปลายปี 2023 หรือต้นปี 2024

การบรรจบกันของยุคดิจิทัลและผลกระทบทางเศรษฐกิจ กำลังสร้างความท้าทายแบบใหม่สำหรับองค์กร ทำให้เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งขึ้นที่ผู้นำต้องหันมาใช้โซลูชันดิจิทัล เพื่อจัดการผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งการใช้ Copilot ใหม่ จะช่วยให้ผู้ใช้ Resource Advisor สามารถดึงข้อมูล สร้างภาพ และได้รับข้อมูลเชิงลึกอย่างง่าย โดยวิธีการที่มีประสิทธิภาพนี้จะช่วยลดเวลาในการจัดการทุกอย่างด้วยตนเอง รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูล จึงช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถตัดสินใจด้านทรัพยากรเชิงกลยุทธ์ได้

 “การสร้างอนาคตทางดิจิทัลที่ยั่งยืน หมายถึงการพัฒนาเครื่องมือที่ให้นวัตกรรมและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สามารถรับมือกับความท้าทายในการลดคาร์บอนที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน นั่นหมายถึงการนำ ‘collaborative intelligence’ มาใช้ได้จริงในองค์กรยักษ์ใหญ่ของโลก และในขณะเดียวกันก็เป็นการจับคู่เทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับความเชี่ยวชาญของมนุษย์เพื่อให้ผลลัพธ์ที่วัดผลได้” สตีฟ วิลไฮท์ ประธานธุรกิจด้านความยั่งยืน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “Resource Advisor Copilot  จะช่วยให้ลูกค้าเราทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งมั่นใจมากขึ้นในเวลาที่ต้องจัดการกับโครงการความริเริ่มด้านการจัดการทรัพยากรสำหรับธุรกิจ ที่ได้รับการสนับสนุนความเชี่ยวชาญจากทีมที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลกของเรา”

เครื่องมือใหม่นี้ เป็นการปรับปรุงศักยภาพด้าน AI ล่าสุด ซึ่งแผนกธุรกิจความยั่งยืนของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้ดำเนินการในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็น AI ที่ให้ประสิทธิภาพสูง ทั้งในด้านการลดความเสี่ยง บริการตรวจสอบใบแจ้งหนี้ และการแจ้งเตือนเมื่อมีการใช้พลังงานจนถึงจุดสูงสุด (peak alert) นอกจากนี้ ยังมีโซลูชันซอฟต์แวร์ครอบคลุมในกลุ่มธุรกิจความยั่งยืน ซึ่งรวมถึง Zeigo Network, Zeigo Activate และ Zeigo Power ที่ได้รับการสนันสนุนด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ แมชชีนเลิร์นนิ่ง และระบบอัตโนมัติของ AI

เอมี่ คราเวนส์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัย ที่ International Data Corporation ให้ความเห็นว่า “การเปิดตัว Resource Advisor Copilot บ่งบอกถึงความเป็นคลื่นลูกใหม่ด้านผู้นำดิจิทัลของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค”  โดยกล่าวเสริมถึงมุมมองเรื่องการปรับปรุงศักยภาพว่า “ความสามารถที่โดดเด่นในการใช้ข้อมูลจากทั่วโลก และการเร่งสร้างข้อมูลเชิงลึกได้แบบเรียลไทม์ จะช่วยลูกค้าพัฒนาไปได้ไกลขึ้น และรวดเร็วขึ้น ด้วยประสบการณ์ที่แข็งแกร่งในการผสานรวมความฉลาดของ AI ไว้ในผลิตภัณฑ์และการบริการ จึงทำให้ Resource Advisor Copilot สามารถสร้างผลกระทบที่เป็นแรงกระเพื่อมสำหรับกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนขององค์กรได้อย่างรับผิดชอบ

Resource Advisor ช่วยให้ลูกค้าสังเกตและควบคุมการดำเนินการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรได้ครบทุกแง่มุม ผ่านมุมมองที่เหนือชั้นของ AI ทั้งเรื่องของการปล่อยมลพิษ การจัดการพลังงาน การลดการใช้ทรัพยากร การรายงาน ESG และกระบวนการวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจก

# # #

Hashtags: #sustainability, #ESG, #AI, #machinelearning, #digitization, #innovation


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้รับการยกย่องเป็น องค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก จาก TGO

นางอันนา ลอรี ลู เดอเลค เอ็บ เดอ ฟูโกด์  (ขวา) ผู้อำนวยการด้านความยั่งยืน และ พัฒนาธุรกิจ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา รับมอบประกาศนียบัตรเครื่องหมายรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ประจำปี 2566 ในโครงการ Carbon Footprint Organization  (CFO) จาก นายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ (ซ้าย) ผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO ซึ่งการรับมอบในครั้งนี้เป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นในการไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย โดยกระบวนการหลักที่ทำให้บรรลุเป้าหมายได้แก่ การทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล ทั้งด้านอุตสาหกรรมและพลังงาน โดยล่าสุด ได้ติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อป ขนาด 1,395 กิโลวัตต์ ทำให้ลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมหาศาล เมื่อเทียบกับกิจกรรมเชิงธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทย โดยที่ผ่านมาชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทยได้ใช้ประโยชน์จากดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้การรวบรวมตัวเลขที่สำคัญ เช่น เส้นทางของคาร์บอน ทำได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ปัจจุบันชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย จัดเป็น “องค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก” ในลิสต์รายชื่อของ TGO ซึ่งเป็นรายแรกของประเทศไทยในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

นายมงคล ตั้งศิริวิช ขึ้นแท่นประธานบริหารคนใหม่ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค พร้อมเดินหน้ารุกตลาด สานต่อสร้างความยั่งยืน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นในการจัดการพลังงาน ระบบออโตเมชั่น และความยั่งยืน ประกาศแต่งตั้ง นายมงคล ตั้งศิริวิช ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานกลุ่มคลัสเตอร์ คนใหม่ ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา ต่อจาก นายสเตฟาน นูสส์  มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ พร้อมสานต่อนำ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ไปสู่เป้าหมายในการช่วยทรานส์ฟอร์มองค์กรต่างๆ ไปสู่ความยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีนวัตกรรมและดิจิทัล ดูแลรับผิดชอบในการบริหารเชิงกลยุทธ์และผลักดันการเติบโตของธุรกิจ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในประเทศไทย ลาว และเมียนมา รวมถึงการสร้างความต่อเนื่องในความเป็นผู้นำด้านการจัดการพลังงาน ระบบออโตเมชั่น และความยั่งยืน ซึ่งมีโซลูชั่นและผลิตภัณฑ์ครอบคลุมด้านการจัดการพลังงานสำหรับ ที่พักอาศัย อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐาน และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ

โดยก่อนหน้านี้ นายมงคล ดำรงตำแหน่ง รองประธานกลุ่ม Strategic Accounts ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา มีความเชี่ยวชาญในการจัดวางกลยุทธ์เพื่อช่วยลูกค้าให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน พร้อมจัดหาเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์ และการบริการชั้นนำ ดูแลครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรม  นอกจากนี้ เขายังมีบทบาทในการเป็นผู้นำด้านการวางแผน และพัฒนากลยุทธ์ในการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล ร่วมกับพันธมิตร ด้านพลังงาน สมาร์ทกริด และตลาดพลังงานใหม่

นายมงคลร่วมงานกับ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปี มีความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ทำงานที่เข้มข้น ครบครัน เริ่มตั้งแต่ระดับวิศวกร การบริหารงานขาย บริหารฝ่ายบริการ จนถึงตำแหน่งปัจจุบันในการดูแลองค์กรลูกค้าต่างๆ  ด้วยวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของ นายมงคล ในการสนับสนุนองค์กรธุรกิจต่างๆ ให้เติบโตและก้าวไปอย่างความยั่งยืน และนี่เป็นการตอกย้ำถึงภารกิจหลัก ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัล เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน ให้กับทุกองค์กร และพันธมิตรคู่ค้าของเรา


Exit mobile version