Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ทำความเข้าใจกับสมาร์ทกริด ในสวิตช์เกียร์อัจฉริยะ

สมาร์ทกริด คือ ระบบที่อำนวยความสะดวกให้กับทั้งซัพพลายเออร์และผู้บริโภคเพื่อให้ได้ข้อมูลด้านพลังงานแบบเรียลไทม์อย่างที่ต้องการ และใช้ข้อมูลดังกล่าวในการจัดหา จัดเก็บ ใช้งาน รวมถึงในการทำธุรกรรมด้านพลังงานไฟฟ้าในปริมาณที่กำหนดภายในเวลาที่เหมาะสม อุตสาหกรรมไฟฟ้าได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีความเป็นอนุรักษ์นิยมมากที่สุดในเรื่องของการต่อยอดเทคโนโลยีเช่นอุปกรณ์สวิตช์เกียร์ไฟฟ้าแรงดันสูงและแรงดันปานกลาง

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? เดิมทีนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีจะปรากฏขึ้นในทุกทศวรรษหรือราวๆ นั้น แต่สวิตช์เกียร์สามารถอยู่ได้ยาวนานถึง 40 ปี ซึ่งแสดงถึงรูปแบบการทำงานของสถาปัตยกรรมสำหรับเครือข่ายการส่งและกระจายพลังงาน (T&D) จากส่วนกลางและเป็นรูปแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ ผู้ประกอบการ T&D ต่างต้องการความเสถียรซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ประกอบการเหล่านี้เกิดความลังเลในเวลาที่ต้องการใช้เทคโนโลยีใหม่ ซึ่งการซ่อมบำรุงอุปกรณ์ดังกล่าวที่มีอายุยาวนานจะง่ายยิ่งขึ้นสำหรับผู้ให้บริการหากเทคโนโลยีนั้นมีการเปลี่ยนแปลงแค่เพียงเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม การจะเข้าถึงประโยชน์ของศักยภาพด้านสมาร์ทกริดในปัจจุบัน อุตสาหกรรมด้านไฟฟ้าต้องทำความเข้าใจเรื่องสวิตช์เกียร์ใหม่ เนื่องจากสวิตช์เกียร์ในยุคของสมาร์ทกริดต้องมี “ความฉลาดทางดิจิทัล” มากขึ้น ต้องยืดหยุ่น กะทัดรัด และสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมการใช้งานที่สมบุกสมบันได้

สมาร์ทกริด มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ

  • สร้างสมดุลที่เหมาะสมระหว่างอุปสงค์และอุปทานด้านพลังงาน
  • ผสานรวมพลังงานที่หมุนเวียนและกระจายศูนย์มากขึ้น

การตอบโจทย์วัตถุประสงค์เหล่านี้หมายถึงการนำเทคโนโลยีระบบดิจิทัลมาใช้เพื่อช่วยให้เกิดการสื่อสารแบบสองทาง ระหว่างสาธารณูปโภคและลูกค้าที่ใช้ และระหว่างอุปกรณ์ด้วยกันที่อยู่บนเครือข่ายการส่งและกระจายพลังงาน รวมถึงศูนย์การดำเนินงานของเครือข่าย  อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนด้านไฟฟ้าส่วนใหญ่ในปัจจุบัน รวมถึงสวิตช์เกียร์ อนุญาตให้มีการสื่อสารอย่างเรียบง่ายแค่ทางเดียวสำหรับการผลิตพลังงานจากส่วนกลาง

ในขณะที่หลักการของสวิตช์เกียร์ยังคงใช้พื้นฐานแบบเดิม มีการพัฒนาเทคโนโลยีต่อไปรวมถึงแนวทางการนำมาใช้งานสำหรับสมาร์ทกริดได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ คุณลักษณะพื้นฐานของเทคโนโลยีสมาร์ทกริดมีดังต่อไปนี้

  • สมาร์ทกริดจะทำงานร่วมกับเซอร์กิตเบรกเกอร์ในเครือข่ายมากขึ้น (แทนที่สวิตช์แบบแมนนวล)
  • มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อมอนิเตอร์และควบคุมการทำงานจากระยะไกลได้มากขึ้น
  • เซ็นเซอร์และดิจิทัลมิเตอร์ที่ใช้พลังงานต่ำ ช่วยให้มอนิเตอร์และควบคุมได้มากขึ้น
  • สถาปัตยกรรมแบบโมดูลาร์คือสิ่งจำเป็น

เมื่อมีสมาร์ทกริดเกิดขึ้น ความฉลาดทางดิจิทัลจะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับสาธารณูปโภคในการมองเห็น วัดผลและควบคุมฟังก์ชันการทำงานในเครือข่ายได้ การควบคุมผ่านระยะไกลที่ต้องอาศัยความฉลาดทางดิจิทัลช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการบำรุงรักษาและช่วยหลีกเลี่ยงการใช้บริการภาคสนามเข้ามาดูแลซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง

การที่มีแหล่งพลังงานกระจายศูนย์และพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีสมาร์ทกริดเข้ามา ทำให้ทั้งการมอนิเตอร์และการวัดกลายเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน

มีการคาดการณ์ว่าตลาดสวิตช์เกียร์แรงดันปานกลาง จะสร้างโอกาสสำหรับผู้เล่นรายใหม่ได้อย่างแน่นอนภายในไม่กี่ปีข้างหน้า เนื่องจากความต้องการระบบพลังงานไฟฟ้าเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศกำลังพัฒนา ผู้เล่นที่มีชื่อเสียงโดดเด่นเป็นที่รู้จักจึงมีแนวโน้มว่าจะรักษาจุดแข็งที่โดดเด่นนี้ได้ในตลาดสวิตช์เกียร์แรงดันปานกลางระดับสากลภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แบรนด์อย่าง #SchneiderElectric จึงยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งจากความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการพลังงาน การปกป้อง และระบบออโตเมชันด้าน IoT #LifeIsOn

                                                                                          # # #

เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เป้าหมายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการช่วยให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราเรียกสิ่งนี้ว่า Life Is On

ภารกิจของเราคือการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลกับคุณ เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน

เราขับเคลื่อนการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกด้านพลังงานและกระบวนการจัดการ เข้ากับผลิตภัณฑ์ตั้งแต่จุดเชื่อมต่อปลายทางไปยังคลาวด์ ระบบควบคุม รวมถึงซอฟต์แวร์และการบริการครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตการทำงานทั้งหมด เพื่อสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการ ทั้งสำหรับบ้าน อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม

เราคือบริษัทระดับโลกที่มีการดำเนินงานในระดับท้องถิ่นมากที่สุด เราสนับสนุนมาตรฐานระบบเปิดและระบบนิเวศของคู่ค้าที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการทำตามวัตถุประสงค์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน และคุณค่าในการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ปรับโฉมผลิตภัณฑ์กลุ่มเบรกเกอร์ อัดฟีเจอร์ไฮเทค รับโรงงาน อาคารแห่งอนาคต

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ด้านการจัดการพลังงานและระบบออโตเมชั่น ปรับโฉมผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมฟีเจอร์ IoT ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการปฏิรูปสู่ดิจัล ในกลุ่มเบรกเกอร์ สตาร์ทมอเตอร์ ลีเรย์ พร้อมแนะนำ Thermal Sensor แบบ IoT ใหม่ “เล็กเหลือเชื่อ” ทั้งหมดพกความล้ำหน้าในแบบ 4.0 ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ให้ความเรียบง่ายในการใช้งาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ลดความซับซ้อนในการดูแลรักษา

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ปรับโฉม TeSys สู่ Tesys Deca Series  3 รุ่น ด้วยกัน หรือเรียกว่า TeSys D ได้แก่ 1.TeSys Deca Motor Circuit Breakers 2. TeSys Deca Contactors  3. TeSys Deca Overload Relays ให้ความโดดเด่นเรื่องความแข็งแรงทนทาน โทนสีเทาดำทำจากวัสดุรักษ์โลกคุณภาพเยี่ยม ใช้ในอุณหภูมิสูงถึง 60 องศา รองรับการทำงานหนักได้ถึง 3,600 ครั้ง/ชม. โดยไม่มีการลดทอนสมรรถนะ ทุกรุ่นมาพร้อม QR code แสดงวิธีการใช้งาน มาพร้อมมาตรฐานระดับโลกอาทิ  มาตรฐาน NEMA ซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดอเมริกา และ IEC 60335-1 เป็นมาตรฐานสำหรับผลิตภัณฑ์สำหรับครัวเรือนของยุโรป อาทิ เตาอบขนมปัง เครื่องซักผ้า เครื่องล้างรถ ฯลฯ ช่วยส่งเสริมการส่งออกไทยในระดับที่สากลยอมรับ นอกจากนี้ยังมีเพิ่มหัวน็อตอัจฉริยะสามารถใช้ได้กับทุกไขควง รวมไปถึงการเข้าสายแบบ Everlink เอกลักษณ์เฉพาะของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่ให้ความแข็งแรงทนทาน นอกจากนี้ยังรองรับการขยายความสามารถให้เข้ากับระบบออโตเมชั่น หรือ PLC ได้ด้วยชุด Auxiliary contact สำหรับ 1 mA ช่วยเสริมความสามารถในงานอื่นๆ เช่น การสร้างลิฟต์ เครื่องยกบนระบบเครน อุตสาหกรรมทอผ้า เส้นใย อุตสาหกรรมโลหะ หรืองานในสภาพแวดล้อมที่ต้องการความสมบุกสมบัน นับว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์ TeSys ซีรีย์ ใหม่ ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยต่อยอดความต้องการทางอุตสาหกรรมไปสู่การผลิตสินค้าในครัวเรือน และยังเพิ่มคุณค่าในแบบดิจิทัลได้อีกด้วย ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ นอกเหนือจากความสามารถด้านการเชื่อมต่อทั่วไป

TeSys ยังมีการปรับโฉม TeSys F เป็น TeSys Giga หรือ TeSys G แบบ เฟรม ประกอบด้วย TeSys Giga Contactors ขนาด 115-800 A ใช้งานร่วมกับ TeSys Giga Overload Relays ขนาด 28-630 A ได้ใน 1 เดียว เล็กกว่าเดิมถึง 35 เปอร์เซ็นต์ประหยัดพื้นที่ในการติดตั้ง แต่สามารถรองรับงานมอเตอร์ขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับงานอุตสาหกรรมหนักที่ต้องใช้มอเตอร์ขนาดใหญ่ เช่น งานบำบัดน้ำเสีย โรงปูน ทางเดินรถไฟฟ้า กังหันผลิตพลังงานจากลม ออยล์แอนด์แก๊ส ลิฟต์ เรือบรรทุกสินค้า โรงงานกระดาษ รวมไปถึงระบบระบายอากาศในอาคารขนาดใหญ่ ฯลฯ มาพร้อมอิเล็คทรอนิกส์ยูนิเวอร์ซอลคอยล์ เป็น AC และDC อยู่ในคอยล์เดียวกัน ขณะที่ TeSys Giga Overload Relays ขนาด 28-630 A มีฟังก์ชั่นแอลอีดีแจ้งเตือนสถานะ ช่วยให้คาดการณ์แนวโน้มการซ่อมบำรุงได้ง่าย สามารถประกอบร่างต่อกันได้เลย โดยเด่นด้วยการผสานฟังก์ชั่นในการป้องกัน อาทิ ป้องกันการลัดวงจรลงดิน (ground fault) ป้องกันการไม่สมดุลของกระแสไฟ  สามารถเลือกเปิด/ปิด รีเซ็ตด้วยตัวเอง หรืออัตโนมัติก็ได้ พร้อมทั้งรองรับการเชื่อมต่อกับ PLC เพื่อใช้ระบบออโตเมชั่นได้ใน 1 เดียว

ComPacT NSX กับ ComPacT NSXm ใหม่ ได้แก่ ComPacT NSXm สำหรับกระแส 16-160 A และComPacT NSX สำหรับค่ากระแส เริ่มที่ 100-630 A ซึ่งเป็นเบรกเกอร์สำหรับอาคาร โรงงาน มาพร้อมความล้ำหน้าด้วยการเชื่อมต่อแบบไร้สาย เหมาะสำหรับ ธุรกิจ โรงตู้ อาคารสำนักงานขนาดใหญ่ ยุค 4.0 ที่ต้องการปฏิรูปสู่ดิจิทัล เสริมแกร่งให้ผู้ประกอบการในการเพิ่มความเป็นดิจิทัลให้กับลูกค้า ด้วยนวัตกรรมแบบ IoT ในการมอนิเตอร์ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น สามารถตรวจสอบสถานะได้ผ่านอุปกรณ์ต่างๆ เช่น สมาร์ทโฟน แทปเล็ต คอมพิวเตอร์  และสามารถแจ้งจุดที่เสียหายให้ผู้ดูแลที่อยู่ใกล้เคียงสามารถแก้ปัญหาได้ในทันที

ComPacT ซีรีย์ ยังได้รับการปรับโฉมใหม่ พร้อมคว้ารางวัล iF Design Award ซึ่งเป็นรางวัลระดับโลกอีกด้วย นับเป็นจุดแข็งในการออกแบบและคิดค้นนวัตกรรม เบรกเกอร์เพื่อความปลอดภัยที่มีความโดดเด่นและได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญในระดับโลก ที่สำคัญ ComPacT ใหม่นี้ ช่วยลดความซับซ้อนและขั้นตอนในการบำรุงรักษา และการติดตั้ง มาพร้อมอุปกรณ์เสริมแบบโมดูลาร์แบบ “plug and play” ทำให้ ComPacT สามารถขยายขีดความสามารถด้าน IoT และติดตั้งได้ง่าย โดยไม่ต้องวางระบบใหม่ เรียกได้ว่า เป็นผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัยที่พร้อมสำหรับการปฏิรูปสู่ดิจิทัลอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ทั้ง TeSys D และ TeSys G และ ComPacT โฉมใหม่ ผลิตจากวัสดุรักษ์โลกด้วยนวัตกรรมเฉพาะของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ให้ความแข็งแรงทนทานสูง พร้อมได้รับมาตรฐานกรีนพรีเมี่ยมระดับโลกอีกด้วย

Thermal Sensor นวัตกรรมการตรวจจับอุณหภูมิของตู้ไฟฟ้าแบบฉบับ 4.0 ให้ความสามารถในการแจ้งเตือนอุณหภูมิในตู้มีความร้อนขึ้นผิดปกติ ซึ่งอาจนำพามาซึ่งปัญหาใหญ่ในอนาคตได้ ด้วยรูปลักษณ์ที่เล็กกะทัดรัด ประมาณเหรียญ 10 บาท พร้อมแม่เหล็กในตัว ทำให้สามารถเลือกติดตั้งได้ง่ายดายตามจุดเสี่ยงต่างๆ เพื่อป้องกันการเกิดความร้อนที่มากเกินไป Thermal Sensor เป็นอีกนวัตกรรมด้านดิจิทัลที่เล็ก แต่ป้องกันอันตรายที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างลงตัว

WATSN – อุปกรณ์สวิตซ์ที่ใช้เลือกสลับแหล่งจ่ายไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ ใช้งานร่วมกับแหล่งจ่ายไฟสำรอง ที่มีขนาดกระแสตั้งแต่ 63A ไปจนถึง 630A และสามารถใช้งานในความถี่ทั้ง 50 และ 60Hz เหมาะสำหรับ อาคาร สำนักงาน โรงงาน ห้างสรรพสินค้า ทั้ง ขนาดเล็กและขนาดกลาง ที่ต้องการความต่อเนื่องของระบบไฟฟ้าแม้แหล่งจ่ายไฟหลักจะดับ ไฟเกิน หรือไฟตก

WATSN ถูกออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Compact but Complete’ โดยได้รับรางวัลการการันตีโดย Red Dot Design Award ซึ่งเป็นองค์กรรับดับโลกด้านการออกแบบของอุปกรณ์สำหรับโรงงานโดยเฉพาะ จึงมั่นใจได้ว่าอุปกรณ์สวิตซ์ที่ใช้เลือกสลับ แหล่งจ่ายไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ WATSN สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยความปลอดภัยสูงสุด ผสมผสานด้วยประสิทธิภาพที่โดดเด่นและคุณภาพระดับสูง ทำให้สามารถใช้งานได้ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายและยังมีอุปกรณ์เสริมให้ลูกค้าได้เลือกใช้ตามความต้องการและความจำเป็น

นวัตกรรมของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ไม่ว่าจะเป็น Tesys Deca Series  และ Tesys Giga Series รวมถึง ComPacT ใหม่ รวมไปถึง Thermal Sensor และ WATSN ทำงานร่วมกันได้ภายใต้ EcoStruxure ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค เพื่อเพิ่มความสามารถด้านดิจิทัลในแบบ 360 สำหรับอาคาร โรงงาน และอุตสาหกรรมแห่งยุค 4.0

                                                                        # # #

เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เป้าหมายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการช่วยให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราเรียกสิ่งนี้ว่า Life Is On

ภารกิจของเราคือการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลกับคุณ เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน

เราขับเคลื่อนการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกด้านพลังงานและกระบวนการจัดการ เข้ากับผลิตภัณฑ์ตั้งแต่จุดเชื่อมต่อปลายทางไปยังคลาวด์ ระบบควบคุม รวมถึงซอฟต์แวร์และการบริการครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตการทำงานทั้งหมด เพื่อสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการ ทั้งสำหรับบ้าน อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม

เราคือบริษัทระดับโลกที่มีการดำเนินงานในระดับท้องถิ่นมากที่สุด เราสนับสนุนมาตรฐานระบบเปิดและระบบนิเวศของคู่ค้าที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการทำตามวัตถุประสงค์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน และคุณค่าในการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว อีโคสรัคเจอร์ ไมโคร ดาต้าเซ็นเตอร์ มาตรฐาน IP และ NEMA สำหรับสภาพแวดล้อมการใช้งานที่ทนทานภายในอาคาร

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นด้านการจัดการพลังงาน และระบบออโตเมชั่น ประกาศขยายขีดความสามารถของ EcoStruxure™ Micro Data Center R-Series ที่ได้มาตรฐานทั้ง IP และ NEMA สำหรับสภาพแวดล้อมการทำงานในพื้นที่โรงงาน ซึ่งไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่นี้ จะให้แนวทางการใช้งานและบริหารจัดการระบบโครงสร้าง เอดจ์ คอมพิวติ้ง ที่ง่ายและรวดเร็ว เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายในพื้นที่อาคารสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรม โมเดลใหม่ทั้ง 6 แบบทั้งในรุ่นขนาด 16U ขนาด 24U และ 42U จะเริ่มวางจำหน่ายในเดือนธันวาคมในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา และจะพร้อมจำหน่ายในยุโรปต้นปีหน้า

สำหรับผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมที่นำเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 มาช่วยเพิ่มผลผลิต สร้างความปลอดภัยและปรับกระบวนการทำงานให้เป็นระบบอัตโนมัติ ไมโคร ดาต้าเซ็นเตอร์ กลายเป็นส่วนสำคัญในการตอบโจทย์ทุกสิ่งตั้งแต่เรื่องการบูรณาการระบบ IT และ OT เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างศักยภาพการใช้งาน IIoT เพื่อทำให้ระบบไอทีในโรงงานมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

“เทคโนโลยีระบบออโตเมชั่นที่ล้ำหน้า มาพร้อมประโยชน์สำคัญทั้งการช่วยลดค่าใช้จ่าย ให้ความปลอดภัยและให้ผลิตผลที่ดี แต่การจะเข้าถึงประโยชน์ดังกล่าว ต้องทำให้ระบบไอทีอยู่ใกล้จุดเชื่อมต่อปลายทางมากขึ้น ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สร้างขึ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องไอทีมาก่อน” ฌอง แบปทิสเต ปลานย์ รองประธานฝ่ายบริหารจัดการด้านการนำเสนอระบบเอดจ์และแร็ค ส่วนการบริหารจัดการด้านพลังงาน ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “เพื่อสร้างความมั่นใจเรื่องความน่าเชื่อถือของระบบเครือข่ายไอทีภายในอาคารโรงงาน เราจึงนำเสนอ EcoStruxure Micro Data Center รุ่น R-Series ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานใหม่ทั้ง IP และ NEMA  ซึ่งไมโครดาต้าเซ็นเตอร์เหล่านี้ให้โซลูชันที่นำมาปรับใช้งานได้ง่าย อีกทั้งยังช่วยให้ฝ่ายไอทีและช่องทางจำหน่ายในอุตสาหกรรมรวมถึงผู้ใช้งานปลายทางอย่างผู้ประกอบการโรงงาน และตัวแทนจำหน่ายสามารถบริหารจัดการได้ง่ายเช่นกัน

โซลูชัน EcoStruxure Micro Data Center ช่วยลดค่าใช้จ่ายและช่วยให้นำระบบอุตสาหกรรมออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น

โซลูชัน EcoStruxure Micro Data Center เป็นระบบตู้แร็คแบบปิดที่ประกอบมาล่วงหน้า สามารถตั้งค่าการทำงานได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังงาน ระบบทำความเย็น ระบบรักษาความปลอดภัย รวมถึงการบริหารจัดการ ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านวิศวกรรมได้มากถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ช่วยให้นำระบบออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์และลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงได้ 7 เปอร์เซ็นต์  ทั้งนี้ ไมโคร ดาต้าเซ็นเตอร์ จะใช้ประโยชน์จากโครงสร้างระบบที่มีอยู่และสามารถลดค่าใช้จ่ายในส่วนต้นทุนได้ถึง 42 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับการสร้างด้วยวิธีการเดิมๆ  โดย R-Series ใหม่นี้ ช่วยให้ได้รับประโยชน์มากมายดังที่กล่าวมาและช่วยให้ลูกค้าไม่ต้องยุ่งยาก เพราะเป็นโซลูชันที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ทนทานภายในอาคาร ทนกับสภาพแวดล้อมในอุตสาหกรรมที่มีปัญหาในเรื่องปริมาณฝุ่น ความชื้น และมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่หลากหลาย

ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์และการบริการของชไนเดอร์ อิเล็คทริค สามารถบริหารจัดการได้จากระยะไกล ในเวลาที่ไม่มีพนักงานฝ่ายไอทีประจำไซต์งานเลย หรือมีอยู่อย่างจำกัด ซึ่ง EcoStruxure IT เป็นแพลตฟอร์มระบบเปิดที่ทำงานร่วมกับระบบงานของผู้จำหน่ายรายอื่นได้ ให้ทั้งประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นสำหรับผู้ใช้ในการบริหารจัดการระบบโครงสร้างสำคัญได้เอง บริหารจัดการร่วมกับพันธมิตร หรือจะให้ฝ่ายวิศวกรด้านการบริการของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยบริหารจัดการสินทรัพย์ต่างๆ ก็ได้เช่นกัน

เป็นโซลูชันที่มาพร้อมระบบรักษาความปลอดภัยที่ช่วยให้วางใจได้แม้จะอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัยก็ตาม โดยสามารถวางมาตรฐานการออกแบบสภาพแวดล้อมการทำงานได้หลากหลายภายในโซลูชันเดียวแบบ ออล-อิน-วัน ซึ่งช่วยให้ปรับใช้งานได้ง่ายมากกว่าระบบงานที่แยกเป็นหลายระบบ

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ EcoStruxure Micro Data Center รุ่น R-Series ใหม่ได้

R-Series ใหม่จะพร้อมวางจำหน่ายผ่านคู่ค้าด้านช่องทางจำหน่ายของ APC และตัวแทนฝ่ายขายของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เยี่ยมชมเพจ เพื่ออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ R-Series EcoStruxure Micro Data Center ใหม่ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานใหม่ทั้ง IP และ NEMA สำหรับสภาพแวดล้อมการทำงานที่ทนทานภายในอาคาร

อะไรคือเอดจ์คอมพิวติ้งสำหรับอุตสาหกรรม?

สำหรับผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมที่ต้องการได้รับประโยชน์จากระบบออโตเมชันมากขึ้น ไม่สามารถพึ่งพาเทคโนโลยีคลาวด์เพียงอย่างเดียวในเรื่องของความยืดหยุ่น และความเร็วอย่างที่ AI ML และเทคโนโลยี อุตสาหกรรม 4.0 ต้องการ ซึ่งเอดจ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ในพื้นที่ คือ ตู้ควบคุม หรือ enclosure/พื้นที่/สิ่งอำนวยความสะดวก ด้านโครงสร้างระบบที่กระจายอยู่ตามพื้นที่เพื่อรองรับจุดเชื่อมต่อปลายทางของเครือข่ายในแต่ละจุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรม เช่นโรงงานผลิต หรือศูนย์กระจายสินค้า การใช้งานดังกล่าวจะถูกเรียกว่าเป็น “เอดจ์คอมพิวติ้งสำหรับอุตสาหกรรม” โดยนักวิเคราะห์ต่างมองว่าเอดจ์จะกลายเป็นสิ่งที่ทวีความสำคัญมากขึ้น


เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เป้าหมายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการช่วยให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราเรียกสิ่งนี้ว่า Life Is On

ภารกิจของเราคือการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลกับคุณ เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน

เราขับเคลื่อนการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกด้านพลังงานและกระบวนการจัดการ เข้ากับผลิตภัณฑ์ตั้งแต่จุดเชื่อมต่อปลายทางไปยังคลาวด์ ระบบควบคุม รวมถึงซอฟต์แวร์และการบริการครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตการทำงานทั้งหมด เพื่อสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการ ทั้งสำหรับบ้าน อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม

เราคือบริษัทระดับโลกที่มีการดำเนินงานในระดับท้องถิ่นมากที่สุด เราสนับสนุนมาตรฐานระบบเปิดและระบบนิเวศของคู่ค้าที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการทำตามวัตถุประสงค์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน และคุณค่าในการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ข้อดี 5 ประการสำหรับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่จะได้รับจากเอดจ์

โดย เปาโล โคลัมโบ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ Go To Market สำหรับผู้วางระบบและผู้ประกอบการด้านเครื่องจักร ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

การนำเทคโนโลยีด้านการปฏิรูปสู่ดิจิทัลมาใช้จะช่วยให้บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มพร้อมรับมือกับความท้าทายที่มีมายาวนาน ซึ่งจะให้ประโยชน์อย่างยิ่งในเรื่องกำไร อีกทั้งยังช่วยให้บรรลุเป้าหมายเรื่องความยั่งยืนและความปลอดภัยของพนักงาน แต่ทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่กับการมีทรัพยากรด้านการประมวลผลที่เพียงพอที่ เอดจ์สำหรับอุตสาหกรรม

การปฏิรูปทางดิจิทัลเกี่ยวข้องกับการใช้อุปกรณ์ที่ให้ความชาญฉลาด รวมถึงระบบเซ็นเซอร์ในการรวบรวมข้อมูลจากอุปกรณ์ รวมถึงกระบวนการต่างๆ ในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม แนวคิดก็คือการนำประสิทธิภาพใหม่ๆ มาใส่ไว้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ที่ฟาร์ม และในกระบวนการผลิต ตลอดจนซัพพลายเชน และการส่งของไปยังผู้ค้าปลีก

ประโยชน์ของการปฏิรูปสู่ดิจิทัล

เมื่อติดตั้งกระบวนการในระบบดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยให้บริษัทด้านอาหารและเครื่องดื่มรับรู้ได้ถึงประโยชน์สำคัญใน 5 เรื่องต่อไปนี้

  1. ขยายคุณค่าในการใช้งานสินทรัพย์ได้สูงสุด

การนำขุมพลังของเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ หรือ IoT รวมถึงบิ๊กดาต้าและระบบวิเคราะห์มาช่วย จะทำให้บริษัทด้านอาหารและเครื่องดื่ม สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงทุน หรือ CapEx มากถึง 30 เปอร์เซ็นต์ จากการทำให้สินทรัพย์ใช้งานได้ยาวนาน การติดตั้งเครื่องมือในการตรวจวัดจะช่วยให้มีข้อมูลเกี่ยวกับสถานะของอุปกรณ์ที่ให้ศักยภาพด้านการวิเคราะห์และการซ่อมบำรุงเชิงคาดการณ์ได้  การเปรียบเทียบข้อมูลปัจจุบันกับข้อมูลพื้นฐานที่กำหนด ทำให้บริษัทสามารถประเมินช่วงเวลาที่อุปกรณ์ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ เพื่อกำหนดช่วงเวลาในการซ่อมบำรุง แนวทางดังกล่าวช่วยให้มั่นใจว่าอุปกรณ์จะยังคงทำงานได้เต็มประสิทธิภาพอยู่เสมอ และเป็นการยืดอายุสินทรัพย์ที่มีค่าเหล่านี้ให้ใช้งานได้นานขึ้น

  1. ปรับปรุงการดำเนินงาน

เทคโนโลยีระบบดิจิทัลต้องอาศัยการติดตามข้อมูลในปริมาณมาก ซึ่งอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มตลอดจนซัพพลายเชนต้องอาศัยข้อมูลเหล่านี้ในปัจจุบัน ซึ่งแต่ละบริษัทต้องรับมือกับจำนวนของ SKU ที่เพิ่มขึ้นตลอดและแต่ละ SKU ก็มีข้อมูลมากมายที่เชื่อมต่อกันเพื่ออธิบายถึงรายละเอียดของสินค้าแต่ละชุด ทั้งวัตถุดิบ การดำเนินการผลิต และอีกมากมาย ผลก็คือทำให้มีข้อมูลจำนวนหลายล้านจุดที่ต้องติดตาม ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการมากมาย เช่น สายงานด้านบรรจุภัณฑ์ จำเป็นต้องมีการประมวลผลแบบเรียลไทม์ หรือในความเร็วที่ใกล้เคียง การติดตั้งโซลูชันซอฟต์แวร์และการประมวลผลที่ไซต์งาน สามารถปฏิรูปการดำเนินงานเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ผลกำไร และผลตอบแทนได้ดีขึ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มความยืดหยุ่นเพื่อให้ตอบสนองความต้องการในตลาดได้

  1. บริหารจัดการเรื่องคุณภาพและการใช้งานได้สอดคล้องตามกฏข้อบังคับ

การติดตามเรื่องคุณภาพของสินค้าต้องอาศัยข้อมูลมากมาย รวมถึงการดูแลการดำเนินงานให้สอดคล้องตามกฏระเบียบหลายอย่างจากภาครัฐฯ นอกจากนี้ บริษัทด้านอาหารและเครื่องดื่มยังต้องเจอกับความกดดันที่ต้องแสดงความโปร่งใสเกี่ยวกับแหล่งที่มาของอาหารทั้งหมด เพื่อให้สามารถติดตามอย่างละเอียดได้ตลอดทั่วทั้งซัพพลายเชน ตั้งแต่จากฟาร์มจนถึงโต๊ะอาหาร  ซึ่งเทคโนโลยีระบบดิจิทัลสามารถช่วยให้บริษัทต่างๆ รับมือกับความท้าทายเหล่านี้ได้ พร้อมกับช่วยให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์มีความแม่นยำเพิ่มขึ้นถึง 17 เปอร์เซ็นต์

  1. ตอบโจทย์เป้าหมายด้านพลังงานและความยั่งยืน

บริษัทด้านอาหารและเครื่องดื่มต่างอยู่ภายใต้ความกดดันที่ต้องปรับปรุงเรื่องประสิทธิภาพด้านพลังงานและความพยายามในการสร้างความยั่งยืน ซึ่งเครื่องมือที่ช่วยให้ใช้งานอุปกรณ์ได้อย่างเหมาะสมรวมถึงให้ประสิทธิภาพในเรื่องการมอนิเตอร์ อีกทั้งต้องช่วยให้มั่นใจว่ามีการใช้สาธารณูปโภคต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม รวมถึงเรื่องพลังงานและน้ำ จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นได้ว่าการใช้พลังงานลดลงถึง 35 เปอร์เซ็นต์

  1. ปรับปรุงศักยภาพและความปลอดภัยของคนทำงาน

สุดท้ายก็คือ เทคโนโลยีระบบดิจิทัลช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับพนักงานในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อีกทั้งสร้างศักยภาพให้คนเหล่านี้ด้วยเครื่องมือในระบบดิจิทัลและข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อช่วยให้ตัดสินใจด้านการดำเนินการได้ดียิ่งขึ้น และบำรุงรักษาได้ง่ายขึ้น เทคโนโลยีที่ให้ความสมจริงอย่าง AR และโปรแกรมจำลองการฝึกอบรมด้านการดำเนินงานช่วยฝึกอบรมพนักงาน เพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มความปลอดภัยและผลิตผล  ทั้งนี้ผลสำรวจที่จัดทำโดย Capgemini Research Institute ที่ทำสำรวจกว่า 600 บริษัท พบว่ากว่า 75 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทที่มีการติดตั้งระบบ AR/VR ขนาดใหญ่ รายงานว่าได้รับประโยชน์ในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ จากการเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มผลิตผล และเพิ่มความปลอดภัย

การทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ต้องอาศัย เอดจ์ ดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับอุตสาหกรรม

เทคโนโลยีในการทรานส์ฟอร์มนำพาประโยชน์ต่างๆ เหล่านี้ มาให้บริษัทด้านอาหารและเครื่องดื่ม แต่ด้วยธรรมชาติการทำงานแบบเรียลไทม์ของแอปพลิเคชันต่างๆ และกฏระเบียบที่มักจะต้องให้มีการจัดเก็บข้อมูลอยู่ในพื้นที่ จึงควรที่จะต้องใช้เอดจ์สำหรับอุตสาหกรรมมาช่วย ให้คิดว่าเอดจ์สำหรับอุตสาหกรรมคือสิ่งที่จะช่วยให้คุณเร่งการปฏิรูปสู่ดิจิทัล เพื่อบรรลุผลเรื่องความปลอดภัยในการทำงานที่เพิ่มขึ้น รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพด้านการดำเนินงาน และความยั่งยืน

โซลูชันประเภทใดที่จำเป็นสำหรับเอดจ์เพื่ออุตสาหกรรม? บริษัทด้านอาหารและเครื่องดื่มจะต้องเปลี่ยนมาใช้โซลูชันที่สามารถมอนิเตอร์และควบคุมระบบงานที่ไม่ใช่แค่ในโรงงาน แต่รวมถึงซัพพลายเชนตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ตัวอย่างของโซลูชันที่ใช้ง่ายและให้มุมมองเชิงลึกที่นำไปดำเนินงานได้เพื่อให้การดำเนินงานครบวงจรแบบเอ็นด์-ทู-เอ็นด์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด คือ EcoStruxure for Food and Beverage และ AVEVA’s software

นอกจากนี้ โซลูชันไมโคร ดาต้าเซ็นเตอร์ ยังมอบศักยภาพในการใช้อุปกรณ์ไอทีได้อย่างปลอดภัยและน่าเชื่อถือในสภาพแวดล้อมที่ไม่ใช่ไอที หนึ่งในตัวอย่างของการใช้ไมโคร ดาต้าเซ็นเตอร์ คือ EcoStruxure Micro Data Center C-Series รุ่นใหม่กะทัดรัดของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่มาพร้อม UPS ผสานรวมอยู่ในตัว และอุปกรณ์ควบคุมและจ่ายไฟ (PDU) รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยในตู้ที่ดูเล็กลงกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 60 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ใหญ่มากพอที่จะรองรับเซิร์ฟเวอร์เอดจ์ขนาดใหญ่ได้

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางที่เทคโนโลยีสามารถช่วยคุณปฏิรูปสู่ดิจิทัลได้ ได้ที่ EcoStruxure for Food and Beverage

Tags: Digital transformationEcoStruxureFood and beverageindustrial edgemicro data centers

เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เป้าหมายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการช่วยให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราเรียกสิ่งนี้ว่า Life Is On

ภารกิจของเราคือการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลกับคุณ เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน

เราขับเคลื่อนการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกด้านพลังงานและกระบวนการจัดการ เข้ากับผลิตภัณฑ์ตั้งแต่จุดเชื่อมต่อปลายทางไปยังคลาวด์ ระบบควบคุม รวมถึงซอฟต์แวร์และการบริการครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตการทำงานทั้งหมด เพื่อสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการ ทั้งสำหรับบ้าน อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม

เราคือบริษัทระดับโลกที่มีการดำเนินงานในระดับท้องถิ่นมากที่สุด เราสนับสนุนมาตรฐานระบบเปิดและระบบนิเวศของคู่ค้าที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการทำตามวัตถุประสงค์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน และคุณค่าในการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เรียกร้องให้ดำเนินการเร่งด่วนเพื่อลดคาร์บอน ด้วยการเร่งสู่เส้นทาง Net Zero

กรุงเทพฯ -12 ตุลาคม 2564 – โลกสามารถเร่งการดำเนินการด้านสภาพอากาศอย่างเร่งด่วนและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2573 สอดคล้องตามคำกล่าวของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นด้านการจัดการพลังงานและระบบออโตเมชั่น ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นองค์กรที่มีความยั่งยืนมากที่สุดในโลก ประจำปี 2564 โดย Corporate Knights ซึ่งในการเปิดตัวงาน Innovation Summit World Tour 2021 ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค นายฌอง ปาสคาล ตริคัวร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้เปิดเผยประเด็นสำคัญที่สนับสนุนเส้นทางเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ตามที่กำหนดอยู่ในรายงาน “ความจำเป็น 2030: การแข่งขันกับเวลา” จากสถาบันวิจัยความยั่งยืนชไนเดอร์ อิเล็คทริค

Innovation Summit World Tour เป็นงานสำคัญประจำปีของชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีขึ้นระหว่างวันที่ 12 ตุลาคม ถึง 12 พฤศจิกายน) เพื่อจัดการกับความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศทั่วโลกและเพื่อแนะแนวทางให้ลูกค้า คู่ค้า หน่วยงานที่กำกับดูแล รวมไปถึงผู้กำหนดนโยบายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้ดำเนินการได้อย่างรวดเร็วเพื่อกำจัดคาร์บอนในเศรษฐกิจโลกในทศวรรษนี้ ผู้เข้าร่วมจะได้สัมผัสกับนวัตกรรมดิจิทัลและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนของชไนเดอร์ อิเล็คทริค รวมไปถึงการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Electricity 4.0 และ Next-generation automation

ความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องกำจัดคาร์บอนโดยเร็ว

คำกล่าวปราศัยช่วงเปิดงาน Innovation Summit World Tour ของนายฌอง มุ่งกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมงานใช้มาตรการสำคัญในการกำจัดคาร์บอน พร้อมนำเสนองานวิจัยของชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นพิมพ์เขียวเพื่อเป็นแนวทางมุ่งสู้เป้าหมายในการจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส รายงานดังกล่าวได้ให้รายละเอียดถึงความจำเป็นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 30-50 เปอร์เซ็นต์ภายในช่วงทศวรรษนี้ เทียบกับระดับปัจจุบัน หากพลาดจุดนี้ไปก็อาจจะเป็นไปได้ยากที่จะจำกัดการเพิ่มอุณหภูมิให้อยู่ที่ระดับ 1.5°C ตามที่คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel for Climate Change หรือ IPCC) ได้กำหนดกรอบไว้

สถาบันวิจัยความยั่งยืนของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้นำเสนอแบบจำลองที่แสดงให้เห็นถึงแนวทางที่สามารถลดคาร์บอน 10 กิกะตันต่อปี (10GtCO2/y) ได้จริงภายในปี 2030 รายงานดังกล่าว เน้นที่องค์ประกอบย่อยของการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก จาก 50GtCO2e/y การจำลองสถานการณ์ “ความจำเป็นในปี 2030” พบโอกาสในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 30% (10GtCO2e/y) จากฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทั้งหมดที่ 30GtCO2/y ซึ่งเป็นการเร่งลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยตามคำปฏิญาณที่ให้ไว้เมื่อเร็วๆ นี้ (อยู่ในราว 3GtCO2e/y ที่คิดเป็น 10% ของเป้าหมายการลดการปล่อยมลพิษ) อย่างไรก็ตาม ยังมีการปล่อยก๊าซที่ไม่เกี่ยวข้องกับพลังงานประมาณ 20GtCO2e/ปี ซึ่งไม่ครอบคลุมในแบบจำลองของรายงานนี้

พร้อมกันนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้เรียกร้องให้รัฐบาลและองค์กรต่างๆ พยายามมากขึ้น 3-5 เท่า ทางสถาบันเชื่อว่าทางเดียวที่จะทำให้เกิดความสำเร็จและเป็นจริงได้ คือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ได้รับการพิสูจน์แล้วมาปรับใช้ควบคู่ไปกับการใช้พลังงานไฟฟ้าให้มากขึ้น ซึ่งเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการขจัดคาร์บอนในอาคาร การขนส่ง และอุตสาหกรรม แนวทางนี้นับเป็นการซื้อเวลาเพื่อจัดการกับภาคส่วนที่ลดการปล่อยคาร์บอนได้ค่อนข้างยาก โดยแบบจำลองแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทางเลือกอื่นจะสร้างภาระให้กับผู้บริโภคจำนวนมาก

“แม้จะมีแรงผลักดันเรื่องความยั่งยืนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีบริษัทจำนวนมากขึ้นที่นำเป้าหมายที่ท้าทายมาช่วยรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ งานวิจัยชิ้นนี้เผยให้เห็นว่าเราต้องเร่งให้เร็วขึ้นอย่างไร ที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เราคือส่วนหนึ่งของโซลูชันที่แตกต่างอย่างโดดเด่น โดยในการสนับสนุนองค์กรต่างๆ ให้บรรลุจุดมุ่งหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนอย่างรวดเร็วและปฏิบัติตามพันธสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศ เราได้เร่งขยายธุรกิจบริการให้คำปรึกษาด้านความยั่งยืนทั่วโลก เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นเพื่อความคืบหน้าอย่างมีนัยในการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานและเป้าหมายการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ” นายฌอง ปาสคาล ตริคัวร์ ประธานและซีอีโอของชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “สิ่งที่องค์กรต้องการในวันนี้คือพันธมิตรที่เชื่อถือได้ ผู้ผสานรวมทั้งเรื่องการวางแผนเชิงกลยุทธ์และการกำหนดเป้าหมายด้วยการติดตั้งโซลูชันที่ได้รับการพิสูจน์ในเรื่องของประสิทธิภาพมาแล้ว เพื่อมอบผลลัพธ์ที่ยั่งยืนอย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม จากที่เราได้ประสบความสำเร็จในการก้าวข้ามความท้าทายด้านความยั่งยืนมากมายด้วยตัวเอง และในการดำเนินการดังกล่าวจนประสบความสำเร็จด้วยการนำโซลูชันด้านระบบไฟฟ้าและดิจิทัลระดับโลกมาใช้ในโรงงานของเรา เราจึงอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะช่วยให้ผู้อื่นดำเนินการได้เร็วยิ่งขึ้นและไปได้ไกลขึ้น”

กลยุทธ์และโซลูชันเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในห่วงโซ่คุณค่า

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้อาศัยฐานความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนและการยึดเป้าหมายของดัชนีด้านความยั่งยืนของชไนเดอร์สำหรับปี 2564-2568 ด้วยการเร่งดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษาด้านความยั่งยืนทั่วโลก พร้อมขยายบริการด้านพลังงานและความยั่งยืนโดยต่อยอดจากความสำเร็จในการดำเนินการเรื่องดังกล่าวมาเป็นเวลา 10 ปี

ปัจจุบัน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือผู้นำระดับโลกด้านประสิทธิภาพพลังงาน การจัดการพลังงาน การจัดหาพลังงานหมุนเวียน การออกรายงานเกี่ยวกับคาร์บอน การประเมินความเสี่ยงด้านสภาพอากาศ และการลดการปล่อยคาร์บอนในซัพพลายเชน โดยให้บริการซอฟต์แวร์และบริการด้านคำปรึกษาแก่บริษัทใน Fortune 500 มากกว่า 30% ซึ่งลูกค้า ได้แก่ Johnson & Johnson, Walmart, Faurecia, Kellogg, Takeda, Velux Group, Unilever และ T-Mobile เป็นต้น

ความต้องการที่เพิ่มขึ้นด้านบริการให้คำปรึกษาที่เป็น “เป้าหมายที่ท้าทาย + การดำเนินการ” ของชไนเดอร์ คือเหตุผลที่ขับเคลื่อนการขยายตัว ซึ่งรวมถึงปัจจัยต่อไปนี้

  • บริการให้คำปรึกษาในการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ และการลดคาร์บอนในซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ
  • บริการด้านการสื่อสาร ซึ่งรวมถึงการรายงาน/การประเมินด้าน ESG และการเรียกร้องเกี่ยวกับความยั่งยืนและเรื่องของชื่อเสียง
  • บริการเรื่องของการหมุนเวียนและการตรวจสอบย้อนกลับ
  • โมดูล ESG สำหรับแพลตฟอร์ม EcoStruxure™ Resource Advisor ที่ได้รับรางวัลเพื่อใช้ในการติดตามมาตรการด้านสังคมและการกำกับดูแล

การเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนแปลงกระบวนการสู่ระบบดิจิทัล

หนึ่งในเป้าหมายที่ท้าทายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการผลักดันนวัตกรรมที่ให้ความยั่งยืน และสร้างเส้นทางไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ด้วยการช่วยให้ลูกค้าในหลายภาคส่วนคิดค้นนวัตกรรมและย้ายไปสู่ระบบเปิดที่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างง่ายดายผ่านระบบดิจิทัล รวมถึงแนวทางที่ช่วยให้ทำธุรกิจได้อย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้น โดย ในงาน Innovation Summit World Tour ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้มีการเปิดตัวนวัตกรรมดิจิทัล ที่ช่วยลดคาร์บอนภายในบ้าน ในอาคาร ในดาต้าเซ็นเตอร์ ในโครงข่ายพลังงาน และอุตสาหกรรมต่างๆ

ไฟฟ้า 4.0 : ขับเคลื่อนโลกไฟฟ้าใบใหม่ด้วยพลังงานสีเขียวอัจฉริยะ

ในวันนี้ เรากำลังเห็นการหลอมรวมของดิจิทัลและไฟฟ้าด้วยซอฟต์แวร์ ไฟฟ้าทำให้พลังงานเป็นสีเขียวและเป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับการลดคาร์บอน ดิจิทัลทำให้พลังงานที่ช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพและขจัดของเสียได้อย่างชาญฉลาด การหลอมรวมดังกล่าวทำให้เกิด ‘ไฟฟ้า 4.0’ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสำหรับโลกไฟฟ้าใบใหม่

บ้านอัจฉริยะ ในวันนี้ ชไนเดอร์ได้เปิดตัวโซลูชันบ้านอัจฉริยะที่ให้ความยั่งยืน ซึ่งรวมถึง Wiser ที่ช่วยจัดการกับพลังงานที่เสียไป โดยภายในปี 2050 คาดว่าภาคครัวเรือนจะเป็นภาคที่ใช้ไฟฟ้ามากที่สุด และเป็นภาคที่มีส่วนในการปล่อยคาร์บอนในปริมาณสูงสุดเช่นกัน คาดว่าน่าจะสูงถึง 34% เลยทีเดียว

Resilient Digital Grids อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ของชไนเดอร์ ที่มาแรง ด้วยเทคโนโลยีปลอดก๊าซ SF6 เพื่ออากาศบริสุทธิ์ สำหรับโครงข่ายพลังงานแบบ Net Zero ด้วย RM AirSeT Ring Main Unit และ Modular Switchgear รวมไปถึง MCSeT Active ซึ่งเป็นสวิตช์บอร์ดแรงดันไฟฟ้าปานกลางแบบใช้ฉนวนอากาศ

Smart Electrical Distribution ผลิตภัณฑ์ระบบดิจิทัล TeSys Giga ที่ปรับปรุงโฉมใหม่ ให้แรงดันไฟฟ้าต่ำ Canalis Busbar, PrismaSeT Active, New Gen ComPacT, TransferPacT และ EcoStruxure Power™ ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค จะมอบประสบการณ์การใช้งานที่ง่ายขึ้น ให้ความยั่งยืน และปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับผู้ติดตั้งและคู่ค้าด้านการบริการ ช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้กับเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเติบโตของโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมด้านคู่ค้า Partnerships of the Future

อุตสาหกรรมแห่งอนาคต : ยืดหยุ่นและยั่งยืนด้วยระบบอัตโนมัติแห่งอนาคต

สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดียิ่งขึ้น ในเรื่องประสิทธิภาพและความคล่องตัว ด้วยปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยี digital twin รวมถึงข้อมูลเชิงลึกที่เป็น human insight ที่ได้รับการสนับสนุนจากระบบวิเคราะห์ขั้นสูง และซอฟต์แวร์อุตสาหกรรมที่ทำงานร่วมกันได้โดยไม่เลือกค่ายผู้จำหน่าย รวมถึงระบบอัจฉริยะด้านประสิทธิภาพจาก AVEVA

EcoStruxure™ Automation Expert 21.2 ให้การบริหารจัดการ life cycle ที่ครบวงจรสำหรับโรงงานน้ำและโรงงานบำบัดน้ำเสีย ด้วยระบบอัตโนมัติแรกของโลกที่ใช้ซอฟต์แวร์เป็นศูนย์กลางในการจัดการที่ผสานรวมบริการด้าน IT และ OT ได้อย่างลงตัว ช่วยเพิ่มความปลอดภัย ยืดอายุการทำงานของระบบ และพัฒนาเพิ่มเติมต่อไปได้อย่างง่ายดาย ซึ่ง EcoStruxure™ Automation Expert เป็นโซลูชันระบบอัตโนมัติที่ให้การบริหารจัดการได้ครอบคลุม สามารถใช้งานร่วมกับฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่เดิมได้ โดยอุปกรณ์ควบคุมแบบเวอร์ชวลสามารถทำงานบนอุปกรณ์เอดจ์คอมพิวติ้งใดก็ได้ไม่ว่าจะเป็น Windows หรือ Linux ก็ตาม ช่วยให้องค์กรด้านอุตสาหกรรมได้รับความยืดหยุ่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน การประสานงานร่วมกันผ่านระบบดิจิทัลในลักษณะดังกล่าว ช่วยเพิ่มศักยภาพในการปลดล็อคคุณค่าที่คิดเป็นมูลค่าสูงถึงกว่า 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับภาคอุตสาหกรรม

EcoStruxure Machine ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับผู้ประกอบการด้านเครื่องจักรและลดเวลาในการพัฒนา ด้วย Lexium MC12 multi carrier ใหม่ ที่ช่วยดูแลเรื่องการขนส่ง การจัดกลุ่ม และการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ ซึ่งผู้ประกอบการ OEM สามารถบรรลุประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้น รวมถึงให้ความยืดหยุ่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนสูงสุดถึง 40% และช่วยให้การติดตั้งและทดสอบเครื่องจักรทำได้เร็วขึ้น 50% ซึ่งเมื่อผสานรวมเทคโนโลยี digital twin แล้ว Multi carrier ใหม่นี้ ยังช่วยลดการออกแบบเครื่องจักรและย่นเวลาในการออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น 30%

เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เป้าหมายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการช่วยให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราเรียกสิ่งนี้ว่า Life Is On

ภารกิจของเราคือการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลกับคุณ เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน

เราขับเคลื่อนการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกด้านพลังงานและกระบวนการจัดการ เข้ากับผลิตภัณฑ์ตั้งแต่จุดเชื่อมต่อปลายทางไปยังคลาวด์ ระบบควบคุม รวมถึงซอฟต์แวร์และการบริการครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตการทำงานทั้งหมด เพื่อสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการ ทั้งสำหรับบ้าน อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม

เราคือบริษัทระดับโลกที่มีการดำเนินงานในระดับท้องถิ่นมากที่สุด เราสนับสนุนมาตรฐานระบบเปิดและระบบนิเวศของคู่ค้าที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการทำตามวัตถุประสงค์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน และคุณค่าในการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์ บทความ เทคโนโลยี

ทำไมหลายสนามบินจึงหันมาใช้ไมโครกริดเพื่อสร้างความยั่งยืน

โดย วัลเลอรี เลย์อัน ประธานฝ่ายการขนส่งดูแลทั่วโลก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

ทำอย่างไรสนามบินจึงจะสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางด้านคาร์บอน (carbon neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ได้ภายในปี 2050 โซลูชันที่ดีที่สุดคือการรวมไมโครกริดไว้ในแผนพลังงานสีเขียว ไมโครกริด Microgrids ได้รับการยอมรับว่าเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดสำหรับความพยายามเพื่อไปสู่การเป็นสนามบินคาร์บอนต่ำ เนื่องจากให้ความสามารถหลากหลายแง่มุม เพิ่มความยั่งยืนและความยืดหยุ่น อีกทั้งช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย

แม้ว่าในระยะหลังๆ สนามบินหลายแห่งเริ่มมีการปรับใช้ไมโครกริด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการตอบสนองความท้าทายด้านความยั่งยืนและความน่าเชื่อถือของพลังงานในภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งดาต้าเซ็นเตอร์ โรงพยาบาล การคมนาคมขนส่ง และอาคารพาณิชย์ ตัวอย่างเช่น ท่าเรือขนาดใหญ่ของแคลิฟอร์เนียหลายแห่งได้มีการปรับใช้ไมโครกริดเพื่อความปลอดภัยด้านพลังงาน และให้ความยืดหยุ่นได้ตามต้องการ เพื่อตอบโจทย์เรื่องกฎระเบียบด้านสภาพภูมิอากาศที่เข้มงวดของแคลิฟอร์เนีย ไมโครกริดของ Port of Long Beach เป็นตัวอย่างที่ช่วยให้มั่นใจได้ถึงการจัดหาพลังงานได้อย่างเสถียรโดยใช้ฟีเจอร์นวัตกรรม อย่างเช่น แบตเตอรี่เคลื่อนที่ ที่สามารถขยายการเข้าถึงไมโครกริดได้ทั่วอากาศยานระหว่างที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน

ไมโครกริดมีเครือข่ายไฟฟ้าในตัวเอง ช่วยให้สนามบินต่างๆ สามารถบริหารจัดการไซต์พลังงานได้ด้วยตัวเอง รวมไปถึงการควบคุมการใช้งานได้ไม่ว่าจะใช้เมื่อไร หรือใช้อย่างไรก็ตาม โดยสามารถผสานรวมการใช้พลังงานหมุนเวียนร่วมกัน เช่น พลังงานลมและแสงอาทิตย์ และสามารถบริหารจัดการและใช้พลังงานได้อย่างเหมาะสมเต็มประสิทธิภาพ ด้วยคุณสมบัติอย่างการกักเก็บพลังงานไว้ที่ไซต์ เช่นแบตเตอรี่และเซลล์เชื้อเพลิง ที่สามารถกักเก็บพลังงานที่ผลิตในไซต์ได้ทำให้ไม่ต้องปล่อยทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์  การขับเคลื่อนไปสู่การผลิตไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมคือสิ่งสำคัญ เพราะสนามบินมีผู้ใช้พลังงานจำนวนมหาศาล – การใช้พลังงานไฟฟ้าและพลังงานความร้อนของสนามบินขนาดใหญ่ ในแต่ละวันเทียบเท่ากับเมืองที่มีประชากรมากถึง 100,000 คน

ไมโครกริดสามารถรวมและบริหารจัดการแหล่งผลิตไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์ (DER) ได้หลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานที่ได้จากแหล่งพลังงานหมุนเวียน ไมโครกริดจะให้ความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ผ่านฟีเจอร์การจัดการขั้นสูง เช่น การปลดโหลดได้อย่างชาญฉลาด และ/หรือความสามารถในการเรียกใช้หรือปิดเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแต่ละตัว

ไมโครกริดเป็นเสาหลักสำคัญของความยั่งยืนแห่งอนาคตของสนามบิน เพราะพลังงานที่ยืดหยุ่นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ให้ความปลอดภัยด้านพลังงานที่ขาดไม่ได้

สิ่งอำนวยความสะดวกที่สำคัญ เช่น สนามบิน ไม่เพียงต้องการพลังงานสีเขียวเท่านั้น แต่ยังต้องเป็นพลังงานที่เชื่อถือได้ด้วย เพราะเป็นประเด็นเรื่องของความปลอดภัยอีกทั้งยังเกี่ยวข้องอย่างมากกับเรื่องการเงิน มีเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อเร็วๆ นี้ หลายเหตุการณ์ ที่แสดงให้เห็นว่าการที่ไฟฟ้าดับทำให้เกิดการหยุดชะงักและเสียค่าใช้จ่ายได้มากเพียงใด เช่นการที่ Atlanta International ไฟฟ้าดับนานถึง 11 ชั่วโมง นั้นทำให้ Delta Airlines เสียค่าใช้จ่ายประมาณ 50 ล้านดอลลาร์ รวมถึงทำให้ผู้โดยสารหลายพันคนต้องรอเก้อ และนำไปสู่การยกเลิกเที่ยวบินประมาณ 1,500 เที่ยว

การมีแหล่งพลังงานทางเลือกที่เชื่อถือได้ เช่น ไมโครกริด สามารถป้องกันการสูญเสียเหล่านี้ได้โดยมั่นใจได้ว่าจะมีการจ่ายไฟอย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงที่ไฟฟ้าดับ

ไมโครกริดยังช่วยประหยัดต้นทุนได้อย่างมาก

การตอบสนองความต้องการด้านพลังงานของสนามบิน ด้วยพลังงานหมุนเวียนจากไมโครกริดสามารถใช้ต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • ช่วยให้สนามบินมีความยืดหยุ่นในการเลือกใช้พลังงานที่มีราคาถูกกว่าทางเลือกอื่นๆ ด้วยการทำงานในโหมดกริดหรือ island mode เพื่อสร้างสมดุลด้านค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงที่มีการใช้งานสูงสุด
  • สนามบินประหยัดเงินได้โดยการใช้พลังงานได้เกิดประโยชน์สูงสุด
  • สามารถหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายจากไฟฟ้าขัดข้องได้

แต่การที่จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด สนามบินต้องทำเทคโนโลยีอัจฉริยะเข้ามาช่วยบริหารจัดการไมโครกริด

ไมโครกริดและการสนับสนุนเทคโนโลยีช่วยให้มั่นใจถึงเงื่อนไขการทำงานที่เหมาะสมที่สุด และให้ข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญรวมถึงให้ความเสถียรของระบบ ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีไมโครกริดมอบเครื่องมือต่างๆ แก่สนามบินในการบริหารจัดการแหล่งผลิตพลังงานแบบกระจายศูนย์ในระยะไกลได้แบบไดนามิคโดยอัตโนมัติ ด้วยการใช้พลังงานหมุนเวียนได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด และช่วยให้สนามบินควบคุมของพลังงานได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งให้ความสามารถในการสร้างสมดุลของโหลดเพื่อให้เกิดความเสถียร นอกจากนี้เทคโนโลยีที่เชื่อมต่อยังช่วยในการคาดการณ์ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการใช้งาน การผลิต การเก็บ และการขายพลังงาน เพื่อให้สนามบินมีทางเลือกด้านพลังงานที่ฉลาดและคุ้มค่าที่สุด

การประยุกต์ใช้ไมโครกริดและเทคโนโลยีอัจฉริยะ ตลอดจนสถาปัตยกรรมระบบดิจิทัลที่สมบรูณ์แบบ end-to-end นอกจากจะช่วยให้ระบบเหล่านี้ทำงานได้ดีแล้ว ยังช่วยสร้างความอุ่นใจเนื่องจากช่วยให้มั่นใจถึงความต่อเนื่องด้านพลังงานที่เชื่อถือได้ เนื่องจากเป็นแหล่งพลังงานที่จัดหาได้เองในพื้นที่ จึงทำให้ไมโครกริดสามารถแยกตัวเองออกจากโครงข่ายหลัก ทว่ายังคงจัดหาพลังงานป้อนสนามบินได้อย่างต่อเนื่องกระทั่งในช่วงที่เกิดความผันผวนด้านพลังงานก็ตาม นอกจากนี้ ไมโครกริดยังให้พลังงานที่สะอาดกว่าทางเลือกพลังงานสำรองแบบดั้งเดิมเช่นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานดีเซล ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานฉุกเฉินที่ใช้กันมากที่สุดโดยทั่วไปสำหรับสนามบิน แต่เป็นส่วนที่ปล่อยมลพิษที่เกี่ยวข้องในสนามบินซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายที่แพงในการดูแลและซ่อมบำรุง

ตัวอย่างสนามบิน JFK กำลังนำโซลูชันไมโครกริดมาใช้งาน เพื่อลดใช้การใช้พลังงานได้มากถึง 30 เปอร์เซ็นต์

สนามบิน JFK ของมหานครนิวยอร์ค ที่รองรับผู้โดยสารมากว่า 60 ล้านคนต่อปี ได้มีการพัฒนาอาคารผู้โดยสาร Terminal One ด้วยการนำไมโครกริดที่ล้ำหน้าและเครื่องมือเชื่อมต่อไมโครกริดมาใช้ ที่จะช่วยปรับปรุงเรื่องความยั่งยืนและเพิ่มความยืดหยุ่นของอาคารผู้โดยสาร โดยคาดว่าจะช่วยลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงทั้งหมดที่ใช้ในการดำเนินการในส่วนอาคารผู้โดยสารได้มากถึง 30 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งยังมีส่วนช่วยให้สนามบินสามารถบรรลุเป้าหมายการใช้งานงานพลังงานหมุนเวียนได้ 100 เปอร์เซ็นต์ภายในสิบปีข้างหน้า และยังเพิ่มเวลาทำงานหรือ uptime ได้ถึง 99.999 เปอร์เซ็นต์

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทบาทสำคัญของไมโครกริดในการสร้างความยั่งยืนแห่งอนาคต

สนามบินและอุตสาหกรรมอื่นๆ จึงไม่ควรพลาดโอกาสสำคัญในการสร้างความก้าวหน้าไปสู่ความยั่งยืน และเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนด้วยการนำโซลูชันเทคโนโลยีที่ได้รับการพิสูจน์และยอมรับมาใช้งาน เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีไมโครกริดและไมโครกริดช่วยให้สนามบินอย่าง JFK มั่นใจในพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและน่าเชื่อถือ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย ได้รับคัดเลือกให้เป็น “สถานที่ทำงานที่ยอดเยี่ยม” จาก Great Place to Work®

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันด้านการจัดการพลังงาน และระบบออโตเมชัน ได้รับการรับรองมาตรฐานในการเป็นสถานที่ทำงานที่ยอดเยี่ยม พร้อมกับสำนักงานสาขาของชไนเดอร์ อิเล็คทริค อีก แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จาก Great Place to Work® โดยการรับรองในครั้งนี้ นับเป็นผลสำเร็จจากความพยายามอย่างต่อเนื่องของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในการสร้างองค์กรที่ดีที่สุดเพื่อพนักงาน โดยมีเป้าหมายที่ให้คุณค่าในเรื่องการทำงาน ตลอดจนการสนับสนุนให้เกิดวัฒนธรรมการยอมรับความแตกต่าง และการเพิ่มขีดความสามารถ และเสรีภาพในการทำงานของพนักงาน

Great Place to Work® ได้มีการจัดทำการสำรวจพนักงานของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กว่า 11,000 ราย จากสำนักงานประจำประเทศต่างๆ ในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 6 แห่ง เพื่อเข้าใจถึงความพึงพอใจและความไว้วางใจ รวมถึงความรู้สึกของพนักงานในขณะที่ทำงานที่บริษัท โดยตัวชี้วัดที่สำรวจได้แก่ ความไว้วางใจ (เชื่อมั่นในการบริหารจัดการที่น่าเชื่อถือ) ความเคารพ (ความรู้สึกชื่นชม) ความเป็นธรรม (การปฏิบัติที่เท่าเทียมและยุติธรรม) ความภาคภูมิใจ (ความภาคภูมิใจในบริษัท) และความสัมพันธ์ที่ดี (ในแง่ของการอยู่ร่วมกัน)

นายสเตฟาน นูสส์ ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยว่า “เราเชื่อว่าบุคลากรที่ยอดเยี่ยมทำให้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยมไปด้วยเช่นกัน และเรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากการที่เราได้รับการยอมรับว่าเป็น “สถานที่ทำงานที่ยอดเยี่ยม” ผมรู้สึกภาคภูมิใจ และขอขอบคุณพนักงานของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย รวมไปถึงคู่ค้าที่ยอดเยี่ยมทุกท่าน  เพราะการมีส่วนร่วมของทุกท่าน ทำให้เรามีวัฒนธรรมองค์กรที่มีความเชื่อใจ เคารพซึ่งกันและกัน เราสนับสนุนให้พนักงานของเราทำงานในฐานะเป็นผู้ประกอบการ เราเป็นบริษัทที่มีความหลากหลายและอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจและยอมรับในความแตกต่าง และสิ่งนี้คือหนึ่งใน DNA ของเรา และเราต้องการให้พนักงานของเรารู้สึกมีคุณค่าและปลอดภัย เราเชื่อว่านี่คือกุญแจสำคัญในการสร้างนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ ประสิทธิภาพ และความคล่องตัวที่มากขึ้น และจะนำพวกเขาไปสู่ความสำเร็จ การยอมรับในครั้งนี้นับเป็นการพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของเราในการก้าวไปสู่คำว่า well-being ทั้งการทำงานและการใช้ชีวิต ที่ครอบคลุมทุกคนในองค์กร ในทุกสถานการณ์ แม้จะมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นในอนาคตอีกก็ตาม”

คนทำงานในรุ่นปัจจุบันนอกจากจะสนใจเรื่องความมั่นคงทางการเงินแล้ว ยังใส่ใจเรื่องของสังคมเช่นกัน ซึ่งคนทำงานเต็มใจที่จะมีส่วนร่วมมากขึ้นกับงานที่มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้น จากผลการสำรวจภายในที่จัดทำโดย Great Place to Work® ร่วมกับ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้แสดงให้เห็นถึงคุณค่าขององค์กรที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วม และสร้างผลกระทบต่อสังคมและชุมชน ตลอดจนคุณค่าของการไม่แบ่งแยก นับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ได้รับคะแนนสูงสุดในการวัดความพึงพอใจและความภาคภูมิใจของพนักงานที่มีต่อบริษัท นอกจากนี้ ในแง่มุมของการปฏิบัติที่เป็นธรรมและมีความเท่าเทียมกัน วิถีที่บริษัทได้มอบความยืดหยุ่นในการทำงาน และความเอาใจใส่ของบริษัทในการพัฒนาและสร้างประสิทธิภาพให้กับพนักงานแต่ละคน ยังนับเป็นอีกแง่มุมที่ทำให้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้คะแนนสูงที่สุด

น.ส.วุฒยา วงษ์สวรรค์ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ดูแลกลุ่มประเทศไทย เมียนมาร์ และลาว กล่าวว่า “เราภูมิใจที่ได้รับความไว้วางใจจากพนักงานว่าบริษัทเป็นสถานที่ทำงานที่ยอดเยี่ยม จนได้รับการยอมรับจาก สถาบัน Great Place to Work® สำหรับ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เรามีความมุ่งหวังที่จะส่งเสริมให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเชื่อมโยงความก้าวหน้าให้เข้ากับความยั่งยืนสำหรับทุกคน ภารกิจของเราคือการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลเพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน เราสะท้อนความมุ่งมั่นในเรื่องดังกล่าว ผ่านโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่เราพัฒนาขึ้น และวิถีนี้เองที่ทำให้เรากลายเป็นแบบอย่างในการประยุกต์ใช้หลักการด้านความยั่งยืนในทุกกิจกรรมทางธุรกิจ รวมไปถึงการดำเนินธุรกิจ เราได้ปลูกฝังหลักการเหล่านี้ไว้ภายในบริษัทของเรา เพื่อพวกเราและเพื่อสังคมที่เราอาศัยอยู่”

Great Place to Work® เป็นองค์กรระดับโลกที่มุ่งเน้นการวิจัยไปที่วัฒนธรรมองค์กร ที่ผ่านมาได้สำรวจพนักงานมากกว่า 100 ล้านคนทั่วโลก ตั้งแต่ปี 1992 และใช้ข้อมูลเชิงลึกนั้นเพื่อพิจารณาว่าอะไรที่เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยมและได้รับความไว้วางใจ

เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เป้าหมายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการช่วยให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราเรียกสิ่งนี้ว่า Life Is On

ภารกิจของเราคือการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลกับคุณ เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน

เราขับเคลื่อนการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกด้านพลังงานและกระบวนการจัดการ เข้ากับผลิตภัณฑ์ตั้งแต่จุดเชื่อมต่อปลายทางไปยังคลาวด์ ระบบควบคุม รวมถึงซอฟต์แวร์และการบริการครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตการทำงานทั้งหมด เพื่อสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการ ทั้งสำหรับบ้าน อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม

เราคือบริษัทระดับโลกที่มีการดำเนินงานในระดับท้องถิ่นมากที่สุด เราสนับสนุนมาตรฐานระบบเปิดและระบบนิเวศของคู่ค้าที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการทำตามวัตถุประสงค์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน และคุณค่าในการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ทำไมระบบบริหารจัดการโครงสร้างดาต้าเซ็นเตอร์จึงเป็นสิ่งจำเป็นมากยิ่งขึ้น

โดย เควิน บราวน์ รองประธานอาวุโส โซลูชัน EcoStruxure ธุรกิจ Secure Power ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เมื่อมองย้อนกลับไปยังปี 2020 เป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการพิจารณาถึงความคืบหน้าที่ทางทีมงาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้ดำเนินการมา และหนึ่งในผลงานโดดเด่นที่น่าชื่นชมคือ DCIM (ระบบบริหารจัดการโครงสร้างดาต้าเซ็นเตอร์)

ผ่านมา 2 ปีแล้วที่ผมได้พูดถึงความจำเป็นของ DCIM ว่ายังอยู่ในกระแสหรือไม่ ในเวลานั้น ผมได้สรุปว่า DCIM จะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากการพึ่งพาระบบโครงสร้างไอที ณ จุดประมวลผลมีบทบาทสำคัญมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เครื่องมือการบริหารจัดการโครงสร้างดาต้าเซ็นเตอร์แบบเดิมนับว่าไม่เพียงพอ และต้องอาศัยข้อได้เปรียบของคลาวด์และเทคโนโลยีโมบายมาช่วย

ปัจจุบัน ในปี 2021 ผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะบอกว่า เราได้มีพัฒนาการอย่างมากในการนำเสนอ DCIM และ DCIM ยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ต้องเร่งปฏิรูปสู่ยุคดิจิทัล เมื่อผู้คนบนโลกส่วนใหญ่กำลังทำงานจากที่บ้านกัน

DCIM สร้างโอกาส ทั้งในดาต้าเซ็นเตอร์ และที่เอดจ์

ที่ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) เราช่วยให้การนำ DCIM มาปรับใช้ได้ง่ายขึ้นในราคาที่ถูกลง ซึ่ง DCIM ในปัจจุบันให้ประโยชน์หลากหลายครอบคลุมทั้งฟังก์ชั่นการมอนิเตอร์ และการบริหารจัดการ โดยสามารถเข้าถึงระบบได้จากทุกที่ ทุกอุปกรณ์ และทุกเวลา และเป็นการพัฒนาจากการสร้างข้อมูลดิบ เพื่อให้ผลการวิเคราะห์ได้อย่างฉลาดพร้อมข้อแนะนำ รวมถึงมีระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์แบบบิวด์-อินมาในตัว ให้ความสามารถด้านการคาดการณ์ และมอนิเตอร์ความปลอดภัยทางกายภาพและสภาพแวดล้อมการทำงาน ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง

ผมเห็น DCIM นำมาใช้ในหลากหลายแนวทางในอุตสาหกรรมและเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีอย่างยิ่ง การเปลี่ยนไปสู่โลกที่เป็นระบบอัตโนมัติมากขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งก่อนการเกิดโควิด-19 และยิ่งถูกเร่งให้เร็วขึ้นไปอีกในช่วงการแพร่ระบาด โดยทีมงานที่ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ต่างมุ่งเน้นเรื่องนี้มากขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่า DCIM มีความพร้อมในการรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและในอนาคต

การเติบโตของ DCIM

หนึ่งในความท้าทายที่ซับซ้อนมากที่สุดคือเรื่องดาต้าเซ็นเตอร์และความยั่งยืนด้านไอที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรามองไปข้างหน้าในอนาคตอันใกล้ และเห็น ความเป็นไปได้ของวิกฤตด้านพลังงานที่เริ่มก่อตัวขึ้นบริเวณเอดจ์ ผู้คนทั่วโลกต่างใช้เซนเซอร์ และมิเตอร์ IoT เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบการใช้ไฟฟ้ารวมถึงทรัพยากรอื่นๆ เราวิเคราะห์ข้อมูลจากดาต้าเซ็นเตอร์ และนำมารันอัลกอริธึ่มเพื่อเรียนรู้วิธีที่จะสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืนในภาพรวมได้อย่างเหมาะสมที่สุด ดาต้าเซ็นเตอร์แบบไฮบริดที่มีมากขึ้น นอกจากจะให้ศักยภาพในการปฏิรูปสู่ดิจิทัลแล้ว ยังเป็นหัวใจสำคัญที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นในแนวทางที่ยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม เราต้องมั่นใจว่าตัวระบบโครงสร้างไอทีเองก็ต้องให้ความยั่งยืนเช่นกัน

เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้พูดเกี่ยวกับหลักการทำงานของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค สำหรับการสร้างความยั่งยืนให้กับดาต้าเซ็นเตอร์ในงานอีเวนท์ Towards Net-Zero ของ DCD ซึ่งผมนำเสนอเรื่อง เมื่อไม่มีแผน B กับการทำงานเพื่อบรรลุการสร้างความยั่งยืนให้ดาต้าเซ็นเตอร์ ผมได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการขับเคลื่อนประสิทธิภาพการดำเนินงานซึ่งสามารถบรรลุผลสำเร็จได้จากการผสมผสานที่ลงตัวของระบบงานที่เชื่อมต่อกันและบริการซ่อมบำรุงเชิงคาดการณ์ รวมถึงซอฟต์แวร์และระบบวิเคราะห์  แนวทางดังกล่าวช่วยให้มั่นใจว่า DCIM จะมีบทบาทสำคัญใน ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งอนาคต ที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมตอบโจทย์ความท้าทายเรื่องความยั่งยืนได้

ทั้งนี้ เราจะยังคงลงทุนใน DCIM อย่างต่อเนื่องแน่นอน เนื่องจากทั้งการมอนิเตอร์และการบริหารจัดการจากระยะไกลนับเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความยั่งยืนและยืดหยุ่นให้กับสภาวะงานด้านไอทีแบบไฮบริด

เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เป้าหมายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการช่วยให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราเรียกสิ่งนี้ว่า Life Is On

ภารกิจของเราคือการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลกับคุณ เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน

เราขับเคลื่อนการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกด้านพลังงานและกระบวนการจัดการ เข้ากับผลิตภัณฑ์ตั้งแต่จุดเชื่อมต่อปลายทางไปยังคลาวด์ ระบบควบคุม รวมถึงซอฟต์แวร์และการบริการครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตการทำงานทั้งหมด เพื่อสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการ ทั้งสำหรับบ้าน อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม

เราคือบริษัทระดับโลกที่มีการดำเนินงานในระดับท้องถิ่นมากที่สุด เราสนับสนุนมาตรฐานระบบเปิดและระบบนิเวศของคู่ค้าที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการทำตามวัตถุประสงค์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน และคุณค่าในการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

บริการใหม่จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค ชี้จุดเสี่ยงในระบบไฟฟ้า สร้างความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงให้ธุรกิจด้วยการบำรุงรักษาระบบตามสภาพของอุปกรณ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค(Schneider Electric) ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นในการจัดการพลังงานและระบบออโตเมชั่น ออกบริการใหม่ EcoStruxure Service Plans โดยเป็นแพคเกจด้านการบริการระบบไฟฟ้าที่สมบูรณ์แบบด้วยการผสานการบำรุงรักษาอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าเข้ากับบริการด้านดิจิทัล ตอบโจทย์เป้าหมายของลูกค้าได้ตรงใจ และช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพอุปกรณ์ไฟฟ้าและระบบไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

วางใจในความต่อเนื่องทางธุรกิจ

60 เปอร์เซ็นต์ของภาคธุรกิจ กำลังเตรียมการให้พร้อมสำหรับอนาคตด้วยการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ส่วนหนึ่งคือการปรับระบบไฟฟ้าให้เป็นระบบดิจิทัล เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ระบบสามารถทำงานต่อเนื่องในทุกวันและลดความเสี่ยง ตัวอย่างเช่น 56 เปอร์เซ็นต์ของการเกิดไฟไหม้จากระบบไฟฟ้าเนื่องมาจากการขาดการซ่อมบำรุง นอกจากนี้ยังมีความท้าทายที่ทีมงานดูแลระบบไฟฟ้าต้องเผชิญอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะในเรื่องของความเชี่ยวชาญในการทำงาน หรือช่องว่างทางด้านทักษะในการบำรุงรักษา

EcoStruxure Service Plans บริการใหม่นี้ จะช่วยบรรเทาปัญหาด้วยการมอบการบริการภาคสนามที่ผสมผสานอย่างลงตัวภายใต้สัญญาเดียว ทั้งบริการด้านดิจิทัลและให้คำปรึกษาระยะไกลได้ตรงความต้องการ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้มุ่งเน้นความสำคัญในการมอบประสบการณ์ที่ดีและทันสมัยยิ่งขึ้นให้กับลูกค้า โดยที่สามารถเลือกใช้แผนการบริการ EcoStruxure Service Plan ได้ตามความต้องการเพื่อรับประโยชน์ที่สูงสุด

“ลูกค้าของเราหลายรายมุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟูธุรกิจที่อาจเสียศูนย์ไปในช่วงวิกฤต” เฟรดเดอริก โกเดอเมล รองประธานบริหาร ฝ่ายระบบพลังงานและการบริการ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “นั่นคือสาเหตุที่เรานำเสนอบริการใหม่ EcoStruxure Service Plans นี้ขึ้นมา เพื่อให้เราสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงอุปกรณ์ไฟฟ้าได้ดียิ่งขึ้น และพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจของลูกค้า การผสมผสานที่สมบูรณ์แบบระหว่างบริการภาคสนามและบริการดิจิทัลจะสร้างความอุ่นใจให้กับลูกค้า โดยลูกค้าสามารถมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจหลัก และให้เรื่องการดูแลอุปกรณ์ไฟฟ้าและคุณภาพของพลังงานเป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญ อย่างชไนเดอร์ อิเล็คทริค”

เลือกบริการที่เหมาะสมกับกลยุทธ์

นายวราชัย จตุระสถาพร รองประธาน ธุรกิจ Field Services ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา เผยว่า “EcoStruxure Service Plans สะท้อนความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในการสร้างความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจลูกค้าในอนาคตได้ นอกเหนือจากบริการภาคสนามแบบปกติ ยังมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลในเรื่องข้อมูล ซอฟต์แวร์ และระบบวิเคราะห์ ที่จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพได้ดียิ่งขึ้น ทั้งเรื่องการบริหารจัดการระบบไฟฟ้า ความปลอดภัย ประสิทธิภาพด้านการดำเนินงานและความยั่งยืน”

ขับเคลื่อนระบบไฟฟ้ารูปแบบใหม่ด้วยซอฟต์แวร์ ระบบวิเคราะห์ และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับดิจิทัล

EcoStruxure Service Plans ขับเคลื่อนด้วยผลิตภัณฑ์ดิจิทัล เช่นอุปกรณ์ที่ทำงานด้วยระบบ IoT ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค พร้อมทั้งจัดหาอุปกรณ์ และปรับปรุงอุปกรณ์ที่ลูกค้ามีอยู่ โดยการนำเทคโนโลยีล่าสุดมาช่วย ผ่านแพลตฟอร์ม IoT ที่เรียกว่า EcoStruxure ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

สมัครแพคเกจ EcoStruxure Service Plan วันนี้ แถมฟรี Visual Audit Inspection มูลค่า 30,000 บาท (โปรโมชั่นอยู่ถึง 30 พฤศจิกายน 2564) กรอกข้อมูลให้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ติดต่อกลับ https://go.schneider-electric.com/TH_202109_ESP-Form_CS-LP.html?source=Social-Media&sDetail=ESP-Form_TH

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม https://www.se.com/th/th/work/services/service-plan/ecostruxure-service-plan.jsp


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มุ่งเสริมศักยภาพ เร่งทรานส์ฟอร์มช่างไฟสู่ดิจิทัล

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ในการบริหารจัดการพลังงาน และระบบออโตเมชัน เดินหน้าสนับสนุนช่างไฟก้าวสู่ดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ออกเครื่องมือครบทั้งแอปพลิเคชันช่างไฟชไนเดอร์ อีกทั้งจับมือภาครัฐยกระดับความรู้สู่ยุค 4.0 และเปิดคลาสเรียนต่อยอดอาชีพ พร้อมเป็นสื่อกลางระหว่างช่างไฟกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน มุ่งมั่นสร้างศักยภาพให้ช่างไฟอย่างต่อเนื่อง

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค(Schneider Electric) ในฐานะแบรนด์ชั้นนำระดับโลกที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ และโซลูชันครอบคลุมตั้งแต่ โรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม ดาต้าเซ็นเตอร์ อาคาร และบ้าน โดยนำเสนอนวัตกรรมทั้งด้านเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์รองรับการใช้งานตั้งแต่ ‘องค์กรขนาดใหญ่ระดับโลก จนถึงการใช้งานระดับบ้าน’ โดยผลิตภัณฑ์สำหรับบ้านของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ ตู้ไฟหรือตู้คอนซูมเมอร์ยูนิต อุปกรณ์สวิตช์ ปลั๊ก เบรกเกอร์ กันไฟดูด ชุดโฮมออโตเมชัน หรือโซลูชันสำหรับบ้านอัจฉริยะ และอื่นๆ

นายกุศล กุศลส่ง รองประธานกลุ่มธุรกิจ Home and Distributions ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย เผยว่า “การทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล หรือการปฏิรูปสู่ดิจิทัลนั้น มีความจำเป็นอย่างมากทั้งสำหรับการดำเนินธุรกิจและการใช้ชีวิตทุกวันนี้ ซึ่ง ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เองในทั่วโลก มีการทรานส์ฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัลได้เป็นผลสำเร็จ และมีโซลูชันมากมายที่ช่วยตอบโจทย์ทุกธุรกิจในภาคส่วนต่างๆอีกด้วย สำหรับในส่วนธุรกิจ Home and Distributions เราให้ความสำคัญกับผู้คนที่แวดล้อมในอีโคซิสเต็มของเรา เช่น พันธมิตรคู่ค้า ช่างไฟฟ้า และลูกค้าผู้ใช้งานอุปกรณ์ของเรา  โดยในตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้มุ่งมั่นอย่างจริงจังในการช่วยให้ช่างไฟ ก้าวสู่การเป็นช่างไฟ 4.0 ด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีที่เรามอบให้ จะช่วยเสริมให้ช่างไฟทำงานได้ราบรื่นและมีความสะดวกสบายมากขึ้น พร้อมทั้งยังปลอดภัยมากขึ้นอีกด้วย ที่ผ่านมา เราดำเนินการกิจกรรมหลากหลายในการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้ช่างไฟได้รับความสะดวกสบายในชีวิตมากขึ้น ปรับให้ง่ายเหมาะสมกับพฤติกรรมช่างไฟให้ได้มากที่สุด และนั่นเป็นเสน่ห์ของเทคโนโลยี 4.0 ที่เราเชื่อว่าช่วยเปลี่ยนความยุ่งยากให้เป็นเรื่องง่าย ”

ยกระดับแคมเปญ..จากอัตโนมือ สู่อัตโนมัติ

ในอดีตเมื่อช่างไฟต้องร่วมแคมเปญต่างๆ กับทางชไนเดอร์ อิเล็คทริค เพื่อรับแต้มรางวัล จะต้องมีการตัดฉลากและส่งผ่านระบบตู้ปณ. แต่นับจาก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้พัฒนาแอปพลิเคชันช่างไฟชไนเดอร์ (mySchneider Electrician Mobile Application) จึงได้ช่วยอำนวยความสะดวกให้ช่างไฟในการรับข่าวสารหรือเรียนรู้และวิธีการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าให้ปลอดภัยผ่านทางแอปพลิเคชันนี้ และยังพร้อมสามารถดูร้านค้าในพื้นที่ที่ใกล้กับไซต์งานได้ เพื่อไม่ให้ช่างไฟเสียเวลาในการหาร้านขายอุปกรณ์ และด้วยแอปพลิเคชันนี้เอง ทำให้ช่างไฟได้รับความสะดวกในการส่งฉลากเพื่อรับรางวัลจากทางชไนเดอร์ อีกด้วย ซึ่งจากเมื่อก่อน ช่างไฟต้องตัดฉลาก และส่งไปรษณีย์ไปยังตู้ปณ. ที่ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ระบุ และใช้เวลาหลายวันสำหรับกระบวนการทั้งหมด เพราะมีกระบวนแฝงอยู่ในนั้นมากมาย ปัจจุบันนี้ ช่างไฟสามารถถ่ายภาพแนบไฟล์และส่งผ่านแอปฯ ได้ทันที โดยรางวัลจะเข้าไปยัง “ทรูมันนี่ วอลเล็ท” ซึ่งเป็นกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ใช้แพร่หลายในประเทศไทย และยังสามารถซื้อสินค้าในร้านสะดวกซื้อชั้นนำ โดยการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร หรือใช้ในการชำระค่าสาธารณูปโภคต่างๆ โดยช่างไฟสามารถโหลดและเชื่อมต่อเข้ากับแอปฯช่างไฟ ได้ง่ายๆ นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มฟังก์ชั่นการแลกแต้มในแอปฯ ช่างไฟ และช่างไฟสามารถดูข้อมูลที่น่าสนใจต่างๆ ทั้งคอร์สการอบรมแบบออนไลน์ในหัวข้อที่น่าสนใจต่างๆ เรียกได้ว่าเราพยายามนำเทคโนโลยีมาให้ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับช่างไฟให้ครอบคลุมมากที่สุด

ล่าสุด ชไนเดอร์ อิเล็คทริค นำร่องผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ที่สามารถสแกน QR Code ข้างกล่องปุ๊บ ได้แต้มปั๊บ ทำให้สามารถสะสมแต้มเพื่อแลกเป็นเงินเพื่อใช้ในการจับจ่ายได้ทันที นับเป็นก้าวสำคัญที่ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค พยายามนำพาช่างไฟไปสู่การใช้ประโยชน์ของดิจิทัล และลดขั้นตอนต่างๆ ให้สั้นที่สุด เพื่อการใช้งานที่ง่ายที่สุด

นายกุศล เผยต่อว่า “การพัฒนาแอปฯ ช่างไฟชไนเดอร์ มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน คือ การช่วยสร้างความเป็นมืออาชีพให้ช่างไฟสู่ยุคดิจิทัล แอปฯ ช่างไฟชไนเดอร์ ยังเป็นเหมือนที่ปรึกษาให้ความรู้เคล็ดลับการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าให้รวดเร็วและปลอดภัย ช่างไฟสามารถค้นหาร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าใกล้ไซต์งานที่สุด เพื่อลดเวลาในการเดินทาง และสามารถโทรคุยเรื่องราคาได้ในทันที เรียกได้ว่าครบ จบที่เดียว

ระยะห่าง…แค่ทางสังคม สานมิตรภาพอย่างใกล้ชิด ด้วยระบบดิจิทัล

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เชื่อว่าความรู้ไม่มีวันจบสิ้น โดยเฉพาะความรู้ที่จะช่วยสนับสนุนในอาชีพให้ช่างไฟ โดย ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้มีการจัดการอบรมวิชาชีพโดยการยกห้องสัมมนาขึ้นไปไว้ในระบบออนไลน์ โดยเชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคด้านไฟฟ้า และด้านที่เกี่ยวข้องอื่นๆ มาร่วมนำเสนอในหัวข้อที่แตกต่างกันไปในแต่ละเดือน โดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น ยูทูบ เป็นต้น โดยได้รับการตอบรับจากช่างไฟ ในการเข้าร่วมบนแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ทาง ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จัดไว้ให้ในแต่ละครั้งเป็นจำนวนมาก

จับมือภาครัฐ ยกระดับองค์ความรู้ให้ช่างไฟ เรียนรู้เทคโนโลยีผ่านระบบดิจิทัล

เพื่อให้ช่างไฟได้พัฒนาองค์ความรู้มากขึ้น ควบคู่ไปกับที่ช่างไฟต้องมีเอกสารรับรองมาตรฐานการประกอบวิชาชีพตามที่กระทรวงแรงงานกำหนด ดังนั้นที่ผ่านมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จึงได้จัดกิจกรรมอบรมความรู้และเสริมทักษะให้ช่างไฟ เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับระบบไฟฟ้ามากขึ้น พัฒนาความรู้ให้เข้าเกณฑ์มาตรฐานและได้รับใบอนุญาตจากภาครัฐ ทำให้ช่างไฟสามารถประกอบวิชาชีพได้อย่างมั่นใจ ได้มาตรฐานและปลอดภัย

นอกจากนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้ร่วมมือกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงานในการถ่ายทอดความรู้ด้านเทคโนโลยีไฟฟ้า และสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ โดยมอบอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องให้กับกรมฯ อาทิ ชุดอุปกรณ์สาธิต เซอร์กิตเบรกเกอร์ ตู้ไฟ และชุดอุปกรณ์โฮมออโตเมชัน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในยุคปัจจุบัน เพื่อใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนให้ช่างไฟสามารถมีองค์ความรู้ทัดเทียมกับช่างไฟทั่วโลก เพื่อรองรับสังคมเมืองที่มีการเติบโตขึ้นในปัจจุบัน

“เราเชื่อว่าการทำธุรกิจที่ยั่งยืน นอกจากการมีผลิตภัณฑ์ที่ดีและแตกต่างแล้ว ยังต้องมอบมิตรภาพที่ดีให้กับอีโคซิสเต็มของเรา เมื่อเรามีกิจกรรมช่วยเหลือสังคมที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้า อาทิ การร่วมกันวางระบบไฟฟ้าให้โรงเรียน วัดและชุมชนต่างๆ ท ก็ได้รับความช่วยเหลือจากช่างไฟในพื้นที่นั้นๆ เสมอมา

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังคงทุ่มเท มุ่งมั่น ในการมอบความเชี่ยวชาญ และองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี เพื่อต่อยอดอาชีพให้ช่างไฟในประเทศไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างมั่นใจ เพื่อที่พวกเขาจะได้ใช้วิชาชีพในการช่วยเหลือสังคมและลูกค้าของพวกเขาให้มีระบบไฟฟ้าในบ้าน อาคาร ที่ปลอดภัย อย่างยั่งยืนมากขึ้น” นายกุศลกล่าวทิ้งท้าย

เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เป้าหมายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการช่วยให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราเรียกสิ่งนี้ว่า Life Is On

ภารกิจของเราคือการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลกับคุณ เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน

เราขับเคลื่อนการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกด้านพลังงานและกระบวนการจัดการ เข้ากับผลิตภัณฑ์ตั้งแต่จุดเชื่อมต่อปลายทางไปยังคลาวด์ ระบบควบคุม รวมถึงซอฟต์แวร์และการบริการครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตการทำงานทั้งหมด เพื่อสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการ ทั้งสำหรับบ้าน อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม

เราคือบริษัทระดับโลกที่มีการดำเนินงานในระดับท้องถิ่นมากที่สุด เราสนับสนุนมาตรฐานระบบเปิดและระบบนิเวศของคู่ค้าที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการทำตามวัตถุประสงค์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน และคุณค่าในการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน


Exit mobile version