Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เดินหน้าปลดล็อกองค์กรไทยสู่ความยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ผนึกซอฟต์แวร์ และ AI

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการจัดการพลังงาน ระบบออโตเมชั่น และความยั่งยืน เผยผลประกอบการปี 2566 ทั่วโลกรายได้ 35,902 ล้านยูโร โตขึ้น ราว 13 เปอร์เซ็นต์ (Organic) และด้วยโซลูชั่นด้านความยั่งยืน ช่วยให้ลูกค้าทั่วโลกลดการปล่อยคาร์บอนในปี 2566 เพียงปีเดียว ได้ถึง 112 ล้านตัน พร้อมปักหมุดเดินหน้าสนับสนุนองค์กรในไทย จากผลการสำรวจ Green Action Gap

นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ประเทศไทย ลาว และเมียนมา เผยว่า ปีที่ผ่านมา รายได้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ทั่วโลก มีความเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาจากหลายๆ องค์กรที่เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสร้างความยั่งยืน และได้นำเทคโนโลยีมาปรับใช้ ซึ่งผลประกอบการปี 2566 ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ทั่วโลกมีรายได้ 35,902 ล้านยูโร โตขึ้น 13 เปอร์เซ็นต์ โซลูชั่นของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นโซลูชั่นที่ช่วยให้องค์กรสร้างความยั่งยืน เราสามารถช่วยให้ลูกค้าทั่วโลกลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 112 ล้านตันในปี 2566 ภายในเพียงปีเดียว เทียบเท่ากับการดูดซับคาร์บอนของต้นไม้ประมาณ 11,200 ล้านต้น หรือมากกว่า

ปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศนับเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ต้องอาศัยความร่วมมือกันในทุกระดับและทุกองค์กร เพื่อให้สามารถไปสู่ความยั่งยืนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จึงได้ทำการสำรวจเป้าหมายด้านความยั่งยืนโดยได้มีการพูดคุยกับผู้นำองค์กรจำนวน 4,500 ราย ใน 9 ประเทศ และ 500 องค์กร ในประเทศไทย เพื่อรวบรวมมุมมองของผู้นำธุรกิจในภูมิภาคเอเชียเกี่ยวกับความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม โดยได้มีการดำเนินการสำรวจร่วมกับ Milieu Insight ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์และวิจัยข้อมูล ด้วยการให้ผู้บริหารระดับกลางถึงระดับสูงในภาคเอกชนเข้าร่วมการสำรวจตอบคำถาม 30 ข้อ เกี่ยวกับความยั่งยืน รวมถึงผลกระทบต่อธุรกิจของตนในประเทศต่างๆ ได้แก่ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน เวียดนาม และประเทศไทย

นายมงคล เผยว่า “จากการสำรวจกลุ่มองค์กรในประเทศไทย พบว่ามีข้อมูลและตัวเลขที่น่าสนใจ โดยเกือบทุกบริษัทหรือมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ตระหนักดีว่า การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญของความยั่งยืน รวมถึงหลายองค์กรให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพการใช้พลังงานเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของแผนความยั่งยืน”

นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่ออุปทานหรืออุปสงค์ด้านพลังงาน ถึง 44เปอร์เซ็นต์ และความสามารถในการฟื้นตัว จำนวน 41 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการเบื้องต้นหรือเทคโนโลยีที่บริษัทต่างๆ ใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านพลังงาน ได้แก่ มาตรการด้านพลังงานและประสิทธิภาพของทรัพยากร จำนวน 51 เปอร์เซ็นต์และพลังงานหมุนเวียนในโรงงาน และการแปลงระบบและการดำเนินงานให้เป็นดิจิทัล ถึง 43 เปอร์เซ็นต์

หลายองค์กรมองว่า ความยั่งยืนสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ถึง 44 เปอร์เซ็นต์ ช่วยสร้างนวัตกรรมและความสามารถในการแข่งขัน ถึง 42 เปอร์เซ็นต์ และช่วยลดต้นทุน ช่วยให้ประหยัด และผลประโยชน์ทางการเงิน ถึง 38 เปอร์เซ็นต์

อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทย  จำนวนถึง 98 เปอร์เซ็นต์ เผยว่าบริษัทมีแผนและมีเป้าหมายด้านความยั่งยืน ขณะที่มีเพียง 53 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น ที่ได้นำกลยุทธ์ความยั่งยืนที่ครอบคลุมไปปรับใช้อย่างชัดเจน ทำให้เกิด ช่องว่างสีเขียว หรือ Green Gap ที่ยังไม่ได้ถูกนำไปปฏิบัติ ถึง 45 เปอร์เซ็นต์ เลยทีเดียว

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ตอกย้ำและมุ่งมั่นนำเสนอนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนด้านความยั่งยืน และได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เสริมพอร์ตโฟลิโอด้านซอฟต์แวร์ นอกเหนือจาก EcoStruxure เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและประสิทธิภาพที่จะนำลูกค้าไปสู่ความยั่งยืนได้อย่างครบวงจรยิ่งขึ้น อาทิ AVEVA, IGE+XAO และ ETAP สำหรับลูกค้าที่ใช้ระบบไฟฟ้าเป็นหลัก และซอฟต์แวร์ RIB, Planon สำหรับอาคาร เป็นต้น เพื่อมอบประสบการณ์ที่ครบวงจรให้กับลูกค้าในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องการเดินทางไปสู่ความยั่งยืน

นายมงคลกล่าวว่า “ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีทิศทางที่ชัดเจน พร้อมเป็นเทคคอมพานี (Tech Company) นำเสนอโซลูชั่นและซอฟต์แวร์ตอบโจทย์ให้กับภาคธุรกิจในทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่การเริ่มต้นในการวางแผน การสร้าง ไปจนถึงกระบวนการดำเนินงานอย่างไรให้ยั่งยืน นอกจากนี้ ยังได้มีการลงทุนกับเทคโนโลยี AI และแมชชีนเลิร์นนิ่ง มาช่วยลูกค้าในการให้คำปรึกษาเพื่อนำเสนอบริการด้านพลังงานและความยั่งยืน ที่ให้มุมมองเชิงลึกและการวิเคราะห์ในส่วนของพอร์ตด้านพลังงานและความยั่งยืนของบริษัท”

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในประเทศไทย เป็นองค์กรที่มุ่งมั่นในการถ่ายทอดองค์ความรู้ และเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนอย่างจริงจัง โดยในปี 2565 ยังได้ริเริ่มโครงการ Green Heroes for life เป็นโครงการด้านความยั่งยืน มีเป้าหมายเพื่อช่วยผลักดันชุมชนของพลเมือง ธุรกิจ และสถาบันที่มีความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ให้มีกิจกรรมร่วมกัน

โดยล่าสุด ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้ออกแคมเปญ Impact Maker ที่มุ่งสนับสนุนให้องค์กรต่างๆ ร่วมและลุกขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงและสร้างโลกที่ยั่งยืนขึ้น ผลักดันเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้วยการดำเนินการปฏิบัติ ลด Green Gap ที่ยังคงมีอยู่ เพราะเรื่องความยั่งยืน เราไม่สามารถสร้างได้โดยเพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย และต้องนำเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วจริง นำมาปรับใช้และช่วยสร้างความยั่งยืน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อีตั้น อิเล็คทริค (Eaton) ขยายโอกาสในตลาดพลังงานไฟฟ้า จับมือพันธมิตรใหม่เซ็นสัญญาทางธุรกิจ

บริษัท อีตั้น อิเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด โดยคุณสุภัทรา รามสูต ผู้จัดการประจำประเทศไทย(ที่สามจากซ้าย) พร้อมด้วยคุณรัฐกร รักยุติธรรม – ผู้จัดการฝ่ายขายอาวุโสกลุ่มผลิตภัณฑ์ Circuit Protection and Control Business (ขวาสุด) เซ็นสัญญาแต่งตั้งพันธมิตรใหม่ พร้อมคุณเอกพิศิษฏ์ เจียรนัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิติสส์ จำกัด และ บริษัท เอวีร่า จำกัด (ที่สามจากขวา) เป็นตัวแทนจากทั้งสองบริษัท

ซึ่งในการแต่งตั้งตั้วแทนจำหน่ายในครั้งนี้ บริษัท ยูนิติสส์ จำกัด จะเป็นผู้จัดจำหน่ายหลักกลุ่มผลิตภัณฑ์ตู้เซฟตี้ สวิซต์ แบรนด์ Eaton ซึ่งนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา มีความคงทน ปลอดภัยและมาตรฐานสูง  ในส่วนบริษัท บริษัท เอวีร่า จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่ายหลักกลุ่มผลิตภัณฑ์เบรคเกอร์ แอร์เซอร์กิต เบรคเกอร์ และแมคเนติก คอนแทคเตอร์ แบรนด์ Eaton โดยมี คุณจีรทีปต์ นิ่มวุ่น ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เอวีร่า จำกัด (ที่สองจากซ้าย) และคุณนฤมล เมี้ยนเงิน ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ยูนิติสส์ จำกัด (ที่สองจากขวา) ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามเซ็นสัญญา ณ ห้องประชุมของบริษัท ยูนิติสส์ จำกัด ถนนพระรามสาม เมื่อเร็วๆนี้


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์เผย 6 แนวโน้มความมั่นคงไซเบอร์ที่สำคัญในปี 2567

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 13 มีนาคม 2567 – การ์ทเนอร์เผย Generative AI, พฤติกรรมพนักงานที่ไม่ปลอดภัย, ความเสี่ยงจากบุคคลที่สาม, ภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง, ช่องว่างการสื่อสารในทีมบริหาร และแนวทางการรักษาความปลอดภัยที่ยึดการยืนยันตัวตนเป็นหลัก ล้วนเป็นปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังและคอยขับเคลื่อนแนวโน้มความมั่นคงไซเบอร์ที่สำคัญ ๆ ในปีนี้

มร.ริชาร์ด แอดดิสคอตต์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “GenAI กำลังสร้างความกังวลใจให้กับผู้บริหารด้านความปลอดภัยในฐานะที่เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ต้องจัดการ อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีนี้ได้มอบโอกาสการควบคุมขีดความสามารถเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในระดับปฏิบัติการ แม้ Gen AI จะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าผู้บริหารยังต้องต่อสู้กับปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมที่ไม่อาจมองข้ามในปีนี้”

ปีนี้เราจะเห็นว่าผู้บริหารด้านความปลอดภัยตอบสนองต่อผลกระทบเหล่านี้ โดยนำแนวทางปฏิบัติ ความสามารถเชิงเทคนิค และการปฏิรูปโครงสร้างมาใช้ภายในโปรแกรมความปลอดภัยของตน โดยมีจุดประสงค์เพื่อปรับปรุงความยืดหยุ่นขององค์กรและเพิ่มประสิทธิภาพฟังก์ชันความปลอดภัยทางไซเบอร์

6 เทรนด์ต่อไปนี้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในหลากหลายด้าน:

เทรนด์ที่ 1: Generative AI – ระยะสั้นยังกังขา แต่ระยะยาวคือความหวัง

ผู้บริหารจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วของ GenAI เนื่องจากแอปพลิเคชันโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) เช่น ChatGPT และ Gemini นั้นยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการดิสรัปต์เท่านั้น ขณะเดียวกันผู้บริหารต่างมีเป้าหมายที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดช่องว่างด้านทักษะ และมอบประโยชน์ใหม่อื่น ๆ สำหรับความมั่นคงทางไซเบอร์ การ์ทเนอร์แนะนำว่าการใช้ GenAI นั้นควรเกิดขึ้นผ่านความร่วมมือเชิงรุกกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทางธุรกิจ เพื่อสนับสนุนการใช้ Disruptive Technology นี้อย่างมีจริยธรรมและตั้งอยู่บนพื้นฐานความปลอดภัย

“สิ่งสำคัญคือเราต้องเข้าใจว่าตอนนี้วิวัฒนาการ GenAI ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น จากการสาธิตหลากหลายที่เราได้เห็นในด้านการดำเนินการความปลอดภัยและในแอปพลิเคชันความปลอดภัยที่เผยให้เห็นคำมั่นสัญญาที่แท้จริง ทำให้ในระยะยาวยังมีความหวังรออยู่สำหรับเทคโนโลยีนี้ แต่ในเวลานี้มีแนวโน้มที่จะเจอกับความอ่อนเปลี้ยของผลผลิตมากกว่าการเติบโตในระดับเลขสองหลัก หลายสิ่งจะได้รับการปรับปรุงยิ่งขึ้น ดังนั้นต้องสนับสนุนการทดลองและจัดการความคาดหวัง โดยเฉพาะภายนอกทีมงานด้านความปลอดภัย”

เทรนด์ 2: มาตรวัดที่ขับเคลื่อนด้วยผลลัพธ์ความมั่นคงไซเบอร์: เชื่อมช่องว่างการสื่อสารในทีมบริหาร

ความถี่และผลกระทบเชิงลบของเหตุความมั่นคงทางไซเบอร์ที่กระทบต่อองค์กรยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของกลยุทธ์ความมั่นคงทางไซเบอร์ของคณะกรรมการและทีมบริหาร โดยมาตรวัดที่ขับเคลื่อนด้วยผลลัพธ์ หรือ Outcome-Driven Metrics (ODMs) ได้ถูกนำมาใช้มากขึ้นเพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถขีดเส้นแบ่งการลงทุนด้านความมั่นคงไซเบอร์และมอบระดับการป้องกันที่ถูกสร้างขึ้น

การ์ทเนอร์ ระบุว่า ODMs เป็นศูนย์กลางในการสร้างกลยุทธ์การลงทุนด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ที่สามารถป้องกันได้ สะท้อนถึงระดับการป้องกันที่ผสมผสานคุณสมบัติที่มีประสิทธิภาพสูง และสามารถสื่อสารในภาษาที่เข้าใจได้ง่าย ๆ ที่ไม่ใช่ฝ่ายไอทีก็สามารถอธิบายได้ สิ่งนี้เป็นการแสดงออกถึงความเสี่ยงที่น่าเชื่อถือและป้องกันได้ ซึ่งสนับสนุนการลงทุนเพื่อเปลี่ยนแปลงระดับการป้องกันโดยตรง

เทรนด์ที่ 3: โปรแกรมวิเคราะห์พฤติกรรมและวัฒนธรรมความปลอดภัยกำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดจากมนุษย์

ผู้บริหารด้านความปลอดภัยตระหนักดีว่าการเปลี่ยนโฟกัสจากการเพิ่มความตระหนักรู้ไปสู่การส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจะช่วยลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ในปี 2570 ครึ่งนึง (50%) ของ CISO ในองค์กรขนาดใหญ่จะนำแนวทางการออกแบบการรักษาความปลอดภัยที่คำนึงถึงผู้ใช้เป็นหลักมาใช้เพื่อลดความขัดแย้งที่เกิดจากความมั่นคงไซเบอร์ และเพิ่มการควบคุมมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยโปรแกรมวิเคราะห์พฤติกรรมและวัฒนธรรมด้านความปลอดภัย หรือ Security Behavior and Culture Programs (SBCPs) สามารถใช้วิเคราะห์และสรุปแนวทางทั่วทั้งองค์กรเพื่อลดเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมพนักงาน

“องค์กรธุรกิจที่ใช้ SBCPs จะได้รับประสบการณ์การยอมรับการควบคุมความปลอดภัยของพนักงานดีขึ้น ลดพฤติกรรมที่ไม่ปลอดภัย เพิ่มความรวดเร็วและความคล่องตัว และนำไปสู่การใช้ทรัพยากรความมั่นคงทางไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากพนักงานมีความสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับความเสี่ยงทางไซเบอร์อย่างอิสระ” แอดดิสคอตต์ กล่าวเพิ่ม

เทรนด์ที่ 4: การจัดการความเสี่ยงของบุคคลที่สามที่ขับเคลื่อนด้วยความยืดหยุ่นและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

เหตุการณ์ความมั่นคงไซเบอร์จากบุคคลที่สามเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และกำลังสร้างแรงกดดันให้ผู้บริหารหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และเลิกใช้แนวปฏิบัติสำหรับการตรวจสอบโดยละเอียดในด้านการลงทุน หรือ Front-Loaded Due Diligence การ์ทเนอร์แนะนำให้ผู้บริหารปรับปรุงการบริหารความเสี่ยงในบริการของบุคคลที่สาม และสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันกับพันธมิตรภายนอก เพื่อให้มั่นใจว่าทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของพวกเขาได้รับการปกป้องอย่างต่อเนื่อง

“เริ่มด้วยการเสริมความแข็งแกร่งให้กับแผนฉุกเฉินสำหรับการมีส่วนร่วมของบุคคลที่สามที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางไซเบอร์สูงสุด หรือสร้าง Playbooks สำหรับเหตุการณ์เฉพาะบุคคลที่สามพร้อมดำเนินการฝึกซ้อม และกำหนดกลยุทธ์ชัดเจนที่เกี่ยวข้องกับการเพิกถอนสิทธิ์ในการเข้าถึงและทำลายข้อมูลอย่างทันที” แอดดิสคอตต์ กล่าวเพิ่ม

เทรนด์ที่ 5: ใช้โปรแกรมจัดการความเสี่ยงจากภัยคุกคามต่อเนื่อง

Continuous Threat Exposure Management (CTEM) เป็นแนวทางปฏิบัติอย่างมีระบบที่องค์กรธุรกิจสามารถใช้ประเมินการเข้าถึง เปิดเผย และใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ดิจิทัลและสินทรัพย์ทางกายภาพอย่างต่อเนื่อง การจัดขอบเขตการประเมินและการแก้ไขให้สอดคล้องกับภัยคุกคามหรือโครงการทางธุรกิจในแบบเฉพาะ แทนที่จะเป็นองค์ประกอบโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเน้นย้ำถึงช่องโหว่และภัยคุกคามที่ไม่สามารถแก้ไขได้

ภายในปี 2569 การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านความปลอดภัยตามพื้นฐานของโปรแกรม CTEM จะพบการละเมิดลดลงถึงสองในสาม โดยผู้บริหารจะต้องตรวจสอบสภาพแวดล้อมดิจิทัลแบบไฮบริดอย่างต่อเนื่อง เพื่อสามารถระบุตัวตนได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และจัดลำดับความสำคัญของช่องโหว่ได้อย่างเหมาะสมที่สุด ช่วยรักษาพื้นผิวการโจมตีให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น 

เทรนด์ที่ 6: การขยายบทบาทการจัดการการเข้าถึงและระบุตัวตน (Identity & Access Management หรือ IAM) เพื่อปรับปรุงผลลัพธ์ความมั่นคงทางไซเบอร์

เมื่อองค์กรหันมาใช้แนวทางการรักษาความปลอดภัยที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลระบุตัวตนเป็นหลักมากขึ้น การมุ่งเน้นจะเปลี่ยนจากการรักษาความปลอดภัยเครือข่ายและการควบคุมแบบดั้งเดิมอื่น ๆ ไปสู่ Identity & Access Management (IAM) ทำให้มีความสำคัญต่อความมั่นคงทางไซเบอร์และผลลัพธ์ทางธุรกิจ ขณะที่การ์ทเนอร์เห็นบทบาทที่เพิ่มขึ้นสำหรับ IAM ในโปรแกรมความปลอดภัย แนวทางปฏิบัติจะต้องพัฒนาเพื่อมุ่งเน้นไปที่ความปลอดภัยขั้นพื้นฐานและเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบเพื่อปรับปรุงความยืดหยุ่น

การ์ทเนอร์แนะนำให้ผู้บริหารมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความแข็งแกร่งและใช้ประโยชน์จากโครงสร้างของข้อมูลระบุตัวตน และใช้ประโยชน์ของการตรวจจับภัยคุกคามรวมถึงการตอบสนอง เพื่อให้แน่ใจว่าความสามารถของ IAM อยู่ในจุดที่ดีที่สุด เพื่อรับมือกับขอบเขตการป้องกันของโปรแกรมความปลอดภัยโดยรวม

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com.


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อีกก้าวความสำเร็จ พีทีที แอลเอ็นจี คว้ารางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจำปี 2566 บทพิสูจน์คุณภาพและมาตรฐานระดับโลก

ในวันที่ 6 มีนาคม 2567 สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ สถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะสำนักงานรางวัลคุณภาพแห่งชาติ จัดงานพิธีมอบรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 22 ประจำปี 2566 ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เพื่อประกาศเกียรติคุณให้แก่ 10 องค์กรไทยที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพ นำโดย กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด ผู้คว้ารางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand  Quality Award) ตามด้วยองค์กรจากหลายภาคส่วน ที่ได้รับรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่น (Thailand Quality Class Plus) และรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Quality Class)

โดยมีนางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เกียรติเป็นประธานในการมอบรางวัล พร้อมด้วย ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานคณะกรรมการรางวัลคุณภาพแห่งชาติ และนายสุวรรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยการสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ร่วมเป็นเกียรติและแสดงความยินดี

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวแสดงความยินดี และเผยถึงความสำคัญของรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมชูศักยภาพทางการแข่งขันขององค์กรไทยในระดับโลก

“กระทรวงอุตสาหกรรมได้กำหนดนโยบายในการส่งเสริมและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมไทย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศสู่ความยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการสร้างความสำเร็จอย่างสมดุลใน 4 มิติ ทั้งด้านความสามารถในการแข่งขัน การได้รับการยอมรับจากชุมชนและสังคม การตอบโจทย์กติกาสากลด้านสิ่งแวดล้อม และการกระจายรายได้สู่ชุมชน ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

รางวัลคุณภาพแห่งชาติ ถือได้ว่าเป็นกลไกที่ช่วยส่งเสริมสนับสนุน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยมาตรฐานของเกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติที่เป็นที่ยอมรับในเวทีโลก จึงเป็นส่วนสำคัญในการช่วยผลักดันและยกระดับผลิตภาพและเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้งยังส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรไทย ภารกิจสำคัญนี้ต้องอาศัยการผนึกกำลังกันทุกภาคส่วน เพื่อช่วยยกระดับสังคมไทยให้พร้อมเดินหน้าสู่ความยั่งยืน สามารถต่อสู้กับทุกความท้าทาย กล้าเผชิญความเปลี่ยนแปลง พร้อมมุ่งสู่เป้าหมายความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ไปด้วยกัน”

ตามด้วยการกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดให้มีพิธีมอบรางวัลคุณภาพแห่งชาติ โดย นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

“กระทรวงอุตสาหกรรม  และคณะกรรมการรางวัลคุณภาพแห่งชาติ สนับสนุนให้มีการจัดพิธีมอบรางวัลคุณภาพแห่งชาติอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อประกาศเกียรติคุณให้แก่องค์กรที่ได้รับรางวัลคุณภาพแห่งชาติ และรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ โดยองค์กรเหล่านี้จะเป็นแบบอย่างที่ดีแก่องค์กรไทยในการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานจัดการองค์กรที่ทั่วโลกยอมรับ

ปีนี้ นับเป็นปีแรกที่มีการมอบรางวัล TQA Leadership Excellence Award แก่ผู้บริหารสูงสุด ขององค์กรที่เคยได้รับรางวัล TQA หรือ TQC Plus จำนวน 21 องค์กร เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติแก่ผู้บริหารองค์กรที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันและกระตุ้นให้องค์กรทุกภาคส่วนในประเทศไทย ด้วยการเผยแพร่ความรู้ในฐานะองค์กรต้นแบบที่เป็นเลิศ ส่งผลให้เกิดการขยายองค์ความรู้ไปสู่ภาคส่วนต่างๆ

นอกจากนี้ยังเป็นที่น่าภูมิใจ ที่องค์กรไทยได้รับรางวัลในระดับนานาชาติ ได้แก่ รางวัล Global Performance Excellence Award (GPEA) ในระดับ World Class ซึ่งแสดงถึงความเป็นผู้นำทางธุรกิจและเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ จำนวน 2 องค์กร ได้แก่ กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน (TQA winner 2022) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด (TQA winner 2021)”

นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานคณะกรรมการรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ได้ประกาศรายชื่อ 10 องค์กรที่ได้รับรางวัล ซึ่งในปีนี้มีองค์กรที่ได้รับรางวัลคุณภาพแห่งชาติ (TQA) 1 องค์กร รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่น (TQC Plus) 3 องค์กร และรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (TQC) 6 องค์กร รวมทั้งสิ้น 10 องค์กร ดังนี้

รางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award)                                                                

  • บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด

รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่น ด้านการปฏิบัติการ (Thailand Quality Class Plus : Operation)       

  • คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่น ด้านนวัตกรรม (Thailand Quality Class Plus: Innovation)            

  • มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่น ด้านการสร้างประโยชน์ให้สังคม (TQC Plus: Societal Contribution)  

  • ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 

รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Quality Class)

  • คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
  • คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
  • คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
  • บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด

 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Advice เปิดกลยุทธ์ Advice Mega Campaign ประเดิมปูพรมจัดงาน Advice IT Expo ทั่วประเทศ

6 มีนาคม 2567 – บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) เปิดแผนปี 2567 ตั้งเป้าเติบโตขึ้น 10% ต่อยอดความสำเร็จจากปีที่ผ่านมาที่ภาพรวมการดำเนินธุรกิจอยู่ในทิศทางบวก กางแผนขับเคลื่อนกลยุทธ์การตลาดปี 2567 ผ่าน “Advice Mega Campaign” ตอบรับความสำเร็จจากการระดมทุนไอพีโอ พร้อมยกระดับงาน Advice IT Expo ใช้ความได้เปรียบทั้งออฟไลน์และออนไลน์ลดช่องว่างทางเทคโนโลยีให้กับผู้บริโภคทุกกลุ่มทั่วประเทศ ด้วยขบวนสินค้า โปรโมชั่น และกิจกรรมพิเศษตลอดเดือนมีนาคม 

ภาพรวมปีที่ผ่านมาแอดไวซ์ได้ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยมิติที่หลากหลาย ทั้งการเพิ่มไลน์สินค้าด้วยผลิตภัณฑ์จาก Apple ภายในร้านสาขาของแอดไวซ์ ที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีทั้งจากหน้าร้านสาขาของแอดไวซ์รวมถึงช่องทางออนไลน์ และนำเสนอประสบการณ์ Hi-End ให้กับผู้ชื่นชอบเสียงเพลงด้วยการจำหน่ายลำโพงไฮเอนด์หลากหลายแบรนด์ ในด้านของบริการหลังการขาย แอดไวซ์ได้รับการแต่งตั้งเป็น Authorized Service Center จาก 7 แบรนด์ชั้นนำ ให้บริการด้วยช่างผู้ชำนาญกว่า 500 คนทั่วประเทศ ในฝั่งลูกค้าองค์กรธุรกิจแอดไวซ์ได้เพิ่มกลยุทธ์ด้านการเข้าถึงและบริการที่ครอบคลุมความต้องการของกลุ่มธุรกิจองค์กรมากยิ่งขึ้น รวมถึงบริการก่อนและหลังการขายแบบครบวงจร 

Advice Mega Campaign เป็นกลยุทธ์หลักของปีที่แอดไวซ์วางแผนนำเสนอให้กับผู้บริโภคผ่านกิจกรรม แคมเปญ ข้อเสนอโปรโมชั่นสุดพิเศษต่าง ๆ ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์ เพื่อเสนอโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี รวมถึงการยกระดับบริการหลังการขายของแอดไวซ์แบบมืออาชีพ ที่พร้อมดูแลลูกค้าตั้งแต่การแนะนำ สอนวิธีใช้สินค้า ตลอดจนช่วยซ่อมแซมสินค้าให้กับลูกค้า โดยทีมผู้ชำนาญงานที่ได้รับการอบรมและรับรองมาตรฐานบริการงานซ่อมบำรุงจากแบรนด์ชั้นนำ

Advice IT Expo เป็นหนึ่งในกิจกรรมใหญ่ของ Advice Mega Campaign ในไตรมาสแรกของปีที่ยกระดับจากเดิมที่จัดเฉพาะในช่องทางออนไลน์ มาเป็นการปูพรมทั้งออนไลน์และออฟไลน์จากสาขาต่าง ๆ กว่า 154 สาขาทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์และเลือกซื้อสินค้าจากสาขาใกล้บ้านโดยไม่ต้องเดินทาง ด้วยสินค้าที่หลากหลายจากแบรนด์ชั้นนำกว่า 16,000 รายการ เสิร์ฟครบทุกความต้องการด้วยสินค้าไอทีการันตีราคาดีที่สุดด้วยส่วนลดสูงสุด 80% พร้อมส่วนลดเพิ่มจาก Shopee สูงสุด 5,000 บาท และโปรโมชั่นพิเศษต่าง ๆ เช่น ผ่อน 0% นานสูงสุด 48 เดือน, ผลิตภัณฑ์ Apple ลดสูงสุด 7,000 บาท พบมหกรรม “หูได้ใจ” เมื่อช้อปสินค้าครบ 10,000 บาท สามารถแลกซื้อลำโพง Hi-end ราคาต่ำกว่าทุนลดสูงสุด 5,000 บาท นอกจากขบวนสินค้าแล้วในงานนี้แอดไวซ์ได้จัดบริการ ซ่อมฟรีไม่มีค่าแรง พร้อมรับส่วนลด Advice Care 50% และรับคูปองส่วนลดค่าบริการ 200 บาท ตลอดทั้งงาน

ทั้งนี้แอดไวซ์ตระหนักถึงการเติบโตของเทคโนโลยีที่ก้าวไปอย่างรวดเร็วจากเทคโนโลยี AI ที่เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในอุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ ส่งผลให้มีความต้องการอุปกรณ์ไอทีที่มากขึ้น งาน Advice IT Expo จะเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการอุปกรณ์ไอทีหรือเทคโนโลยีที่เหมาะกับการใช้งานหรือไลฟ์สไตล์ซึ่งจะมีผลิตภัณฑ์ทั้งในกลุ่ม Performance ที่ช่วยการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือกลุ่ม Value ที่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป รวมถึงกลุ่ม Indulge ที่ตอบโจทย์ไลฟ์ไตล์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการอุปกรณ์เพื่อความสุนทรีย์ในการใช้ชีวิต ด้วยขบวนสินค้าจากแบรนด์ชั้นนำ พร้อมสิทธิประโยชน์ โปรโมชั่นและข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าหน้าร้านสาขาและช่องทางออนไลน์

คุณณัฎฐ์ ณัฐนิธิการัชต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปี 2567 จะเป็นปีของการขับเคลื่อนธุรกิจแบบติดปีกของแอดไวซ์ ทั้งจากการตอบรับเป็นอย่างดีของนักลงทุนหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงการต่อยอดธุรกิจออกไปในสินค้าหรือบริการใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น Apple, Samsung และแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ มากมายที่ให้ความเชื่อมั่นว่าการจับมือกับแอดไวซ์จะเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะยกระดับการดำเนินธุรกิจได้ Advice Mega Campaign ในปี 2567 เป็นภาพใหญ่ที่เราตั้งใจจะมอบให้กับผู้บริโภคทุกกลุ่มทั่วประเทศ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการส่งมอบโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมล่าสุด ซึ่งเป็นเรื่องที่แอดไวซ์ให้ความสำคัญและดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง”

กิจกรรม Advice IT Expo แบ่งจัดกิจกรรมเป็น 4 เฟส ตั้งแต่วันที่ 6 – 31 มีนาคม 2567 ในสาขาแอดไวซ์ที่ร่วมรายการ 160 สาขาทั่วประเทศและบนออนไลน์ที่ https://itexpo.advice.co.th/ ตั้งแต่วันที่ 7 – 10 มีนาคม 2567


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

MSC จัดงาน TRISM Empower Your Infrastructure

บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด จัดงานสัมมนา TRISM: Empower Your Infrastructure” ในวันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 ณ Renaissance Bangkok Ratchaprasong Hotel นำเสนอข้อมูลใหม่ๆ ทางด้านเทคโนโลยี ที่หลากหลายของสินค้า และบริการของเรา รวมถึงการเยี่ยมชมบูธสาธิตโซลูชั่นต่างๆ จากหลากหลายแบรนด์ อาทิ เช่น Commvault, Fortinet, Red Hat, VMware เพื่อเพิ่มศักยภาพรอบด้าน และขยายขีดความสามารถในการดูแลระบบ IT Infrastructure ให้กับองค์กรต่างๆ ผ่านหลักการ TRISM

Transformation   |   Resilience   |   Intelligent   |   Security   |   Management

  • Transformation – ปรับปรุงกระบวนการให้คล่องตัว รวดเร็ว มีมาตรฐานสามารถตรวจได้ ผ่าน Automation Process
  • Resilience – การทำให้ระบบภายในองค์กรมีความยืดหยุ่นต่อภัยคุกคามทางโลกไซเบอร์ จะถูกตรวจจับ สามารถป้องกันหยุดการโจมตีการแหล่งที่มา พร้อมการกู้สภาพข้อมูลของคุณกลับมาให้สามารถใช้งานได้
  • Intelligent – การนำเทคโนโลยี AI มาใช้งานร่วมกับกระบวนการทำงานต่างๆ เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และคาดการถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่องค์กร
  • Security – การยกระดับความปลอดภัยในทุกระดับตั้งแต่ Network Layer ไปจนถึง Application Data Layer ผ่านทาง Next Generation Technology
  • Management – การจัดการทรัพยากรให้รองรับ Workload การทำงานที่หลากหลาย ผ่านฟังก์ชันการทำงานที่ครบถ้วนและมุมมองการ Monitor ที่ครอบคลุมการทำงานได้ทุกภาคส่วน

จากแข่งขันในภาคธุรกิจทุกวันนี้ แต่ละองค์กรจำเป็นต้องการปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับโจทย์ทางธุรกิจที่เกิดในแต่ละวัน IT Infrastructure จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างมั่นคง   จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีเครื่องมือ และกระบวนการที่จะมาช่วยเหลือ เพื่อให้ทีมงานผู้ดูแลสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว และมีระบบที่ปลอดภัย 

Metro Systems Corporation Public Co., Ltd. ความสำเร็จของลูกค้าคือธุรกิจของเรา


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์ สิ่งประดิษฐ์ในประเทศ

วว. พัฒนา “เครื่องทับกล้วยแผ่นบางสำหรับ SMEs” ช่วยประหยัดพลังงาน เพิ่มอัตราการผลิต

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) โดย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมอาหารสุขภาพ (ศนอ.) ประสบผลสำเร็จในการวิจัยและพัฒนา เครื่องทับกล้วยแผ่นบางสำหรับผู้ประกอบการ SMEs  โดยพัฒนาต่อยอดจากเครื่องทับกล้วยแบบกึ่งอัตโนมัติ รุ่นที่ 1”

หลักการทำงาน  เครื่องทับกล้วยแผ่นบาง เป็นนวัตกรรมที่สามารถทดแทนการใช้แรงงานคนในขั้นตอนการกดทับกล้วย ช่วยลดความเมื่อยล้า ช่วยเพิ่มอัตราการผลิต นอกจากนี้ยังได้ชิ้นกล้วยที่มีขนาดความบางสม่ำเสมอเท่ากันทุกแผ่น และสามารถปรับตั้งความหนาบาง ของชิ้นกล้วยได้บางสุดถึง 1 มิลลิเมตร โดย วว. พัฒนา  เครื่องทับกล้วยแผ่นบางสำหรับให้เลือกใช้งานจำนวน 2 รุ่น ดังนี้

รุ่นเล็กแบบตั้งโต๊ะ

1) สำหรับทับกล้วย ครั้งละ 1-2 แผ่น อัตราการทำงาน 30-50 แผ่น/ชั่วโมง

2) ระบบแผ่นกดทับกล้วย แบบหมุนทับชิ้นงาน ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์แบบแกนชักเดี่ยว

3) ใช้พลังงานไฟฟ้า 50 W 220 V แรงกดสูงสุด 200 กิโลกรัม

4) ติดตั้งระบบ Safety Switch แบบปุ่มกดคู่ ป้องกันมือกดโดยไม่ตั้งใจ

รุ่นกลางแบบมีขาตั้ง

1) สำหรับทับกล้วย ครั้งละ 2-4 แผ่น อัตราการทำงาน 100-200 แผ่น/ชั่วโมง

2) ระบบแผ่นกดทับกล้วย แบบเคลื่อนที่ขึ้นทับชิ้นงาน ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์แบบแกนชักคู่

3) ใช้พลังงานไฟฟ้า 120 W 220 V แรงกดสูงสุด 500 กิโลกรัม

4) ติดตั้งระบบ Safety Switch แบบปุ่มกดคู่ ป้องกันมือกดโดยไม่ตั้งใจ

วว. โดย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมอาหารสุขภาพ มุ่งเน้นวิจัยและพัฒนา บริการ วิเคราะห์ ทดสอบ และให้คำปรึกษาด้านอาหารและเครื่องดื่มฟังก์ชั่น   ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และสารสำคัญจากธรรมชาติในอาหาร โดยมีทีมนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา มีเครือข่ายความร่วมมือจากภายในประเทศและต่างประเทศ มุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลงานด้านผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ  เสริมสร้างให้ผู้ประกอบการไทยนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์และต่อยอดในเชิงพาณิชย์ สามารถแข่งขันได้ทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดโลก

วว. พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเครื่องทับกล้วยแผ่นบางสู่เชิงพาณิชย์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call center  โทร. 0 2577 9000  หรือที่  0 2577 9133  (วีรยุทธ  พรหมจันทร์)


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. เปิดศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการ “TFII-Schneider Electric Center of Excellence” แห่งแรกในประเทศไทย

.ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภามหาวิทยาลัย  .ดร.สุชาติ เซี่ยงฉิน อธิการบดี  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เป็นประธานกล่าวเปิดศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการ“TFII-Schneider Electric Center of Excellence” และได้รับเกียรติ H.E. Ambassador Jean-Claude Poimbœuf เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย พร้อมด้วย ผศ.ดร.พรศักดิ์ ศรีสังสิทธิสันติ ผู้อำนวยการสถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยีไทยฝรั่งเศส  นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธานคลัสเตอร์ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย เมียนมาร์ และลาว ดร.ยศศิริ อาริยะกุล ผู้แทนมูลนิธิชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทยและลาว Mr. Arumugaraj Davitdurai Pandian ผู้อำนวยการ ASSIST ดร.นิรุตต์ บุตรแสนลี ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวแสดงความยินดีถึงความร่วมมือของศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการ ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ชั้น 9  อาคารสำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มจพ.

ภายหลังจากร่วมตัดริบบิ้นเปิดศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการด้านอุตสาหกรรมไฟฟ้า/ อิเล็กทรอนิกส์/  ระบบควบคุมอัตโนมัติและพลังงานทดแทนสมัยใหม่ “TFII-Schneider Electric Center of Excellence” อย่างเป็นทางการ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเดินหน้าสู่ความเป็นเลิศด้านอุตสาหกรรม และเป็นแห่งแรกในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันพัฒนานักศึกษา คณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา สถาบันการอาชีวศึกษา ทั้งของรัฐและเอกชน และบุคลากรในภาคอุตสาหกรรม เพื่อผลิตกำลังคนให้มีความเชี่ยวชาญในระบบ ควบคุมอัตโนมัติในงานอุตสาหกรรม ระบบการควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้า ระบบการจัดการพลังงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ   จากนั้นคณะผู้บริหาร มจพ. ได้นำชมการสาธิต การบรรยาย ถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมหลากหลายสำหรับอุตสาหกรรมในยุคดิจิทัล เช่น  IOT Smart Control  Panel และ COBOT ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ผู้ช่วยในการทำงานที่เปี่ยมประสิทธิภาพ เป็นต้น รวมถึงการดำเนินงานสถาบันนวัตกรรมไทยฝรั่งเศสและสำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการ ด้านอุตสาหกรรมไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์/ระบบควบคุมอัตโนมัติ และพลังงานทดแทนสมัยใหม่” (TFII-Schneider Electric Center of Excellence) เกิดขึ้นด้วยร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และบริษัท ชไนเดอร์ (ไทยแลนด์)  โดยจะเป็นหน่วยงานของสถาบันนวัตกรรมไทยฝรั่งเศส ในระยะแรกของการดำเนินงาน TFII-Schneider Electric Center of Excellence จัดฝึกอบรมให้กับคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และฝึกอบรมหลักสูตรวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ให้กับวิทยาลัยเทคนิค และวิทยาลัยการอาชีพ ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำนวน 13 แห่งทั่วประเทศ

ขวัญฤทัย : ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เดลล์ เทคโนโลยีส์ เปิดประสบการณ์ AI ใหม่ สร้างเวิร์กเพลสสุดทันสมัยเพื่อองค์กรธุรกิจ

เดลล์ เทคโนโลยีส์ เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์คอมเมอร์เชียล AI แล็ปท็อป และโมบาย เวิร์กสเตชัน เพื่อการใช้งานในองค์กรธุรกิจ ได้รับการออกแบบมาเพื่อนำพาทั้งองค์กรและประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานก้าวเข้าสู่ยุค AI

“เน็กซ์เจนพีซีเกิดขึ้นในช่วงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญนี้ ด้วยการปรับปรุงครั้งใหม่และความสามารถใหม่ของพีซีที่จะสร้างแรงกระเพื่อมที่กำลังจะมาถึง” แพทริค มัวร์เฮด ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Moor Insights & Strategy กล่าว “คอมเมอร์เชียล AI พีซีและเวิร์กสเตชันของเดลล์ มาพร้อมกับระบบนิเวศของทั้งอุปกรณ์เสริม ซอฟต์แวร์ และบริการของตัวเอง เพื่อให้การใช้งาน AI ที่ต่อเนื่องที่ได้รับออกแบบมาเพื่อเสริมประสิทธิภาพสูงสุดให้กับประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ และสร้างรากฐานการนำองค์กรธุรกิจไปสู่ความสําเร็จในอนาคต”

“ทุกบริษัทที่ต้องการคงไว้ซึ่งความสามารถในการแข่งขัน ต่างพิจารณาที่จะนำ AI มาใช้งาน และ AI พีซี จะกลายเป็นศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวนี้” แซม เบิร์ด ประธานกลุ่ม Client Solutions Group เดลล์ เทคโนโลยีส์ กล่าว “เริ่มตั้งแต่เวิร์กโหลด AI ที่ซับซ้อนบนเวิร์กสเตชัน ไปจนถึงการใช้แอปพลิเคชันที่ขับเคลื่อนด้วยพลัง AI ที่ใช้เป็นประจำบนแล็ปท็อป AI PC จึงถือเป็นการลงทุนที่สําคัญที่ให้ผลตอบแทนทั้งในด้านประสิทธิภาพการทำงาน และการปูทางไปสู่อนาคตที่ชาญฉลาดกว่าเดิม ข้อได้เปรียบของเดลล์เริ่มต้นด้วยการนำเสนอ AI PC ที่ครบถ้วนทั่วทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์คอมเมอร์เชียลตั้งแต่วันแรก ช่วยให้ลูกค้ามีความสามารถในการเตรียมความพร้อมสําหรับ AI สำหรับอนาคตได้ในทันที”

AI PCs เพื่อการทำงานแบบไฮบริด

หน่วยประมวลผล Neural Processing Unit (NPU) ที่ติดตั้งอยู่ใน AI PC จะมีการเติบโตจากจำนวนประมาณ 50 ล้านยูนิตในปี 2024 เป็นจำนวนที่มากกว่า 167 ล้านยูนิตในปี 2027 คิดเป็น 60% ของปริมาณการจัดส่ง (Shipments) พีซีทั่วโลก ทั้งนี้ NPU เสริม AI acceleration engine เพื่อตอบโจทย์การทำงานของ AI ที่มีความจำเพาะมากขึ้นได้ ช่วยลดปริมาณงานให้ CPU และ GPU สามารถทำงานในส่วนอื่นได้ ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ตอบสนองมากขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย อายุการใช้งานแบตเตอรี่ และผลิตภาพเพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ สายผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Latitude และ Precision โมบาย เวิร์กสเตชันของเดลล์ นำเสนอตัวเลือกคอมเมอร์เชียล AI PC ที่กว้างขวาง เพื่อการใช้งานเชิงธุรกิจให้กับลูกค้า โดยเริ่มตั้งแต่แล็ปท็อปและเวิร์กสเตชันในระดับเอนทรี ไปจนถึงระดับอัลตร้า-พรีเมียม ด้วยสายผลิตภัณฑ์ Latitude แล็ปท็อป และ Precision โมบาย เวิร์กสเตชันใหม่ ด้วยพลังของ Intel Core Ultra processors with Intel vPro® เดลล์คอมเมอร์เชียลพีซีเหมาะสมสำหรับการขับเคลื่อน AI เวิร์กโหลด และปลดล็อกการสร้างผลิตภาพและประสิทธิภาพในระดับใหม่ ยกตัวอย่าง คนทำงานสามารถที่จะ

  • ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการผสานประโยชน์ของ NPU เพื่อปลดปล่อยขีดความสามารถในการ การกำหนดกรอบอัตโนมัติ (Auto-framing) การทำให้พื้นหลังเบลอ ตลอดจนการติดตามสายตา (Eye-tracking) พร้อมพลังการทำงานอันเปี่ยมประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์ Intel Core Ultra ที่มอบพลังงานแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นถึง 38% ให้กับพนักงาน รวมถึงเวลาทำงานที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละวันที่เต็มไปด้วยการประชุมผ่าน Zoom
  • สร้างสรรค์คอนเทนต์ได้เร็วยิ่งขึ้น โดยการแจกจ่ายการประมวลผล AI ไปยัง CPU GPU และทั้ง NPU โดยถ้วนทั่ว ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์ภาพ AI ได้เร็วขึ้นถึง 5 เท่าด้วย Stable Diffusion โมเดลแปลงข้อความเป็นภาพ (Text-to-Image)
  • ทำงานด้วยความปลอดภัยที่เพิ่มมากขึ้นในสภาพแวดล้อมการทำงานแบบไฮบริด ผู้จําหน่ายซอฟต์แวร์อิสระจำนวนมากขึ้นจะหันมาสร้างแอปพลิเคชันสำหรับ AI PC ยกตัวอย่าง เดลล์กำลังทำงานร่วมกับ CrowdStrike และ Intel เพื่อโอนย้ายฟังก์ชันด้านความปลอดภัยไปประมวลผลบนอุปกรณ์ผ่าน NPU ซึ่งให้การตรวจจับภัยคุกคามที่ครอบคลุมมากขึ้น ช่วยให้ลูกค้าตรวจพบเว็บไซต์และช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่มีความร้ายแรงได้อย่างรวดเร็ว ให้ความล่าช้าที่ลดลงเมื่อเทียบกับโซลูชันบนคลาวด์
  • รักษาการทำงานให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้มาพร้อมฟีเจอร์ Windows 11 และปุ่ม Copilot เพื่อทําให้การทำงานเป็นไปง่ายขึ้นและจดจ่ออยู่กับงานได้ ด้วยการกดปุ่ม ผู้ใช้สามารถเข้าถึง AI เป็นผู้ช่วยในชีวิตประจำวันได้เร็วยิ่งขึ้น

บริการอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI

ต่อยอดบนความเป็นผู้นำอุตสาหกรรมอันยาวนานด้านการทำงานเชิงรุกและคาดการณ์ล่วงหน้าโดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งคำชี้แนะจากผู้เชี่ยวชาญ ความสามารถใหม่ของบริการ Dell Services ช่วยให้ลูกค้า

  • เพิ่ม PC Uptime สูงสุด พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานด้วยความสามารถใหม่ในการซ่อมแซมตัวเอง (Self-healing) ผ่าน ProSupport Suite for PC โดยลูกค้าที่เชื่อมต่อกับเทคโนโลยี SupportAssist ของเดลล์สามารถยกระดับการรวบรวมข้อมูลและ AI เพื่อแก้ไขปัญหาพีซีได้ไม่ต้องใช้การสนับสนุนจากมนุษย์ ซึ่งทำให้ IT สามารถเปิดใช้สคริปต์ที่เดลล์สร้างขึ้นเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดจอฟ้า (Blue Screen Errors) โดยอัตโนมัติ รวมไปถึงปัญหาระบบความร้อน และอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของพีซี
  • ใช้งาน และเพิ่มมูลค่าสูงสุดให้กับการลงทุน GenAI ด้วย Digital Employee Experience Services for Gen AI โดยบริการเหล่านี้ให้ทั้งเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ปรับแต่งอย่างเหมาะสมกับหลากรูปแบบการทำงานของพนักงาน

ไฮไลต์ผลิตภัณฑ์

  • กลุ่มผลิตภัณฑ์ Latitude ใหม่ของ Dell รวมถึง Latitude 7350 Detachable มอบอิสระให้กับมืออาชีพเพื่อการทำงานด้วยการเชื่อมต่ออุปกรณ์พร้อมใช้งานที่โต๊ะทำงานอย่างเต็มรูปแบบ หรือการใช้งานขณะเดินทางด้วยแท็บเล็ตหรือแล็ปท็อป มาพร้อมกล้อง 8MP HDR เพื่อภาพถ่ายคุณภาพสูงในสภาพแสงที่ท้าทาย กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ปรับปรุงใหม่ทั้งหมดนี้มาพร้อมการอัพเดทในรุ่น 5000 ซีรีส์ 7000 ซีรีส์ และ 9000 ซีรีส์ รวมถึง Latitude 7350/7450 Ultralights
  • Precision เวิร์กสเตชันทั้งแบบโมบายและตั้งโต๊ะใหม่ของเดลล์ ตอบโจทย์ความต้องการด้านประสิทธิภาพของผู้ใช้งานระดับมืออาชีพ นักพัฒนา และอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ ด้วยฐานะของความเป็นผู้นำเวิร์กสเตชันระดับโลก Precision มอบพลังการประมวลผลสำหรับ AI เวิร์กโหลดที่ซับซ้อนที่ให้ทั้งความปลอดภัยและความประหยัดบนพีซี นอกจากนี้ การบูรณาการ NVIDIA RTX™ 500 และ 1000 Ada Generation Laptop GPUs เข้ากับ Precision mobile workstations ช่วยส่งมอบความสามารถ AI และความน่าเชื่อถือในระดับองค์กรเพื่อการทำงานได้ในจากทุกที่ ในขณะที่ Precision 3280 Compact Form Factor (CFF) คือฟอร์มแฟคเตอร์เพื่อการประหยัดพื้นที่ใหม่ที่สร้างขึ้นเพื่อสำหรับการพัฒนา AI และแอปพลิเคชันสร้างสรรค์แบบเบาๆ
  • ชุดหูฟัง รุ่นใหม่จากเดลล์ โดย Dell Premier Wireless ANC Headset (WL7024) มาพร้อมไมโครโฟนปิดเสียงรบกวนอัตโนมัติด้วย AI ซึ่งจำแนกสัญญาณเสียงพูดของมนุษย์ออกจากเสียงรบกวนพื้นหลังทั้งของผู้ใช้และผู้ฟัง และปรับระดับการปิดเสียงรบกวนตามสภาพแวดล้อม ระบบแอดวานซ์เซ็นเซอร์ทำงานในแบบอัจฉริยะ เช่น ปิด/เปิดไมค์ ทำงาน/หยุดทำงาน ตราบเท่าที่หูฟังข้างหนึ่งถูกยกขึ้น พร้อมทั้งการควบคุมด้วยการสัมผัสที่สามารถปรับปรุงประสบการณ์เสียงที่เหมาะกับผู้ใช้ได้

การเร่งเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ให้เร็วขึ้น

ในฐานะผู้นำด้านการออกแบบแบบหมุนเวียน (Circular Design) เดลล์จัดการแบบครบวงจร ตั้งแต่เพิ่มการใช้วัสดุและแร่ธาตุที่รีไซเคิลในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อทำให้อุปกรณ์ง่ายต่อการซ่อมบำรุง และนำกลับมาใช้ใหม่ด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

  • อุปกรณ์ Latitude ใหม่ นำเอาโคบอลที่มีการรีไซเคิลมาใช้ในแบตเตอรี่
  • ด้วยแรงบันดาลใจจาก Concept Luna  เครื่อง Latitude 7350 Detachable มาพร้อมหน้าจอที่สามารถซ่อมบำรุงได้ ซึ่งทำให้ง่ายต่อการซ่อมและยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ได้นานขึ้น
  • ในขณะที่องค์กรอัพเกรดอุปกรณ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) บริการกู้คืนและรีไซเคิลของ เดลล์ช่วยให้ลูกค้าเกษียณอุปกรณ์ไอทีได้อย่างถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงการส่งขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปยังบ่อขยะ ด้วยการทำให้ผลิตภัณฑ์และวัสดุอยู่ในการหมุนเวียนนานขึ้น

ความพร้อมในการวางตลาด

  • Latitude 7350 Detachable พร้อมวางจำหน่ายในไตรมาสที่ 2
  • Precision 3280 CFF (Compact Form Factor) จะวางจำหน่ายช่วงปลายเดือนมีนาคม
  • Precision โมบาย เวิร์กสเตชัน พร้อมวางจำหน่ายช่วงเดือนมีนาคม
  • Dell Premier Wireless ANC Headset (WL7024) จะวางจำหน่ายในเดือนเมษายน
  • ProSupport Suite สําหรับ PC ที่มีความสามารถในการซ่อมแซมตัวเอง จะวางจำหน่ายทั่วโลกภายในสิ้นเดือนเมษายน
  • Digital Employee Experience Services สําหรับ GenAI มีให้บริการแล้วทั่วโลก

เกี่ยวกับเดลล์ เทคโนโลยีส์

เดลล์ เทคโนโลยีส์ ช่วยให้องค์กรธุรกิจและปัจเจกบุคคลสามารถสร้างอนาคตทางดิจิทัล พร้อมทั้งช่วยในการปฏิรูปทั้งรูปแบบการทำงาน การดำเนินชีวิต และการพักผ่อน เดลล์ เทคโนโลยีส์ให้การดูแลสนับสนุนลูกค้าด้วยสายผลิตผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีและการบริการที่กว้างที่สุด และมีความเป็นนวัตกรรมอย่างสูงสุดในยุคของข้อมูล


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

MSC ส่งมอบปฏิทินจากโครงการปฏิทินเก่าเราขอ ครั้งที่ 8 ประจำปี 2567

คุณกมลวรรณ สารพานิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MS เป็นตัวแทนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการเข้าถึงการศึกษาในกลุ่มผู้พิการทางสายตา ผ่านโครงการ “ปฏิทินเก่าเราขอ” ที่ได้ดำเนินกิจกรรมติดต่อกันเป็นปีที่ 8 โดยรับบริจาคปฏิทินตั้งโต๊ะปีเก่าที่ไม่ใช้แล้วจากพนักงานภายในองค์กร รวบรวมส่งต่อให้กับ ศูนย์เทคโนโลยีการศึกษาเพื่อคนตาบอด มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ เพื่อผลิตเป็นปฏิทินอักษรเบรลล์ให้กับผู้พิการทางสายตา เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ: คุณธนัฐดา บัวขาว โทร: 74940 อีเมล์ : tanutbau@metrosystems.co.th Website: https://www.metrosystems.co.th/


Exit mobile version