Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

จุฬาฯ ผนึก ม.อ. ลงนามความร่วมมือทางวิชาการ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เปิดหลักสูตร None-Degree พัฒนาคุณภาพการศึกษา

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำโดย ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ที่ 4 จากซ้าย) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) โดย ผศ.ดร.นิวัติ แก้วประดับ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ที่ 4 จากขวา) เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างสองสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านวิชาการ เพิ่มศักยภาพของทั้งสองมหาวิทยาลัยในการให้บริการวิชาการแก่สังคมทั้งในระดับประเทศจนถึงระดับนานาชาติ โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากทั้งสองสถาบันการศึกษาร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้อง 111 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเร็วๆ นี้

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ตระหนักถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความร่วมมือทางวิชาการ การวิจัย และการพัฒนานวัตกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาและสร้างคุณูปการต่อประชาสังคม ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การพัฒนาหลักสูตร การดำเนินงานวิจัย ตลอดจนการสร้างเครือข่ายทางวิชาการและวิชาชีพในระดับประเทศและนานาชาติ มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรและนักศึกษาในทุกมิติ นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังสอดคล้องกับพันธกิจของทั้งสองมหาวิทยาลัยในการเป็นสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้แก่ประเทศชาติ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา การสาธารณสุข และการพัฒนาชุมชน ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน

การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ในฐานะสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำที่มุ่งมั่นต่อการพัฒนาประเทศผ่านการสร้าง        องค์ความรู้ ตลอดจนส่งเสริมการให้บริการวิชาการเพื่อเผยแพร่ความรู้สู่สังคมและประเทศชาติต่อไป


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. จัดสัมมนาวิชาการระดับชาติ ชูแนวคิดพัฒนาในยุค AI เสริมศักยภาพแรงงานไทยอย่างยั่งยืน

.ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ให้การต้อนรับผู้เข้าร่วมงานสัมมนาระดับชาติ  โดยได้รับเกียรติจาก ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีตประธานคณะที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมด้านยุทธศาสตร์ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน และกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อเรื่อง  การพัฒนาขีดความสามารถแรงงานในองค์กรธุรกิจอุตสาหกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในยุคปัญญาประดิษฐ์ Empowering Workforce Capabilities in Industrial Business Organizations for Sustainable Development in the Age of Artificial Intelligence (AI)  พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ร่วมพิธีเปิดงาน นอกจากนี้ ได้เชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน  ได้แก่ ดร.ณรงค์ชัย ใหญ่สว่าง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์  คุณประภาศรี พันธุจริยา ผู้จัดการส่วนกลยุทธ์และมาตรฐานเพื่อความยั่งยืน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) และ คุณสุดคนึง ขัมภรัตน์ นายกสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) ที่ปรึกษาบริษัทฯ ด้าน People & Organization ร่วมให้ความรู้ในงานสัมมนา ในวันที่ 2 ตุลาคม 2568 ณหอประชุมเบญจรัตน์อาคารนวมินทรราชินีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

     งานสัมมนาจัดโดยคณะพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม มจพ. เพื่อร่วมฉลองครบรอบ 66 ปี ของการก่อตั้งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ หรือ วิทยาลัยเทคนิคไทยเยอรมัน วัตถุประสงค์การจัดงานในครั้งนี้ ด้วยในปัจจุบันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทอย่างกว้างขวางในการดำเนินธุรกิจทุกขั้นตอนในผลิตขององค์กรอุตสาหกรรม ส่งผลต่อรูปแบบการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรม โดย AI เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน และสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ผ่านการประมวลผลข้อมูลที่มีความแม่นยำและรวดเร็ว นอกจากนี้ AI ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และกระบวนการทำงานอัตโนมัติ ซึ่งทำให้ธุรกิจสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ในขณะเดียวกันแรงงานไทยก็กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างรวดเร็วอาทิเช่นการเปลี่ยนแปลงลักษณะงานทักษะที่จำเป็นหรือรูปแบบการจ้างงานสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อศักยภาพของแรงงานในการแข่งขันทั้งในระดับประเทศและระดับสากลหากแรงงานขาดการพัฒนาและปรับตัวอย่างเหมาะสมองค์กรอาจประสบกับภาวะขาดแคลนแรงงานที่มีคุณภาพและไม่สามารถก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและเศรษฐกิจโลกได้

ขวัญฤทัย ข่าว/สมเกษ ถ่ายภาพ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

โรงไฟฟ้า บีแอลซีพี เพาเวอร์ เดินหน้าขับเคลื่อนสู่ Net Zero สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านโครงการปุ๋ยใบไม้ ถ่ายทอดความรู้การกำจัดแปรรูปใบไม้-เศษวัสดุการเกษตรเป็นเงิน สร้างรายได้แก่ชุมชน

นายอดิศร วังมูล ผู้อำนวยการสายงานบริหารและองค์กรสัมพันธ์ บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด เปิดเผยถึงแนวทางขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ESG และสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ว่า โรงไฟฟ้า บีแอลซีพี เพาเวอร์ มีการดำเนินนโยบายและพันธกิจด้านสังคมและความยั่งยืนครอบคลุมในหลายมิติ โดยเฉพาะการให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งในส่วนของสิ่งแวดล้อมมีทั้งการพัฒนาใช้เทคโนโลยีสะอาด ในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจัดการมลพิษและปริมาณของเสีย เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการดำเนินงานด้านสังคมผ่านโครงการและกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ในหลายรูปแบบ ซึ่งนอกจากจะสร้างความเข้าใจระหว่างชุมชนรอบโรงไฟฟ้าแล้ว ยังแสดงถึงความจริงใจว่าโรงไฟฟ้า บีแอลซีพี เพาเวอร์ เป็นหนึ่งในสมาชิกของสังคมและชุมชนเดียวกัน จากความไว้เนื้อเชื่อใจได้ส่งผลให้หลายโครงการของโรงไฟฟ้า บีแอลซีพี เพาเวอร์ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จากการสนับสนุนและความร่วมมือขององค์กรส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และภาคประชาชนในพื้นที่

โดยเฉพาะโครงการปุ๋ยใบไม้ของโรงไฟฟ้า บีแอลซีพี เพาเวอร์ เป็นหนึ่งในโครงการที่ประสบความสำเร็จ จนได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในโครงการที่สนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (LESS) เนื่องจากโครงการฯ นี้ ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 143.347 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และยังมีการต่อยอดความรู้สู่ชุมชนจนขยายผลเป็นวงกว้าง ทั้งการกำจัดใบไม้และเศษวัสดุชีวมวลทางการเกษตรในชุมชน ลดการเผาทำลาย สร้างมูลค่าจากวัสดุเหลือใช้สร้างรายได้ต่อชุมชน

โครงการปุ๋ยใบไม้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2565 โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก “ศาสตร์พระราชา” ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่มุ่งเน้นความมั่นคงและยั่งยืน ก่อให้เกิดแนวคิดในการเพิ่มมูลค่าให้ขยะ แปรของเสียให้เป็นประโยชน์ ลดผลกระทบ เพิ่มคุณค่าทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดการของเสียอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นทางภายในโรงงาน โดยนำใบไม้จำนวนมากภายในโรงไฟฟ้ามาแปรรูปด้วยการหมักจนเป็นปุ๋ย ใช้ระยะเวลาในกระบวนการดำเนินงานตั้งแต่เริ่มจนสิ้นสุดประมาณ 45 วัน จากเดิมต้องใช้ระยะเวลาถึง 6 เดือน และนำปุ๋ยที่ได้มาใช้ต่อในการบำรุงดิน ปลูกผักปลอดสารพิษเพื่อแจกจ่ายและนำมาทำเป็นอาหารให้แก่พนักงาน

      จากความสำเร็จของโครงการฯ ที่เริ่มต้นในโรงไฟฟ้า ขยายผลสู่หน่วยงานส่วนท้องถิ่นและผู้นำชุมชน ผ่านการดูงานและการฝึกอบรมจนเกิดแนวร่วมที่แข็งแกร่ง ดังนั้นการขยายผลโครงการฯ ในปี 2568 โรงไฟฟ้า บีแอลซีพี เพาเวอร์ จึงร่วมมือกับหลายหน่วยงาน ทั้งสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาระยอง เทศบาลนครมาบตาพุด สำนักงานสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ชุมชนห้วยโป่งใน 1 โรงเรียนชุมชนวัดตะเคียนงาม ตำบลปากน้ำประแสร์  อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ในการเผยแพร่องค์ความรู้โครงการปุ๋ยจากใบไม้ (แบบย่อยสลายเร็ว) โดยมีเป้าหมายลดขยะใบไม้ให้ได้ 240 ตัน 

นอกจากโครงการปุ๋ยใบไม้ที่ประสบความสำเร็จและขยายโครงการสู่ระดับชุมชนแล้ว โรงไฟฟ้า บีแอลซีพี เพาเวอร์ ยังมีอีกหลายโครงการในการบริหารจัดการของเสียอย่างครบวงจรอีกหลายโครงการ ซึ่งช่วยแปรของเสียให้เป็นประโยชน์ ลดผลกระทบ เพิ่มคุณค่าทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นโครงการหนอนแม่โจ้ (BSF) การจัดการขยะอินทรีย์ โครงการธนาคารขยะ โครงการแนวกั้นขยะแม่น้ำระยอง โครงการ SeaCrafty กระเป๋าจากเศษอวน ฯลฯ จะเห็นได้ว่าการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า BLCP ไม่เพียงมุ่งเน้นเพียงแค่การผลิตไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงทางพลังงานแก่ประเทศเท่านั้น แต่ยังมุ่งสู่เป้าหมาย Zero Wasteและสนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ด้วยการนำองค์ความรู้ นวัตกรรม ผลที่ได้รับจากโครงการต้นแบบ ถ่ายทอด สร้างมูลค่า พัฒนาสังคมและร่วมสร้างความยั่งยืนแก่ท้องถิ่นและชุมชน เพื่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นอีกด้วย

ด้านคุณพรทิพย์  โพธิบัวทอง ที่ปรึกษาคณะกรรมการชุมชนมาบข่า-สำนักอ้ายงอน เผยถึงการนำความรู้จากโครงการปุ๋ยใบไม้มาปรับใช้และขยายผลกับชุมชนว่า โรงไฟฟ้า บีแอลซีพี เพาเวอร์ มีการเข้ามาพูดคุยและแนะนำโครงการดีๆ ให้กับชุมชนมาตลอด โครงการปุ๋ยใบไม้เป็นหนึ่งโครงการที่ชุมชนเราให้ความสนใจ เนื่องจากคนในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรชาวสวน จึงมีใบไม้และวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรจำนวนมาก จนบางครั้งเกิดปัญหาในการกำจัด แต่เดิมชาวบ้านจะใช้วิธีกองทิ้งหรือฝังกลบ ซึ่งใช้เวลานานในการย่อยสลาย เมื่อมากเข้าก็กำจัดด้วยการเผาซึ่งก่อให้เกิดมลภาวะ หรือถ้าขนไปทิ้งบ่อขยะก็สิ้นเปลืองแรงงานและค่าใช้จ่าย ดังนั้นทางชุมชนจึงมีความสนใจในการเข้ามาร่วมทดลองและนำความรู้จากโครงการฯ มาพัฒนาปรับใช้และผนวกเพิ่มเติมกับองค์ความรู้ของชุมชน โดยการพลิกกองและรดน้ำเพิ่ม ซึ่งทำให้ได้ผลในการย่อยสลายใบไม้และเศษวัสดุได้เร็วขึ้นจาก 30 – 45 วัน  เหลือเพียง 20 วัน โดยเกษตรกรจะได้ดินและปุ๋ยจากการย่อยสลายนำไปใช้ต่อภายในสวน ช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการซื้อดิน-ปุ๋ยไปได้กว่าครึ่ง คุณภาพชีวิตของคนและชุมชนก็ดีขึ้นจากการลดการเผา ส่วนผลผลิตที่ได้ก็มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคด้วย

ปัจจุบันการขยายผลโครงการปุ๋ยใบไม้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างมาก โดยนอกจากคุณพรทิพย์  จะใช้พื้นที่ของตัวเองในการเป็นศูนย์เรียนรู้เรื่องปุ๋ยใบไม้ โดยเปิดให้ผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมแล้ว ยังเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ และให้คำปรึกษาแก่ผู้สนใจในโครงการฯ นี้อีกด้วย ซึ่งขณะนี้มีชุมชนใกล้เคียง เทศบาล วัด โรงเรียน และ หมู่บ้านจัดสรร รวมแล้วกว่า 50 แห่ง เป็นแนวร่วมในการสานต่อโครงการฯ นอกจากนั้นยังกระจายไปยังฝั่งของประชาชนหรือบางชุมชนนำความรู้เรื่องปุ๋ยใบไม้ไปต่อยอดเป็นวิสาหกิจ ในการขายปุ๋ยใบไม้สร้างรายได้ ซึ่งมีมูลค่าถึงกิโลละ 10 บาท เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่ผลของโครงการฯ นอกจากจะช่วยกำจัดและสร้างมูลค่าให้กับวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรแล้ว ยังช่วยลดการเผา ลดปริมาณและค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะ เกิดเป็นอาชีพสร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชนต่อไปได้

โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) “มุ่งพัฒนาพลังงานที่มั่นคง เพื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” ผู้สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถค้นหาได้ที่ https://www.blcp.co.th/web/index หรือ Facebook : โรงไฟฟ้า      บีแอลซีพี – BLCP Power Limited


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว “EBO 7.0” หัวใจหลักจัดการอาคารปลอดคาร์บอน EcoStruxureTM Building Operation เวอร์ชั่นใหม่ วัดผลชัดเจน จบครบแพลตฟอร์มเดียว

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electricผู้นำระดับโลกด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลในด้านการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ ประกาศเปิดตัว EcoStruxureTM Building Operation เวอร์ชั่นใหม่ “EBO 7.0” ที่มาพร้อมความสามารถในการบริหารจัดการอาคารแบบครบวงจรบนแพลตฟอร์มเดียว รองรับการดำเนินงานอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมฟีเจอร์วัดผลการปล่อยคาร์บอนอย่างแม่นยำ และยกระดับการผสานรวมระบบจากรูปแบบเดิมให้เป็นเรื่องง่าย ตอบโจทย์การบริหารจัดการทั้งอาคารเก่าและใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จากข้อมูลสถิติของชไนเดอร์ อิเล็คทริค พบว่า 37% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกยังคงมาจากกลุ่มอาคาร และ 100% ของอาคารในสหภาพยุโรปจะต้องติดตั้งระบบบริหารจัดการอาคาร (Building Management System: BMS) ภายในปี 2568 แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า “การบริหารจัดการอาคาร” กลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลกที่ท้าทายมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อรูปแบบการบริหารจัดการอาคารในปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ฝ่ายบริหารอาคารต้องเผชิญกับข้อกำหนดใหม่ๆ ที่เข้มงวดมากขึ้น ทั้งในด้านการลดการปล่อยคาร์บอน การบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน รวมถึงการตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้อาคารที่มุ่งเน้นบริการที่ทันสมัย และพื้นที่ที่มีสุขอนามัยที่ดี เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัยภายในอาคาร

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เดินหน้าพัฒนาฟีเจอร์ของ EcoStruxureTM Building Operation (EBO) แพลตฟอร์มแบบเปิด (Open Integration Platform) อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน เพื่อรองรับการบริหารจัดการอาคารให้สอดคล้องกับแนวทางและข้อกำหนดมาตรฐานที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ล่าสุดได้เปิดตัว EcoStruxureTM Building Operation 7.0 (EBO 7.0) เวอร์ชั่นใหม่ที่มาพร้อมความสามารถในการบริหารจัดการอาคารอย่างชาญฉลาดและง่ายดายยิ่งขึ้น โดยลูกค้าปัจจุบันสามารถอัปเกรดจากเวอร์ชั่น 1.9 หรือสูงกว่า เป็นเวอร์ชั่น 7.0 ได้ในขั้นตอนเดียว ช่วยลดต้นทุนในการเปลี่ยนอุปกรณ์ เนื่องจาก EBO 7.0 ได้รับการออกแบบให้สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เดิมที่มีอยู่แล้วได้อย่างมีประสิทธิภาพ

EBO 7.0 ยังยกระดับฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การผสานรวมกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในอาคารและระบบไฟฟ้าแบบหลายระบบเป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยการรองรับมาตรฐาน OPC UA, AVEVA PI และระบบอื่นๆ ทำให้สามารถรวบรวม วิเคราะห์ และบริหารจัดการข้อมูลทั้งองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านศูนย์ควบคุมเดียวแบบอัตโนมัติ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน พร้อมชี้วัดผลลัพธ์ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้อย่างชัดเจน และช่วยลดระยะเวลาการปฏิบัติงานของผู้ใช้ระบบได้ถึง 20%

อีกทั้งการทำงานของอาคารโดยอัตโนมัติบนเครือข่ายเดียวที่มีการอัปเกรดให้ทันสมัยนี้ ทำให้แพลตฟอร์ม EBO 7.0 เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการอาคารสำหรับอนาคต ด้วยฟีเจอร์ในการรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ IoT ที่เชื่อมต่อกันมากขึ้น พร้อมนำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาใช้ในการวิเคราะห์และตัดสินใจเชิงระบบ รวมถึงฟีเจอร์ด้าน Cybersecurity ที่มีการอัปเดตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของทุกการเชื่อมต่อระหว่างระบบและอุปกรณ์ภายในอาคาร

นอกจากนี้ EBO 7.0 ได้อัปเดตแพ็กเกจไลเซนส์ใหม่ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ฟีเจอร์ที่เหมาะสมกับแต่ละขนาดอาคารและความต้องการใช้งานได้อย่างครบถ้วน โดยแบ่งเป็น 3 แพ็กเกจหลัก ได้แก่

  • Essentialไลเซนส์ที่รวบรวมฟีเจอร์พื้นฐานสำหรับการบริหารจัดการอาคารไว้อย่างครบถ้วน เหมาะสำหรับอาคารขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่มีระบบไม่ซับซ้อน
  • Advancedไลเซนส์ที่อัปเกรดเพิ่มจากแพ็กเกจ Essential โดยอัดแน่นด้วยตัวช่วยฟีเจอร์ด้านการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อเพิ่มการจัดการที่มีตัวชี้วัดชัดเจน การแบ่งโซนการทำงานของระบบ และการผสานรวมกับระบบภายนอกที่มากยิ่งขึ้น เช่น External Log storage (Timescale, MSSQL), SNMP, OPC UA client และ SAML 2.0 Authentication เป็นต้น ซึ่งเป็นไลเซนส์ที่ตอบโจทย์กับกลุ่มอาคารขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่ให้ความสำคัญในการจัดการด้านการชี้วัดผลลัพธ์ที่ละเอียด
  • Advanced Plus ไลเซนส์ที่เหนือกว่าด้วยฟังก์ชันเพิ่มเติมจากแพ็กเกจ Advancedเช่น ฟังก์ชั่น Change control สำหรับควบคุมและบันทึกการเปลี่ยนแปลงภายในระบบ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ เหมาะสำหรับอาคารที่มีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการใช้กฎระเบียบที่เข้มงวด

โดยทั้ง 3 แแพ็กเกจไลเซนส์ โดดเด่นด้วยฟีเจอร์ที่ตอบรับกับการใช้งานที่ครอบคลุมในระดับที่แตกต่างกัน ซึ่งชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้มอบประสบการณ์พิเศษด้านความยืดหยุ่นของแแพ็กเกจ ในการอัปเกรดไลเซนส์ตามความต้องการของผู้ใช้งานได้ตลอดเวลา

ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดฟีเจอร์เพิ่มเติมได้ที่ EcoStruxureTM Building Operation 7.0 (EBO 7.0) New Features และแพ็กเกจไลเซนส์เพิ่มเติมได้ที่ EcoStruxure™ Building Operation 7.0 (EBO 7.0) Licensing Plans


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เสริมพลัง Hub มจพ. ผนึกกำลัง ม.ทักษิณ ร่วม MOU สร้างเครือข่ายผลิตกำลังคน ยานยนต์สมัยใหม่

.ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)

.ดร.ธานินทร์  ศิลป์จารุ อธิการบดี มจพ. ร่วมให้การต้อนรับ รศ.ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยทักษิณ  พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร มหาวิทยาลัยทักษิณ ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ เมื่อวันที่ 16  กันยายน 2568   มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ   ด้วย มจพ. มีความพร้อมในการเป็นศูนย์กลาง (Hub ) ตามนโยบาย ของ กระทรวง อว. ซึ่งกำหนดให้ มหาวิทยาลัยเป็นศูนย์กลาง (Hub) ในการพัฒนากำลังคนด้านยานยนต์สมัยใหม่ทั้งประเทศ การลงนาม MOU ฉบับนี้จึงเป็นการสร้างเครือข่ายพันธมิตรมุ่งมั่นตั้งใจในการผลิตและพัฒนากำลังคนเพื่อรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ โดยเฉพาะสถานศึกษา และภาคอุตสาหกรรม ที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและพื้นที่ใกล้เคียงให้ได้มีโอกาสในการพัฒนาทักษะ (upskill/reskill/ new skill) เพื่อตอบสนองความต้องการในการผลิตกำลังคนด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายเครือข่ายความร่วมมือในการผลิตและพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ รวมทั้งอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้องร่วมกันพัฒนาคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยทักษิณ ให้เป็นผู้ฝึกอบรมมืออาชีพในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง  เพื่อส่งเสริมการทำวิจัยและสร้างนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ร่วมกันเพื่อประโยชน์สาธารณะด้านการศึกษาและอุตสาหกรรมของประเทศ  การส่งเสริมความร่วมมือในการบริการวิชาการสู่สังคมและประเทศชาติ  ตลอดจนบูรณาการบุคลากรในการจัดสัมมนา และจัดประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกัน มีระยะเวลาการดำเนินการ 3 ปี

ขวัญฤทัย ข่าว/สมเกษ ถ่ายภาพ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

พิธีเปิดตัวเทคโนโลยีขั้นสูง “ระบบหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด แห่งกองทัพเรือไทย”

พิธีเปิดตัวเทคโนโลยีขั้นสูง “ระบบหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด แห่งกองทัพเรือไทย” RANSRobotic Assistant for Navy Surgery

วันอังคารที่ ๙ ก.ย. ๖๘ เวลา ๐๘.๔๕ – ๑๐.๓๐ น. ณ ห้องประชุมอาคารผู้ป่วยใน ชั้น ๑๓ โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ

กองทัพเรือ โดย โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ เปิดตัวเทคโนโลยีขั้นสูง“ระบบหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด แห่งกองทัพเรือไทย RANS Robotic Assistant for Navy Surgery” เครื่องแรกของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงกลาโหม

วันนี้ (๙ กันยายน ๒๕๖๘) : พลเรือเอกจิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือและพลเรือตรีหญิงด็อกเตอร์ ทันตแพทย์หญิง จีระวัฒน์ กฤษณพันธ์ ว่องวิทย์ นายกสมาคมภริยาทหารเรือ เป็นประธาน ในพิธีเปิดตัวเทคโนโลยีขั้นสูง “ระบบหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด แห่งกองทัพเรือไทย” “RANS Robotic Assistant for Navy Surgery” ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ โดยมี พลเรือโท ประทีป ตังติสานนท์ เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ และพลเรือตรี สมชาย จันทโรธร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และกำลังพลกองทัพเรือร่วมในพิธี ณ ห้องประชุมอาคารผู้ป่วยใน ชั้น ๑๓ โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ แขวงบุคคโล เขตธนบุรี กรุงเทพฯ

ตามนโยบายแห่งชาติที่มีเป้าหมายในการยกระดับขีดความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์ เพื่อ

พัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยีอย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้นกองทัพเรือ จึงได้มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สนับสนุนภารกิจต่าง ๆ ของกองทัพเรือ รวมทั้งการมุ่งเสริมสร้างศักยภาพด้านการแพทย์และสาธารณสุขทางทหาร ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตกำลังพล ครอบครัว และประชาชนทั่วไป ให้ได้รับการดูแลรักษาที่ปลอดภัยและมีมาตรฐานทัดเทียมนานาชาติ โดยการนำเทคโนโลยีนวัตกรรมทางการแพทย์ขั้นสูง มาเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลรักษาอย่างรอบด้าน

ทั้งนี้ โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ เป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิชั้นสูงของกองทัพเรือ ซึ่งมีภารกิจหลักในการให้บริการตรวจรักษาด้านการแพทย์แก่กำลังพล ครอบครัวและประชาชนทั่วไป ได้ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ใหม่ ๆ มาพัฒนาศักยภาพการรักษา

สำหรับนวัตกรรมหุ่นยนต์ผ่าตัด ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า นี้ เกิดจากดำริของ พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ ในขณะนั้น ได้หารือกับ พลเรือโท ณัฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ในขณะนั้น ได้เห็นพ้องกันว่า หากโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า มีเครื่องมือผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ Robot ก็จะเกิดประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วย จึงได้อนุมัติ งบประมาณในวงเงิน 70 ล้านบาท เพื่อจัดหา โดยหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด Hugo RAS

เป็นเทคโนโลยีที่เสริมศักยภาพศัลยแพทย์ให้สามารถทำการผ่าตัดที่มีความซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความแม่นยำสูง ช่วยลดความเสี่ยงในการผ่าตัด ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วและในอนาคตโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ได้วางแผนนำระบบหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดมารักษาโรคระบบศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ เช่น การช่วยผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมากกระเพาะปัสสาวะในระยะเริ่มต้นและในอนาคตได้วางแผนพัฒนาขยายการให้บริการครอบคลุมในสาขาที่มีความต้องการสูง เช่น ศัลยกรรมทั่วไปศัลยกรรมทางเดินอาหารและนรีเวชมากขึ้น   เพื่อพัฒนาโรงพยาบาลฯ ให้เป็นศูนย์กลางการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ให้ได้มาตรฐานสากล เป็นองค์กรแพทย์ทหารที่มีคุณภาพสูงในระดับภูมิภาค มอบการรักษาที่ปลอดภัย มีคุณภาพและสร้างคุณประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วยและสังคมไทย


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ศูนย์การผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ไทย-เยอรมัน ร่วมภาคเอกชนและผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก เปิดเวทีสัมมนา 5-Axis Seminar 2025 5-Axis Seminar 2025

นายสิริวัฒน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ สถาบันไทย-เยอรมัน (TGI) (ที่สามจากซ้าย)  พร้อมด้วยนายรัชศักดิ์ เกิดภู่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมชชีนเทค จำกัด (ที่สี่จากขวา) และนายสุรชัย ตั้งธราธร ประธานบริษัท เอช เอส เอ็ม แมชชีนเนอรี่ จำกัด (ที่สามจากขวา) ร่วมกันให้ความรู้และการพัฒนาด้านเทคโนโลยี 5 แกน และ ระบบอัตโนมัติ (Automation) รวมถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุด 100% จากภาครัฐ สำหรับผู้ลงทุนด้านเทคโนโลยีและเครื่องจักรอัตโนมัติ ในงานแถลงข่าวการจัดเสวนา 5-Axis Seminar 2025 ภายใต้แนวคิด “5 แกน มาตรฐานใหม่ของการผลิต” ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2–3 ตุลาคม 2568 ณ อีสติน ธนาซิตี้ กอล์ฟ 
รีสอร์ท กรุงเทพฯ

โดยภายในงานแถลงข่าวฯ ได้รับเกียรติจากนายโอลิเวอร์ พริพิช กรรมการผู้จัดการ(ที่สี่จากซ้าย) บริษัท เฮิร์มเลย์ เอสอีเอ จำกัด นายดีแลน คอร์ (ที่สองจากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทังกาลอยด์-เอ็นทีเค คัทติ้ง ทูล (ไทยแลนด์) จำกัด นายชูชาติ ศิวเวทกุล (คนแรกขวา) ผู้จัดการทั่วไป บริษัท มายโกรว์เทค (ประเทศไทย) จำกัด นายกุลโชค โพธิ์พัฒนชัย (ที่สองจากซ้าย) ประธานและซีอีโอ กลุ่มบริษัท เอ.ไอ และ บริษัท เอ.ไอ เทคโนโลยี จำกัด และนายเคน คอนโดะ (คนแรกซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอคุม่า เทคโน (ไทยแลนด์) จำกัด ร่วมแบ่งปันประสบการณ์และนำเสนอแนวทางการพัฒนาการผลิตชิ้นส่วนแก่ผู้ประกอบการไทย เมื่อเร็วๆ นี้

สำหรับผู้สนใจหรือต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานสัมมนา 5-Axis Siminar 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-3 ตุลาคม 2568 ณ อีสติน ธนาซิตี้ กอล์ฟ รีสอร์ท บางนา กม.15 กรุงเทพฯ สามารถติดต่อได้ที่ อีเมล: contact@mreport.co.th หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.mreport.co.th


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Binance แต่งตั้งเอสบี เซเกอร์ (SB Seker) ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

1 กันยายน 2568 — Binance ผู้ให้บริการระบบนิเวศบล็อกเชนชั้นนำของโลก ประกาศแต่งตั้งนายเอสบี เซเกอร์ (SB Seker) ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) โดยในตำแหน่งนี้ คุณ Seker จะเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ของบริษัทในภูมิภาค เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเติบโตอย่างรับผิดชอบและสานต่อความร่วมมือด้านกฎระเบียบในตลาดที่มีพลวัตสูงของเอเชีย

นายเซเกอร์มีประสบการณ์การทำงานยาวนานกว่าสองทศวรรษในภาครัฐ, ฟินเทค และอุตสาหกรรมบล็อกเชน พร้อมด้วยประวัติผลงานที่โดดเด่นในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงด้านกฎหมาย กลยุทธ์ การเข้าถึงตลาด และการจัดการ ซึ่งมีรากฐานมาจากความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย การปฏิบัติงานด้านกฎระเบียบและการกำกับดูแล

ในฐานะประธานกรรมการบริหารประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นายเซเกอร์จะรับผิดชอบดูแลการดำเนินงานของ Binance ในภูมิภาค พัฒนาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ และผลักดันการยอมรับในตลาด นอกจากนี้ เขายังจะมุ่งเน้นการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับผู้ที่มีบทบาทสำคัญในแวดวงนโยบายและกฎระเบียบ เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำของ Binance ในด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบภายในอุตสาหกรรมคริปโตที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

“ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคสำคัญสำหรับ Binance มาโดยตลอด และประสบการณ์ที่ลึกซึ้งของคุณ Seker ในตลาดที่หลากหลายของภูมิภาคนี้ ทำให้เขาเป็นบุคคลที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการเป็นผู้นำขับเคลื่อนการเติบโตและการมีส่วนร่วมในระดับภูมิภาคในระยะต่อไป” นายริชาร์ด เต็ง (Richard Teng) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Binance กล่าว “ด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งในด้านบริการทางการเงินและตลาดที่มีการกำกับดูแล เรามั่นใจว่า Binance จะสามารถเดินหน้าพันธกิจของเราในการส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ พร้อมทั้งรักษามาตรฐานการปฏิบัติตามกฎระเบียบในระดับสูงสุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต่อไป”

นายเซเกอร์กล่าวถึงบทบาทความรับผิดชอบในตำแหน่งใหม่นี้ว่า “ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้เป็นแถวหน้าในด้านการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัล ด้วยความหลากหลายของตลาดที่มีเอกลักษณ์และความก้าวหน้าด้านกฎระเบียบ ผมตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ Binance เพื่อร่วมกำหนดอนาคตที่ยั่งยืน สร้างสรรค์ และเป็นไปตามกฎระเบียบสำหรับระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วทั้งภูมิภาคไปพร้อมกับทีมงานที่มีความสามารถ ด้วยการทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานกำกับดูแล พันธมิตร และชุมชนในวงกว้างของเรา ผมเฝ้ารอที่จะขับเคลื่อนโครงการเชิงกลยุทธ์และส่งมอบการดำเนินงานที่แข็งแกร่งทั่วทั้งภูมิภาค ซึ่งทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของ Binance ในการปกป้องผู้ใช้งาน ความโปร่งใส และการปฏิบัติตามกฎระเบียบในระยะยาว”

ก่อนที่จะร่วมงานกับ Binance คุณ Seker ดำรงตำแหน่งรองประธานอาวุโสที่ Crypto.com Group ซึ่งเขารับผิดชอบดูแลการพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับโลก รวมถึงงานด้านกฎหมายและกฎระเบียบสำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลาง-แอฟริกาเหนือและเอเชียใต้ (MENASA) นอกจากนี้ เขายังเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงด้านกฎหมายหลายแห่งในอุตสาหกรรมการเงิน อาทิ Ant Group, Rothschild & Co และ Amicorp Group โดยในช่วงเริ่มต้นอาชีพ คุณ Seker เคยทำงานเป็นทนายความว่าความในประเทศออสเตรเลีย ก่อนจะเข้ารับตำแหน่งนักกฎหมายของธนาคารกลางที่ธนาคารกลางสิงคโปร์ (Monetary Authority of Singapore)


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Crypto Tourism ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวไทย ก้าวสำคัญสู่นวัตกรรมการเงิน

ผู้เขียน: นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล, CFA,

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (BINANCE TH)

เมื่อเร็ว ๆ นี้มีความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในประเทศไทยที่ดึงดูดความสนใจจากสื่อมวลชนทั่วโลก นั่นคือการเปิดตัวโครงการ TouristDigiPay ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และธนาคารแห่งประเทศไทย โครงการนำร่องนี้ช่วยให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสกุลเงินบาทเพื่อใช้จ่ายภายในประเทศได้ นอกจากจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการท่องเที่ยวไทยแล้ว โครงการนี้ยังมีศักยภาพในการผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศ และนำไทยเข้าใกล้เป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัลระดับภูมิภาคมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า TouristDigiPay ไม่ใช่ระบบการชำระเงินด้วยคริปโตโดยตรงที่ทั้งลูกค้าและร้านค้าจะทำธุรกรรมกันด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล แต่เป็นกลไกที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาทเพื่อชำระเงินผ่านระบบ PromptPay QR ซึ่งใช้งานได้อย่างแพร่หลาย ตั้งแต่ร้านอาหารริมทางไปจนถึงห้างสรรพสินค้าชั้นนำ โครงการนำร่องนี้นำเสนอแนวทางให้นักท่องเที่ยวสามารถใช้สินทรัพย์ดิจิทัลของตนด้วยวิธีการที่สะดวกและราบรื่น โดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงินที่แข็งแกร่งของประเทศไทย

การผสานการชำระเงินด้วยคริปโตเข้ากับการท่องเที่ยว

จากรายงานของ Grand View Research ระบุว่า การชำระเงินด้วยคริปโตทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 และคาดว่าจะเติบโตไปถึง 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2033 รายงานนี้ยังชี้ว่าการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการเติบโตนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการชำระเงินด้วยคริปโตไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของนวัตกรรมการเงิน แต่ยังเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของระบบการเงินโลกในอนาคต

สำหรับประเทศไทย การท่องเที่ยวถือเป็นรากฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจของประเทศมาอย่างยาวนาน ในช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 ภาคการท่องเที่ยวมีสัดส่วนเกือบ 20% ของ GDP ไทย อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ประเด็นด้านความปลอดภัย และการแข่งขันที่สูงขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้าน ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ การนำทางเลือกการชำระเงินที่ขับเคลื่อนด้วยคริปโตเข้ามาใช้จึงถือเป็นโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะไม่เพียงแต่มอบทางเลือกการชำระเงินที่สะดวก รวดเร็ว และไร้เงินสดให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ที่เน้นการใช้งานในรูปแบบดิจิทัล (Digital Nomads) และผู้ถือครองคริปโตทั่วโลกที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังช่วยเสริมสร้างเสน่ห์ของการท่องเที่ยวไทยให้โดดเด่นยิ่งขึ้น

อันที่จริง ประเทศไทยไม่ได้เดินอยู่บนเส้นทางนี้เพียงลำพัง เมื่อต้นปีที่ผ่านมาภูฏานได้กลายเป็นประเทศแรกที่เปิดตัวระบบชำระเงินเพื่อการท่องเที่ยวด้วยคริปโตในระดับประเทศที่นำโดยรัฐบาล ช่วยให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถทำธุรกรรมด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างราบรื่นตลอดการเดินทาง นอกจากนี้การชำระเงินด้วยคริปโตยังถูกนำไปใช้ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น และมีอีกหลายประเทศที่กำลังทดลองนวัตกรรมนี้ ด้วยระบบนิเวศการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งและโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่มั่นคงของไทย ผมเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่จะนำนโยบายเชิงนวัตกรรมนี้ไปสู่การใช้งานคริปโตในวงกว้างและนำไปปฏิบัติได้จริง หากมีความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ควบคู่ไปกับการสนับสนุนจากภาครัฐที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล การนำระบบชำระเงินด้วยคริปโตมาปรับใช้จะเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญในการฟื้นฟูการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันก็เป็นการวางรากฐานให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการเงิน

ขับเคลื่อนนวัตกรรมการเงินคริปโตในประเทศไทย

ในระดับโลก การเติบโตอย่างต่อเนื่องของสเตเบิลคอยน์ (Stablecoin) กำลังกลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญต่อการยอมรับการชำระเงินด้วยคริปโตในวงกว้าง จากข้อมูลของ McKinsey มูลค่ารวมของสเตเบิลคอยน์หมุนเวียนในระบบสูงถึง 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว และคาดว่าจะเติบโตถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2028 ในขณะที่ Visa และ Mastercard ก็กำลังเริ่มโครงการต่างๆเพื่อรองรับการชำระเงินและชำระบัญชีด้วยสเตเบิลคอยน์ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงทิศทางที่ชัดเจนว่าสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมกำลังหันมาเปิดรับประโยชน์จากเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล

แม้ว่าโครงการนำร่องนี้จะยังไม่เปิดโอกาสให้ธุรกิจและชุมชนในท้องถิ่นสามารถรับสินทรัพย์ดิจิทัลได้โดยตรง แต่โครงการนี้ก็ได้สร้างโอกาสอันดีในการให้ความรู้แก่สาธารณชน ช่วยสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพื้นฐานของเทคโนโลยีที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องว่าคริปโตไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อการลงทุน แต่เป็นเทคโนโลยีที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน

โครงการนำร่องเพื่อการชำระเงินด้วยคริปโต รวมถึงโครงการริเริ่มอื่น ๆ ของหน่วยงานภาครัฐ ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความตั้งใจของรัฐบาลในการส่งเสริมนวัตกรรมผ่านนโยบายที่สนับสนุน และผมเชื่อว่าโครงการระดับชาตินี้จะเป็นก้าวสำคัญในการเชื่อมโยงระบบการเงินดั้งเดิมของไทยเข้ากับโลกใหม่ของสินทรัพย์ดิจิทัล

ก้าวต่อไปในอนาคต

เมื่อมองไปข้างหน้า โครงการ TouristDigiPay ของประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตไปไกลกว่าแค่โครงการระดับประเทศ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อโครงการนี้ประสบความสำเร็จ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม โครงการนี้ถือเป็นต้นแบบให้กับทั่วโลกในการผสานการชำระเงินด้วยคริปโตเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินของประเทศ ด้วยแนวคิดที่สร้างสรรค์และมองการณ์ไกล พร้อมด้วยกฎระเบียบที่ชาญฉลาดและปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ ภาครัฐและเอกชนจะสามารถทำงานร่วมกันเพื่อเร่งการพัฒนาทางเทคโนโลยี และสร้างผลกระทบที่มีความหมายต่อผู้คนได้มากขึ้น ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ด้วยศักยภาพของเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโต

ในฐานะผู้ให้บริการแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของไทย BINANCE TH by Gulf Binanceพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ และมีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการเงินดิจิทัล โดยยึดมั่นในหลักการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ความเป็นเลิศทางเทคโนโลยี และวิสัยทัศน์ร่วมกันเพื่ออนาคตทางการเงินที่ทั่วถึงสำหรับทุกคน

###

เกี่ยวกับผู้เขียน

นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล,CFA

เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (BINANCE TH)

ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (BINANCE TH) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มบริษัท ไบแนนซ์ (Binance Group) และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) โดยเขาเป็นผู้นำในการผลักดันให้เกิดการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยให้กว้างขวางขึ้น ด้วยการส่งเสริมนวัตกรรมและสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ คุณนิรันดร์มีเป้าหมายในการขยายระบบนิเวศของบล็อกเชนและเพิ่มการเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานในประเทศ ก่อนหน้านี้คุณนิรันดร์เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Binance

ก่อนที่จะเข้าสู่อุตสาหกรรมบล็อกเชน คุณนิรันดร์เคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ TrueMoney ประเทศไทย ผู้ให้บริการ e-wallet ชั้นนำของประเทศ ซึ่งเขาได้แสดงภาวะผู้นำในการผลักดันให้บริษัทเติบโตจนกลายเป็นแอปพลิเคชันทางการเงินชั้นนำที่มีผู้ใช้งานกว่า 12 ล้านคน นอกจากนี้คุณนิรันดร์ยังเคยสั่งสมประสบการณ์จากบริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการอย่าง McKinsey & Company และ UBS ซึ่งเป็นธนาคารเพื่อการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

คุณนิรันดร์สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ (MBA) จากสถาบัน INSEAD และปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัวแพลตฟอร์ม “Zeigo™ Hub” ตัวช่วยสร้างความยั่งยืนองค์กร เร่งลดคาร์บอนในซัพพลายเชน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ เปิดตัว Zeigo™ Hub by Schneider Electric แพลตฟอร์มดิจิทัลทรงพลัง ออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรต่างๆ ลดคาร์บอนในซัพพลายเชนในวงกว้าง ถือเป็นก้าวสำคัญในการใช้นวัตกรรมโซลูชั่นเพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประเภทที่ 3 (Scope 3 emissions) เพื่อนำไปสู่เป้าหมาย Net-Zero ได้อย่างมั่นใจและชัดเจน

กลุ่มซัพพลายเชนทั่วโลกกำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้า หน่วยงานกำกับดูแลและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการรายงานและดำเนินการเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มขึ้นขึ้นนี้ได้ ด้วยการใช้โมดูลาร์ที่เน้นการลงมือปฏิบัติเพื่อความยั่งยืน ช่วยให้องค์กรต่างๆ มีส่วนร่วมกับซัพพลายเออร์ในทุกขนาดธุรกิจ สามารถเข้าถึงและติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของซัพพลายเออร์หลายระดับ และขับเคลื่อนผลลัพธ์ที่วัดผลได้โดยตรงผ่านการให้ความรู้ เครื่องมือและการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญ

“การมีซัพพลายเชนที่ไร้คาร์บอน ไม่ใช่แค่สิ่งดีที่ควรมีอีกต่อไปแล้ว แต่มันคือความจำเป็นเชิงกลยุทธ์ สำหรับแพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub ชไนเดอร์ อิเล็คทริคกำลังติดอาวุธเสริมเพื่อเป็นเครื่องมือและข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็นให้กับบริษัทต่างๆ เพื่อเปลี่ยนซัพพลายเชนของพวกเขาให้เป็นกลไกขับเคลื่อนความยืดหยุ่นที่ยั่งยืน” ลอร่า อีฟ รองประธานฝ่ายโซลูชั่นความยั่งยืน SaaS ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว

ยุคใหม่แห่งการมีส่วนร่วมของซัพพลายเออร์และนวัตกรรม

Zeigo™ Hub ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นแพลตฟอร์มส่งเสริมการมีส่วนร่วมของซัพพลายเออร์ในทุกขั้นตอนของการเดินทางสู่ความยั่งยืน ไม่ว่าจะมีขนาดองค์กรที่พร้อม หรือประสบการณ์ในระดับใด แพลตฟอร์มนี้ช่วยขจัดอุปสรรคการมีส่วนร่วมได้ ด้วยระบบการเริ่มต้นใช้งานที่มีคำแนะนำ มีอินเทอร์เฟซต่อผู้ใช้ที่เรียบง่าย และเครื่องมือการเรียนรู้ในตัวที่ช่วยให้ซัพพลายเออร์สามารถเริ่มคำนวณและบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ทันที แพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub ไม่ใช่เพียงเครื่องมือเก็บข้อมูลสถิติเท่านั้น แต่ยังทำงานร่วมกันแบบตอบกลับผ่านเการเรียนรู้ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ มีชุดเครื่องมือลดคาร์บอนและแดชบอร์ดการเปรียบเทียบมาตรฐาน ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่คล่องตัวและเข้าถึงได้ง่าย ซัพพลายเออร์สามารถดำเนินการจากข้อมูลและวัดผลได้ ส่วนผู้สนับสนุนก็สามารถส่งต่อผลกระทบได้ทั้งซัพพลายเชน

แพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub มีกลไกการวิเคราะห์ประสิทธิภาพสูง ช่วยให้มองเห็นข้อมูลเรียลไทม์ของการมีส่วนร่วมจากซัพพลายเออร์ ทั้งข้อมูลแนวโน้มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและความคืบหน้าในการบรรลุเป้าหมายที่อ้างอิงตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งโครงสร้างข้อมูลได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับการเปิดเผยข้อมูลตามมาตรฐาน CDP, CSRD และ TCFD รวมถึงการจัดทำรายงานความยั่งยืนภายในองค์กร ซึ่งเป็นการรับรองด้านความโปร่งใสและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล

ทั้งนี้ซัพพลายเออร์ทุกรายที่ได้รับเชิญเข้าร่วมแพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub จะได้รับสิทธิ์เข้าถึงแผนงานลดคาร์บอนและผู้ให้บริการโซลูชั่นที่ปรับเปลี่ยนได้ ซึ่งช่วยให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเป็นรูปธรรมในวงกว้าง ส่วนผู้สนับสนุนจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมทั้งหมด ทำให้ไม่มีอุปสรรคด้านต้นทุนสำหรับซัพพลายเออร์ และครอบคลุมถึงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในฐานะส่วนหนึ่งของชไนเดอร์ อิเล็คทริค อีกทั้งแพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub สามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบนิเวศระดับโลกที่เชื่อถือได้ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน บริการให้คำปรึกษาและโซลูชั่นการลดคาร์บอนได้อย่างราบรื่น โดยมอบการสนับสนุนเชิงลึกและความน่าเชื่อถือให้แก่องค์กรที่เหนือกว่าแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์แบบเดี่ยวทั่วไป

แพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub ใช้ความสามารถของ Agentic AI ขั้นสูง เพื่อเร่งการลดคาร์บอนด้วยการใช้ข้อมูลขับเคลื่อนการตัดสินใจ และขยายผลกระทบไปทั่วทั้งห่วงโซ่คุณค่าที่หลากหลาย (Complex value chains) และเป็นผลิตภัณฑ์แรกที่ถูกนำมาใช้ใน ระบบนิเวศ AI-native ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ซึ่งได้ประกาศไปเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568ที่ผ่านมา โดยระบบนี้ผสานรวมความเชี่ยวชาญชั้นนำด้านความยั่งยืนของชไนเดอร์เข้ากับนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งฟีเจอร์  Agentic AI ของแพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub จะช่วยยกระดับและปรับเปลี่ยนประสบการณ์การเริ่มต้นใช้งานของผู้ใช้ให้เป็นส่วนตัวมากขึ้น โดยจะช่วยลดความยุ่งยากในการป้อนข้อมูลด้วยการใช้เครื่องมือการดึงข้อมูลจากเว็บไซต์และการอัปโหลด, การปรับแต่งคำเชิญเข้าร่วมโปรแกรม และให้การกำกับดูแลโปรแกรมเพิ่มเติมในนามของผู้สนับสนุนโครงการขององค์กร

ขับเคลื่อนผลกระทบระดับโลกผ่านความร่วมมือ

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับในด้านการลดคาร์บอนในซัพพลายเชน จากการทำงานร่วมกับแบรนด์ใหญ่และจากโครงการริเริ่มด้านซัพพลายเชนภายในองค์กรที่ได้รับรางวัล เช่น Zero Carbon Project ตั้งแต่ปี 2564 ได้เปิดตัวโครงการลดคาร์บอนในซัพพลายเชนทั่วโลก มีบริษัทซัพพลายเชนเข้าร่วมกว่า 20 โครงการ รวมถึงโครงการความร่วมมือกับกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น EnergizeCatalyze และ Materialize จนถึงปัจจุบันชไนเดอร์ อิเล็คทริคได้ร่วมงานกับแบรนด์ต่างๆ มากกว่า 40 แบรนด์ โดยเป็นผู้สนับสนุนโครงการที่มีซัพพลายเออร์ลงทะเบียนมากกว่า 2,700 ราย

แพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub จะทำหน้าที่เป็นตัวขับเคลื่อนเทคโนโลยีและเครื่องมือสำหรับการดำเนินการร่วมกันในโครงการซัพพลายเชนเหล่านี้ ทำให้ช่วยลดคาร์บอนในวงกว้างง่ายกว่าวิธีเดิม อีกทั้งแพลตฟอร์มนี้ช่วยให้องค์กรต่างๆ สร้างวัฒนธรรมของการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างผู้ซื้อและซัพพลายเออร์ และแนวทางนี้ไม่เพียงเร่งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างความยืดหยุ่นของซัพพลายเชนและเพิ่มคุณค่าทางธุรกิจในระยะยาวอีกด้วย

“แพลตฟอร์ม Zeigo™ Hub แสดงถึงก้าวที่กล้าไปข้างหน้าในด้านความยั่งยืนของซัพพลายเชน นี่คือการเปลี่ยนความมุ่งมั่นให้เป็นการลงมือทำ เสริมสร้างศักยภาพให้กับซัพพลายเออร์ทุกราย พันธมิตรทุกคน และทุกองค์กร ให้มีส่วนร่วมสร้าง Net-Zero ในอนาคต” ลอร่า อีฟ รองประธานฝ่ายโซลูชันความยั่งยืน SaaS ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว

การวางจำหน่าย
แพลตฟอร์ม 
Zeigo™ Hub พร้อมให้บริการแก่ทุกองค์กรทั่วโลกแล้ววันนี้ และหากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเส้นทางการลดคาร์บอนในซัพพลายเชนของธุรกิจ สามารถเข้าชมได้ที่ https://www.zeigo.com/zeigo-hub


Exit mobile version