Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Acer ชูความเป็นผู้นำนวัตกรรมไอที คว้า 2 รางวัล สุดยอดแบรนด์ 2024 Thailand’s Most Admired Brand

บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด รับรางวัล 2024 Thailand’s Most Admired Brand และ 2023-2024 Thailand’s Most Admired Company จากนิตยสารแบรนด์เอจ โดยในปีนี้ เอเซอร์ ยังครองอันดับหนึ่งในการเป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือที่สุดในกลุ่มธุรกิจไอที และแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค ในหมวดผลิตภัณฑ์ IT และดิจิทัล กลุ่มคอมพิวเตอร์พกพา

นายนิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด เป็นตัวแทนเข้ารับรางวัลในครั้งนี้ โดยกล่าวว่า ทั้ง 2 รางวัลที่ได้รับถือเป็นการยืนยันความสำเร็จที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการจนได้รับความเชื่อถือและความไว้วางใจจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยรางวัล 2024 Thailand’s Most Admired Brand ได้รับติดต่อกันเป็นปีที่ 14 และรางวัล 2023-2024 Thailand’s Most Admired Company ได้รับติดต่อกันเป็นปีที่ 5 เอเซอร์ขอขอบคุณผู้บริโภคที่มอบความเชื่อมั่นและไว้วางใจด้วยดีตลอดมา เอเซอร์ยังคงมุ่งมั่นในการนำเสนอนวัตกรรม พัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดเพื่อตอบสนองความต้องการและเพื่อให้ผู้บริโภคได้มั่นใจในผลิตภัณฑ์และบริการของเอเซอร์ต่อไป


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

HIS MSC ร่วมงาน THAIFEX HOREC ASIA 2024

บริษัท เอชไอเอส เอ็มเอสซี จำกัด หรือ HIS MSC ร่วมงาน “THAIFEX HOREC ASIA 2024” ในวันที่ 6-8 มีนาคม 67 ณ อาคาร 9-12 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งภายในงานเป็นการรวมโซลูชั่นธุรกิจครบวงจร ทั้งกลุ่มธุรกิจสำหรับโรงแรม ร้านอาหาร และการจัดเลี้ยง

HIS MSC Company Limited” ร่วมกับ UBIQ GLOBAL และ Singapore Pavilion ร่วมออกบูธเพื่อแสดงโซลูชั่นซอฟท์แวร์ของบริษัท ทั้ง The SuperApp ERP Hotel Accounting, The SuperApp Sales Management, HMS Property Management Systems, MYRA Self Check in Kiosk ซึ่งในงานได้มีผู้ประกอบการในกลุ่ม Hotel Chains เข้าเยี่ยมชมงานมากมาย

“HIS MSC นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพสูงด้วยความเป็นมืออาชีพที่เหนือกว่า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเติบโตของลูกค้าด้วยความสำเร็จอย่างยั่งยืน มายาวนานกว่า 30 ปี”


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เอปสันโชว์นวัตกรรมการพิมพ์ล่าสุด ในงาน LFP Innovation Day ครั้งแรกในกรุงเทพฯ

กรุงเทพฯ27 มีนาคม 2024 – เอปสัน ผู้นำด้านการพิมพ์ระดับมืออาชีพ จัดงาน LFP Innovation Day เป็นครั้งแรก ณ กรุงเทพฯ ประเทศไทย โดยงานนี้จัดแสดงเทคโนโลยีการพิมพ์ระดับนวัตกรรมล่าสุดสำหรับวงการสิ่งทอและค้าปลีก ครบเครื่องด้วยแอปพลิเคชั่นที่ใช้ในการจับคู่โปรไฟล์สี และการพิมพ์สำเนาภาพถ่ายของช่างภาพมืออาชีพ

งาน LFP Innovation Day 2024 จัดขึ้นในรูปแบบโซลูชั่นให้ผู้ร่วมงานเดินชมผลงานพิมพ์และการสาธิตเครื่อง เพื่อ ให้เข้าใจกระบวนการทำงานของเครื่องพิมพ์และแอปพลิเคชั่นที่ได้การปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานทางธุรกิจได้ ด้วยประสิทธิภาพต้นทุนที่เหมาะสมและสามารถลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมผ่านระบบการพิมพ์ผ้าแบบดิจิทัล

“ในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องพิมพ์หน้ากว้างสำหรับการพิมพ์ผ้า รูป และป้ายโฆษณา เอปสันมุ่งมั่นที่จะสร้างอนาคตโลกการพิมพ์ด้วยนวัตกรรม งาน LFP Innovation Day ถือเป็นโอกาสของเราในการนำเสนอโซลูชั่นการพิมพ์ที่ล้ำสมัยพร้อมรองรับองค์กรธุรกิจทุกขนาด โดยที่เราได้มีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับทั้งลูกค้าและพันธมิตร เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเทคโนโลยีของเราจะช่วยให้องค์กรธุรกิจต่างๆ ลดขั้นตอนการทำงานและทำงานได้ง่ายขึ้น” นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

LFP Innovation Day มีการสาธิตผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม โดยแบ่งออกเป็นโซนต่างๆ อาทิ:

  • นวัตกรรมเครื่องพิมพ์ป้ายโฆษณา – โซลูชั่นนี้มาพร้อม Auto Color Chart Reading Portable Table รุ่นใหม่ และเครื่องวัดความทึบแสง SD-10 Spectrophotometer ของเอปสัน ช่วยลดเวลาจัดการงานสี โดยการสาธิตใช้งานโซลูชั่นจะแสดงการปรับแต่งค่าสี และยืนยันค่าสีของเครื่องพิมพ์ ที่เป็นตัวช่วยให้งานพิมพ์มีสีที่สม่ำเสมอและแม่นยำ
  • นวัตกรรมเครื่องพิมพ์ผ้าระบบดิจิทัล – การสาธิตแสดงความสามารถในการขยายธุรกิจ หรือการปรับ แต่งงานตามความต้องการด้วยเครื่องพิมพ์ระบบ Dye Sublimation ของเอปสัน ครอบคลุมทุกขั้นตอนการพิมพ์รวมถึงขั้นตอนที่เกี่ยวกับการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมจากพันธมิตรต่างๆ  อาทิ Cricut
  • นวัตกรรมเครื่องพิมพ์ผลิตภัณฑ์สำหรับธุรกิจร้านค้า – โซลูชั่น Epson Craft Studio ที่ช่วยให้ผู้ใช้อัปโหลดรูปเพื่อสั่งพิมพ์บนวัสดุหลากหลายชนิดผ่านเครื่องพิมพ์หน้ากว้างของเอปสัน โซลูชั่นนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถเริ่มต้นการเสนอสินค้าและบริการได้โดยไม่ยุ่งยากซับซ้อน โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเข้าสู่วงการผลิตสินค้าของที่ระลึก Epson Craft Studio จะเปิดให้ใช้ในรูปแบบสมาชิกรายเดือน ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนการทำงานภายในร้าน นับตั้งแต่ขั้นตอนสั่งโปสเตอร์และสินค้า ขั้นตอนพิมพ์ หรือขั้นตอนจัดส่ง โดยเอปสันจะเริ่มให้บริการนี้ตั้งแต่ปลายปี 2567 เป็นต้นไป
  • นวัตกรรมเครื่องพิมพ์ภาพถ่ายระดับมืออาชีพ – การสาธิตครอบคลุมตั้งแต่การถ่ายภาพไปถึงขั้นตอนการพิมพ์ เพื่อให้ผู้ชมได้เห็นงานพิมพ์มีคุณภาพและความแม่นยำสูง เมื่อมี Epson SureColor SC-P6530D เป็นตัวช่วย นอกจากนี้ยังมีโซลูชั่น Minilab มาในรูปแบบสตูดิโอถ่ายรูปและพิมพ์รูปด้วยตนเอง โดยใช้เครื่องพิมพ์ Epson SureLab SL-D530 และ SL-D1030 เพื่องานพิมพ์คุณภาพสูง

ในงาน LFP Innovation Day 2024 เอปสันยังเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นล่าสุด อาทิ Epson SureColor SC-V1030 เครื่องพิมพ์หมึกยูวี สำหรับงานพิมพ์ขนาด A4 เหมาะกับการผลิตสินค้ารูปแบบใหม่และของขวัญ รวมถึง Epson SureColor SC-F1030 ซึ่งเป็นเครื่องพิมพ์ผ้าที่มีขนาดเล็กที่สุดของเอปสัน

  • เทคโนโลยีล้ำสมัยที่มาพร้อมรุ่น SC-V103 ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้กระบวนการพิมพ์ง่ายดายยิ่งขึ้น แต่ยังให้งานพิมพ์คุณภาพสูงไม่ว่าจะพิมพ์กับวัสดุชนิดใด ทั้งสิ่งทอ ผ้า ไม้ และอะคริลิค ช่วยสร้างความเป็นไปได้มากมายในเชิงธุรกิจ ส่งผลให้ผู้ใช้งานมีมุมมองที่กว้างขวางยิ่งขึ้นและนำเสนอสินค้าและบริการใหม่ๆ ให้แก่ลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้น
  • นอกจากนี้แล้ว พรินเตอร์ระดับนวัตกรรมรุ่นใหม่อย่าง SC-F1030 ยังพร้อมแปลงโฉมร้านขายของขวัญและสินค้าแปลกใหม่เข้าสู่ยุคที่สินค้าและบริการสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ พร้อมด้วยฟีเจอร์อินเตอร์แอคทีฟ พรินเตอร์รุ่นนี้สามารถพิมพ์ลงผ้าได้โดยตรง (เหมาะกับพิมพ์ของชิ้นใหญ่) รวมทั้งสามารถ พิมพ์ลงแผ่นฟิล์มโดยตรงด้วย (เหมาะกับพิมพ์โลโก้ขนาดเล็ก) เจ้าของเครื่องจึงมีความยืดหยุ่นในการสร้าง สรรค์งานให้ลูกค้าพร้อมเติมเต็มความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้แล้ว งาน LFP Innovation Day 2024 ยังจัดแฟชั่นโชว์เพื่อนำเสนอผลงานจากคอลเล็กชันพิเศษเฉพาะที่เอปสันได้ร่วมมือกับ 7 ดีไซเนอร์จากกลุ่ม ASEAN Fashion Designers Showcase (AFDS)  ในการสร้างคอลเล็กชันที่มีชื่อว่า “Sustainability in Asia” ซึ่งออกแบบสะท้อนความมุ่งมั่นทุ่มเทต่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ สัตว์ป่า และสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น โดยเครื่องแต่งกายทุกชิ้นในคอลเล็กชันดังกล่าว พิมพ์ด้วยพรินเตอร์ระบบ Dye Sublimation ของเอปสัน อาทิ SureColor SC-F6430, SureColor SC-F9430H และ SureColor SC-F10030     

สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ LFP Innovation Day 2024 ได้ที่ https://www.epson.co.th/innovationday


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“TikTok Shop Mall” นำเสนอ Seamless Shopping Experiences ขั้นสุดแก่นักช้อปไทย

TikTok Shop โซลูชั่นอีคอมเมิร์ซเพื่อช้อปปิ้งและขายสินค้าชั้นนำในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดตัว  TikTok Shop Mall พร้อมแล้วสำหรับนักช้อปไทยที่มองหาแหล่งซื้อสินค้าคุณภาพจากแบรนด์ชั้นนำ สร้างความมั่นใจให้นักช้อป ด้วยแบรนด์ ร้านค้า และผู้ขายสินค้าแบรนด์ชั้นนำมากมายบน TikTok Shop Mall  พร้อมเติมเต็มประสบการณ์ Shoppertainment ที่มีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น โดยผู้ซื้อสามารถค้นหาและซื้อสินค้าได้โดยตรงกับร้านค้าชั้นนำในประเทศไทย สอดคล้องกับข้อมูลของ TikTok Shop ที่พบว่าผู้บริโภคต้องการซื้อสินค้ากับร้านค้าที่ได้รับการรับรอง (Certified Store)

TikTok Shop ยังมุ่งมั่นสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบ Infinity Loop โดยทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นตั้งแต่การค้นพบไปจนถึงการพิจารณา การซื้อ และการรีวิว แล้วกลับไปสู่การค้นพบอีกครั้งซึ่งมีส่วนช่วยทำให้เศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศเติบโต Statista คาดการณ์การเติบโตตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยปี 2567 ที่ประมาณ 11,630 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน Euromonitor คาดว่า Retail E-commerce ของไทยจะเติบโตเฉลี่ย 15.4% ในช่วงปี 2567-2570  ดังนั้นการตลาดออนไลน์และการสนับสนุนลูกค้าจึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซ

ผลการศึกษาของ TikTok Shop ยังพบว่าผู้บริโภคยินดีจ่ายเพื่อความสบายใจและมั่นใจว่าได้ซื้อสินค้าจากแบรนด์โดยตรง สิ่งนี้สะท้อนถึงภาพรวมและพฤติกรรมความเชื่อมั่นในการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ผู้บริโภคต่างมองหาสินค้าแท้ที่มีคุณภาพ TikTok Shop Mall ได้ทดลองให้บริการมาตั้งแต่ต้นปี 2567  โดยวันนี้แบรนด์ ร้านค้าบน TikTok Shop Mall ที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นร้านค้าใน Mall มีมากกว่าพันราย และมีสินค้าแบรนด์แท้ 100% ครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์ยอดนิยมได้แก่แฟชั่นและเครื่องประดับ (Fashion & Accessories), เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล (Beauty & Personal Care), อาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverages), เครื่องใช้ไฟฟ้า (Electronic Devices) และเครื่องใช้ในครัวเรือน (Household Items)

สัญลักษณ์ Mall” ของ TikTok Shop Mall  คือเครื่องหมายแสดงความมั่นใจกับประสบการณ์บนแพลตฟอร์มสำหรับนักช้อปว่าสินค้าและผลิตภัณฑ์เป็นของแท้ จากร้านค้าที่ได้รับการรับรอง รวมถึงสามารถคัดกรองและรู้ตัวตนผู้ขายที่น่าเชื่อถือได้อย่างง่ายดาย ด้วยสัญลักษณ์ Mall” ผู้บริโภคสามารถค้นพบแบรนด์ที่ตรงตามความต้องการได้ง่ายขึ้นพร้อมคำแนะนำที่เพิ่มขึ้น และไฮไลท์สำคัญสำหรับผู้ซื้อคือ เมื่อซื้อสินค้าภายใน TikTok Shop Mall และหากไม่พอใจในสินค้าผู้ซื้อสามารถคืนสินค้าและรับเงินคืนภายใน 15 วัน ในขณะที่ผู้ค้าหรือแบรนด์จะได้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นจากการเพิ่มการมองเห็นของผู้ซื้อ ตั้งแต่ Shoptab, Banner, Mall Entrance ฟรีค่าบริการจัดส่งไปจนถึง Landing Page นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมส่งเสริมการขายสำหรับร้านค้าใน Mall โดยเฉพาะ เช่น Brand Canival, Brand Zone และที่สำคัญสำหรับร้านค้าใน Mall จะได้รับคูปองจัดส่งฟรีเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษอีกด้วย

คุณกรณิการ์ นิวัติศัยวงศ์, Head of FMCG, E-Commerce – TikTok Shop Thailand กล่าวว่า “TikTok Shop ได้รับการจัดอันดับจาก Priceza Insight ให้เป็นผู้เล่นหลักของ Ecommerce Channel ในหมวด Marketplace TikTok Shop Mall เป็นมาร์เก็ตเพลสที่จะช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างโอกาสในการเข้าถึงสินค้าและบริการให้กับผู้ซื้อได้โดยตรง ในทางกลับกันผู้ซื้อก็สามารถได้รับความมั่นใจว่าการใช้จ่ายของเขาต่อสินค้าและบริการได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าและตรงกับความต้องการ  และด้วยระบบนิเวศของเราในฐานะแพลตฟอร์มเอนเตอร์เทนเมนท์ที่น่าเชื่อถือสำหรับทุกคน ทั้งครีเอเตอร์ไทย ธุรกิจทุกขนาด และคอมมูนิตี้ผู้ใช้ในประเทศไทย เรามั่นใจว่า TikTok Shop Mall จะช่วยเติมเต็มเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย”

“TikTok Shop Mall เป็นมากกว่าบริการอีคอมเมิร์ซแต่ยังตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเราที่ต้องการช่วยยกระดับธุรกิจท้องถิ่น ด้วยการนำเสนอแพลตฟอร์มอีคอมเมิรซ์สำหรับ SMB ในการนำธุรกิจและขายสินค้าบนโลกออนไลน์ไปสู่อีกขั้นหนึ่งให้เติบโตควบคู่ไปกับแบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับในตลาด” คุณกรณิการ์ กล่าวเพิ่มเติม


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“HMC Polymers” ชูแนวคิด “PP ENDLESS SOLUTIONS FOR MORE” มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน เผยปี 2566 กวาดรายได้ 2.5 หมื่นล้านบาท

บริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ จำกัด หรือ HMC Polymers  ผู้นำด้านการผลิตและจำหน่ายเม็ดพลาสติก โพลีโพรพิลีน หรือ PP รายแรกและใหญ่ที่สุดของประเทศไทยและชั้นแนวหน้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แถลงข่าวเดินหน้าผลักดันธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมชูแนวคิด “ENDLESS SOLUTIONS FOR MORE” หรือ “ยิ่งสร้างสรรค์ ยิ่งล้ำหน้า ยิ่งใช้งาน ยิ่งยั่งยืน…ไม่รู้จบ” ภายใต้การนำทัพของ Mr. Corso Uzielli (คอร์โซ อูซีลลี่) ตอกย้ำความเป็นผู้นำการผลิตและจำหน่ายเม็ดพลาสติก PP เกรดพรีเมียมแตกต่างจากผู้ผลิตอื่น ๆ ในตลาด ผ่านกลยุทธ์ความยั่งยืนทั้ง 3 Pillars ประกอบด้วย Circularity, Carbon Neutrality และ Connectivity   ด้วยเทคโนโลยีระดับโลกที่ทันสมัยหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้ไม่สิ้นสุด ช่วยลดการใช้ทรัพยากรโลกปล่อยก๊าซคาร์บอนให้น้อยลง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อชีวิตที่สะดวกสบายในวันนี้ เพื่อโลกยุคใหม่ที่ยั่งยืนถึงวันหน้า ทั้งนี้ HMC Polymers เผยผลประกอบการปี 2566 รายได้รวม 2.5 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าปี 2567  กวาดรายได้มากกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท

นายคอร์โซ อูซีลลี่ ประธานบริษัท HMC Polymers เผยถึงแนวคิดในการดำเนินธุรกิจว่า “การก้าวสู่ปีที่ 41 HMC Polymers ยังคงเดินหน้าคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ พัฒนาสู่ความเป็นเลิศทั้งในด้านฐานการผลิตและการดำเนินธุรกิจทุก ๆ มิติอย่างต่อเนื่อง มุ่งผลักดันให้สายการผลิตที่ 4 ของโรงงานโพลีโพรพิลีน (PP4) ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปลายปี 2565 ดำเนินการผลิตสูงสุดเต็มศักยภาพ  พร้อมนำเทคโนโลยี Spherizone อันทันสมัยที่สุดในการผลิตเม็ดพลาสติก PP จากบริษัท LyondellBasell ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของ HMC Polymers สู่การผลิตเม็ดพลาสติก PP เกรดพิเศษ (Specialty) และเกรดคุณภาพสูง (Differentiated) เพื่อการนำไปใช้งานที่หลากหลายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มการแพทย์และสุขอนามัย กลุ่มบรรจุภัณฑ์ทั้งแบบแข็งและแบบยืดหยุ่น และกลุ่มชิ้นส่วนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่” นายคอร์โซ กล่าวทิ้งท้าย

นายพรชัย พิชิตวุฒิกร รองประธานอาวุโส สายงานกลยุทธ์ นวัตกรรม และพาณิชยกิจ กล่าวถึงกลยุทธ์ในมุมการผลักดันผลิตภัณฑ์สู่ความยั่งยืน โดยเริ่มจาก Circularity Pillar ว่า นอกจากการรักษามาตรฐานของเม็ดพลาสติก PP เกรดพิเศษ (Specialty) และเกรดคุณภาพสูง (Differentiated) ให้เหนือกว่าคู่แข่งเสมอ  เรายังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน (Sustainable Products) ซึ่งแบ่งได้ตามคุณสมบัติเด่นทั้ง 3 ประเภท คือ

  • Reduce เม็ดพลาสติก PP ชนิด Bio-based ที่ผลิตจากวัตถุดิบที่ใช้แล้ว เช่น น้ำมันพืชที่ใช้แล้ว เป็นต้น ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในการกระบวนผลิต โดยเม็ดพลาสติก PP ชนิด Bio-based ได้รับการรับรอง ISCC PLUS จากหน่วยงาน International Sustainability and Carbon Certification ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล ที่ให้การรับรองผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน / เม็ดพลาสติก PP แบบ Downgauging ที่มีความแข็งแรงและประสิทธิภาพการใช้งานสูงมาก จึงสามารถลดเนื้อพลาสติกในการขึ้นรูปชิ้นงานได้  แต่ยังใช้งานได้ดีดังเดิม
  • Recycle : เม็ดพลาสติก PP รีไซเคิลเชิงเคมี (Chemical Recycling PP) คือ การนำพลาสติกที่ใช้แล้วมาผ่านกระบวนการทางเคมีที่เรียกว่า Pyrolysis ก่อนนำมาเป็นวัตถุดิบผลิตเม็ดพลาสติก PP อีกครั้ง โดยเม็ดพลาสติก PP รีไซเคิลเชิงเคมี ได้รับการรับรอง ISCC PLUS เช่นกัน /  เม็ดพลาสติก PP รีไซเคิลเชิงกล (Mechanical Recycling PP) คือ เม็ดพลาสติก PP รีไซเคิล ที่ผลิตจากพลาสติก PP ที่ผ่านการใช้งานจากผู้บริโภคแล้ว (Post-Consumer Recycled, PCR) หรือพลาสติก PP จากการทิ้งหรือไม่ตรงตามความต้องการระหว่างกระบวนการผลิตภาคอุตสาหกรรม (Post-Industrial Recycled, PIR)  โดยเม็ดพลาสติก PP รีไซเคิลเชิงกล ได้รับการรับรองมาตรฐาน GRS (Global Recycled Standard) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล ที่ให้การรับรองผลิตภัณฑ์รีไซเคิล
  • Redesign & Replace : เม็ดพลาสติก PP Monomaterial เม็ดพลาสติก PP สำหรับทดแทน Aluminum Foil ส่งผลให้บรรจุภัณฑ์ฟิล์มเป็นพลาสติกเนื้อเดี่ยว หรือ Monomaterial นำไปรีไซเคิลได้ง่ายขึ้น เพราะไม่มีวัตถุดิบชนิดอื่นปะปน

ในส่วน Carbon Neutrality Pillar นั้น  ณ ปัจจุบันเราได้เตรียมตัวเพื่อก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ  โดยการจัดทำข้อมูลฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint Products – CFPs) สำหรับผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ จำนวน 29 ผลิตภัณฑ์ในปี 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อรวมกับปี 2565 ทำให้มีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองรวมแล้ว 60 ผลิตภัณฑ์   นอกจากนี้  HMC Polymers ได้ก่อสร้างหอเผาระดับพื้น (Ground Flare) เพื่อลดมลพิษจากการเผาไหม้ที่หอเผาสูง (Elevated Flare) ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ควบคุมควันดำได้เป็นอย่างดี  รวมถึงลดเสียงและแสง  โดยเป้าหมายต่อไปของเรา คือ “Zero Flare” ลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศโลก    

             

กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนเสาสุดท้ายได้แก่ Connectivity Pillar คือ การนำองค์ความรู้ นวัตกรรม เทคโนโลยีของบริษัทฯ เชื่อมโยงและสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในสังคม อาทิ การจัดทำ แพลตฟอร์ม PP Reborn ชุบชีวิต PP กับ HMC Polymers เพื่อให้ภาคประชาชนได้ส่งพลาสติก PP ใช้แล้วกลับเข้าสู่ระบบผลิตอีกครั้งตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยล่าสุดพลาสติก PP ใช้แล้วที่ได้จากแพลตฟอร์มฯ ยังได้รับการนำไปอัพไซเคิลเป็น Bed Pan หรือ หม้อนอนสำหรับผู้ป่วย ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับมูลนิธิอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมถึงกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.)

นางสาวอังคณี สุนทรสวัสดิ์ รองประธาน สายการเงิน บัญชีและงานสนับสนุนองค์กร ได้กล่าวปิดท้ายงานแถลงข่าวถึงภาพรวมและแผนกลยุทธ์การเงินของ HMC Polymers ว่า “แม้การเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกในปี 2566 จะชะลอตัวจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังขาดปัจจัยสนับสนุนตั้งแต่ช่วงต้นปี 2566 และแม้สาธารณรัฐประชาชนจีนจะกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลังเปิดประเทศ แต่ยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวมากนัก ทั้งนี้ ธุรกิจปิโตรเคมีโดยรวมยังคงอยู่ในภาวะอ่อนตัวจากปัจจัยอุปสงค์ยังคงชะลอตัวจากสภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นและอุปทานส่วนเกิน ซึ่งเกิดจากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาในระหว่างปี ส่งผลให้การเติบโตของความต้องการผลิตภัณฑ์ PP ชะลอตัวและราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้รับปัจจัยเชิงบวกจากการมุ่งเน้นในผลิตภัณฑ์ PP เกรดพิเศษ (Specialty) และเกรดคุณภาพสูง (Differentiated) ซึ่งมีการแข่งขันน้อยกว่าและมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่า ในส่วนของการขายนั้น บริษัทฯ กระจายรายได้ไปยังอุตสาหกรรมปลายทางและจำหน่ายในหลายประเทศ (Market Diversification) ผ่านช่องทางการจำหน่ายที่มีอยู่ทั่วโลก ทำให้ปี 2566 HMC Polymers มีรายได้รวมประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้าเกรดพิเศษ SPDP (Specialty-Differentiated) กว่า 53% ของรายได้รวม ภาพรวมฐานะการเงินมีความแข็งแกร่งด้วยสินทรัพย์รวมมากกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท กระแสเงินสดมีสภาพคล่องในระดับเพียงพอ ด้วยฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง การเป็นผู้นำในธุรกิจ PP ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงการเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้ HMC Polymers ได้รับการจัดอันดับเครดิตโดย บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด อยู่ในระดับ ‘A-(tha)’ นอกจากนี้ บริษัทฯขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีให้ โดยในเดือนตุลาคม 2566 บริษัทฯ จำหน่ายหุ้นกู้เต็มวงเงิน 3,800 ล้านบาท เกินจากเป้าที่ตั้งไว้ คือ 3,000  ล้านบาท ช่วยตอกย้ำความพร้อมในการดำเนินธุรกิจไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและแข็งแกร่งบนรากฐานของความอย่างยั่งยืน”

ทั้งนี้ HMC Polymers  ยังคงเดินหน้าคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ พัฒนาสู่ความเป็นเลิศทั้งในด้านฐานการผลิต และการดำเนินธุรกิจทุก ๆ มิติอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค  ควบคู่ไปกับการบริหารงานสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

กองกลาง มจพ. เชิญชวน ปิดไฟเป็นเวลา 1 ชั่วโมง (60+ Earth Hour 2024)

กองกลาง สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)  เชิญชวนทุกท่านเป็นหนึ่งร่วมรณรงค์ลดโลกร้อน ด้วยการปิดไฟเป็นเวลา 1 ชั่วโมง (60+ Earth Hour 2024) พร้อมกันทั่วโลกในวันเสาร์ที่ 23 มีนาคม 2567 เวลา 20.30 – 21.30 . เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าอย่างรู้คุณค่า ถอดปลั๊ก ปิดไฟ ปิดแอร์ ปิดพัดลม และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ที่ไม่ได้ใช้งาน  การร่วมปิดไฟ 1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน (60+ Earth Hour 2024) อีกครั้งในปีนี้ปิดไฟไปพร้อมกับเมืองใหญ่ทั่วโลกนับเป็นการรวมพลังกันปิดไฟและงดใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเพื่อช่วยประหยัดพลังงานอีกทั้งกระตุ้นให้ให้ทุกๆคนร่วมกันแก้ไขและบรรเทาปัญหาโลกร้อนไปด้วยกันซึ่งปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งกิจกรรมที่อยู่กับประชาชนและคนไทยทั้งประเทศไปแล้ว

การร่วมกิจกรรมปิดไฟ 1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน (60+ Earth Hour 2024) ของกองกลาง มจพ. เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมเข้าไปในกระบวนการทำงาน โดยกิจกรรมดังกล่าวยังสามารถดำเนินงานคู่ขนานไปกับการดำเนินงานสำนักงานสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  (Green Office)ที่มีความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี พ.. 2561 – 2580

ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (.. 2566-2570) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และยังสอดรับกับกรอบนโยบาย 4 มิติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในมิติที่ 2 : สร้างและพัฒนาองค์ความรู้ และผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว

สำหรับกิจกรรมร่วมปิดไฟ 1 ชั่วโมงเพื่อลดโลกร้อน หรือ 60+ Earth Hour 2024  เป็นการรณรงค์ลดภาวะโลกร้อนและประหยัดพลังงานที่สื่อสารไปในระดับนานาชาติ โดยมีองค์กรต่าง ๆ ที่ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดกิจกรรมปิดไฟลดโลกร้อน กระตุ้นให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงการรักษ์สิ่งแวดล้อมกันอย่างต่อเนื่อง กิจกรรมร่วมปิดไฟ  1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน (60+ Earth Hour 2024) ในส่วนของกองกลาง  มจพ. ได้จัดกิจกรรมนี้ขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ขอเชิญชวนพร้อมร่วมกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์โดยพร้อมเพียงกัน ลดการใช้พลังงานและปิดไฟที่ไม่จำเป็น เช่น ไฟประดับ  ไฟอาคาร การถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช้งาน ลดการใช้เครื่องปรับอากาศ ในอาคารบ้านเรือน เป็นเวลา 1 ชั่วโมง

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์คาดการณ์ตลาด EV ในยุคถัดไป

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย., 21 มีนาคม 2567 — การ์ทเนอร์เผยในปีนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ค่ายต่าง ๆ จะยังต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจากบทบาทที่เพิ่มขึ้นของทั้งซอฟต์แวร์และการใช้พลังงานไฟฟ้า ที่เป็นปัจจัยกำหนดยุคถัดไปของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า

เปโดร ปาเชโก รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ผู้นำตลาด OEM รายใหม่ต้องการกำหนดนิยามที่ชัดเจนให้กับสถานะที่เป็นอยู่ในวงการยานยนต์ โดยนำนวัตกรรมที่ช่วยทำให้ต้นทุนการผลิตง่ายขึ้นมาใช้ อาทิ สถาปัตยกรรมยานพาหนะแบบรวมศูนย์ (Centralized Vehicle Architecture) หรือ การนำ Gigacasting มาใช้ ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตและระยะเวลาในการประกอบ ที่ผู้ผลิตรถยนต์รายเดิมไม่มีทางเลือกที่จะนำมาใช้เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดได้”

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ในปี 2570 รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEVs) รุ่นใหม่ ๆ จะมีต้นทุนการผลิตโดยเฉลี่ยถูกกว่ารถยนต์เครื่องสันดาปภายใน (ICE) ในเซกเมนต์เดียวกัน ในขณะที่ผู้ผลิต OEM เดินหน้าพลิกโฉมงานด้านการผลิตควบคู่ไปกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้ในปีถัด ๆ ไปนี้ เราจะเห็นต้นทุนการผลิตรถ BEV ลดลงเร็วกว่าต้นทุนแบตเตอรี่อย่างมาก

“นั่นหมายความว่า BEV จะมาถึงจุดที่มีต้นทุนการผลิตเท่ากับ ICE ได้รวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรกอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็จะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายการซ่อมแซม BEV บางส่วนมีราคาสูง” ปาเชโก กล่าวเพิ่มเติม

เทคโนโลยีใหม่ทำให้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม EV สูงขึ้น

การ์ทเนอร์คาดว่า ในปี 2570 ต้นทุนเฉลี่ยของการซ่อมแซมตัวถังรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่จากอุบัติเหตุรุนแรงจะเพิ่มขึ้น 30% ส่งผลให้ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุและเสียหายนั้นมีแนวโน้มที่จะ Write-Off มากกว่าซ่อมแซม เนื่องจากค่าซ่อมแซมอาจมีราคาสูงกว่ามูลค่าคงเหลือของรถ ในทำนองเดียวกัน การซ่อมแซมการชนที่มีราคาสูงกว่าอาจทำให้ค่าเบี้ยประกันแพงขึ้น หรือแม้แต่การปฏิเสธที่จะให้ความคุ้มครองรถยนต์รุ่นใดรุ่นหนึ่งโดยเฉพาะของบริษัทประกันภัย

การ์ทเนอร์ยังเผยว่าการลดต้นทุนการผลิต BEV อย่างรวดเร็วนั้นไม่ควรเกิดขึ้นพร้อมกับค่าซ่อมที่สูงขึ้น เนื่องจากอาจส่งผลย้อนกลับมายังผู้บริโภคได้ในระยะยาว โดยวิธีการใหม่ ๆ ของการผลิตรถยนต์ BEV นั้นจะต้องนำมาใช้ร่วมกับกระบวนการต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าต้นทุนการซ่อมแซมต่ำลงด้วย

การรวมตัวกันของ EV สตาร์ทอัพ 

“ด้วยมุมมองต่อผลกำไรที่ง่าย ทำให้สตาร์ทอัพในอุตสาหกรรม EV จำนวนมากหันมาผนึกกำลังร่วมกัน ตั้งแต่ผู้ผลิตยานยนต์ไปจนถึงเครื่องชาร์จ EV และบางส่วนยังต้องพึ่งพาเงินทุนจากภายนอกอย่างมาก ทำให้พวกเขาเผชิญความท้าทายทางการตลาดเฉพาะกลุ่ม นอกจากนี้ มาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศต่าง ๆ ที่กำลังทยอยสิ้นสุดลง ทำให้ผู้นำในตลาดขณะนี้เจอกับความท้าทายมากขึ้นตามไปด้วย” ปาเชโก กล่าวเพิ่ม

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ในปี 2570 15% ของบริษัท EV ที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาจะถูกซื้อกิจการหรือล้มละลาย “นั่นไม่ได้หมายความว่าอุตสาหกรรม EV กำลังล่มสลาย แต่เป็นการเข้าสู่ยุคใหม่ที่บริษัทที่มีผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดจะเป็นผู้ชนะในตลาดที่เหลือ” ปาเชโก กล่าวสรุป

ในปี 2567 ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะยังเติบโตต่อเนื่อง โดยการ์ทเนอร์คาดการณ์ปีนี้จะมียอดจัดส่งรถยนต์ไฟฟ้าสูงถึง 18.4 ล้านคัน และเพิ่มเป็น 20.6 ล้านคันในปี 2568 อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมนี้กำลังพัฒนาจาก ‘ยุคตื่นทอง’ ไปสู่ ‘ยุคผู้เหมาะสมที่สุดเท่านั้นจึงอยู่รอด’ ซึ่งหมายความว่าความสำเร็จของบริษัทต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมนี้ ณ ปัจจุบัน ถูกจำกัดความสามารถอย่างหนักในการตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ EV ในยุคแรก ๆ

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

แชฟฟ์เลอร์ เปิดตัวศูนย์ฝึกอบรมเทคนิคเคลื่อนที่ครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แผนกอะไหล่ทดแทนของแชฟฟ์เลอร์ (Schaeffler Automotive Aftermarket) ผู้นำด้านการคิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีการขับเคลื่อน พร้อมเปิดตัวศูนย์ฝึกอบรมเทคนิคเคลื่อนที่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ โดยจะเริ่มออกเดินสายครั้งแรกในประเทศไทย โครงการนำร่องนี้จะให้ความช่วยเหลือด้านข้อมูลและองค์ความรู้งานซ่อมระดับ (OEM) ชั้นยอดแก่อู่ซ่อมรถอิสระที่นับวันจะมีแต่ความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

นายชัชวาล  ส้มจีน ผู้อำนวยการ แผนกอะไหล่ทดแทน แชฟฟ์เลอร์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “ศูนย์ฝึกอบรมเทคนิคเคลื่อนที่ เร็พ เอ็กซ์เพิร์ด (REPXPERT) จะเดินสายนำเอาองค์ความรู้ขั้นสูงและทักษะงานซ่อมระดับหน้างานจริงของระบบส่งกำลัง (Transmission) ของแบรนด์ ลุค (LuK) ระบบเครื่องยนต์ (Engine) ของแบรนด์ อีน่า (INA) และระบบช่วงล่าง (Chassis) ของแบรนด์เอฟเอจี (FAG) ส่งถึงหน้าประตูของอู่ซ่อมรถอิสระมากกว่า 4,000 ราย ครอบคลุม 40 เส้นทางหลักตลอดทั่วทั้งประเทศไทย”

ศูนย์ฝึกอบรมเทคนิคเคลื่อนที่ เร็พ เอ็กซ์เพิร์ด ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างประสบการณ์เรียนรู้ร่วมกันระหว่างแชฟฟ์เลอร์และช่างอู่ซ่อมรถ โดยช่างอู่ซ่อมรถที่เข้าร่วมการฝึกอบรมเทคนิคในครั้งนี้จะได้รับประสบการณ์โซลูชันซ่อมแบบครบวงจรของแชฟฟ์เลอร์ภายใต้แบรนด์ลุค  อีน่า และเอฟเอจี ได้เรียนรู้จากช่างพี่เลี้ยงที่มีคุณวุฒิ อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างชุมชนอู่ซ่อมรถเพื่อให้ไม่พลาดข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เพื่อให้สามารถก้าวไปสู่ความเป็นผู้เชี่ยวชาญและสร้างความไว้วางใจกับลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น

แผนกอะไหล่ทดแทนของแชฟฟ์เลอร์ (Schaeffler Automotive Aftermarket) มีความมุ่งมั่นที่จะใช้โครงการ       นำร่องนี้เพื่อเตรียมตัวช่างซ่อมให้สามารถรับมือกับพัฒนาการทางเทคโนโลยีในโลกแห่งอนาคตได้ นอกจากโครงการศูนย์ฝึกอบรมเทคนิคเคลื่อนที่เร็พ เอ็กซ์เพิร์ดแล้ว ยังมีระบบพอร์ทัล เร็พ เอ็กซ์เพิร์ดสำหรับอู่ซ่อมรถ (Garage portal REPXPERT) ที่ผ่านการออกแบบมาเพื่ออู่ซ่อมรถอิสระที่จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางให้ข้อมูลและบริการต่าง ๆ ของแบรนด์ ลุค อีน่า และเอฟเอจี ของแชฟฟ์เลอร์ทั้งหมด ในรูปแบบเว็บไซต์และแอปพลิเคชันมือถือ เพื่อการเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็น         ได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว และเป็นมิตรต่อผู้ใช้ สามารถดาวโหลดแอปพลิเคชัน REPXPERT ฟรีได้ทั้ง iOS และ แอนดรอยด์  โดยสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://aftermarket.schaeffler.co.th/th/repxpert-garage-portal

โดยในงานเปิดตัวศูนย์ฝึกอบรมเทคนิคเคลื่อนที่ เร็พ เอ็กซ์เพิร์ด อย่างเป็นทางการ ได้รับเกียรติจากผู้บริหารแชฟฟ์เลอร์เข้าร่วมงานดังนี้  นายกอราฟ มิชรา ผู้จัดการบริหารส่วนงานวางแผน พัฒนา และจัดวางกลยุทธ์ธุรกิจ        แผนกอะไหล่ทดแทนประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นายไมก้า เชฟพาร์ด ประธานบริหารแผนกอะไหล่ทดแทน ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และประธานบริหารประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นายชัชวาล  ส้มจีน ผู้อำนวยการ แผนกอะไหล่ทดแทน ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นางสาวศิลัดดา ทับปิ่นทอง ผู้จัดการบริหารส่วนงานธุรกิจออนไลน์และการตลาด แผนกอะไหล่ทดแทนประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และนางสาวมณธิญา ถนอมทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายขาย แผนกอะไหล่ทดแทนประจำประเทศไทย

แชฟฟ์เลอร์ กรุ๊ป – We pioneer motion

แชฟฟ์เลอร์ กรุ๊ป เป็นผู้สร้างแรงผลักดันในการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีการขับเคลื่อน (Groundbreaking) มาตลอด 75 ปี เพียบพร้อมทั้งด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ และบริการระบบยานยนต์ไฟฟ้า (Electric mobility) ระบบขับเคลื่อนปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ (COefficient drives) โซลูชันสำหรับระบบช่วงล่าง อุตสาหกรรม 4.0 การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (Digitalization) และพลังงานสะอาด ทำให้เราเป็นหนึ่งในคู่ค้าที่มีความน่าเชื่อถือในการพัฒนาระบบการขับเคลื่อนให้มีประสิทธิภาพ      มีความชาญฉลาด และมีความยั่งยืนตลอดทั้งอายุการใช้งาน เราขับเคลื่อนเทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนและระบบที่มีความแม่นยำสูงสำหรับระบบขับเคลื่อน (drive train) และระบบช่วงล่าง (แชสซี) รวมถึง ตลับลูกปืนหลายชนิด เหมาะสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท ในปี พ.ศ. 2566  แชฟฟ์เลอร์ กรุ๊ป ทำยอดขายได้ 16,300 ล้านยูโร โดยมีพนักงานมากถึง 83,400 คน  แชฟฟ์เลอร์เป็นหนึ่งในบริษัทดำเนินธุรกิจแบบครอบครัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีนวัตกรรมมากที่สุดในเยอรมนี

แผนกอะไหล่ทดแทนเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนธุรกิจอะไหล่ระดับโลกของแชฟฟ์เลอร์ นอกจากนี้ ยังเป็นผู้รับผิดชอบส่งมอบชิ้นส่วนและคิดค้นโซลูชันการซ่อมที่ครอบคลุมสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถแทรกเตอร์ รวมถึงรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็กและขนาดใหญ่ (Light and heavy commercial vehicle)  แชฟฟ์เลอร์มีความเข้าใจและเชี่ยวชาญในระบบส่งกำลัง (Transmission system)  ระบบเครื่องยนต์ (Engine system) และระบบช่วงล่าง (Chassis system) ทำให้แชฟฟ์เลอร์เป็นที่รู้จักและยอมรับในงานด้านเทคนิค       โซลูชันอัจฉริยะ และงานบริการที่ไม่เป็นรองใคร ในปี พ.ศ. 2565  แผนกอะไหล่ทดแทนของแชฟฟ์เลอร์มียอดขายมากกว่า 2 พันล้านยูโร โดยมีพนักงานมากกว่า 1,700 คน มีคู่ค้าประมาณ 11,500 ราย และมีสำนักงานขายและสำนักงานตัวแทนมากกว่า 70 แห่ง ทั่วโลก ทำให้มั่นใจว่าเราจะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

MSC คว้า 3 รางวัลใหญ่จากงาน IBM Executive Partner Connect 2024

บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MSC คว้า 3 รางวัลใหญ่ ได้แก่ รางวัล 2023 Software Partner of the Year”, “2023 Top Data and AI Solution Partner” และ “2023 Top Hybrid Cloud Modernization Partner” จากงาน IBM Executive Partner Connect 2024 ภายใต้ธีม Transformative Chapter” จัดขึ้นโดย บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด เพื่อประกาศวิสัยทัศน์ และแนวทางการทำธุรกิจในปี 2024 ของ IBM พร้อมกับมอบรางวัลให้แก่ Business Partner ที่มีผลงานดีเด่นด้านต่างๆ ในปี 2023 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันพุธที่ 6 มีนาคม 2567 ณ วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ

บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นำโดย คุณสุชาดา ปิ่นทองพันธ์ รองกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจซอฟต์แวร์โซลูชั่น ขึ้นรับรางวัล 2023 Software Partner of the Year” คุณมีลาภ โสขุมา ผู้ช่วยรองกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจซอฟต์แวร์โซลูชั่น ขึ้นรับรางวัล “2023 Top Data and AI Solution Partner” และ คุณปุณณดา จึงไพศาล รองกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจดิจิตอลโซลูชั่น ขึ้นรับรางวัล 2023 Top Hybrid Cloud Modernization Partner” รับมอบรางวัลจาก คุณอโณทัย เวทยากร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัดMs. Catherine Lian General Manager, IBM AseanMr. Chee Kin Ng Vice President, Technology Sales & Ecosystems Leader, IBM Asean และ Mr. Rodney Regalado Storage Leader, IBM Technology Group, IBM ASEAN

บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2529 เป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษ บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ “ไอบีเอ็ม” และเป็นคู่ค้ารายแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ “เราจะให้บริการอย่างเป็นเลิศแก่ลูกค้าด้วยโซลูชั่นไอทีที่ดีที่สุด” พร้อมมุ่งมั่นร่วมมือในการนำเสนอโซลูชั่นที่ดีที่สุดจาก “ไอบีเอ็ม” เข้าสนับสนุนการทำธุรกิจแก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเลือกใช้เทคโนโลยีที่หลากหลาย อาทิ IBM Hybrid-Cloud, Big Data, AI และ IBM Infrastructure Solution เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ยุคดิจิทัล พร้อมมีส่วนร่วมในความสำเร็จ และความเติบโตทางธุรกิจของลูกค้าต่อไป

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กลุ่มธุรกิจซอฟต์แวร์โซลูชั่น คุณสุภาพรรณ ถ้วนกำจร โทร.02-089-4938 E-mail: supapthu@metrosystems.co.th และกลุ่มธุรกิจดิจิตอลโซลูชั่น คุณชนิดา รัตนพงศ์อำไพ โทร: 02-089-4466 E-mail: chanirat@metrosystems.co.th Website: https://www.metrosystems.co.th/


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผูแทนราษฎร ศึกษาดูงาน มจพ.

.ดร.สุชาติ เซี่ยงฉิน อธิการบดี  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)  กล่าวต้อนรับ นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผูแทนราษฎร และคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรมและคณะ เข้าศึกษาดูงานเกี่ยวกับ การปฏิบัติการเทคโนโลยี ผลงานวิจัย และนวัตกรรมอุตสาหกรรม โดยมี รศ.ดร.ณัฐพงศ์ มกระธัช ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายพัฒนาสิ่งแวดล้อมและกายภาพ มจพ. และที่ปรึกษาประธานประจำคณะกรรมาธิการ กล่าวรายงาน เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2567  ณ ห้องประชุมราชพฤกษ์  ชั้น 1 อาคารนวมินทรราชินี เพื่อศึกษาดูงานด้านงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรม ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ  ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อสร้างองค์วามรู้และแนวคิดจากผลงานต่าง ๆ ไปพัฒนา หรือให้การช่วยเหลือ และสนับสนุนผู้ประกอบการ SME  ทั้งนี้ ได้เข้าเยี่ยมชมอุทยานเทคโนโลยี   ศูนย์ปฎิบัติการเทคโนโลยีและนวัตกรรมระบบราง ศูนย์ปฏิบัติการระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ สถาบันเทคโนโลยีอวกาศนานาชาติเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์อัจริยะและนวัตกรรมดิจิทัล ศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และสำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี


Exit mobile version