Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

AI ช่วยโลกได้อย่างไร

ปีเตอร์ เฮอร์เว็ค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เมื่อตอนที่ฉันเป็นนักเรียนในปี 1988 ฉันเขียนวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ และฉันแย้งว่า AI สามารถตรวจจับรูปแบบได้ดีกว่าการตรวจด้วยตา

ในช่วง 30 ปีต่อจากนั้น หัวข้อนี้แทบจะไม่ได้รับความสนใจจากคนทั่วไป ยกเว้นในโลกของวิศวกรด้านซอฟต์แวร์ จนเมื่อปีกว่ามานี่เอง ที่ AI ปรากฏตัวบนเวทีสาธารณะ และมาพร้อมกับเครื่องมือ AI เจนเนอเรชั่นใหม่ ที่สามารถใช้สร้างเนื้อหาที่เป็นลายลักษณ์อักษร ภาพ และเนื้อหาอื่นๆ ได้อย่างฉลาด

ที่จริงแล้ว AI อยู่รอบๆ เรามาระยะหนึ่งแล้ว การค้นหาเว็บแบบง่ายๆ ก็มีความเกี่ยวข้องกับ AI หรือการใช้แชทบอท นั่นก็คือ AI แต่เราจะเห็นการเติบโตแบบทวีคูณ ก็ต่อเมื่อมีการนำ AI มาใช้เพิ่มขึ้น และการใช้งานเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณจะกำหนดรูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตที่เป็นพื้นฐานของเรา นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบมากกับความท้าทายใหญ่ที่สุดที่มนุษยชาติต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิธีที่เราผลิตและใช้พลังงาน

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ไม่ได้ รอ AI

ถ้าจะกล่าวให้ชัดเจนก็คือ แม้ในปีที่ผ่านมาจะมีเรื่องน่าตื่นเต้นเกี่ยวกับ AI อยู่มากมายก็ตาม แต่ AI ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง และก็ไม่ใช่ตัวช่วยที่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างฉับพลันกับการจำกัดภาวะโลกร้อนให้หยุดอยู่ที่ไม่เกิน 1.5°C เหมือนช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม

ดังนั้น การเกิดขึ้นของ AI จะต้องไม่เบี่ยงเบนความสนใจของเราจากการใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ เช่น พลังงานทดแทน ยานพาหนะไฟฟ้าและปั๊มความร้อน ตลอดจนซอฟต์แวร์ระบบอัตโนมัติและการจัดการอาคารที่ช่วยปรับปรุงกระบวนการและการใช้พลังงานในอาคาร โรงงานอุตสาหกรรม และโครงสร้างพื้นฐานให้ใช้งานได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

หากมองถึงอาคารและอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ซึ่งคิดเป็นประมาณ 37% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตและพลังงานทั่วโลก ตามรายงานล่าสุดจากโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ

อาคารใหม่ทุกหลังที่สร้างขึ้นในปัจจุบันสามารถเป็น Net Zero ได้จริง โดยใช้การผสมผสานพลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่แล้วในท้องถิ่น (เช่น พลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา) รวมถึงเซ็นเซอร์และซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกิจกรรมการใช้พลังงานได้สูงสุด นี่ไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์ที่ต้องพึ่งพาการพัฒนา AI ในอนาคต แต่เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ที่เรานำมาใช้ในอาคาร IntenCity ของเราในเมืองเกรอน็อบล์ ประเทศฝรั่งเศส และเรายังช่วยให้อีกหลายๆ อาคารนำแนวทางนี้มาปรับใช้ด้วยเช่นกัน

ในทำนองเดียวกัน เราจำเป็นต้องเร่งนำเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานและให้คาร์บอนต่ำ มาปรับใช้กับบรรดาอาคารที่มีอยู่ในการติดตั้งเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดทั้งต้นทุน รวมถึงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากและเร็วกว่าที่หลายคนเคยรับรู้ โดยไม่จำเป็นต้องรอเครื่องมือ AI ใหม่ เพราะเรื่องเหล่านี้สามารถทำได้ทันที

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและ AI ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนด้วยพลังเทอร์โบ

ความตื่นเต้นมากมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ AI เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เนื่องจากเมื่อจับคู่เทคโนโลยีดังกล่าว เข้ากับ AR (augmented reality) VR (virtual reality) รวมถึง digital twins และ IoT จะยิ่งทำให้  AI ช่วยให้เราเข้าถึงประสิทธิภาพได้มากขึ้น รวดเร็วยิ่งขึ้น และเมื่อเป็นเรื่องของพลังงาน การที่ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นย่อมหมายถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่ลดลง

ตัวอย่างเช่น ไมโครกริดเป็นเครือข่ายไฟฟ้าแบบครบวงจรที่จ่ายไฟให้กับบ้าน ธุรกิจ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ โดยใช้เครื่องกำเนิดพลังงานส่วนตัว (ตามหลักการเป็นพลังงานหมุนเวียน) และการกักเก็บพลังงานในรูปของแบตเตอรี่ โดยซอฟต์แวร์อัจฉริยะสามารถเชื่อมต่อองค์ประกอบต่างๆ เข้ากับระบบสายส่ง (Utility grids) ได้ ทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและต้นทุนของพลังงาน อีกทั้งช่วยคาดการณ์ เพื่อให้สามารถใช้พลังงานอย่างเหมาะสมได้แบบอัตโนมัติ ทั้งเรื่องการผลิต การกักเก็บและนำมาใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่าย ถึงเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่าย รวมถึงจำนวนไฟฟ้าที่ผลิตได้ ตลอดจนการปล่อย CO2

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กับ AI และศูนย์ข้อมูล

เราจำเป็นต้องมองเพื่อให้เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของ AI และศูนย์ข้อมูลที่เป็นขุมพลังนั้น จำเป็นต้องอาศัยน้ำและพลังงาน รวมถึงมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างไรบ้าง เราคาดการณ์ว่าในขณะที่โลกเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นประมาณสองเท่าภายในปี 2571 และสัดส่วนในการใช้งานที่มาจาก AI จะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดในเวลานั้น โดยเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์

สิ่งสำคัญก็คือ การใช้ AI จะต้องไม่นำไปสู่ปัญหาด้านพลังงานหรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น การเพิ่มประสิทธิภาพซอฟต์แวร์การประมวลผลอย่างต่อเนื่อง จะช่วยจัดการกับความท้าทายนี้ โดยการปรับเปลี่ยนการออกแบบและการบริหารจัดการศูนย์ข้อมูล เช่น การเปลี่ยนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบเครื่องยนต์ดีเซลให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำความสะอาดสตอเรจ และใช้การระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นพิเศษ เป็นต้น

เร่งดำเนินการด้านสภาพอากาศด้วย AI (และที่ไม่ใช้ AI)

บางคนชอบ AI ในขณะที่บางคนกลัว AI แต่ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม พลังการเปลี่ยนแปลงของ AI นั้นยิ่งใหญ่กว่าการถือกำเนิดของอินเทอร์เน็ตในทศวรรษ 1990 เสียอีก และ AI ก็เหมือนกับอินเทอร์เน็ต นั่นคือ จะทำงานได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อถูกนำมาใช้งานอย่างมีจรรยาบรรณและรับผิดชอบ โดยให้ขุมพลังที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และถูกใช้เป็นเครื่องมือที่ให้ความคล่องตัวในการทำงาน มากกว่าที่จะเป็นเป้าหมายปลายทางของผลลัพธ์ เป็นตัวช่วยมากกว่าการนำมาทดแทนผลลัพธ์จากมนุษย์ที่จำเป็นจะต้องผ่านการรับรองคุณภาพสูงสุด

นอกจากนี้ ยังไม่ควรให้ AI มาเบี่ยงเบนเราจากการใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วในตอนนี้ เพราะไม่ว่าจะมีหรือไม่มี AI ก็ตาม เราก็ยังสามารถติดตั้งฟาร์มกังหันลมและสถานีชาร์จ EV ได้มากขึ้น และใช้เครื่องมือดิจิทัลที่มีอยู่ปรับปรุงวิธีการออกแบบ สร้างและดำเนินการด้านอาคารและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ มากมาย รวมถึงการบำรุงรักษา

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการใช้งาน AI อย่างเหมาะสม AI จะเป็นตัวเร่งที่จำเป็นและให้ขุมพลังแก่เทคโนโลยีที่มีอยู่ ช่วยเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ ช่วยสนับสนุนความมุ่งมั่นพยายามของเราในการควบคุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

#Schneider Electric


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. ทดสอบยานยนต์ ผ่านกิจกรรม Save Live#Safe Bike ชีวีปลอดภัย : #รถสองล้อปลอดภัย

ผศ.พีระศักดิ์  เสรีกุล รองอธิการบดีประจำวิทยาเขต  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) วิทยาเขตปราจีนบุรี  ประธานโครงการ Save Lives: #Safe Bikes ชีวีปลอดภัย : #รถสองล้อปลอดภัย พร้อมด้วย นายวุฒิชัย ประเสริฐสุข  ผู้อำนวยการกองงาน มจพ. วิทยาเขตปราจีนบุรี โดย มจพ. เป็นตัวแทนประเทศไทย จัดกิจกรรมโครงการจำลองสถานการณ์ที่ท้องถนนซึ่งเสี่ยงต่ออุบัติเหตุทั้งในภาคทฤษฎี โดยได้รับการถอดบทเรียน และ ภาคสนามซึ่งเป็นประสบการณ์ตรง โดยมี  รศ.ดร.สายประสิทธิ์  เกิดนิยม หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการทดสอบยานยนต์ อุทยานเทคโนโลยี มจพ. กล่าวรายงาน โดยมี พล.. สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2  พล... สุรจิต ชิงนวรรณ์ รอง ผบช. 2 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมงาน เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์  2567  ณ ศูนย์ปฏิบัติการทดสอบยานยนต์  อุทยานเทคโนโลยี มจพ.วิทยาเขตปราจีนบุรี

การจัดโครงการดังกล่าว เป็นการจำลองปัจจัยจากการขับขี่ การใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ และความเสี่ยงยานพาหนะ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้รับองค์ความรู้ ประสบการณ์โดยตรงในสนามทดสอบ ในสถานีต่อไปนี้ คือ

สถานีที่ 1 : ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ชั้นสูงในรถยนต์เพื่อตรวจจับรถสองล้อ (Advanced Driver Assistance Systems, ADAS)

สถานีที่ 2 : ระยะหยุดรถสองล้อและเทคโนโลยีการห้ามล้อต่าง ๆ (Braking Distance, BD)

สถานีที่ 3 : ทักษะและเทคโนโลยีการห้ามล้อในขณะเข้าโค้ง (Cornering Brake Control, CBC)

สถานีที่ 4 : สมรรถนะขนาดยางล้อกับมุมเอียงของรถสองล้อ (Tie Wiath – Lean Angle, TW LA)

สถานีที่ 5 : ความเสี่ยงจากการชนท้ายของรถสองล้อ (Rear-end Collision, RTC)

 

ขวัญฤทัย ข่าว /สมเกษ ถ่ายภาพ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

AMD ประกาศวางจำหน่ายกราฟิกการ์ด AMD Radeon RX 7900 GRE

วันนี้ AMD ประกาศวางจำหน่ายการ์ดจอภาพ AMD Radeon RX 7900 GRE ทั่วโลก กราฟิกการ์ดนี้ออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การเล่นเกมและสตรีมมิ่งที่ยอดเยี่ยม ด้วยอัตราการรีเฟรชภาพสูง 1440p มาพร้อมกับหน่วยความจำ GDDR6 ความเร็วสูง 16GB ช่วยให้ผู้เล่นสามารถก้าวไปสู่การเล่นเกมในระดับ 4K

AMD Radeon RX 7900 GRE คาดว่าจะวางจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกออนไลน์และร้านค้าปลีกชั้นนำทั่วโลก ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 ในราคาเริ่มต้น $549 USD

ฟีเจอร์ของกราฟิกการ์ด RX 7900 GRE ที่นำเสนอ ประกอบด้วย:

  • ประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม – กราฟิกการ์ด Radeon RX 7900 GRE มาพร้อมหน่วยประมวลผล 80 คอร์ และฟีเจอร์ ray accelerators, GDDR6 VRAM ขนาด 16GB ที่การโอเวอร์คล็อก 18Gbps, AI accelerators จำนวน 160 ชุด, AMD Infinity Cache รุ่นที่สอง ขนาด 64MB และมี TBP ที่ 260W เสนอประสิทธิภาพการเล่นเกมที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นในการเล่นเกมชั้นนำในปัจจุบัน ด้วย FPS/$ เฉลี่ยที่สูงขึ้นถึง 14% เมื่อเปรียบเทียบกับ GeForce RTX 4070
  • FPS ที่เพิ่มขึ้นในเกมชั้นนำต่าง ๆ – เทคโนโลยีการสร้างเฟรม AMD Fluid Motion Frames ผ่านไดรเวอร์ ที่เข้ามาช่วยเพิ่ม FPS และยกระดับด้านการพัฒนาประสิทธิภาพการประมวลผลและเกมต่าง ๆ มากมาย
  • การเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างง่ายดาย – เทคโนโลยี AMD HYPR-RX ช่วยลดความยุ่งยากและจัดการการทำงานร่วมกันของ AMD Fluid Motion Frames, AMD Radeon Super Resolution (RSR), AMD Radeon Boost และเทคโนโลยี AMD Anti-Lag เพื่อช่วยให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการเล่นเกมเป็นเรื่องง่ายขี้นสำหรับผู้เล่น
  • รองรับเทคโนโลยีล้ำสมัย – กราฟิกการ์ด AMD Radeon RX 7000 Series รองรับเทคโนโลยีรุ่นถัดไปเช่น DisplayPort 2.1 และเสนอ VRAM ที่มากกว่ากราฟิกการ์ดของคู่แข่ง เหมาะสำหรับการเล่นเกมที่ต้องการทรัพยากรสูงและการแสดงผลที่ยอดเยี่ยมในวันนี้และอนาคต

กราฟิกการ์ด AMD Radeon RX 7900 GRE คาดว่าจะพร้อมวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ผ่านแบรนด์ Acer, ASRock, ASUS, Gigabyte, PowerColor, Sapphire และ XFX

นอกจากนี้ ผู้เล่นยังจะได้รับข้อเสนอกราฟิกการ์ด AMD Radeon RX 7700 XT ในราคาสุดพิเศษ ตั้งแต่วันนี้ ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 419 เหรียญสหรัฐฯ หรือลดจากเดิม 30 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ตอนนี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับเกมเมอร์ที่กำลังตัดสินใจซื้อกราฟิกการ์ด AMD ตัวต่อไป

ศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์กราฟิกการ์ด AMD Radeon RX 7900 GRE เพิ่มเติม คลิก


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

สมาคมดาต้าเซ็นเตอร์แห่งประเทศไทยแต่งตั้งประธานคนแรกเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายเป็น Data Center Hub ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 22 กุมภาพันธ์ 2567 – สมาคมดาต้าเซ็นเตอร์แห่งประเทศไทย (หรือ TDCC) ประกาศแต่งตั้งนายทศพล เพ็งส้ม ดำรงตำแหน่งประธานสมาคมฯ คนแรก เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใน 3 ปี

จากข้อมูลการคาดการณ์ของ Structure Research ระบุว่า ในปี 2566 ตลาดโคโลเคชั่นดาต้าเซ็นเตอร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) มีกำลังไฟมากถึง 10,233 เมกะวัตต์ คิดเป็นประมาณ 40% ของตลาดทั่วโลก และในปี 2571 กำลังไฟจะเพิ่มขึ้นเป็น 19,069 เมกะวัตต์ แม้ประเทศไทยจะมีขนาด GDP ใหญ่เป็นอันดับสองของอาเซียน แต่กลับเป็นมาเลเซียและอินโดนีเซียที่มีการเติบโตอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งในด้านของนโยบายและกฎระเบียบ ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเดินหน้าไปสู่ยุค AI Economy ที่กำลังขยายตัว

AI เป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจ และมีอิทธิพลต่ออุปสงค์และอุปทานในตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ให้บริการในอุตสาหกรรมหลัก อย่าง Nvidia ที่เป็นอุปทานสำคัญและมูลค่าตลาดสูงถึง 1.83 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเทคโนโลยีของพวกเขายังเป็นเครื่องมือให้กับผู้ให้บริการคลาวด์และคอนเท้นต์แพลตฟอร์ม ซึ่งผู้ให้บริการเหล่านี้กำลังมองหาศูนย์ข้อมูลเพื่อจัดตั้งฐานปฏิบัติการ โดยการจัดตั้งสมาคมดาต้าเซ็นเตอร์แห่งประเทศไทยได้ตอกย้ำถึงเป้าหมายของการทำงานร่วมกับภาครัฐ ผู้ให้บริการคลาวด์ และผู้ให้บริการคอนเท้นต์แพลตฟอร์มอย่างบูรณาการ เพื่อปรับเปลี่ยนนโยบาย พร้อมส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นการสร้างความเชื่อมั่นในหมู่นักลงทุนต่างชาติ

นายทศพล เพ็งส้ม ประธานสมาคมดาต้าเซ็นเตอร์แห่งประเทศไทย มีประสบการณ์กว้างขวาง และเคยดํารงตําแหน่งสําคัญมากมาย อาทิ เคยเป็นอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติงานในกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, และเคยเป็นอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติงานในกระทรวงพลังงาน นอกจากนี้ยังเคยดำรงตำแหน่งประธานคณะทำงานจัดตั้งสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่แห่งชาติ (National Big Data Institute: NBDi)

นายทศพล กล่าวว่า “ขณะนี้มีผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่อย่าง Alibaba Cloud, Huawei Cloud, Tencent Cloud, Amazon Web Services และ Google Cloud Platform เข้ามาในประเทศไทย ดังนั้นการส่งเสริมและสนับสนุนสภาพแวดล้อมเพื่อกระตุ้นการขยายตัวของดาต้าเซ็นเตอร์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง”

กรอบยุทธศาสตร์การดำเนินงานของ TDCC ประกอบด้วย

  • ปรับปรุงนโยบาย: ส่งเสริมและสร้างความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ โดยให้เร่งแก้ไขกฎระเบียบและใบอนุญาตที่ขัดขวาง เพื่อลดเวลาการเข้าสู่ตลาดและขจัดต้นทุนที่ไม่จำเป็น ด้วยการร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อสร้างแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน และสนับสนุนผู้ให้บริการคลาวด์, ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ทั้งรายปัจจุบันและรายใหม่ที่กำลังจะเข้ามาเพิ่ม และส่งเสริมความเชื่อมั่นให้กับอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์พร้อมเพิ่มโอกาสการเติบโตจาก AI
  • ความยั่งยืนและพลังงานทดแทน: การร่วมมือกับภาคพลังงานเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านพลังงานหมุนเวียน ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตของอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ที่ขับเคลื่อนโดยการให้บริการโฮสต์ GPU แก่ผู้ให้บริการคลาวด์และผู้ให้บริการคอนเท้นต์แพลตฟอร์ม และยังให้ความสำคัญกับแนวทางปฏิบัติที่เน้นความยั่งยืน
  • การพัฒนาบุคลากร: บ่มเพาะและฝึกอบรมบุคลากรในทุกระดับ ขยายและพัฒนาหลักสูตรการศึกษาดาต้าเซ็นเตอร์ แผนการฝึกอบรมและแผนฝึกงานทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยร่วมเจรจากับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาบุคลากรในระบบนิเวศ
  • เป็นตัวกลางพูดคุยและให้คำปรึกษา: TDCC ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการแก้ไขปัญหาหรือความท้าทาย โดยทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ โดยเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างประโยชน์ให้กับประเทศและคนไทย

ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าในปี 2567 เศรษฐกิจไทยจะเติบโต 3.8% ซึ่งรัฐบาลกำลังดำเนินโครงการใหม่ ๆ ที่มุ่งเน้นการลงทุนเชิงรุก แคมเปญซอฟต์พาวเวอร์ระยะสั้นไปจนถึงโครงการระยะยาวอย่างเเลนด์บริดจ์ (LandBridge) ในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งจุดมุ่งเน้นสำคัญของความพยายามเหล่านี้คือการดึงดูดการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศไทย

สมาคมดาต้าเซ็นเตอร์แห่งประเทศไทย (TDCC) ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนมกราคม 2567 โดยการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง 5 ราย มีเป้าหมายเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ให้เป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด (Critical Industry) สำหรับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทย

เกี่ยวกับสมาคมดาต้าเซ็นเตอร์แห่งประเทศไทย

สมาคมดาต้าเซ็นเตอร์แห่งประเทศไทย (TDCC) เป็นเครือข่ายพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของผู้ให้บริการ ดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นนำในประเทศไทยซึ่งมุ่งมั่นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศ สมาคมฯ มีเป้าหมายเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ และช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย การส่งเสริมความร่วมมือ ความคิดริเริ่ม และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้เติบโต


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“65 ปี มจพ. พลิกโฉม พลิกความคิด สู่ความยั่งยืน” จัดงานครั้งยิ่งใหญ่วันรวมน้ำใจชาว มจพ. ประจำปี 2567

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ร่วมกับ สมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า

พระนครเหนือ ในพระบรมราชูปถัมภ์  จัดงานวันรวมน้ำใจชาว  มจพ. “65 ปี มจพ. พลิกโฉม  พลิกความคิด สู่ความยั่งยืน  ในวันที่  19 กุมภาพันธ์ 2567 เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือครบ 65 ปี  เพื่อเป็นการรำลึกถึงการก่อตั้งมหาวิทยาลัย ส่งเสริมความสามัคคีระหว่างคณาจารย์ ศิษย์เก่า และบุคลากร  ตลอดจนเผยแพร่ชื่อเสียง และเกียรติภูมิของมหาวิทยาลัย  พร้อมกับประกาศเกียรติคุณ ศิษย์เก่า ดีเด่น และผู้ปฏิบัติงานดีเด่นของมหาวิทยาลัย รวมทั้งผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่มหาวิทยาลัยด้านต่าง ๆ 

กิจกรรมภาคเช้าสาย  พิธีทำบุญตักบาตรอาหารแห้งพระสงฆ์ 19 รูป พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ ณ ลานเฉลิมพระเกียรติ ศ.ดร.สุชาติ เซี่ยงฉิน อธิการบดี พร้อมด้วย ศ.ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กล่าวระลึกถึงทวาปูชนียจารย์ พิธีวางพวงมาลารูปปั้น โดยมี รศ.ดร. ณัฐพงศ์ มกระธัช ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายพัฒนาสิ่งแวดล้อมและกายภาพ กล่าวรายงาน  จากนั้น อดีตอธิการบดี และครอบครัวใจจงกิจ วางพวงมาลารำลึกถึงอาจาริยคุณ ผู้แทนคณะผู้บริหารและบุคลากรของส่วนงาน  ร่วมวางดอกไม้รำลึกเพื่อแสดงความเคารพและระลึกถึงอาจาริยคุณทวาปูชนียาจารย์ .ดร.บุญญศักดิ์ ใจจงกิจ และ Dip. Ing. Karl Stützle ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและผู้บุกเบิกมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 

กิจกรรมภาคบ่ายพลอากาศเอก  จอม   รุ่งสว่าง  องคมนตรี  เป็นประธานมอลโล่รางวัลพิธีประกาศเกียรติคุณ ให้แก่ศิษย์เก่าดีเด่น    ผู้ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพและสร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัย ศ.ดร. สุชาติ  เซี่ยงฉิน อธิการบดี มจพ. กล่าวต้อนรับ และ ศ.ดร. เสาวณิต สุขภารังสี รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ กล่าว รายงาน ณ หอประชุมประดู่แดง  จากนั้นองคมนตรีเป็นประธานเปิดนิทรรศการ และเยี่ยม ชมบูธนิทรรศการต่าง ๆ  ได้แก่ บูธนิทรรศการเทคโนโลยีดาวเทียม เทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เทคโนโลยี ระบบรางและยานยนต์สมัยใหม่ เทคโนโลยีพลังงานและพลังงานทดแทน เทคโนโลยีอุตสาหกรรม เกษตรและ อาหาร เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน และผลงานวิจัยและนวัตกรรม  ที่ได้รับรางวัลระดับชาติและนานาชาติ  อาทิ ดาวเทียม KNACKSAT  หุ่นยนต์กู้ภัยหุ่นยนต์กู้ภัย Rescue Robot แชมป์หุ่นยนต์ 9 สมัย เครื่องดื่ม ผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นก ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสัตว์เลี้ยงไบโอแคลเซียมอัดเม็ดจากเปลือกหอยแมลงภู่  ระบบขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้า Electric Vehicles (EVs) ระบบรางและยานยนต์สมัยใหม่   และเทคโนโลยี พลังงานและพลังงานทดแทน ณ ลานอาคารอเนกประสงค์ ชั้น 1

กิจกรรมภาคค่ำ  ดร. แอ็นสท์ ว็อล์ฟกัง ไรเชิล (Dr. Ernst Reichel) เอกอัครราชทูตเยอรมันประจำประเทศไทย ประธานในพิธีกล่าวเปิดงาน “65 ปี มจพ. พลิกโฉม  พลิกความคิด สู่ความยั่งยืนด้วยการบูรณาการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นไฮไลท์ในพิธีเปิด และประธานมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ ให้แก่ บุคคลเกียรติยศ มจพ. ประจำปี 2567 จากนั้น ศ.ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภามหาวิทยาลัย มอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่ ศาสตราจารย์ที่ได้รับโปรดเกล้า ฯ  ลำดับต่อมา ศ.ดร.สุชาติ เซี่ยงฉิน อธิการบดี มอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่ บุคลากร นักศึกษาที่มีผลงานดีเด่นสร้างชื่อเสียงในระดับนานาชาติ /บุคลากรดีเด่น/ผู้ปฏิบัติงานดีเด่นระดับมหาวิทยาลัย  และผู้ให้การสนับสนุน มีคณาจารย์ บุคลากร ศิษย์เก่า และศิษย์ปัจจุบันเข้าร่วมงานจำนวนมาก

สามารถชมผ่านกิจกรรมย้อนหลังได้ที่ https://together.kmutnb.ac.th/ หรือที่เว็บไซต์มหาวิทยาลัย www.kmutnb.ac.th

ขวัญฤทัย ข่าว/สมเกษ ถ่ายถาพ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

สสว. บูรณาการ 8 แพลตฟอร์ม เน้นสร้างเนื้อหาอย่างสร้างสรรค์ สร้างการรับรู้ใหม่ในวงกว้าง

นายวรพจน์ ประสานพานิช ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ได้เปิดเผยว่า สำหรับการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ สสว. มีเป้าหมายในการที่จะบูรณาการ แพลตฟอร์มทั้ง 8 แพลตฟอร์ม ของ สสว. ให้มีความทันสมัยให้มากขึ้น รวมไปถึงสร้างการรับรู้ออกไปให้เพิ่มมากขึ้นด้วย

นายวรพจน์ กล่าวอีกว่า การบูรณาการ 8 แพลตฟอร์ม จะช่วยให้ สสว.ได้ประเมินถึงจุดดีจุดด้อยในแต่ละแพลตฟอร์มเพื่อที่จะนำมาพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นพร้อมที่จะประชาสัมพันธ์เผยแพร่ออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและมองหาจุดเด่นจุดด้อยของแพลตฟอร์มต่างๆ

สำหรับ 8 แพลตฟอร์มของ สสว. ประกอบไปด้วย

 (1) SME COACH : เป็นแพลตฟอร์มที่มีจุดเด่นในด้านการให้คำปรึกษาด้านเอสเอ็มอี ฟรี โดยมีผู้เชี่ยวชาญถึง 14 ด้าน สามารถให้คำปรึกษาออนไลน์ สามารถคุยกับโค้ชผ่านระบบแชทออนไลน์ พร้อมทั้งมีทีมช่วยเหลือ อีกทั้งสามารถติดตามสถานะได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านระบบหรือผ่าน Line OA ของ SME COACH โดย สสว. มุ่งหวังจากการบูณาการในครั้งนี้ให้แพลตฟอร์ม SME COACH เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ไม่ต่ำกว่า 100 คน

(2) BDS : เป็นแพลตฟอร์มที่เน้นสนับสนุนเอสเอ็มอีให้ได้รับโอกาสในการเข้าถึงการบริการสนับสนุน

ด้านการพัฒนาธุรกิจในรูปแบบใหม่ ที่ผู้ประกอบการจะสามารถเลือกรับการบริการ หรือรับการพัฒนากับผู้ให้บริการทางธุรกิจ (Business Development Service Provider : BDSP) ในด้านที่ตรงกับความต้องการของธุรกิจของตน โดย สสว. จะอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการพัฒนาให้แก่ผู้ประกอบการแบบร่วมจ่าย (co-payment) ในสัดส่วนร้อยละ 50–80 ตามขนาดของธุรกิจ ซึ่งการบูรณาการจะช่วยให้แพลตฟอร์ม BDS มีการอนุมัติการยื่นข้อเสนอให้เร็วมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยเหลือทางด้านงบประมาณให้ได้อย่างรวดเร็ว

(3) SME ONE : คือ Web Portal ที่ให้บริการผ่าน www.smeone.info Platform ที่รวบรวมข้อมูลข่าวสารในแวดวงเอสเอ็มอี การจัดกิจกรรมอบรมสัมมนา หรือเวิร์คชอปสำหรับผู้ประกอบการจากทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน พร้อมทั้งมอบข้อมูลให้กับผู้ประกอบการในทุก ๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลด้านการเงิน การตลาด เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ คลิปวิดีโอสร้างแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจจากผู้ประกอบการตัวจริงเสียงจริง และคลิปวิดีโอแนะนำการให้บริการเพื่อสนับสนุนเอสเอ็มอีจากหน่วยงานต่างๆ มากมาย นอกจากนี้ SME ONE ยังให้บริการผ่านโซเซียลมีเดีย ช่องทางต่างๆ ได้แก่ Facebook Fan Page : SMEONE  Tiktok : smeone.info และ Line OA @smeone

(4) SME CONNEXT : Mobile Application เพื่อผู้ประกอบการไทย ที่รวบรวมทุกอย่างที่เกี่ยวกับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น บทความ การจับคู่ธุรกิจ หรือกิจกรรมอบรม เสวนาทางธุรกิจ รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ พร้อมทั้งเป็นแหล่งรวบรวมทุกเรื่องที่เป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการอย่างครบถ้วน ส่งตรงทุกข่าวสารและกิจกรรมผ่านมือถือ และเป็นช่องทางการเชื่อมต่อบริการไปยังแพลตฟอร์มให้บริการต่างๆ เพื่อย่อโลกการให้บริการแบบอัดแน่นไว้ในมือถือเป็น แอพพลิเคชันคู่ใจสำหรับผู้ประกอบการ

(5) Thai SME GP (ระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ) : เป็นแพลตฟอร์ม ที่เพิ่มโอกาสการเป็นคู่ค้ากับหน่วยงานภาครัฐผ่านการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ ซึ่งพัฒนาระบบสนับสนุนให้เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ คือ www.thaismegp.com หรือ THAI SME-GP โดยผู้ประกอบการที่สนใจสามารถขึ้นทะเบียนรายชื่อและรายการสินค้าและบริการในระบบ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าและธุรกิจให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

(6) ระบบการส่งต่อเพื่อรับบริการภาครัฐ : เป็นแพลตฟอร์มเพื่อประสานความร่วมมือร่วมกับส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานสนับสนุน MSME ในการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จในจุดเดียว โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือการให้บริการแบบเครือข่ายระหว่างหน่วยงาน เพื่อส่งต่อการให้บริการระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงการรับบริการต่างๆได้ไวขึ้น และสามารถติดตามขั้นตอนในการให้บริการได้

(7) SME ONE ID : หรือ หนึ่งรหัส หนึ่งผู้ประกอบการ (One Identification : SME One ID ) ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารงาน และให้บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยผู้ประกอบการสามารถใช้หมายเลข ID เดียวในการเข้าถึงบริการของภาครัฐทุกหน่วยงาน มุ่งเน้นการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ และลดความยุ่งยากในการจัดเตรียมเอกสารซึ่งเป็นต้นทุนและอุปสรรคในการขอรับอนุญาตและการส่งเสริมจากหน่วยงานของรัฐหลายหน่วย โดยโครงการหนึ่งรหัส หนึ่งผู้ประกอบการ จัดทำขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการที่มีมากกว่า 3 ล้านราย ซึ่งหลังจากการบูรณาการจะทำให้เพิ่มการเข้าถึงผู้สมัครให้มากขึ้น ต้องการให้ข้อมูลของ SME One ID น่าเชื่อถือมากขึ้นเปรียบเสมือนบัตรประชาชน และสามารถขยายกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น

(8) SME ACADEMY 365 : E-learning Platform ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้ได้มีแหล่งเรียนรู้ พัฒนาตนเอง และเพิ่มทักษะการทำธุรกิจอย่างเป็นระบบ โดยมีสาระน่ารู้ และเทรนด์ใหม่ ๆ อัปเดตอยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงเป็นแหล่งเรียนรู้ที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งปี เพื่อพัฒนาให้ผู้ประกอบการสามารถเข้ามาหาความรู้ได้ เข้าถึงได้ เข้าถึงง่าย ไม่ต้องรอ ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีบทความจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ ที่มีเฉพาะใน SME ACADEMY 365 เท่านั้น การบูรณาการในครั้งนี้ สสว. คาดหวังว่าต้องการให้ได้รับความนิยม ทั้งผู้ที่เป็นเอสเอ็มอีและ ผู้ที่อยากเป็นเอสเอ็มอีรุ่นใหม่ เข้ามาหาข้อมูล ตามข่าวสาร พร้อมทั้งมุ่งเน้นไปยังกลุ่มธุรกิจ Soft Power ให้มากเพิ่มยิ่งขึ้น

จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่าการจัดกิจกรรมบูรณาการในครั้งนี้ ที่ สสว. มุ่งเน้นในการหาจุดแข็งและจุดที่ต้องปรับปรุง เพื่อที่จะนำมาพัฒนาทั้ง 8 แพลตฟอร์มให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น อีกทั้งต้องการที่จะสร้างกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นต่อไป และนอกจาก 8 แพลตฟอร์มที่กล่าวมานี้ สสว. ยังมีอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่จะรองรับข้อมูลจากทั้ง 8 แพลตฟอร์มมาเพื่อเก็บเป็น Data ในการที่จะปรับปรุงแพลตฟอร์มต่างๆให้ดียิ่งขึ้นนั่นก็คือ SME Profile โดยแพลตฟอร์มนี้จะรวบรวมข้อมูลต่างๆ นำมาพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น เพื่อสร้างความน่าสนใจและสร้างบริการที่รองรับความต้องการของผู้ประกอบการต่อไปนายวรพจน์ กล่าวทิ้งท้ายทั้งนี้ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเข้ารับบริการได้ที่ Line OA @smeconnext


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ITED Open house 2024 ภายใต้แนวคิด “เปิดโลกสื่อการเรียนการสอนยุคดิจิทัลสู่การเรียนรู้วิถีใหม่”

สำนักพัฒนาเทคนิคศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) จัดงาน ITED Open house 2024 ภายใต้แนวคิด เปิดโลกสื่อการเรียนการสอนยุคดิจิทัลสู่การเรียนรู้วิถีใหม่ระหว่างวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 10.00 – 15.00 . ณ สำนักพัฒนาเทคนิคศึกษา (อาคาร 76) มจพ. พร้อมเปิดบ้านให้เข้าศึกษา/ดูงานด้านการออกแบบและพัฒนาสื่อการเรียนการสอน  การบรรยายพิเศษ/การอบรมเชิงปฏิบัติการ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ  รวมถึง Workshop อินเทอร์เน็ตเพื่อสรรพสิ่งสำหรับระบบนิวเมติกส์อัตโนมัติ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ครบ 65 ปี (19 กุมภาพันธ์ 2567) กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย

1. กิจกรรมเปิดให้เข้าศึกษา/ดูงาน ด้านการออกแบบและพัฒนาสื่อการเรียนการสอน

2. การบรรยายพิเศษ/การอบรมเชิงปฏิบัติการ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ ในหัวข้อที่น่าสนใจ ดังนี้

(1) แนวโน้มการศึกษายุคดิจิทัลสู่การเรียนรู้วิถีใหม่
(2) การรับรองมาตรฐานอาชีพเพิ่มศักยภาพ ยกระดับสมรรถนะแรงงานและระบบ EWE Platform
(3)
คุณลักษณะบัณฑิตที่พึงประสงค์สำหรับอุตสาหกรรมอัตโนมัติและการประยุกต์ใช้ IIOT กรณีศึกษา SMC
(4)
กรณีศึกษาการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการวางแผนพัฒนาโครงข่าย
(5) สารทำความเย็นพันธุ์ใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

3. Workshop อินเทอร์เน็ตเพื่อสรรพสิ่งสำหรับระบบนิวเมติกส์อัตโนมัติ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 10.00-15.00 . ณ ห้องประชุมอินทนิล (301) ชั้น 3  สำนักพัฒนาเทคนิคศึกษา มจพ. (อาคาร 76) โดยมีหัวข้อการฝึกอบรม ดังนี้

(1) แนะนำนวัตกรรมอุปกรณ์ระบบนิวเมติกส์อัตโนมัติสมัยใหม่
(2) สาธิตหลักการควบคุมอัตโนมัติและแสดงผลแบบไร้สายระยะไกล
(3) ระบบเครือข่ายและวิธีการติดต่อสื่อสารข้อมูลกับอุปกรณ์ IoT
(4)
ประโยชน์และแนวทางการประยุกต์ใช้ IoT กับระบบนิวเมติกส์อัตโนมัติ
(5) ตัวอย่างการนำข้อมูลไปวิเคราะห์เพื่อการบริหารจัดการด้านพลังงานและวางแผนซ่อมบำรุง

พิเศษ  รับ e-Certificate ทันทีหลังจบการฝึกอบรม ตลอดจนเล่นเกมตอบคำถามชิงรางวัล/รับของที่ระลึก กิจกรรมฟรี  ไม่มีค่าใช้จ่าย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณชนกนันท์ โทร. 06 3589 0951 / คุณภัทรพร โทร. 08 1984 5839 ลงทะเบียนร่วมงาน  https://forms.office.com/r/ZZf53ppqQE  แผนที่สำนักพัฒนาเทคนิคศึกษา (อาคาร 76) มจพ. https://maps.app.goo.gl/aQwjzan6mJxgxTGj9

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

AI ยกระดับการวางแผนสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

ผลจากการทดลองใช้ AI เพื่อระบุตำแหน่งของทำเลที่ตั้งเพื่อประเมินการสร้างจุดชาร์จ EV เพิ่มเติม ที่เมือง Macarthur ประเทศออสเตรเลีย 

ในขณะนี้ โลกกำลังอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นการเดินทางสัญจรอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืน จากความต้องการโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จ EV ที่ขยายตัวขึ้น ได้ทำให้คู่แข่งในธุรกิจ EV เพิ่มจำนวนขึ้นตามไปด้วย และส่งผลให้การแข่งขันเพื่อช่วงชิงทำเลที่ดี ทวีความดุเดือดขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตาม การระบุตำแหน่งและประเมินสถานที่สร้างจุดชาร์จในอนาคตนั้น ต้องใช้ทั้งระยะเวลาและกำลังคน ซึ่งนับเป็นความท้าทาย นอกจากนี้ ยังต้องใช้เงินลงทุนสูงและการลงทุนในระยะยาว ทั้งสำหรับการก่อสร้างและการดำเนินงานในสถานีชาร์จ ซึ่งหากการวางแผนและจัดสรรการลงทุนไม่ถูกต้อง ก็อาจส่งผลให้มีการสร้างจุดชาร์จในตำแหน่งที่ตั้งที่ไม่เหมาะสมได้ 

Thoughtworks บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีระดับโลก จึงได้พัฒนาแนวทางการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยในการวางแผนการสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จ EV รวมถึงยกระดับกระบวนการทำงานและปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้งานมากที่สุด ขณะที่ยังคงสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในระดับสูงสุด (ROI)

ภารกิจหาจุดชาร์จที่ยากในทุกมิติ

ในปัจจุบัน การระบุตำแหน่งและการคัดกรองจุดเหมาะสมสำหรับการสร้างจุดชาร์จ EV มีความซับซ้อนและต้องใช้ทรัพยากรบุคคลจำนวนมาก โดยการประเมินตำแหน่งที่ตั้งหนึ่งแห่ง อาจใช้ระยะเวลานานถึง 1 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติงาน และที่ตั้งของโครงการ และหากเป็นในทวีปยุโรป จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 20,000 – 50,000 ยูโร (ราว 770,000 – 1,925,000 บาท) ด้วยปัจจัยหลายอย่าง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดำเนินการให้ได้ตรงตามเป้าหมาย

การใช้ประโยชน์จาก AI ในการสร้างเครือข่ายชาร์จ EV

Ian Murdoch – Principal Advisory Consultant ของ Thoughtworks เปิดเผยว่า ในการพลิกแนวทางสร้างเครือข่ายชาร์จ EV นั้น ทาง Thoughtworks ได้ทดลองนำ AI มาใช้พัฒนาโครงการทดสอบความเป็นไปได้ (Proof of Concept) ซึ่งช่วยให้การประเมินสถานที่ตั้งทำได้รวดเร็วขึ้น จึงลดเวลาของขั้นตอนการทำงานที่นานถึงหนึ่งสัปดาห์ให้เหลือเพียงไม่กี่นาที

Ian Murdoch อธิบายเพิ่มว่ากระบวนการใหม่นี้ ทำผ่านแอปพลิเคชันแบบเรียลไทม์ ที่ผู้ใช้งานสามารถวาดตำแหน่งที่ต้องการสร้างจุดชาร์จลงไปบนแผนที่ เพื่อออกแบบเครือข่ายสถานีชาร์จ ซึ่งจะสร้าง Data Layer หรือตัวกลางส่งผ่านข้อมูลประกอบด้วยตำแหน่งที่น่าสนใจ (Points of Interest: POI) จุดชาร์จที่มีอยู่แล้ว และตำแหน่งที่เหมาะกับสร้างจุดชาร์จแห่งใหม่ภายในภูมิภาค และด้วยความสามารถในการเลือกสรรแนวทางแก้ไขปัญหาได้หลากหลายรูปแบบ ทำให้แอปพลิเคชันสามารถแนะนำการใช้งานที่เหมาะสมที่สุดตามความต้องการที่เฉพาะเจาะจงในด้านต่างๆ เช่น งบประมาณ ความหนาแน่นของจุดชาร์จ ความหนาแน่นของประชากร และความครอบคลุม POI

ทั้งนี้ เครืองมือที่ขับเคลื่อนด้วยพลัง AI ช่วยให้กระบวนการออกแบบและสร้างเครือข่ายจุดชาร์จ EV รวดเร็วยิ่งขึ้นและลดความซับซ้อนลง อีกทั้งยังมีข้อดีหลายประการ ได้แก่

  • ปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม (Customization)

โดยอ้างอิงตามบริการที่ธุรกิจต้องการส่งมอบให้ลูกค้า เช่น การให้ความสำคัญกับตำแหน่งจุดชาร์จที่อยู่ใกล้ร้านคาเฟ่สำหรับครอบครัว หรือตำแหน่งจุดแวะพักสำหรับนักเดินทางระยะไกล 

  • ดำเนินการแบบอัตโนมัติ (Automation)

ขั้นตอนหลายอย่างในกระบวนการวางแผน ที่รวมถึงการสร้างแผนภาพ CAD คือการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยออกแบบ สำหรับการขอใบอนุญาต ซึ่งสามารถทำได้ผ่านระบบอัตโนมัติ ช่วยลดระยะเวลาและต้นทุนการดำเนินงานลงได้อย่างมาก

  • ประเมินความสามารถทำกำไร (Profitability assessment)

โซลูชัน AI สามารถใช้ประเมินความสามารถทำกำไรของจุดชาร์จได้อย่างละเอียด โดยนำตัวแปรต่างๆ มาคำนวณ ช่วยให้ขั้นตอนการตัดสินใจทางธุรกิจทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

  • ปรับขยายขอบเขตการดำเนินงานได้ (Scalability)

ขณะที่ความต้องการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับชาร์จ EV ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง AI สามารถช่วยขยายกระบวนการวางแผนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เข้าถึงตำแหน่งที่สามารถสร้างจุดชาร์จได้หลายล้านแห่งทั่วโลก

  • อัปเดตแบบเรียลไทม์ (Real-time updates)

AI สามารถปรับใช้กับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ช่วยให้ธุรกิจและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถตัดสินใจโดยอ้างอิงกับข้อมูลและแนวโน้มตลาดล่าสุดได้

  • สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable growth)

AI ยังช่วยให้การสร้างเครือข่ายจุดชาร์จ EV ขยายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพและอย่างยั่งยืน โดยพิจารณาปัจจัยต่างๆร่วมด้วย เช่น รูปแบบการสัญจรและจุดอิ่มตัวของเครือข่าย ซึ่งสร้างความมั่นใจได้ว่าสถานีชาร์จใหม่ๆ จะช่วยเสริมประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่

เร่งเครื่องขุมพลัง AI สู่เครือข่ายชาร์จ EV

การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ส่งผลให้การมีเครือข่ายจุดชาร์จ EV ที่มีประสิทธิภาพคือสิ่งสำคัญยิ่ง แนวทางการวางแผนแบบเดิมนั้นมีความล่าช้า ใช้กำลังคนจำนวนมาก และมีต้นทุนสูง แต่การใช้โซลูชัน AI ช่วยให้กระบวนการวางแผน เป็นไปได้แบบอัตโนมัติ มีประสิทธิภาพ และขับเคลื่อนด้วยข้อมูล จึงสามารถยกระดับประสบการณ์ใช้งานของผู้ใช้ และเตรียมพร้อมสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคต


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัวเบรกเกอร์สายพันธุ์ฮีโร่ GoPact ซีรีย์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัวใหม่ เบรกเกอร์ GoPact MCCB พันธุ์แกร่ง พันธุ์ Go! สายพันธุ์ฮีโร่ ในราคาสุดคุ้ม สำหรับโครงการขนาดย่อม เล็งเจาะกลุ่ม  คอนโดมิเนียม ที่พักอาศัย อพาร์ทเมนต์ อาคารทั่วไป โรงงานขนาดย่อม คลังสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ด้วยการใช้งานที่ง่าย และให้ความยืดหยุ่น โดยมีถึง 5 ขนาดให้เลือก มาพร้อมความกะทัดรัด และให้ความสะดวกสำหรับการเลือกใช้ในแต่ละโครงการ ส่วนของทริปยูนิตมีให้เลือกตั้งแต่ 16 แอมป์ ไปจนถึง 800 แอมป์ และในแต่ละขนาดยังสามารถปรับขยายทริปยูนิตได้ ทำให้เมื่อมีโหลดที่เพิ่มขึ้นหน้างานสามารถปรับตั้งค่าได้ทันที พร้อมให้ค่า กระแสลัดวงจรสูงสุด (Breaking Capacity) ที่ทนทานกระแสได้ตั้งแต่ 15 กิโลแอมป์ ถึง 70 KA เลยทีเดียว ขณะที่เบรกเกอร์รุ่นราคาเทียบเท่ากัน ทนกระแสเริ่มที่เพียง 5 KA นอกจากนี้ ยังมีอายุการใช้งานทางกลยาวนานสูงสุดถึง 30,000 ครั้ง ที่อุณหภูมิ 55 องศา

นายเผดิมศักดิ์ รัตนเรืองศักดิ์ รองประธานฝ่ายธุรกิจ เพาเวอร์ โพรดักส์ ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ไทย ลาว และเมียนมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยว่า “สินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เบรกเกอร์ ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค สำหรับกลุ่มอาคาร มีให้เลือกหลายรุ่นตามความต้องการของโครงการต่างๆ สำหรับติดตั้งในตู้เมนดิสตริบิวชั่นบอร์ด (Main Distribution Board) ซับดิสตริบิวชั่นบอร์ด (Sub Distribution Board) ดิสตริบิวชั่นบอร์ด (Distribution Board) มีตั้งแต่รุ่นที่เชื่อมต่อกันได้ในแบบ IoT เพื่อมอนิเตอร์ข้อมูลการใช้พลังงานสำหรับอาคารขนาดใหญ่ และที่ต้องการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลแบบเต็มรูปแบบ อาทิ MasterPact ซีรีย์, Compact ซีรีย์ ขณะที่เบรกเกอร์ GoPact เป็นรุ่นใหม่ล่าสุด มุ่งเน้นที่อาคารขนาดย่อม ที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนด้านการมอนิเตอร์พลังงานแบบเต็มรูปแบบ GoPact จึงถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานง่าย ทนทาน แต่มีความยืดหยุ่นในการใช้งานสำหรับผู้รับเหมาโครงการ และผู้ประกอบการโรงตู้ รวมไปถึงการที่ติดตั้งและการปรับใช้งานที่ง่ายสำหรับช่างไฟ ไม่มีความซับซ้อนในการติดตั้ง และช่วยให้งานเสร็จเร็ว และบำรุงรักษาง่าย ขณะที่ราคาคุ้มค่า”

โดย GoPact ซีรีย์ ใหม่จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีให้เลือก 5 ขนาด ตามความต้องการของแต่ละโครงการ ตั้งแต่รุ่น GoPact 125 ขนาด 15 KA, 30 KA, GoPact 200 ขนาด 25 KA, 36 KA, GoPact 250 ขนาด 25 KA, 36 KA, GoPact 400 ขนาด 36 KA, 50 KA, GoPact 800 ขนาด 50 KA, 70 KA ทุกรุ่นผลิตจากเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีทริปยูนิตในตัว ผลิตจากวัสดุคุณภาพเยี่ยม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้รับมาตรฐาน IEC60947-2 และได้รับฉลากอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กรีนพรีเมี่ยม (Green Premium) ที่ให้ความปลอดภัย ทั้งเรา และทั้งโลก ทำให้มั่นใจได้ว่ารองรับโครงการที่มีนโยบายอาคารสีเขียวอีกด้วย

Go Pact ซีรีย์ ให้ความคุ้มค่าทั้ง ประสิทธิภาพ ฟังก์ชั่น และราคาที่พร้อม Go!!! สามารถหาซื้อได้ผ่านร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าชั้นนำทั่วประเทศและช่องทางช้อปออนไลน์ต่างๆ ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม แอดไลน์ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่นี่ https://lin.ee/XukMLED หรือ ID @se-th


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

หลักสูตรเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ประยุกต์และนวัตกรรม มจพ. (หลักสูตรใหม่) เปิดรับสมัครนักศึกษา ป.โท ภาคการศึกษาที่ 1/2567

คณะศิลปศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เปิดรับสมัครนักศึกษา ป.โท รุ่นที่ 1 ภาคการศึกษาที่ 1/2567 ในหลักสูตรเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ประยุกต์และนวัตกรรม M. Econ (Applied and Innovative Economics) (หลักสูตรใหม่ ปี 2567) ภาคปกติ (MAIE) แผนวิชาการแบบ 1 (เรียนคอร์สเวิร์คและทำวิทยานิพนธ์รวม 36 หน่วยกิต) เรียนแบบ Block Course ในวันจันทร์ศุกร์ เวลา 9.00 – 16.00 . (สัปดาห์ละ 2 วัน) ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ 18,000 – 20,000 บาท/เทอม ค่าสมัคร 500 บาท ภาคพิเศษ (S-MAIE) แผนวิชาการแบบ 1 (เรียนคอร์สเวิร์คและทำวิทยานิพนธ์รวม 36 หน่วยกิต)

เรียนแบบ Block Course ในวันเสาร์อาทิตย์ เวลา 9.00 – 16.00 . ค่าเทอมเหมาจ่าย 35,000 บาท/เทอม  ค่าสมัคร

1,000 บาทเปิดรับสำหรับผู้จบปริญญาตรี ทุกสาขา มีการสอนปรับพื้นฐานเศรษฐศาสตร์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายรับสมัคร วันนี้ ถึงวันที่ 12 พฤษภาคม 2567

รายละเอียดหลักสูตร

https://drive.google.com/drive/u/1/folders/1vE4CEgF0rrjL2YHEUHaJeP509O8wA-xv

สมัครออนไลน์ทางเว็ปไซต์ของบัณฑิตวิทยาลัย https://grad.admission.kmutnb.ac.th/ApplyLogin

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร 080-5645419 ผศ.ดร.กมลนัทธ์ มีถาวร หรือที่ Facebook : หลักสูตรปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ประยุกต์และนวัตกรรม มจพ. และที่ Email: mecon@arts.kmutnb.ac.th

ขวัญฤทัย ข่าว


Exit mobile version