Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“Fast Cooling Plus” เทคโนโลยีล่าสุด ในเครื่องปรับอากาศมิตซูบิชิ อีเล็คทริค มิสเตอร์สลิม รุ่นใหม่ “XY Series”

บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค กันยงวัฒนา จำกัด เดินหน้าส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพ ตอกย้ำผู้นำตลาดเครื่องปรับอากาศภายในบ้าน แนะนำนวัตกรรมล่าสุด เครื่องปรับอากาศใหม่ในกลุ่มอินเวอร์เตอร์ มิตซูบิชิ อีเล็คทริค มิสเตอร์สลิม รุ่น  XY Series ด้วยเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อความเย็นเร็วยิ่งขึ้นและเพิ่มความสบายให้กับทุกคน “Fast Cooling Plus” สัมผัสสายลมเย็นได้ตั้งแต่เปิดเครื่องปรับอากาศ และเครื่องปรับอากาศจะปรับสายลมโดยอัตโนมัติตามความเหมาะสม ของอุณหภูมิภายในห้องเพื่อไม่ให้คุณรู้สึกร้อนหรือหนาวจนเกินไปและได้พักผ่อนได้อย่างเต็มที่นอกจากนี้ เครื่องปรับอากาศ มิตซูบิชิ อีเล็คทริค มิสเตอร์สลิม ระบบอินเวอร์เตอร์ทุกรุ่น ยังได้พัฒนาให้คุณภาพอากาศภายในห้องดียิ่งขึ้นด้วยการเพิ่ม “V-Air Filter” และ “PM 2.5 Filter” แผ่นกรองอากาศและแผ่นกรองฝุ่นที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเฉพาะ สามารถกำจัดไวรัส แบคทีเรีย และดักจับฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างดี

พบกับที่สุดแห่งเทคโนโลยีความเย็น ผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศกลุ่มอินเวอร์เตอร์รุ่นใหม่ “XY Series” ในขนาดที่หลากหลายตั้งแต่ 9000-18000 BTU และอีกหลากหลายรุ่น ได้แล้ววันนี้ ที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ มิตซูบิชิ อีเล็คทริค ทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมโทร. 02-763-7000 กด 7


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะศิลปศาสตร์ประยุกต์ มจพ. รับสมัคร น.ศ. สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ประยุกต์และนวัตกรรม ป.โท โค้งสุดท้าย 12 พ.ค. 67 นี้

คณะศิลปศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เปิดรับสมัครนักศึกษาระดับปริญญาโท รุ่นที่ 1 ภาคการศึกษาที่ 1/2567 (รอบสุดท้าย) ในหลักสูตรเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ประยุกต์และนวัตกรรม (M. Econ (Applied and Innovative Economics)  เป็นหลักสูตรใหม่ ประจำปี 2567 โดยเปิดรับสมัคร ตั้งแต่วันนี้ ถึง วันที่ 12 พฤษภาคม 2567 มีรายละเอียดดังนี้

ภาคปกติ (MAIE) แผนวิชาการแบบ 1 (เรียนคอร์สเวิร์คและทำวิทยานิพนธ์รวม 36 หน่วยกิต) เรียนแบบ Block Course ในวันจันทร์ศุกร์ เวลา 9.00 – 16.00 . (สัปดาห์ละ 2 วัน) ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ 18,000 – 20,000 บาท/เทอม ค่าสมัคร 500 บาท

ภาคพิเศษ (S-MAIE) แผนวิชาการแบบ 1 (เรียนคอร์สเวิร์คและทำวิทยานิพนธ์รวม 36 หน่วยกิต)

เรียนแบบ Block Course ในวันเสาร์อาทิตย์ เวลา 9.00 – 16.00 . ค่าเทอมเหมาจ่าย 35,000 บาท/เทอม   ค่าสมัคร 1,000 บาท

คุณสมบัติผู้สมัคร จบปริญญาตรีทุกสาขา (มีการสอนปรับพื้นฐานเศรษฐศาสตร์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และสามารถเทียบโอนหน่วยกิตได้ตามระเบียบของมหาวิทยาลัย)

สมัครออนไลน์ที่เว็บไซต์บัณฑิตวิทยาลัย https://grad.admission.kmutnb.ac.th/ApplyLogin

รายละเอียดหลักสูตร https://shorturl.asia/2uhSQ

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์ 080-564-5419  ผศ.ดร.กมลนัทธ์  มีถาวร หรือที่ Facebook page : หลักสูตรปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ประยุกต์และนวัตกรรม มจพ. และที่ Email: mecon@arts.kmutnb.ac.th

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. เจ้าภาพประชุมคณะกรรมการวิจัยและนวัตกรรม (สัญจร) ครั้งที่ 2/2567

.ดร. สุชาติ เซี่ยงฉิน อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)  พร้อมด้วย ศ.ดร.สมฤกษ์ จันทรอัมพร รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ  กล่าวต้อนรับ ศ.ดร. นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) และผู้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการวิจัยและนวัตกรรม (สัญจร)  ครั้งที่ 2/2567  ระหว่างวันที่ 1-2 เมษายน 2567  โดยปีนี้ มจพ. เป็นเจ้าภาพจัดประชุม  มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และศึกษาแนวทางแก้ไขปัญาการบริหารงานวิจัย ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและนวัตกรรม   โดยวันที่ 1 เมษายน 2567  เดินทางไปโครงการสามคลอง สามราชธานีได้แก่ 1. พระพุทธบาทลอยฟ้า พิพิธภัณฑ์ชุมชนวัดบางอ้อยช้าง ตามรอยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช  ชุมชนบ้านส่วยอ้อย  2. สำเร็จ บุญหนัก ศักดิ์ใหญ่ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ แดนอารยธรรมลุ่มน้ำสามคลอง สามราชธานี  3. แปลงใหญ่ทุเรียน อำเภอบางกรวย ความหลากหลายทางชีวภาพ จังหวัดนนทบุรี  4. นกแก้วโม่ง วัดสวนใหญ่  การอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่านอกเขตอุทยาน  ความหลากหลายทางชีวภาพ  จังหวัดนนทบุรี   และวันที่ 2 เมษายน  2567   .ดร. นายแพทย์สิริฤกษ์  ทรงศิวิไล  ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม  บรรยายพิเศษ ทิศทางการบริหารงานวิจัยของประเทศ และการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนมหาวิทยาลัย  จากนั้น เยี่ยมชมนิทรรศการ65 ปี มจพ. พลิกโฉม พลิกความคิด สู่ความยั่งยืน  เยี่ยมชมศูนย์วิจัย และโรงงานต้นแบบ  สำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยีไทยฝรั่งเศสคณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์คณะวิศวกรรมศาสตร์และอทุยานเทคโนโลยี

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เปิดโมเดลนวัตกรรมเพื่อสังคม-เศรษฐกิจ ‘มข.’ ชูเทคโนโลยี ‘เตียงอัจฉริยะ’ ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยสูงวัย-เพิ่มรายได้ชุมชน

มหาวิทยาลัยขอนแก่น นำโดย คณะ ‘เทคนิคการแพทย์-เศรษฐศาสตร์-สถาปัตยกรรมศาสตร์’ ร่วมขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อสังคม สร้างงาน สร้างรายได้ รับเทรนด์สังคมสูงวัยในไทยพุ่ง 13 ล้านคน คาดผู้ป่วยติดเตียงมี 1.3% หรือ 1.7 แสนคน ริเริ่ม “โครงการพัฒนาส่งเสริมการผลิตเตียงพลิกตัวต้นทุนต่ำสำหรับผู้ป่วยติดเตียงโดยชุมชน” นำร่องส่ง 5 เตียงต้นแบบสู่การใช้งานจริง 2 ชุมชน ตำบลบ้านโต้นและตำบลหนองแวง อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น พร้อมอัปเกรดเวอร์ชั่นใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากขึ้น เตรียมผลักดันสู่วิสาหกิจชุมชน ติวเข้มทักษะช่างพร้อมรับออเดอร์ผลิตเตียงที่เข้าใจผู้ป่วยและผู้ดูแลในราคาเอื้อมถึง

สถานการณ์ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) โดยตัวเลขจากกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สะท้อนว่า  ปี 2566 ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ 13,064,929 คน คิดเป็น 20.8% ของประชากรทั้งประเทศ รวม 66,052,615 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้สูงอายุที่ป่วยติดเตียงมากถึง 174,409 คน คิดเป็น 1.3% ของผู้สูงอายุ (ที่เข้าระบบ) พร้อมคาดการณ์ว่า ในปี 2574 ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น 28.87% หรือ 18,000,000 คน และมีประชาชนป่วยติดเตียงเพิ่มขึ้น 234,000 คน (ไม่รวมผู้ป่วยนอกระบบ)

จากแนวโน้มดังกล่าวนำมาสู่การริเริ่ม โครงการพัฒนาส่งเสริมการผลิตเตียงพลิกตัวต้นทุนต่ำสำหรับผู้ป่วยติดเตียงโดยชุมชน” โดย คณะเศรษฐศาสตร์ คณะเทคนิคการแพทย์ และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งดำเนินการภายใต้โครงการ CIGUS (C – community, I – industry, G – government, U – university, S – society) ที่มีวัตถุประสงค์นำองค์ความรู้จากมหาวิทยาลัยเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาในชุมชนในมิติสาธารณสุข สังคม และเศรษฐกิจ โดยมีพื้นที่นำร่องใน 2 ชุมชน ได้แก่ ตำบลบ้านโต้นและตำบลหนองแวง อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น

ศ.ดร.วิชัย อึงพินิจพงศ์ อาจารย์คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยความคืบหน้าของโครงการดังกล่าว ว่า โครงการนี้มี แนวคิดในการพัฒนาเตียงอัจฉริยะที่ช่วยลดแผลกดทับ โดยเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยสูงวัยและผู้ดูแลคนป่วย พร้อมกับพัฒนาทักษะช่างให้สามารถนำมาพัฒนาต่อยอด สร้างงาน และ สร้างรายได้เข้าสู่ชุมชน  ทั้งนี้ได้ดำเนินการพัฒนาเตียงพลิกตัวและนำไปมอบให้กับเทศบาลตำบลบ้านโต้น จำนวน 3 เตียง และเทศบาลตำบลหนองแวง อีกจำนวน 2 เตียง พร้อมกับอบรมให้ความรู้และวิธีการใช้เตียงพลิกตัวอย่างถูกต้อง โดยภายหลังการติดตามการใช้งานพบว่า เตียงช่วยพลิกตัวและลดแผลกดทับนี้นำมาซึ่งประโยชน์ทั้งผู้ป่วย ผู้ดูแล และชุมชน โดยประโยชน์ของเตียงพลิกตัวจะช่วยป้องกันแผลกดทับในผู้ป่วยที่ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัยอายุ 60 ปีขึ้นไป รวมถึงคนป่วยที่มีภาวะอ่อนแรงไม่สามารถพลิกตัวเองไม่ได้ เพราะเตียงนี้แค่กดปุ่มก็ตะแคงได้ ผู้ดูแลจะทำงานง่ายขึ้น หรือถ้าไม่มีคนดูแล ผู้ป่วยก็กดปุ่มแล้วเตียงตะแคงเองได้

ส่วนผู้ดูแลที่อาจเป็นญาติ และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) รวมถึงผู้ดูแล Caregiver เตียงอัจฉริยะนี้จะช่วยลดระยะเวลาในการดูแลผู้ป่วยลง ทำให้ไม่เป็นภาระมากจนเกินไป และสามารถนำเวลาส่วนนี้ไปทำประโยชน์และสร้างรายได้จากงานส่วนอื่น ๆ

“ในสองตำบลนี้ มีผู้ป่วยติดเตียง 22 คน แต่ในช่วงแรกนี้สามารถจัดหาเตียงให้กับผู้ป่วยติดเตียง 5 คนเท่านั้น ซึ่งอนาคตคาดว่าผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้น โดยแบ่งได้เป็นผู้สูงอายุที่แข็งแรง 80% อีก 10% เป็นภาวะอ่อนแรง แล้วก็อีก 10% ติดเตียงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้”  ศ.ดร.วิชัย กล่าว

ขณะที่ในมิติของชุมชน เตียงพลิกตัวนี้จะช่วยให้ชุมชนสามารถมีรายได้จากการผลิตเตียง โดยนำแบบที่พัฒนาโดยคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ไปดำเนินการพร้อมรับการอบรมฝึกทักษะฝีมือช่าง ซึ่งมีต้นทุนการผลิตต่อหนึ่งเตียงประมาณ 10,000-15,000 บาท โดยอยู่ระหว่างการปรับรายละเอียดของแบบเพื่อให้เตียงในเวอร์ชั่นใหม่นี้สอดรับกับการใช้งานได้เป็นอย่างดี เช่น ปรับความสูงของเตียงให้ต่ำลง รวมถึงปรับขนาดของเตียงเพื่อให้เคลื่อนย้ายเข้าบ้านของชุมชนได้ เป็นต้น

ด้าน ผศ.ดร.สุรกานต์ รวยสูงเนิน อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า ประเด็นหลักของการออกแบบเตียงจะคำนึงถึงสภาพจิตใจผู้ป่วยและผู้ดูแลก่อนเป็นลำดับแรก โดยพยายามลดภาระผู้ดูแล และให้ผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด ซึ่งจะนำไปสู่การมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น เมื่อผู้ดูแลลดภาระลงจากที่เคยพลิกตัวทุก 2 ชั่วโมง ก็เปลี่ยนมาเป็นแค่ช่วงเวลาหลัก ๆ ได้แก่ ตอนทานอาหาร ทำความสะอาดร่างกาย

“ขนาดของเตียงที่ออกแบบ ในแรกเริ่มคิดที่จะพัฒนาเป็นขนาด S M L เพื่อให้สอดรับกับผู้ป่วยที่มีความแตกต่างกัน แต่เพราะเป็นช่วงแรกจึงพัฒนาเป็นขนาด L ทำให้พบข้อจำกัดการเคลื่อนย้ายเตียงเข้าสู่ภายในบ้าน ในระยะต่อมาจึงปรับขนาดลดลงเป็น 900×2 เมตร จากเดิมขนาด 1.2 x 2 เมตร มีต้นทุนการผลิตประมาณ 15,000-20,000 ไม้ โดยใช้วัสดุไม้แปรรูปที่หาซื้อได้จากร้านวัสดุก่อสร้างทั่วไป เช่น ไม้ยางพารา และไม้เนื้อแข็ง ซึ่งจะรับน้ำหนักผู้ป่วยได้มากถึง 200 กิโลกรัม”  ผศ.ดร.สุรกานต์ กล่าว

สำหรับแนวคิดของการต่อยอดโครงการนั้น ผศ.ดร.สุรกานต์ กล่าวว่า โครงการพัฒนาเตียงเพื่อผู้สูงวัยที่ป่วยติดเตียงได้สร้างประโยชน์ทั้งในมิติในสังคม และเศรษฐกิจ ในอนาคตหากสามารถต่อยอดไปสู่วิสาหกิจชุมชนได้จะเป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก เพราะวิธีการผลิตที่ง่าย ทักษะช่างไม้ที่มีอยู่ในชุมชนสามารถดำเนินการได้เลยตามแบบและคู่มือการประกอบที่เตรียมจัดทำขึ้น ขณะที่อุปกรณ์มอเตอร์ไฟฟ้าก็หาได้ง่ายในร้านค้าชุมชน ถ้าเป็นการผลิตในปริมาณที่มากขึ้นในอนาคตจะยิ่งเป็นการลดต้นทุนลงมาอยู่ที่ประมาณ 10,000 บาทต่อเตียง ซึ่งเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน รวมถึงเพิ่มโอกาสการเข้าถึงเตียงในกลุ่มของผู้ป่วยที่มีรายได้น้อย

รศ.ดร.นรชิต จิรสัทธรรม หัวหน้าสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า ในมุมของเศรษฐศาสตร์ได้ทำการประเมินแล้วว่าการผลิตเตียงในโครงการนี้จะช่วยลดค่าเสียโอกาสได้มาก เช่น ผู้ดูแลที่เป็นญาติ หรือ Caregiver จากที่ปกติใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการดูแลผู้ป่วยสามารถลดชั่วโมงการทำงานลงเหลือเพียงชั่วโมงเศษเท่านั้น ซึ่งเวลาที่ลดลงนี้สามารถไปทำประโยชน์ได้อีกมาก

“คนอาจจะคิดว่าทำไมไม่บริจาคแล้วไปซื้อเตียงให้ผู้ป่วยเลยซึ่งเร็วกว่า ถ้าเป็นแบบนี้ประโยชน์จะเกิดในส่วนเดียว เมื่อเทียบกับโครงการที่ดำเนินการอยู่นี้ พัฒนาเตียงขึ้นมาสามารถลดแผลกดทับได้ดี นอกจากนี้ยังสามารถทำให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วมและช่างฝีมือมีรายได้ สร้างประโยชน์ได้หลายส่วนพร้อมกัน เป็นการกระจาย และ หมุนเวียนผลประโยชน์ในชุมชน จากนี้ไปอยากเห็นการพัฒนาไปสู่เตียงที่ปรับแบบใหม่ช่างได้รับการอบรม และยกระดับเป็นกลุ่มอาชีพทางสังคมที่ช่วยทำเตียง รับออเดอร์งานได้ต่อไป โดยโอกาสและศักยภาพสามารถต่อยอดได้อีกมากจากแนวโน้มการขยายตัวของสังคมผู้สูงอายุในไทย”  รศ.ดร.นรชิต กล่าว

นายชัยชาญ เพชรสีเขียว ตัวแทนกลุ่มผู้ผลิตเตียงในชุมชน กล่าวว่า ภายหลังจากได้รับเตียงอัจฉริยะที่ทาง มข. ส่งมาให้ผู้ป่วยในชุมชนก็ได้เริ่มเข้าไปให้ความรู้ถึงวิธีการใช้งานกับผู้ป่วยติดเตียงว่าเตียงนี้มีข้อดีคือ มีปุ่มให้กด สามารถนั่ง เอนซ้าย เอียงขวาได้ ซึ่งส่งผลดีทั้งต่อผู้ป่วยที่ช่วยให้อากาศถ่ายเท และไม่เกิดแผลกดทับ รวมถึงแบ่งเบาภาระของผู้ดูแลด้วย  ขณะเดียวกันก็เริ่มบอกกล่าวถึงช่างในหมู่บ้านที่ส่วนหนึ่งทำงานประจำและบางส่วนที่ว่างงาน ให้ได้รับทราบถึงโครงการนี้ รวมถึงการจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนต่อไป  

สำหรับผู้สนใจเตียงดังกล่าว สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 043 202 267


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ACCESSTRADE Summit 2024 งานประชุมระดับโลกประจำปีของ ACCESSTRADE

ACCESSTRADE จัดงานประชุมสัมมนาออนไลน์ ACCESSTRADE Summit 2024 ได้รวบรวมนักการตลาดออนไลน์ แถวหน้าของแต่ละประเทศ ทั้งประเทศญี่ปุ่น มาเลยเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม และประเทศไทย เพื่อเป็นการส่งเสริมการเติมโตของตลาด และเชื่อมโยงตลาด Affiliate ทุกแขนง

ACCESSTRADE Summit 2024 เปิดโอกาสในการสร้างเครือข่ายสำหรับนักการตลาด หรือ Affiliate Marketer ที่มีผลงานของแต่ละประเทศ มาแบ่งปันความรู้ และ เทคนิคต่างๆ ผ่านมุมมองของแต่ละตลาด ซึ่งผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้ข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ แนวคิดต่างๆ เพื่อเป็นการส่งเสริมการเติบโตที่ดีของตลาด

งานจัดขึ้นในวันที่ 25 เมษายน 2567
ตั้งแต่เวลา 09:00 น.- 17:00 น.
ลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรี ที่นี่ https://accesstrade.global/atsummit/registration

สำหรับทุกคนที่สนใจการตลาดออนไลน์ หรือ Affiliate Marketing จะได้รับการแชร์ข้อมูลจากทางคู่ค้าของ ACCESSTRADE แบบเจาะลึกในด้านการตลาดออนไลน์ในยุคปัจจุบัน รวมไปถึงผู้เชียวชาญด้าน Digital Marketing โดยจะมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำการตลาดออนไลน์ ในด้าน Affiliate Marketing จากทาง Top Publisher และ Top Advertiser ของทาง ACCESSTRADE นับเป็นงานใหญ่ #ไม่ควรพลาด
สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.accesstrade.in.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ โทร. 02-258-4970-1
Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์คาดการณ์ 80% ของโครงการริเริ่มด้านธรรมาภิบาล Data & Analytics จะล้มเหลวภายในปี 2570

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 1 เมษายน 2567 – การ์ทเนอร์เผยในปี 2570 ประมาณ 80% ของโครงการธรรมาภิบาลด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ (หรือ D&A) จะเผชิญกับความล้มเหลว เนื่องจากขาดวิกฤติที่เกิดขึ้นจริงหรือ Manufactured Crisis 

ซาอูล ยูดาห์ รองประธานฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “โปรแกรมธรรมาภิบาลข้อมูลและการวิเคราะห์ที่ไม่ตอบโจทย์ผลลัพธ์ทางธุรกิจจะพบกับความล้มเหลว ในช่วงที่ผ่านมาวิกฤติที่เกิดขึ้น เช่น โควิด-19 หรือการเพิ่มขึ้นของต้นทุนด้านพลังงาน ผู้บริหาร Chief Data & Analytics Officers หรือ CDAO ที่ช่วยให้องค์กรฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านั้น เข้าใจวิกฤติและขับเคลื่อน D&A อย่างรวดเร็วสามารถช่วยให้ผู้นำธุรกิจรับมือสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว”

การใช้แนวทางเชิงกลยุทธ์เพื่อกำกับดูแลข้อมูลและการวิเคราะห์ และวางตำแหน่งให้เป็นโมเดลธุรกิจหลักที่มีความสำคัญมากกว่าเชิงแทคติก โดยทีม D&A ดำเนินการกำกับดูแลแบบรีแอคทีฟ มุ่งเน้นไปที่สินทรัพย์เพียงรายการเดียว นั่นคือ ข้อมูล

“ผู้บริหาร CDAO ควรหยุดใช้แนวทางที่เน้นการสั่งการและควบคุม ไปเป็นการกำกับดูแล D&A และกำหนดขอบเขตการกำกับดูแลเพื่อเน้นผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้ พร้อมปรับเปลี่ยนไปตามโอกาสและความเสี่ยง รวมถึงเพิ่มความคล่องตัวและปรับขนาดตามการเติบโตขององค์กร” ยูดาห์กล่าวเพิ่ม

นักวิเคราะห์การ์ทเนอร์กล่าวว่าแนวทางธรรมาภิบาลในแบบ “One-Size-Fits-All” ที่ใช้ในปัจจุบันไม่ใช่แนวทางที่องค์กรส่วนใหญ่มองหา (ดูรูปที่ 1)

 

รูปที่ 1. โมเดลการดำเนินงานแบบ One-Size-Fits-All ไม่เพียงพออีกต่อไป

ข้อจำกัดธรรมาภิบาล Data & Analytics  ในโมเดล One Size Fits All ไม่เพียงพออีกต่อไป

ธรรมาภิบาลที่มีวันนี้ ธรรมาภิบาลที่ต้องการในอนาคต
  • โมเดลแบบ One size fits all โดยสั่งการ (Center-Out) 
  • นวัตกรรมที่ใช้เพื่อการกำกับดูแลไม่ใช่เรื่องหลัก 
  • สร้างมาตรฐานชัดเจน: มุ่งเน้นการควบคุม 
  • ให้สิทธิการตัดสินใจบางส่วนและไม่เชื่อมต่อกับการตัดสินใจในระดับท้องถิ่น
  • Passive; เน้นปฎิบัติตามกรอบที่กำหนด 
  • มีหลากหลายรูปแบบ ปรับเปลี่ยนได้ตามบริบท
  • ส่งเสริมนวัตกรรมเป็นศูนย์กลางในการกำกับดูแล
  • ยืดหยุ่นและไดนามิกทั่วทั้งองค์กรรวมถึงในระบบนิเวศ
  • สิทธิตัดสินใจแบบกระจาย ทั้งแบบทางการและไม่เป็นทางการ: โดยยึดโยงกับคุณค่าเป็นหลัก
  • Active; เน้นปรับเปลี่ยนไปตามโอกาสและความเสี่ยง

ที่มา: การ์ทเนอร์

การนำ GenAI มาใช้จะรีเฟรชการกำกับดูแล D&A ที่ล้าสมัย

จากที่มีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Generative AI (GenAI) มาใช้มากขึ้น ผู้บริหาร CDAO สามารถดึงศักยภาพของเทคโนโลยีนี้มาใช้ปรับปรุงแนวทางปฏิบัติด้านการกำกับดูแล D&A ที่ล้าสมัย และรวม AI ไว้เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการกำกับดูแลที่ได้รับการพัฒนาต่อยอด ซึ่งธรรมภิบาล AI คือ กระบวนการมอบหมายและรับประกันความรับผิดชอบขององค์กร สิทธิ์การตัดสินใจ ความเสี่ยง นโยบาย และการตัดสินใจลงทุนเพื่อนำ AI มาใช้ 

นอกจากนี้ ผู้บริหาร CDAO ควรรวมความสามารถของ AI และ GenAI เข้ากับโปรแกรมธรรมาภิบาล D&A  โดยการ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2570 การใช้ GenAI จะเร่ง Time to Value ของโปรแกรม D&A และโปรแกรมการจัดการข้อมูลหลัก หรือ Master Data Management Programs ได้มากถึง 40%

อนุรัก ราช นักวิเคราะห์หลักอาวุโสการ์ทเนอร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ก่อนที่ผู้บริหาร CDAO จะเริ่มส่งมอบเคสการใช้งาน GenAI จะต้องตรวจสอบให้มั่นใจว่าข้อมูลพันธุกรรมหลักขององค์กร  ได้รับการควบคุมอย่างดี ด้วยเหตุนี้พวกเขาควรใช้และจัดลำดับความสำคัญของความสามารถ GenAI ที่จะนำไปสู่คุณค่าที่เร็วขึ้นสำหรับโปรแกรมการกำกับดูแล โดยความสามารถของ GenAI สามารถช่วยเรื่องนี้ได้ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในกิจกรรมการกำกับดูแล เช่น การจัดทำรายการและการจำแนกประเภทข้อมูล การนำข้อมูลไปใช้ในวงกว้างและง่ายขึ้น อาทิ ความสามารถในด้านการบริการตนเอง (Self-Service) ที่ดีขึ้น หรือความสามารถที่ช่วยแก้ปัญหาความท้าทายทางธุรกิจที่มีความเฉพาะเจาะจง เช่น การเพิ่มคุณค่าข้อมูลลูกค้าเพื่อกำหนดเป้าหมายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น”

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับเมดโทรนิค เปิดศูนย์ฝึกอบรมการผ่าตัดโรคทางด้านกระดูกสันหลัง

วันนี้ (1 เมษายน 2567) ภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับบริษัท เมดโทรนิค (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เปิดตัว “ศูนย์ฝึกอบรมการผ่าตัดโรคทางด้านกระดูกสันหลัง” บ่มเพาะเป็นสถานที่ฝึกอบรมและให้ความรู้เฉพาะทางแก่แพทย์ พยาบาล และบุคลากรการแพทย์จากประเทศไทยและภาคพื้นอาเซียน โดยพิธีลงนามจัดขึ้น ณ ห้องประชุม 1201 โซน ชั้น 12 อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แบบ ซึ่งสอดคล้องกับในหลายประเทศทั่วโลกที่มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น สวนทางกับอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกันกับประเทศไทยที่มีจำนวนเด็กเกิดใหม่ค่อนข้างต่ำ เพียง 600,000 กว่าคนต่อปีเท่านั้น ทำให้ 3 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงวัยอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งโรคที่พบบ่อยในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป และเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพของผู้สูงอายุที่ต้องเผชิญคือ ภาวะโรคกระดูกและข้อ ที่ส่งผลให้ผู้ป่วยสูงวัยมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี นอกจากนี้สถานการณ์โรคที่เกี่ยวข้องกับ “กระดูกสันหลัง” และ “ระบบประสาท” ในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในกลุ่ม “มนุษย์ออฟฟิศ” ที่ต้องเร่งรีบในการทำงาน หรือนั่งทำงานเป็นเวลานาน โดยไม่มีการเปลี่ยนอิริยาบถ พบสูงสุดในกลุ่มอาชีพรับจ้างทั่วไปพนักงานเอกชน รองลงมาคือ กลุ่มทำงานภาคเกษตรกรรม โดยพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ช่วงอายุที่พบมากคือ 45-54 ปี รองลงมาช่วงอายุ 55-64 ปี ดังนั้นการรักษาโรคทางด้านกระดูกสันหลัง จึงเป็นสาขาทางการแพทย์ที่มีความต้องการบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญมากขึ้น เพื่อให้บริการที่มีคุณภาพแก่ผู้ป่วยในประเทศไทยและภาคพื้นอาเซียน จึงนำมาซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้เพื่อพัฒนาศูนย์ฝึกอบรมที่มุ่งเน้นการรักษาโรคทางด้านกระดูกสันหลังและเสริมสร้างสุขภาพของประชาชน

รศ.นพ.ฉันชาย กล่าวว่า โรคทางด้านกระดูกสันหลัง ถือเป็นปัญหาสาธารณสุขและมีผลต่อภาระทางเศรษฐกิจและสังคมอื่นๆ ตามมา ดังนั้นในฐานะที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เป็นโรงเรียนแพทย์ที่มีองค์ความรู้และความสามารถในการเรียนการสอน ผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีนโยบายสนับสนุนการเปิดศูนย์การอบรมทางวิชาการต่างๆ เพื่อให้แพทย์ที่สำเร็จการศึกษาไปแล้วได้กลับเข้ามารับความรู้ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องผ่านหลากหลายช่องทางการเรียนรู้ที่พัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้นับว่าเป็นโอกาสอันดีอย่างยิ่งที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และบริษัท เมดโทรนิค (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมมือในการพัฒนา “ศูนย์ฝึกอบรมการผ่าตัดโรคทางด้านกระดูกสันหลัง” เพื่อเพิ่มศักยภาพและประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ในการรักษาโรคทางด้านกระดูกสันหลังเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และมีเป้าหมายร่วมกันที่จะเป็นสถาบันต้นแบบทางการแพทย์ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ทั้งในและต่างประเทศที่ได้มาตรฐานในระดับสากล

ด้าน รศ.นพ.วิชาญ ยิ่งศักดิ์มงคล หัวหน้าภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ในยุคที่สังคมกำลังเผชิญกับผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น เราทุ่มเทในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านออร์โธปิดิกส์ที่เน้นการรักษาที่มีประสิทธิภาพและยกระดับการให้บริการที่มีคุณภาพ เพื่อรองรับกับการที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัวในอนาคต ทางภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ได้ให้ความสำคัญในการเตรียมความพร้อมในการดูแลรักษาโรคทางด้านกระดูกสันหลัง เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนานิสิตแพทย์ให้มีความรู้ทางทฤษฎีและปฏิบัติที่ตรงกับมาตรฐานทางวิชาชีพโดยให้ความสำคัญกับการประยุกต์ใช้ความรู้ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง รวมถึงการให้บริการที่มีคุณภาพและเน้นความมีส่วนร่วมของผู้ป่วย เราพยายามอย่างไม่หยุดยั้งในการพัฒนาและเป็นผู้นำทางด้านการรักษาโรคด้านกระดูกสันหลังเพื่อการรักษาที่มีคุณภาพและมาตรฐานระดับสากล ด้วยความพร้อมของภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ทั้งในด้านความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในการรักษาที่ทันสมัย การเปิดตัว “ศูนย์ฝึกอบรมการผ่าตัดโรคทางด้านกระดูกสันหลัง” นั้น จึงเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าสำคัญของภาควิชาในการนำองค์ความรู้ที่มีมาพัฒนาแพทย์ในประเทศไทยและภาคพื้นอาเซียน ตามวิสัยทัศน์ “เพื่อการเป็นผู้นำด้านออร์โธปิดิกส์ชั้นนำของประเทศที่ให้ความรู้ด้านทฤษฎีและภาคปฏิบัติแก่นิสิตแพทย์ บัณฑิตแพทย์ และแพทย์ประจำบ้านอย่างมีประสิทธิผล โดยมุ่งให้บริการ ด้วยคุณธรรมและจริยธรรมตามมาตรฐานวิชาชีพและสร้างงานวิจัยที่ตอบสนองความต้องการของสังคม”

ในขณะที่ รศ.นพ.วรวรรธน์ ลิ้มทองกุล หัวหน้าหน่วยศัลยกรรมกระดูกสันหลัง และผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านชีวกลศาสตร์และนวัตกรรมการผ่าตัดกระดูกสันหลัง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า จากความร่วมมือในการจัดตั้ง ศูนย์ฝึกอบรมการผ่าตัดโรคทางด้านกระดูกสันหลัง” คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และบริษัทเมดโทรนิค มุ่งเน้นพัฒนาหลักสูตรองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีและการรักษาที่ทันสมัยเพื่อให้บริการรักษาโรคทางด้านกระดูกสันหลังที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยในประเทศไทยและภาคพื้นอาเซียน เพื่อเตรียมความพร้อมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลังให้กับโรงพยาบาลต่างๆ ช่วยให้แพทย์ที่มารับการฝึกอบรม ได้พัฒนาองค์ความรู้ความสามารถในการรักษาและให้บริการที่ทันสมัย สามารถกลับไปทำหัตถการ ได้ตามแนวทางมาตรฐานสากล ปัจจุบัน ทางภาควิชาออโธปิดิกส์ และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กำลังค้นคว้าวิจัย การนำเทคโนโลยีระบบหุ่นยนต์ช่วยนำทาง มาช่วยในการรักษาโรคทางกระดูกสันหลังด้วยการผ่าตัดแผลเล็ก เพื่อศึกษาถึงประโยชน์และความปลอดภัยในการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการรักษาผู้ป่วย และหากการศึกษาวิจัยครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ก็จะช่วยยกระดับการรักษาโรคทางกระดูกสันหลังของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนได้ดียิ่งขึ้น

 การร่วมมือครั้งนี้เป็นความภูมิใจที่จะนำเสนอการเรียนรู้ ที่ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ สามารถได้รับองค์ความรู้ พัฒนาทักษะการทำหัตถการและการใช้เครื่องมือที่มีเทคโนโลยีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงและทันสมัย ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด มอบประสบการณ์ในการเรียนรู้ และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการอบรมที่มีคุณภาพของคณาจารย์จากภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับบริษัทเมดโทรนิค ที่เป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์ ในการเพิ่มจำนวนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านให้มากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต่อยอดไปยังการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงให้กับผู้ป่วยให้มากยิ่งขึ้นด้วย

ทางด้าน Mr. Paul Verhulst Vice President, Mainland Southeast Asia, Medtronic PLC. กล่าวว่า ในฐานะที่เมดโทรนิคเป็นผู้นำเทคโนโลยีด้านการดูแลสุขภาพและมีศักยภาพในการสนับสนุนอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน เรามีความมุ่งมั่นในการแก้ไขความท้าทายทางด้านสุขภาพ ในการบรรเทาความเจ็บปวดจากโรคภัยต่างๆ ส่งเสริมให้ประชากรทุกคนมีสุขภาพที่ดีและมีชีวิตที่ยืนยาว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544

กว่า 23 ปีที่เมดโทรนิคได้ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับภาครัฐและผู้ให้บริการด้านสุขภาพในทุกภาคส่วน ผ่านหลากหลายโครงการความร่วมมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำทางการแพทย์และสาธารณสุข ในด้านการส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี การอบรมบุคลากรที่มีคุณภาพในการทำหัตถการที่มีความซับซ้อน เพิ่มบุคลากรที่มีความรู้และทักษะไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ เพิ่มการเข้าถึงการรักษาที่ทันสมัยให้กับประชาชน ขับเคลื่อนนวัตกรรมผ่านงานวิจัย ยกระดับศูนย์ฝึกอบรมการผ่าตัดในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค  ซึ่งล้วนถือเป็นการขับเคลื่อนการพัฒนาของระบบสาธารณสุขของประเทศไทยให้อยู่ในระดับสากล และในปี พ.ศ. 2567 นี้ เมดโทรนิค ประเทศไทย จึงมีเป้าหมายที่จะร่วมมือกับภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ในการร่วมกันจัดตั้ง“ศูนย์ฝึกอบรมการผ่าตัดโรคทางด้านกระดูกสันหลัง”ขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการเข้าถึงการเรียนรู้สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ทั้งในและต่างประเทศ” Mr. Paul Verhulst กล่าว

“ทั้งนี้ทางบริษัทฯ มีความยินดี และพร้อมจะสนับสนุนโครงการความร่วมมือ ในการพัฒนาองค์ความรู้ลักษณะนี้กับทุกสถาบัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย ทั้งทางด้านการศึกษา การแพทย์ และสังคมไทย และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยอย่างยั่งยืน และเพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยีสุขภาพของประชาชนไทยได้มากขึ้นในอนาคต” Mr. Paul Verhulst กล่าวทิ้งท้าย

นอกจากนี้ คุณสุชาดา ธนาวิบูลเศรฐ, Senior Country Director บริษัท เมดโทรนิค (ประเทศไทยจำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเมดโทรนิค ให้ความสำคัญกับคนไข้เป็นอันดับแรก โดยมุ่งเน้นในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อใช้ในการผ่าตัดได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย ยกระดับศักยภาพในการผ่าตัดของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพสูงสุด

นอกจากการพัฒนาทักษะของบุคลากรทางการแพทย์ที่เราให้ความสำคัญแล้ว เมดโทรนิคยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์ เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรคที่แม่นยำมากขึ้นและเพิ่มความปลอดภัยในการผ่าตัดให้ดียิ่งขึ้น เรามีการนำระบบหุ่นยนต์ช่วยนำทาง(Robotic Guidance System) และเครื่องช่วยผ่าตัดนำวิถี (O-arm Navigation) ซึ่งเป็นเครื่องสแกนกระดูกสันหลังในขณะผ่าตัด และสร้างภาพกระดูกสันหลังเป็นภาพทั้ง 2 มิติและ 3 มิติ ที่จะช่วยระบุบพิกัดบนภาพสแกนอวัยวะของผู้ป่วยเพื่อประกอบการตัดสินใจของแพทย์ที่จะนำไปสู่การรักษาที่ปลอดภัยมากขึ้น การแสดงผลภาพที่ชัดเจน จะทำให้แพทย์สามารถระบุตำแหน่งของเครื่องมือที่ใส่ ระยะใกล้ไกลเส้นประสาทหรือไขกระดูกสันหลังได้อย่างแม่นยำ สามารถเอ็กซ์เรย์ในห้องผ่าตัดได้โดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายคนไข้ ช่วยยกระดับการรักษาโรคทางกระดูกสันหลังด้วยการผ่าตัดแผลเล็ก (Minimally Invasive Surgery) ทำให้คนไข้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

ความร่วมมือจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมการผ่าตัดกระดูกสันหลังในครั้งนี้ได้ช่วยส่งเสริมการพัฒนาทักษะทางด้านผ่าตัดกระดูกสันหลังที่มีความซับซ้อน ให้มีผลลัพธ์ทางการรักษาที่ดีแก่ผู้ป่วย ผ่านการถ่ายทอดความรู้ให้กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และบุคลากรทางด้านสาธารณสุขทั้งในประเทศและภูมิภาคอาเซียน ให้มีทักษะการผ่าตัดที่ก้าวหน้าเพิ่มขีดความสามารถของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้พร้อมรับมือกับโรคกระดูกสันหลังที่มีความทาทายยิ่งขึ้น เพิ่มจำนวนบุคลากรมีความเชี่ยวชาญในภูมิภาค ลดการพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ พัฒนาระบบการดูแลสุขภาพในประเทศ เพิ่มการเข้าถึงการรักษาได้ทันท่วงที การทำงานร่วมกันเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบเชิงบวกอย่างมากต่อการรักษาโรคกระดูกสันหลังทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

PetPaw ฉลองเปิดแฟล็กชิพสโตร์ที่แรก! ย่านเลียบด่วนรามอินทรา

PetPaw (เพ็ทพอว์ร้านจำหน่ายสินค้าเพื่อสัตว์เลี้ยง ฉลองเปิดแฟล็กชิพสโตร์ (Flagship Store) แห่งแรก ภายใต้แนวคิด  เพ็ทพอว์เพื่อนซี้มีได้ทุกสายพันธุ์ ” เอาใจเหล่าทาสและเจ้านายกับพื้นที่เพ็ทช็อปที่กว้างใหญ่กว่าที่เคย สัมผัสประสบการณ์ช้อปแบบเต็มรูปแบบ พร้อมพบกับบริการใหม่ล่าสุด  เพ็ทพอว์กรูมมิ่ง ” เป็นที่แรกที่สาขาเลียบด่วนรามอินทรา เริ่มให้บริการ เมษายนนี้ เป็นต้นไป โอกาสนี้ได้จัดงานเพื่อฉลองเปิดสาขาใหม่ในธีมงาน  PetPaw Grand Opening รวมพลโฮ่ง&เมี้ยว ” ให้ได้ร่วมสนุกกับกิจกรรมสุดพิเศษลุ้นรับของรางวัลสำหรับน้องหมา น้องแมว และช้อปเพลินกับแบรนด์สินค้าสัตว์เลี้ยงมากกว่า 15 แบรนด์

คุณตฤณสิษฐ์ จารุรังสีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฟร์พอส์ จำกัด เผยว่า  เทรนด์การดูแลสัตว์เลี้ยงในไทยที่เติบโตอย่างต่อเนื่องนั้น ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าและบริการเพื่อสุขภาพสัตว์เลี้ยงมียอดขายสูงถึง หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8 – 10 ต่อปี โดยเฉพาะช่วงที่ผ่านมา กลุ่มคนโสด เพศทางเลือก หรือแม้กระทั่งกลุ่มผู้สูงอายุ ให้ความสนใจเลี้ยงสัตว์เลี้ยงสูงขึ้น โดยเฉพาะสัตว์เล็ก Exotic ที่ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ 

PetPaw มีจุดมุ่งหมายคือการให้บริการและจัดจำหน่ายสินค้าประเภทอาหาร และผลิตภัณฑ์ดูแลสัตว์เลี้ยงที่มีคุณภาพ ในราคาที่เหมาะสม นอกจากนั้นยังเอาใจกลุ่มผู้เล่นโซเชียลด้วยการเปิดตัวแอพพลิเคชั่นสำหรับสัตว์เลี้ยงที่เหมาะกับคนเลี้ยงสัตว์ คนรักสัตว์ ได้มาแบ่งปันความน่ารักของเหล่าสัตว์เลี้ยงผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย หรือจะสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์จากบ้านก็ได้เช่นกั

ในเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมา PetPaw ได้เปิดให้บริการร้านเพ็ทช็อปโดยประเดิมสาขาแรกที่ ปตท.พระราม กล้วยน้ำไท เพื่อจำหน่ายสินค้าที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น อาหาร ของใช้ ของเล่น ในราคาที่สามารถช้อปปิ้งได้ทุกวัน รวมถึงสินค้าพรีเมี่ยมนำเข้าจากหลากหลายประเทศ เน้นสร้างประสบการณ์ที่ดีด้วยการจัดเรียงสินค้าตามหมวดหมู่ ใส่ใจในการให้บริการ คอยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้เพลิดเพลินไปกับการเลือกซื้อสินค้า ดูแลมาตรฐานการต้อนรับของพนักงานภายในร้าน แนะนำโปรโมชั่นส่วนลดในแต่ละเดือน อีกทั้งมี  Loyalty Program “Paw Member” ให้ลูกค้าได้ซื้อสินค้าในราคาสมาชิกพร้อมสะสมยอดซื้อเพื่อแลกรับส่วนลดในครั้งต่อไป

ปัจจุบัน ร้าน PetPaw มีให้บริการแล้ว 11 สาขาในกรุงเทพ ปริมณฑล ภาคเหนือ ภาคใต้ และล่าสุดได้เปิดตัวร้านเพ็ทช็อปแห่งใหม่ สาขาเลียบด่วนรามอินทรา ซึ่งมีขนาดพื้นที่กว้างที่สุด ให้ลูกค้าได้สัมผัสกับประสบการณ์การช้อปที่มากยิ่งขึ้น และพบกับบริการใหม่ เพ็ทพอว์กรูมมิ่ง” บริการอาบน้ำตัดขน ด้วยมาตรฐานระดับสากลจาก Thonglor Groomer Academy ที่จะเริ่มให้บริการ เมษายนนี้ เป็นต้นไป

ในโอกาสฉลองเปิดสาขาใหม่ PetPaw ได้จัดงานภายในธีม “PetPaw Grand Opening รวมพลโฮ่ง&เมี้ยว” ให้เหล่าทาสและเจ้านายร่วมสนุกกับกิจกรรมสุดพิเศษ พร้อมลุ้นรับของรางวัลสำหรับน้องหมา น้องแมว อาทิ กิจกรรม Walk Rally ตะลุยด่านเก็บแต้มเพื่อรับรางวัลตรวจสุขภาพเบื้องต้นโดยสัตวแพทย์โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อบริการอาบน้ำแห้งจากแบรนด์ Nano Series, Workshop ปลอกคอสัตว์เลี้ยงเพื่อเป็นที่ระลึกเกมแข่งกินเร็ว จากแบรนด์ Pramy, เกมใครล่ะะอดใจไหว จากแบรนด์ Prama, เกมตักไข่สุ่มลุ้นรับรางวัลใหญ่ จากแบรนด์ Petidea พร้อมทั้งบูธสินค้าสัตว์เลี้ยงมากกว่า 15 บรนด์ รวมถึงหาสมาชิกเพิ่มได้จากมูลนิธิหมากระสอบ และ OCD Pet Lovers Club

นอกจากนี้ ได้เชิญเหล่าสัตว์เลี้ยงเซเลบ Influencer ชื่อดัง อย่าง สตีฟจิ๊บ Steve Jibs – เด้นติสต์ชีวิตติดเที่ยว, Million Travel Dlogger, หมาสองใบ, Chico Dog reviews, แม่แมวขอรีวิวกลุ่มแต่งบ้านให้แมวอยู่,กลุ่ม Cat Review ร่วมพบปะกับเหล่าคนรักสัตว์และสร้างความสนุกสนานภายในงานด้วย

คุณตฤณสิษฐ์ ได้กล่าวปิดท้ายว่า  PetPaw ตั้งเป้าปี 67 เร่งติดปีกขยายสาขาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพิ่มเป็น 20 – 30 สาขา โดยเน้นขยายการบริการแบบครบวงจร ประกอบด้วยสินค้าที่หลากหลาย ตอบโจทย์กลุ่มคนเลี้ยงสัตว์เลี้ยง บริการอาบน้ำตัดขน และด้านสุขภาพสำหรับสัตว์เลี้ยงในอนาคต รวมถึงมองหาโอกาสและพันธมิตรทางกลยุทธ์เพื่อขยายฐานสู่ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อไป ”


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ผลการศึกษาของซิสโก้ชี้ มี “องค์กรเพียงไม่กี่แห่ง” ในไทยที่พร้อมรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน

กรุงเทพฯ, 29 มีนาคม 2567 — มีองค์กรในไทยเพียง 9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มี ‘ความพร้อมเต็มที่’ (Mature) ในการรับมือกับความเสี่ยงด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ยุคใหม่ ตามที่ระบุไว้ในรายงานดัชนี “ความพร้อมด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ (Cybersecurity Readiness Index) ประจำปี 2567” ของซิสโก้

รายงานดัชนี “ความพร้อมด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ประจำปี 2567” ของซิสโก้ ได้รับการจัดทำขึ้นในยุคที่มีการเชื่อมต่อถึงกันอย่างหลากหลาย (hyperconnectivity) และสถานการณ์ภัยคุกคามมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว  ทุกวันนี้ บริษัทต่างๆ ยังคงตกเป็นเป้าหมายการโจมตีด้วยเทคนิคที่แตกต่างมากมาย ตั้งแต่ฟิชชิ่งและแรนซัมแวร์ ไปจนถึงการโจมตีจากซัพพลายเชนและโซเชียล เอนจิเนียริ่ง ถึงแม้ว่าองค์กรต่างๆ จะมีการติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันการโจมตีเหล่านี้ แต่ก็ยังคงประสบปัญหาในการป้องกันภัยคุกคามอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมาตรการรักษาความปลอดภัยที่มีความซับซ้อนมากจนเกินไป เนื่องจากมีการติดตั้งโซลูชั่นเฉพาะจุดจำนวนมาก ก็ส่งผลให้องค์กรประสบความยากลำบาก

ปัญหาท้าทายเหล่านี้เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมการทำงานแบบกระจายในปัจจุบัน ซึ่งข้อมูลสามารถแพร่กระจายไปยังการให้บริการ อุปกรณ์ แอปพลิเคชั่น และผู้ใช้จำนวนมากอย่างไม่จำกัด  อย่างไรก็ตาม 89% ของบริษัทที่ตอบแบบสอบถามยังคงรู้สึกมั่นใจใน ‘ระดับปานกลางถึงระดับสูงมาก’ เกี่ยวกับความสามารถในการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ในปัจจุบัน  ความแตกต่างระหว่าง ‘ความเชื่อมั่น’ และ ‘ความพร้อม’ นี้ชี้ให้เห็นว่าบริษัทต่างๆ อาจมีความมั่นใจที่ผิดเกี่ยวกับความสามารถของตนเองในการรับมือกับภัยคุกคาม และอาจไม่สามารถประเมินความรุนแรงที่แท้จริงของปัญหาท้าทายกำลังเผชิญอยู่ได้อย่างถูกต้อง

รายงานดัชนี “ความพร้อมด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ประจำปี 2567” ของซิสโก้: บริษัทที่ ‘ไม่เตรียมพร้อมและมีความมั่นใจมากเกินไป’ ต้องเผชิญและรับมือกับภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

รายงานดัชนีนี้ประเมินความพร้อมของบริษัทใน 5 ด้านที่สำคัญ ได้แก่ ระบบอัจฉริยะด้านข้อมูลบุคคล, ความยืดหยุ่นของเครือข่าย, ความน่าเชื่อถือของแมชชีน, ความแข็งแกร่งของคลาวด์ และการเสริมกำลังด้วย AI  ซึ่งประกอบด้วยโซลูชั่นและฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้อง 31 รายการ โดยอิงจากการสำรวจความคิดเห็นแบบปกปิดสองทาง (Double-Blind) ของผู้บริหารฝ่ายรักษาความปลอดภัยและฝ่ายธุรกิจขององค์กรเอกชนมากกว่า 8,000 คนใน 30 ประเทศทั่วโลก โดยการสำรวจความคิดเห็นครั้งนี้ดำเนินการโดยองค์กรอิสระ  ผู้ตอบแบบสอบถามถูกขอให้ระบุว่ามีโซลูชั่นและฟีเจอร์ใดบ้างที่พวกเขาได้ติดตั้งใช้งาน รวมถึงระดับของการใช้งาน จากนั้นบริษัทต่างๆ ถูกแบ่งกลุ่มตามระดับความพร้อม 4 ระดับ ได้แก่ ระดับ Beginner (ระดับเริ่มต้น), Formative (ระดับสร้างฐานความพร้อม), Progressive (ระดับก้าวหน้า) และ Mature (ระดับพร้อมเต็มที่)

จีทู พาเทล, รองประธานบริหารและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายระบบรักษาความปลอดภัยและการทำงานร่วมกันของซิสโก้ กล่าวว่า “เราไม่ควรละเลยความเสี่ยงจากภัยคุกคามที่เกิดจากความมั่นใจเกินไปของเรา องค์กรในปัจจุบันจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการลงทุนในแพลตฟอร์มแบบครบวงจร และนำ AI มาใช้เพื่อการดำเนินการของแมชชีน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะช่วยให้องค์กรมีความได้เปรียบในการป้องกันมากขึ้น”

ข้อมูลที่พบจากผลการศึกษา

โดยรวมแล้ว จากผลการศึกษาพบว่า บริษัทในไทยมีเพียง 9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่พร้อมรับมือกับภัยคุกคามในปัจจุบัน โดยองค์กรมากกว่าครึ่งหนึ่ง (54%) มีความพร้อมในระดับเริ่มต้น หรือระดับสร้างฐานของความพร้อม ขณะที่บริษัทต่างๆ ทั่วโลก 3% มีระดับความพร้อมเต็มที่ นอกจากนั้น:

  • เหตุการณ์ทางไซเบอร์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต: 65% ของผู้ตอบแบบสอบถาม คาดการณ์ว่า เหตุการณ์ด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้จะทำให้ธุรกิจของพวกเขาหยุดชะงักใน 12 ถึง 24 เดือนข้างหน้า  การที่องค์กรขาดความพร้อมอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายที่มีมูลค่าสูงมาก โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 51% กล่าวว่าพวกเขาประสบกับเหตุการณ์ด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และ 69% ขององค์กรที่ได้รับผลกระทบระบุว่าปัญหาที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายอย่างน้อย 300,000 ดอลลาร์
  • การติดตั้งโซลูชั่นเฉพาะจุดมากเกินไป: แนวทางแบบเดิมๆ ในการติดตั้งโซลูชั่นเฉพาะจุดจำนวนมากสำหรับการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ โดย 92% ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่าการมีโซลูชั่นเฉพาะจุดจำนวนมากส่งผลให้ทีมทำงานได้ช้าลงในการตรวจจับการโจมตี การตอบสนอง และการกู้คืนระบบ ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลใจเป็นอย่างมาก โดย 75% ขององค์กรกล่าวว่าพวกเขาได้ติดตั้งโซลูชั่นด้านการรักษาความปลอดภัยแบบเฉพาะจุด 10 โซลูชั่นขึ้นไป ขณะที่ 35% มีอย่างน้อย 30 โซลูชั่น
  • อุปกรณ์ที่ ‘ไม่ปลอดภัย’ และ ‘ไม่มีการจัดการ’ สร้างความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น: 94% ของบริษัทกล่าวว่าพนักงานของตนเข้าถึงแพลตฟอร์มของบริษัทจากอุปกรณ์ที่ไม่มีการจัดการ และ 42% ของบริษัทเหล่านั้นใช้เวลาหนึ่งในห้า (20%) ในการล็อกออนเข้าสู่ระบบเครือข่ายของบริษัทจากอุปกรณ์ที่ไม่มีการจัดการ  นอกจากนี้ 26% รายงานว่าพนักงานมีการสลับไปมาระหว่างเครือข่ายต่างๆ อย่างน้อยหกเครือข่ายในหนึ่งสัปดาห์
  • การขาดแคลนบุคลากรทางไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง: องค์กรต่างๆ ไม่สามารถพัฒนาด้านความปลอดภัยอย่างเต็มศักยภาพเนื่องจากขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถ โดยบริษัท 91% เน้นย้ำว่าปัญหานี้นับเป็นเรื่องสำคัญ  และที่จริงแล้ว บริษัท 43% พบว่าพวกเขายังคงขาดแคลนบุคลากรในตำแหน่งงานที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์มากกว่า 10 อัตราในช่วงที่มีการสำรวจความคิดเห็น
  • การลงทุนด้านไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต: บริษัทต่างๆ ตระหนักถึงปัญหาท้าทายดังกล่าว และกำลังดำเนินการเพื่อยกระดับการป้องกัน โดย 65% มีแผนที่จะอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีครั้งใหญ่ใน 12 ถึง 24 เดือนข้างหน้า  ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจาก 47% ที่วางแผนจะทำเช่นนั้นในปีที่แล้ว โดยองค์กรต่างๆ วางแผนที่จะอัปเกรดโซลูชั่นที่มีอยู่ (70%) ปรับใช้โซลูชั่นใหม่ (53%) และลงทุนในเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI (61%)  นอกจากนี้ เกือบทั้งหมด (99%) ของบริษัทที่ตอบแบบสอบถามคาดว่าจะเพิ่มงบประมาณด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ใน 12 เดือนข้างหน้า และ 94% กล่าวว่างบประมาณของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10%

เพื่อเอาชนะปัญหาท้าทายเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยคุกคามในปัจจุบัน บริษัทต่างๆ ต้องเร่งดำเนินการลงทุนที่สำคัญในระบบรักษาความปลอดภัย รวมถึงการใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่เป็นนวัตกรรมใหม่, การปรับใช้แนวทางแพลตฟอร์มการรักษาความปลอดภัย, การเสริมความยืดหยุ่นของเครือข่าย, การใช้งาน Gen AI อย่างเหมาะสม และเพิ่มบุคลากรที่มีความสามารถเพื่อลดช่องว่างของทักษะด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้

วีระ อารีรัตนศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ ซิสโก้ ประเทศไทย และเมียนมาร์ กล่าวว่า “สถานการณ์ภัยคุกคามในปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้น ขณะที่บริษัทต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย ยังไม่มีการเตรียมความพร้อมอย่างเพียงพอ รายงานดัชนีความพร้อมด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ล่าสุดของเราเปิดเผยว่า บริษัทในไทยเพียง 9% เท่านั้นที่มี ‘ความพร้อมอย่างเต็มที่’ ในการรับมือกับความเสี่ยงด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ยุคใหม่ ซึ่งลดลงจากปี 2566 ที่องค์กรมีความพร้อมอยู่ที่ 27%  องค์กรธุรกิจในไทยจึงจำเป็นที่จะต้องปรับใช้แนวทางแพลตฟอร์มแบบหลายทาง (multi-pronged platform approach) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ตั้งแต่การลงทุนในมาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ไปจนถึงการใช้ประโยชน์จาก Gen AI เพื่อปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัย ลดช่องว่างด้านบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ และวางรากฐานสำหรับการเตรียมความพร้อมในทุกๆ ส่วนทั่วทั้งองค์กร”

ข้อมูลเพิ่มเติม:

 

เกี่ยวกับ ซิสโก้ (Cisco)

Cisco (NASDAQ: CSCO) เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่เชื่อมต่อทุกสิ่งอย่างปลอดภัยเพื่อให้ทุกสิ่งเป็นไปได้ เป้าหมายของซิสโก้คือขับเคลื่อนอนาคตสำหรับทุกคนโดยช่วยลูกค้าคิดใหม่ (reimagine) เกี่ยวกับแอปพลิเคชัน ขับเคลื่อนการทำงานแบบไฮบริด รักษาความปลอดภัยให้กับองค์กร ทรานส์ฟอร์มโครงสร้างพื้นฐาน และบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน เปิดประสบการณ์กับซิสโก้ที่ห้องข่าว The Newsroom และติดตามข่าวสารของซิสโก้บน X ที่ @Cisco.


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ครั้งแรก! ใน SEA “ห้างเซ็นทรัล” จับมือ “TikTok Shop” มอบประสบการณ์ช้อปปิ้งไร้ขีดจำกัด ผ่านอีเว้นท์สุดชิคใจกลางกรุง

ห้างเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ของเมืองไทย ผนึกกำลังร่วมกับ TikTok Shop ผู้นำเทรนด์ Shoppertainment ประเดิมความสนุกรับเทศกาลช้อปช่วงซัมเมอร์ 2024 จัดเอ็กซ์คลูซีฟ อีเว้นท์ครั้งแรกใน Southeast Asia กับ “TikTok Shop I Central Exclusive Launch Only on Mall” ภายใต้คอนเซ็ปต์ จะอยู่ไหน ก็ช้อปมั่นใจเหมือนอยู่ห้าง ย้ำศักยภาพผู้นำห้างออมนิชาแนลที่เชื่อมระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์ให้ลูกค้าได้รับความสนุกอย่างสมบูรณ์แบบ

นางสาว รวิศรา จิราธิวัฒน์ ประธานบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เล่าถึงการผนึกกำลังในครั้งนี้ว่า “ห้างเซ็นทรัลเล็งเห็นความสำคัญของการสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อมาโดยตลอด เราจึงเป็นรีเทลแรกที่สร้างแพลตฟอร์มออมนิชาแนลจนแข็งแกร่ง และคำนึงถึงการพัฒนารูปแบบของแคมเปญให้ตอบโจทย์กับทุก Touch Point ของกลุ่มลูกค้าของห้าง รวมถึงมุ่งขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ ในฐานะ No.1 Shopping Destination เพราะอยากให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายมากที่สุดในทุกการช้อป และในครั้งนี้เราร่วมกับ TikTok Shop จัดเอ็กซ์คลูซีฟอีเว้นท์ TikTok Shop I Central Exclusive Launch Only on Mall” บริเวณชั้น 1  ห้างเซ็นทรัล แอท เซ็นทรัลเวิล์ด รวมตัวสายช้อป และเหล่าครีเอเตอร์ชื่อดังมาเอนจอยความสนุกด้วยกันในครั้งนี้ และเชื่อว่าด้วยศักยภาพของห้างเซ็นทรัลที่มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง การันตีความน่าเชื่อถือจากลูกค้าทั่วประเทศมากว่า 77 ปี มีหน้าร้าน มีสาขาทั่วประเทศ จะหนุนให้ลูกค้าช้อปมั่นใจยิ่งขึ้นบน Central TikTok Shop Mall เสริมให้ลูกค้าของเราทั้ง 2 แบรนด์ได้สัมผัส O2O Experience (Online-to-Offline) หรือประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อเชื่อมระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์ได้อย่างแท้จริง และยังได้รับสิทธิพิเศษทั้งบน Central App และบน Central TikTok Shop ซึ่งเราคาดว่าความพิเศษในครั้งนี้จะสร้างยอดขายได้มากกว่า X5 เท่าเมื่อเทียบกับวันปกติ

ด้าน นางสาว กรณิการ์ นิวัติศัยวงศ์, Head of FMCG, E-Commerce – TikTok Shop Thailand กล่าวเสริมว่า “เรายินดีที่ได้จับมือกับห้างเซ็นทรัลในการมอบประสบการณ์ Shoppertainment อีกขั้นของการช้อปปิ้งที่ผสานรวมเข้ากับความบันเทิงแก่นักช้อปไทยผ่าน TikTok Shop Mall แหล่งซื้อสินค้าคุณภาพ การันตีของแท้จากแบรนด์ชั้นนำที่เพิ่งเปิดตัวล่าสุด รวมถึงความสนุกของกิจกรรมภายใต้อีเว้นท์ TikTok Shop I Central Exclusive Launch Only on Mall’ ตั้งแต่วันนี้ – 31 มี.ค. 2567 ที่ชวนเหล่าครีเอเตอร์ชื่อดังมาทำ Live Commerce และนำเสนอคอนเท้นต์การช้อปที่สนุกสนานในธีมต่าง ๆ ช่วงตลอดระยะเวลาของแคมเปญและยังมีกิจกรรมสุดพิเศษ ให้เหล่านักช้อปได้ใกล้ชิดกับศิลปินชื่อดัง โดยลูกค้าที่ช้อปผ่าน Mall ของ Central ใน TikTok Shop Mall จะได้รับสิทธิฟรีค่าจัดส่ง คืนสินค้าและรับเงินคืนภายใน 15 วัน พร้อมมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งที่สะดวกสบายและมั่นใจได้เหมือนช้อปที่ห้าง” 

โดยไฮไลท์ครั้งนี้ ห้างเซ็นทรัล และ TikTok Shop ขอเชิญลูกค้าทุกท่านร่วมสนุกกับประสบการณ์ช้อปปิ้งสุดเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมทริคการสร้างสรรค์คอนเทนต์ของกองทัพเหล่าครีเอเตอร์แถวหน้าของเมืองไทย อาทิ จันจิ จันจิรา จันทร์พิทักษ์ชัย, ตือ สมบัษร ถิระสาโรช, นัท นิสามณี เลิศวรพงศ์, มายด์ ณภศศิ สุรวรรณ และ ครีเอเตอร์คนดังอื่น ๆ อีกมากมาย ที่มาร่วมทำไลฟ์สตรีมมิ่ง พร้อมกิจกรรมให้เหล่าช้อปเปอร์ได้ Meet & Greet กับศิลปินชื่อดัง อาทิ  ต้า นันคุณ ภัคภัทรพรพบ, บาร์โค้ด ตฤณสิษฐ์ อิสระพงศ์พร และ ฟิล์ม ธนภัทร กาวิละ เป็นต้น ที่ ห้างเซ็นทรัล แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 1 Event Arena ตั้งแต่วันนี้ – 31 มีนาคม 2567


Exit mobile version