Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ปลื้ม คว้าใบรับรองความปลอดภัยทางไซเบอร์ขั้นสูง ให้โซลูชั่น EcoStruxure™ IT DCIM ได้สำเร็จเป็นเจ้าแรกในอุตสาหกรรม

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ ประกาศการเป็นเจ้าแรกในอุตสาหกรรมที่ Network Management Card 3 (NMC3) ของแพลตฟอร์ม EcoStruxure IT ได้รับใบรับรองความปลอดภัยทางไซเบอร์ในระดับที่เหนือชั้นขึ้นไปอีก โดยเป็นการ์ดจัดการเครือข่ายสำหรับการบริหารโครงสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ หรือ Data Center Infrastructure Management (DCIM) รายแรกในอุตสาหกรรมที่ได้รับมาตรฐาน IEC 62443-4-2 Security Level 2 (SL2) จาก IEC ซึ่งเป็นคณะกรรมการอิเล็กโทรเทคนิคระหว่างประเทศ (IEC)

TÜV Rheinland หนึ่งในผู้ให้บริการด้านการทดสอบชั้นนำรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้ให้การรับรองแพลตฟอร์ม NMC3 ด้วยความเป็นกลาง เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าจากผู้ผลิตที่ออกแบบมาสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์และสภาพแวดล้อม IT แบบกระจายศูนย์ จะเป็นไปตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด โดยผ่านการทดสอบ และการประเมินอย่างละเอียด

การรับรองความปลอดภัยไซเบอร์ใหม่ในระดับสูงนี้ นับเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมด้านการดำเนินงานด้วยความปลอดภัย และเพิ่มการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยการรับรอง SL2 มีข้อกำหนดที่เข้มงวดมากขึ้น และให้ความยืดหยุ่นด้านความปลอดภัยที่สูงกว่าระดับ SL1 ที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้รับในปีที่ผ่านมา

นอกจากมาตรฐานใหม่แล้ว TÜV Rheinland ยังให้การรับรองชไนเดอร์ อิเล็คทริค และกระบวนการทำงานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ อาทิ NMC3 ว่าเป็นไปตามข้อกำหนด ISASecure® Secure Development Lifecycle Assurance (SDLA)

เทคโนโลยี NMC3 ถูกผสานรวมอยู่ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ภายใต้ EcoStruxure IT DCIM ส่วนใหญ่ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค โดยให้การทำงานและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถเข้าถึงได้จากระยะไกลผ่านเครือข่าย สำหรับการควบคุมระบบไฟฟ้าและระบบโครงสร้างด้านการระบบความร้อนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง

“จากรายงาน Allianz Risk Barometer ประจำปี 2024 พบว่าปัญหาทางไซเบอร์ถูกจัดอันดับให้เป็นความกังวลอันดับหนึ่งของธุรกิจ โดยมีการรายงานค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่มากกว่า 4 ล้านดอลลาร์ต่อเหตุการณ์ เราจึงเข้าใจได้ว่าทำไมความปลอดภัยไซเบอร์ถึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ สำหรับ CIOs” เควิน บราวน์ รองประธานอาวุโสด้าน EcoStruxure IT และธุรกิจศูนย์ข้อมูลของชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “การได้รับการรับรองความปลอดภัยไซเบอร์ด้วยมาตรฐาน IEC 62443-4-2 SL2 และ ISASecure® SDLA ทำให้ชไนเดอร์ อิเล็คทริคเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่มีการรับรองทั้งสองด้าน จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานหลัก”

ลดความซับซ้อนในกระบวนการติดตั้งเฟิร์มแวร์

หลายบริษัทต่างพบอุปสรรคในการคอยติดตามการอัปเดตเฟิร์มแวร์ ลูกค้าองค์กรหลายรายบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน และระบบทำความเย็นหลัก ด้วยเครื่องมือการบริหารจัดการภายในองค์กร เครื่องมือบริหารจัดการเครือข่ายจากผู้ให้บริการรายอื่นๆ หรือระบบบริหารจัดการอาคาร ซึ่งระบบเหล่านี้ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่เฟิร์มแวร์ที่มีการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ปลายทาง โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมเอดจ์และการทำงานแบบกระจายศูนย์ จึงจำเป็นต้องมีการอัปเดต ระบบ EcoStruxure IT Secure NMC มีการจัดการเฟิร์มแวร์ที่ฝังอยู่ภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยเครื่องมือใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ โดยเครื่องมือ Secure NMC System Tool จะเปลี่ยนแปลงกระบวนการที่ยุ่งยาก ทั้งการค้นหา และการติดตั้งเฟิร์มแวร์เวอร์ชั่นล่าสุดบนอุปกรณ์ทั้งหมด ทำให้กระบวนการทำงานเร็วขึ้นถึง 90% ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องค้นหาเฟิร์มแวร์แบบเฉพาะกิจอีกต่อไป ไม่ต้องตรวจสอบว่าเฟิร์มแวร์นั้นเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดสำหรับอุปกรณ์หรือไม่ และไม่ต้องอ่านบันทึกการเปลี่ยนแปลงเพื่อทำความเข้าใจว่ามีอะไรรวมอยู่ในเวอร์ชั่นใหม่ก่อนที่จะดาวน์โหลดและอัปเดตอุปกรณ์ เพราะเครื่องมือ Secure NMC System Tool จะแจ้งเตือนลูกค้าเมื่อมีเฟิร์มแวร์ใหม่ที่พร้อมใช้งาน และแนะนำขั้นตอนการติดตั้งเวอร์ชั่นใหม่

ประโยชน์ของระบบ Secure NMC ได้แก่

  1. หมดปัญหากังวลใจเรื่องระบบไม่ทันสมัย โดยช่วยให้บริหารจัดการเฟิร์มแวร์ได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้นถึง 90% และช่วยลดความเสี่ยง
  2. ดำเนินการสอดคล้องตามข้อบังคับอย่างต่อเนื่องโดยลูกค้าจะมีแนวทางในการอัปเดตความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและระบบทำความเย็นหลักที่เป็นระบบและได้มาตรฐาน
  3. ลดความเสี่ยงต่อการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น การรับรองมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ IEC 62443-4-2 SL2 และ ISASecure® SDLA เมื่อมารวมกับเครื่องมือระบบ Secure NMC ช่วยให้มั่นใจได้ว่าอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อได้รับการป้องกันอีกระดับ ด้วยการอัปเดตความปลอดภัยล่าสุด

“EcoStruxure IT มอบแนวทางที่มีประสิทธิภาพให้กับลูกค้า ให้ความยืดหยุ่นในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานไอทีได้ตามต้องการโดยง่ายดาย รวมถึงการบริหารจัดการได้สอดคล้องตามข้อบังคับด้านความปลอดภัยไซเบอร์ เพราะการรักษาความปลอดภัยไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องยุ่งยาก” บราวน์กล่าว “เราเป็นรายแรกในอุตสาหกรรมที่นำเสนอทางออกดังกล่าว ขณะที่เรายังคงมุ่งมั่นในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่ให้ความยืดหยุ่น ปลอดภัย และยั่งยืน”

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ EcoStruxure IT ระบบ Secure NMC คลิกได้ที่นี่ การรับรองความปลอดภัยไซเบอร์ IEC 62443-4-2 SL2 ใหม่สามารถดูได้ที่นี่ การใช้งานเฟิร์มแวร์ต้องสมัครสมาชิก Secure NMC ก่อนเพื่อเข้าถึงเฟิร์มแวร์ที่ได้รับการรับรอง IEC ผ่านเครื่องมือ Secure NMC System


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Primo รายแรกของธุรกิจบริการอสังหาฯ นำ “พี่พรีโม-น้องพรีโม” หุ่นยนต์ส่งของ-ทำความสะอาด ใช้ในคอนโด-โรงแรม

“Primo, Happy “Smart Living” Maker ให้ความสุขในการใช้ชีวิตเป็นเรื่องง่าย…เลือกให้พรีโมดูแล ข้อความที่ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ( One Stop Service ) บมจ.พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น หรือ PRI ส่งตรงถึงผู้รับบริการหลังการขาย เพื่อตอกย้ำการให้ความสำคัญกับการพัฒนาการบริการ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตภายในโครงการคอนโดมิเนียม และโรงแรมของผู้พักอาศัยที่มีไลฟ์ไสตล์ชีวิตที่แตกต่างกันได้ในทุกช่วงเวลาด้วยการนำเอา “พี่พรีโม-น้องพรีโม”
 2 นวัตกรรมหุ่นยนต์ IOT(Internet Of Thing ) ที่พรีโมพัฒนาขึ้น เพื่อนำมาใช้บริการส่งของ และทำความสะอาดภายในโครงการที่พรีโมบริหาร ได้แก่ โครงการ คอนโดมิเนียม และ โรงแรม พร้อมเสริมความสะดวกสบายให้มากขึ้น ด้วยบริการแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชัน  Primo Plus และไลน์แอปพลิเคชั่น ซึ่งเป็นการต่อยอดความสำเร็จของ DoorMart ที่มุ่งเน้นส่งมอบความสะดวกสบายให้แก่ลูกบ้านถึงหน้าประตูห้อง ด้วยความมั่นใจในความปลอดภัย และความอุ่นใจในการบริการจากพรีโม

“หุ่นยนต์” เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์อุตสาหกรรม หุ่นยนต์ที่ใช้ในที่ทำงาน หุ่นยนต์ช่วยขนย้ายสิ่งของ และหุ่นยนต์ที่ใช้ในงานบ้าน ต่างออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกและคอยช่วยเหลือในการทำงานต่างๆ ด้วยความล้ำหน้าและทันสมัยของหุ่นยนต์ ทำให้ในปัจจุบันมีพัฒนาการที่สามารถตอบโต้กับมนุษย์ได้ทั้งในเรื่องของเสียง การรับคำสั่ง จนไปถึงการปฏิบัติการอันชาญฉลาด ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงให้การใช้ชีวิตเป็นเรื่องง่ายขึ้น

พรีโมรายแรกในธุรกิจบริการอสังหาฯ นำ “พี่พรีโม – น้องพรีโม” 2 คู่หูหุ่นยนต์อัจฉริยะ
บริการรับ-ส่งของ และทำความสะอาด ตอบโจทย์ Smart Living

พรีโมฯ บริษัทบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรรายแรก ที่นำหุ่นยนต์มาใช้บริการรับ-ส่งของให้แก่ลูกบ้าน เพื่ออำนวยความสะดวกการในการใช้ชีวิตให้เป็นเรื่องง่าย พร้อมวางแผนต่อยอดแนวคิด “Happy Maker สร้างสรรค์ความสุขของคุณ ด้วยบริการจากใจของเรา ที่พร้อมมุ่งมั่นในการสร้างความสุขสมบูรณ์แบบ ในทุกช่วงเวลาการอยู่อาศัยสำหรับทุกคน” ซึ่งวางเป้าหมายครอบคลุมทุกโครงการภายใน 3 ปี ตอกย้ำแผนสร้าง “Super Living Service” บริการอสังหาฯ ครบวงจรเพื่อทั้งลูกค้า B2B และ B2C ปัจจุบันนำร่อง 4 โครงการ บนทำเลศักยภาพ คือ โครงการ พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ (Park Origin Thonglor), โครงการ ออริจิ้น ปลั๊ก & เพลย์ นนทบุรี สเตชั่น (Origin Plug&Play Nonthaburi Station), โครงการ ดิ ออริจิ้น ลาดพร้าว-บางกะปิ (The Origin Ladprao-Bangkapi) และ โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท (Staybridge Suites Bangkok Sukhumvit)

หุ่นยนต์รับ-ส่งของ เป็นหนึ่งในการพัฒนาธุรกิจการบริการของพรีโม ที่ต่อยอดจากความสำเร็จในการบริการส่งของและอำนวยความสะดวกถึงหน้าประตูห้องของ DoorMart และยกระดับการบริการอำนวยความสะดวกของกลุ่มลูกค้าในปัจจุบันที่หลากหลายตามรูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน

นายสุรินทร์ สหชาติโภคานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) มองเทรนด์การใช้ชีวิตสมัยใหม่รวมทั้งการสานต่อแนวคิด Primo Happy Maker ด้วยการให้ความสำคัญกับการพัฒนาการบริการด้วยนวัตกรรม เพื่ออำนวยความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตให้เป็นเรื่องง่ายมากขึ้น ตอบรับเทรนด์ Smart Living ที่มีพฤติกรรมการอยู่อาศัยที่แตกต่างกันภายในโครงการ ซึ่งตลอดระยะเวลาดำเนินธุรกิจกว่า 10 ปี พรีโม ไม่เคยหยุดนิ่งในการศึกษาพัฒนาเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี (Technological Breakthrough) มาอย่างต่อเนื่องเพราะเชื่อว่าเทคโนโลยีเป็นอีกหนึ่ง Mega trend ที่จะเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจบริการอสังหาฯ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้นโดยภาพดังกล่าวก็มีความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆในปัจจุบัน ซึ่งล่าสุดทางพรีโมได้นำหุ่นยนต์นวัตกรรม IOT มาใช้บริการลูกบ้านเป็นครั้งแรก

“พี่พรีโม” หุ่นยนต์รับ-ส่งของถึงหน้าประตูห้อง ด้วยนวัตกรรม IOT ประหยัดพลังงาน ใช้งานง่าย พร้อมแจ้งเตือนผ่านไลน์

นวัตกรรมไฮไลท์หุ่นยนต์อัจฉริยะอยากรับของตอนไหน ก็ไม่ต้องวอรี่ “พี่พรีโม” ดูแลให้ ตั้งแต่บริการส่งพัสดุ จดหมาย  สิ่งของ ถึงหน้าประตูห้องพักอาศัยตลอดทุกช่วงเวลา โดย  Technology Service ที่พรีโมได้ทุ่มเทพัฒนาเทคโนโลยี IOT  เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

  • การทำงานด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีคนควบคุม เช่น การชาร์จแบตเตอรี่
  • การเรียนรู้ตำแหน่ง ตรวจจับวัตถุ เพื่อช่วยเพิ่มความแม่นยำ และเดินทางได้อย่างถูกต้อง
  • การเคลื่อนไหวที่ราบรื่นและปรับความเร็วได้ เพื่อรักษาสิ่งของได้อย่างปลอดภัย ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย เช่น การขึ้นลงอาคาร การส่งของระหว่างอาคาร เพื่อขยายขอบเขตในการบริการ
  • การตรวจสอบสถานะ และสรุปผลข้อมูลการทำงาน

เพิ่มศักยภาพเทคโนโลยี เติมเต็มด้านการบริการ “พี่พรีโม” รับส่งของเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยเพิ่มความ สะดวกสบายอย่างไร้ขีดจำกัด Delivery Service

  • ส่งสินค้าได้มากถึง 10 ชิ้นต่อครั้ง ปรับช่องเก็บของได้หลากหลายเพื่อรองรับการส่งของหลากหลายรูปแบบ
  • รับน้ำหนักรวมในการขนส่งได้มากถึง 60 กิโลกรัม
  • แจ้งรับส่งพัสดุ ติดตามสถานะ และแจ้งเตือนได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว ผ่านทางแอปพลิเคชัน Primo Plus และแอปพลิเคชันไลน์
  • สะอาดปลอดภัยด้วยนวัตกรรมฆ่าเชื้อโรคด้วยแสง UV 99.9%
  • เทคโนโลยี Laser SLAM Navigation เพื่อความแม่นยำสูงสุดในการทำงาน และสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางได้ดีเยี่ยม

“น้องพรีโม” หุ่นยนต์ทำความสะอาด 4-IN-1 กวาด ขัด ดูดฝุ่น ถูพื้น ด้วยเครื่องเดียว

ดูแลในทุกพื้นที่ให้สะอาดสวยงามตลอดทุกช่วงเวลาสำหรับคุณ

  • ทำความสะอาดทุกคราบเปื้อน ปัด กวาด ดูดฝุ่น ถูพื้น ในทุกพื้นที่ผิว อาทิ หินอ่อน กระเบื้อง เรซิน หรือแม้กระทั่งพรม ที่สกปรกตลอดทุกช่วงเวลา
  • ทำงานได้ด้วยตัวเอง สามารถเติมและระบายน้ำได้อัตโนมัติ รวมถึงทำงานร่วมกับหุ่นยนต์ตัวอื่นได้
  • มีเทคโนโลยีเซนเซอร์ทำให้เคลื่อนไหวคล่องตัว หลบหลีกสิ่งกีดขวางได้อย่างราบรื่น
  • สามารถตรวจสอบสถานะ พร้อมจดจำการทำงานและสรุปผลข้อมูลการทำงานได้

อีกไฮไลท์ของคู่ดูโอ “พี่พรีโม-น้องพรีโม” ที่เติมเต็มความครบวงจรของงานบริการ Happy Maker Service คือสามารถสื่อสารร้องเพลง และสร้างปฎิสัมพันธ์โต้ตอบกับลูกค้า เสมือนเป็นพนักงานบริการที่มีชีวิต นอกจากการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการบริการ เพื่อพร้อมอำนวยความสะดวก ตอบโจทย์เทรนด์การอยู่อาศัยที่แตกต่างกันแล้ว พรีโมยังเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิดของ PRIMO CARE  HAPPY “SUSTAINABILITY SOCIETY” MAKER : พรีโมสร้างสรรค์ชุมชนให้เติบโต ด้วยความสุขที่ยั่งยืน” โดยพี่พรีโมและน้องพรีโมช่วยลดการใช้พลังงานภายในโครงการได้มากถึง 50% เมื่อเทียบกับการรับ-ส่งของ และทำความสะอาดแบบปกติ รวมถึงวัสดุที่ผลิตทั้งหมดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ แข็งแรงทนทานโดยใช้อลูมิเนียมเกรดอุตสาหกรรมการบิน ทั้งหมดนี้เพื่อส่งมอบความสุขให้กับลูกค้า ผู้อยู่อาศัย ชุมชน และสังคม โดยยังคงมุ่งมั่นให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนควบคู่กันเสมอมา

“การนำหุ่นยนต์อัจฉริยะรับ-ส่งของ หรือ พี่พรีโม่ และน้องพรีโม หุ่นยนต์ทำความสะอาด เข้ามาใช้เพื่อให้บริการลูกบ้านในคอนโดฯและโรงแรม พร้อมแจ้งเตือนผ่านแอปฟลิเคชัน  Primo Plus และไลน์แอปพลิเคชั่นในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทฯ ในการยกระดับงานบริการด้วยระบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในธุรกิจ นอกจากจะช่วยให้พรีโมเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมบริการ โดยหุ่นยนต์อัจฉริยะนั้นไม่เพียงช่วยลดภาระของพนักงาน แต่ยังช่วยให้บริการมีคุณภาพและตอบสนอง
ความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เราจะเป็น Happy Maker ที่มีบริการตอบโจทย์ความสุขของผู้บริโภคตลอดทุกช่วงชีวิต” นายสุรินทร์ กล่าว

นายอิงครัต ไตรทรัพย์ Service Innovation บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนา “พี่พรีโม และน้องพรีโม” นวัตกรรมหุ่นยนต์ IOT คู่ดูโอ้ มองว่าจุดแข็งของทุกธุรกิจในเครือของพรีโม คือมาตรฐานการบริการที่สร้างความสุขแก่ผู้บริโภคให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งปัจจุบันเทรนด์การอยู่อาศัย และพฤติกรรมการใช้ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วสู่ชีวิตแบบดิจิทัลมากขึ้น พรีโมจึงให้ความสำคัญกับการยกระดับความสุขด้วยการนำนวัตกรรมเพื่อการบริการมาใช้ พร้อมตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบ Smart Living โดยมีแผนพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่ออำนวยความสะดวกสบาย และง่ายในการใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่มีความต้องการ และไลฟ์สไตล์ชีวิตที่แตกต่างกันตลอด 24 ชั่วโมง ควบคู่กับการให้ความสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมอย่างยั่งยืนทั้งด้านการใช้พลังงาน การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และการใช้งานวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้บริโภค ชุมชน และสังคม

โดยในไตรมาส 4 ปี 2024 นี้ ได้เริ่มทดลองใช้พี่พรีโม-น้องพรีโม หุ่นยนต์ส่งของและทำความสะอาดที่ 4 โครงการคอนโดมิเนียมและโรงแรม เพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับ DoorMart บริการอำนวยความสะดวกสำหรับลูกบ้านในทุกความต้องการถึงหน้าประตู อาทิจัดส่งพัสดุ สินค้าเดลิเวรี่, ซักอบรีดเสื้อผ้า, แม่บ้านทำความสะอาดห้อง ลูกบ้านทุกคนจะได้รับบริการและมั่นใจในความปลอดภัย อุ่นใจในการใช้ชีวิต ง่ายต่อการอยู่อาศัย ซึ่ง DoorMart ประสบความสำเร็จอย่างสูงหลังเริ่มทดลองใช้ในหลายโครงการที่พรีโมบริหาร อาทิ โครงการ ไนท์บริดจ์ ไพร์ม สาทร (Knightsbridge Prime Sathorn), ไนท์บริดจ์ สเปซ พระราม 9 (Knightsbridge Space Rama 9), ดิ ออริจิ้น ราม 209 อินเตอร์เชนจ์ (The Origin Ram 209 Interchange) เป็นต้น

ในปี 2568 พรีโมได้ตั้งเป้าวางแผนให้บริการ DoorMart และหุ่นยนต์ IOT พี่พรีโม-น้องพรีโม ในโครงการที่พรีโมบริหารเพิ่มขึ้นอีก 13 โครงการ รวมโครงการที่ให้บริการมากขึ้นถึง 285% นับเป็นอีกก้าวสำคัญของพรีโมในการตอกย้ำแนวคิด Primo Happy ”Smart Living” Maker ให้ความสุขในการใช้ชีวิตเป็นเรื่องง่าย…เลือกให้พรีโมดูแล

สำหรับ บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI เป็นผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ชั้นนำของประเทศ มีประสบการณ์กว่า 11 ปี ปัจจุบัน ดำเนินธุรกิจภายใต้ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่

1.กลุ่มธุรกิจต้นน้ำ – บริการก่อนเข้าอยู่อาศัย (Pre-Living Services) ได้แก่ บริการให้คำปรึกษาและควบคุมงานก่อสร้างโครงการอสังหาฯ บริการออกแบบสถาปัตยกรรมงานวิศวกรรมโครงสร้างควบคุมการก่อสร้าง และบริการควบคุมการก่อสร้าง งานวิศวกรรมและการให้คำปรึกษาทางด้านเทคนิค

2.กลุ่มกลางน้ำ – บริการการจัดการเพื่อการอยู่อาศัย (Living Services) ได้แก่ บริการบริหารนิติบุคคลอาคารชุด บ้านจัดสรร ห้างสรรพสินค้า อาคาร และสำนักงาน บริการนิติบุคคลอาคารชุดแบบลักชัวรี่ การบริหารจัดการ Residential Property และ Service Apartment บริการซื้อ-ขาย-ปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ตัวแทนในการซื้อ-ขาย-เช่าบริการจัดหาผู้ร่วมลงทุน บริการที่ปรึกษาด้านสื่อการตลาดและประชาสัมพันธ์ให้กับธุรกิจอสังหาฯ บริการ Personal Assistant ให้แก่ชาวต่างชาติ และบริการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการบริการ และเทคโนโลยีด้านการอยู่อาศัย

3.กลุ่มปลายน้ำ – บริการหลังการขายที่อยู่อาศัย (Living & Earning Services) ได้แก่ บริการออกแบบและตกแต่งภายใน บริการงานจ้าเหมาแบบเบ็ดเสร็จ บริการแม่บ้านทำความสะอาดและบริการงานช่างช่าง บริการจัดการอาคาร และจัดจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านและที่อยู่อาศัย แบบ Lifestyle


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เอกอัครราชทูตสวีเดนเยี่ยมชม 5G Studio ของอีริคสัน กระชับความร่วมมือระหว่างสวีเดนและไทย

นางแอนนา ฮัมมาร์เกรน (H.E. Mrs. Anna Hammargren) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจำประเทศไทย เดินทางเข้าเยี่ยมชม 5G Innovation & Experience Studio (5GIX Studio) ของบริษัท อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) ประเทศไทย ที่ตั้งอยู่ในโครงการ Thailand Digital Valley จังหวัดชลบุรี โดยการเยือนครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสวีเดนและไทยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พร้อมตอกย้ำบทบาทของอีริคสันในการร่วมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของประเทศไทย

การมาเยือนครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งในภารกิจของสถานทูตสวีเดนเพื่อมุ่งเสริมสร้างและขยายความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยสวีเดนและไทยมีความสัมพันธ์ทวิภาคีร่วมกันมาอย่างยาวนานถึง 156 ปี เกิดขึ้นจากพื้นฐานของการให้ความเคารพซึ่งกันและกัน รวมถึงการมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในด้านการพัฒนาและนวัตกรรม

นางแอนนา ฮัมมาร์เกรน เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจำประเทศไทย กล่าวว่า “นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับดิฉันและคณะที่ได้มาเยี่ยมชม 5GIX Studio ของอีริคสันในวันนี้ โดยสวีเดนและไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทวิภาคีอย่างเป็นทางการร่วมกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2411 และทั้งสองประเทศต่างมีความมุ่งมั่นร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืนมาโดยตลอด สวีเดนเป็นประเทศต้นกำเนิดบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำมากมาย เช่นอีริคสัน ที่นวัตกรรมของบริษัทสามารถสร้างประโยชน์ได้อย่างมหาศาลให้กับทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจของไทย”

5GIX Studio ของอีริคสัน เปิดตัวครั้งแรกในเดือนกันยายนปีนี้ โดยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางความร่วมมือเพื่อการพัฒนาและคิดค้นนวัตกรรม และยังเอื้อให้เกิดความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนสำคัญในระบบนิเวศด้านเทคโนโลยี ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ ผู้ให้บริการโทรคมนาคม สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน โดยสตูดิโอแห่งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของอีริคสันในการสนับสนุนประเทศไทยให้ก้าวหน้าไปสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาค

ระหว่างการเยี่ยมชม มร.แอนเดอร์ส เรียน ประธานบริษัท อีริคสัน ประเทศไทย ยังได้กล่าวย้ำถึงความสัมพันธ์อันยาวนานของบริษัทฯ กับประเทศไทย รวมถึงบทบาทในการร่วมกำหนดอนาคตดิจิทัลของประเทศ

“พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับคณะผู้แทนจากสวีเดนที่เดินทางมายังสตูดิโอของอีริคสัน ที่ทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มคอยขับเคลื่อนนวัตกรรมและความร่วมมือภายในระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีในไทย เทคโนโลยี 5G จะมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจยิ่งขึ้นให้กับผู้บริโภคชาวไทยและร่วมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในภาคธุรกิจให้กับประเทศ อีริคสันเป็นพันธมิตรทางเทคโนโลยีที่ได้รับความไว้วางใจของประเทศไทยมานานถึง 118 ปี และที่ผ่านมาเรายังมีส่วนร่วมพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารทุกยุคทุกสมัย”

การเยือนครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญและยอมรับของสวีเดนต่อการมีส่วนร่วมของอีริคสันในภาคโทรคมนาคมของไทย รวมถึงศักยภาพในการเชื่อมโยงนวัตกรรมและสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ 5G, ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติ (Automation)

5GIX Studio ในโครงการ Thailand Digital Valley แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้จากศักยภาพของเทคโนโลยี 5G กับภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การดูแลสุขภาพ การผลิต การเกษตร และเมืองอัจฉริยะ เผยให้เห็นถึงผลกระทบเชิงการเปลี่ยนแปลงของการใช้งาน 5G ต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

MSC จัดงาน i Connect Bridging to the Future

บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  หรือ MSC จัดงานสัมมนา “i Connect: Bridging to the Future” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ IBM i Community ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการอัปเดตเทคโนโลยี IBM i และแนวโน้มล่าสุดในการพัฒนาแอปพลิเคชันให้ทันสมัย ณ ห้อง Lumpini ชั้น 3 โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน 2567

ในงานสัมมนา ได้นำเสนอเรื่องราวของ:

  • การอัปเดตเทคโนโลยี IBM i: รับฟังข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ IBM i และแนวทางในการนำไปใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  • เทคโนโลยี Modernization: เรียนรู้เทคนิคการปรับปรุงแอปพลิเคชันให้ทันสมัย และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • บริการ Managed Services: ค้นพบโซลูชันที่ครอบคลุมในการบริหารจัดการระบบไอทีขององค์กร

ภายในงานได้รับเกียรติจาก คุณปุณณดา จึงไพศาล รองกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจดิจิตอลโซลูชั่น, บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวต้อนรับ และเปิดงาน วิทยากรรับเชิญพิเศษ คุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด และ คุณอโณทัย เวทยากร กรรมการผู้จัดการใหญ่, บริษัท ไอบีเอ็ม (ประเทศไทย) จำกัด

บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2529 ประกอบธุรกิจในการให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยจัดจำหน่าย คอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์ ซิสเต็มส์ซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชั่นซอฟต์แวร์ วัสดุสิ้นเปลืองที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และพัฒนาโปรแกรมตามความต้องการลูกค้า รวมไปถึงการให้บริการด้านความปลอดภัยของเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างครบวงจร ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์  “เราจะให้บริการอย่างเป็นเลิศแก่ลูกค้าด้วยโซลูชั่นไอทีที่ดีที่สุด”

Metro Systems Corporation Public Co., Ltd. “ความสำเร็จของลูกค้าคือธุรกิจของเรา”

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: Ms. Chanida Rattanapongumpai (Prim) AVP of Strategic Marketing Direct: +66(0)2-089-4466 Mobile: +66(0)62-256-9652, E-mail: chanirat@metrosystems.co.th Website: https://www.metrosystems.co.th/


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ไบแนนซ์ ประเทศไทย จัดงาน ‘Chain & Champagne’ ตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล

กรุงเทพฯ, 28 พฤศจิกายน 2567 – ไบแนนซ์ ประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนาระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลไทย ผ่านการจัดงาน Chain & Champagne VIP ครั้งแรก ณ โรงแรมคิมป์ตัน มาลัย กรุงเทพ รวมตัวนักลงทุนระดับสูง ผู้นำในอุตสาหกรรม และผู้มีส่วนสำคัญในวงการคริปโทเคอร์เรนซีของประเทศไทย

คุณจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ เน้นย้ำจุดยืนของประเทศไทยในวงการสินทรัพย์ดิจิทัล “ประเทศไทยกำลังก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ควบคู่ไปกับการวางกรอบกฎระเบียบที่เหมาะสม” คุณจุลพันธ์กล่าว “เป้าหมายของเราคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้สินทรัพย์ดิจิทัลสามารถสร้างประโยชน์ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพของตลาดและการคุ้มครองนักลงทุน เราไม่ได้เพียงแค่ก้าวให้ทันนวัตกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลก แต่เรากำลังสร้างกรอบการทำงานที่อาจกลายเป็นมาตรฐานสำหรับภูมิภาค”

คุณนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กัลฟ์ ไบแนนซ์ เน้นย้ำถึงความทุ่มเทของแพลตฟอร์มที่มีต่อตลาดไทย “ความมุ่งมั่นของเราต่อประเทศไทยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการให้บริการแพลตฟอร์มการเทรดเท่านั้น เรากำลังเห็นการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในวิธีที่ผู้คนมองและใช้สินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย” คุณนิรันดร์กล่าว “เราสร้างระบบนิเวศที่ครอบคลุม ตอบสนองความต้องการของนักลงทุนไทยที่มีศักยภาพภายใต้กฎระเบียบและความเหมาะสมกับตลาดท้องถิ่น บริการ VIP ที่ได้รับการยกระดับที่เราแนะนำในวันนี้สะท้อนถึงความเข้าใจในความต้องการของนักลงทุนท้องถิ่นและความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศของเรา”

งานครั้งนี้มีการอภิปรายเชิงลึกในหัวข้อสำคัญ รวมถึงแนวโน้มราคา Bitcoin และปรากฏการณ์เหรียญมีมที่กำลังเติบโต โดยมีตัวแทนจาก Jasmine และ TV Thunder Thailand ร่วมแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มและโอกาสทางการตลาดในบริบทของประเทศไทย

ไบแนนซ์ ประเทศไทย เปิดตัวโปรแกรมบริการ VIP ที่ได้รับการยกระดับ ประกอบด้วย:

  • บริการดูแลลูกค้าแบบเฉพาะตัวพร้อมผู้จัดการบัญชีส่วนตัวตลอด 24 ชั่วโมง
  • สิทธิพิเศษในการเข้าถึงฟีเจอร์ของแพลตฟอร์มและการสนับสนุนด้านเทคนิค
  • ได้รับเชิญร่วมกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีพและเวิร์คช็อปให้ความรู้เฉพาะแขกพิเศษเท่านั้น
  • โครงสร้างค่าธรรมเนียมการลงทุนที่ปรับเฉพาะบุคคล

งานปิดท้ายด้วยช่วงเน็ตเวิร์คกิ้งพร้อมแชมเปญ ที่ผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมพูดคุยถึงอนาคตของสินทรัพย์ดิจิทัลในภูมิทัศน์การเงินของประเทศไทย “งานในวันนี้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของชุมชนสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย” คุณนิรันดร์กล่าว “เรามุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการเติบโตของชุมชนนี้ ควบคู่ไปกับการรักษามาตรฐานสูงสุดด้านความปลอดภัยและการบริการ”

รูป (จากซ้าย-ไปขวา)

1) คุญธนา เธียรอัจฉริยะ ประธานกรรมการ บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
2) คุณนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด
3) คุณธีรตีพิศา เตวิชพศุตม์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านปฏิบัติการ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)
4) คุณจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
5) คุณยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 
6) คุณสมิทธ์ พนมยงค์ Executive Officer บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 
7) คุณอิทธิพันธ์ เจียกเจิม ผู้บริหารธุรกิจดิจิทัล บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 
8) คุญธิติวัจน์ วิสารัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย กำกับดูแลการปฏิบัติงาน และบริหารความเสี่ยง บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด

เกี่ยวกับไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ 

ไบแนนซ์ คือแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลโดยได้รับใบอนุญาตภายใต้ชื่อบริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท กัลฟ์ อินโนวา จำกัด (บริษัทในเครือของบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไบแนนซ์ แคปปิตอล แมเนจเมนท์ จำกัด (บริษัทในเครือของกลุ่ม Binance)


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์คาดการณ์ปี 2568 รายได้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกจะเติบโต 14%

กรุงเทพฯประเทศไทย, 26 พฤศจิกายน 2567 — การ์ทเนอร์คาดการณ์รายได้ของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกจะเติบโตขึ้น 14% ในปี 2568 คิดเป็นมูลค่ารวมอยู่ที่ 717 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับปีนี้ คาดการณ์ตลาดจะเติบโตที่ 19% โดยจะมีมูลค่าแตะ 630 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

หลังจากตลาดถดถอยในปี 2566 รายได้ของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์กำลังฟื้นตัวและคาดว่าจะกลับมาเติบโตระดับเลขสองหลักในปีนี้และปีหน้า (ดูตารางที่ 1) ราจีฟ ราชบุตร นักวิเคราะห์อาวุโสของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “การเติบโตนี้มาจากปัจจัยความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของเซมิคอนดักเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับ AI และการฟื้นตัวในภาคการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ความต้องการภาคยานยนต์และภาคอุตสาหกรรมยังคงอ่อนแอ”  

ตารางที่ 1: คาดการณ์รายได้เซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกระหว่างปี 2566-2568 (หน่วย: พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)

  2566 2567 2568
รายได้ 530.0 629.8 716.7
การเติบโต (%) -11.7 18.8 13.8

ที่มา: การ์ทเนอร์ (ตุลาคม 2567)

ในระยะสั้นตลาดหน่วยความจำ (Memory) และหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) จะเป็นปัจจัยกระตุ้นรายได้ให้กับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก

คาดการณ์ว่าตลาด Memory ทั่วโลกจะมีรายได้เติบโต 20.5% ในปี 2568 คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 196.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปัญหาการขาดแคลนอุปทานอย่างต่อเนื่องในปีนี้ จะส่งผลให้ราคาหน่วยความจำประเภท NAND เพิ่มขึ้น 60% ในปีนี้ แต่คาดว่าราคาในปีหน้ามีแนวโน้มลดลง 3% เนื่องจากอุปทานและราคาที่ลดลงในปี 2568 คาดว่ารายได้หน่วยความจำแฟลช NAND จะมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 75.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 12% จากปี 2567 

ปัญหาการขาดแคลนอุปทานที่ปรับตัวดีขึ้นทำให้อุปสงค์และอุปทานของชิป DRAM กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยการผลิตหน่วยความจำแบนด์วิดท์สูงหรือ High-Bandwidth Memory (HBM) ที่สูงเป็นประวัติการณ์ ผนวกกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น และราคา Double Data Rate 5 หรือ DDR5 ที่สูงขึ้น คาดว่าภาพรวมรายได้ชิป DRAM ในปี 2568 จะมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 115.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 90.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากในปีนี้

ผลกระทบ AI กับตลาดเซมิคอนดักเตอร์

ตั้งแต่ปี 2566 ชิป GPU มีส่วนสำคัญต่อการใช้ฝึกฝนและพัฒนาโมเดล AI ต่าง ๆ โดยคาดว่าตลาดนี้จะมีรายได้รวมที่ 51 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเพิ่มขึ้น 27% ในปี 2568 จอร์จ บร็อคเคิลเฮิร์สต์ รองประธานนักวิเคราะห์การ์ทเนอร์ เผยว่า “อย่างไรก็ตาม ตลาดนี้กำลังเปลี่ยนไปสู่ระยะที่มุ่งหวังผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ซึ่งต้องการเห็นรายได้เติบโตเป็นหลายเท่าจากเม็ดเงินที่ลงทุนไปกับการฝึกฝนนั่นเอง

หนึ่งในนั้นคือการเพิ่มขึ้นอย่างมากของความต้องการชิป HBM ซึ่งเป็นโซลูชันหน่วยความจำแบนด์วิดท์สูงของเซิร์ฟเวอร์ AI “ผู้ผลิตกำลังลงทุนกับการผลิตและบรรจุภัณฑ์ของชิป HBM อย่างมาก เพื่อให้สอดรับความต้องการของชิป GPU และชิป AI Accelerator รุ่นใหม่ ๆ” บร็อคเคิลเฮิร์สต์ กล่าวเพิ่มเติม

การ์ทเนอร์คาดว่ารายได้ชิป HBM ในปีนี้ จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 284% และเพิ่ม 70% ในปี 2568 โดยคิดเป็นมูลค่า 12.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 21 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ นักวิเคราะห์การ์ทเนอร์คาดว่าภายในปี 2569 ชิป HBM กว่า 40% จะรองรับการประมวลผล AI แบบอนุมาน เทียบกับในปัจจุบันที่มีน้อยกว่า 30% ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการใช้งานการอนุมานที่เพิ่มขึ้นและข้อจำกัดในการนำชิป GPU สำหรับการฝึกฝนมาใช้ใหม่

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ม.มหิดล ผลักดันแหล่งทุนสตาร์ทอัพฯ 
iNT บ่มเพาะ สานต่อนวัตกรรมยุคใหม่สู่สังคม

หากเปรียบสตาร์ทอัพคือนักรบเศรษฐกิจใหม่ที่จะมาช่วยพลิกประเทศให้มีความเจริญเติบโตมากขึ้น การปั้นนักรบให้มีอาวุธที่แหลมคมและมีคลังเสบียงอย่างเพียงพอจึงเป็นสิ่งสำคัญ  ดังนั้น การเริ่มต้นที่จะประสบความสำเร็จได้  การมีเงินทุนที่เพียงพอเป็นปัจจัยแรก ที่จะช่วยให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ และดำเนินการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากไม่มีเงินทุนที่เพียงพอ อาจทำให้ธุรกิจของคุณไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ตามแผนที่วางไว้  แต่หากต้องการหาเงินทุนเพิ่มเติม ควรพิจารณาหานักลงทุนหรือร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อเพิ่มโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง

สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ iNT เป็นส่วนงานของ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่มีเป้าหมายสำคัญในการนำผลงานวิจัยและเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยไปสู่การเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมในระดับชาติและนานาชาติ รวมไปถึงการพัฒนา สนับสนุน และผลักดันให้นวัตกรรมสามารถสร้างประโยชน์ต่อสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทย ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างนักวิจัยของมหาวิทยาลัย และผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม เพื่อเสริมสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนและมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

สถาบันฯ iNT ยังมีการสนับสนุนการบ่มเพาะสตาร์ทอัพและธุรกิจนวัตกรรมต่างๆผ่านการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างนักวิจัยและผู้ประกอบการรวมถึงการช่วยเสาะหาแหล่งทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชนสำหรับสตาร์ทอัพของมหาวิทยาลัยให้สามารถเติบโตและประสบความสำเร็จได้ในระยะยาว

โดยในปีที่ผ่านมา มีผลงานวิจัยและนวัตกรรมของสตาร์ทอัพ ภายใต้การบ่มเพาะของสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) ของมหาวิทยาลัยมหิดล ที่ได้รับการสนับสนุนทุนจาก สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เพื่อช่วยสนับสนุนให้สตาร์ทอัพสามารถเติบโตและพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังเป็นแรงผลักดันสำคัญในการสร้างนวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์ความท้าทาย รวมไปถึงการพัฒนาเศรษฐกิจและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในสังคมไทย

ผลงานของสตาร์ทอัพที่ได้รับทุน ได้แก่ ผลงาน “MindMentor พี่เลี้ยงส่วนตัวและแชทบอทปัญญาประดิษฐ์เพื่อ การดูแลตนเองและสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ของบริษัทมายด์บอทจำกัดเป็นโครงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีแชทบอทและปัญญาประดิษฐ์เข้ากับกระบวนการทางจิตวิทยาที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหารูปแบบสมดุลชีวิตของตนเองได้จากการคุยกับนักจิตวิทยาพูดคุยในแต่ละวันเพื่อกระตุ้นสร้างสมดุลในชีวิต

ผลงาน แพลตฟอร์มและระบบไฟฟ้าเพื่อเชื่อมต่อแขนเทียมจากยางพาราดัดแปลงและซิลิโคน ของ บริษัท เอ อาร์ ทิ เมด จำกัด (ArtiMed) พัฒนาต่อยอดอุปกรณ์แขนเทียมสำหรับฝึกหัตถการเจาะเลือดโดยการใช้เทคโนโลยีมอเตอร์เซนเซอร์อิเล็กทรอนิกส์และการประมวลผลข้อมูลดิจิทัลโดยการนำเอาเทคโนโลยีการผลิตแขนเทียมที่มีความยืดหยุ่นคล้ายแขนมนุษย์มาเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าควบคุมแรงดันเพื่อมุ่งหวังให้การฝึกหัตถการนี้สามารถเพิ่มทักษะและลดความเสี่ยงให้แก่คนไข้และบุคลากรทางการแพทย์

ผลงาน เอไอไทยเจน: แพลตฟอร์มการเรียนรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์ ของบริษัท เอม โกลบอล อินโนเวชั่น จำกัด เป็นนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ โดยอาศัยเทคโนโลยี AI และ Web / Mobile application ทำให้สามารถประมวลผลข้อมูลได้โดยไม่ต้องอาศัย server ขนาดใหญ่ ช่วยลดต้นทุนการบริหารจัดการได้ สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์วัด (sensors) ต่างๆและนำข้อมูลมาประมวลผลและควบคุมได้สามารถขยายการใช้งานไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ

ผลงาน “TOS Platform สำหรับควบคุมหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซีแบบแหล่งกำเนิดรังสีเคลื่อนที่ ของ บริษัท พรีเมียร์ ออโตเมชั่น เซนเตอร์ จำกัดร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกันคิดค้นหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซีแบบกำเนิดรังสีเคลื่อนที่ และต้องการที่จะพัฒนาแพลตฟอร์ม Total Operation System หรือ TOS Platform ที่ใช้ในการควบคุมหุ่นยนต์ระยะไกลสำหรับการฆ่าเชื้อโรค

สำหรับในประเทศไทย มีแหล่งเงินทุนมากมายทั้งจากภาครัฐและเอกชน ที่จะมาช่วยสตาร์ทอัพหรือผู้ประกอบการไทยสามารถรันธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ และสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมเป็นสะพานเชื่อมโยงผลักดันสตาร์ทอัพในทุกระดับ ให้มีศักยภาพพร้อมเติบโต ทั้งในระดับประเทศไปจนถึงระดับสากลต่อไปในอนาคต

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ : สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) มหาวิทยาลัยมหิดล 


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ จับมือ WeStride เปิดตัว “FutureX” หลักสูตรวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ออนไลน์ เน้นปั้นวิศวกร IT พร้อมลุยตลาดแรงงานดิจิทัล

มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ (SAU) เปิดหลักสูตร FutureX  โดยร่วมกับ “WeStride” บริษัท EdTech Startup  ชั้นนำด้าน IT และเทคโนโลยี ที่มี Courseware จากมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก เพื่อพัฒนาหลักสูตรปริญญาตรี วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ผ่านการเรียนการสอนแบบออนไลน์ 100% เน้นสร้างทักษะกลุ่มงาน Software Engineering, AI, Machine Learning, Data Analytics ป้อนตลาดงานสายเทคโนโลยีในองค์กรที่มีความต้องการสูงมากในปัจจุบัน

ดร.ฉัททวุฒิ พีชผล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ ได้เปิดหลักสูตรใหม่ร่วมกับ WeStride ที่มุ่งมั่นต้องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนรู้ระดับปริญญาตรีในรูปแบบออนไลน์ผ่านโครงการ FutureX ในหลักสูตรวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ (ออนไลน์) Action Based Learning ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสทางการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่ มุ่งปฏิวัติการเรียนรู้ด้วยการเน้นฝึกทักษะจริง ลงมือทำจริง และการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น สร้างโอกาสให้นักศึกษาก้าวสู่สายงานเทคโนโลยีได้อย่างมั่นใจ”

นายชวิน อัศวเสตกุล CEO ของ WeStride เปิดเผยว่า จุดเด่นของโครงการ FutureX ซึ่งเป็นหลักสูตร Action-Based Online Learning เรียนออนไลน์ 100% โดยผสานการเรียนรู้ที่ทันสมัยเข้ากับการฝึกปฏิบัติจริง มุ่งเน้นการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และประสบการณ์ที่จับต้องได้ พร้อมการฝึกงานในอุตสาหกรรมเพื่อเตรียมความพร้อมสู่โลกเทคโนโลยีแห่งอนาคต

นายชวิน กล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาซอฟต์แวร์, วิเคราะห์ข้อมูล หรือสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เราพร้อมช่วยให้คุณสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและพัฒนาเส้นทางอาชีพของคุณในช่วงสองปีสุดท้ายของการศึกษา”

หลักสูตรนี้ใช้แพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย เนื้อหาครอบคลุมและเข้มข้น มีอาจารย์ที่ปรึกษาตัวต่อตัว (One to One) ผ่านการเรียนการสอนแบบ Action-Based Learning ซึ่งมีโจทย์และโปรแกรมฝึกงานที่ให้นักศึกษาฝึกทักษะจริงตลอดระยะเวลาหลักสูตร สามารถเลือกได้ทั้งแบบออนไลน์หรือ On-site เพื่อเตรียมพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาดงาน ทั้งนี้นักศึกษายังมีที่ปรึกษาด้านอาชีพผ่าน Career Coaching พร้อมผลักดันให้นักศึกษาได้งานทำหลังจบการศึกษาผ่านโปรแกรม Job Guarantee ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ FutureX.sau.ac.th


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

สำนักพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม มจพ. จัดอบรมเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน รุ่นที่ 2

สำนักพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เป็นหน่วยงานบริการเป็นองค์กรที่มีการจัดการและบริหารงานตามมาตรฐานสากล จากการรับรองระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001 : 2015 จัดฝึกอบรมทั้งแบบภายในองค์กร (In-house Training) และ การจัดอบรมบุคคลทั่วไป (Public Training)   จัดอบรมหลักสูตร เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน รุ่นที่ 2  เปิดรับสมัครวันที่ 20-21 พฤศจิกายน 2567  รายละเอียดดังนี้

คุณสมบัติ

1) ผู้เข้ารับการฝึกอบรมต้องเป็นลูกจ้างระดับหัวหน้างาน

2) ผู้เข้ารับการฝึกอบรมต้องเข้ารับการฝึกอบรมเต็มเวลาตลอดหลักสูตรและผ่านการทดสอบตามเกณฑ์ที่กำหนด

ค่าลงทะเบียนเข้าอบรม : 1,800 บาท ต่อคน

สถานที่จัดอบรมศูนย์ฝึกอบรม : สำนักพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กรุงเทพฯ

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ดร.พัชรินทร์ เหสกุล  09-4154-4635 นายวินัย ศรีสุธรรม มือถือ 08-7507-1764  website: www.itdikmutnb.com สำนักพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ  โทรศัพท์:  0 2555 2000 ต่อ 2608 – 2621 , 2626

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ผลสำรวจโดย HERE Technologies เผยว่า 90% ของผู้ใช้ถนนชาวไทย ไว้วางใจในระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง เพื่อถนนที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น

  • 97% ของผู้ใช้ถนนชาวไทยที่ตอบแบบสำรวจความคิดเห็นมีความกังวลเกี่ยวกับอุบัติเหตุบนท้องถนน
  • 90% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) มีความสำคัญต่อความปลอดภัยบนท้องถนน
  • 74% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีความสนใจในการซื้อยานพาหนะที่มาพร้อมกับ ADAS

กรุงเทพฯ12 พฤศจิกายน 2024  – ผลสำรวจล่าสุดโดย HERE Technologies แพลตฟอร์มข้อมูลและเทคโนโลยีตำแหน่งชั้นนำ เผยให้เห็นถึงความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับความปลอดภัยบนท้องถนนในประเทศไทย และความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นต่อระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) ในการลดอุบัติเหตุ

ไฮไลท์สำคัญจากการสำรวจความคิดเห็น “รถยนต์ปลอดภัย ถนนปลอดภัย (Safer cars, safer roads)” ประกอบด้วย:

ความกังวลเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนนในวงกว้าง

ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าครึ่งหนึ่ง (53%) เผยว่าเคยประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนในช่วงสองปีที่ผ่านมา แม้ว่า 64% เชื่อว่ามาตรการความปลอดภัยในปัจจุบันของประเทศไทยได้ผล แต่ 97% ของผู้ทำแบบสอบถามยังคงกังวลอย่างมากต่ออุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุบัติเหตุที่เกิดจากพฤติกรรมขับขี่โดยประมาท เช่น การขับรถเร็วเกินกำหนดและการขับขี่อย่างก้าวร้าว ข้อมูลนี้เน้นย้ำถึงความไม่สอดคล้องระหว่างประสิทธิภาพของมาตรการความปลอดภัยบนท้องถนนที่รับรู้และความกังวลที่แท้จริงที่ผู้ขับขี่ต้องเผชิญอยู่ทุกวันเนื่องจากการขับขี่โดยประมาทถือเป็นสาเหตุหลักของอุบัติเหตุบนท้องถนน ผลการตอบแบบสอบถามนี้จึงตอกย้ำถึงความจำเป็นในการบังคับใช้กฎหมายและการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมบนท้องถนนของประเทศไทยให้เข้มงวดยิ่งขึ้น

ผู้ขับขี่ยานพาหนะสองล้อยังคงเป็นกลุ่มเสี่ยง

ประเทศไทยถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งสำหรับยานพาหนะสองล้อ โดยมีประชากรนับล้านใช้รถจักรยานยนต์และสกู๊ตเตอร์เป็นพาหนะในการเดินทางประจำวัน ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า 63% ของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์และสกู๊ตเตอร์เคยประสบอุบัติเหตุในช่วงที่ผ่านมา และ 92% รู้สึกไม่ปลอดภัยบนท้องถนน สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของผู้ขับขี่กลุ่มนี้

ผลกระทบเชิงบวกจากโครงการริเริ่มความปลอดภัยบนท้องถนนของประเทศไทย

ประเทศไทยได้ดำเนินมาตรการสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพื่อปรับปรุงความปลอดภัยบนถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำระบบหักคะแนนจากการกระทำผิดกฎจราจรมาใช้ในเดือนมกราคม 2566 ระบบนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อลงโทษพฤติกรรมการขับขี่ที่ไม่ปลอดภัยซึ่งได้ส่งผลกระทบเชิงบวก โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 76% ระบุว่าระบบหักคะแนนช่วยปรับปรุงพฤติกรรมการขับขี่ของพวกเขา ความสำเร็จของแผนริเริ่มนี้ของรัฐบาลแสดงให้เห็นถึงประสิทธิผลของมาตรการบังคับใช้กฎหมายในการยับยั้งการขับขี่ที่อันตราย ซึ่งเป็นการวางรากฐานสำหรับการปรับปรุงความปลอดภัยบนท้องถนน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามาตรการบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้จะเห็นผล แต่ยังมีความต้องการเพิ่มเติมในการนำเทคโนโลยีเพื่อมาเสริมมาตรการดังกล่าว ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยบนท้องถนนในระดับสูงส่งผลให้ความสนใจในเทคโนโลยี ADAS เพิ่มมากขึ้น ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมสร้างความปลอดภัยทั้งแก่ผู้ขับขี่และความปลอดภัยบนท้องถนน

ความไว้วางใจที่เพิ่มขึ้นในเทคโนโลยี ADAS เพื่อเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน

ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) กำลังกลายมาเป็นที่ยอมรับว่าเป็นทางออกสำคัญสำหรับความปลอดภัยบนท้องถนน โดยประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถาม (51%) คุ้นเคยกับ ADAS เช่น ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน และระบบเตือนการออกนอกเลน ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากถึง 90% เห็นด้วยว่าระบบเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่และ ความปลอดภัยบนท้องถนน

ความต้องการรถยนต์ที่มาพร้อมกับ ADAS กำลังเพิ่มขึ้น

ความสนใจในยานพาหนะที่มาพร้อมกับ ADAS กำลังเพิ่มขึ้น โดยผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนถึง 74% แสดงให้เห็นว่าต้องการที่จะซื้อยานพาหนะที่ติดตั้งระบบดังกล่าว โดยมีประโยชน์ด้านความปลอดภัย (67%) เป็นแรงจูงใจหลัก รองลงมาคือความน่าเชื่อถือและความสะดวกในการใช้งานของเทคโนโลยีดังกล่าว

เชื่อมั่นใน ADAS และเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการ

ความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของ ADAS อยู่ในระดับสูง โดย 85% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติสามารถทำให้ท้องถนนปลอดภัยยิ่งขึ้นและ ลดอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับการขับรถเร็วได้ ประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนการรวม ADAS เข้ากับยุทธศาสตร์ความปลอดภัยบนท้องถนนแห่งชาติของประเทศไทย โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 83% เรียกร้องให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับคุณลักษณะด้านความปลอดภัยขั้นสูงในยานพาหนะเป็นอันดับแรก

จากกรณีศึกษาดังกล่าว มร. เรียวอิจิ อินาบะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความเห็นว่า “มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของผู้ขับขี่ ความมั่นใจในการขับขี่และความสะดวกสบายทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร พร้อมความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้สะท้อนค่านิยมหลักที่อยู่ใน DNA ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส โดยมีเทคโนโลยีความปลอดภัยหลายระบบที่ได้รับการยกย่องและเป็นที่รู้จักกันดี เช่น ADAS ที่รู้จักกันในชื่อ ‘Mitsubishi Motors’ Diamond Sense’ ระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (AYC) โครงสร้างตัวถังนิรภัยเหล็กกล้า ที่ใช้เหล็กแรงดึงสูง (‘RISE Body’) และระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ASC) เรามุ่งมั่นที่จะมอบความอุ่นใจในการขับขี่ในระดับสูงสุดให้กับลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขับขี่บนภูมิประเทศที่ท้าทาย และสภาพถนนที่หลากหลายในประเทศไทย”

อาบิจิต เซนกุปตา ผู้อำนวยการอาวุโสและหัวหน้าฝ่ายธุรกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย HERE Technologies เสริมว่า “ความต้องการ ADAS ที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทย สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงไปสู่เทคโนโลยีการขับขี่ที่ปลอดภัยและก้าวหน้ามากขึ้นในประเทศ” เห็นได้ชัดว่าผู้ใช้ถนนชาวไทยกำลังมองหาโซลูชันที่ก้าวข้ามมาตรการด้านความปลอดภัยแบบเดิม และแสวงหาเทคโนโลยีที่สามารถช่วยป้องกันอุบัติเหตุและปรับปรุงประสบการณ์การขับขี่โดยรวม ความสนใจที่เพิ่มขึ้นนี้ส่งสัญญาณถึงโอกาสสำคัญสำหรับผู้ผลิตยานยนต์และผู้กำหนดนโยบายที่จะให้ความสำคัญกับการผสานรวมคุณลักษณะ ADAS เข้ากับยานพาหนะและกฎระเบียบข้อบังคับ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการเดินทางที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น ที่ HERE Technologies เรามุ่งเน้นไปที่การส่งมอบเทคโนโลยีการระบุตำแหน่งที่สามารถช่วยตอบสนองความต้องการนี้และ ส่งเสริมให้ทั้งผู้ใช้ถนนและผู้กำหนดนโยบายเปิดกว้างเพื่ออนาคตที่ปลอดภัยกว่าและเชื่อมต่อกันมากขึ้นบนท้องถนนของประเทศไทย”

คลอเดีย เคอห์ล รองผู้อำนวยการ Counterpoint Research กล่าว “ประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ย 50 รายต่อวัน ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุด เนื่องจากการขับรถโดยประมาท สภาพถนนไม่ดี และการเมาแล้วขับ เทคโนโลยี ADAS สามารถตรวจจับสถานการณ์อันตรายล่วงหน้าได้ และช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุได้ดีขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับความพยายามของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุและปรับปรุงความปลอดภัยบนท้องถนน ระบบ ADAS ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสำคัญควบคู่ไปกับการให้ความรู้ด้านความเสี่ยงและความปลอดภัยแก่ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร รวมถึงการพัฒนาทักษะการขับขี่เพื่อบรรลุเป้าหมายของประเทศไทยในการลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนลงร้อยละ 50 ภายในปี 2570”

อนุจ เจน หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์และการพัฒนาธุรกิจ AWS Automotive & Manufacturing ยังแสดงความคิดเห็นว่า “อนาคตของการคมนาคมขนส่งมีรากฐานมาจากเทคโนโลยีเชิงนวัตกรรมที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน” ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) มีศักยภาพที่จะปฏิวัติประสบการณ์การขับขี่ นำไปสู่ยุคใหม่แห่งท้องถนนที่ปลอดภัยและวางใจได้มากขึ้น โดยการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกด้านการระบุตำแหน่ง ADAS สามารถระบุตำแหน่งยานพาหนะได้อย่างแม่นยำ ช่วยตรวจจับอันตรายที่อาจเกิดขึ้น และช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถนำทางในสถานการณ์ที่ซับซ้อนได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ส่งผลให้อุบัติเหตุน้อยลงและช่วยรักษาชีวิตผู้คนได้มากขึ้น ผ่านความร่วมมือของเรากับผู้นำในอุตสาหกรรมการขนส่งและยานยนต์ อย่าง HERE Technologies, AWS กำลังช่วยให้ลูกค้าเร่งการนำเทคโนโลยีที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มาใช้และพัฒนาต่อยอด ซึ่งจะนำไปสู่ระบบนิเวศการขนส่งที่ปลอดภัยขึ้น วางใจได้มากขึ้น และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


Exit mobile version