Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ยกระดับดาต้าเซ็นเตอร์ให้ทันสมัย ไม่ยากอย่างที่คิด! การเลือกฮาร์ดแวร์ที่เหมาะสมคือคีย์สำคัญ

บทความโดย Madhu Rangarajan รองประธานกลุ่มผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์โซลูชั่น บริษัท AMD

ดาต้าเซ็นเตอร์ขององค์กรต่าง ๆ ปัจจุบันมาถึงจุดเปลี่ยนผ่านสำคัญ จากความต้องการด้านการประมวลผลที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด การขยายเวิร์คโหลดการประมวลผล จำนวนข้อมูลที่เพิ่มขึ้นและหลากหลายรูปแบบ และงานด้าน AI ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในวันนี้ ในขณะเดียวกัน หัวหน้าฝ่ายไอทีต้องเผชิญแรงกดดันอย่างต่อเนื่องเพื่อลดต้นทุน ส่งผลให้หัวหน้าฝ่ายไอทีจำนวนมากต่างเร่งดำเนินการปรับปรุงระบบให้มีความทันสมัยและเปลี่ยนผ่านไปสู่ฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความคุ้มค่ามากขึ้น

กระบวนการย้ายและปรับเปลี่ยนแพลตฟอร์มเวิร์คโหลดธุรกิจดิจิทัลที่ใช้อยู่เดิมนั้นมีความซับซ้อน ทำให้องค์กรหลายแห่งกังวลถึงการหยุดชะงักทางธุรกิจและตั้งคำถามว่าการลงทุนในระบบใหม่เพื่อสนับสนุนแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่ในปัจจุบันนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่ เนื่องด้วยหากแอปพลิเคชันต่าง ๆ ขาดการพัฒนานานเกินไป อาจทำให้ระบบมีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนผ่านและยากต่อการบูรณาการ แม้แต่การหาบุคลากรเพื่อมาดูแลรักษาก็อาจกลายเป็นปัญหาได้

ดังนั้น สำหรับเวิร์คโหลดขององค์กรในช่วงระหว่างการเปลี่ยนผ่าน ประสิทธิภาพที่มาจากโปรเซสเซอร์ AMD EPYC™ อาจเป็นข้อได้เปรียบในเชิงกลยุทธ์สำหรับหัวหน้าฝ่ายไอทีได้ ดังนี้

เมื่อไหร่ที่เราควรจะยกระดับดาต้าเซ็นเตอร์ให้มีความทันสมัยและอย่างไร?

การดำเนินโครงการปรับปรุงดาต้าเซ็นเตอร์ให้ทันสมัยเป็นทางเลือกในเชิงกลยุทธ์ สามารถช่วยพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ เพิ่มผลิตภาพทางวิศวกรรม และเร่งนวัตกรรมพร้อมยังสามารถลดต้นทุนไปใด้ในเวลาเดียวกัน ในความพยายามทั้งหมดที่กล่าวมา การจัดการแนวทางให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทางธุรกิจขององค์กรถือเป็นเรื่องสำคัญ การทำความเข้าใจลักษณะของเวิร์คโหลดและกระบวนการทางธุรกิจจะช่วยสร้างมูลค่า ทักษะจำเป็นของฝ่ายไอทีในการเป็นพันธมิตรที่ได้รับความไว้วางใจคือต้องจัดการด้านเทคโนโลยีให้มีความสอดคล้องมากยิ่งขึ้นเพื่อเป็นตัวขับเคลื่อนการดำเนินงานให้ประสบความสำเร็จ

โดยขั้นแรกของการยกระดับโครงการต่าง ๆ คือการประเมินแพลตฟอร์มที่มีอยู่อย่างรอบคอบ กุญแจสำคัญคือการวัดประสิทธิภาพชุดแอปพลิเคชันที่สามารถใช้เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จจากการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ (POC) เพื่อให้สามารถแสดงผลลัพธ์ในระดับการผลิตได้อย่างที่ต้องการ หัวหน้าฝ่ายไอทีไอทีจำเป็นต้องมั่นใจว่าผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ในระหว่างขั้นตอน POC มีหลายแง่มุม ประการแรก พวกเขาต้องมองหาประสิทธิภาพในการวัดผล – การปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญเป็นสิ่งจำเป็น ถัดมาควรพิจารณาถึงผลประโยชน์ด้านประสิทธิภาพเฉพาะของแอปพลิเคชันควบคู่กับการปรับขนาดและประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีขึ้น เพื่อให้สามารถบอกได้ว่าควรเพิ่มกรณีการใช้งานใหม่ ๆ ภายในขอบเขตต้นทุนเดิมหรือไม่

หัวหน้าฝ่ายไอทีต้องประเมินความสามารถของแพลตฟอร์มการประมวลผลสำหรับการสนับสนุนด้านนวัตกรรมในระยะยาว ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการดำเนินธุรกิจ พวกเขาต้องมีความมั่นใจอย่างเป็นเหตุเป็นผลว่าจะมีประสิทธิภาพการประมวลผลที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี รวมไปถึงความสามารถในการปรับขนาดที่เพิ่มขึ้นพร้อมด้วยการใช้พลังงานที่ต่ำลง

ความเสี่ยงและความซับซ้อน

อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการทำให้ระบบทันสมัย อาจเป็นความท้าทายสำหรับหัวหน้าฝ่ายไอทีในการอธิบายให้ฝ่ายธุรกิจและผู้บริหารระดับสูงเข้าใจ ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากความซับซ้อนในการดำเนินงานและการลงทุนที่เพิ่มขึ้นเป็นข้อกังวลที่สมเหตุสมผลของหัวหน้าฝ่ายไอที แม้ว่าการ “พึงพอใจกับที่เป็นอยู่” จะเป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงต่ำระยะสั้น แต่อาจทำให้องค์กรเปิดรับความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ที่ใหญ่ขึ้นและพลาดโอกาสในการสร้างสรรค์นวัตกรรม แพลตฟอร์มฮาร์ดแวร์ที่เหมาะสมสามารถสร้างความแตกต่างให้กับความพยายามทั้งหมดนี้ได้

ความพยายามที่จะสร้างแพลตฟอร์มไอทีแห่งอนาคตนั้น การพัฒนาให้ทันสมัยถือเป็นโอกาสในการส่งมอบผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นทวีคูณ การใช้แพลตฟอร์มที่เปิดกว้าง มีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลสูงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ

ปัจจุบัน แรงขับเคลื่อนนวัตกรรมทางเทคโนโลยีแบบเปิดบนแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ x86 – เช่น AMD EPYC™ – สามารถลดความเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญไปพร้อมกับการเพิ่มพูนผลตอบแทน การประมวลผลบนโครงสร้างพื้นฐาน x86 ช่วยให้สามารถรองรับหลากหลายของแอปพลิเคชันผ่านการปรับแต่งด้านพลังงาน ประสิทธิภาพ และเวิร์คโหลดเพื่อสนับสนุนองค์กรต่าง ๆ ในอนาคต

ตัวอย่างที่ดีของการเปิดกว้างทางทางเทคโนโลยี คือ ซอฟต์แวร์แอปพลิเคชันที่ออกแบบสำหรับแพลตฟอร์ม x86 จะถูกส่งมอบในรูปแบบแพ็คเกจเดียวครอบคลุมทุกแพลตฟอร์มที่มีสถาปัตยกรรมเดียวกัน หมายความว่า ธุรกิจสามารถรันซอฟต์แวร์ใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นระบบปฏิบัติการ แอปพลิเคชัน หรือการพัฒนาซอฟต์แวร์ภายในองค์กร โดยแทบจะหรือไม่ต้องทำการดัดแปลงบนโปรเซสเซอร์ AMD EPYC™ เมื่อมีเปลี่ยนผ่านมาจากแพลตฟอร์ม x86 อื่น ๆ ทำให้หัวหน้าฝ่ายไอทีสามารถพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิผลโดยที่มีปัญหารบกวนน้อยที่สุด ซึ่งใช้ประโยชน์จากความเปิดกว้างของระบบนิเวศเพื่อย้ายไปยังผู้จำหน่ายรายอื่นเมื่อพวกเขาเติบโตเกินกว่าแพลตฟอร์มที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

ความยืดหยุ่นนี้สามารถแปลงเป็นข้อได้เปรียบสำคัญทางธุรกิจสำหรับองค์กรต่าง ๆ ได้ เมื่อทำการเปลี่ยนผ่านมาสู่โปรเซสเซอร์ AMD EPYC™ ดังเช่น บริษัท Yahoo! Japan สามารถลดจำนวนแร็คลงได้ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับผู้จำหน่าย (vendor) ก่อนหน้าเพื่อรันเวอร์ชวลแมชชีนจำนวนเท่าเดิม ในทำนองเดียวกัน Cyllene ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศฝรั่งเศส พบว่าการใช้พลังงานและการปล่อยความร้อนลดลง 30 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ประสิทธิภาพการประมวลผลบนแอปพลิเคชันเพิ่มขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์ หลังจากนำโปรเซสเซอร์ AMD EPYC™ เข้ามาใช้ในการดำเนินธุรกิจ

โอกาสในอนาคต

ปัจจุบัน AI ถือเป็นอนาคตสำคัญด้านเทคโนโลยีที่กำลังสดใส ซึ่งมาพร้อมกันกับความต้องการด้านพลังงานที่สูง องค์กรที่มั่นใจว่ามีแพลตฟอร์ม x86 ที่เหมาะสมย่อมหมายความว่าพวกเขามีแพลตฟอร์มเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กรแบบครบวงจรสำหรับเทคโนโลยี AI ที่พร้อมสำหรับอนาคตด้วยเช่นกัน

เวิร์คโหลด AI ส่วนใหญ่มีความต้องการที่เฉพาะเจาะจงทั้งในด้านรูปแบบการใช้งานเชิงประสิทธิภาพ ความปลอดภัย การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านข้อมูล และต้นทุนที่แตกต่างกันตามการใช้งาน แตกต่างจากแอปพลิเคชันดั้งเดิมที่ออกแบบมาเพื่อทำงานบน CPU มาตรฐาน ขึ้นอยู่กับขนาดและความซับซ้อนของโมเดล AI ปริมาณและความเร็วของข้อมูลที่กำลังวิเคราะห์ จำนวนและตำแหน่งของผู้ใช้ และระดับความเข้มข้นในการประมวลผลโดยรวมที่ต้องการ

เซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ขุมพลังโปรเซสเซอร์ AMD EPYC™ พร้อมมอบประสิทธิภาพการประมวลผลและประสิทธิผลด้านการใช้พลังงานในระดับชั้นนำ เพื่อช่วยให้สามารถรวมเวิร์คโหลด เพิ่มพื้นที่และพลังงานเพื่อรองรับเวิร์คโหลดใหม่งานด้าน AI ในดาต้าเซ็นเตอร์ปัจจุบันของคุณ

  • สถาปัตยกรรม “Zen 5” ใหม่ที่ขับเคลื่อนขุมพลังการประมวลผลโปรเซสเซอร์ 5th Gen AMD EPYC ช่วยยกระดับด้านประสิทธิภาพการประมวลผลให้ดีขึ้นถึง 17% ในคำสั่งต่อรอบนาฬิกา (IPC) สำหรับเวิร์คโหลดงานด้านองค์กรและระบบคลาวด์ และเพิ่มขึ้นถึง 37% สำหรับงานด้าน AI และการประมวลผลประสิทธิภาพสูง (HPC)
  • ด้วยเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้โปรเซสเซอร์ AMD EPYC 9965 ลูกค้าสามารถคาดหวังถึงผลลัพธ์การประมวลผลที่ยอดเยี่ยมในงานด้านแอปพลิเคชันและเวิร์คโหลดต่าง ๆ ที่ต้องการทรัพยากรการประมวลผลสูงในระดับต้น ๆ ของโลก (real-world) ด้วยเวลาในการประมวลผลข้อมูลที่เร็วถึง 3.9 เท่า ในด้านการรับข้อมูลเชิงลึกบนแอปพลิเคชันด้านวิทยาศาสตร์และ HPC เมื่อเทียบกับเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้โปรเซสเซอร์ Intel Xeon® 8592+ รวมถึงประสิทธิภาพต่อคอร์ที่สูงขึ้นถึง 1.6 เท่าในโครงสร้างพื้นฐานเสมือนจริง
  • ผู้บริหารในตำแหน่ง CIO ยังสามารถพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ให้ทันสมัยขึ้นได้ พร้อมกันกับเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานและพื้นที่ได้อย่างมหาศาล โดยเครื่องเซิร์ฟเวอร์ใหม่จำนวน 131 เครื่องที่ใช้ขุมพลัง 2P 5th Gen EPYC สามารถประมวลผลแทนที่เซิร์ฟเวอร์เก่าจำนวน 1,000 เครื่องที่ใช้เซิร์ฟเวอร์โปรเซสเซอร์ Intel® Xeon Platinum 8280 ได้ – ซึ่งช่วยประหยัดการใช้พลังงานได้มากถึง 68% ลดจำนวนเครื่องเซิร์ฟเวอร์ลงถึง 87% และลดต้นทุนรวม (TCO) ตลอด 3 ปีลงถึง 67%

Madhu Rangarajan รองประธานกลุ่มผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์โซลูชั่น บริษัท AMD

หัวหน้าฝ่ายไอทีจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดไปในเชิงการเลือกและปรับใช้โปรเซสเซอร์ให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มศักยภาพของดาต้าเซ็นเตอร์และขีดความสามารถการประมวลผลบนระบบคลาวด์ที่จะจับคู่เวิร์คโหลดแบบดั้งเดิมและสมัยใหม่เข้ากับโปรเซสเซอร์ที่ดีที่สุดสำหรับงานที่องค์กรกำลังดำเนินงานอยู่

การพัฒนาระบบให้ทันสมัยด้วยแพลตฟอร์มที่ใช้ขุมพลังโปรเซสเซอร์ AMD EPYC™ หมายความว่าคุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงาน พื้นที่ และต้นทุนการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ การลดค่าใช้จ่ายจากความพยายามเหล่านี้สามารถนำไปเพื่อเพิ่มฮาร์ดแวร์ฟุตพริ้นให้มีขนาดใหญ่ขึ้น หรือนำไปใช้กับการยกระดับแอปพลิเคชันด้าน Generative AI ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

เกี่ยวกับ AMD

เป็นเวลากว่า 50 ปีที่ AMD ขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพสูงทั้งในส่วนของการประมวลผลกราฟฟิก และเทคโนโลยีเวอร์ชวลไลเซชั่นต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญสำหรับวงการเกม เป็นแพลตฟอร์มระดับมืออาชีพ และเป็นศูนย์กลางข้อมูล ผู้บริโภคหลายร้อยล้านคน องค์กรธุรกิจชั้นนำที่จัดอยู่ในกลุ่ม Fortune 500 และหน่วยงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ทั่วโลก ต่างใช้เทคโนโลยีของ AMD เพื่อการพัฒนาศักยภาพด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การใช้ชีวิต การทำงาน และความบันเทิง พนักงานของ AMD ทุกคนทั่วโลกล้วนมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะก้าวข้ามขอบเขตของข้อจำกัดทั้งหลาย ท่านสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ AMD (NASDAQ: AMD) และกระบวนการสร้างสรรค์ต่างๆ ที่เราทำในปัจจุบันและที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ที่เว็บไซต์ websiteblogFacebook และ X


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์เผยคาดการณ์สำคัญในปีนี้และอนาคตข้างหน้าสำหรับองค์กรและผู้ใช้ไอที

กรุงเทพฯประเทศไทย, 10 มกราคม 2568 — การ์ทเนอร์เผยการคาดการณ์เชิงกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับปี 2568 และอนาคตข้างหน้า โดยการ์ทเนอร์ระบุว่า Generative AI (GenAI) กำลังส่งผลกระทบวงกว้างต่อพื้นที่ที่เคยมีแต่มนุษย์เท่านั้นที่สามารถทำได้

แดริล พลัมเมอร์ รองประธานอาวุโส หัวหน้าฝ่ายวิจัย และ Gartner Fellow กล่าวว่า เป็นที่ชัดเจนว่าไม่ว่าเราจะไปไหนก็หลีกเลี่ยงผลกระทบของ AI ไม่ได้ และ AI ก็กำลังพัฒนาไปพร้อม ๆ กับการใช้งานของมนุษย์ ก่อนที่จะไปถึงจุดที่มนุษย์ไล่ตามไม่ทัน เราต้องยอมรับก่อนว่า AI ช่วยให้เราพัฒนาได้ขึ้นมากแค่ไหน 

ในปี 2569 องค์กร 20% จะใช้ AI ปรับโครงสร้างองค์กรให้แบนราบลง โดยลดตำแหน่งผู้บริหารระดับกลางที่มีอยู่ในปัจจุบันลงมากกว่าครึ่ง

องค์กรที่นำ AI มาใช้เพื่อลดจำนวนผู้บริหารระดับกลางจะสามารถลดต้นทุนค่าจ้างในระยะสั้นและทำให้องค์กรประหยัดขึ้นในระยะยาว ซึ่งการนำ AI มาใช้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและขยายขอบเขตการควบคุม ด้วยการทำให้เป็นอัตโนมัติ ทั้งการจัดตารางงาน การรายงาน และการติดตามผลการปฏิบัติงานของพนักงาน ซึ่งช่วยให้ผู้จัดการมุ่งเน้นไปที่กิจกรรมเชิงกลยุทธ์ที่มีความยืดหยุ่นและมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น

การนำ AI มาใช้จะนำมาซึ่งความท้าทายให้กับองค์กร เช่น พนักงานส่วนใหญ่กังวลเกี่ยวกับความมั่นคงในงาน ขณะที่ผู้จัดการก็หนักใจกับจำนวนผู้ใต้บังคับบัญชาที่เพิ่มขึ้น และพนักงานที่เหลือไม่เต็มใจเปลี่ยนแปลงหรือยอมรับการใช้ AI มาเป็นตัวขับเคลื่อนการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน และอาจส่งผลต่อเส้นทางการเป็นพี่เลี้ยงสอนและการเรียนรู้ล่มสลาย จนทำให้พนักงานระดับล่างขาดโอกาสในการพัฒนา 

ในปี 2571 การจมดิ่งไปในเทคโนโลยีจะส่งผลกระทบต่อประชากรในด้านการเสพติดดิจิทัลและการแยกตัวจากสังคม ส่งผลให้ 70% ขององค์กรต้องนำนโยบายต่อต้านดิจิทัลมาใช้งาน

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าในปี 2571 จะมีประชากรประมาณหนึ่งพันล้านคนที่ได้รับผลกระทบจากการเสพติดดิจิทัล ซึ่งส่งผลทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง มีความเครียดเพิ่มขึ้น และเกิดปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น มีความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า นอกจากนี้ การจมดิ่งในดิจิทัลจะส่งผลกระทบในแง่ลบต่อทักษะทางสังคม โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบมากกว่า

พลัมเมอร์กล่าวว่า ผลกระทบของการแยกตัวจากการจมดิ่งในดิจิทัลจะนำไปสู่แรงงานที่แตกแยก (Disjointed Workforce) ทำให้องค์กรพบว่าประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานและผู้ร่วมงานลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นองค์กรจำเป็นต้องกำหนดช่วงเวลาดีท็อกซ์ดิจิทัลให้เป็นข้อบังคับสำหรับพนักงาน สั่งห้ามการสื่อสารนอกเวลางาน และนำเครื่องมือและเทคนิคแบบแอนะล็อกกลับมาใช้เป็นข้อบังคับ อาทิ การประชุมที่ปลอดหน้าจอ การงดใช้อีเมลในวันศุกร์ หรือการพักรับประทานอาหารกลางวันนอกโต๊ะทำงาน

ในปี 2572 คณะกรรมการบริษัท 10% ทั่วโลกจะใช้ AI guidance เพื่อท้าทายการตัดสินใจของผู้บริหารที่มีผลกระทบสำคัญต่อธุรกิจ

ข้อมูลเชิงลึกที่สร้างขึ้นจาก AI จะมีผลกระทบวงกว้างต่อการตัดสินใจของผู้บริหาร และทำให้กรรมการบริษัทนำมาใช้ท้าทายการตัดสินใจของผู้บริหาร นี่จะเป็นการหมดยุคของซีอีโอที่ชอบตัดสินใจตามอำเภอใจโดยไม่มีเหตุผลรองรับ

พลัมเมอร์กล่าวว่า ในช่วงแรก ข้อมูลเชิงลึกจาก AI จะดูคล้ายกับรายงานแยกย่อย หรือ Minority Report ที่ไม่สะท้อนมุมมองของกรรมการส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อมูลเชิงลึกที่ได้จาก AI นี้ พิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิผล มันจะได้รับการยอมรับในหมู่ผู้บริหารที่แข่งกันหาข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อปรับปรุงผลลัพธ์ทางธุรกิจ

ในปี 2571 องค์กรขนาดใหญ่ 40% จะนำ AI มาใช้เพื่อจัดการและวัดอารมณ์รวมถึงพฤติกรรมของพนักงาน ทั้งหมดก็เพื่อผลกำไร

AI มีความสามารถวิเคราะห์ความรู้สึกจากการมีปฏิสัมพันธ์และการสื่อสารในที่ทำงาน สิ่งนี้ให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อให้เข้าใจถึงความรู้สึกโดยรวมที่สอดคล้องกับพฤติกรรมที่กำหนด ช่วยให้ทีมงานมีแรงจูงใจและมีส่วนร่วมในการทำงาน

พนักงานอาจรู้สึกว่าความเป็นอิสระและความเป็นส่วนตัวของพวกเขาถูกละเมิด จนทำให้เกิดความไม่พอใจและความไว้วางใจลดลง” พลัมเมอร์กล่าว “แม้ประโยชน์ที่ได้รับจากเทคโนโลยีการวิเคราะห์พฤติกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI นั้นจะมีมากมาย แต่บริษัทต้องรักษาสมดุลระหว่างการนำ AI มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพร่วมกับการดูแลเอาใจใส่ความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานอย่างจริงใจ เพื่อเลี่ยงผลเสียด้านขวัญกำลังใจและความจงรักภักดีต่อองค์กรในระยะยาว

ในปี 2570 สัญญาจ้างงานใหม่ 70% จะรวมข้อกำหนดเรื่องการอนุญาตสิทธิ์และการใช้งานที่เหมาะสมสำหรับการแสดงตัวตนในระบบ AI

โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) ที่เกิดขึ้นไม่มีกำหนดถึงวันสิ้นสุด นั่นหมายความว่าข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงานที่ถูกจัดเก็บโดย LLMs ขององค์กรนั้นจะยังอยู่ใน LLM ทั้งช่วงระหว่างการจ้างงานและหลังจากสิ้นสุดการจ้างงาน 

นำไปสู่การถกเถียงในเชิงสาธารณะ ที่ตั้งคำถามกันว่าพนักงานหรือนายจ้างมีสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของตัวตนดิจิทัลนี้หรือไม่ ซึ่งในท้ายที่สุดอาจนำไปสู่การฟ้องร้องทางกฎหมาย โดยข้อกำหนดการใช้งานอย่างเป็นธรรมจะถูกนำมาใช้เพื่อปกป้ององค์กรจากการฟ้องร้องในทันที แต่ก็ยังคงก่อให้เกิดข้อขัดแย้งตามมา 

ในปี 2570 ผู้ให้บริการด้านสุขภาพ 70% จะรวมข้อกำหนดและเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับ AI ด้านอารมณ์ไว้ในสัญญาทางเทคโนโลยี มิฉะนั้นอาจเสี่ยงต่อความเสียหายทางการเงินหลายพันล้าน

ภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้นจนส่งผลให้มีผู้ลาออก อีกทั้งความต้องการของผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น และอัตราการหมดไฟ (Burnout) ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกำลังก่อให้เกิดวิกฤตความเห็นอกเห็นใจ หรือ Empathy Crisis โดยการใช้ Emotional AI ในงานต่าง ๆ อาทิ การเก็บข้อมูลผู้ป่วย สามารถช่วยบุคลากรทางการแพทย์ให้มีเวลาว่างมากขึ้น ช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าและความคับข้องใจที่ประสบจากภาระงานที่เพิ่มขึ้น

ในปี 2571 บริษัทในดัชนี S&P 30% จะใช้การติดฉลาก GenAI เช่น “xxGPT” เพื่อปรับภาพแบรนด์และเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ ๆ 

ผู้บริหาร CMO ต่างมองว่า GenAI เป็นเครื่องมือที่สามารถใช้เปิดตัวร่วมกับทั้งผลิตภัณฑ์ใหม่และโมเดลธุรกิจใหม่ โดย GenAI ยังเปิดโอกาสให้เกิดช่องทางรายได้ใหม่ ๆ จากการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดได้รวดเร็วขึ้น พร้อมทั้งมอบประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้น รวมถึงทำให้กระบวนการต่าง ๆ เป็นอัตโนมัติ ขณะที่ภูมิทัศน์ของ GenAI มีการแข่งขันมากขึ้น หลายบริษัทกำลังสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ด้วยการพัฒนาโมเดลเฉพาะทางที่ปรับให้เหมาะกับอุตสาหกรรมของตน

ในปี 2571 25% ของการละเมิดความปลอดภัยในองค์กร จะถูกสืบย้อนกลับไปที่การใช้ AI agent ในทางที่ผิด ทั้งจากผู้โจมตีภายนอกและภายในที่เป็นอันตราย

องค์กรจำเป็นต้องมีโซลูชันด้านวามปลอดภัยและความเสี่ยงใหม่ ๆ เนื่องจาก AI agents เพิ่มพื้นที่การโจมตีที่มองไม่เห็นในองค์กรมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะบังคับให้องค์กรต้องปกป้องธุรกิจของตนจากผู้โจมตีภายนอกที่ชาญฉลาดและจากพนักงานที่ไม่พอใจที่สร้าง AI agents เพื่อดำเนินกิจกรรมที่เป็นอันตราย 

องค์กรไม่สามารถรอที่จะนำระบบการควบคุมต่าง ๆ เพื่อลดภัยคุกคามจาก AI agent มาใช้ได้ ดังนั้นแนวทางที่ง่ายกว่าคือการสร้างระบบการลดความเสี่ยงและความปลอดภัยเข้าไปไว้ในตัวผลิตภัณฑ์และซอฟต์แวร์ ซึ่งดีกว่าเพิ่มเข้าไปหลังจากเกิดเหตุการละเมิดความปลอดภัย” พลัมเมอร์กล่าวว่า

ในปี 2571 ผู้บริหาร CIOs 40% จะเรียกร้องให้มี “Guardian Agents” สำหรับเฝ้าติดตาม ดูแล หรือควบคุมผลลัพธ์ที่เกิดจากการกระทำของ AI agent โดยอัตโนมัติ

องค์กรกำลังให้ความสนใจ AI agents เพิ่มขึ้น แต่เมื่อมีการเพิ่มระดับความอัจฉริยะใน GenAI agent ใหม่ ๆ ก็มีแนวโน้มที่ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์จะนำมาปรับใช้สำหรับวางแผนเชิงกลยุทธ์อย่างรวดเร็ว โดย “Guardian Agents” คือการพัฒนาต่อยอดจากแนวคิดการตรวจสอบความปลอดภัย การสังเกตการณ์ การรับรองการปฏิบัติตามกฎระเบียบ จริยธรรม การกรองข้อมูล การตรวจสอบบันทึก และกลไกอื่น ๆ อีกมากมายของ AI Agent ซึ่งตลอดปี 2568 ตัวเลขการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่มี AI agent แบบมัลติเพิลจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับมียูสเคสการใช้งานที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

อีกไม่นานการโจมตีด้านความปลอดภัยของ AI agent จะเป็นพื้นที่ภัยคุกคามใหม่ ซึ่งการนำมาตรการป้องกันตัวกรองความปลอดภัยการกำกับดูแลโดยมนุษย์ หรือแม้แต่การสังเกตการณ์ด้านความปลอดภัยมาใช้อาจยังไม่เพียงพอที่จะรับประกันว่าการใช้ AI agent นั้นมีความเหมาะสมและใช้งานได้อย่างสม่ำเสมอ” พลัมเมอร์ กล่าว

ปี 2570 บริษัทในกลุ่ม Fortune 500 จะเปลี่ยนงบประมาณ แสนล้านดอลลาร์จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานด้านพลังงานไปสู่ไมโครกริด เพื่อลดความเสี่ยงเรื้อรังด้านพลังงานและความต้องการด้าน AI

ไมโครกริดคือโครงข่ายพลังงานที่เชื่อมต่อกับการผลิต การกักเก็บรักษา และการจ่ายพลังงานในระบบที่แยกตัวเป็นอิสระ ซึ่งสามารถทำงานได้ด้วยตัวเองหรือทำงานร่วมกับระบบโครงข่ายพลังงานหลักเพื่อตอบสนองความต้องการใช้พลังงานในพื้นที่หรือสถานที่ที่มีความเฉพาะ

เทคโนโลยีนี้สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันสำหรับการดำเนินงานต่าง ๆ ในประจำวันและช่วยลดความเสี่ยงด้านพลังงานในอนาคต โดยบริษัทในกลุ่ม Fortune 500 ที่ใช้จ่ายค่าดำเนินงานส่วนหนึ่งไปกับพลังงานควรพิจารณาลงทุนในไมโครกริด ซึ่งจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการจ่ายค่าสาธารณูปโภคที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

iNT: พันธมิตรเพื่ออนาคต พร้อมเปิดประตูสู่นวัตกรรมและธุรกิจ Start-Up

สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ iNT (อิ๊นท์) ตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านการสนับสนุนธุรกิจ Start-Up และการส่งเสริมการต่อยอดผลงานวิจัย นวัตกรรม ไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ด้วยความพร้อมในการให้คำปรึกษาและโอกาสในการเชื่อมโยงเครือข่ายกับพันธมิตรระดับโลก

iNT เป็นส่วนงานของมหาวิทยาลัยมหิดลที่มีเป้าหมายในการนำเสนอผลงานวิจัยและเทคโนโลยีของ มหาวิทยาลัยไปสู่ศูนย์กลางด้านการสร้างนวัตกรรมในระดับชาติและนานาชาติ โดยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการส่งเสริมการต่อยอดผลงานวิจัยให้ถูกนำไปสร้างเป็นนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ หรือการบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคม มีส่วนช่วยในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมไปถึงการเพิ่มมูลค่าให้กับงานวิจัยในการนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์

ในปัจจุบัน iNT มีเครือข่ายพันธมิตรที่ครอบคลุมทั้งในระดับประเทศและนานาชาติพร้อมเป็นหน่วยงานกลางในการประสานความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดลกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในการส่งเสริมการนำองค์ความรู้ความเชี่ยวชาญทรัพย์สินทางปัญญาของมหาวิทยาลัยให้สามารถถูกนำไปใช้ประโยชน์ที่ตอบโจทย์ของตลาดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เศรษฐกิจของประเทศ

บริการของ iNT ที่โดดเด่น

การบริหารจัดการด้านทรัพย์สินทางปัญญาและการถ่ายทอดเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์
เป็นที่ปรึกษาและให้บริการด้านการจดสิทธิบัตร อนุสิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ เครื่องหมายทางการค้า พร้อมผลักดันและส่งเสริมการนำองค์ความรู้จากทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ หรือ Licensing Commercialization เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับงานวิจัยและนวัตกรรมของมหาวิทยาลัย 

การสนับสนุนให้เกิดการบ่มเพาะธุรกิจ Startup : Entrepreneurial Ecosystem 

ด้วยหลากหลายโครงการที่จะส่งเสริมให้บุคลากรและนักศึกษามีแนวคิดในการเป็นเป็นผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการ Incubation Program บ่มเพาะ Startup  โครงการ iNT Accelerate การพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมและเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech Technology) ผ่านกระบวนเร่งสปีดที่เรียกว่า Acceleration Program รวมไปถึงการให้บริการพื้นที่ Co-Working Space ภายใต้ชื่อ MaSHARES นอกจากนี้ทางสถาบัน iNT ยังมีการจัดหาทุนสนับสนุนในการพัฒนาต้นแบบนวัตกรรม เพื่อนำทุนไปต่อยอด ในการสร้างสรรค์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมต่อไปในอนาคต อาทิ ทุน Innovation Fund เพื่อพัฒนานวัตกรรมและผู้ประกอบการเพื่อไปสู่เชิงพาณิชย์, Youth Startup Fund, ทุน Talent Mobility ที่ให้อาจารย์นักวิจัยได้ไปทำงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรม

การเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับภาคอุตสาหกรรม ด้านบริการวิจัยและวิชาการ

โดยมีการจัดตั้งศูนย์ย่อยในการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับภาคอุตสาหกรรม คือ ศูนย์ร่วมคิดพาณิชย์นวัตกรรม (MICC) เป็นศูนย์การในการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับภาคอุตสาหกรรม

โดย iNT มีพาร์ทเนอร์มากมาย ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.), สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นต้น และ หน่วยงานเอกชน อาทิเช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์, SCG  เป็นต้น

เครือข่ายพาร์ทเนอร์เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้สถาบัน iNT สู่การเป็นศูนย์กลางด้านการสร้างนวัตกรรมในระดับชาติและนานาชาติ พร้อมขับเคลื่อนสนับสนุนต่อยอดนวัตกรรมไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก สร้าง Real World Impact สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับสังคมต่อไป

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) มหาวิทยาลัยมหิดล สำนักงานอธิการบดี ชั้น 2 999 ถนน พุทธมณฑลสาย 4 ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล นครปฐม 73170 โทร. 02-849-6050


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

โรงเรียนเตรียมวิศวกรรมศาสตร์ ไทย-เยอรมัน มจพ. เปิดสอบตรงวุฒิ ม.3 โครงการรับตรง ปี’2568

โรงเรียนเตรียมวิศวกรรมศาสตร์ ไทยเยอรมัน วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เปิดรับสมัครนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (.3) เข้าศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หลักสูตรเตรียมวิศวกรรมศาสตร์ ไทยเยอรมัน (ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ในโครงการรับตรง (สอบข้อเขียน) ปีการศึกษา 2568 รับสมัครตั้งแต่บัดนี้ – 28 กุมภาพันธ์ 2568 รายละเอียดดังนี้

คุณสมบัติ

สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (.1-.3) ผลการเรียนไม่ต่ำกว่า 2.50 หรือผ่านการเรียน ในชั้น ม.4 กลุ่มสาระการเรียนรู้ด้านคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ผลการเรียนไม่ต่ำกว่า 2.50

สาขาวิชาที่เปิดรับ

1) สาขาเตรียมวิศวกรรมเครื่องกล -M (ภาคภาษาไทย)
2) สาขาเตรียมวิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ -E (ภาคภาษาไทย)
3) สาขาเตรียมวิศวกรรมโยธา -C (ภาคภาษาไทย)
4.) สาขาเตรียมวิศวเครื่องกล  -M (English Program)

5) สาขาเตรียมวิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ -E (English Program)
6) สาขาเตรียมวิศวกรรมโยธา -C (English Program)

สอบข้อเขียน วันที่ 22 มีนาคม 2568

ประกาศผลสอบข้อเขียน  วันที่ 28 มีนาคม 2568

สอบสัมภาษณ์ละส่งตรวจสุขภาพ  วันที่ 2 เมษายน 2568

การสมัคร Download ใบสมัครและสมัครที่ http:/www.admission.kmutnb.ac.th/  โดยการสมัครเลือกได้

3 อันดับ

ระเบียบการรับสมัคร https://www.admission.kmutnb.ac.th/apply/project_tabs/1277

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่  กลุ่มงานรับเข้าศึกษา กองบริการการศึกษา มจพ.  โทรศัพท์ 02-555-2000 ต่อ 1626-1627 ฝ่ายวิชาการ โรงเรียนเตรียมวิศวกรรมศาสตร์ ไทยเยอรมัน  โทรศัพท์ 02-555-2000 ต่อ 6109, 6111, 6115 และ facebook :โรงเรียนเตรียมวิศวกรรมศาสตร์ ไทยเยอรมัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

BLESS x ShooShoke รณรงค์กำจัดขยะ (Food Waste) ด้วยระบบ Zero Waste รีไซเคิลเป็นปุ๋ยชีวภาพ

บริษัท เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (BLESS  ASSET GROUP) หรือ BLESS ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างบ้านคุณภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ไปพร้อมกับการสร้างสังคมคุณภาพ และโลกที่ยั่งยืน ภายใต้นิยาม “ใช้ชีวิต..ให้สุขยิ่งกว่า Live your Blessed Life” ตามเจตนารมย์ของแบรนด์ “บ้านสุข บ้าน BLESS” ที่ให้ความสำคัญกับ Waste Management ส่งเสริมการจัดการขยะอย่างมีความรับผิดชอบ ครอบคลุมตั้งแต่ที่อยู่อาศัย พื้นที่ส่วนกลาง ไซต์งานก่อสร้าง และออฟฟิศของบริษัทฯ เพื่อนำขยะรีไซเคิล กลับมาหมุนเวียนใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และลดปริมาณขยะที่จะนำไปสู่การฝังกลบ (Landfill) ให้ได้มากที่สุด

โดย BLESS เริ่มต้นเดินหน้าแยกขยะเพื่อรีไซเคิล และนำกลับมาใช้ประโยชน์ตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งไม่ใช่แค่การแยกขยะ แต่ยังรวมถึงการนำขยะกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยการร่วมมือกับ ShooShoke (ชูชก) ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการขยะ Food Waste “เปลี่ยนขยะ(อาหาร) ให้เกิดประโยชน์ (From Food back to Food)” ด้วยเทคโนโลยีการทำปุ๋ยหมักขั้นสูง มุ่งเน้นการแปรรูปเศษอาหารให้กลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพ เพื่อสร้างระบบการย่อยเศษอาหารที่ยั่งยืนและส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน
โดยจะนำปุ๋ยที่ได้จากการแปรรูปเศษอาหารไปใช้ในการปลูกต้นไม้ภายในทุกโครงการในอนาคต

นำร่องโครงการแรกที่โครงการ Blessington วงแหวน – จตุโชติ  โดยมี คุณชัยวัฒน์ โกวิทจินดาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย คุณนิภา อภิรัตนรุ่งเรือง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BLESS และ คุณทวีศักดิ์ อ่องเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ShooShoke รวมทั้งได้รับเกียรติจาก คุณกรณ์ จาติกวณิช Co-Founder นำเครื่องย่อยเศษอาหารให้เป็นปุ๋ย ShooShoke ขนาด 25 กิโลกรัม มามอบให้ที่โครงการ Blessington วงแหวน – จตุโชติ พร้อมสาธิตการทำงานของเครื่องย่อยเศษอาหาร ให้ทีมงาน BLESS เข้าใจในขบวนการอย่างละเอียด

สำหรับความร่วมมือกันในครั้งนี้ เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายในการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) ในเป้าหมายที่ 12 สร้างหลักประกันให้มีแบบแผนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน และเป้าหมายที่ 17 เสริมความแข็งแกร่งให้แก่กลไกการดำเนินงานและฟื้นฟูหุ้นส่วนความร่วมมือระดับโลก เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

คุณชัยวัฒน์ โกวิทจินดาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับวิสัยทัศน์ ที่มุ่งสร้างธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในด้านของความยั่งยืน ที่เต็มไปด้วยความสุขของผู้พักอาศัย พร้อมความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและยั่งยืนไปพร้อมกัน

ทั้งนี้หลังจากได้นำร่องโครงการ “เปลี่ยนขยะ(อาหาร) ให้เกิดประโยชน์ (From Food back to Food)” ที่ไซต์งานก่อสร้างโครงการ Blessington วงแหวน – จตุโชติ ไปแล้ว BLESS  จะเดินหน้าต่อยอดไปยังโครงการที่อยู่อาศัยทั้งหมดของบริษัทฯ เพื่อไปสู่เป้าหมายการเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ดำเนินธุรกิจสร้างความสุขสมดุลของผู้พักอาศัย ไปพร้อมกับความยั่งยืนของโลก


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ เปิดหลักสูตรเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ประยุกต์และนวัตกรรม นักศึกษา ป.โท

คณะศิลปศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เปิดรับสมัครนักศึกษา ระดับปริญญาโท รุ่นที่ 1 ภาคการศึกษาที่ 1/2568   ในหลักสูตรเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ประยุกต์และนวัตกรรม” M. Econ (Applied and Innovative Economics) (หลักสูตรใหม่ ปี 2567)  รับสมัครตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปทางเว็ปไซต์ของบัณฑิตวิทยาลัย

จุดเด่นของหลักสูตร

เน้นการประยุกต์ใช้ได้จริง  โดยหลักสูตรเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ประยุกต์และนวัตกรรม มจพ. นี้เปิดรับสมัครนักศึกษาทั้งภาคปกติและภาคพิเศษรายละเอียดดังนี้

1) ภาคปกติ (MAIE) แผนวิชาการแบบ 1 (เรียนคอร์สเวิร์คและทำวิทยานิพนธ์รวม 36 หน่วยกิต) เรียนแบบ Block Course ในวันจันทร์ศุกร์ เวลา 9.00 – 16.00 . ค่าใช้จ่ายตามหน่วยกิต โดยประมาณ 18,000 – 20,000 บาท/เทอม ค่าสมัคร 500 บาท

2) ภาคพิเศษ (S-MAIE) แผนวิชาการแบบ 1 (เรียนคอร์สเวิร์คและทำวิทยานิพนธ์รวม 36 หน่วยกิต) เรียนแบบ Block Course ในวันเสาร์อาทิตย์ เวลา 9.00 – 16.00 . (มีเครื่องดื่มบริการ) ค่าเทอมเหมาจ่าย 35,000 บาท/เทอม ค่าสมัคร 1,000 บาท

เปิดรับสำหรับผู้จบปริญญาตรี ทุกสาขา มีสอนปรับพื้นฐานเศรษฐศาสตร์ (ไม่เสียค่าใช้จ่าย) และสามารถเทียบโอนหน่วยกิตได้ตามระเบียบของมหาวิทยาลัย)

รับสมัครออนไลน์ ทางเว็ปไซต์ของบัณฑิตวิทยาลัย http://grad.admission.kmutnb.ac.th/ApplyLogin

รายละเอียดหลักสูตร

https://drive.google.com/drive/folders/1m0DlK-Q3eUBrV2g1YvEJULnKfh_rX7AA?usp=drive_link

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร 087-562-3472 ดร. พิเศษพร วศวงศ์ หรือ Facebook page : หลักสูตรปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ประยุกต์และนวัตกรรม มจพ. และที่ Email: mecon@arts.kmutnb.ac.th

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ซีเมนส์ โมบิลิตี้และกลุ่มบริษัทพันธมิตร ได้รับการพิจารณาและลงนามในสัญญาสำคัญ ช่วยพลิกโฉมระบบขนส่งสาธารณะทางรางในประเทศไทย

เมื่อไม่นานนี้ กลุ่มบริษัทซีเมนส์ โมบิลิตี้ และกลุ่มบริษัทพันธมิตร บริษัท โบซานคายาและบริษัท เอสที เอ็นจิเนียริ่ง เออร์เบิน โซลูชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับคัดเลือกให้ดำเนินงานภายใต้สัญญาหลายฉบับในหลายโครงการสำคัญ ประกอบด้วยโครงการรถไฟฟ้า MRT สายสีส้มและสายสีน้ำเงินในกรุงเทพมหานคร สัญญาดังกล่าวครอบคลุมถึงการส่งมอบขบวนรถใหม่ทั้งหมด 53 ขบวน รวมถึงการปรับปรุงระบบอาณัติสัญญาณและการซ่อมบำรุง นอกจากนี้ ซีเมนส์ โมบิลิตี้ ยังได้รับมอบหมายให้ขยายการเชื่อมต่อระหว่างเมืองในภาคเหนือของประเทศไทยด้วยระบบอาณัติสัญญาณและระบบโทรคมนาคมผ่านโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ถือว่าเป็นอีกก้าวสำคัญสำหรับซีเมนส์ โมบิลิตี้ในประเทศไทย โดยโครงการดังกล่าวได้รับการว่าจ้างจาก บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) (CK) และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) โดยมีระยะเวลาตั้งแต่ปี 2567 ถึงปี 2582 ซึ่งจะช่วยยกระดับประสิทธิภาพ พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารและสร้างความยั่งยืนให้กับเครือข่ายการขนส่งสาธารณะทั้งในเมืองและระหว่างเมือง

นายไมเคิล ปีเตอร์ ประธานกรรมการฝ่ายบริหาร บริษัท ซีเมนส์ โมบิลิตี้ จำกัด ประเทศเยอรมนี กล่าวว่า ในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้ในประเทศไทยมายาวนานกว่า 30 ปี เรารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของกรุงเทพฯ และมีบทบาทในการสร้างสรรค์การเดินทางในประเทศไทยเพื่อคนรุ่นต่อไป เทคโนโลยีของเราในปัจจุบันได้ให้บริการแก่ผู้โดยสารมากกว่า ล้านคนในกรุงเทพฯ ทุกวัน ช่วยลดปัญหาความแออัดและเวลาการเดินทางในกรุงเทพฯ เป็นอย่างดี และด้วยขบวนรถไฟใหม่จำนวน 53 ขบวน ระบบสัญญาณและโทรคมนาคมที่ทันสมัย การบริการบำรุงรักษาระยะยาวสำหรับสายสีส้ม สายสีน้ำเงิน รวมถึงการเชื่อมต่อสายหลักทางตอนเหนือของประเทศ จะทำให้ผู้คนสามารถเดินทางถึงจุดหมายได้อย่างรวดเร็วและไร้การปล่อยก๊าซมลพิษมากขึ้น”

ซีเมนส์ โมบิลิตี้ จะส่งมอบรถไฟฟ้าใหม่ 32 ขบวนและระบบบูรณาการให้กับรถไฟฟ้า MRT สายสีส้ม พร้อมดูแลการซ่อมบำรุง

กลุ่มบริษัทซีเมนส์ โมบิลิตี้ และกลุ่มบริษัทพันธมิตร ประกอบด้วย บริษัท เอสที เอ็นจิเนียริ่ง เออร์เบิน โซลูชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทผู้ผลิตรถไฟ จากประเทศตุรกี บริษัท โบซานคายา ได้รับคัดเลือกให้ดำเนินงานภายใต้สัญญาโครงการจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ (Turnkey) รถไฟฟ้า MRT สายสีส้ม โดยสัญญาดังกล่าวครอบคลุมการส่งมอบขบวนรถไฟ 32 ขบวน 3 ตู้ รวมไปถึงการออกแบบ ติดตั้ง และบูรณาการระบบกลไกและไฟฟ้าที่ครอบคลุมเส้นทาง 35.9 กิโลเมตร โดยขบวนรถไฟฟ้าจะให้บริการทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตกของเส้นทาง ซึ่งมีระยะทางทั้งใต้ดินและทางยกระดับ ขอบเขตความรับผิดชอบในสัญญาฉบับนี้ครอบคลุมตั้งแต่การจัดหาตัวรถไฟ ระบบอาณัติสัญญาณ ระบบสื่อสาร ประตูอัตโนมัติกั้นชานชาลา และระบบแสดงผลข้อมูลโดยสารรถไฟฟ้า เพื่อความมั่นใจว่าจะมอบโซลูชันการขนส่งจะที่มีประสิทธิภาพสูงและบูรณาการครบวงจร โดยขบวนรถไฟฟ้ารุ่นใหม่นี้มาพร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัย ​​ภายในกว้างขวาง ระบบปรับอากาศประสิทธิภาพสูง พร้อมระบบแสดงผลข้อมูลทันสมัย เพื่อให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายของผู้โดยสาร นอกจากนี้ โซลูชันประหยัดพลังงานของ ซีเมนส์ โมบิลิตี้ ยังสอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของกรุงเทพฯ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ โดยรวมของระบบรถไฟฟ้าสายสีส้ม ยิ่งไปกว่านั้นซีเมนส์ โมบิลิตี้ยังได้รับสัญญาบำรุงรักษาระยะยาวเพื่อการดำเนินงานของรถไฟฟ้าที่เชื่อถือได้และราบรื่นต่อไป 

ซีเมนส์ โมบิลิตี้ เพิ่มศักยภาพ MRT รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ด้วยขบวนรถใหม่ 21 ขบวน พร้อมปรับปรุงระบบอาณัติสัญญาณและขยายบริการซ่อมบำรุงรักษาให้ยาวนานยิ่งขึ้น

ซีเมนส์ โมบิลิตี้ ยังได้รับสัญญาสำหรับโครงการปรับปรุงรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน จัดหาขบวนรถไฟฟ้าใหม่เพิ่มเติมจำนวน 21 ขบวน ขบวนละ ตู้ และการปรับปรุงระบบอาณัติสัญญาณและระบบตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Real-time (SCADA) ที่มีอยู่เดิมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ระยะห่างระหว่างขบวนรถ สำหรับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินมีระยะทางรวม 48 กิโลเมตร และสถานีทั้งหมด 38 สถานี ถือเป็นส่วนสำคัญของเครือข่ายการขนส่งในกรุงเทพฯ ซึ่งซีเมนส์ โมบิลิตี้ มีบทบาทสำคัญพัฒนารถไฟฟ้าสายนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 โดยให้การสนับสนุนทั้งการขยายและปรับปรุงให้มีความทันสมัยมาโดยตลอด นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เซ็นสัญญาการบำรุงรักษาครบวงจรสำหรับขบวนรถไฟใหม่ที่เพิ่มเติมมา รวมถึงการขยายสัญญาการบำรุงรักษาครบวงจรที่มีอยู่เดิม โดยมีขอบเขตการบริการครอบคลุมระบบสำคัญทั้งหมด ประกอบด้วยตัวรถไฟ ระบบอาณัติสัญญาณ ระบบสื่อสาร ประตูอัตโนมัติกั้นชานชาลา ระบบจ่ายไฟ และระบบตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Real-time (SCADA) รวมถึงระบบแสดงข้อมูลโดยสารรถไฟฟ้าระบบการจัดการคลังสินค้า และศูนย์รับรายงานความบกพร่อง หรือ Fault Reporting Center ทั้งหมดนี้เพื่อตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการรับประกันว่ารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินจะยังคงเป็นส่วนสำคัญที่มีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือของโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งสาธารณะในกรุงเทพฯ ไปจนถึงปี พ.ศ.2582

ขยายการเชื่อมต่อขนส่งระบบรางของประเทศไทยในเส้นทางเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ

นอกเหนือจากโครงการรถไฟฟ้า MRT ในกรุงเทพฯ ซีเมนส์ โมบิลิตี้ยังได้รับสัญญาในการพัฒนาการเชื่อมต่อรถไฟระหว่างเมืองผ่านโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ โดยได้รับสัญญาในสองส่วน คือสัญญาที่ 2 (งาว – เชียงราย ระยะทาง 132 กิโลเมตร มี 11 สถานี) และในสัญญาที่ 3 (เชียงราย – เชียงของ ระยะทาง 87 กิโลเมตร มี สถานี) บริษัทฯ จะติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและระบบโทรคมนาคมที่ทันสมัยตลอดทั้งสาย ซึ่งรวมถึงระบบควบคุมอาณัติสัญญาณจากศูนย์กลาง (CTC) และระบบควบคุมรถไฟฟ้าอัตโนมัติ ที่เป็นไปตามมาตรฐานยุโรป ระดับที่ 1 (ETCS Level 1) 

ระบบอาณัติสัญญาณและระบบโทรคมนาคมนี้เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาก่อสร้างทางรถไฟหลัก องค์ประกอบสำคัญในสัญญานี้ได้แก่ ระบบบังคับสัมพันธ์ Trackguard Westrace MKII, ระบบควบคุมอาณัติสัญญาณจากศูนย์กลาง (CTC) Controlguide Rail9000, จอควบคุมอาณัติสัญญาณจราจรโดยนายสถานีระบบ ETCS L1, ประแจสับรางระบบตรวจสอบตำแหน่งรถไฟโดยใช้วงจรไฟตอน, และเครื่องนับเพลา Clearguard ACM250 และมีอุปกรณ์ระบบอาณัติสัญญาณเพิ่มเติมที่จัดหาจากในประเทศ สำหรับงานวิศวกรรมส่วนใหญ่จะดำเนินการในประเทศไทย โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญของซีเมนส์จากสเปน ออสเตรเลีย และเยอรมนี

 การพัฒนาระบบขนส่งเพื่อทุกคนในประเทศไทย

ซีเมนส์ โมบิลิตี้ ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันคมนาคมขนส่งทางราง ได้รับความไว้วางใจอย่างต่อเนื่องมายาวนานกว่า 30 ปี ผ่านการดำเนินโครงการสำคัญต่าง ๆ และการเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ในประเทศไทย ตั้งแต่โครงการระบบขนส่งมวลชนยกระดับแห่งแรกของกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ.2537 จนถึงรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรก (สายสีน้ำเงิน หรือสายเฉลิมรัชมงคล) ในปี พ.ศ.2547 นายโธมัสค์ มาซัวร์ ประธานกรรมการฝ่ายบริหาร บริษัท ซีเมนส์ โมบิลิตี้ จำกัด ประเทศไทย กล่าวว่า “โครงการที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ทำให้บริษัท ซีเมนส์ โมบิลิตี้ ได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นจากพันธมิตร ส่งผลให้เกิดความร่วมมือในระยะยาว บริษัทฯ มีความภาคภูมิใจที่ได้รับเลือกให้เป็นพันธมิตรในการขยายเครือข่ายรถไฟของประเทศไทย และจะยังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอโซลูชันการขนส่งอย่างยั่งยืนแบบไร้รอยต่อ ที่เชื่อถือได้ กับประเทศไทยต่อไป


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Cloudflare เผยเทรนด์อินเทอร์เน็ตยอดนิยมประจำปี 2567

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย, 16 ธันวาคม 2567 – Cloudflare, Inc. (NYSE: NET) บริษัทชั้นนำด้านการเชื่อมต่อคลาวด์ ได้เผยแพร่รายงานประจำปีฉบับที่ 5 Year in Review ที่สำรวจข้อมูลเชิงลึกของอินเทอร์เน็ตทั่วโลกและเทรนด์ด้านความปลอดภัยในปี 2567 พร้อมการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับบริการอินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

อินเทอร์เน็ตเป็นรากฐานสำคัญของการเชื่อมต่อทั่วโลก ช่วยเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญและบริการต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนชีวิตประจำวัน เราต่างพึ่งพาอินเทอร์เน็ตจนกลายเป็นแกนหลักของสังคมปัจจุบัน ตั้งแต่การใช้เพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่กู้ภัยช่วยชีวิตคน เปิดโอกาสให้ชุมชนได้ติดต่อกับผู้แทนที่ได้รับเลือกตั้งและลงทะเบียนเพื่อโหวตคะแนนเสียง หรือการสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีทั่วโลก รายงานประจำปี 2567 ของ Cloudflare แสดงให้เห็นว่าทุกปี เมื่อผู้คนและอุปกรณ์เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตทั่วโลกเพิ่มขึ้นตาม (โดยปีนี้เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว) และก่อให้เกิดเทรนด์ใหม่ ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงการพึ่งพาความสามารถของอินเทอร์เน็ตทั่วโลก

แมทธิว พรินซ์ ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Cloudflare กล่าวว่า “เราพึ่งพาอินเทอร์เน็ตแทบตลอดเวลา ทว่าหลายคนอาจยังมองว่ามันเป็นเพียงแค่การรวมกันของหน้าเว็บเท่านั้น แต่แท้จริงอินเทอร์เน็ตนั้นอยู่ทุกที่ กลืนเข้าไปในทุกกิจกรรมประจำวันของชีวิตสมัยใหม่ ตั้งแต่วิธีการที่เราใช้โต้ตอบและเชื่อมต่อถึงกันบนโซเชียลมีเดีย การใช้ตู้เย็นและเครื่องดูดฝุ่นอัจฉริยะ การเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งผ่านแอปเรียกรถ การเชื่อมต่อกับธนาคาร และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยการโต้ตอบทั้งหมดเหล่านี้ที่เรามักมองข้ามไปโดยไม่ตั้งใจนั้นเบื้องหลังล้วนเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง และ Cloudflare ก็เป็นหนึ่งในเครือข่ายที่มีเปอร์เซ็นต์การใช้งานจำนวนมาก ในฐานะหนึ่งในเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก Cloudflare ได้นำเสนอมุมมองที่ครอบคลุมด้านการใช้งาน คุณภาพโดยรวม และการเชื่อมต่อทั่วทั้งเว็บ

ข้อมูลสำคัญในปี 2567 ได้แก่:

  • บริการอินเทอร์เน็ตยอดนิยม: Google ครองอันดับหนึ่งเป็นปีที่สามติดต่อกัน ตามด้วย Facebook (อันดับ 2), Apple (อันดับ 3) และ TikTok (อันดับ 4) ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากปี 2566 อย่างไรก็ตาม WhatsApp ได้ติดเข้ามาใน 10 อันดับแรกของบริการยอดนิยมทั่วโลกเป็นครั้งแรก
  • บริการ Generative AI ยอดนิยม: Codeium, Claude และ CoPilot เป็นผู้เล่นหน้าใหม่ที่เข้ามาอยู่ใน 10 อันดับแรกของบริการ Generative AI ยอดนิยม (โดยอยู่ในอันดับ 3, 5 และ 7 ตามลำดับ) ขณะที่ OpenAI ยังคงรักษาอันดับหนึ่งเป็นปีที่สองติดต่อกัน
  • บริการเกมยอดนิยม: ผู้บริโภคเกมผลักดันให้ Steam ติดอันดับ 5 บริการยอดนิยมเป็นครั้งแรก ในขณะที่ Minecraft เข้ามาอยู่ใน 10 อันดับแรกในปีนี้ ขณะเดียวกัน Roblox ยังครองอันดับ 1 เป็นปีที่สี่ติดต่อกัน
  • อุตสาหกรรมที่ถูกโจมตีมากที่สุด: อุตสาหกรรมเกมและการพนันกลายเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งของผู้โจมตีทั่วโลก แซงหน้าภาคการเงินซึ่งเป็นหมวดหมู่ที่ถูกโจมตีมากที่สุดในปี 2566 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงสัปดาห์ก่อน Super Bowl ในสหรัฐอเมริกา
  • การล่มของอินเทอร์เน็ตที่ตรวจพบ: มากกว่าครึ่งหนึ่งของการล่มของอินเทอร์เน็ตทั่วโลกเป็นผลมาจากการปิดกั้นโดยรัฐบาล มักเป็นการตอบสนองต่อการประท้วง ความไม่สงบของพลเรือน หรือแม้แต่เพื่อป้องกันการทุจริตในการสอบ ส่งผลกระทบต่อประเทศต่าง ๆ เช่น โมซัมบิก อิรัก ซีเรีย บังกลาเทศ เซเนกัล ปากีสถาน และประเทศอื่น ๆ
  • ทราฟฟิกที่เป็นอันตราย: อินเทอร์เน็ตไม่ได้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปีที่ผ่านมา โดยประมาณ 6.5% ของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตทั่วโลกถูกระงับในฐานะที่อาจเป็นอันตราย เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากปี 2566
  • AI Bots ที่ต้องจับตามากที่สุด: AI Bots และ Crawler ได้รับความสนใจอย่างมากจากสื่อต่าง ๆ แม้ว่า Bytespider (ByteDance) และ ClaudeBot (Anthropic) จะมีการใช้งานมากที่สุด แต่ปริมาณการใช้งานโดยรวมของทั้งสองก็ค่อย ๆ ลดลงตลอดทั้งปี

เดวิด เบลสัน หัวหน้าฝ่ายข้อมูลเชิงลึกที่ Cloudflare กล่าวว่า “Cloudflare Radar เปิดตัวในปี 2563 เมื่อเราได้เห็นผลกระทบอย่างรุนแรงของการระบาดใหญ่ที่ส่งผลต่อวิธีการที่เราใช้งานอินเทอร์เน็ต และตระหนักถึงความสำคัญของการที่ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ต้องเข้าถึงได้สำหรับทุกคน รายงานประจำปีนี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของ Radar ในการทำให้ข้อมูลของ Cloudflare เป็นสาธารณะ ด้วยการนำเสนอหน้าต่างสู่เทรนด์และรูปแบบอินเทอร์เน็ตที่เปิดให้ทุกคนร่วมสำรวจได้ง่าย ๆ”

ข้อมูลนี้ได้มาจาก Cloudflare Radar ซึ่งเป็นเครื่องมือฟรีที่เปิดให้ทุกคนสามารถดูเทรนด์และข้อมูลเชิงลึกทั่วโลกบนอินเทอร์เน็ต โดย Radar รวบรวมข้อมูลมาจากเครือข่ายทั่วโลกของ Cloudflare (ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมมากกว่า 330 เมืองใน 120 กว่าประเทศ) โดยเป็นข้อมูลที่ไม่ระบุตัวตนจาก Cloudflare’s 1.1.1.1 public DNS Resolver ซึ่งถูกใช้อย่างแพร่หลายเป็นวิธีที่รวดเร็วและเป็นส่วนตัวในการท่องอินเทอร์เน็ต

หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ  Cloudflare’s Year in Review โปรดดูแหล่งข้อมูลด้านล่างนี้:

เกี่ยวกับ Cloudflare, Inc. (NYSE: NET) 

เป็นบริษัทเชื่อมต่อคลาวด์ชั้นนำ ที่ให้เปิดโอกาสให้องค์กรในการทำให้พนักงาน แอปพลิเคชั่น และเครือข่ายของพวกเขามีความรวดเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้นในทุกที่ พร้อมทั้งลดความซับซ้อนและต้นทุน การเชื่อมต่อคลาวด์ของ Cloudflare นำเสนอแพลตฟอร์มที่รวมผลิตภัณฑ์และเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาที่ใช้คลาวด์เป็นพื้นฐานที่ครบครันที่สุด เพื่อให้องค์กรได้รับการควบคุมที่จำเป็นในการทำงาน พัฒนา และเร่งธุรกิจของตน

ขับเคลื่อนโดยหนึ่งในเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดและเชื่อมต่อกันมากที่สุดในโลก Cloudflare ป้องกันภัยคุกคามออนไลน์หลายพันล้านครั้งต่อวันสำหรับลูกค้า บริษัทได้รับความไว้วางใจจากองค์กรนับล้าน ตั้งแต่แบรนด์ขนาดใหญ่ไปจนถึงผู้ประกอบการและธุรกิจขนาดเล็ก องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร องค์กรในกลุ่มด้านมนุษยธรรม และรัฐบาลทั่วโลก

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบการเชื่อมต่อคลาวด์ของ Cloudflare ได้ที่ cloudflare.com/connectivity-cloud  หรือเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทรนด์และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตล่าสุดได้ที่ https://radar.cloudflare.com 

ติดตามเพิ่มเติมที่: Blog | X | LinkedIn | Facebook | Instagram

ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ยังมีเนื้อหาเกี่ยวกับข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าที่ตรงกับความหมายตามมาตราที่ 27A แห่งกฎหมายหลักทรัพย์ ปี 1933 ฉบับแก้ไข และมาตราที่ 21E ของกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ ปี 1934 ฉบับแก้ไข โดยข้อความเหล่านี้มีรายละเอียดที่เชื่อมโยงกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่เห็นเด่นชัดซึ่งในบางกรณี คุณสามารถระบุถึงข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าได้จากคำบางคำที่รวมอยู่ในข้อความดังกล่าว เช่น “อาจจะ” “จะ” “ควร” “คาดหวัง” “สำรวจ” “วางแผน” “คาดการณ์” “สามารถ” “มีเจตนา” “เป้าหมาย” “คาดหวัง” “พิจารณา” “เชื่อ” “ประมาณการ” “พยากรณ์” “แนวโน้ม” หรือ “ต่อเนื่อง” หรือคำที่ให้ความหมายเชิงลบบางคำ หรือคำหรือนิพจน์ที่คล้ายกันอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความคาดหวัง กลยุทธ์ แผน หรือเจตนาของ Cloudflare อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าทั้งหมดจะรวมคำที่บ่งชี้เหล่านี้ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าที่แสดงอย่างชัดแจ้งหรือแสดงเป็นนัยภายในข่าวประชาสัมพันธ์นี้ รวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะข้อความว่าด้วยแผนและวัตถุประสงค์ของ Cloudflare, เครือข่ายในทั่วโลกของ Cloudflare และผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีของ Cloudflare, การพัฒนาด้านเทคโนโลยีของ Cloudflare การดำเนินการในอนาคต การเติบโต ความคิดริเริ่ม หรือกลยุทธ์ ความเสี่ยงและแนวโน้มตลาดในอนาคตและความคิดเห็นจากรองประธานประจำภูมิภาคอาเซียนและเจ้าหน้าที่ท่านอื่นของ Cloudflare โดยผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจากที่ระบุไว้หรือที่แสดงเป็นนัยไว้ภายในข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าเนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ รวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะความเสี่ยงที่ปรากฏในเอกสารของ Cloudflare ที่ยื่นต่อคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) และรายงานประจำไตรมาสของ Cloudflare บนแบบฟอร์ม 10-Q ที่ยื่นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2024 และแฟ้มเอกสารอื่น ๆ ที่ Cloudflare อาจทำขึ้นร่วมกับ SEC เป็นระยะ ๆ

ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าที่รวมอยู่ในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เกี่ยวข้องเฉพาะกับเหตุการณ์ ณ วันที่จัดทำข้อความ Cloudflare ไม่มีภาระผูกพันในการปรับปรุงข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าที่รวมอยู่ในข่าวประชาสัมพันธ์นี้ เพื่อสะท้อนถึงเหตุการณ์หรือสภาพการณ์หลังจากวันที่ออกข่าวประชาสัมพันธ์นี้ หรือเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงข้อมูลใหม่หรือการเกิดขึ้นของเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ยกเว้นตามที่กฎหมายกำหนด Cloudflare อาจไม่สามารถดำเนินการตามแผน ความตั้งใจ หรือความคาดหวังที่ปรากฏในข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าของ Cloudflare และคุณไม่ควรเชื่อถือข้อความดังกล่าวนี้ของ Cloudflare เกินควร


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Binance TH เตือนภัยคนไทย เฝ้าระวังแก๊งมิจฉาชีพหลอกลงทุนคริปโต พร้อมแนะเกราะป้องกันไม่ตกเป็นเหยื่อ

ท่ามกลางตลาดคริปโทเคอร์เรนซีและสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาบิตคอยน์มีมูลค่าสูงถึง 105,208 USD (ณ วันที่ 16 ธ.ค.) เป็นที่เรียบร้อย จึงเป็นจังหวะที่นักลงทุนหน้าใหม่เริ่มตบเท้าเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสของเหล่ามิจฉาชีพที่จะใช้สถานการณ์เชิงบวกนี้มาหลอกลวงเช่นกัน 

ตัวเลขแนวโน้มสำคัญในวงการ “คริปโต” และ “SCAM” จากสหรัฐฯ สะท้อนความเสี่ยงตลาดไทย

  • มูลค่าความเสียหายจากการหลอกลวงคริปโตอาจสูงถึง 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 
  • ความเสียหายเฉลี่ยต่อเหยื่อในสหรัฐฯ สามารถสูงถึง 39,000 ดอลลาร์สหรัฐ
  • หากจำแนกมูลค่าความเสียหายจากการหลอกลวงประเภทต่าง ๆ สามารถแบ่งเป็น วิธีการแอบอ้างตัวตน คาดว่าจะสร้างมูลค่าค่าความเสียหายอยู่ที่ 154 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, วิธีการ romance scam คาดว่าจะสร้างมูลค่าความเสียหายประมาณ 167 ล้านดอลลาร์, และวิธีการหลอกลงทุน คาดว่าจะสร้างความเสียหายสูงสุดถึง 888 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2025

(source: VPNRanks, Oct 2024)

ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีในประเทศไทยเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะใน Cycle นี้ที่จะเพิ่มจำนวนนักลงทุนหน้าใหม่ในตลาด โดยตั้งแต่ต้นปีมีจำนวนบัญชีเปิดใหม่มากถึง 120,000 บัญชี (Statista, Jan 2024) และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้ ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (Binance TH by Gulf Binance) แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลโดยได้รับใบอนุญาตภายใต้ชื่อบริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด เล็งเห็นถึงความเสี่ยงจากเหล่ามิจฉาชีพที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์จากนักลงทุน จึงขอหยิบยกรูปแบบกลโกงเพื่อป้องกันให้ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพและสามารถลงทุนได้อย่างปลอดภัย 

3 วิธีการหลอกลวง

  • เสนอบริการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรง ระวังการติดต่อจากบุคคลที่เสนอตัวเป็น “คนกลาง” ในการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล หรืออาจ แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากบริษัทซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมักเสนอผลตอบแทนสูงเกินจริง สุดท้ายจะหลอกลวงให้โอนเงินไปให้โดยไม่ได้รับสินทรัพย์จริง
  • หลอกรักผ่านแอปหาคู่ มิจฉาชีพจะสร้างโปรไฟล์ที่น่าสนใจเพื่อให้หลงเชื่อ จากนั้นจะชักชวนให้ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล พึงระวังคนที่เพิ่งรู้จักในแอปหาคู่มาชวนลงทุนคริปโตที่จะหลอกให้รักแล้วหลอกให้สูญเงินในที่สุด
  • แอปปลอม ระวังแอปพลิเคชันปลอมที่เลียนแบบแอปพลิเคชันของบริษัทซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ก่อนดาวน์โหลดแอปใด ๆ ให้ตรวจสอบที่มาของแอปให้ดี 

DYOR กุญแจสำคัญสู่การลงทุนสกุลเงินดิจิทัล

การลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโทเคอร์เรนซี กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับหลายคน แต่ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนไปกับเหรียญใดเหรียญหนึ่ง การศึกษาข้อมูลด้วยตนเอง (DYOR) นั้นสำคัญมาก

ทำไมต้อง DYOR (Do Your Own Research)? เพราะในโลกของคริปโตเต็มไปด้วยข้อมูลมากมาย บางส่วนเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง แต่บางส่วนก็อาจเป็นเพียงการโพรโมตหรือข่าวปลอมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกล่อให้นักลงทุนตัดสินใจผิดพลาด หากไม่ทำการศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ อาจนำไปสู่การสูญเสียเงินลงทุนได้ และสิ่งที่นักลงทุนทั้งเก่าและใหม่ต้องตระหนักไว้เสมอคือ “อย่าไว้ใจใครง่าย ๆ! ต้องหมั่นศึกษาข้อมูลก่อนลงทุนในโลกคริปโต

หากพลาดท่าตกเป็นเหยื่อ

  • แจ้งความทันที รวบรวมหลักฐานทั้งหมด เช่น หลักฐานการโอนเงิน ข้อความสนทนา และแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่เกิดเหตุ หรือแจ้งความออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือติดต่อกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ได้ที่สายด่วน 1441 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
  • แจ้งผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม ที่โดนแอบอ้างชื่อให้ทราบ เพื่อดำเนินการตามมาตรการ และป้องกันไม่ให้ผู้อื่นตกเป็นเหยื่อรายต่อไป
  • ระวังการโดนหลอกซ้ำจากบริการติดตามทวงคืนเงิน มิจฉาชีพมักใช้โอกาสนี้หลอกลวงซ้ำซ้อนในช่วงเวลาที่เหยื่อขาดสติจากการสูญเงินก้อนแรก ดังนั้นต้องระมัดระวังบริการที่อ้างว่าสามารถช่วยติดตามเงินคืน เพราะอาจเป็นการหลอกลวงซ้ำสองได้

Binance TH ปกป้องคุณอย่างไร?

Binance TH ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ใช้อย่างสูงสุด ช่วงครึ่งแรกของปี 2024 Binance สามารถป้องกันความเสียหายจากการถูกหลอกลวงได้กว่า 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Binance ในการปกป้องผู้ใช้งานจากภัยมิจฉาชีพ และหนึ่งในวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการให้ความรู้เรื่องภัยคุกคามที่เกิดขึ้นใหม่ในโลกคริปโตอยู่เสมอ เพราะภัยคุกคามเหล่านี้มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา การที่ลูกค้าตระหนักถึงวิธีการหลอกลวงต่าง ๆ จะช่วยให้สามารถป้องกันตัวเองและสินทรัพย์ดิจิทัลได้ และยังเป็นการช่วยปกป้องชุมชนคริปโตโดยรวมอีกด้วย โดยระบบป้องกันภัยไซเบอร์แบบมัลติเลเยอร์ของ Binance คอยดูแลผู้ใช้ตั้งแต่การแจ้งเตือนภัยเล็กน้อยไปจนถึงการช่วยเหลือฉุกเฉินในสถานการณ์เสี่ยง ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อปกป้องผู้ใช้จากภัยคุกคามทางไซเบอร์และการหลอกลวงทางการเงิน โดยมีกลยุทธ์หลักดังนี้

  1. ระบบแจ้งเตือนภัยส่วนบุคคล ผู้ใช้จะได้รับการแจ้งเตือนทันทีผ่านแอปพลิเคชันเมื่อระบบตรวจพบพฤติกรรมที่น่าสงสัย เช่น การโอนเงินไปยังกระเป๋าเงินที่ไม่น่าเชื่อถือ
  2. แบบสอบถามประเมินความเสี่ยง Binance จะส่งแบบสอบถามไปยังผู้ใช้ที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถระบุภัยคุกคามและป้องกันตัวเอง
  3. ฐานข้อมูลที่อยู่กระเป๋าเงินที่เป็นอันตราย: Binance ร่วมมือกับบริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ชั้นนำ เพื่อระบุและเตือนผู้ใช้เกี่ยวกับการโอนเงินไปยังที่อยู่กระเป๋าเงินที่ไม่ปลอดภัย
  4. การแช่แข็งการโอนเงินที่ผิดปกติ: Binance สามารถแช่แข็งการโอนเงินที่น่าสงสัย เช่น การโอนเงินไปยังการหลอกลวงประเภทแผนชวนลงทุน (Ponzi schemes)
  5. พักการถอนเงินกรณีฉุกเฉิน: กรณีที่พบพฤติกรรมการทำธุรกรรมที่ผิดปกติหรือมีความเสี่ยงสูง เช่น การทำธุรกรรมจำนวนมากในเวลาอันสั้น Binance อาจจำเป็นต้องระงับการถอนเงินชั่วคราว เป็นระยะเวลาสูงสุด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการตัดสินใจที่ผิดพลาด
  6. ความร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย: Binance ร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลก เพื่อติดตามและจับกุมกลุ่มอาชญากรไซเบอร์
  7. ติดต่อ Chat Support เมื่อพบปัญหาหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้งานแอปพลิเคชัน Binance ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการยืนยันตัวตนไม่ผ่าน การทำธุรกรรมต่าง ๆ หรือคำถามเกี่ยวกับเหรียญ หรือเรื่องอื่น ๆ ทีมงาน Binance TH by Gulf Binance พร้อมให้ความช่วยเหลือ สามารถติดต่อเราได้ที่ https://www.binance.th/en/chat หรือหากต้องการหาคำตอบด้วยตนเอง สามารถอ่าน FAQ ได้ที่ https://www.binance.th/en/faq

Binance ใช้เทคโนโลยี AI และ Machine Learning ที่ทันสมัยในการตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกงอย่างต่อเนื่อง ระบบสามารถวิเคราะห์ธุรกรรมได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ช่วยปกป้องสินทรัพย์ของผู้ใช้จากการถูกโจรกรรมได้ทันท่วงที แม้ว่ารูปแบบการหลอกลวงจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ Binance ก็ยังคงพัฒนาระบบป้องกันอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ว่าแพลตฟอร์มของเรามีความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งเทคโนโลยีและนโยบายความปลอดภัยระดับโลกทั้งหมดนี้ นำใช้ใน Binance TH เช่นเดียวกัน

มุ่งมั่นสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ

Binance TH จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นกระดานเทรดสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลกสำหรับคนไทย โดยเฉพาะการมีใบอนุญาตที่ได้รับจากทาง ก.ล.ต. ทั้ง 2 แบบ ไม่ว่าจะเป็น Digital Asset Exchange และ Digital Asset Broker อีกนัยหนึ่งคือความรับผิดชอบต่อผู้ใช้งานไทย โปร่งใส ตรวจสอบได้ และสามารถเชื่อมการทำงานร่วมกับธนาคารไทยได้ ขณะเดียวกันผู้ใช้งานจะสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีพื้นฐานแบบเดียวกับของ Binance

คำเตือน : คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

เกี่ยวกับไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ 
ไบแนนซ์ คือแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลโดยได้รับใบอนุญาตภายใต้ชื่อบริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท กัลฟ์ อินโนวา จำกัด (บริษัทในเครือของบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไบแนนซ์ แคปปิตอล แมเนจเมนท์ จำกัด (บริษัทในเครือของกลุ่ม Binance) 

 


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. เปิดศูนย์ความเป็นเลิศทางเทคโนโลยีวิศวกรรมยานยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่ ณ วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มจพ.

.ดร. สุชาติ  เซี่ยงฉิน อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) กล่าวในพิธีเปิดศูนย์ความเป็นเลิศทางเทคโนโลยีวิศวกรรมยานยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่ (Center of Excellence in Modern Electric Vehicle Engineering Technology )   โดยมี รศ.ดร. สมิตร  ส่งพิริยะกิจ คณบดีวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม กล่าวต้อนรับ โดยศูนย์นี้ถูกออกแบบ มาเพื่อเป็นศูนย์กลางด้านการพัฒนาทักษะบุคลากร งานวิจัย ส่งเสริมการเรียนรู้ และนวัตกรรมด้านยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย ด้วยเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนประเทศสู่ยุคยานยนต์แห่งอนาคต พร้อมรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนในระดับสากล สืบเนื่องจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีนโยบายในการผลิตกำลังคนเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันของประเทศไทย ทั้งนี้ มจพ. ได้ขานรับโยบายโดยลงนามความร่วมมือทางวิชาการ กับ บริษัท BYD CO., LTD. และ FXB CO., LTD. สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพื่อต่อยอดเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่                 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการศึกษาและฝึกอบรมนักศึกษาในระดับวิศวกร นักเทคโนโลยี และช่างเทคนิคตามความต้องการ          ของโรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและระบบอัตโนมัติที่ขาดแคลนวิศวกรปฏิบัติ (Practical tied Engineers) และช่างเทคนิค ( (Technicians) และมุ่งผลิตบัณฑิตที่มีทักษะวิชาชีพในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่ ให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยียานยนต์ในยุคดิจิทัล

โดยพิธีเปิดศูนย์ความเป็นเลิศทางเทคโนโลยีวิศวกรรมยานยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่ครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.ธีรวุฒิ

บุณยโสภณ นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ พร้อมด้วย Mr. Wang Yubial, CEO of FXB Co., Ltd. และดร.พันธุ์เพิ่มศักดิ์  อารุณี ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนและพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และรักษาการ  ในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สปอว.) กล่าวแสดงความยินดีและเข้าร่วมในพิธีเปิด เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เป็นมหาวิทยาลัยที่มีวิสัยทัศน์แห่งโลกอนาคต ศูนย์ความเป็น 

เลิศทางเทคโนโลยีวิศวกรรมยานยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่จึงไม่เพียงถูกออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรด้านวิศวกรรมและสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้ก้าวสู่ระดับสากลเรายังคงพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้และงานวิจัยด้านความปลอดภัยระบบควบคุมอัตโนมัติการใช้พลังงานทดแทนและการลดมลพิษเพื่อสร้างสังคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนตามนโยบายของรัฐ


Exit mobile version