Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์เปิด 10 อันดับเทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์มาแรง ปี 2568

กรุงเทพฯประเทศไทย, 8 พฤศจิกายน 2567 — การ์ทเนอร์ประกาศ 10 อันดับเทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ที่องค์กรต้องจับตาในปี 2568

ยีน อัลวาเรซ รองประธานอาวุโสการ์ทเนอร์ กล่าวว่า ปีนี้แนวโน้มเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ครอบคลุมความจำเป็นและความเสี่ยง AI, ขอบเขตใหม่ของการประมวลผล และการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร ซึ่งการติดตามแนวโน้มเหล่านี้ช่วยให้ผู้นำไอทีสามารถกำหนดอนาคตองค์กรด้วยการนำนวัตกรรมมาปรับใช้อย่างมีความรับผิดชอบและมีจริยธรรม

เทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญในปี 2568 ประกอบด้วย 

Agentic AI

ระบบตัวแทนเอไอหรือ Agentic AI สามารถใช้วางแผนและดำเนินการแบบอัตโนมัติเพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่ผู้ใช้กำหนด โดย Agentic AI จะนำเสนอการทำงานเสมือนจริงของทีมงานเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระและเพิ่มประสิทธิภาพงานของมนุษย์ การ์ทเนอร์คาดว่า ในปี 2571 การตัดสินใจเรื่องงานประจำวันจะเป็นอัตโนมัติโดยทำงานผ่าน Agentic AI จะมีอย่างน้อย 15% เพิ่มขึ้นจากเดิม 0% ในปี 2567 โดยความสามารถที่ขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายของเทคโนโลยีนี้จะมอบระบบซอฟต์แวร์ที่ปรับเปลี่ยนได้มากขึ้น ช่วยให้ทำงานได้หลากหลายขึ้น

Agentic AI มีศักยภาพช่วยให้ผู้บริหาร CIO สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ทั่วทั้งองค์กร โดยแรงจูงใจนี้ยังผลักดันให้ทั้งองค์กรและผู้จำหน่ายร่วมกันสำรวจ สร้างสรรค์นวัตกรรมและพัฒนาเทคโนโลยีพร้อมแนวทางปฏิบัติที่จำเป็นเพื่อส่งมอบเทคโนโลยีนี้ในรูปแบบที่มั่นคง ปลอดภัย และเชื่อถือได้

AI Governance Platforms

แพลตฟอร์มการกำกับดูแล AI หรือ AI Governance Platform เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการจัดการความน่าเชื่อถือ ความเสี่ยง และความปลอดภัยของ AI (หรือที่เรียกว่า TRiSM) ที่การ์ทเนอร์กำลังพัฒนาอยู่ ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ นั้นสามารถจัดการประสิทธิภาพทางกฎหมาย จริยธรรม และการดำเนินงานระบบ AI โดยโซลูชันเทคโนโลยีเหล่านี้มีความสามารถในการสร้างสรรค์ จัดการและบังคับใช้หลักเกณฑ์สำหรับการใช้งาน AI อย่างมีความรับผิดชอบ รวมถึงอธิบายวิธีการทำงานของระบบ AI และยังนำเสนอความโปร่งใสเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความรับผิดชอบ

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ในปี 2571 องค์กรที่ใช้ AI Governance Platform อย่างครอบคลุมจะเจอสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับธรรมมาภิบาลด้าน AI น้อยลง 40% เทียบกับองค์กรที่ไม่มีระบบดังกล่าว

Disinformation Security

ความปลอดภัยข้อมูลเท็จ หรือ Disinformation Security เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งแยกแยะความน่าเชื่อถืออย่างเป็นระบบ และมุ่งหวังที่จะจัดทำระบบเชิงวิธีการเพื่อรับรองและประเมินความถูกต้อง รวมถึงป้องกันการแอบอ้างตัวตน และติดตามการแพร่กระจายข้อมูลที่เป็นอันตราย การ์ทเนอร์คาดว่า ในปี 2571 องค์กรธุรกิจถึง 50% จะเริ่มนำผลิตภัณฑ์ บริการ หรือฟีเจอร์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อจัดการกับยูสเคสการใช้งานความปลอดภัยของข้อมูลเท็จมาใช้ เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีไม่ถึง 5%

คาดว่าความพร้อมใช้งานวงกว้างและพัฒนาการของเครื่องมือ AI รวมถึง Machine Learning ที่ถูกนำไปใช้เพื่อจุดประสงค์ไม่หวังดี จะเพิ่มจำนวนเหตุการณ์การให้ข้อมูลเป็นเท็จ (Disinformation Incidents) ที่มุ่งเป้าไปที่องค์กรต่าง ๆ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ตรวจสอบข้อมูลเท็จเหล่านี้ อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงสำคัญต่อองค์กรใดก็ได้

Postquantum Cryptography

การเข้ารหัสแบบ Postquantum Cryptography ให้การป้องกันข้อมูล ซึ่งต้านทานความเสี่ยงจากการถอดรหัสของคอมพิวเตอร์ควอนตัม เนื่องจากช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคอมพิวเตอร์ควอนตัมมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะมีการยุติการเข้ารหัสแบบเดิมในหลายประเภทที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่การเปลี่ยนวิธีการเข้ารหัสนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นองค์กรจำเป็นต้องใช้เวลาเตรียมการล่วงหน้านานขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสร้างการป้องกันที่แข็งแกร่งสำหรับสิ่งที่ละเอียดอ่อนหรือเป็นความลับใด ๆ ก็ตาม

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ในปี 2572 ความก้าวหน้าคอมพิวเตอร์ควอนตัมจะทำให้การเข้ารหัสแบบอสมมาตร (Asymmetric Cryptography) แบบเดิมส่วนใหญ่ไม่ปลอดภัยต่อการใช้งาน

Ambient Invisible Intelligence

ปัญญาประดิษฐ์ที่แฝงตัวตามสภาพแวดล้อม หรือ Ambient Invisible Intelligence นั้นเกิดขึ้นจากการใช้อุปกรณ์ติดตามอัจฉริยะ หรือ Smart Tags และอุปกรณ์เซ็นเซอร์ขนาดเล็กที่มีต้นทุนต่ำเป็นพิเศษ ช่วยให้สามารถติดตามและตรวจจับได้ในวงกว้าง โดยในระยะยาว Ambient Invisible Intelligence จะช่วยให้สามารถผสานการตรวจจับและปัญญาประดิษฐ์เข้าไว้กับชีวิตประจำวันได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

จนถึงปี 2570 ตัวอย่างแรก ๆ ของเทคโนโลยี Ambient Invisible Intelligence จะมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เช่น การตรวจสอบสต๊อกสินค้าปลีกหรือการขนส่งสินค้าเน่าเสียง่าย โดยทำให้สามารถติดตามและตรวจจับสินค้าได้แบบเรียลไทม์ด้วยต้นทุนต่ำ เพื่อปรับปรุงการมองเห็นและประสิทธิภาพ

Energy-Efficient Computing

อุตสาหกรรมไอทีส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนหลาย ๆ ด้าน แม้ในปีนี้องค์กรไอทีส่วนใหญ่ต่างคำนึงถึงการลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนเป็นหลัก แต่แอปพลิเคชันที่ต้องใช้การประมวลผลสูง เช่น การฝึกอบรม AI การจำลอง การเพิ่มประสิทธิภาพ และการเรนเดอร์มีเดียต่าง ๆ กลับมีแนวโน้มเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการปล่อยคาร์บอนขององค์กรมากที่สุด เนื่องจากใช้พลังงานเยอะสุด

การ์ทเนอร์คาดว่าตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 2020 เป็นต้นมา เทคโนโลยีการประมวลผลใหม่ ๆ หลายตัว อาทิ เครื่องเร่งความเร็วแบบออปติคอล (Optical), นิวโรมอร์ฟิก (Neuromorphic) และตัวเร่งความเร็วแบบใหม่ (Novel Accelerators) จะเกิดขึ้นกับงานเฉพาะทาง เช่น AI และการเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบ หรือ Optimization ซึ่งจะใช้พลังงานน้อยลงอย่างมาก

Hybrid Computing

ระบบการประมวลผลใหม่เกิดขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ประกอบด้วย การประมวลผลด้วยหน่วยประมวลผลกลาง (CPU), หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU), การประมวลผล Edge, วงจรรวมเฉพาะแอปพลิเคชัน (ASIC), นิวโรมอร์ฟิก (Neuromorphic) และควอนตัมคลาสสิก (Classical Quantum) รวมถึงระบบการคำนวณแบบออปติก (Optical Computing Paradigms) โดยการประมวลผลแบบไฮบริดที่รวมกลไกการคำนวณ การจัดเก็บและใช้เครือข่ายที่แตกต่างกันมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้แก้ปัญหาด้านการคำนวณ โดยรูปแบบการคำนวณเหล่านี้ช่วยให้องค์กรสามารถสำรวจและแก้ปัญหาได้ ทำให้เทคโนโลยี อย่างเช่น AI ทำงานได้เกินขีดจำกัดในปัจจุบัน และการประมวลผลแบบไฮบริดยังถูกนำมาใช้สร้างสภาพแวดล้อมนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าสภาพแวดล้อมเดิม

Spatial Computing

การประมวลผลเชิงพื้นที่หรือ Spatial Computing ช่วยปรับปรุงโลกกายภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น AR และ VR ซึ่งเป็นการโต้ตอบอีกระดับระหว่างประสบการณ์ทางกายภาพและประสบการณ์เสมือนจริง ในอีก ถึง ปีข้างหน้า การใช้ Spatial Computing จะเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้กับองค์กรผ่านเวิร์กโฟลว์ที่ได้รับการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกัน 

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2576 Spatial Computing จะมีมูลค่าเติบโตถึง 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 110 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566

Polyfunctional Robots

เครื่องจักรอเนกประสงค์ หรือ Polyfunctional Machines สามารถทำงานได้มากกว่าหนึ่งอย่าง และกำลังเข้ามาแทนที่หุ่นยนต์ที่ออกแบบมาให้ทำงานซ้ำ ๆ เฉพาะงาน โดยการทำงานของหุ่นยนต์รุ่นใหม่นี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและให้ผลตอบแทนการลงทุนที่รวดเร็วขึ้น Polyfunctional Robots ยังได้รับการออกแบบมาให้ทำงานในโลกร่วมกับมนุษย์ ซึ่งจะทำให้ใช้งานได้รวดเร็วและปรับขนาดได้ง่าย

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ในปี 2573 จะมีมนุษย์ถึง 80% ทำงานร่วมกับหุ่นยนต์อัจฉริยะประจำวัน เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีไม่ถึง 10% 

Neurological Enhancement

การเพิ่มประสิทธิภาพระบบประสาทหรือ Neurological Enhancement จะช่วยเพิ่มความสามารถทางปัญญาของมนุษย์โดยใช้เทคโนโลยีที่อ่านและถอดรหัสกิจกรรมของสมอง เทคโนโลยีนี้จะอ่านสมองของบุคคลโดยใช้อินเทอร์เฟซสมอง-เครื่องจักรแบบทั้งทิศทางเดียวหรืออินเทอร์เฟซสมอง-เครื่องจักรแบบสองทิศทาง (BBMI) ซึ่งมีศักยภาพมหาศาลในสามด้านหลัก ได้แก่ ด้านการพัฒนาทักษะของมนุษย์ ด้านการตลาดในยุคถัดไป และด้านประสิทธิภาพ โดย Neurological Enhancement จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางปัญญา ช่วยให้แบรนด์ต่าง ๆ ทราบว่าผู้บริโภคกำลังคิดและรู้สึกอย่างไร และเพิ่มความสามารถของระบบประสาทมนุษย์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ผลลัพธ์

ในปี 2573 การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าพนักงานที่มีทักษะความรู้ (Knowledge Workers) 30% จะได้รับการพัฒนา และพึ่งพาเทคโนโลยี เช่น BBMIs (ทั้งแบบนายจ้างออกทุนให้และแบบออกทุนเอง) เพื่อให้สามารถทำงานสอดรับกับการเพิ่มขึ้นของการใช้ AI ในสถานที่ทำงาน จากเดิมในปี 2567 ที่มีอยู่ไม่ถึง 1%

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ซิสโก้เปิดตัวโซลูชัน AI แบบ Plug-and-Play เร่งการนำ AI ไปใช้ในองค์กรธุรกิจ

กรุงเทพฯ6 พฤศจิกายน 2567 – ซิสโก้ (NASDAQ: CSCO) เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูล ได้แก่ เซิร์ฟเวอร์แฟมิลี่ตระกูล AI ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับเวิร์กโหลด AI ที่ต้องใช้ GPU ประสิทธิภาพสูงร่วมกับ NVIDIA และ AI POD เพื่อลดความซับซ้อนและความเสี่ยงในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI โซลูชันเหล่านี้ช่วยให้องค์กรสามารถปรับเปลี่ยนและขยายขนาดสู่การใช้งาน AI โดยได้รับการสนับสนุนจากความสามารถด้านเครือข่ายชั้นนำของซิสโก้

จีทู พาเทล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของซิสโก้ กล่าวว่า “องค์กรธุรกิจกำลังเผชิญแรงกดดันในการนำเอาระบบ AI มาใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราก้าวสู่ยุคของระบบงานอัตโนมัติและ AI ที่เริ่มแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง นวัตกรรมจากซิสโก้ เช่น AI POD และเซิร์ฟเวอร์ GPU ช่วยเพิ่มความปลอดภัย การปฏิบัติตามกฎระเบียบการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล ตลอดจนการใช้งาน AI ของลูกค้า ตั้งแต่การประมวลผลขั้นพื้นฐานไปจนถึงการฝึกฝนระบบ AI”

การเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างมากของ AI กำลังทรานส์ฟอร์มความต้องการด้านดาต้าเซ็นเตอร์ องค์กรธุรกิจต้องการเครือข่ายที่ขยายขนาดและโปรแกรมได้ โดยต้องมีความยั่งยืน และปลอดภัย ตามรายงานของ McKinsey ระบุว่า Gen AI จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจทั่วโลกถึง 2.6 – 4.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปี โดยมีองค์กรธุรกิจเป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก อย่างไรก็ตาม จากผลการศึกษาดัชนีความพร้อมด้าน AI ของซิสโก้ พบว่า 89% ของผู้เชี่ยวชาญไอทีมีการวางแผนในการนำเวิร์กโหลด AI มาใช้ภายใน 2 ปีข้างหน้า แต่มีเพียง 14% ขององค์กรธุรกิจเท่านั้นที่รายงานว่าโครงสร้างพื้นฐานพร้อมแล้วสำหรับรองรับการใช้งาน AI

ซิสโก้ช่วยลดอุปสรรคในการนำ AI มาใช้งาน

ซิสโก้นำเสนอโซลูชันใหม่ที่มอบโครงสร้างพื้นฐานจำเป็นสำหรับลูกค้า เพื่อเร่งการนำ AI มาใช้งานได้ทันที ไม่ว่าจะเริ่มต้นจากจุดไหนก็สามารถทำงานร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานปัจจุบันที่ลูกค้ามีอยู่แล้วโดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด ทำให้ธุรกิจเติบโตและพัฒนาได้โดยไม่ยุ่งยากซับซ้อน โซลูชันใหม่เหล่านี้บริหารจัดการผ่านระบบ Cisco Intersight ที่ควบคุมได้จากศูนย์กลางและระบบการทำงานอัตโนมัติ โดยทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นจากการตั้งค่าไปจนถึงดำเนินงานประจำวัน โซลูชันใหม่ที่เปิดตัวในวันนี้ ได้แก่:

  • เร่งการประมวลผลความเร็วสูงในยุค AI: ซิสโก้เพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม UCS AI ด้วยเซิร์ฟเวอร์ UCS C885A M8 ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับงาน AI ที่ต้องใช้ GPU อย่างหนัก โดยนับเป็น high-density เซิร์ฟเวอร์ที่สามารถรองรับงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งการเทรนและการประมวลผล AI โดยใช้พลังของแพลตฟอร์มซูเปอร์คอมพิวติ้ง NVIDIA HGX  พร้อมด้วย GPU รุ่น NVIDIA H100 และ H200 Tensor Core โดยเซิร์ฟเวอร์แต่ละเครื่องมาพร้อม NVIDIA NICs หรือ SuperNICs เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่าย AI และ NVIDIA BlueField-3 DPUs ที่ช่วยเร่งการเข้าถึงข้อมูลของ GPU พร้อมระบบความปลอดภัยแบบ zero-trust ที่แข็งแกร่ง นับเป็นผลิตภัณฑ์แรกในกลุ่มเซิร์ฟเวอร์ AI โดยเฉพาะของซิสโก้ และเป็นระบบประมวลผลความเร็วสูงแบบ 8-way แรกที่พัฒนาบนแพลตฟอร์ม NVIDIA HGX

  • โครงสร้างพื้นฐาน AI แบบ Plug-and-Play พร้อมใช้งาน: ซิสโก้เปิดตัว AI POD ชุดโครงสร้างพื้นฐานที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการใช้งาน AI และอุตสาหกรรมต่างๆ โดยรวมระบบประมวลผล เครือข่าย การจัดเก็บข้อมูล และการจัดการคลาวด์เข้าไว้ด้วยกัน ชุดโครงสร้างพื้นฐานนี้ช่วยเพิ่มความสามารถในการขยายระบบและประสิทธิภาพการทำงาน สร้างขึ้นบนพื้นฐานของ Cisco Validated Designs (CVDs) โดย POD จะช่วยให้ลูกค้าเริ่มต้นใช้งาน และปรับแต่งได้ง่ายตามความต้องการเฉพาะ ชุดโครงสร้างพื้นฐานที่กำหนดขนาดและตั้งค่าไว้ล่วงหน้านี้ช่วยขจัดความยุ่งยากในการใช้โซลูชัน AI inference ตั้งแต่การประมวลผลที่อุปกรณ์ปลายทางไปจนถึงคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ที่ใช้ระบบประมวลผลความเร็วสูงของ NVIDIA โซลูชันเหล่านี้รวมถึง NVIDIA AI Enterprise ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ cloud-native แบบครบวงจรที่ช่วยเร่งการประมวลผล data science และทำให้การพัฒนาและติดตั้ง AI เป็นไปอย่างราบรื่น ส่งผลให้สร้างมูลค่าได้เร็วขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานที่สม่ำเสมอ และลดความเสี่ยงในการทำโปรเจ็ก AI ต่างๆ

โซลูชันใหม่เหล่านี้จะเพิ่มเข้ามาในพอร์ตโฟลิโอโครงสร้างพื้นฐาน AI และดาต้าเซ็นเตอร์ของซิสโก้ ซึ่งรวมถึงแพลตฟอร์มสวิตช์ 800G Nexus ที่เพิ่งเปิดตัวซึ่งใช้ชิป Cisco Silicon One G200 และโซลูชัน Cisco Nexus HyperFabric AI ที่พัฒนาร่วมกับ NVIDIA ซึ่งประกาศเปิดตัวเมื่อเร็วๆ นี้

สร้างอีโคซิสเต็ม AI ร่วมกับพาร์ทเนอร์

ขณะที่ลูกค้าและพาร์ทเนอร์ของซิสโก้กำลังปรับตัวในตลาด AI ที่มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซิสโก้มุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโต ด้วยความแข็งแกร่งของซิสโก้ทางด้านเครือข่าย ความปลอดภัย และความสามารถในการตรวจสอบระบบ พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการนำ AI มาใช้ของลูกค้าแต่ละรายที่แตกต่างกัน ซิสโก้และพาร์ทเนอร์สามารถส่งมอบคุณค่าทางธุรกิจที่แท้จริงให้กับลูกค้า

บ็อบ เพตต์ รองประธานฝ่ายแพลตฟอร์มองค์กรธุรกิจNVIDIA กล่าวว่า “ยุคใหม่ของแอปพลิเคชัน Gen AI กำลังขับเคลื่อนการทรานส์ฟอร์เมชันขององค์กรทั่วโลก ด้วยการเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์ AI แบบเฉพาะทาง, AI PODs และระบบต่างๆ ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น พร้อมการประมวลผลความเร็วสูงและซอฟต์แวร์แบบ full-stack จาก NVIDIA ซิสโก้กำลังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่องค์กรต่างๆ สามารถใช้เป็นรากฐานการเติบโตในยุค AI”

ร็อบ คิม ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีPresidio กล่าวว่า “AI กำลังจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำธุรกิจอย่างถึงรากฐาน แต่การขยายระบบต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งเพื่อรองรับความต้องการด้านการประมวลผลความเร็วสูง เรารู้สึกตื่นเต้นกับความพยายามของซิสโก้ในการทำให้ AI เป็นเรื่องที่ลูกค้าสามารถติดตั้งและจัดการได้ง่ายขึ้น ด้วยโซลูชันใหม่เหล่านี้ Presidio สามารถนำเสนอโซลูชันที่เข้ากันได้กับโครงสร้างพื้นฐานที่ลูกค้ามีอยู่แล้ว ติดตั้งและจัดการได้ง่าย รวมถึงจัดหาโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมสำหรับ AI journey ของแต่ละองค์กร”

คอนเนอร์ แวดเดล รองประธานอาวุโส ฝ่ายโซลูชัน Integrated Technology ของ CDW กล่าวว่า “การที่ซิสโก้เปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่เหล่านี้เกิดขึ้นในจังหวะเวลาที่เหมาะสมที่สุด ในขณะที่ลูกค้าของเรากำลังพยายามทำความเข้าใจบทบาทของ AI ในธุรกิจของตน และวิธีที่จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ CDW รู้สึกตื่นเต้นกับแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานและความปลอดภัยด้าน AI ใหม่ของซิสโก้ ที่จะช่วยขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจอย่างปลอดภัยให้กับลูกค้าร่วมของเรา”

นีล แอนเดอร์สัน รองประธานฝ่ายคลาวด์ โครงสร้างพื้นฐาน และโซลูชัน AI ของ World Wide Technology กล่าวว่า “หนึ่งในความท้าทายที่เราเห็นสำหรับลูกค้าคือความซับซ้อนของชุดโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่มีตัวเลือกมากมายและเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โซลูชันของซิสโก้อย่าง AI POD จะช่วยทำให้การนำ AI มาใช้งานง่ายขึ้นและเร็วขึ้นสำหรับลูกค้าของเรา ทำให้พวกเขาสามารถมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ด้าน AI ที่องค์กรต้องการได้   World Wide Technology รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ร่วมงานกับซิสโก้ในการแสดงศักยภาพของ Cisco AI POD ใน AI Proving Ground Lab ของเรา และเร่ง AI journey ให้กับลูกค้าร่วมของเรา”

ความพร้อมให้บริการ

  • เซิร์ฟเวอร์ Cisco UCS C885A M8 สามารถสั่งซื้อได้ตั้งแต่วันนี้และคาดว่าจะส่งมอบให้ลูกค้าได้ภายในสิ้นปี
  • Cisco AI PODs จะเปิดให้สั่งซื้อได้ในเดือนพฤศจิกายน 2024
  • ซิสโก้มีโซลูชันด้านการชำระเงินสำหรับผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เพื่อช่วยให้พาร์ทเนอร์ลดภาระหนี้ในงบดุล ลดความเสี่ยงด้านเครดิตและการชำระเงินของลูกค้า และเพิ่มกระแสเงินสดและผลกำไร สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ cisco.com/go/paymentsolutions

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม:

เกี่ยวกับ ซิสโก้ (Cisco)

Cisco (NASDAQ: CSCO) เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่เชื่อมต่อทุกสิ่งอย่างปลอดภัยเพื่อให้ทุกสิ่งเป็นไปได้ เป้าหมายของซิสโก้คือขับเคลื่อนอนาคตสำหรับทุกคนโดยช่วยลูกค้าคิดใหม่ (reimagine) เกี่ยวกับแอปพลิเคชัน ขับเคลื่อนการทำงานแบบไฮบริด รักษาความปลอดภัยให้กับองค์กร ทรานส์ฟอร์มโครงสร้างพื้นฐาน และบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน เปิดประสบการณ์กับซิสโก้ที่ห้องข่าว The Newsroom และติดตามข่าวสารของซิสโก้บน X ที่ @Cisco.


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อีตั้น อิเล็คทริค ประเทศไทย จำกัด มอบตู้ไฟฟ้า (Consumer Unit) ให้แก่ สจล.เพื่อสนับสนุนในการให้ความช่วยเหลือน้ำท่วมภาคเหนือ

บริษัท อีตั้น อิเล็คทริค ประเทศไทย จำกัด นำโดย นายรัฐกร รักยุติธรรม ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์ตัดต่อและจ่ายไฟฟ้า(ที่สองจากขวา) และนายเกษตร ติวะตันสกุล  วิศวกรอาวุโส  ฝ่ายผลิตภัณฑ์ตัดต่อและจ่ายไฟฟ้ (ขวาสุด) จัดกิจกรรมเพื่อสังคม ส่งมอบ ตู้ไฟฟ้า(Consumer Unit) ให้แก่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทางภาคเหนือ โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เปี่ยมภูมิ สฤกพฤกษ์ รองคณบดีอาวุโส ฝ่ายบริหาร (สองจากซ้าย) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดุสิต สุขสวัสดิ์(ซ้ายสุด) ตัวแทนจากคณะวิศวกรรมไฟฟ้า สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เป็นผู้รับมอบเมื่อเร็วๆ นี้


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อีริคสันแสดงความเป็นผู้นำ 5G และโซลูชันขั้นสูง ในงาน Innovate Asia 2024

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) ผู้นำเทคโนโลยีโทรคมนาคมระดับโลก ตอกย้ำให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของการเป็นผู้บุกเบิกและกำหนดอนาคตการเชื่อมต่อ ภายในงาน Innovate Asia 2024 ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ ในกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 5-7 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งถือเป็นเวทีสำคัญสำหรับผู้นำอุตสาหกรรม นวัตกรทางธุรกิจ และผู้ให้บริการโทรคมนาคม เพื่อเข้าถึงความก้าวหน้าล่าสุดของเทคโนโลยี 5G, ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติที่กำลังปฏิวัติเครือข่ายโทรคมนาคมทั่วโลก

ในงานนี้ อีริคสันและผู้ให้บริการโทรคมนาคมจากทั่วภูมิภาค ได้แก่ Grameenphone, Indosat Ooredoo Hutchison (IOH), Singtel และ Telstra ได้ร่วมกันหารือเกี่ยวกับหัวข้อต่าง ๆ ที่น่าสนใจ อาทิ วิวัฒนาการเครือข่าย 5G ไปสู่ 5G Standalone และเครือข่ายประสิทธิภาพสูง รวมถึงเครือข่ายที่สามารถตั้งโปรแกรมได้ อีริคสันยังได้พูดคุยเกี่ยวกับกลยุทธ์ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงเพื่อเอาชนะความท้าทายด้านระบบอัตโนมัติ การเพิ่มขีดความสามารถของการดำเนินงาน และการนำ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเครือข่าย ผ่านการทำงานร่วมกับทั้งพันธมิตรและนักพัฒนาชาวไทยเพื่อสำรวจว่า 5G, AI และระบบอัตโนมัติสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่เฉพาะของประเทศไทยได้ เช่น การพัฒนาโครงการเมืองอัจฉริยะ การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และการสร้างเครือข่ายที่ยั่งยืนพร้อมรับอนาคต

IOH และอีริคสันประกาศความสำเร็จในการร่วมมือกันติดตั้งแพลตฟอร์มการสร้างรายได้ดิจิทัล หรือ Digital Monetization Platform (DMP) แบบครบวงจรเป็นรายแรกของโลก เพื่อมอบประโยชน์ให้แก่ผู้ใช้บริการ IOH ในประเทศอินโดนีเซียที่มีอยู่ราว 100 ล้านราย ด้วยเวลาเพียง 18 วัน โดยผู้ใช้บริการเติมเงินของ IOH กว่า 83 ล้านราย จะได้รับการโอนย้ายอย่างราบรื่นโดยไม่มีการหยุดชะงักหรือมีผลกระทบต่อประสบการณ์ใช้งาน สำหรับแพลตฟอร์ม DMP เป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตโฟลิโอระบบสนับสนุนธุรกิจโทรคมนาคม (BSS) ของอีริคสัน ที่ออกแบบมาเพื่อเร่งเสริมบริการดิจิทัลของ IOH รวมถึงความพร้อมสำหรับ 5G และประสบการณ์ B2B ขั้นสูง โดยระบบใหม่นี้ช่วยให้สามารถสร้างบริการได้เร็วขึ้น มีส่วนร่วมกับลูกค้าได้ดีขึ้น และมีความยืดหยุ่นมากขึ้นสำหรับโมเดลธุรกิจในอนาคต

การติดตั้ง DMP Stack ซึ่งรวมถึงการโอนย้ายฐานผู้ใช้บริการเติมเงิน เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาขีดความสามารถทางดิจิทัลของอินโดนีเซียอย่างก้าวกระโดดและแข็งแกร่ง เมื่อเปิดการใช้งาน 5G แพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้ IOH สามารถสำรวจโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ เช่น Network Slicing โซลูชันที่สามารถปรับแต่งการเชื่อมต่อให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของลูกค้า ยกระดับประสบการณ์การใช้งานได้ทั้งผู้บริโภคและองค์กร

ในระหว่างงานนี้ อีริคสันและ IOH ยังได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) ร่วมกันเพื่อสานต่อความร่วมมือสำหรับการใช้ประโยชน์จากศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (Gen AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (AI/ML) ทั้งในแพลตฟอร์ม DMP และระบบ BSS จากความร่วมมือเหล่านี้ ทั้งสองบริษัทมีความตั้งใจจะเร่งการสร้างรายได้จากแพลตฟอร์ม DMP และร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ที่จะเพิ่มรายได้และย่นระยะเวลาการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด

Grameenphone ผู้ให้บริการโทรคมนาคมเคลื่อนที่รายใหญ่ที่สุดของบังกลาเทศ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับอีริคสัน เพื่อร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยี AI และระบบอัตโนมัติสำหรับใช้ขับเคลื่อนนวัตกรรมและสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนทั่วบังกลาเทศ โดย MoU ฉบับนี้ได้กำหนดกรอบความร่วมมือระหว่าง Grameenphone และอีริคสัน โดยทั้งสองบริษัทจะมุ่งเน้นด้านนวัตกรรมและการเติบโตที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานการแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดระดับโลก การปรับแผนงานผลิตภัณฑ์ และการเปิดตัวโครงการนำร่อง รวมถึง Lighthouse Projects ต่าง ๆ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับความพยายามร่วมกันในการพัฒนาและทดสอบเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยอีริคสันยังเตรียมเปิดตัวฟีเจอร์ล่าสุด ได้แก่ ความสามารถใหม่ ๆ ในการใช้ AI หรือ AI-Led Intent-Based Operations Capabilities ซึ่งได้รับรางวัลการันตีคุณภาพ สำหรับเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงานบนเครือข่ายให้กับ Grameenphone ในการช่วยจัดการบริการ สนับสนุน และมอบข้อเสนอที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า

MoU ที่ลงนามระหว่างงาน Innovate Asia 2024 จะช่วยยกระดับและพัฒนาความร่วมมือระหว่าง Grameenphone และอีริคสัน ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2541

เมื่อ 5G พัฒนายิ่งขึ้นและมีผู้ให้บริการด้านการสื่อสารนำ 5G SA มาใช้มากขึ้น คาดว่าความสนใจของผู้ให้บริการหลายรายจะเปลี่ยนไปสู่การพัฒนาข้อเสนอการเชื่อมต่อที่แตกต่าง โดยการเชื่อมต่อที่โดดเด่นและมีประสิทธิภาพนี้เกิดขึ้นได้จากความสามารถของเครือข่าย 5G SA เช่น โซลูชัน Network Slicing และอื่น ๆ ยูสเคสการใช้งาน อย่างเช่น Fixed Wireless Access (FWA), Cloud Gaming, E-Sports  และ Live Streaming จะได้รับประโยชน์จากความสามารถเหล่านี้ด้วย ปัจจุบันแม้ว่าผู้ให้บริการกำลังส่งมอบประโยชน์ของ 5G ให้กับผู้บริโภคและองค์กร พวกเขามีโอกาสที่จะเปลี่ยนเครือข่ายให้เป็นแพลตฟอร์มเพื่อนวัตกรรม โดยทำให้ความสามารถของเครือข่าย 5G ขั้นสูงพร้อมใช้งานสำหรับชุมชนนักพัฒนาทั่วโลกผ่านเครือข่ายแบบเปิด (API)

แอนเดรส วิเซนเต้ หัวหน้าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โอเชียเนีย และอินเดียของอีริคสัน กล่าวระหว่างการพูดคุยในหัวข้อ ‘Strategic Business Evolution’ ว่า “การผสานพลังของเครือข่ายประสิทธิภาพสูงที่สามารถตั้งโปรแกรมได้ ร่วมกับ API เครือข่ายและระบบนิเวศของนักพัฒนาที่หลากหลาย จะสร้างเครือข่ายทรงพลังที่ช่วยสร้างการเติบโตและพัฒนานวัตกรรมสำหรับภาคโทรคมนาคม และยังเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทยที่มีระบบนิเวศสตาร์ทอัพที่เพียบพร้อม”

“5G Standalone ไม่ใช่แค่การเชื่อมต่อที่รวดเร็วขึ้นเท่านั้น แต่เป็นการสร้างโมเดลธุรกิจใหม่และขยายโอกาสด้านนวัตกรรมให้กับทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรม ด้วยการนำศักยภาพของ 5G มาใช้อย่างเต็มที่ โดยผู้ให้บริการด้านการสื่อสารสามารถนำเสนอบริการที่แตกต่าง ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค แต่ยังเปิดโอกาสการเติบโตใหม่ ๆ ให้กับอุตสาหกรรมด้วย” แอนเดรสกล่าวสรุป

อีริคสันเป็นผู้นำ 5G ระดับโลกและได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมจากรายงาน Frost Radar™: Global 5G Network Infrastructure Market ซึ่งการรักษาอันดับผู้นำสูงสุดในรายงาน Frost Radar™ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ได้ตอกย้ำให้เห็นว่าอีริคสันให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา รวมถึงพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ซึ่งครอบคลุมทุกด้านของโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย 5G รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายในรุ่นก่อนหน้า มีคุณค่าในตลาดที่เทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท ทุบสถิติการเติบโต! ฉลองความสำเร็จ Advice iStore สาขาที่ 3 ใจกลางอุดรธานี

3 พฤศจิกายน 2567 – บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำความแข็งแกร่งในตลาด Apple ด้วยการเปิด Advice iStore สาขาที่ 3 ณ ใจกลางเมืองอุดรธานี ภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือน สะท้อนความต้องการของผู้บริโภคในภูมิภาค และความพร้อมในการรุกตลาดอย่างเต็มรูปแบบ

นายณัฏฐ์ ณัฐนิธิการัชต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Advice iStore ทั้ง 3 สาขาในเวลาเพียง 2 เดือน สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของแอดไวซ์ในทุกด้าน ทั้งเงินลงทุน ทีมงานมืออาชีพ และโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะการเป็น ‘สิงห์ภูธร’ ที่มีฐานลูกค้าและเครือข่ายสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้เราเข้าใจและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ได้อย่างแท้จริง”

ด้วยกระแสตอบรับที่เกินคาด แอดไวซ์จึงเร่งเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มเป็น 8 แห่งภายในสิ้นปี 2567 และวางเป้าหมายทะยานสู่ 35 สาขาภายในปี 2568 เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง “เราไม่ใช่แค่ตัวแทนจำหน่ายแต่เราคือผู้เล่นตัวจริงในตลาด Apple ที่พร้อมมอบประสบการณ์ระดับพรีเมียมครบวงจร ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ไปจนถึงบริการหลังการขายที่ได้มาตรฐาน ด้วยจุดแข็งของแอดไวซ์ที่เป็น Top of Mind ของลูกค้าต่างจังหวัดทั่วประเทศ ผนวกกับความเชี่ยวชาญในธุรกิจไอทีมากกว่า 20 ปี ทำให้เรามั่นใจว่าจะสามารถยกระดับการเข้าถึงเทคโนโลยี Apple ให้กับผู้บริโภคทั่วประเทศได้อย่างแท้จริงในฐานะ Apple Authorized Reseller ” นายณัฏฐ์กล่าวทิ้งท้าย.

ไฮไลท์โปรโมชั่นต้อนรับการเปิด Advice iStore จ.อุดรธานี ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 30 พฤศจิกายน 2567 

  • ผ่อนนาน 0% สูงสุด 48 เดือน!
  • เก่าแลกใหม่! เมื่อนำสินค้าไอทีเก่าแลกส่วนลดสำหรับสินค้าใหม่ การันตีราคาดีสุดและรับแลกเต็มระบบสูงสุดถึง 5 เครื่อง
  • แลกซื้อสุดคุ้ม! เมื่อช้อปสินค้า Mac, iPad, iPhone, Apple Watch สามารถแลกซื้อ AirPods 2 ในราคา 3,590 บาท จากราคาปกติ 5,290 บาท
  • รับฟรี! กระเป๋า Magic Bag ตกหลุมรักอุดรธานี มูลค่า 990 บาท เมื่อช้อปสินค้าร้าน Advice iStore มูลค่าครบ 25,000 บาท ซึงสามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดเพิ่มอีก 10% สูงสุด 1,000 บาท สำหรับซื้อสินค้าที่ Advice iStore เป็นเวลา 1 เดือน เพียงหิ้วกระเป๋ามาช้อปที่ร้าน Advice iStore ด่วน! สินค้ามีจำนวนจำกัด
  • รับฟรี! หูฟัง Belkin Soundform Mini “Disney Exclusive Series” มูลค่า 1,790 บาท เมื่อซื้อ iPad รุ่นที่ร่วมรายการ
  • โค้ดส่วนลดท้ายบิล มูลค่า 300 บาท สำหรับนำไปซื้อผลิตภัณฑ์ Apple Accessories
  • ผ่อนง่าย เพียงบัตรประชาชนใบเดียวผ่านระบบ True Pay Next Extra
  • ฟรี! สำหรับลูกค้า Advice iStore กับกิจกรรมเวิร์คช้อปส่งเสริมการเรียนรู้ มูลค่า 2,990 บาท

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  https://www.advice.co.th/branch-promotion/4578


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

นักศึกษา วทอ. มจพ. คว้า 2 รางวัลชนะเลิศ จากการแข่งขันควบคุมหุ่นยนต์อัตโนมัติ

ทีมนักศึกษา  ภาควิชาเทคโนโลยีวิศวกรรมเครื่องกล วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ  (มจพ.) คว้า 2 รางวัลชนะเลิศ จากการแข่งขันการควบคุมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0  ประเภทที่ 5 การแข่งขันตรวจสอบชิ้นงานอุสาหกรรมด้วยเครื่อง 3D Laser Scanner ในงานนิทรรศการสื่อการศึกษาและการประชุมนานาชาติ didacta asia 2024 โดยมีนายสุรศักดิ์  พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  เป็นประธานในพิธีมอบถ้วยรางวัล เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและประชุมไบเทค  ดังนี้

1. ถ้วยรางวัลชนะเลิศพระราชทานจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จากการแข่งขันควบคุมหุ่นยนต์อัตโนมัติ สมาชิกมีนายธนดล สวนเวียง  และนายชยุตพงศ์ บุษยากร ผศ.ดร.ณัฐพล บุญอธึก เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา 

2. ถ้วยรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สมาชิกมีนายณัฐกิตติ์ สุวรรณโล และนายอัลฮาดิช แซะเด็ง ผศ.ดร.ณัฐพล บุญอธึก เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา

โดยมีวัตถุประสงค์พัฒนาวิชาชีพด้านอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะเมคคาทรอนิกส์และหุ่นยนต์ให้เกิดศักยภาพและสมรรถนะสูงสุดพร้อมเข้าสู่โลกอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มพูนทักษะความรู้และประสบการณ์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนนักศึกษาและผู้ที่สนใจได้ขยายขอบเขตความรู้ของตนในด้านการออกแบบและการสร้างหุ่นยนต์รวมถึงการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ควบคุมหุ่นยนต์โดยการจัดความร่วมมือระหว่างสำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษาสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ชีเทคไดแด็คติค จำกัด และเครือข่ายภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน, สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ, มหาวิทยาลัยรามคำแหง, มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์, และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ  โดยมีทีมเข้าแข่งขัน 40 ทีม

ขวัญฤทัย ข่าวภาพ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ฯพณฯ นาย Jean-Claude Poimbœuf เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย เปิดงานประชุมวิชาการนานาชาติ ICOME2024 ครั้งแรกที่ประเทศไทย

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) และมหาวิทยาลัยลอร์แรน (University of Lorraine) จากประเทศฝรั่งเศส ได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพในการจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติด้านวัสดุและพลังงาน หรือ ICOME2024 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยจะได้เป็นเจ้าภาพในการจัดงาน ICOME2024 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30-31 ตุลาคม 2567 ณ โรงแรม อวานี รัชดา กรุงเทพ โดยได้รับความร่วมมือจากนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกที่มาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และนวัตกรรม

.ดร.สุชาติ เซี่ยงฉิน อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงานประชุมวิชาการ และได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระดับนานาชาติว่าการเฉลิมฉลองครั้งนี้สะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานและความร่วมมือที่เราสร้างสรรค์มาโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมานอกจากนี้ ยังกล่าวถึงความสำเร็จจากความร่วมมือระหว่าง ห้องปฏิบัติการ EE-TFRC ของ มจพ. และ ห้องปฏิบัติการ GREEN ของมหาวิทยาลัยลอร์แรน ที่ได้ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนนักวิจัย การตีพิมพ์ผลงานร่วมกัน และโครงการปริญญาร่วม (Double Degree) ระหว่างมจพ.และมหาวิทยาลัยลอร์แรน และยังได้รับเกียรติอย่างสูงจากเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ฯพณฯ นาย Jean-Claude Poimbœuf  ให้โอวาทและเปิดงานประชุมวิชาการนานาชาติด้านวัสดุและพลังงาน หรือ ICOME2024

งาน ICOME2024 ครั้งนี้เป็นหนึ่งในกิจกรรมเฉลิมฉลองครบรอบ 65 ปีของการก่อตั้งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 34 ปี ของความร่วมมือระหว่างไทยและฝรั่งเศสในการจัดตั้งสถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยีไทยฝรั่งเศส โดยนักวิจัยชั้นนำจะนำเสนอผลงานวิจัยที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ในด้านวัสดุและพลังงาน  ซึ่งมีผลงานวิจัยเข้าร่วมนำเสนอกว่า 140 ผลงาน จากนักวิจัย 21 ประเทศทั่วโลก โดยมีการบรรยายพิเศษจากวิทยากรชั้นนำจากประเทศไทย ฝรั่งเศส และอินเดีย ที่จะมานำเสนองานวิจัยใหม่ล่าสุดในด้านพลังงานและวัสดุ นอกจากนี้ยังมีรางวัลสนับสนุนนักวิจัยจากสถานทูตฝรั่งเศสในประเทศไทย และจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และความร่วมมือระหว่างประเทศ

งานประชุมวิชาการ ICOME2024 แสดงถึงพลังของความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและประเทศฝรั่งเศส และนักวิจัยจากนานาชาติ ในการเผยแพร่ผลงานวิชาการและผลักดันนวัตกรรมด้านวัสดุและพลังงาน ในงานประชุมวิชาการนี้มีผู้สนับสนุนจากภาควิชาการและภาคเอกชนบริษัทต่างๆ เข้าร่วมมากมาย โดยคณะผู้จัดงานคาดหวังใว้เป็นอย่างยิ่งว่างานประชุมวิชาการนานาชาติด้านวัสดุและพลังงานในครั้งนี้จะนำไปสู่ความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนทางวิจัยใหม่ ๆ ที่จะส่งเสริมการพัฒนาในสาขาพลังงานและวัสดุศาสตร์ทั่วโลกต่อไป


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์คาดสิ้นปีหน้าจะมียานยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนนถึง 85 ล้านคัน

กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 28 ตุลาคม 2567 — การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าสิ้นปีหน้า (2568) จะมีปริมาณรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) จำนวน 85 ล้านคัน วิ่งบนท้องถนน ครอบคลุมประเภทต่าง ๆ อาทิ รถยนต์รถบัสรถตู้ และรถบรรทุกขนาดใหญ่

โจนาธาน ดาเวนพอร์ท ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “แม้จะมีอุปสรรคหลายอย่างส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่เรายังคาดการณ์ว่าในปีนี้ยอดรวมของรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจะอยู่ที่ 64 ล้านคัน และจะเพิ่มขึ้น 33% ในปี 2568 ซึ่งผลจากการที่บริษัทหลายแห่งต่างประเมินสูงเกินจริงไปว่าการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะเกิดขึ้นรวดเร็ว นั่นส่งผลให้ต้องเลื่อนการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ออกไป โดยปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปีหน้านั้น หลัก ๆ มาจากยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นในจีน (58%) และยุโรป (24%) ซึ่งเมื่อนับรวมกันแล้วคิดเป็น 82% ของจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดทั่วโลก

การ์ทเนอร์คาดว่า สิ้นปี 2568 ปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEVs) จะมีจำนวนเกือบ 62 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 35% จากปี 2567 ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) คาดว่าจะเติบโตในอัตราที่ช้ากว่าเล็กน้อยและปีหน้าจะมีปริมาณอยู่ที่ 23 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 28% จากปี 2567 (ดูตารางที่ 1)

ตารางที่ ปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจำแนกตามประเภทรถ ระหว่างปี 2566-2568 (หน่วย: ตามจริง)

  2023 Installed Base 2024 Installed Base 2025 Installed Base
BEV 32,628,884 45,872,824 61,860,183
PHEV 13,402,907 18,159,560 23,283,006
Total 46,031,791 64,032,383 85,143,189

ที่มา: การ์ทเนอร์ (ตุลาคม 2567)

สำหรับประเทศไทย การ์ทเนอร์คาดว่าในปี 2568 จะมีรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) มากกว่า 77,800 คัน เพิ่มขึ้น 49% จากปี 2567 โดยรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่จะมีสัดส่วน 74% และมียอดรวมทั้งหมดกว่า 57,900 คัน (ดูตารางที่ 2) 

ตารางที่ ปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยจำแนกตามประเภทรถ ระหว่างปี 2566-2568 (หน่วย: ตามจริง)

  2023 Installed Base 2024 Installed Base 2025 Installed Base
BEV 24,720 38,135 57,926
PHEV 9,392 13,943 19,880
Total 34,112 52,078 77,805

ที่มา: การ์ทเนอร์ (ตุลาคม 2567)

สำหรับในระดับภูมิภาค การ์ทเนอร์คาดว่าความต้องการเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าในจีนจะยังคงมีปริมาณมากกว่าจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าส่วนที่เหลือของโลกรวมกันยาวไปจนถึงปีหน้า และอาจเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกทศวรรษ โดยความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในยุโรปและอเมริกาเหนือ คาดว่าจะคิดเป็น 36% ของยอดรวมรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในปีนี้ (2567) การ์ทเนอร์ประมาณการว่าในปีหน้า (2568) จะมีรถยนต์ไฟฟ้า 49 ล้านคัน วิ่งอยู่ตามท้องถนนในจีน 20.6 ล้านคันในยุโรป และ 10.4 ล้านคันในอเมริกาเหนือ

ภายในอีกหกปี (2573) ผู้ผลิตรถยนต์จะสามารถรีไซเคิลแบตเตอรี่รถ EVs ได้สูง 95% ช่วยลดปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ 

ตามที่คาดการณ์ว่ายอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มสูงขึ้นทุกปี และการแก้ไขปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบถือเป็นเรื่องท้าทาย ดังนั้น “ความพยายามในการรีไซเคิลอย่างจริงจังเพื่อใช้ประโยชน์จากแบตเตอรี่ที่ผ่านการใช้งานรวมถึงเศษวัสดุจากกระบวนการผลิต ผนวกเข้ากับความพยายามของสหภาพยุโรปเพื่อบังคับให้มีการรีไซเคิลแบตเตอรี่ ก็อาจช่วยลดความจำเป็นในการขุดแร่เพิ่มเติมได้” ดาเวนพอร์ตกล่าวเพิ่มเติม 

เนื่องจากความเข้มข้นของโลหะหายากในแบตเตอรี่มีสูงกว่าแร่ธรรมชาติ ดังนั้นแบตเตอรี่ที่ใช้งานแล้วจึงอาจถือเป็นแร่ที่มีความเข้มข้นสูง หากสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ในปริมาณมาก ๆ อาจช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าในภาพรวมของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยการลดราคาแบตเตอรี่ลง นอกจากนี้ยังมีประโยชน์เพิ่มเติมคือ แบตเตอรี่จะไม่ถูกกำจัดด้วยวิธีที่ผิดจริยธรรมหรือถูกนำไปทิ้งในหลุมฝังกลบ” ดาเวนพอร์ตกล่าวสรุป

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จับมือ กรีนเยลโล่ ปรับโซลูชั่นระบบปรับอากาศใหม่ทั้งโรงงานเพื่อประสิทธิภาพที่ยั่งยืน

นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ประเทศไทย ลาว เมียนมา ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง กับ นายสเตฟาน ดูเฟรน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์และพันธมิตร กรีนเยลโล่ ประเทศไทย เพื่อยกระดับระบบปรับอากาศ HVAC ด้วยการออกแบบใหม่ตามเทคโนโลยีล่าสุดในโรงงานผลิตของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ณ นิคมอุตสาหกรรมบางปู เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ พร้อมทั้งรองรับสายการผลิตในอนาคต โดย กรีนเยลโล่ จะใช้โซลูชั่นจาก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่มีจุดเด่นในการสร้างความยั่งยืน พร้อมกันนี้ กรีนเยลโล่ จะดูแลเรื่องการบริการ การบำรุงรักษา ตามมาตรฐานของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค อีกด้วย

ความร่วมมือในครั้งนี้ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และ กรีนเยลโล่ มีเจตนารมณ์เดียวกัน คือ การยกระดับและตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล เพื่อสร้างความยั่งยืน โดยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและค่าบำรุงรักษา พร้อมทั้งลดการปล่อยคาร์บอนได้ในคราวเดียวกัน ซึ่งได้คาดการณ์ไว้ว่า หลังจากการติดตั้งระบบต่างๆ พร้อมใช้งาน จะช่วยให้โรงงานชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในประเทศไทย ลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 720 ตัน ต่อปี

เทคโนโลยีที่ กรีนเยลโล่ ใช้ในการปรับปรุงและยกระดับระบบปรับอากาศ HVAC ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมต่อกันได้แบบ IoT เซ็นเซอร์ที่ใช้ในการตรวจจับและรวบรวมข้อมูล โดยใช้ซอฟต์แวร์ EcoStruxure Building Operation รุ่นล่าสุด ช่วยในการบริหารจัดการอาคาร สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพในแบบเรียลไทม์ ลดกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อน ลดต้นทุนด้านการซ่อมบำรุง และที่สำคัญช่วยให้สามารถใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังมีความพร้อมในการถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านผู้เชี่ยวชาญของโรงงาน โดยใช้โรงงานเป็นต้นแบบและกรณีศึกษา ในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อให้คู่ค้าและลูกค้าที่มีเป้าหมายเดียวกัน ได้เห็นผลลัพธ์ที่แท้จริงตามเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และ Net Zero ในอนาคตอีกด้วย


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ผลการศึกษาของซิสโก้เผย พาร์ทเนอร์ด้านเทคโนโลยีคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของรายได้ที่มาจาก AI

กรุงเทพฯ25 ตุลาคม 2567 – ซิสโก้ผู้นำระดับโลกด้านเครือข่ายและความปลอดภัย เผยผลการศึกษา Cisco Global AI Partners Study ฉบับล่าสุด ภายใต้หัวข้อ “ลดช่องว่างความพร้อมในการใช้ AI ของลูกค้า – โอกาสทางธุรกิจที่รออยู่สำหรับพาร์ทเนอร์” พบว่าพาร์ทเนอร์ด้านไอทีทั่วโลกต่างคาดการณ์ว่า ในอีก 4-5 ปีข้างหน้าการเปลี่ยนแปลงของความต้องการเทคโนโลยี AI ครั้งใหญ่จะขับเคลื่อนรายได้ส่วนใหญ่ของพวกเขา นอกจากนี้ยังพบว่า 40% ของพาร์ทเนอร์ในภูมิภาค APJC เชื่อว่ามากกว่า 50% ของรายได้จะมาจากเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI ในช่วงเวลาดังกล่าว

ผลสำรวจล่าสุดชี้ให้เห็นว่า 44% ของพาร์ทเนอร์เชื่อว่าความต้องการการลงทุนในเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI จะเติบโตมากกว่า 75% ภายใน 4-5 ปีข้างหน้า โดยความต้องการใช้ AI ในปีต่อๆไปจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วใน 3 ด้านหลัก ๆ ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน (31%), ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (17%) และประสบการณ์ลูกค้า (9%) เมื่อความต้องการ AI เพิ่มขึ้น พาร์ทเนอร์ยังคาดการณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในสัดส่วนรายได้ โดย 35% คาดว่า AI จะช่วยสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 26-50% ภายในปีหน้า และมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว

อเล็กซ์ พูโจลส์, รองประธานฝ่ายวิศวกรรมโกลบอลพาร์ทเนอร์ของซิสโก้ กล่าวว่า “เทคโนโลยี AI มีศักยภาพในการทรานส์ฟอร์มการดำเนินธุรกิจอย่างมาก และการที่จะบรรลุเป้าหมายได้นั้นต้องอาศัยความพยายามร่วมกันในการเสริมสร้างขีดความสามารถและทักษะของพาร์ทเนอร์ในการนำ AI ไปใช้งานจริง ผลการศึกษายังชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการสร้างรายได้ที่สำคัญสำหรับพาร์ทเนอร์ด้านไอทีในการนำ AI เข้ามาใช้งาน โดยการให้ความสำคัญกับความพร้อมด้าน AI ซิสโก้และอีโคซิสเต็มของพาร์ทเนอร์เราพร้อมจะร่วมกันผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้กับลูกค้า และสร้างโอกาสใหม่ๆ ในยุคของ AI”

ผลสำรวจ Cisco Global AI Partners Study เป็นการสำรวจแบบ double-blind ที่สำรวจความคิดเห็นของพาร์ทเนอร์ด้านไอทีกว่า 1,500 รายใน 29 ประเทศ โดยประเมินขีดความสามารถของพาร์ทเนอร์ในยุค AI ซึ่งสอดคล้องกับรายงานดัชนีความพร้อมด้าน AI ของซิสโก้ (Cisco AI Readiness Index) ที่พบว่าแม้เทคโนโลยี  AI จะมีความสำคัญมากขึ้น แต่บริษัททั่วโลกยังขาดความพร้อมในการนำ AI มาใช้จริง โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการข้อมูล การกำกับดูแล รวมทั้งบุคลากรที่มีความพร้อมด้าน AI ผลการสำรวจครั้งนี้ตอกย้ำถึงบทบาทสำคัญของพาร์ทเนอร์ในการช่วยให้ลูกค้าบรรลุความพร้อมด้าน AI

พาร์ทเนอร์แสดงความมั่นใจและลงทุนเพื่อเอาชนะความท้าทาย

ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า พาร์ทเนอร์ด้านเทคโนโลยีแสดงความมั่นใจในความรู้และความเข้าใจในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI โดยการประเมินมุ่งเน้นไปที่โซลูชันและความสามารถเฉพาะในการปรับใช้งาน AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 4 ด้านที่สำคัญคือ โครงสร้างพื้นฐาน ข้อมูล การกำกับดูแล และบุคลากรที่มีความสามารถ

ความสามารถเหล่านี้รวมถึง:

  • การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรับ AI ที่ปรับขนาดและยืดหยุ่นได้
  • ความมั่นใจว่ามีเครื่องมือและทรัพยากร GPU ที่เพียงพอสำหรับโครงการที่ดำเนินอยู่
  • การประเมินและรักษา latency และ throughput (ปริมาณงาน) ของศูนย์ข้อมูล
  • ความเข้าใจชุดข้อมูล อธิปไตยด้านข้อมูล และกฎระเบียบข้อบังคับความเป็นส่วนตัวในภูมิภาค/ประเทศต่างๆ

แม้ว่าพาร์ทเนอร์จะแสดงความมั่นใจอย่างมากเกี่ยวกับความรู้และความเข้าใจในการใช้งานเทคโนโลยี AI แต่พวกเขาก็ยังเข้าใจว่ามีความท้าทายที่พวกเขาต้องแก้ไขเพื่อเพิ่มโอกาสในอนาคต ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดคือการขาดประสบการณ์ในการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ (64%), การขาดความรู้เกี่ยวกับระบบและกระบวนการ (54%) และการขาดเทคโนโลยีที่พร้อมใช้งาน (52%) เพื่อจัดการกับความท้าทายเหล่านี้ พาร์ทเนอร์กำลังลงทุนในการพัฒนาและยกระดับทักษะพนักงานด้าน AI โดย 80% ของพาร์ทเนอร์ได้ดำเนินการฝึกอบรมพนักงานภายใน หรือเชิญผู้เชี่ยวชาญภายนอกมาให้ความรู้และฝึกอบรมเฉพาะทางด้าน AI

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลศึกษา Cisco Partner AI และรายงานฉบับเต็ม สามารถคลิก ที่นี่

เกี่ยวกับ ซิสโก้ (Cisco)

Cisco (NASDAQ: CSCO) เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่เชื่อมต่อทุกสิ่งอย่างปลอดภัยเพื่อให้ทุกสิ่งเป็นไปได้ เป้าหมายของซิสโก้คือขับเคลื่อนอนาคตสำหรับทุกคนโดยช่วยลูกค้าคิดใหม่ (reimagine) เกี่ยวกับแอปพลิเคชัน ขับเคลื่อนการทำงานแบบไฮบริด รักษาความปลอดภัยให้กับองค์กร ทรานส์ฟอร์มโครงสร้างพื้นฐาน และบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน เปิดประสบการณ์กับซิสโก้ที่ห้องข่าว The Newsroom และติดตามข่าวสารของซิสโก้บน X ที่ @Cisco.


Exit mobile version