Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัวพอร์ตโฟลิโอกลุ่มระบายความร้อนด้วยของเหลว จาก Motivair ด้วยโซลูชั่นและบริการที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับ HPC และเวิร์กโหลด AI

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ เปิดตัวพอร์ตโฟลิโอโซลูชั่นการระบายความร้อนด้วยของเหลวแบบครบวงจรชั้นนำระดับโลก สำหรับไฮเปอร์สเกล (Hyperscale), โคโลเคชั่น (Colocation) และดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีสภาพแวดล้อมความหนาแน่นสูง (High-density Data Center) ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อขับเคลื่อน AI Factories ในอนาคต

โซลูชั่นการระบายความร้อนจาก Motivair by Schneider Electric พร้อมวางจำหน่ายทั่วโลก มาพร้อมกับขุมพลังและการประมวลผลระดับสูงที่ต้องใช้ GPU ของดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีความหนาแน่นสูงได้อย่างน่าเชื่อถือและสามารถปรับขนาดได้พอร์ตโฟลิโอนี้ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพของดาต้าเซ็นเตอร์ ทั้งแบบ Liquid Cooling และ Air Cooling รวมถึง CDUs, RDHx, HDUs, Dynamic Cold Plates, Chillers ตลอดจนซอฟต์แวร์และบริการ ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ออกแบบเพื่อรองรับการจัดการความร้อนของการประมวลผลประสิทธิภาพสูง (HPC) ในเจนเนอร์เรชั่นใหม่ รวมถึง AI และเวิร์กโหลดการประมวลผลแบบเร่งความเร็ว โดยการประกาศเปิดตัวพอร์ตโฟลิโอครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค นำเสนอขีดความสามารถด้านการระบายความร้อนด้วยของเหลวแบบครบวงจร นับตั้งแต่เข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ใน Motivair เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568

เนื่องจากอุตสาหกรรมกำลังขับเคลื่อนผ่านความหนาแน่นพลังงานที่สูงเกิน 140kW ต่อแร็ค และต้องเตรียมพร้อมสำหรับความหนาแน่นพลังงานในอนาคตที่ระดับ 1MW และสูงกว่านั้น ทำให้ชิป AI ยิ่งมีความร้อนสูงขึ้นและมีความหนาแน่นมากขึ้น ดาต้าเซ็นเตอร์จึงจำเป็นต้องใช้การระบายความร้อนด้วยของเหลว เพื่อทำความเย็นให้กับเวิร์กโหลดที่มีอุณหภูมิสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรักษาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและมีช่วงเวลาทำงานสูงสุด (peak uptime) 

ระบบทำความเย็น อาจใช้พลังงานสูงถึง 40% ของงบประมาณด้านพลังงานในดาต้าเซ็นเตอร์ ขณะที่การระบายความร้อนด้วยของเหลวโดยตรง (Direct Liquid Cooling) มีประสิทธิภาพมากกว่าในการดึงความร้อนออกจากระบบถึง 3,000 เท่า เมื่อเทียบกับการใช้ระบบอากาศ เนื่องจากสามารถดักจับความร้อนที่ระดับชิปได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม การติดตั้งเทคโนโลยีระบายความร้อนด้วยของเหลวเป็นเรื่องที่ซับซ้อน และต้องใช้วิธีการแบบองค์รวมตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งครอบคลุมทั้งการจัดหา ติดตั้งและการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง 

ทั้งนี้เพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และ Motivair ได้นำเสนอพอร์ตโฟลิโอสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์และระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวที่ครอบคลุมที่สุดในตลาดให้กับลูกค้า ซึ่งครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานในการทำความเย็นหลักทั้งหมด ควบคู่ไปกับความสามารถของซัพพลายเชนที่พร้อมรองรับความต้องการในระดับโลก

“เนื่องจากระบบทำความเย็นในดาต้าเซ็นเตอร์มีความซับซ้อนมากขึ้นในยุค AI พอร์ตโฟลิโอของเราจึงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถรองรับความต้องการโครงสร้างพื้นฐานของทั้งปัจจุบันและอนาคต” ริชาร์ด วิทมอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Motivair by Schneider Electric กล่าว “ปัจจุบันเราเป็นผู้ให้บริการระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวเพียงรายเดียวที่แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในระดับซิลิคอน โดยการพัฒนาร่วมกับ NVIDIA และผู้ผลิต GPU ชั้นนำอื่นๆ และเมื่อร่วมมือกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค เราได้สร้างกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เหนือชั้น ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดระยะเวลาในการนำสินค้าออกสู่ตลาด แต่ยังเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนให้กับลูกค้าทั่วโลก”

พอร์ตโฟลิโอระบายความร้อนด้วยของเหลวแบบครบวงจรสำหรับ ดาต้าเซ็นเตอร์ AI

โซลูชั่นระบายความร้อนด้วยของเหลวและอากาศของ Motivair by Schneider Electric ได้แก่ Coolant Distribution Units (CDUs) ระดับ Megawatt-class, ChilledDoor® Rear Door Heat Exchangers และ Dynamic® Cold Plates ซึ่งให้การควบคุมอุณหภูมิที่แม่นยำสำหรับตู้แร็ค AI ที่มีกำลังไฟ 100 kW+ โซลูชั่นเหล่านี้ยังช่วยรักษาประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมเพิ่มศักยภาพการใช้พลังงานและเพิ่มเวลาทำงานให้กับผู้ปฏิบัติการดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งประกอบด้วย

· Coolant Distribution Units (CDUs) : CDUs ของ Motivair ได้รับการออกแบบโดยความร่วมมือกับผู้ผลิตซิลิคอนชั้นนำเพื่อการผสานรวมที่ราบรื่นกับโปรเซสเซอร์และตัวเร่งความเร็วรุ่นใหม่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ CDU สามารถขยายขนาดตั้งแต่ 105 กิโลวัตต์ ถึง 2.5 เมกะวัตต์ ซึ่งล้ำหน้าความต้องการของตลาดไปหลายปี ปัจจุบันเทคโนโลยี CDU ของ Motivair ยังช่วยให้เกิดประสิทธิภาพด้านความร้อนในซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ใน 10 อันดับแรกของโลก และได้รับการรับรองสำหรับฮาร์ดแวร์ล่าสุดของ NVIDIA ในขณะที่ยังมีความพร้อมสำหรับความหนาแน่นของตู้แร็คที่เพิ่มขึ้นในอนาคต

· ChilledDoor® Rear Door Heat Exchanger: เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน (Rear-door heat exchanger) นี้ สามารถระบายความร้อนให้กับตู้แร็คที่มีความหนาแน่นสูงสุด 75 kW ทำให้เหมาะสำหรับ GPU ที่ใช้พลังงานสูง การออกแบบที่ยืดหยุ่นไม่จำกัดรุ่นตู้แร็ค ทำให้เป็นโซลูชั่นที่ใช้งานได้หลากหลายในทุกสภาพแวดล้อมสำหรับ HPC

· Liquid-to-Air Heat Dissipation Unit (HDU™): เหมาะสำหรับตัวเร่งความเร็ว AI สภาพแวดล้อมของ Colocation หรือห้องปฏิบัติการที่มีน้ำไม่เพียงพอในการใช้งาน โดย Motivair HDU เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในตลาด สามารถระบายความร้อนได้ 100 กิโลวัตต์ ในพื้นที่ติดตั้งเพียง 600 มิลลิเมตร นอกจากนี้ยังสามารถสร้างระบบหมุนเวียนน้ำ (Water Loop) เพื่อระบายความร้อนได้สูงสุดถึง 132 กิโลวัตต์ ซึ่งเป็นอัตราส่วน 1:1 กับสถาปัตยกรรมการประมวลผล NVL144 ของ NVIDIA

· Chillers and Technology Cooling System (TCS) Loops: เครื่องทำความเย็นแบบอากาศปิด (Closed loop air cooled chillers) ของ Motivair และ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยให้ผู้ประกอบการประหยัดการใช้น้ำได้หลายล้านแกลลอนต่อปีต่อในทุกเมกะวัตต์ของความต้องการทำความเย็น ในขณะเดียวกันก็ให้ประสิทธิภาพที่สูงกว่าโซลูชั่นอื่นๆ ในตลาดถึง 20%

· ซอฟต์แวร์ : กว่า 50 ปี ซอฟต์แวร์ EcoStruxure ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากหลายๆโดเมน โดยสร้างขึ้นเพื่อจัดการกับความท้าทายด้านการระบายความร้อนด้วยอากาศและของเหลวของดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งให้การจัดการความร้อน ประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดสำหรับสภาพแวดล้อมที่มีความสำคัญต่อภารกิจ (Mission-critical Environments)

· บริการ: Motivair มีประสบการณ์ในการติดตั้งและบำรุงรักษาระบบระบายความร้อนที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในภาคสนามกว่าทศวรรษ เป็นบริษัทดูแลฐานการติดตั้งโซลูชั่นระบายความร้อนด้วยของเหลวความหนาแน่นสูงใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีช่างเทคนิคที่ผ่านการฝึกอบรมพร้อมให้บริการในทุกพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่สำคัญ ปัจจุบันเราฝึกอบรมช่างเทคนิคเพื่อบริการภาคสนามในด้านระบบทำความเย็นกว่า 600 ราย และร่วมมือกับพันธมิตร EcoXpert ด้านระบบทำความเย็นทั่วโลก

การผลิตระดับโลก ความเชี่ยวชาญทางเทคนิค และการทดสอบที่เข้มงวด

พอร์ตโฟลิโอที่ครอบคลุมของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้รับการสนับสนุนโดยความสามารถด้านการผลิตและซัพพลายเชนทั่วโลก พร้อมด้วยความเชี่ยวชาญทางเทคนิค ตลอดจนการทดสอบและตรวจสอบครอบคลุมโซลูชั่นทั้งหมด

· ซัพพลายเชนทั่วโลก : Motivair เพิ่งเปิดโรงงานผลิตแห่งที่ 4 ในเมืองบัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก และบริษัทยังขยายขีดความสามารถในการผลิตในอิตาลีและอินเดีย ซึ่งเพิ่มผลผลิตเป็น 3 เท่า และลดระยะเวลารอสินค้าสำหรับลูกค้าทั่วโลก

· การทดสอบที่เข้มงวด:ผลิตภัณฑ์ระบายความร้อนด้วยของเหลวทุกรุ่นผ่านการทดสอบประสิทธิภาพเพื่อจำลองโหลดความร้อนที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเป็นการตรวจสอบยืนยันทั้งประสิทธิภาพทางความร้อนและทางกลก่อนที่จะจัดส่งสินค้า ขณะที่ในระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์จะได้รับการตรวจสอบความถูกต้องภายในบริษัทและอุปกรณ์ทุกชิ้นจะผ่านการทำความสะอาดก่อนการติดตั้งใช้งานเพื่อช่วยป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น ณ สถานที่ติดตั้ง

AI คือการปฏิวัติเทคโนโลยีในยุคถัดไป และแน่นอนว่ามันทำให้การระบายความร้อนด้วยของเหลวเป็นสิ่งจำเป็นเชิงกลยุทธ์สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์และ AI Factories” แอนดรูว์ แบรดเนอร์ รองประธานอาวุโสฝ่ายธุรกิจทําความเย็น ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “ด้วยการรวมความเชี่ยวชาญหลากหลายโดเมนของเราเข้ากับ Motivair เรากำลังบุกเบิกพื้นที่โอกาสใหม่ๆ ในการทำตลาดสำหรับการประมวลผลแบบเร่งความเร็ว ด้วยพอร์ตโฟลิโอระบายความร้อนด้วยของเหลวที่ไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งมาพร้อมกับขนาดการผลิตและการเข้าถึงในระดับโลกและความมุ่งมั่นที่จะทดสอบและตรวจสอบทุกโซลูชั่นที่เราส่งมอบอย่างเข้มงวด เพื่อลดความเสี่ยงและมอบความมั่นใจสูงสุดให้กับลูกค้าของเรา”

“การระบายความร้อนด้วยของเหลวได้เปลี่ยนจากการเป็นตัวเสริมประสิทธิภาพ ไปสู่การเป็นองค์ประกอบพื้นฐานหลักของสภาพแวดล้อมการประมวลผลความหนาแน่นสูงสมัยใหม่” โอลก้า ยาชโควา ผู้จัดการวิจัยด้านเวิร์กโหลดองค์กร และ โครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ ไอดีซี กล่าว “การเข้าซื้อกิจการ Motivair โดยชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยยกระดับความแข็งแกร่งในด้านโครงสร้างพื้นฐานพลังงานไฟฟ้า และระบบทำความเย็นของดาต้าเซ็นเตอร์ได้อย่างครบวงจร ในฐานะเวนเดอร์รายเดียวที่สามารถออกแบบและจัดหาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและระบบทำความเย็นที่สำคัญทั้งหมดของดาต้าเซ็นเตอร์ แนวทางของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังช่วยลดความซับซ้อนในการปฏิบัติงานของ ดาต้าเซ็นเตอร์ AI”


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ซิสโก้จับมือ NVIDIA เปิดตัวนวัตกรรม AI ครอบคลุมทั้งลูกค้ากลุ่ม Neocloud, กลุ่มเอ็นเตอร์ไพรซ์ และผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคม

กรุงเทพฯ,  31 ตุลาคม 2025 — ซิสโก้ (NASDAQ: CSCO) ได้ประกาศความก้าวหน้าครั้งสำคัญ เพื่อเร่งการพัฒนา AI ที่ปลอดภัยและรองรับการขยายตัวได้ในทุกกลุ่มตลาด โดยมีไฮไลท์สำคัญคือ Cisco N9100 ซึ่งเป็น data center switch แรกที่พัฒนาร่วมกับ NVIDIA โดยใช้ NVIDIA Spectrum-X Ethernet switch silicon ด้วยสวิตช์ใหม่นี้ Cisco จึงสามารถนำเสนอ Reference Architecture ที่สอดคล้องกับมาตรฐาน NVIDIA Cloud Partner สำหรับการใช้งานบน neocloud และ sovereign cloud สำหรับกลุ่มลูกค้าองค์กร โซลูชัน Cisco Secure AI Factory with NVIDIA จะช่วยเสริมการป้องกันและการมองเห็นตลอดการใช้งาน AI ด้วยการผสานรวมฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและการสังเกตการณ์ใหม่ และเพื่อปูทางในการเชื่อมต่อยุคใหม่ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ซิสโก้, NVIDIA และพาร์ทเนอร์รายอื่นๆ ได้ร่วมกันเปิดตัว AI-native wireless stack for 6G เป็น ‘ครั้งแรกของอุตสาหกรรม’ นวัตกรรมทั้งหมดนี้ มอบความยืดหยุ่นและการทำงานร่วมกันให้แก่ลูกค้ากลุ่ม neocloud กลุ่มลูกค้าองค์กร และผู้ให้บริการโทรคมนาคม เพื่อช่วยให้สามารถสร้าง จัดการ และรักษาความปลอดภัยให้กับโครงสร้างพื้นฐาน AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จีตู ปาเทล, ประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของซิสโก้ กล่าวว่า “เรากำลังยืนอยู่บนจุดเริ่มต้นของการสร้างดาต้าเซนเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โครงสร้างพื้นฐานที่จะมาเป็นพลังขับเคลื่อนแอปพลิเคชัน agentic AI และนวัตกรรมแห่งอนาคต จำเป็นต้องอาศัยสถาปัตยกรรมใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดในปัจจุบัน ทั้งด้านพลังงาน การประมวลผล และประสิทธิภาพของเครือข่าย ซิสโก้และ NVIDIAได้จับมือกันเป็นผู้นำในการกำหนดนิยามของเทคโนโลยีที่จะมาขับเคลื่อนดาต้าเซนเตอร์ที่พร้อมสำหรับ AI (AI-ready data center) ในทุก ๆ องค์กร ตั้งแต่กลุ่ม neocloud ที่กำลังเกิดขึ้นใหม่ กลุ่มผู้ให้บริการระดับโลก (global SP) ไปจนถึงองค์กรระดับเอนเตอร์ไพรซ์ และอื่น ๆ อีกมากมาย”

“NVIDIA Spectrum-X Ethernet ส่งมอบประสิทธิภาพของ accelerated networking สำหรับ Ethernet” Gilad Shainer, SVP of Networking ที่ NVIDIA กล่าว “การทำงานร่วมกับ Cisco’s Cloud Reference Architectures และหลักการออกแบบ NVIDIA Cloud Partner ลูกค้าสามารถเลือกปรับใช้ Spectrum-X Ethernet โดยใช้ Cisco N9100 series ใหม่ล่าสุดหรือ Cisco Silicon One based switches เพื่อสร้างเครือข่าย AI แบบเปิดที่มีประสิทธิภาพสูง”

จีลาด เชนเนอร์, รองประธานอาวุโสฝ่ายเครือข่ายของ NVIDIA กล่าวว่า “NVIDIA Spectrum-X Ethernet มอบประสิทธิภาพของ accelerated networking ให้กับ Ethernet ด้วยการทำงานร่วมกับ Cloud Reference Architectures ของซิสโก้และหลักการออกแบบ NVIDIA Cloud Partner ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกปรับใช้ Spectrum-X Ethernet โดยใช้ Cisco N9100 series ใหม่ล่าสุด หรือสวิตช์ที่ขับเคลื่อนด้วย Cisco Silicon One เพื่อสร้างเครือข่าย AI แบบเปิดที่มีประสิทธิภาพสูง”

Portfolio สำหรับ AI Workload ทุกประเภท

เครือข่าย Ethernet ทั้งแบบ back-end และ front-end จำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะก้าวทันนวัตกรรม AI ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว, สามารถผสานรวมกับโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิมได้อย่างไร้รอยต่อ, ทั้งยังต้องง่ายต่อการปรับใช้และจัดการ โดย Cisco N9100 series switches (ซึ่งจะเปิดให้สั่งซื้อได้ก่อนสิ้นปีนี้) มาพร้อมตัวเลือกระบบปฏิบัติการ Cisco NX-OS หรือ SONiC ซึ่งช่วยยกระดับ Ethernet สำหรับเครือข่าย AI และมอบความยืดหยุ่นที่มากขึ้นให้แก่ลูกค้า neocloud และ sovereign cloud ในการสร้าง AI infrastructure ของตนเอง ด้วย N9100 เป็นพื้นฐานสำคัญ ซิสโก้จะนำเสนอ Reference Architecture ที่สอดคล้องกับมาตรฐาน NVIDIA Cloud Partner นอกจากนี้ พอร์ตโฟลิโอโซลูชัน Nexus data center switching ของซิสโก้ ยังมอบโมเดลการทำงานแบบ unified operating model ผ่าน Cisco Nexus Dashboard ครอบคลุมตั้งแต่ Silicon One, Cloud-scale ASICs และล่าสุดคือสวิตช์ที่สร้างบน Spectrum-X Ethernet switch silicon

นอกจากนี้ สำหรับลูกค้า neocloud และ sovereign cloud ตัว Cisco Cloud Reference Architecture ยังอ้างอิงตามหลักการออกแบบของ NVIDIA Cloud Partner reference architecture และใช้โซลูชัน Cisco Silicon One รวมถึง Cloud-scale ASIC ของซิสโก้อีกด้วย โดย Reference architecture นี้ จะประกอบด้วย Cisco 8223 ที่เพิ่งเปิดตัวล่าสุด ซึ่งขับเคลื่อนด้วย Silicon One P200 รองรับการปรับใช้ได้กับทุกเครือข่าย NVIDIA BlueField-4 DPUs และ NVIDIA ConnectX-9 SuperNICs

Cisco Secure AI Factory ร่วมกับ NVIDIA: สร้างขึ้นเพื่อประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ความยืดหยุ่น

ตั้งแต่การเปิดตัวที่ GTC ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 โซลูชัน Cisco Secure AI Factory ร่วมกับ NVIDIA ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำอุตสาหกรรมในการนำเสนอสถาปัตยกรรมที่ครอบคลุมสำหรับโครงสร้างด้าน AI สำหรับองค์กร ชูจุดเด่นด้านความปลอดภัย และการสังเกตการณ์เป็นสำคัญ โดยไม่สูญเสียประสิทธิภาพ โดยมี Cisco AI PODs และ Cisco Silicon One-powered Nexus switching เป็นรากฐานสำคัญ ในวันนี้ซิสโก้ได้นำเสนอความสามารถและฟีเจอร์ใหม่ ๆ ครอบคลุมด้านต่าง ๆ ดังนี้:

  • Security และ Observability: ตอนนี้ Cisco AI Defense ได้ผสานรวมกับ NVIDIA NeMo Guardrails แล้ว เพื่อส่งมอบความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่งสำหรับแอปพลิเคชัน AI โดยCisco AI Defense พร้อมให้บริการแล้ว สำหรับการปรับใช้ data-plane แบบ on-premises ซึ่งช่วยให้ทีม security และ AI สามารถปกป้องโมเดลและแอปพลิเคชัน AI พร้อมทั้งจำกัดข้อมูลที่ละเอียดอ่อนไม่ให้หลุดรอดออกไปจากดาต้าเซนเตอร์ขององค์กร นอกจากนี้ Splunk Observability Cloud ยังช่วยให้ทีมสามารถติดตามประสิทธิภาพ คุณภาพ ความปลอดภัย และต้นทุนของ AI application stack ได้ รวมถึงให้ข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ (real-time insights) เกี่ยวกับสถานะความสมบูรณ์ของโครงสร้างพื้นฐาน AI เมื่อทำงานร่วมกับ Cisco AI PODs ในขณะที่ Splunk Enterprise Security ช่วยต่อยอดการมองเห็นนี้ เพื่อปกป้อง AI workloads
  • Core AI Infrastructure: Cisco Isovalent ผ่านการตรวจสอบแล้วว่ารองรับ inference workloads บน AI PODs ซึ่งช่วยยกระดับ Kubernetes networking ให้มีประสิทธิภาพสูงระดับ enterprise โดย Cisco Nexus Hyperfabric AI ที่มาพร้อม cloud-managed Cisco G200 Silicon One ใหม่ ซึ่งมาพร้อมกับ high-density 800G Ethernet พร้อมให้บริการ เพื่อเป็นตัวเลือกการปรับใช้ใน AI PODs เช่นเดียวกัน Cisco UCS 880A M8 rack servers ที่ใช้ NVIDIA HGX B300 และ Cisco UCS X-Series modular servers ที่มาพร้อม NVIDIA RTX PRO 6000 Blackwell Server Edition GPUs เองก็พร้อมให้บริการแล้วในฐานะส่วนหนึ่งของ AI PODs ทั้งหมดนี้จะช่วยสนับสนุนการใช้งาน GPU ประสิทธิภาพสูงสำหรับ workloads ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น generative AI fine-tuning inference และอื่น ๆ อีกมากมาย
  • การขยายอีโคซิสเต็ม: ซอฟต์แวร์ NVIDIA Run:ai เปิดให้บริการแล้วผ่านซิสโก้และพาร์ทเนอร์ ซึ่งนำเสนอความสามารถด้าน intelligent AI workload และ GPU orchestration โดยโซลูชัน Nutanix Kubernetes Platform (NKP) ได้กลายเป็น Kubernetes platform ที่รองรับการใช้งานอย่างเป็นทางการ และโซลูชัน Nutanix Unified Storage (NUS) ก็เป็นตัวเลือก storage ที่รองรับการใช้งานเช่นกัน โดยมีโซลูชัน Nutanix Enterprise AI (NAI) ทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบซอฟต์แวร์ที่ทำงานร่วมกัน เพื่อช่วยให้การสร้างและการดำเนินงาน containerized inference services ง่ายยิ่งขึ้น
  • ความพร้อมภาครัฐ: ซิสโก้กำลังร่วมมือกับ NVIDIA พร้อมทั้งปรับแนวทางให้สอดคล้องกับ NVIDIA AI Factory for Government ที่เปิดตัวใหม่ ซึ่งเป็น reference design แบบ full-stack end-to-end สำหรับ AI workloads ที่ต้องปรับใช้ในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด

AI-native Wireless Stack แรก ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีหลักจาก Cisco

ในขณะที่การพัฒนาการใช้งาน AI ขยายตัวจากสมาร์ทโฟนไปสู่อุปกรณ์อัจฉริยะอื่น ๆ มากขึ้น เช่น แว่นตา AR รถยนต์รุ่นใหม่ ๆ และหุ่นยนต์ แน่นอนว่าเครือข่ายไร้สายต้องเผชิญกับความต้องการที่พุ่งสูงขึ้นในการรองรับการเชื่อมต่อหลายพันล้านจุด ซึ่งต้องใช้ทั้งขนาดและประสิทธิภาพในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อตอบรับความท้าทายนี้ ซิสโก้, NVIDIA และพาร์ทเนอร์ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมรายอื่น ๆ ได้พัฒนา American AI-RAN stack เป็น ‘ครั้งแรก’ สำหรับเครือข่ายมือถือ ที่ผสานรวมความสามารถด้าน sensing และการสื่อสารเข้าไว้ด้วยกัน โดยมีการจัดโชว์เคสพรีวิวแอปพลิเคชัน pre-6G หลายรายการ ภายในงาน NVIDIA GTC DC โซลูชันนี้ช่วยให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมสามารถผสาน AI เข้ากับเครือข่ายมือถือของตนได้ โดยเริ่มจากบริการ 5G advanced และเป็นการวางรากฐานสำหรับ 6G ต่อไป Stack นี้เป็นการรวม user plane function และ 5G core software ของซิสโก้ เข้ากับ NVIDIA AI Aerial platform เพื่อสร้างรากฐานที่รองรับการทำงานของ physical AI และ integrated sensing ด้วยประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่เหนือชั้น

ซิสโก้และ NVIDIA ร่วมขับเคลื่อน AI ไปข้างหน้า

ความร่วมมือระหว่างซิสโก้และ NVIDIA ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงผลักดันจากวิสัยทัศน์ร่วมกันต่ออนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่ต้องรองรับการขยายตัว มีความสามารถในการสังเกตการณ์ และมีความปลอดภัย ความก้าวหน้าที่ประกาศในวันนี้ ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของซิสโก้ในการพัฒนานวัตกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งจะช่วยเร่งการนำ AI ไปปรับใช้ ในกลุ่มองค์กร ลูกค้ากลุ่ม neoclouds และผู้ให้บริการโทรคมนาคม

มุมมองจากอุตสาหกรรม

เซียวเฮ ฮู, ซีอีโอของ Infrawaves กล่าวว่า “ความท้าทายที่แท้จริงของโครงสร้างพื้นฐาน AIไม่ใช่แค่เรื่องประสิทธิภาพ แต่คือการรักษาการดำเนินงานให้ราบรื่น ในขณะที่สามารถขยาย GPU จากหลักสิบไปสู่หลักพัน แนวทางของซิสโก้ที่ใช้ NX-OS และ Nexus Dashboard ได้สร้าง ‘single pane of glass’ หรืออินเทอร์เฟซแบบรวมศูนย์ ที่แสดงข้อมูลและเครื่องมือจากหลายแหล่งเข้าไว้ใน มุมมองเดียว ที่ครอบคลุม AI fabric ทั้งหมดของเรา ไม่ว่าเราจะกำลังเพิ่มประสิทธิภาพ inference latency ในส่วน front-end หรือเพิ่ม training throughput ให้สูงสุดในส่วน back-end ซึ่งความเรียบง่ายในการบริหารจัดการนี้ ส่งผลโดยตรงต่อการปรับใช้ระบบที่รวดเร็วขึ้น ขณะที่ TCO ที่ต่ำลง”

ยี เลือง ซัน, หัวหน้าฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานของ GMI Cloud กล่าวว่า ” Cisco N9100 series ที่ขับเคลื่อนด้วย NVIDIA Spectrum-X Ethernet switch silicon มอบโซลูชันสำหรับโครงสร้างพื้นฐานแบบเปิด (open infrastructure) ที่มีประสิทธิภาพสูงตอบโจทย์ความต้องการด้าน AI cloud ของเรา ความสามารถในการรัน NX-OS หรือ SONiC ภายใต้โมเดลการทำงานแบบ unified operating บน Nexus Dashboard นั้น มอบความยืดหยุ่นที่มากขึ้นให้แก่ลูกค้า พร้อมความเรียบง่ายในการบริหารจัดการ นี่คือระบบเครือข่ายระดับ enterprise-grade ที่มีทั้งความสามารถในการปรับขยายและความคล่องตัวของคลาวด์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI workloads ยุคใหม่ต้องการอย่างแท้จริง”


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. จัดแถลงข่าว เปิดตัว “หลักสูตรโรงเรียน–โรงงาน รูปแบบเยอรมัน” มจพ. ปราจีนบุรี

.ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) .ดร.ธานินทร์ ศิลป์จารุ อธิการบดี  พร้อมด้วย ผศ.พีระศักดิ์ เสรีกุล รองอธิการบดีประจำวิทยาเขตปราจีนบุรี อาจารย์ประจำภาควิชากล่าวความเป็นมาของหลักสูตร  โรงเรียนโรงงานรูปแบบเยอรมัน หลักสูตรอนุปริญญา 4 สาขา ได้แก่ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (TIEE), เครื่องกลสมัยใหม่ (TIMM), โลจิสติกส์และดิจิทัล (TILM) และสมุนไพรและความงาม (TIHB) วางรากบนแนวคิดแบบทวิภาคี (Dual System) ของเยอรมนี ผสานการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง (Work-Based Learning) โครงงาน และสหกิจศึกษา ตลอดเส้นทาง 5 ปี (3+2) โดยรับสมัครนักเรียนที่กำลังสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (.3) เพื่อพัฒนาสู่กำลังคนทักษะสูงในกลุ่ม First S-Curve และ New S-Curve ของประเทศ  อย่างเป็นระบบตั้งแต่ปีต้นของการศึกษา ในวันที่ 30 ตุลาคม 2568  ณ ห้องประชุม โรงแรมวิลลาวิชาลัย  มจพ. ปราจีนบุรี     

โดยก่อนเริ่มพิธีแถลงข่าว คณะผู้บริหาร/บุคลากร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ยืนถวายความอาลัย  สมเด็จพระพันปีหลวงสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จสวรรคต  ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้  พิธีการ ยืนสงบนิ่ง 93 วินาที

สำหรับการดำเนินการเชิงสาขา ผศ. ดร.กฤษฎากร บุดดาจันทร์ คณบดีคณะเทคโนโลยีและการจัดการอุตสาหกรรม อธิบายว่า TIMM และ TIEE ออกแบบให้ผู้เรียนได้จับงานจริงตั้งแต่ปีต้นทั้งงานเครื่องกลสมัยใหม่ อัตโนมัติ หุ่นยนต์ ไฟฟ้าอุตสาหกรรม และอิเล็กทรอนิกส์ เน้นมาตรฐานความปลอดภัย วินัยการทำงาน และการบูรณาการทฤษฎีกับภาคปฏิบัติ เพื่อให้พร้อมเข้าสายงานโรงงานทันทีเมื่อสำเร็จการศึกษา

ด้าน รศ.ดร.รัชนี เจริญ คณบดีคณะอุตสาหกรรมเกษตรดิจิทัล ชี้แจงว่า TIHB มุ่งสร้างนักปฏิบัติที่เข้าใจห่วงโซ่การผลิตผลิตภัณฑ์สุขภาพความงามครบวงจร ตั้งแต่การผลิต ควบคุมคุณภาพ มาตรฐาน และงานวิจัยพัฒนา ควบคู่ทักษะดิจิทัลและการกำกับคุณภาพ โดยผู้เรียนฝึกในสถานประกอบการจริงเพื่อให้ทันต่อความต้องการแรงงานทักษะสูงของอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็ว

ขณะที่ ผศ.ดร.รณินทร์ กิจกล้า คณบดีคณะบริหารธุรกิจและอุตสาหกรรมบริการ ระบุว่า TILM เน้นสมรรถนะโลจิสติกส์ยุคดิจิทัล ครอบคลุมคลังสินค้า ขนส่ง และซัพพลายเชน ผ่านระบบ WMS/TMS/ERP และโจทย์งานจริงในสถานประกอบการ ทำให้ผู้เรียนเข้าใจการไหลของข้อมูลสินค้าต้นทุนและสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการได้ทันทีในหน้างาน

หลักสูตรทั้ง 4 บูรณาการทักษะปฏิบัติและความรู้เชิงทฤษฎีอย่างเข้มข้น ผู้เรียนจะสร้างพอร์ตผลงานจริง ควบคู่การพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม วินัย และ กรอบความคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) เพื่อให้วิเคราะห์และแก้ปัญหาจริงในโลกการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตในสายอาชีพเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดหลักสูตรได้ที่ คณะเทคโนโลยีและการจัดการอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตปราจีนบุรี  โทรศัพท์ สายด่วน  FITM  06-5934-9469 และ เว็บไซต์ https://sites.google.com/fitm.kmutnb.ac.th/fitmopenhouse/A-Tech

รายละเอียดหลักสูตรที่ www.fitm.kmutnb.th/openhouse  สมัครออนไลน์ได้ที่  https://www.admission.kmutnb.ac.th 

ขวัญฤทัย ข่าว/สมเกษ ถ่ายภาพ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

จุฬาฯ ผนึก ม.อ. ลงนามความร่วมมือทางวิชาการ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เปิดหลักสูตร None-Degree พัฒนาคุณภาพการศึกษา

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำโดย ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ที่ 4 จากซ้าย) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) โดย ผศ.ดร.นิวัติ แก้วประดับ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ที่ 4 จากขวา) เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างสองสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านวิชาการ เพิ่มศักยภาพของทั้งสองมหาวิทยาลัยในการให้บริการวิชาการแก่สังคมทั้งในระดับประเทศจนถึงระดับนานาชาติ โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากทั้งสองสถาบันการศึกษาร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้อง 111 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเร็วๆ นี้

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ตระหนักถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความร่วมมือทางวิชาการ การวิจัย และการพัฒนานวัตกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาและสร้างคุณูปการต่อประชาสังคม ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การพัฒนาหลักสูตร การดำเนินงานวิจัย ตลอดจนการสร้างเครือข่ายทางวิชาการและวิชาชีพในระดับประเทศและนานาชาติ มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรและนักศึกษาในทุกมิติ นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังสอดคล้องกับพันธกิจของทั้งสองมหาวิทยาลัยในการเป็นสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้แก่ประเทศชาติ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา การสาธารณสุข และการพัฒนาชุมชน ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน

การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ในฐานะสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำที่มุ่งมั่นต่อการพัฒนาประเทศผ่านการสร้าง        องค์ความรู้ ตลอดจนส่งเสริมการให้บริการวิชาการเพื่อเผยแพร่ความรู้สู่สังคมและประเทศชาติต่อไป


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. จัดสัมมนาวิชาการระดับชาติ ชูแนวคิดพัฒนาในยุค AI เสริมศักยภาพแรงงานไทยอย่างยั่งยืน

.ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ให้การต้อนรับผู้เข้าร่วมงานสัมมนาระดับชาติ  โดยได้รับเกียรติจาก ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีตประธานคณะที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมด้านยุทธศาสตร์ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน และกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อเรื่อง  การพัฒนาขีดความสามารถแรงงานในองค์กรธุรกิจอุตสาหกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในยุคปัญญาประดิษฐ์ Empowering Workforce Capabilities in Industrial Business Organizations for Sustainable Development in the Age of Artificial Intelligence (AI)  พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ร่วมพิธีเปิดงาน นอกจากนี้ ได้เชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน  ได้แก่ ดร.ณรงค์ชัย ใหญ่สว่าง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์  คุณประภาศรี พันธุจริยา ผู้จัดการส่วนกลยุทธ์และมาตรฐานเพื่อความยั่งยืน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) และ คุณสุดคนึง ขัมภรัตน์ นายกสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) ที่ปรึกษาบริษัทฯ ด้าน People & Organization ร่วมให้ความรู้ในงานสัมมนา ในวันที่ 2 ตุลาคม 2568 ณหอประชุมเบญจรัตน์อาคารนวมินทรราชินีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

     งานสัมมนาจัดโดยคณะพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม มจพ. เพื่อร่วมฉลองครบรอบ 66 ปี ของการก่อตั้งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ หรือ วิทยาลัยเทคนิคไทยเยอรมัน วัตถุประสงค์การจัดงานในครั้งนี้ ด้วยในปัจจุบันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทอย่างกว้างขวางในการดำเนินธุรกิจทุกขั้นตอนในผลิตขององค์กรอุตสาหกรรม ส่งผลต่อรูปแบบการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรม โดย AI เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน และสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ผ่านการประมวลผลข้อมูลที่มีความแม่นยำและรวดเร็ว นอกจากนี้ AI ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และกระบวนการทำงานอัตโนมัติ ซึ่งทำให้ธุรกิจสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ในขณะเดียวกันแรงงานไทยก็กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างรวดเร็วอาทิเช่นการเปลี่ยนแปลงลักษณะงานทักษะที่จำเป็นหรือรูปแบบการจ้างงานสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อศักยภาพของแรงงานในการแข่งขันทั้งในระดับประเทศและระดับสากลหากแรงงานขาดการพัฒนาและปรับตัวอย่างเหมาะสมองค์กรอาจประสบกับภาวะขาดแคลนแรงงานที่มีคุณภาพและไม่สามารถก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและเศรษฐกิจโลกได้

ขวัญฤทัย ข่าว/สมเกษ ถ่ายภาพ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

โรงไฟฟ้า บีแอลซีพี เพาเวอร์ เดินหน้าขับเคลื่อนสู่ Net Zero สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านโครงการปุ๋ยใบไม้ ถ่ายทอดความรู้การกำจัดแปรรูปใบไม้-เศษวัสดุการเกษตรเป็นเงิน สร้างรายได้แก่ชุมชน

นายอดิศร วังมูล ผู้อำนวยการสายงานบริหารและองค์กรสัมพันธ์ บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด เปิดเผยถึงแนวทางขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ESG และสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ว่า โรงไฟฟ้า บีแอลซีพี เพาเวอร์ มีการดำเนินนโยบายและพันธกิจด้านสังคมและความยั่งยืนครอบคลุมในหลายมิติ โดยเฉพาะการให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งในส่วนของสิ่งแวดล้อมมีทั้งการพัฒนาใช้เทคโนโลยีสะอาด ในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจัดการมลพิษและปริมาณของเสีย เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการดำเนินงานด้านสังคมผ่านโครงการและกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ในหลายรูปแบบ ซึ่งนอกจากจะสร้างความเข้าใจระหว่างชุมชนรอบโรงไฟฟ้าแล้ว ยังแสดงถึงความจริงใจว่าโรงไฟฟ้า บีแอลซีพี เพาเวอร์ เป็นหนึ่งในสมาชิกของสังคมและชุมชนเดียวกัน จากความไว้เนื้อเชื่อใจได้ส่งผลให้หลายโครงการของโรงไฟฟ้า บีแอลซีพี เพาเวอร์ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จากการสนับสนุนและความร่วมมือขององค์กรส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และภาคประชาชนในพื้นที่

โดยเฉพาะโครงการปุ๋ยใบไม้ของโรงไฟฟ้า บีแอลซีพี เพาเวอร์ เป็นหนึ่งในโครงการที่ประสบความสำเร็จ จนได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในโครงการที่สนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (LESS) เนื่องจากโครงการฯ นี้ ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 143.347 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และยังมีการต่อยอดความรู้สู่ชุมชนจนขยายผลเป็นวงกว้าง ทั้งการกำจัดใบไม้และเศษวัสดุชีวมวลทางการเกษตรในชุมชน ลดการเผาทำลาย สร้างมูลค่าจากวัสดุเหลือใช้สร้างรายได้ต่อชุมชน

โครงการปุ๋ยใบไม้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2565 โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก “ศาสตร์พระราชา” ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่มุ่งเน้นความมั่นคงและยั่งยืน ก่อให้เกิดแนวคิดในการเพิ่มมูลค่าให้ขยะ แปรของเสียให้เป็นประโยชน์ ลดผลกระทบ เพิ่มคุณค่าทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดการของเสียอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นทางภายในโรงงาน โดยนำใบไม้จำนวนมากภายในโรงไฟฟ้ามาแปรรูปด้วยการหมักจนเป็นปุ๋ย ใช้ระยะเวลาในกระบวนการดำเนินงานตั้งแต่เริ่มจนสิ้นสุดประมาณ 45 วัน จากเดิมต้องใช้ระยะเวลาถึง 6 เดือน และนำปุ๋ยที่ได้มาใช้ต่อในการบำรุงดิน ปลูกผักปลอดสารพิษเพื่อแจกจ่ายและนำมาทำเป็นอาหารให้แก่พนักงาน

      จากความสำเร็จของโครงการฯ ที่เริ่มต้นในโรงไฟฟ้า ขยายผลสู่หน่วยงานส่วนท้องถิ่นและผู้นำชุมชน ผ่านการดูงานและการฝึกอบรมจนเกิดแนวร่วมที่แข็งแกร่ง ดังนั้นการขยายผลโครงการฯ ในปี 2568 โรงไฟฟ้า บีแอลซีพี เพาเวอร์ จึงร่วมมือกับหลายหน่วยงาน ทั้งสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาระยอง เทศบาลนครมาบตาพุด สำนักงานสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ชุมชนห้วยโป่งใน 1 โรงเรียนชุมชนวัดตะเคียนงาม ตำบลปากน้ำประแสร์  อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ในการเผยแพร่องค์ความรู้โครงการปุ๋ยจากใบไม้ (แบบย่อยสลายเร็ว) โดยมีเป้าหมายลดขยะใบไม้ให้ได้ 240 ตัน 

นอกจากโครงการปุ๋ยใบไม้ที่ประสบความสำเร็จและขยายโครงการสู่ระดับชุมชนแล้ว โรงไฟฟ้า บีแอลซีพี เพาเวอร์ ยังมีอีกหลายโครงการในการบริหารจัดการของเสียอย่างครบวงจรอีกหลายโครงการ ซึ่งช่วยแปรของเสียให้เป็นประโยชน์ ลดผลกระทบ เพิ่มคุณค่าทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นโครงการหนอนแม่โจ้ (BSF) การจัดการขยะอินทรีย์ โครงการธนาคารขยะ โครงการแนวกั้นขยะแม่น้ำระยอง โครงการ SeaCrafty กระเป๋าจากเศษอวน ฯลฯ จะเห็นได้ว่าการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า BLCP ไม่เพียงมุ่งเน้นเพียงแค่การผลิตไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงทางพลังงานแก่ประเทศเท่านั้น แต่ยังมุ่งสู่เป้าหมาย Zero Wasteและสนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ด้วยการนำองค์ความรู้ นวัตกรรม ผลที่ได้รับจากโครงการต้นแบบ ถ่ายทอด สร้างมูลค่า พัฒนาสังคมและร่วมสร้างความยั่งยืนแก่ท้องถิ่นและชุมชน เพื่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นอีกด้วย

ด้านคุณพรทิพย์  โพธิบัวทอง ที่ปรึกษาคณะกรรมการชุมชนมาบข่า-สำนักอ้ายงอน เผยถึงการนำความรู้จากโครงการปุ๋ยใบไม้มาปรับใช้และขยายผลกับชุมชนว่า โรงไฟฟ้า บีแอลซีพี เพาเวอร์ มีการเข้ามาพูดคุยและแนะนำโครงการดีๆ ให้กับชุมชนมาตลอด โครงการปุ๋ยใบไม้เป็นหนึ่งโครงการที่ชุมชนเราให้ความสนใจ เนื่องจากคนในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรชาวสวน จึงมีใบไม้และวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรจำนวนมาก จนบางครั้งเกิดปัญหาในการกำจัด แต่เดิมชาวบ้านจะใช้วิธีกองทิ้งหรือฝังกลบ ซึ่งใช้เวลานานในการย่อยสลาย เมื่อมากเข้าก็กำจัดด้วยการเผาซึ่งก่อให้เกิดมลภาวะ หรือถ้าขนไปทิ้งบ่อขยะก็สิ้นเปลืองแรงงานและค่าใช้จ่าย ดังนั้นทางชุมชนจึงมีความสนใจในการเข้ามาร่วมทดลองและนำความรู้จากโครงการฯ มาพัฒนาปรับใช้และผนวกเพิ่มเติมกับองค์ความรู้ของชุมชน โดยการพลิกกองและรดน้ำเพิ่ม ซึ่งทำให้ได้ผลในการย่อยสลายใบไม้และเศษวัสดุได้เร็วขึ้นจาก 30 – 45 วัน  เหลือเพียง 20 วัน โดยเกษตรกรจะได้ดินและปุ๋ยจากการย่อยสลายนำไปใช้ต่อภายในสวน ช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการซื้อดิน-ปุ๋ยไปได้กว่าครึ่ง คุณภาพชีวิตของคนและชุมชนก็ดีขึ้นจากการลดการเผา ส่วนผลผลิตที่ได้ก็มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคด้วย

ปัจจุบันการขยายผลโครงการปุ๋ยใบไม้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างมาก โดยนอกจากคุณพรทิพย์  จะใช้พื้นที่ของตัวเองในการเป็นศูนย์เรียนรู้เรื่องปุ๋ยใบไม้ โดยเปิดให้ผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมแล้ว ยังเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ และให้คำปรึกษาแก่ผู้สนใจในโครงการฯ นี้อีกด้วย ซึ่งขณะนี้มีชุมชนใกล้เคียง เทศบาล วัด โรงเรียน และ หมู่บ้านจัดสรร รวมแล้วกว่า 50 แห่ง เป็นแนวร่วมในการสานต่อโครงการฯ นอกจากนั้นยังกระจายไปยังฝั่งของประชาชนหรือบางชุมชนนำความรู้เรื่องปุ๋ยใบไม้ไปต่อยอดเป็นวิสาหกิจ ในการขายปุ๋ยใบไม้สร้างรายได้ ซึ่งมีมูลค่าถึงกิโลละ 10 บาท เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่ผลของโครงการฯ นอกจากจะช่วยกำจัดและสร้างมูลค่าให้กับวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรแล้ว ยังช่วยลดการเผา ลดปริมาณและค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะ เกิดเป็นอาชีพสร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชนต่อไปได้

โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) “มุ่งพัฒนาพลังงานที่มั่นคง เพื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” ผู้สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถค้นหาได้ที่ https://www.blcp.co.th/web/index หรือ Facebook : โรงไฟฟ้า      บีแอลซีพี – BLCP Power Limited


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว “EBO 7.0” หัวใจหลักจัดการอาคารปลอดคาร์บอน EcoStruxureTM Building Operation เวอร์ชั่นใหม่ วัดผลชัดเจน จบครบแพลตฟอร์มเดียว

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electricผู้นำระดับโลกด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลในด้านการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ ประกาศเปิดตัว EcoStruxureTM Building Operation เวอร์ชั่นใหม่ “EBO 7.0” ที่มาพร้อมความสามารถในการบริหารจัดการอาคารแบบครบวงจรบนแพลตฟอร์มเดียว รองรับการดำเนินงานอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมฟีเจอร์วัดผลการปล่อยคาร์บอนอย่างแม่นยำ และยกระดับการผสานรวมระบบจากรูปแบบเดิมให้เป็นเรื่องง่าย ตอบโจทย์การบริหารจัดการทั้งอาคารเก่าและใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จากข้อมูลสถิติของชไนเดอร์ อิเล็คทริค พบว่า 37% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกยังคงมาจากกลุ่มอาคาร และ 100% ของอาคารในสหภาพยุโรปจะต้องติดตั้งระบบบริหารจัดการอาคาร (Building Management System: BMS) ภายในปี 2568 แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า “การบริหารจัดการอาคาร” กลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลกที่ท้าทายมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อรูปแบบการบริหารจัดการอาคารในปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ฝ่ายบริหารอาคารต้องเผชิญกับข้อกำหนดใหม่ๆ ที่เข้มงวดมากขึ้น ทั้งในด้านการลดการปล่อยคาร์บอน การบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน รวมถึงการตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้อาคารที่มุ่งเน้นบริการที่ทันสมัย และพื้นที่ที่มีสุขอนามัยที่ดี เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัยภายในอาคาร

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เดินหน้าพัฒนาฟีเจอร์ของ EcoStruxureTM Building Operation (EBO) แพลตฟอร์มแบบเปิด (Open Integration Platform) อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน เพื่อรองรับการบริหารจัดการอาคารให้สอดคล้องกับแนวทางและข้อกำหนดมาตรฐานที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ล่าสุดได้เปิดตัว EcoStruxureTM Building Operation 7.0 (EBO 7.0) เวอร์ชั่นใหม่ที่มาพร้อมความสามารถในการบริหารจัดการอาคารอย่างชาญฉลาดและง่ายดายยิ่งขึ้น โดยลูกค้าปัจจุบันสามารถอัปเกรดจากเวอร์ชั่น 1.9 หรือสูงกว่า เป็นเวอร์ชั่น 7.0 ได้ในขั้นตอนเดียว ช่วยลดต้นทุนในการเปลี่ยนอุปกรณ์ เนื่องจาก EBO 7.0 ได้รับการออกแบบให้สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เดิมที่มีอยู่แล้วได้อย่างมีประสิทธิภาพ

EBO 7.0 ยังยกระดับฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การผสานรวมกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในอาคารและระบบไฟฟ้าแบบหลายระบบเป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยการรองรับมาตรฐาน OPC UA, AVEVA PI และระบบอื่นๆ ทำให้สามารถรวบรวม วิเคราะห์ และบริหารจัดการข้อมูลทั้งองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านศูนย์ควบคุมเดียวแบบอัตโนมัติ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน พร้อมชี้วัดผลลัพธ์ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้อย่างชัดเจน และช่วยลดระยะเวลาการปฏิบัติงานของผู้ใช้ระบบได้ถึง 20%

อีกทั้งการทำงานของอาคารโดยอัตโนมัติบนเครือข่ายเดียวที่มีการอัปเกรดให้ทันสมัยนี้ ทำให้แพลตฟอร์ม EBO 7.0 เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการอาคารสำหรับอนาคต ด้วยฟีเจอร์ในการรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ IoT ที่เชื่อมต่อกันมากขึ้น พร้อมนำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาใช้ในการวิเคราะห์และตัดสินใจเชิงระบบ รวมถึงฟีเจอร์ด้าน Cybersecurity ที่มีการอัปเดตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของทุกการเชื่อมต่อระหว่างระบบและอุปกรณ์ภายในอาคาร

นอกจากนี้ EBO 7.0 ได้อัปเดตแพ็กเกจไลเซนส์ใหม่ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ฟีเจอร์ที่เหมาะสมกับแต่ละขนาดอาคารและความต้องการใช้งานได้อย่างครบถ้วน โดยแบ่งเป็น 3 แพ็กเกจหลัก ได้แก่

  • Essentialไลเซนส์ที่รวบรวมฟีเจอร์พื้นฐานสำหรับการบริหารจัดการอาคารไว้อย่างครบถ้วน เหมาะสำหรับอาคารขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่มีระบบไม่ซับซ้อน
  • Advancedไลเซนส์ที่อัปเกรดเพิ่มจากแพ็กเกจ Essential โดยอัดแน่นด้วยตัวช่วยฟีเจอร์ด้านการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อเพิ่มการจัดการที่มีตัวชี้วัดชัดเจน การแบ่งโซนการทำงานของระบบ และการผสานรวมกับระบบภายนอกที่มากยิ่งขึ้น เช่น External Log storage (Timescale, MSSQL), SNMP, OPC UA client และ SAML 2.0 Authentication เป็นต้น ซึ่งเป็นไลเซนส์ที่ตอบโจทย์กับกลุ่มอาคารขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่ให้ความสำคัญในการจัดการด้านการชี้วัดผลลัพธ์ที่ละเอียด
  • Advanced Plus ไลเซนส์ที่เหนือกว่าด้วยฟังก์ชันเพิ่มเติมจากแพ็กเกจ Advancedเช่น ฟังก์ชั่น Change control สำหรับควบคุมและบันทึกการเปลี่ยนแปลงภายในระบบ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ เหมาะสำหรับอาคารที่มีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการใช้กฎระเบียบที่เข้มงวด

โดยทั้ง 3 แแพ็กเกจไลเซนส์ โดดเด่นด้วยฟีเจอร์ที่ตอบรับกับการใช้งานที่ครอบคลุมในระดับที่แตกต่างกัน ซึ่งชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้มอบประสบการณ์พิเศษด้านความยืดหยุ่นของแแพ็กเกจ ในการอัปเกรดไลเซนส์ตามความต้องการของผู้ใช้งานได้ตลอดเวลา

ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดฟีเจอร์เพิ่มเติมได้ที่ EcoStruxureTM Building Operation 7.0 (EBO 7.0) New Features และแพ็กเกจไลเซนส์เพิ่มเติมได้ที่ EcoStruxure™ Building Operation 7.0 (EBO 7.0) Licensing Plans


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เสริมพลัง Hub มจพ. ผนึกกำลัง ม.ทักษิณ ร่วม MOU สร้างเครือข่ายผลิตกำลังคน ยานยนต์สมัยใหม่

.ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)

.ดร.ธานินทร์  ศิลป์จารุ อธิการบดี มจพ. ร่วมให้การต้อนรับ รศ.ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยทักษิณ  พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร มหาวิทยาลัยทักษิณ ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ เมื่อวันที่ 16  กันยายน 2568   มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ   ด้วย มจพ. มีความพร้อมในการเป็นศูนย์กลาง (Hub ) ตามนโยบาย ของ กระทรวง อว. ซึ่งกำหนดให้ มหาวิทยาลัยเป็นศูนย์กลาง (Hub) ในการพัฒนากำลังคนด้านยานยนต์สมัยใหม่ทั้งประเทศ การลงนาม MOU ฉบับนี้จึงเป็นการสร้างเครือข่ายพันธมิตรมุ่งมั่นตั้งใจในการผลิตและพัฒนากำลังคนเพื่อรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ โดยเฉพาะสถานศึกษา และภาคอุตสาหกรรม ที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและพื้นที่ใกล้เคียงให้ได้มีโอกาสในการพัฒนาทักษะ (upskill/reskill/ new skill) เพื่อตอบสนองความต้องการในการผลิตกำลังคนด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายเครือข่ายความร่วมมือในการผลิตและพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ รวมทั้งอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้องร่วมกันพัฒนาคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยทักษิณ ให้เป็นผู้ฝึกอบรมมืออาชีพในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง  เพื่อส่งเสริมการทำวิจัยและสร้างนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ร่วมกันเพื่อประโยชน์สาธารณะด้านการศึกษาและอุตสาหกรรมของประเทศ  การส่งเสริมความร่วมมือในการบริการวิชาการสู่สังคมและประเทศชาติ  ตลอดจนบูรณาการบุคลากรในการจัดสัมมนา และจัดประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกัน มีระยะเวลาการดำเนินการ 3 ปี

ขวัญฤทัย ข่าว/สมเกษ ถ่ายภาพ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

พิธีเปิดตัวเทคโนโลยีขั้นสูง “ระบบหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด แห่งกองทัพเรือไทย”

พิธีเปิดตัวเทคโนโลยีขั้นสูง “ระบบหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด แห่งกองทัพเรือไทย” RANSRobotic Assistant for Navy Surgery

วันอังคารที่ ๙ ก.ย. ๖๘ เวลา ๐๘.๔๕ – ๑๐.๓๐ น. ณ ห้องประชุมอาคารผู้ป่วยใน ชั้น ๑๓ โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ

กองทัพเรือ โดย โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ เปิดตัวเทคโนโลยีขั้นสูง“ระบบหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด แห่งกองทัพเรือไทย RANS Robotic Assistant for Navy Surgery” เครื่องแรกของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงกลาโหม

วันนี้ (๙ กันยายน ๒๕๖๘) : พลเรือเอกจิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือและพลเรือตรีหญิงด็อกเตอร์ ทันตแพทย์หญิง จีระวัฒน์ กฤษณพันธ์ ว่องวิทย์ นายกสมาคมภริยาทหารเรือ เป็นประธาน ในพิธีเปิดตัวเทคโนโลยีขั้นสูง “ระบบหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด แห่งกองทัพเรือไทย” “RANS Robotic Assistant for Navy Surgery” ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ โดยมี พลเรือโท ประทีป ตังติสานนท์ เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ และพลเรือตรี สมชาย จันทโรธร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และกำลังพลกองทัพเรือร่วมในพิธี ณ ห้องประชุมอาคารผู้ป่วยใน ชั้น ๑๓ โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ แขวงบุคคโล เขตธนบุรี กรุงเทพฯ

ตามนโยบายแห่งชาติที่มีเป้าหมายในการยกระดับขีดความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์ เพื่อ

พัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยีอย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้นกองทัพเรือ จึงได้มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สนับสนุนภารกิจต่าง ๆ ของกองทัพเรือ รวมทั้งการมุ่งเสริมสร้างศักยภาพด้านการแพทย์และสาธารณสุขทางทหาร ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตกำลังพล ครอบครัว และประชาชนทั่วไป ให้ได้รับการดูแลรักษาที่ปลอดภัยและมีมาตรฐานทัดเทียมนานาชาติ โดยการนำเทคโนโลยีนวัตกรรมทางการแพทย์ขั้นสูง มาเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลรักษาอย่างรอบด้าน

ทั้งนี้ โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ เป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิชั้นสูงของกองทัพเรือ ซึ่งมีภารกิจหลักในการให้บริการตรวจรักษาด้านการแพทย์แก่กำลังพล ครอบครัวและประชาชนทั่วไป ได้ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ใหม่ ๆ มาพัฒนาศักยภาพการรักษา

สำหรับนวัตกรรมหุ่นยนต์ผ่าตัด ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า นี้ เกิดจากดำริของ พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ ในขณะนั้น ได้หารือกับ พลเรือโท ณัฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ในขณะนั้น ได้เห็นพ้องกันว่า หากโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า มีเครื่องมือผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ Robot ก็จะเกิดประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วย จึงได้อนุมัติ งบประมาณในวงเงิน 70 ล้านบาท เพื่อจัดหา โดยหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด Hugo RAS

เป็นเทคโนโลยีที่เสริมศักยภาพศัลยแพทย์ให้สามารถทำการผ่าตัดที่มีความซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความแม่นยำสูง ช่วยลดความเสี่ยงในการผ่าตัด ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วและในอนาคตโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ได้วางแผนนำระบบหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดมารักษาโรคระบบศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ เช่น การช่วยผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมากกระเพาะปัสสาวะในระยะเริ่มต้นและในอนาคตได้วางแผนพัฒนาขยายการให้บริการครอบคลุมในสาขาที่มีความต้องการสูง เช่น ศัลยกรรมทั่วไปศัลยกรรมทางเดินอาหารและนรีเวชมากขึ้น   เพื่อพัฒนาโรงพยาบาลฯ ให้เป็นศูนย์กลางการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ให้ได้มาตรฐานสากล เป็นองค์กรแพทย์ทหารที่มีคุณภาพสูงในระดับภูมิภาค มอบการรักษาที่ปลอดภัย มีคุณภาพและสร้างคุณประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วยและสังคมไทย


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ศูนย์การผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ไทย-เยอรมัน ร่วมภาคเอกชนและผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก เปิดเวทีสัมมนา 5-Axis Seminar 2025 5-Axis Seminar 2025

นายสิริวัฒน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ สถาบันไทย-เยอรมัน (TGI) (ที่สามจากซ้าย)  พร้อมด้วยนายรัชศักดิ์ เกิดภู่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมชชีนเทค จำกัด (ที่สี่จากขวา) และนายสุรชัย ตั้งธราธร ประธานบริษัท เอช เอส เอ็ม แมชชีนเนอรี่ จำกัด (ที่สามจากขวา) ร่วมกันให้ความรู้และการพัฒนาด้านเทคโนโลยี 5 แกน และ ระบบอัตโนมัติ (Automation) รวมถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุด 100% จากภาครัฐ สำหรับผู้ลงทุนด้านเทคโนโลยีและเครื่องจักรอัตโนมัติ ในงานแถลงข่าวการจัดเสวนา 5-Axis Seminar 2025 ภายใต้แนวคิด “5 แกน มาตรฐานใหม่ของการผลิต” ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2–3 ตุลาคม 2568 ณ อีสติน ธนาซิตี้ กอล์ฟ 
รีสอร์ท กรุงเทพฯ

โดยภายในงานแถลงข่าวฯ ได้รับเกียรติจากนายโอลิเวอร์ พริพิช กรรมการผู้จัดการ(ที่สี่จากซ้าย) บริษัท เฮิร์มเลย์ เอสอีเอ จำกัด นายดีแลน คอร์ (ที่สองจากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทังกาลอยด์-เอ็นทีเค คัทติ้ง ทูล (ไทยแลนด์) จำกัด นายชูชาติ ศิวเวทกุล (คนแรกขวา) ผู้จัดการทั่วไป บริษัท มายโกรว์เทค (ประเทศไทย) จำกัด นายกุลโชค โพธิ์พัฒนชัย (ที่สองจากซ้าย) ประธานและซีอีโอ กลุ่มบริษัท เอ.ไอ และ บริษัท เอ.ไอ เทคโนโลยี จำกัด และนายเคน คอนโดะ (คนแรกซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอคุม่า เทคโน (ไทยแลนด์) จำกัด ร่วมแบ่งปันประสบการณ์และนำเสนอแนวทางการพัฒนาการผลิตชิ้นส่วนแก่ผู้ประกอบการไทย เมื่อเร็วๆ นี้

สำหรับผู้สนใจหรือต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานสัมมนา 5-Axis Siminar 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-3 ตุลาคม 2568 ณ อีสติน ธนาซิตี้ กอล์ฟ รีสอร์ท บางนา กม.15 กรุงเทพฯ สามารถติดต่อได้ที่ อีเมล: contact@mreport.co.th หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.mreport.co.th


 

Exit mobile version