Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยผลสำรวจ Green Impact Gap ชี้องค์กรไทย 52% ใช้ AI เป็นตัวเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ปลดล็อกต้นทุน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ เปิดผลสำรวจ “Green Impact Gap” ประจำปี 2568 ชี้องค์กร 52% ใช้ AI เป็นตัวเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ขณะที่ 1 ใน 3 ขององค์กรในประเทศไทยมองความผันผวนทางเศรษฐกิจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการลงทุน

Schneider Electric Green Impact Gap Survey จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ร่วมกับพันธมิตร Milieu Insight โดยสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารระดับกลางถึงระดับสูงในภาคเอกชน 4,500 คน ใน 9 ประเทศทั่วเอเชีย ได้แก่ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน ไทยและเวียดนาม เพื่อสะท้อนมุมมองของภาคเอกชนต่อการลงทุนและการดำเนินงานด้านความยั่งยืน โดยผลการสำรวจประจำปี 2568 ชี้ให้เห็นว่าผู้นำธุรกิจในประเทศไทยมอง ‘ความยั่งยืน’ เป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจมากขึ้นอย่างชัดเจน แม้จะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความไม่มั่นคงทางภูมิศาสตร์ที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนด้านความยั่งยืน

สำหรับปี 2568 ถือเป็นหนึ่งในปีที่โลกเผชิญกับผันผวนทางเศรษฐกิจมากที่สุด ซึ่งผลสำรวจ 59% ของซีอีโอในไทยขับเคลื่อนความยั่งยืนขององค์กรด้วยการสร้างนวัตกรรมและขีดความสามารถในการแข่งขัน และมองว่าความยั่งยืนนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจ ขณะที่ 43% ของซีอีโอในไทยให้เหตุผลว่า การดำเนินงานด้านความยั่งยืนช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์และชื่อเสียงของแบรนด์ และ38% ของซีอีโอในไทยระบุว่า ความยั่งยืนช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้ธุรกิจในภาวะวิกฤต โดยสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนมุมมองจากเดิม ที่มองความยั่งยืนเป็นเพียงส่วนเสริมทางธุรกิจเท่านั้น แต่ปัจจุบันมองเป็นเครื่องมือสำคัญในการนำพาธุรกิจผ่านช่วงเวลาที่ท้าทาย

ในขณะที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและข้อจำกัดด้านงบประมาณภายในองค์กรยังคงเป็นอุปสรรคอันดับต้นๆ ต่อการลงทุนด้านความยั่งยืน แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น แรงจูงใจที่ไม่ดีพอ 37% ความไม่แน่นอนของนโยบายและ 34% และความยุ่งยากทางราชการที่เกี่ยวข้อง 42% ซึ่งปัจจัยอุปสรรคการลงทุนดังกล่าวลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2566 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภูมิทัศน์สำหรับความยั่งยืนของภาคเอกชนในประเทศไทยได้กลายเป็นที่น่าสนับสนุนมากยิ่งขึ้น

AI ปลดล็อกการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน

เครื่องมือดิจิทัลขั้นสูงอย่าง AI กำลังช่วยให้องค์กรต่างๆ จัดการกับความเสี่ยงทางการเงินและพลังงานได้ องค์กรมากกว่าครึ่งของไทยกำลังนำโซลูชั่น AI มาใช้สนับสนุนด้านความยั่งยืน โดย 43% ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตและการใช้ทรัพยากรซึ่งเป็นวิธีที่องค์กรในไทยใช้ดิจิทัลเพื่อความยั่งยืนสูงที่สุดตลอดทั้งปี 2567 และ 2568

โดย 52% ขององค์กรในไทยเชื่อว่าประโยชน์สูงสุดของ AI ในการขับเคลื่อนความยั่งยืน คือการเก็บรวบรวมข้อมูลและการรายงานอัตโนมัติ ขณะที่ 54% ขององค์กรในไทยมองว่าเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และ 45% ขององค์กรในไทยใช้ในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ส่วนการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานด้วย AI ถือเป็นการตอบโจทย์ความเสี่ยงสำคัญขององค์กรเนื่องจาก 45% ขององค์กรในไทยระบุว่า ราคาพลังงานที่ผันผวนเป็นความเสี่ยงหลักที่ต้องบริหารจัดการ และยังคงเป็นปัญหาที่พบในทุกประเทศที่เข้าร่วมการสำรวจตั้งแต่ปี 2566

อุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ ผู้นำนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยความยั่งยืน

ผู้ตอบแบบสอบถามในอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มมากที่สุดถึง 46% จาก 40% ในปี 2566 ที่ระบุว่า การเพิ่มขึ้นของโอกาสทางธุรกิจ คือปัจจัยขับเคลื่อนหลักด้านความยั่งยืน และยังเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มมากที่สุดเช่นกันถึง 58% ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์นวัตกรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน โดยแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการใช้โซลูชั่นที่รวดเร็วและยั่งยืน เนื่องจากความต้องการพลังการประมวลผลของประเทศไทยที่เพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ผู้บริหารในประเทศไทย 41% กำลังดำเนินการตามแผนและนโยบาย Green IT เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจากกระบวนการประมวลผลและการจัดเก็บข้อมูลโดยทั่วไปขององค์กร ในขณะเดียวกันอุปสรรคในการดำเนินงานกำลังลดลง โดยองค์กรต่างๆ มีแนวโน้มที่จะรายงานปัญหาน้อยลง เช่น ปัญหาขาดแคลนทางเลือกพลังงานสะอาด มีการรายงานปัญหาจาก 32% ในปี 2566 ลดลงเหลือเพียง 27% ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรที่ไม่ใช่ฮาร์ดแวร์จาก 38% พบปัญหาเพียง 31% ปัญหาความไม่สมบูรณ์ของทางเลือกพลังงานสะอาดจาก 42% ลดลงเป็น 37% และปัญหาอุปสรรคด้านกฎระเบียบจาก 31% ลดลงเป็น 29% ซึ่งผลสำรวจสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนผ่านด้านความยั่งยืนที่รวดเร็วยิ่งขึ้น

การลงทุนยังคงทรงตัวแม้จะมีภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน

ในขณะที่ผู้บริหารเล็งเห็นถึงผลกำไรที่มาพร้อมกับความยั่งยืน การลงทุนที่ได้วางแผนไว้เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนจึงยังคงทรงตัว โดย 41% ของบริษัทที่วางแผนจะลงทุนอย่างน้อย 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 2 ปีต่อจากนี้ แม้ยังคงมีปัจจัยหลักที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน ได้แก่ 48% อุปสรรคด้านความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ 47% ข้อจำกัดด้านงบประมาณภายใน และ37% แรงจูงใจจากภาครัฐที่ยังไม่เพียงพอ

มงคล ตั้งศิริวิช ประธาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ประเทศไทย ลาว และเมียนมา กล่าวว่า องค์กรต่างๆ ในประเทศไทยไม่เพียงต้องรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังใช้ความยั่งยืนเป็นเข็มทิศในการนำทางด้วย ซึ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจยังคงผันผวนผู้ที่ปรับตัวได้เร็วนั้น กำลังใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและ AI ในการปลดล็อกด้านต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดความเสี่ยงและสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ความไม่สอดคล้องกันระหว่างเป้าหมายกับการลงมือทำ

แม้ผลสำรวจสะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่เพิ่มขึ้นขององค์กรไทยในการดำเนินงานด้านความยั่งยืน แต่ยังคงมี ‘ช่องว่างระหว่างคำมั่นกับการปฏิบัติจริง’ หรือที่เรียกว่า Green Impact Gap โดยปีนี้ 98% ขององค์กรตั้งเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่มี ไม่ถึงครึ่งที่ลงมือทำอย่างจริงจัง ซึ่งช่องว่างดังกล่าวยังคงอยู่ในระดับ 47% เช่นเดียวกับปี 2567 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม สำหรับปี 2568นี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศปี 2573 โดย 91% ขององค์กรในประเทศไทย มั่นใจว่าจะบรรลุหรือทำได้เกินกว่าเป้าหมาย และ30% ระบุว่าสามารถทำได้เร็วกว่ากำหนดมากกว่า 3 ปี โดยเฉพาะองค์กรที่มีการรับรองเป้าหมายจากบุคคลที่สามอย่างเป็นทางการ ซึ่งมี 51% ที่ทำได้เร็วกว่ากำหนด ขณะที่องค์กรที่ตั้งเป้าหมายแต่ไม่เปิดเผยความคืบหน้าสู่สาธารณะจะมีแนวโน้มที่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายอยู่ที่ 9% ซึ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของความโปร่งใสและการตรวจสอบโดยบุคคลที่สามในการรายงานผลด้านความยั่งยืน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คินดริลและไมโครซอฟท์เผย 82% องค์กรไทย ผนึกพลังไอที-ความยั่งยืนได้อย่างแข็งแกร่ง ชี้ AI คือกลไกขับเคลื่อนเพื่อปลดล็อกการเติบโตอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

กรุงเทพฯ : วันที่ 15 ธันวาคม 2568 – คินดริล (Kyndryl) ผู้ให้บริการระดับแนวหน้าด้านเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจขององค์กร ร่วมมือกับไมโครซอฟท์ (Microsoft) เผยแพร่ผลการศึกษา Global Sustainability Barometer ประจำปีครั้งที่สาม ซึ่งจัดทำโดย Ecosystm ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าองค์กรในประเทศไทยมีความร่วมมือระหว่างทีมเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) และทีมงานด้านความยั่งยืนอยู่ในระดับสูงที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค โดยมากกว่าแปดในสิบองค์กร (82%) รายงานว่า ทั้งสองส่วนงานนี้มีการทำงานอย่างสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 73% ผลลัพธ์นี้แสดงให้เห็นว่าองค์กรไทยมีความพร้อมอย่างมากในการเสริมสร้างความยั่งยืน และการนำ AI มาผสานใช้ในการตัดสินใจด้านสิ่งแวดล้อม

องค์กรเหล่านี้จำนวนหนึ่งในสาม (32%) ยังคงรักษาหรือพัฒนาเป้าหมายด้านความยั่งยืนของตนให้ก้าวหน้ามากขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภูมิทัศน์ทางธุรกิจของประเทศไทยกำลังเติบโตเต็มที่ทั้งในด้านความตระหนักรู้และการลงมือปฏิบัติเพื่อความยั่งยืน อันเนื่องมาจากการที่บริษัทต่าง ๆ ตอบสนองต่อความคาดหวังด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่กำลังพัฒนา ตอบสนองต่อการจัดลำดับความสำคัญของผู้ลงทุน และกรอบการรายงานที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ

นายกิตติพงษ์ อัศวพิชยนต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คินดริล ประเทศไทย กล่าวว่า “องค์กรธุรกิจไทยกำลังสร้างรากฐานที่จำเป็นต่อความสำเร็จในการสร้างผลกระทบด้านความยั่งยืนในระยะยาวให้แข็งแกร่ง โอกาสต่อไปอยู่ที่การเปลี่ยนจากการดำเนินงานด้านความยั่งยืนแบบตั้งรับ ไปสู่แนวทางที่ผนวกความยั่งยืนเข้าไว้เป็นแกนหลักของการดำเนินธุรกิจ การที่องค์กรต่าง ๆ เปลี่ยนจากรูปแบบดั้งเดิมที่ทำงานแยกส่วนกัน ไปสู่แนวทางการทำงานที่มีการบูรณาการมากขึ้น พร้อมทั้งเสริมศักยภาพด้านการจัดการข้อมูลและ AI จะทำให้องค์กรสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ทรงพลังได้มากขึ้น”

ประเทศไทยแสดงความพร้อมที่จะขับเคลื่อนและเป็นผู้นำการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย AI ในอนาคต

ผลการศึกษาชี้ว่า ปัจจุบันทีมงานด้านไอทีในองค์กรไทยมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการด้านความยั่งยืนในทุกส่วนขององค์กร โดยคิดเป็นหนึ่งในห้า (20%) ของทีมไอทีทั้งหมดที่ทำการศึกษา ในขณะที่ผู้นำด้านความยั่งยืน 32% มีอิทธิพลต่อการกำกับดูแลด้านไอที สะท้อนให้เห็นว่าองค์กรไทยมีความพร้อมในการจัดลำดับความสำคัญและผนวกรวมเป้าหมายทางธุรกิจ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว นอกจากนี้จำนวนองค์กรที่ใช้ AI เพื่อยกระดับผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมก็มีมากขึ้น โดยหนึ่งในสองขององค์กรเหล่านี้ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงด้านสภาพอากาศที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและสินทรัพย์ขององค์กร

อย่างไรก็ตามผลการศึกษาพบว่า การนำ AI มาใช้เชิงกลยุทธ์นั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยมีเพียง 28% ที่ใช้ AI เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนความยั่งยืน และ 57% กำลังอยู่ในขั้นตอนการนำไปใช้จริง อยู่ในขั้นทดลองและเริ่มดำเนินการ หรือกำลังพิจารณานำ Agentic AI ไปใช้ในการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมแบบเรียลไทม์ องค์กรส่วนใหญ่ระบุว่า การเก็บรวบรวมข้อมูลและคุณภาพของข้อมูลเป็นส่วนที่ต้องปรับปรุงก่อนที่จะนำแอปพลิเคชัน AI ที่ล้ำหน้ามาประยุกต์ใช้ องค์กรจำนวนมากยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการผนวกความยั่งยืนเข้ากับการดำเนินงานหลักของธุรกิจ โดยมีเพียงหนึ่งในสิบองค์กรเท่านั้นที่จัดอยู่ในกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการบูรณาการความยั่งยืนเข้ากับธุรกิจ ผลลัพธ์นี้แสดงให้เห็นว่าแม้รูปแบบการดำเนินงานด้านความยั่งยืนขององค์กรไทยยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีโอกาสอีกมากที่จะสามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่กว่าได้

นายริคาร์โด ดาวิลา ผู้จัดการทั่วไป ด้านโซลูชันพันธมิตรระดับองค์กรของไมโครซอฟท์ กล่าวว่า “ผลการศึกษา Global Sustainability Barometer ประจำปี 2025 ชี้ให้เห็นว่าองค์กรชั้นนำมากกว่าครึ่งใช้ AI เชิงคาดการณ์ (predictive AI) เพื่อคาดการณ์และรับมือความท้าทายด้านความยั่งยืน มากกว่าใช้เป็นเพียงแค่ติดตามและวิเคราะห์เท่านั้น ทำให้มีการนำข้อมูลเชิงคาดการณ์ไปเป็นแกนหลักของกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน เราภูมิใจที่ได้เป็นพันธมิตรกับทุกภาคส่วนในระบบนิเวศ เพื่อช่วยให้องค์กรทุกแห่งเปลี่ยนความยั่งยืนให้เป็นความสามารถในการดำเนินงานที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล”

ผลการศึกษาสำคัญขององค์กรไทย

  • องค์กรไทยกำลังเสริมแกร่งรากฐานให้กับความสามารถด้านความยั่งยืน: องค์กรไทยกำลังยกระดับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมให้เป็นประเด็นเชิงกลยุทธ์ โดย 57% ขององค์กรถือว่าความยั่งยืนมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์อันดับต้น ๆ นอกจากนี้องค์กรหนึ่งในสาม (32%) ขับเคลื่อนความยั่งยืนผ่านโครงการริเริ่มที่ทำอย่างสม่ำเสมอหรือดำเนินการในเชิงรุก ซึ่งบ่งชี้ว่า แม้เส้นทางเดินสู่ความยั่งยืนของประเทศไทยจะยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่ก็กำลังมีพัฒนาการและคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง
  • การตัดสินใจด้านความยั่งยืนขับเคลื่อนด้วยผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) และความคุ้มค่าด้านต้นทุน: ความพยายามด้าน ESG ขององค์กรไทย มีความเชื่อมโยงอย่างยิ่งกับผลประกอบการหรือฐานะทางการเงิน โดย 65% ขององค์กรระบุว่า การลดต้นทุนการดำเนินงานเป็นประโยชน์สูงสุดที่ได้รับจากโครงการริเริ่มด้านความยั่งยืน ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นอกจากนี้ 45% ยังคาดว่าความยั่งยืนจะนำสู่นวัตกรรมและโอกาสการสร้างรายได้ใหม่ ๆ และ 50% เร่งดำเนินโครงการริเริ่มด้านความยั่งยืนในปีที่ผ่านมา หลังจากที่เห็นถึงผลตอบแทนจากการลงทุนที่ชัดเจนขึ้น ทั้งนี้ 48% ยังคงมองว่าการวัดผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างสม่ำเสมอเป็นความท้าทายที่ยังต้องแก้ไข
  • การตื่นตัวสู่ AI ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (green AI) ในประเทศไทย บ่งชี้เรื่องความพร้อมที่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ: ความตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของ AI ได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 7% เป็น 42% ภายในปีเดียว ประเทศไทยยังมีความก้าวหน้าในการใช้ความสามารถเชิงคาดการณ์ โดย 50% ขององค์กรที่ทำการศึกษา ใช้ AI เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงด้านสภาพอากาศ อย่างไรก็ตาม มีเพียง 28% เท่านั้นที่ใช้ AI เป็นแกนหลักในการตัดสินใจด้านความยั่งยืน และช่องว่างด้านความพร้อมของข้อมูลยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการนำ AI ไปใช้ในวงกว้าง   

นาย Sash Mukherjee, รองประธานฝ่าย Industry Insights, Ecosystm กล่าวว่า “มีแรงผลักดันที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนความยั่งยืนด้วยข้อมูลอัจฉริยะ และองค์กรต่างตระหนักถึงคุณค่าที่จะได้รับเมื่อสามารถเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับกลยุทธ์ได้อย่างสอดคล้องกัน และเมื่อมีรากฐานข้อมูลที่แข็งแกร่งมากขึ้น องค์กรจะสามารถใช้ประโยชน์จาก predictive AI และ agentic AI เพื่อผนวกความสามารถในการตัดสินใจที่รวดเร็วขึ้น ประสิทธิภาพที่สูงขึ้น และความสามารถในการปรับตัวที่แข็งแกร่งมากขึ้น เข้ากับแนวทางปฏิบัติงานด้านความยั่งยืนได้”

เกี่ยวกับ Global Sustainability Barometer Study

Global Sustainability Barometer Study ฉบับที่สาม จัดทำโดย Ecosystm โดยได้รับมอบหมายจากคินดริล และไมโครซอฟท์ โดยรวบรวมมุมมองจากผู้นำองค์กร 1,286 คน ครอบคลุม 20 ประเทศ รวมถึงประเทศสิงคโปร์ ในกลุ่มอุตสาหกรรม 9 กลุ่ม การศึกษานี้จัดทำระหว่างเดือนสิงหาคมถึงกันยายน 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มุมมองที่ชัดเจนว่าการบูรณาการกลยุทธ์และเทคโนโลยี กำลังพลิกโฉมเรื่องของความยั่งยืน จากการปฏิบัติตามกฎระเบียบไปสู่ความได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างไร สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายงานนี้ได้ที่: From Planning to Progress: AI-Driven Sustainability in Practice


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี เผยโครงการบำบัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยจุลสาหร่ายประสบผลสำเร็จ ล่าสุด เจโทร และ เจร่า ร่วมนำบริษัทชั้นนำจากญี่ปุ่น เยี่ยมชมโครงการฯ

นายยุทธนา เจริญวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด (BLCP) กล่าวถึงเป้าหมายการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิตไฟฟ้า และ ความคืบหน้าโครงการวิจัยนวัตกรรมจุลสาหร่ายเพื่อบำบัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศว่า โรงไฟฟ้าบีแอลซีพีนอกจากจะมีภารกิจหลักในการผลิตไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศแล้ว ยังให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ด้วย ซึ่งการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และการเดินหน้าไปสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์อย่างแท้จริงนั้น ไม่สามารถทำสำเร็จได้โดยวิธีใดวิธีหนึ่งต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน ดังนั้นโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี จึงได้ดำศึกษาการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในหลายแนวทาง ไม่ว่าจะเป็นการใช้เชื้อเพลิงชีวมวล (Biomass) และแอมโมเนียคาร์บอนต่ำเป็นเชื้อเพลิงร่วม โครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture) รวมถึงโครงการวิจัยนวัตกรรมจุลสาหร่ายเพื่อดักจับและบำบัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิตไฟฟ้า

โดยโครงการวิจัยจุลสาหร่ายเป็นความร่วมมือระหว่างโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี และ บริษัท อัลกัล ไบโอ จำกัด (Algal Bio) บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่มีความเชี่ยวชาญด้านจุลสาหร่ายระดับโลกจากประเทศญี่ปุ่น ด้วยการสนับสนุนจากองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO : เจโทร) และ กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุ่น (Ministry of Economy, Trade and Industry : METI) เพื่อศึกษาการนำจุลสาหร่ายที่เพาะเลี้ยงในระบบปิดมาดักจับและเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นชีวมวลที่นำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ โดยข้อดีของการนำจุลสาหร่ายมาใช้ดักจับและบำบัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั้น มีข้อได้เปรียบหลายประการ อาทิ ดูดซับก๊าซได้โดยตรงจากแหล่งกำเนิดไม่ต้องผ่านกระบวนการดักจับแบบซับซ้อน มีศักยภาพด้านต้นทุนที่แข่งขันได้เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอื่น เช่น DAC (Direct Air Capture) หรือการผลิตทางชีวเคมี สามารถนำชีวมวลที่ได้จากการเพาะเลี้ยงจุลสาหร่ายมาเพิ่มมูลค่าด้วยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (High Value Product)  สามารถพัฒนาต่อยอดร่วมกับภาคธุรกิจและชุมชนเพื่อสร้างเป็นระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนสีเขียวในการนำของเสียกลับมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ล่าสุดทางเจโทร กรุงเทพฯ (JETRO, Bangkok) และ บริษัท เจร่า จำกัด (JERA) ได้นำคณะผู้บริหารจากหลายอุตสาหกรรมชั้นนำ อาทิ อาหาร อาหารเพื่อสุขภาพ ยา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอาง อาหารสัตว์ ยานยนต์ ฯลฯ เข้าเยี่ยมชมการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าและโครงการทดลองเพาะเลี้ยงจุลสาหร่าย พร้อมรับทราบถึงข้อมูลรายละเอียดความสำเร็จของโครงการฯ แนวทางการพัฒนาและการนำจุลสาหร่ายไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์

สำหรับผลตอบรับที่ได้รับจากผู้เข้าเยี่ยมชมนั้น มีแนวโน้มที่ดีหลายบริษัทเห็นถึงความสำคัญและประโยชน์ของโครงการฯ พร้อมให้ความสนใจสอบถามข้อมูลและพูดคุยเบื้องต้นถึงความเป็นไปได้ในการร่วมมือพัฒนาต่อยอดไปสู่หลายอุตสาหกรรม ทั้งในแง่การใช้ประโยชน์จากจุลสาหร่ายในการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิต รวมถึงการพัฒนาขยายผลในการนำจุลสาหร่ายไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง

นอกจากนั้น นายยุทธนา ยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงการสร้างความร่วมมือในการลดคาร์บอนไดออกไซด์ของผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมและภาคประชาชนว่า แม้การเริ่มต้นของโครงการวิจัยนวัตกรรมจุลสาหร่ายเพื่อบำบัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะยังช่วยลดปริมาณก๊าซได้ไม่มากนัก แต่ก็เป็นการเริ่มต้นของการลงมือทำ เพื่อสร้างนวัตกรรม โดยโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี พร้อมจะร่วมมือและถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่พันธมิตร ภาครัฐ ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ชุมชน และภาคประชาชน ในการขยายความร่วมมือการลดและใช้ประโยชน์จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นต่อไป

โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) “มุ่งพัฒนาพลังงานที่มั่นคง เพื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ผู้สนใจค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.blcp.co.th/web/index หรือ Facebook : โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี – BLCP Power Limited 


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

สํานักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เดินหน้ายกระดับความสามารถด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของประเทศด้วยการใช้งาน Elastic

ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ สกมช. ได้สนับสนุนให้หน่วยงานในประเทศไทยเลือกใช้ Elastic Security เป็นแพลตฟอร์มหลักด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไชเบอร์ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญและทีมปฏิบัติงานจากหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานควบคุมหรือกำกับดูแล หน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง กว่า 1,000 คน จะได้รับการฝึกอบรมทักษะด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และ AI ผ่านการใช้งาน Elastic Security

ประเทศไทย, 4 ธันวาคม 2568 — Elastic (NYSE: ESTC) บริษัทด้าน Search AI ประกาศความร่วมมือกับสํานักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เพื่อเสริมสร้างการป้องกันและความยืดหยุ่นทางไซเบอร์ของประเทศไทย โดย สกมช. ได้สนับสนุนให้หน่วยงานในประเทศไทยเลือกใช้ Elastic Security ในฐานะโซลูชันด้านความมั่นคงปลอดภัย ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่ประเทศไทยประกาศว่าปี 2568 จะเป็นปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์

ความร่วมมือระหว่าง สกมช. และ Elastic ในครั้งนี้จะช่วยยกระดับความสามารถด้านการป้องกันภัยไซเบอร์ของประเทศไทย รวมถึงเสริมทักษะของผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเสริมศักยภาพของประเทศไทยในการปกป้องระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญทางดิจิทัล

พลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการ สกมช. กล่าวว่า “ความสามารถของ Elastic ในด้าน Search AI จะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างจุดยืนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของเรา อีกทั้งยังช่วยให้หน่วยงานสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมได้ในขณะที่ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น”

โซลูชันความมั่นคงปลอดภัยที่ขับเคลื่อนด้วย Search AI ของ Elastic ช่วยให้ทีมเห็นภาพรวมของการโจมตีทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ รวมถึงนักวิเคราะห์ที่ศูนย์ปฏิบัติ Security Operations Centre (SOC) ต้องการเพื่อปรับปรุงวิธีการตรวจจับ การสืบสวน และการตอบสนองให้ทันสมัย โดยทาง สกมช. จะใช้ Elastic Security สำหรับการจัดการข้อมูลและเหตุการณ์ด้านความมั่นคงปลอดภัย (SIEM) ภายในองค์กร และมีแผนที่จะขยายการใช้งานไปยังหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐบาลไทยในปีถัดไป

Ravi Rajendran รองประธานภูมิภาคอาเซียน ฮ่องกง ไต้หวัน และเกาหลีของ Elastic กล่าวว่า “นวัตกรรมภาครัฐจำเป็นต้องขยายขนาดไปพร้อมๆ กับการจัดการความเสี่ยง” องค์กรในภูมิภาคอาเซียนเผชิญกับภัยคุกคาม เนื่องจากช่องว่างทางทักษะที่เพิ่มขึ้นในหมู่ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ รวมถึงภูมิทัศน์ของภัยคุกคามที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว และการขาดแคลนข้อมูลข่าวกรองภัยคุกคามที่มีคุณภาพ ซึ่งในประเทศไทย Elastic กำลังทำงานอย่างใกล้ชิดกับ สกมช. โดยนำความสามารถของ Search AI และการวิเคราะห์ภัยคุกคามคุณภาพสูงจาก Elastic Security Labs มาเพิ่มประสิทธิภาพให้กับทีมรักษาความมั่นคงปลอดภัยของภาครัฐ”

Elastic สนับสนุนการใช้งาน Elastic Security ในภาครัฐไทยด้วยการจัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการด้านการวิเคราะห์ความมั่นคงปลอดภัยขั้นสูง ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 โดยมีผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 1,000 คนจากหน่วยงานภาครัฐและองค์กรสำคัญ เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง รวมถึงหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ (Critical Information Infrastructure) เข้าร่วมการฝึกอบรมครั้งนี้ด้วย ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้ทักษะสำคัญในด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และ AI เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว

หลังจากการประชุมเชิงปฏิบัติการดังกล่าว Elastic จะเข้าร่วมฝึกซ้อมระบบจำลองยุทธทางไซเบอร์ (Cyber Range) ของ สกมช. ในเดือนธันวาคม 2568 การฝึกซ้อมนี้ออกแบบมาเพื่อทดสอบทักษะของผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของภาครัฐต่อการโจมตีทางไซเบอร์อย่างสมจริง โดยใช้ Elastic Security เป็นส่วนหนึ่งในการวิเคราะห์ด้านความมั่นคงปลอดภัยสำหรับผู้เข้าร่วม นอกจากนี้ทีม Solution Architect และผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยจาก Elastic จะเข้าร่วมการฝึกซ้อมเพื่อสนับสนุนสถาปัตยกรรมในครั้งนี้ด้วย

เกี่ยวกับ Elastic

Elastic เป็นบริษัท Search AI ที่ผสานความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการค้นหาเข้ากับปัญญาประดิษฐ์ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับคำตอบที่แม่นยำและเกี่ยวข้องมากที่สุด รวมถึงเป็นแพลตฟอร์มพื้นฐานสำหรับโซลูชันการค้นหา การสังเกตการณ์ และความปลอดภัย

Elastic มีฐานลูกค้าองค์กรหลายพันแห่งทั่วโลกและมากกว่า 50% ของบริษัทใน Fortune 500 เป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้า

เรียนรู้สินค้าเพิ่มเติมที่ : elastic.co


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ฮิตาชิ เอนเนอร์ยี่จัดทัพนวัตกรรมพลังงานเพื่อโลกที่ยั่งยืน

ดร.วรวุฒิ วรุตตมพรสุ (ลำดับที่ จากซ้าย) Country Managing Director บริษัท ฮิตาชิ เอนเนอร์ยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมจัดแสดงเทคโนโลยีพลังงานอัจฉริยะและนวัตกรรมด้านโครงข่ายไฟฟ้าแห่งอนาคต ในงาน IEEE PES GTD Asia 2025 เพื่อชูพลังแห่งดิจิทัลและโซลูชันเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด รองรับเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero ของประเทศไทย พร้อมโชว์โซลูชัน Grid-enSure™, EconiQ™ และโซลูชันด้านบริการสำหรับระบบไฟฟ้าและพลังงานครบวงจร เพื่อยกระดับความยืดหยุ่นและเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าสู่อนาคต โดยงานดังกล่าวมีขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Binance แต่งตั้ง ยี่ เหอ ผู้ร่วมก่อตั้ง Binance เป็นซีอีโอร่วม (Co-CEO) ในช่วงเดียวกับจำนวนผู้ใช้งานใกล้แตะ 300 ล้านราย

ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ – 3 ธันวาคม 2568 — Binance ผู้นำระบบนิเวศบล็อกเชนระดับโลกที่อยู่เบื้องหลังแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลกทั้งในแง่ปริมาณการซื้อขายและจำนวนผู้ใช้งาน ประกาศบนเวที Binance Blockchain Week 2025  ว่า ได้แต่งตั้ง นางสาวยี่ เหอ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ดำรงตำแหน่งซีอีโอร่วม (Co-CEO)

“คุณยี่เป็นส่วนสำคัญของทีมผู้บริหารระดับสูงตั้งแต่วันแรกที่ Binance ก่อตั้ง ด้วยแนวคิดและการทำงานที่สร้างสรรค์และมุ่งเน้นผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลางของเธอมีบทบาทสำคัญในการกำหนดวิสัยทัศน์ วัฒนธรรม และกลยุทธ์ทางธุรกิจแบบ Bottom-up ของบริษัท” นายริชาร์ด เท็ง ซีอีโอร่วมของ Binance กล่าวและเสริมว่า “การแต่งตั้งครั้งนี้สะท้อนพัฒนาการตามลำดับขั้นอย่างเป็นธรรมชาติของแพลตฟอร์ม และเธอจะยังพาองค์กรไปสู่ความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นต่อไป”

“เรายังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายที่ได้รับความไว้วางใจและอยู่ภายใต้กฎระเบียบมากที่สุดในโลก โดยให้ความสำคัญกับผู้ใช้งานของเราเป็นอันดับแรกเสมอ คุณยี่มีบทบาทสำคัญในการขยายชุมชนของเราและขับเคลื่อนนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ในขณะที่เราทำงานเพื่อเข้าถึงผู้ใช้งานหนึ่งพันล้านราย เราทั้งคู่มุ่งเน้นไปที่การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน Web3 และส่งเสริมเสรีภาพทางการเงิน เสริมแกร่งให้บุคคลทั่วไปเข้าร่วมในระบบการเงินที่เปิดกว้างและเป็นธรรม” นายริชาร์ดกล่าวเสริม

“ฉันรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมงานกับริชาร์ด ผู้มีประสบการณ์หลายสิบปีในตลาดการเงินที่มีการกำกับดูแล และเป็นหนึ่งในบุคคลแรกๆ ที่กำกับดูแลตลาดคริปโตในช่วงเริ่มต้น” นางสาวยี่ เหอ กล่าว “เรานำมุมมองที่หลากหลายมารวมกัน และมั่นใจในการเป็นผู้นำอนาคตของอุตสาหกรรมในช่วงเวลาสำคัญนี้ ในขณะที่เราขยายการดำเนินงานทั่วโลกอย่างมีความรับผิดชอบ และขับเคลื่อนนวัตกรรมที่ยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับผู้ใช้งานของเราเสมอ”


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ZEEKR 7X คว้ารางวัล Best Performing and Innovation Premium Mid-Size Electric SUV

กรุงเทพฯ, 27 กันยายน 2568 – ZEEKR แบรนด์รถไฟฟ้าระดับพรีเมียม-ลักชูรี รับรางวัล Best Performing and Innovation Premium Mid-Size Electric SUV หรือรถยนต์ไฟฟ้าเอสยูวีพรีเมียมขนาดกลางยอดเยี่ยมด้านสมรรถนะและนวัตกรรม ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (TAJA) ตอกย้ำความ      ก้าวล้ำในด้านประสิทธิภาพ และการนำเสนอนวัตกรรมระดับมาสเตอร์คลาส

รางวัล Best Performing and Innovation Premium Mid-Size Electric SUV นับเป็นเครื่องหมายการันตีความสำเร็จและการยอมรับของ ZEEKR 7X จากสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (TAJA) ซึ่งจัดขึ้นภายในงานประกาศรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2568 เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้มีการพัฒนาก้าวหน้าไปในระดับสากลมากยิ่งขึ้น รวมถึงยังเป็นข้อมูลสำหรับผู้บริโภคที่จะนำไปใช้เป็นข้อมูลต่อการตัดสินใจซื้อตั้งแต่การเลือกสมรรถนะ ความสะดวกสบาย การออกแบบ ความปลอดภัย การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และที่สำคัญที่สุดคือความคุ้มค่าของรถ และความคุ้มค่าของราคา

ทั้งนี้ความล้ำของยนตรกรรม ZEEKR 7X มีความโดดเด่นและครบเครื่องทั้งความงามแบบไทม์เลส และสมรรถนะดุดันแบบเร้าใจ พร้อมเปลี่ยนอารมณ์ทุกการเดินทางให้เต็มไปด้วยความมั่นใจ และความปลอดภัยขั้นสูงโดยเฉพาะการก้าวข้ามทุกข้อจำกัดทั้งเส้นทางบนถนนและเส้นทางออฟโรดภายใต้แนวคิด “Indulge Every Journey” มากไปกว่านั้น ZEEKR 7X สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม SEA (Sustainable Experience Architecture)      ที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดและได้รับการรับรองด้วยมาตรฐาน Euro NCAP 5 ดาว โดยได้คะแนน 91% สำหรับการปกป้องผู้โดยสารผู้ใหญ่ และ 90% สำหรับการปกป้องผู้โดยสารเด็ก ซึ่งสะท้อนถึงความใส่ใจในความปลอดภัยของทุกคนในครอบครัวอย่างแท้จริง

ทุกการเติบโตของ ZEEKR คือการมุ่งมั่นค้นคว้าวิจัย และการคิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตยานยนต์อัจฉริยะให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ และความเป็นไปแห่งโลกอนาคต รวมถึงการพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าให้เติบโตอย่างยั่งยืนในประเทศไทย ภายใต้แผนงานขยายโครงข่ายสถานีชาร์จคุณภาพในพื้นที่สำคัญทั่วประเทศ ทั้งหมดนี้คือความตั้งใจของแบรนด์ที่ภูมิใจนำเสนอยนตรกรรมอีวีที่มีความชาญฉลาดแก่ลูกค้าชาวไทย สำหรับรางวัล Best Performing and Innovation Premium Mid-Size Electric SUV หรือรถยนต์ไฟฟ้าเอสยูวีพรีเมียมขนาดกลางยอดเยี่ยมด้านสมรรถนะและนวัตกรรม ถือเป็นรางวัลอันทรงเกียรติ และแสดงถึงความสำเร็จในการทำการตลาดเชิงรุกที่ให้ความสำคัญกับนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการหลังการขาย นับเป็นความภาคภูมิใจที่จะทำให้ ZEEKR รักษามาตรฐานให้ดียิ่งขึ้น และพร้อมเดินหน้ามุ่งมั่นพัฒนายานยนต์ที่จะเข้ามายกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้ก้าวไปสู่สังคมยานยนต์พลังงานทางเลือกที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคคนไทยได้เป็นอย่างดี


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

รวมพลังคน มจพ. ส่งต่อความช่วยเหลือ! เปิดรับบริจาคสิ่งของเพื่อผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ร่วมกับสภานักศึกษา และองค์การนักศึกษา จัดโครงการมจพ. ปันน้ำใจ เพื่อผู้ประสบอุทกภัยระยะเวลารับบริจาค วันที่ 1–12 ธันวาคม 2568 เวลา 09.00–15.00 . (หยุดวันหยุดราชการ) สถานที่รับบริจาค สวนปาล์ม อาคาร 40 ปี มจพ. (กรุงเทพฯ)

โครงการมจพ. ปันน้ำใจ เพื่อผู้ประสบอุทกภัยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดทางภาคใต้ และขอเชิญชวนบุคลากร นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ร่วมบริจาคสิ่งของจำเป็นเพื่อส่งต่อการสนับสนุนไปยังพื้นที่ประสบภัย  ทั้งนี้ สิ่งของที่ต้องการรับบริจาค  ได้แก่ 1) ข้าวสาร  2) อาหารแห้ง อาทิ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง  3) อาหารกระป๋องพร้อมทาน / เครื่องปรุงรส / น้ำมันพืช 4) น้ำดื่ม / นมกล่อง 5) อุปกรณ์ยังชีพสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ชุดยาสามัญ 6) ผ้าอนามัย แปรงสีฟัน แชมพู สบู่ 7) เสื้อผ้า / ผ้าห่ม / ผ้าอ้อมสำเร็จรูป (เด็ก/ผู้ใหญ่) 8) กระดาษชำระ / ผ้าอนามัยและอื่น ๆ ที่จำเป็น

ผู้ที่สนใจสามารถร่วมบริจาคผ่านบัญชีของมหาวิทยาลัยได้ที่ ชื่อบัญชี: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่บัญชี: 565-3000-221   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองกิจการนักศึกษา มจพ.

โทรศัพท์ 0 2555 2000 ต่อ 1151, LINE : @sa.kmutnb, เว็บไซต์ https://sa.op.kmutnb.ac.th

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือขอเชิญชวนทุกท่านร่วมแบ่งปันน้ำใจเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนและฟื้นฟูชีวิตผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้

ขวัญฤทัย ข่าว/ภาพ กองกิจฯ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

สมดุลพลังงานยุคเปลี่ยนผ่าน มองบทบาทโรงไฟฟ้าฐาน ด้านเสถียรภาพและความมั่นคงทางพลังงานไทย ก่อนเดินหน้าสู่พลังงานหมุนเวียนเต็มตัว

ทิศทางพลังงานหลักของโลกมีเป้าหมายในการเดินหน้าสู่การใช้ พลังงานหมุนเวียน” (Renewable Energy: RE) อย่างเต็มตัว แต่คำถามที่ต้องเผชิญ คือ เมื่อความต้องการและปริมาณการใช้พลังงานเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง พลังงานหมุนเวียนจะรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าได้หรือไม่ เพราะพลังงานจากธรรมชาติอย่างแสงแดดและลมมีความไม่แน่นอน ขณะที่พลังงานทางเลือกอื่นยังมีต้นทุนสูง หรือมีความกังวลด้านความปลอดภัย หลายประเทศจึงมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า พลังงานหมุนเวียน คืออนาคต แต่โรงไฟฟ้าฐาน (Base-load Power Plant) ยังคงเป็นรากฐานของระบบไฟฟ้าที่โลกยังต้องพึ่งพา

สำหรับประเทศไทยก็เช่นกัน คำถามนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียน เช่น แสงแดด ลม และพลังงานทางเลือกอื่น กำลังเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตามเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) และ Net Zero จะสามารถทดแทน รักษาเสถียรภาพ ความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศได้หรือไม่ รวมถึงโรงไฟฟ้าฐานโดยเฉพาะโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่มีเสถียรภาพสูงยังมีความหมายต่อระบบมากน้อยแค่ไหน เหตุการณ์ไฟฟ้าดับบางพื้นที่จากกรณีโรงไฟฟ้าพลังน้ำจาก สปป.ลาว หลุดจากระบบเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเป็นตัวอย่างสะท้อนว่า ระบบไฟฟ้าสมัยใหม่ต้องการทั้งความสะอาด ความมั่นคง และความต่อเนื่องไปพร้อมๆ กัน

ด้วยเหตุนี้ การรักษาสมดุลของเสถียรภาพพลังงานและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน จึงต้องดำเนินการควบคู่กันอย่างเหมาะสม โดยโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง มีกำลังการผลิตรวม 1,434 เมกะวัตต์ สามารถเดินเครื่องได้ต่อเนื่องมากกว่า 90% ต่อปี เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนของ “โรงไฟฟ้าฐานหลักที่ทันสมัย” และเป็นหนึ่งในโรงไฟฟ้าฐานขนาดใหญ่ที่มีความเสถียรสูงของไทย มีการใช้เทคโนโลยี HELE (High Efficiency, Low Emission) ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและการควบคุมมลสาร (สารหรือองค์ประกอบที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพอากาศ) ที่เข้มงวดและสูงกว่ามาตรฐานสากล นอกจากจะใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการผลิตไฟฟ้าแล้ว โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี ยังมีการพัฒนานวัตกรรมเพื่อช่วยลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization) อย่างจริงจังอีกหลายโครงการเพื่อเตรียมพร้อมสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน อาทิ  การศึกษาการเผาไหม้ร่วม (Co-firing) โดยศึกษาความเป็นไปได้ในการนำเชื้อเพลิงสะอาดแห่งอนาคตอย่าง แอมโมเนีย (Ammonia) และ ชีวมวล (Biomass) มาใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วม เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์โดยตรง หรือ โครงการนวัตกรรมดักจับคาร์บอน (CCUS) ซึ่งริเริ่มโครงการวิจัย “Microalgae CCUS” โดยร่วมมือกับพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่นในการใช้จุลสาหร่าย (Microalgae) ดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และนำจุลสาหร่ายที่ได้ไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน และ ระบบตรวจวัดคุณภาพการปล่อยอากาศแบบต่อเนื่อง (CEMs) ที่เปิดเผยค่าการปล่อยมลพิษสู่สาธารณะ เพื่อให้เกิดการตรวจสอบได้แบบโปร่งใส

ดังนั้น แม้เป้าหมายด้านพลังงานของประเทศไทย จะมุ่งเน้นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น แต่การผสมผสานอย่างชาญฉลาด (Smart Energy Mix) ในการใช้งานโรงไฟฟ้าฐานที่ทันสมัย และพลังงานหมุนเวียน น่าจะเป็นคำตอบของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่สมดุลระหว่างความสะอาดและความมั่นคง ที่ไม่ใช่เพียงเรื่องไฟไม่ดับเท่านั้น แต่คือการสร้างความมั่นใจ มั่นคง ส่งเสริมให้กับทุกย่างก้าวในการพัฒนาของทั้งภาครัฐ ภาคเศรษฐกิจ ธุรกิจ โรงงาน โรงพยาบาล การสื่อสาร การคมนาคม และคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคนในประเทศอีกด้วย

โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี มุ่งพัฒนาพลังงานที่มั่นคง เพื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ผู้สนใจข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.blcp.co.th/web/index หรือ Facebook : โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี – BLCP Power Limited


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ผลสำรวจการ์ทเนอร์ชี้องค์กรที่ประเมินระบบ AI สม่ำเสมอมีแนวโน้มจะได้รับคุณค่าจากการใช้ GenAI สูงถึง 3 เท่า

กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 20 พฤศจิกายน 2568 – การ์ทเนอร์ อิงค์ บริษัทชั้นนำด้านข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจและเทคโนโลยี เผยผลสำรวจพบว่า องค์กรที่ตรวจสอบและประเมินประสิทธิภาพของระบบ AI รวมถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างสม่ำเสมอ มีโอกาสได้รับมูลค่าจากการใช้ GenAI มากกว่าองค์กรที่ไม่ได้ดำเนินการถึง 3 เท่า

การสำรวจดังกล่าวจัดทำขึ้นระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2568 จากผู้ตอบแบบสอบถาม 360 ราย เป็นองค์กรที่มีพนักงานประจำตั้งแต่ 250 คนขึ้นไป ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม (ยกเว้นซอฟต์แวร์ไอที) ในภูมิภาคอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชียแปซิฟิก

Kjell Carlsson รองประธานนักวิเคราะห์การ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ธรรมาภิบาล AI เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการทำดีเพื่อผลลัพธ์ที่ดี แต่ขึ้นอยู่กับแนวปฏิบัติด้านธรรมาภิบาลที่เลือกใช้ บางแนวปฏิบัติช่วยลดความเสี่ยงและสนับสนุนการปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น ขณะที่บางแนวปฏิบัติยังช่วยเพิ่มมูลค่าที่องค์กรได้รับจากโครงการ GenAI อีกด้วย” 

องค์กรที่มีการประเมินอย่างสม่ำเสมอ ให้คำแนะนำที่ปรับให้เหมาะสมกับผู้ใช้แต่ละกลุ่ม กำหนดนโยบายการใช้งาน AI ที่ชัดเจน นำฟีเจอร์ธรรมาภิบาลมาใช้ และขยายการใช้งาน GenAI อย่างปลอดภัย มีแนวโน้มที่จะได้รับมูลค่าทางธุรกิจสูงสุดจาก GenAI มากกว่าองค์กรที่ไม่ได้ดำเนินการหลายเท่า (ดูรูปที่ 1)

รูปที่ 1. โอกาสการบรรลุมูลค่าในระดับสูงจากการใช้ GenAI จำแนกตามแนวปฏิบัติด้านธรรมาภิบาล (อัตราส่วนความน่าจะเป็น)


ที่มา:
 การ์ทเนอร์ (พฤศจิกายน 2568)

การ์ทเนอร์แนะนำองค์กรควรให้ความสำคัญกับ 5 แนวปฏิบัติด้านธรรมาภิบาล เพื่อเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจจาก GenAI ดังนี้

  • ประเมินระบบ AI อย่างสม่ำเสมอ: ผู้บริหารควรนำกระบวนการประเมินและติดตามผลมาใช้ รวมถึงใช้แพลตฟอร์มธรรมาภิบาล AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประเมิน การตรวจสอบ และการแก้ไขปัญหา
  • ให้คำแนะนำและฝึกอบรม AI โดยปรับให้เหมาะสมกับผู้ใช้แต่ละกลุ่ม: ผู้บริหารต้องจัดการฝึกอบรมที่ตรงจุดเพื่อเพิ่มความสำเร็จของโครงการ GenAI โดยองค์กรที่ให้คำแนะนำตามบุคลิกและบทบาทงานของผู้ใช้ มีแนวโน้มได้รับมูลค่าที่สูงขึ้นถึง 2 เท่า ส่วนองค์กรที่จัดอบรมด้านจริยธรรม GenAI มีแนวโน้มได้รับมูลค่าสูงขึ้น 1.7 เท่า
  • กำหนดนโยบายการใช้งาน AI ที่ชัดเจน: ผู้บริหารควรกำหนดนโยบาย AI ที่ทั้งส่งเสริมการใช้งานอย่างรับผิดชอบและลดความเสี่ยงที่สำคัญ ๆ
  • ลงทุนในฟีเจอร์และผลิตภัณฑ์ธรรมาภิบาล: ผู้บริหารต้องสนับสนุนการลงทุนเพิ่มเติมกับความสามารถด้านธรรมาภิบาลในเครื่องมือและระบบ AI โดยองค์กรที่ลงทุนในผลิตภัณฑ์ธรรมาภิบาล AI จากผู้ให้บริการภายนอกมีโอกาสได้รับมูลค่าสูงขึ้นถึง 1.9 เท่า
  • ขยายการใช้งาน GenAI อย่างปลอดภัย: แม้ว่าการจำกัดการใช้ GenAI ให้กับผู้ใช้ที่มีความเสี่ยงต่ำและเชื่อถือได้จะเป็นแนวปฏิบัติที่จำเป็น แต่องค์กรที่สามารถขยายการใช้งานไปยังผู้ใช้กลุ่มอื่น ๆ ได้อย่างปลอดภัย มีโอกาสได้รับมูลค่าสูงสุดจาก GenAI มากกว่า 3.3 เท่า

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Exit mobile version