Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์เผยรายได้ชิปทั่วโลกปี 2567 เติบโต 18% และคาดว่าปี 2568 จะมีรายได้รวมสูง 705 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 10 กุมภาพันธ์ 2568 – การ์ทเนอร์เผยรายได้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกในปี 2567 มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 626 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 18.1% จากปี 2566 พร้อมคาดการณ์ว่าในปีนี้จะมีมูลค่าเพิ่มเป็น 705 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

จอร์จ บร็อคเคิลเฮิร์ส รองประธานฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ชิป GPUs และโปรเซสเซอร์ AI ที่ใช้ในแอปพลิเคชันของดาตาเซ็นเตอร์ (สำหรับ Servers และ Accelerator Cards) เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในปีที่ผ่านมา โดยความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับงาน AI และ generative AI ทำให้ดาตาเซ็นเตอร์กลายเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสอง รองจากสมาร์ทโฟน ทำให้ในปี 2567 รายได้เซมิคอนดักเตอร์ในกลุ่มดาตาเซ็นเตอร์มีมูลค่ารวมที่ 112 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 64.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566″

ผลการดำเนินงานด้านบวกของตลาดโดยรวมส่งผลต่อการจัดอันดับผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์หลายราย โดยมีผู้ผลิต 11 รายที่เติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก และมีเพียง 8 ราย จาก 25 อันดับแรกที่มีรายได้ลดลงในปีที่ผ่านมา 

Samsung Electronics กลับมาครองอันดับหนึ่ง

ในปี 2567 การ์ทเนอร์พบว่าผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ 9 จาก 10 อันดับแรกนั้นมีรายได้เติบโตเป็นบวก และการจัดอันดับ Top 10 มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (ดูตารางที่ 1) 

  • Samsung Electronics กลับมาครองอันดับ 1 แทน Intel และเพิ่มช่องว่างระหว่างกันมากขึ้นในปี 2567 โดยบริษัทฯ ได้แรงหนุนมาจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของราคาอุปกรณ์หน่วยความจำหรือ Memory Devices ส่งผลให้มีรายได้รวมที่ 66.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • Intel เลื่อนมาอยู่อันดับ 2 เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทในกลุ่ม AI PCs และ Core Ultra Chipset ไม่เพียงพอที่จะชดเชยความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ AI accelerator รวมถึงการเติบโตในธุรกิจ x86 ที่ยังมีไม่มากนัก ส่งผลให้รายได้เซมิคอนดักเตอร์ของ Intel เติบโตเล็กน้อยเพียง 0.1% ในปี 2567
  • NVIDIA ยังคงมีผลการดำเนินงานโดดเด่น บริษัทฯ มีรายได้เซมิคอนดักเตอร์เพิ่มขึ้น 84% ในปี 2567 คิดเป็นมูลค่ารวม 46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 3 ด้วยความแข็งแกร่งของธุรกิจ AI

 

ตารางที่ 1. 10 อันดับรายได้ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก ปี 2567 (หน่วย: ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

2024 Rank 2023 Rank Vendor 2024 Revenue 2024 Market Share (%) 2023 Revenue 2024-2023 Growth (%)
1 2 Samsung Electronics 66,524 10.6 40,942 62.5
2 1 Intel 49,189 7.9 49,117 0.1
3 5 NVIDIA 45,988 7.3 25,053 83.6
4 6 SK hynix 42,824 6.8 23,027 86.0
5 3 Qualcomm 32,358 5.2 29,225 10.7
6 12 Micron Technology 27,843 4.4 16,123 72.7
7 4 Broadcom 27,641 4.4 25,613 7.9
8 7 AMD 23,948 3.8 22,307 7.4
9 8 Apple 18,880 3.0 18,052 4.6
10 9 Infineon Technologies 16,001 2.6 17,022 -6.0
    Others (outside top 10) 274,775 43.9 263,483 4.3
    Total Market 625,971 100.0 529,964 18.1

ที่มา: การ์ทเนอร์ (กุมภาพันธ์ 2568)

 

ในปี 2568 ชิป HBM จะมีสัดส่วนเป็น 19.2% ของรายได้จากชิปกลุ่ม DRAM โดยเพิ่มจาก 13.6% ในปีที่แล้ว

รายได้จากหน่วยความจำ (Memory) เติบโต 71.8% ในปี 2567 หรือคิดเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น 25.2% ของยอดขายเซมิคอนดักเตอร์ทั้งหมด ขณะที่รายได้ชิป DRAM เพิ่มขึ้น 75.4% ส่วนรายได้หน่วยความจำประเภท NAND เพิ่มขึ้น 75.7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยการผลิตหน่วยความจำแบนด์วิดท์สูงหรือ High-Bandwidth Memory (HBM) มีส่วนสำคัญต่อรายได้ของผู้ผลิตชิป DRAM โดยรายได้ชิป HBM มีสัดส่วน 13.6% ของรายได้ชิป DRAM ทั้งหมดในปี 2567

รายได้ Nonmemory เพิ่มขึ้น 6.9% ในปี 2567 คิดเป็นสัดส่วน 74.8% ของรายได้เซมิคอนดักเตอร์ทั้งหมดในปี 2567

“Memory และ AI semiconductors จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตในระยะสั้น โดยการ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าตลาดชิป HBM จะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 19.2% ของชิป DRAM ในปี 2568 และคาดว่ารายได้ชิป HBM จะเพิ่มขึ้น 66.3% ในปี 2568 มีมูลค่าแตะ 19.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ” บร็อคเคิลเฮิร์ส กล่าวเพิ่มเติม

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ซิสโก้เปิดตัว ‘AI Defense’ ยกระดับความปลอดภัยให้องค์กรในการปรับเปลี่ยนสู่ AI อย่างมั่นใจ

กรุงเทพฯ – 6 กุมภาพันธ์ 2568 – ซิสโก้ (NASDAQ: CSCO) ผู้นำระดับโลกด้านความปลอดภัยและระบบเครือข่าย เปิดตัว ‘Cisco AI Defense’ โซลูชันบุกเบิกที่ช่วยขับเคลื่อนและปกป้ององค์กรในการใช้งาน AI อย่างปลอดภัย ท่ามกลางความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความกังวลด้านความปลอดภัยและภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่ระบบรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่สามารถรับมือได้  Cisco AI Defense จึงถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อให้องค์กรสามารถพัฒนา นำไปใช้ และรักษาความปลอดภัยของแอปพลิเคชัน AI ได้อย่างมั่นใจ

นายจีทู พาเทล, รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของซิสโก้ กล่าวว่า “ผู้นำด้านธุรกิจและเทคโนโลยีไม่สามารถละทิ้งความปลอดภัยเพื่อแลกกับความเร็วในการนำ AI มาใช้ และในสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูง ความเร็วคือตัวตัดสินผู้ชนะ  Cisco AI Defense ถูกผสานเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานของเครือข่าย พร้อมความสามารถพิเศษในการตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามตั้งแต่การพัฒนาไปจนถึงการเข้าถึงแอปพลิเคชัน AI”

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากความผิดพลาดของ AI นั้นมีความเสี่ยงสูงมาก จากผลสำรวจดัชนีความพร้อมด้าน AI ประจำปี 2567 ของซิสโก้ พบว่ามีเพียง 38% ของผู้ตอบแบบสำรวจในประเทศไทยที่มั่นใจว่ามีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการตรวจจับ และป้องกันการแทรกแซง AI ที่ไม่ได้รับอนุญาต ความท้าทายด้านความปลอดภัยยังมีความซับซ้อนและเป็นรูปแบบใหม่ เนื่องจากแอปพลิเคชัน AI นั้นทำงานบนหลายโมเดลและหลายคลาวด์ ช่องโหว่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในระดับโมเดลหรือแอปพลิเคชัน ในขณะที่ความรับผิดชอบกระจายอยู่กับผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ทั้งนักพัฒนา ผู้ใช้งาน และผู้ให้บริการ เมื่อองค์กรเริ่มก้าวไปไกลกว่าการใช้ข้อมูลสาธารณะ และเริ่มฝึกฝนโมเดลด้วยข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง ความเสี่ยงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

เพื่อปลดล็อกนวัตกรรมและการนำ AI มาใช้งาน องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องมีระบบความปลอดภัยพื้นฐานร่วมที่ปกป้องทั้งผู้ใช้งานและแอปพลิเคชันทุกประเภท  AI Defense ช่วยสนับสนุนการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ AI โดยจัดการกับความเสี่ยงเร่งด่วนสองประการ ได้แก่:

การพัฒนาและปรับใช้แอปพลิเคชัน AI อย่างปลอดภัย: เมื่อ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน องค์กรต่างๆ จะใช้และพัฒนาแอปพลิเคชัน AI เป็นจำนวนหลายร้อยถึงหลายพันแอปพลิเคชัน นักพัฒนาจำเป็นต้องมีชุดมาตรการรักษาความปลอดภัย AI ที่ใช้ได้กับทุกแอปพลิเคชัน  AI Defense ช่วยให้นักพัฒนาทำงานได้รวดเร็วและสร้างมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ด้วยการปกป้องระบบ AI จากการโจมตีและควบคุมดูแลการทำงานของโมเดลให้ปลอดภัยในทุกแพลตฟอร์ม (safeguarding model behavior) โดยความสามารถของ AI Defense ประกอบด้วย:

  • การค้นพบ AI: ทีมรักษาความปลอดภัยจำเป็นต้องเข้าใจว่าใครเป็นผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน และใช้แหล่งข้อมูลใดในการฝึกฝน   AI Defense สามารถตรวจจับแอปพลิเคชัน AI ทั้งที่ได้รับอนุญาตและไม่ได้รับอนุญาตในระบบคลาวด์ทั้งแบบสาธารณะและส่วนตัว
  • การตรวจสอบโมเดล: การปรับแต่งโมเดลอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ ระบบทดสอบอัตโนมัติจะตรวจสอบโมเดล AI เพื่อหาปัญหาด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นนับร้อยประการ ทีมทดสอบการเจาะระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะระบุช่องโหว่ที่อาจเกิดขึ้น และแนะนำมาตรการป้องกันใน AI Defense ให้กับทีมรักษาความปลอดภัย
  • ความปลอดภัยในขณะทำงาน: การตรวจสอบอย่างต่อเนื่องช่วยป้องกันภัยคุกคามด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้น เช่น การแทรกคำสั่ง (prompt injection) การปฏิเสธการให้บริการ และการรั่วไหลของข้อมูลที่ละเอียดอ่อน

การรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงแอปพลิเคชัน AI: ในขณะที่ผู้ใช้งานเร่งนำแอปพลิเคชัน AI มาใช้ เช่น เครื่องมือสรุปข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ทีมความปลอดภัยจำเป็นต้องป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล และการแทรกแซงหรือปลอมปนข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์ขององค์กร  AI Defense ช่วยเสริมความสามารถให้ทีมรักษาความปลอดภัยด้วย:

  • การมองเห็นภาพรวม (Visibility): แสดงมุมมองแบบครบถ้วนของแอปพลิเคชันที่ใช้ AI ที่พนักงานใช้งาน ทั้งที่ได้รับอนุญาตและไม่ได้รับอนุญาต
  • การควบคุมการเข้าถึง (Access Control): กำหนดนโยบายจำกัดการเข้าถึงเครื่องมือ AI ที่ไม่ได้รับอนุญาตของพนักงาน
  • การป้องกันข้อมูลและภัยคุกคาม (Data and Threat Protection): ปกป้องอย่างต่อเนื่องจากภัยคุกคาม และการสูญหายของข้อมูลที่เป็นความลับ พร้อมปฏิบัติตามกฎระเบียบ

ต่างจากระบบรักษาความปลอดภัยที่ถูกสร้างเฉพาะในแต่ละโมเดล AI ซิสโก้นำเสนอการควบคุมที่สอดคล้องกันสำหรับโลกที่มีหลากหลายโมเดล  AI Defense มีความสามารถในการปรับปรุงตัวเองโดยอัตโนมัติ ใช้โมเดลแมชชีนเลิร์นนิงเฉพาะของซิสโก้ในการตรวจจับปัญหาด้านความปลอดภัยของ AI ที่พัฒนาอยู่ตลอดเวลา โดยอ้างอิงจากข้อมูลภัยคุกคามจาก Cisco Talos ซึ่งลูกค้าของ Splunk ที่ใช้ AI Defense จะได้รับการแจ้งเตือนที่มีข้อมูลเพิ่มเติมจากอีโคซิสเต็มทั้งหมด

AI Defense ผสานรวมเข้ากับระบบข้อมูลที่มีอยู่ได้อย่างราบรื่น เพื่อการมองเห็นและควบคุมที่เหนือชั้น และถูกสร้างขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของ Security Cloud ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มความปลอดภัยแบบข้ามโดเมนที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของซิสโก้ ระบบนี้ใช้ประโยชน์จากจุดบังคับใช้ที่ครอบคลุมของซิสโก้ เพื่อจัดการความปลอดภัย AI ระดับเครือข่ายในรูปแบบที่มีเพียงซิสโก้เท่านั้นที่ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ‘ความแม่นยำ และความน่าเชื่อถือ’ เป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องแอปพลิเคชัน AI ขององค์กร และซิสโก้ได้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการพัฒนามาตรฐานความปลอดภัย AI ของอุตสาหกรรม รวมถึงมาตรฐานจาก MITRE, OWASP และ NIST

เคนท์ นอเยส, หัวหน้าฝ่ายนวัตกรรม AI และไซเบอร์ระดับโลกของ World Wide Technology กล่าวว่า “การนำ AI มาใช้ทำให้บริษัทต่างๆ ต้องเผชิญกับความเสี่ยงรูปแบบใหม่ที่โซลูชันความปลอดภัยทางไซเบอร์แบบเดิมไม่สามารถรับมือได้  Cisco AI Defense ถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญด้านความปลอดภัย AI ด้วยการมอบความสามารถในการมองเห็น AI assets ขององค์กรอย่างครบถ้วน พร้อมการป้องกันจากภัยคุกคามที่พัฒนาอยู่ตลอดเวลา”

Cisco AI Defense เป็นนวัตกรรมด้านความปลอดภัยที่ขับเคลื่อนด้วย AI ล่าสุดจากซิสโก้ ซึ่งรวมถึง Cisco Hypershield โดยจะพร้อมให้บริการในเดือนมีนาคมนี้ เพื่อช่วยองค์กรปกป้องการเปลี่ยนผ่านสู่ AI อย่างปลอดภัย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมได้ที่ cisco.com/go/ai-defense


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มจพ. รับสมัครนักศึกษาใหม่บัณฑิตศึกษา ระดับปริญญาเอก

ภาควิชาครุศาสตร์ไฟฟ้า คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) รับสมัครนักศึกษาใหม่ ระดับบัณฑิตศึกษา (ปริญาเอก) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 รายละเอียดดังนี้

หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้าศึกษา (DTE)  หลักสูตรแบบ 2.1  เรียนภาคค่ำ โดยมีโครงสร้างหลักสูตร หน่วยกิตทั้งหมด 51 หน่วยกิต ประกอบไปด้วย 5 รายวิชา และวิทยานิพนธ์ 36 หน่วยกิต มีสาขางานวิจัยด้านต่างๆ ดังนี้ 1) ด้านวิศวกรรมระบบไฟฟ้ากำลัง ( Power System Engineering) 2) ด้านวิศวกรรมระบบควบคุม (Control System Engineering) 3) ด้านวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Engineering) และ 4) ด้านวิศวกรรมโทรคมนาคม (Telecommunication Engineering ) ค่าลงทะเบียนประมาณ 20,000 บาท/ภาคการศึกษา

การรับสมัคร   สมัครออนไลน์ที่ http://grad.admission.kmutnb.ac.th/ApplyLogin รับสมัครตั้งแต่บัดนี้ – 9 มีนาคม 2568 รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) โทรศัพท์ 0-2555-2000 ต่อ 2405-2417 หรือ ภาควิชาครุศาสตร์ไฟฟ้า คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม  โทรศัพท์ : 02-555-2000 ต่อ 3302

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Mahidol Industry Partnership Forum: Empowering SMEs for a Sustainable

วันที่ 30 มกราคม 2568 สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (INT) ร่วมกับ วิทยาลัยนานาชาติ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ และสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล จัดกิจกรรมสัมมนาผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม Mahidol Industry Partnership Forum : Empowering SMEs for a Sustainable Tomorrow โดยมี ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นประธานเปิดกิจกรรม พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.วิริยะ เตชะรุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าววัตถุประสงค์ของกิจกรรม และ รองศาสตราจารย์ ดร.ธัญญ์นลิน วิญญูประสิทธิ์ รองผู้อำนวยการสถาบันฯเข้าร่วมงานณห้องแกรนด์บอลรูมศูนย์ประชุมและอาคารจอดรถมหิดลสิทธาคารมหาวิทยาลัยมหิดลศาลายา

โดยในกิจกรรมจะมีการบรรยายให้ความรู้ในหัวข้อ Sustainability as a Game-Changer: Why Thai SMEs Must Act Now (SMEs ไทยพร้อมหรือไม่? กับการขับเคลื่อนด้วยความยั่งยืน”) โดย ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และการเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากหัวหน้าส่วนงานของมหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทั้งภายใน ภายนอกมหาวิทยาลัยมหิดล ในหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้ หัวข้อ Collaborative Pathways to Sustainability: A Practical Guide for Thai SMEs and Government Partnership (เส้นทางสู่ความยั่งยืน: แนวทางปฏิบัติการสร้างความร่วมมือระหว่าง SMEs ไทยและภาครัฐ) หัวข้อ From Concept to Action: Business Tools and Frameworks for SMEs Sustainable Growth Journey (จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ: กรอบการทำงานและเครื่องมือธุรกิจสำหรับ SMEs ในการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน) หัวข้อ From Compliance to Business Opportunities: Leveraging Environmental Innovation for SMEs Sustainable Growth (จากกฎเกณฑ์สู่โอกาสธุรกิจ: การประยุกต์ใช้นวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของ SMEs) หัวข้อ Riding the Social Wave: How Demographic Shifts and Stakeholder Engagement Create New Business Frontiers for SMEs (โฉมหน้าธุรกิจยุคสังคมเปลี่ยนผ่าน: เมื่อพันธกิจทางสังคมสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ให้ SMEs) หัวข้อ Green Finance for Growth: A Guide to Sustainable Funding Solutions for SMEs (แหล่งทุนสีเขียว โอกาสใหม่ SMEs: การเข้าถึงบริการทางการเงินเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน) และหัวข้อ Silver Economy Reimagined: Business Opportunities through the DEI Lens in Aging Society (เศรษฐกิจผู้สูงวัยมิติใหม่: มองโอกาสธุรกิจผ่านเลนส์ DEI ในสังคมสูงอายุ)

สำหรับกิจกรรมสัมมนา Mahidol Industry Partnership Forum : Empowering SMEs for a Sustainable Tomorrow  จัดโดย งานบริการวิจัยและวิชาการ ศูนย์ร่วมคิดพาณิชย์นวัตกรรม (Mahidol Industry Connection Center : MICC) สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม ร่วมกับวิทยาลัยนานาชาติ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ และสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อส่งเสริมและผลักดันผลงานวิจัยของอาจารย์ และนักวิจัยในมหาวิทยาลัยมหิดลให้เป็นที่รู้จักในภาคอุตสาหกรรม และเพิ่มโอกาสในการสร้างเครือข่ายระหว่างมหาวิทยาลัยและผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมอย่างเป็นรูปธรรม ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการได้รับประโยชน์จากการรับรู้ข้อมูล ประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ รับทราบข้อมูลจากแหล่งทุน และนำทฤษฎีต่าง ที่ได้เรียนรู้ในงานสัมมนาเป็นแนวทางในการพัฒนาต่อยอดธุรกิจของตนเองเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจและของโลก


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Advice บุกงาน Thailand Mobile Expo 2025 จัดแคมเปญใหญ่ Advice Mobile Fair ทั่วประเทศ

กรุงเทพฯ, 31 มกราคม 2568 – บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) เดินกลยุทธ์การตลาดปี 2568 ผลักดันสินค้าสมาร์ทโฟนขยายตลาดพร้อมยกระดับเซกเมนต์ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม เริ่มต้นปีด้วยการร่วมงาน Thailand Mobile Expo 2025 มหกรรมงานแสดงสินค้ามือถือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี ระหว่างวันที่ 30 ม.ค. – 2 ก.พ. 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พร้อมกันนี้ยังได้จัดแคมเปญ “Advice Mobile Fair” ผ่านสาขาทั่วประเทศและเว็บไซต์ออนไลน์ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า

นอกจากเป้าหมายและกลยุทธ์ของแอดไวซ์ในปี 2568 ที่มุ่งมั่นบุกตลาดสมาร์ทโฟนมากยิ่งขึ้น ยังมีปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ที่มีผลช่วยสนับสนุน จากข้อมูลการวิเคราะห์อุตสาหกรรมค้าปลีกไอทีโดย Krungthai Compass ในด้านแนวโน้มการเติบโตของตลาดในปี 2568 ที่คาดว่าจะมีการเติบโตขึ้น 5.4% และพฤติกรรมผู้บริโภคที่มองหาสมาร์ทโฟนที่รองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมไปถึงคุณภาพของเครื่องที่คุ้มค่าและสามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น ซึ่งสอดรับกับแผนการขยายเซกเมนต์กลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้นและการเพิ่มไลน์สินค้าครบทุกระบบปฏิบัติการ (OS) ทั้ง iOS, Windows, Android ทำให้ศักยภาพในการแข่งขันและการเติบโตของแอดไวซ์มีมากขึ้นจากปี 2567 ที่ผ่านมา และในปี 2568 นี้แอดไวซ์ยังเข้าร่วมงาน Thailand Mobile Expo 2025 และจัดงาน Advice Mobile Fair ที่หน้าสาขาและออนไลน์ เพื่อตอกย้ำความสำเร็จและสนองการตอบรับที่ดีของลูกค้าจากการจัดงานครั้งก่อน 

คุณณัฏฐ์ ณัฐนิธิการัชต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การเริ่มต้นในปี 2025 นี้ แอดไวซ์ตั้งใจรุกตลาดสมาร์ทโฟนผ่านกลยุทธ์ที่หลากหลาย ซึ่งการเข้าร่วมงาน Thailand Mobile Expo ในครั้งนี้เราได้ขยายไลน์สินค้าภายในงานให้ครอบคลุมมากขึ้นทั้ง iOS, Androids และ Windows เพื่อเป็นการยกระดับและตอกย้ำภาพการให้บริการที่ครอบคลุมทุกประเภทของสินค้า พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าทุกคนที่มางาน Thailand Mobile Expo นอกจากนี้แอดไวซ์ยังเพิ่มการเข้าถึงสินค้าและโปรโมชั่นให้แก่ลูกค้าที่ไม่สะดวกมาที่งานด้วยการจัดแคมเปญ Advice Mobile Fair ทั่วประเทศรวมถึงออนไลน์ โดยเรามุ่งมั่นที่จะสร้างการเข้าถึงและการส่งมอบสินค้าเพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การใช้บริการที่ดีที่สุด ในฐานะผู้นำที่มีศักยภาพด้านการบริการที่ครอบคลุมทุกความต้องการ ทุกไลฟ์สไตล์ และทุกกลุ่มเป้าหมาย”

คุณชนัญญา จัยสิน ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า “งาน Thailand Mobile Expo ครั้งนี้ เราตั้งใจยกระดับการบริการลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นด้วยพื้นที่ให้บริการขณะรอรับสินค้าอย่าง Experience Hub ซึ่งภายในพื้นที่จะมีการให้บริการโดยพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านสินค้าให้คำปรึกษาและแนะนำการใช้งานสินค้า รวมถึงนำเสนอฟีเจอร์การใช้งานที่ลูกค้าให้ความสนใจและยังแนะนำอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ที่ช่วยให้ลูกค้าใช้งานสินค้าได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเรามองว่านอกจากแอดไวซ์จะสามารถตอบโจทย์ด้านสินค้าแล้ว ถ้าเราสามารถตอบโจทย์อินไซท์ของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้นด้วยคำแนะนำและประสบการณ์การใช้งานที่ครบถ้วนจะเป็นการสร้างความแตกต่างและประโยชน์สูงสุดในการใช้งานสำหรับลูกค้าทุกคน เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวกสบายและคุ้มค่าที่สุด 

งาน Thailand Mobile Expo 2025 แอดไวซ์ได้เตรียมโปรโมชั่นพิเศษมากมาย อาทิ:

  • ช้อป 3,000 บาทขึ้นไป ผ่อน 0% นานสูงสุด 48 เดือน รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 18,000 บาท
  • ช้อปมือถือ 3,990 บาท ขึ้นไป แถมฟรีฟิล์ม 3  ชิ้น ติดฟรียกแก๊งค์!!*
  • บัตรประชาชนใบเดียวก็ผ่อนสินค้าได้ ผ่อนสบายนานสุด 48 เดือน
  • มือถือเครื่องเก่ามีค่า นำมาแลกส่วนลดพิเศษที่ Advice
  • ร่วมเล่นกิจกรรม “Advice Wonderland” รับส่วนลดสูงสุด 2,000 บาท
  • เพิ่มเพื่อน LINE OA : AdviceClub ในงาน รับส่วนลดเพิ่ม 1,000 บาท
  • สินค้าในงานลดสูงสุด 90% สูงสุด 13,000 บาท
  • ช้อปสมาร์ทโฟนรุ่นที่ร่วมรายการรับสิทธิ์แลกซื้ออุปกรณ์เสริมลด 30%
  • นาทีทอง : ทุกวันลดสูงสุด 70% (17.00 และ 19.00)
  • จัดเต็มสินค้า Notebook และ Desktop / All in one Clearance ราคาพิเศษ
  • ช้อปง่ายได้ลดหย่อนกับ Easy E-Receipt 2.0
  • เปิดเบอร์กับ AIS รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 2,000 บาท

สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน Thailand Mobile Expo 2025 สามารถพบกับบูธแอดไวซ์ได้ที่ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 30 ม.ค. – 2 ก.พ. 68 ในส่วนแคมเปญ Advice Mobile Fair จะจัดขึ้นพร้อมกันที่สาขา Advice กว่า 90 สาขาทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 30 ม.ค. – 3 ก.พ. 68 ประกอบด้วย 

รายละเอียดโปรโมชั่นงาน Advice Mobile Fair ผ่านทางหน้าร้านสาขา Advice กว่า 90 สาขาทั่วประเทศ

  • ผ่อน 0% นานสูงสุด 48 เดือน รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 18,000 บาท
  • ช้อปมือถือ 3,990 บาท ขึ้นไป แถมฟรีฟิล์ม 3  ชิ้น ติดฟรียกแก๊งค์!!*
  • บัตรประชาชนใบเดียวก็ผ่อนสินค้าได้ ผ่อนสบายนานสุด 48 เดือน
  • มือถือเครื่องเก่ามีค่า นำมาแลกส่วนลดพิเศษที่ Advice
  • สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ลดทั้งร้านสูงสุด 13,000 บาท
  • ช้อปสมาร์ทโฟนรุ่นที่ร่วมรายการรับสิทธิ์แลกซื้ออุปกรณ์เสริมลด 30%
  • ช้อปง่ายได้ลดหย่อนกับ Easy E-Receipt 2.0
  • เปิดเบอร์กับ AIS รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 2,000 บาท

รายละเอียดโปรโมชั่นงาน Advice Mobile Fair (ช่องทางออนไลน์)

  • ผ่อน 0% นานสูงสุด 36 เดือน รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 18,000 บาท
  • Flash Sale ลดสุดคุ้มสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ลดทั้งเว็บสูงสุด 12,000 บาท
  • ช้อปสมาร์ทโฟนรุ่นที่ร่วมรายการรับสิทธิ์แลกซื้ออุปกรณ์เสริมลด 30%
  • ช้อปมือถือ 3,990 บาท ขึ้นไป แถมฟรีฟิล์ม 3  ชิ้น ติดฟรียกแก๊งค์!!*
  • ช้อปง่ายได้ลดหย่อนกับ Easy E-Receipt 2.0

เกี่ยวกับบริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน)

บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) ผู้นำศูนย์รวมอุปกรณ์ไอทีและสมาร์ทโฟนครบวงจรที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พร้อมเป็นที่ปรึกษาทางด้านไอที “แอดไวซ์ ศูนย์รวมไอที สมาร์ทโฟน จำหน่ายและซ่อม | ครบ | จบในที่เดียว” สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Facebook, Youtube, Line, IG, Twitter และ Tiktok: AdviceClub, Call Center 1491 หรือคลิก www.advice.co.th


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อุตสาหกรรมอาหารและวัตถุดิบไทยขยายตัว รับส่งออกไทยทะลุเป้า อินฟอร์มา มาร์เก็ต เดินหน้ายกงาน ProPak Asia 2025 เป็นเวทีการค้าสำคัญของภูมิภาค

ภาครัฐเผยตัวเลขส่งออกไทยปี 67 ทะลุ 300,529.5 ล้านดอลลาร์ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ คาดปี 68 ผ่าคลื่นสถานการณ์โลกโตได้อีก 2-3% ด้าน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เผยอุตสาหกรรมอาหารไทยกลุ่มอาหารแช่แข็งและแปรรูปยังเป็นดาวรุ่ง พร้อมเดินหน้ายกระดับงาน ProPak Asia 2025 เป็นเวทีการค้าและเจรจาธุรกิจสำคัญสำหรับภาคเอกชนในอุตสาหกรรมอาหารระดับภูมิภาค ด้านผู้เชี่ยวชาญและบริษัทชั้นนำร่วมจัดแสดงนวัตกรรมเทคโนโลยีอุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปอาหารล่าสุด คาดปีนี้ผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 80,000 คน มูลค่าเจรจาการค้าทะลุ 5,500 ล้านบาท

นายสรรชาย นุ่มบุญนํา ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวถึงแนวโน้มและทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารไทยในปีที่ผ่านมา (ปี 2567) เป็นปีที่อุตสาหกรรมอาหารไทยมีการฟื้นตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับข้อมูลของ สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ที่ล่าสุดเผยว่าการส่งออกไทยปี 2567สามารถส่งออกได้ 300,529.5 ล้านดอลลาร์ ถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มีการขยายตัวถึง 5.4% โดยการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 6.0% โดยสินค้าเกษตรขยายตัว 10.7% และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัว 6.7% ส่วนปี 2568 นั้น ภาพรวมของสถานการณ์โลกยังอยู่บนความไม่แน่นอน จากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของโลก แต่อย่างไรก็ตามยังมีสัญญาณเชิงบวกของปัจจัยทางเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของ GDP โลกที่คาดว่าจะโตประมาณ 2.7% เศรษฐกิจในอาเซียนซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดี อัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มลดลงและความต้องการสินค้าเกษตรเพื่อเป็นวัตถุดิบและบริโภคที่เพิ่มขึ้น โดยสินค้ากลุ่มอาหารที่ขยายตัวได้ดี อาทิ ไก่สดแช่เย็นและแปรรูป อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลไม้สดแช่แข็งและแห้ง อาหารสัตว์เลี้ยง อาหารสำเร็จรูป ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ฯลฯ

อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการต้องมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต โดยใช้งานวิจัย นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่มายกระดับสินค้าให้มีมาตรฐานและความปลอดภัยที่สูงขึ้น เพิ่มคุณค่าทางโภชนาการและพัฒนาอาหารแห่งอนาคต เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคสมัยใหม่ รวมถึงจำเป็นต้องมีกระบวนการผลิตและการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เพื่อพัฒนาสู่เศรษฐกิจเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG) ซึ่งจะสอดรับกับนโยบายภาครัฐที่เดินหน้าหาตลาดการค้าใหม่ๆ และทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศและเขตเศรษฐกิจใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งล่าสุดได้มีการทำข้อตกลง FTA  กับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป หรือเอฟตา (EFTA) เป็นผลสำเร็จและยังมีการเร่งเจรจา FTA อีกหลายฉบับ อาทิ FTA ไทย-สหภาพยุโรป (EU) / ไทย-เกาหลีใต้ / ไทย-ภูฏาน / ไทย – สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) / อาเซียน – แคนาดา โดยทั้งหมดจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการส่งออกและภาคอุตสาหกรรมอาหารของไทย

ในส่วนของ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน ProPak Asia งานแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยี เครื่องจักรและโซลูชั่นในกระบวนการผลิต การแปรรูป บรรจุภัณฑ์ ฯลฯ ที่ครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรมอาหาร อาหารแปรรูป เครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์ ฯลฯ ชั้นนำของเอเชียนั้น ได้มีการยกระดับการจัดงาน ProPak Asia 2025 ให้มีความสำคัญในการเป็นเวทีความร่วมมือทางธุรกิจ การเจรจาการค้า การลงทุน การสร้างพันธมิตรธุรกิจ รวมถึงเป็นประตูเชื่อมต่ออุตสาหกรรมแปรรูปและผลิตอาหารของภูมิภาค ในการนำเสนอ ถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนความรู้ นวัตกรรม เทคโนโลยีล่าสุดของโลกสู่ผู้ประกอบการ

สำหรับแนวคิดการจัดงาน ProPak Asia 2025 ครั้งนี้ คือ “เส้นทางสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในอุตสาหกรรมการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน” (Carbon-Neutral Pathways to Sustainable Processing and Packaging Ecosystem) ที่ต้องการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาแนวทางหรือกลยุทธ์ที่มุ่งลดหรือชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เท่ากับศูนย์ (Carbon Neutral) ในทุกกระบวนการของการผลิต การแปรรูปและการบรรจุภัณฑ์ โดยคำนึงถึงความยั่งยืนในระยะยาวไม่ว่าจะเป็นการลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การจัดการของเสียและวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลได้ การสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อร่วมกันลดการปล่อยคาร์บอนในทุกส่วน 

ดังนั้นงาน ProPak Asia 2025 จึงไม่ได้เป็นเพียงการจัดงานแสดงสินค้าที่นำเสนอเพียงโซลูชันล้ำสมัย จากบริษัทผู้ผลิตเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นนำระดับโลก ด้านการผลิตและแปรรูป ผู้ผลิตวัตถุดิบ ผู้ออกแบบและผลิตบรรจุภัณฑ์ ฯลฯ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญจากทุกส่วนของอุตสาหกรรมฯ แต่ยังช่วยสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมการผลิตในภูมิภาคและเป็นช่องทางสร้างโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานจากทั่วโลกได้พบกับพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ ๆ ผ่านการเข้าร่วมงานในปีนี้ 

งาน ProPak Asia 2025 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-14 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ ผู้สนใจรายละเอียดการจัดงานและต้องการลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อเข้าชมงาน ProPak Asia 2025 สามารถลงทะเบียนได้ที่ www.propakasia.com 


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะอุตสาหกรรมเกษตรดิจิทัล มจพ. วิทยาเขตปราจีนบุรี ลงนามความร่วมมือทางวิชาการกับ บริษัท ครัวการบินกรุงเทพ จำกัด

รศ.ดร. รัชนี เจริญ  คณบดีคณะอุตสาหกรรมเกษตรดิจิทัล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตปราจีนบุรี ลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการ กับ นางศิริพร ขยันกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัทครัวการบินกรุงเทพ จำกัด และบริษัทในเครือ โดยได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.เสาวณิต สุขภารังษี รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ ผศ.วรวิทย์ จตุรพาณิชย์ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร และ รศ.ดร.สุเมธ อ่ำชิต ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการและประกันคุณภาพการศึกษา ร่วมเป็นสักขพยาน ในวันพุธที่ 29 มกราคม 2568 ณ ห้องประชุม 215 อาคารอเนกประสงค์ ชั้น 2  มจพ.  โดยมีวัตถุประสงค์การลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการ คือ

    1. เพื่อความร่วมมือส่งเสริมกิจกรรมทางด้านวิชาการ การวิจัยและบริการวิชาการ เพื่อพัฒนานักศึกษาและบุคลากรให้มีศักยภาพร่วมกัน

    2. เพื่อร่วมกันพัฒนาบุคลากรของประเทศไทยให้มีศักยภาพ ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานและสามารถนำความรู้ไปใช้พัฒนาให้เกิดนวัตกรรม สร้างมูลค่าเชิงพาณิชย์ทางด้านอุตสาหกรรมเกษตรและ ด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

    3. เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอน การฝึกอบรม การวิจัย และการพัฒนาเทคโนโลยีระหว่างสองหน่วยงาน

    4. เพื่อแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือระหว่างกัน ในการเพิ่มขีดความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอื่น ๆ อันจะเกื้อหนุนการดำเนินการโดยรวมขององค์กร

ความร่วมมือในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความเชี่ยวชาญจากทั้ง 2 หน่วยงานที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้  การแบ่งปันความรู้ และการยกระดับพัฒนาวิชาการ เพื่อสร้างโอกาสในการเรียนรู้และประสบการณ์ที่มีสำหรับนักศึกษาและบุคลากร  เพื่อร่วมทำการวิจัยในอนาคต และความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย  ตลอดจนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์เผยแนวโน้มสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ของปี 2568

กรุงเทพฯประเทศไทย, 24 มกราคม 2568 – การ์ทเนอร์เน้นย้ำถึงแนวโน้มสำคัญหลายประการที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของภาคยานยนต์ในปี 2568 ด้วยเหตุที่อุตสาหกรรมนี้กำลังเผชิญกับแรงกดดันด้านกฎระเบียบการปล่อยมลพิษและการเติบโตที่แข็งแกร่งจากจีน 

เปโดร ปาเชโก รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า ซอฟต์แวร์และการใช้พลังงานไฟฟ้าจะยังเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักสองประการในการเปลี่ยนแปลงของภาคยานยนต์ อย่างไรก็ตามในปีนี้ผู้ผลิตรถยนต์จะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในเรื่องกฎระเบียบการปล่อยมลพิษและความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีนกับชาติตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า 

ภูมิทัศน์ทางการเมืองที่กำลังเปลี่ยนไปทั้งในสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป (EU) ทำให้ประเด็นเรื่องกฎระเบียบการปล่อยมลพิษของยานยนต์กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ ส่งผลให้ผู้รับจ้างผลิตอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนหรือ OEMs บางรายอาจลังเลที่วางกลยุทธ์หลักของธุรกิจไว้ที่รถยนต์ไฟฟ้า

การ์ทเนอร์ประเมินว่ายอดการจัดส่งรถยนต์ไฟฟ้า (ประเภทรถโดยสาร รถยนต์ รถตู้ และรถบรรทุกขนาดใหญ่) จะเติบโต 17% ในปี 2568 และคาดว่าในปี 2573 มากกว่าครึ่งของรถยนต์ทั้งหมดที่วางจำหน่ายและทำตลาดโดยผู้ผลิตนั้นจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า

ภูมิรัฐศาสตร์ทำให้การนำแนวคิด CASE มาปรับใช้ล่าช้า

อุปสรรคทางการค้าที่สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปกำหนดและบังคับใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าของจีนจะทำให้การนำเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ ความเป็นอิสระ ซอฟต์แวร์ และการใช้พลังงานไฟฟ้า หรือที่เรียกรวมกันว่า CASE มาใช้ในทั้งสองภูมิภาคนี้ล่าช้าลง เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าจีนถือเป็นประเภทยานพาหนะที่มีความก้าวหน้าที่สุดในอุตสาหกรรม

บิล เรย์ รองประธานอาวุโสของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า ผู้ผลิตโดรนและบริษัทโทรคมนาคมจีนกำลังรับรู้ถึงผลกระทบจากมาตรการแทรกแซงทางการค้าระหว่างประเทศ และรายต่อไปก็คือผู้ผลิตหุ่นยนต์ การมีซอฟต์แวร์อัจฉริยะที่สามารถอัปเดตได้ กล้องที่เข้าถึงได้จากระยะไกล และการผสานการเก็บข้อมูลเข้ากับโมเดลธุรกิจยานยนต์ ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญกับความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่จะเป็นตัวแบ่งแยกตลาดและชะลอการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาปรับใช้

ผู้ผลิตรถยนต์จากจีนได้เปรียบการแข่งขันในด้านซอฟต์แวร์และระบบพลังงานไฟฟ้า เนื่องจากมีแนวทางการพัฒนาที่มีความเฉพาะและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้สามารถนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง และราคาไม่แพง อย่างไรก็ตามอุปสรรคทางการค้าที่เพิ่มขึ้นอาจลดทอนข้อได้เปรียบดังกล่าวนี้ และทำให้รถยนต์ไฟฟ้าในตลาดสำหรับผู้บริโภคมีความหลากหลายลดลง

ผู้ผลิตชิ้นส่วน OEM ต่าง ๆ ขยายความร่วมมือด้านซอฟต์แวร์กับผู้ผลิต OEM จากจีน 

ผู้รับจ้างผลิตชิ้นส่วนและส่วนประกอบกำลังประสบปัญหาในการพัฒนาความสามารถด้านซอฟต์แวร์ภายในองค์กร ส่งผลให้หลายรายหันมาทำข้อตกลงกับผู้ผลิต OEM จากจีน เพื่อเข้าถึงสถาปัตยกรรมไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์ (E/E) ของยานพาหนะ ทำให้พึ่งพาความสามารถด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมากยิ่งขึ้น

กำลังการผลิตส่วนเกินกระตุ้นให้โรงงาน OEM ปิดตัว

กำลังการผลิตส่วนเกินเป็นความท้าทายสำหรับโรงงานผลิตรถยนต์หลายแห่งในยุโรปและอเมริกาเหนือมานานหลายปี การเพิ่มอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่สหรัฐฯ และ EU กำหนดเมื่อเร็ว ๆ นี้มีแนวโน้มที่จะทำให้ปัญหานี้รุนแรงมากขึ้น โดยผู้ผลิตรถยนต์จีนอาจตั้งโรงงานในยุโรปและสหรัฐฯ หรือในประเทศพันธมิตรการค้าเสรี อาทิ โมร็อกโกหรือตุรกี เพื่อรักษาความสามารถด้านราคาให้แข่งขันได้

การ์ทเนอร์คาดว่าสถานการณ์นี้มีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การปิดตัวหรือขายโรงงานผลิตรถยนต์หลายแห่งที่มีอัตราการใช้งานต่ำให้กับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ และก่อให้เกิดผลกระทบต่อเนื่อง ที่นำไปสู่การปิดตัวโรงงานของซัพพลายเออร์ ประเด็นนี้จะเป็นการกำหนดทำเลการผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ และยุโรปขึ้นใหม่ และทำให้ประเทศที่มีต้นทุนต่ำกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตและเป็นห่วงโซ่อุปทานหลักของอุตสาหกรรมยานยนต์

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Acer เปิดตัว Nitro Blaze 8 และ 11 พร้อมคอนโทรลเลอร์เกมพกพาแบบใหม่ ดีไซน์พับได้ ชาร์จเร็ว เล่นเกมลื่นไหลไม่สะดุด

ลาสเวกัส (22 มกราคม 2568) เอเซอร์เปิดตัว Nitro Blaze 8 และ 11 เครื่องเล่นเกมพกพารุ่นใหม่ ยกระดับประสบการณ์การเล่นเกมมือถือด้วยโปรเซสเซอร์ AMD Ryzen™ 7 8840HS, หน่วยความจำ LPDDR5X 16 GB และความจุสูงสุด 2 TB. หน้าจอสัมผัส WQXGA (8.8” และ 10.95”) พร้อมเทคโนโลยี Radeon™ Super Resolution และ AMD FidelityFX™ Super Resolution มอบภาพลื่นไหล แอปฯ Acer Game Space ช่วยจัดการและเข้าถึงเกมได้ง่ายขึ้น.

Nitro Mobile Gaming Controller รุ่นใหม่ ดีไซน์พับเก็บได้ พกพาสะดวก เล่นเกมได้ทุกที่ทุกเวลา รองรับการชาร์จเร็ว 18W เพื่อการเล่นเกมที่ต่อเนื่อง

เครื่องเล่นเกมพกพา Acer Nitro Blaze

Nitro Blaze 8 และ Nitro Blaze 11 ขับเคลื่อนด้วยโปรเซสเซอร์ AMD Ryzen™ 7 8840HS พร้อม AMD Ryzen™ AI ที่ให้พลังประมวลผลด้าน AI สูงสุด 39 TOPS รองรับเกม AAA ได้อย่างลื่นไหล หน้าจอสัมผัส WQXGA (8.8” และ 10.95”) อัตรารีเฟรช 144 Hz และความสว่าง 500 nits การ์ดจอ AMD Radeon™ 780M พร้อมเทคโนโลยี Radeon™ Super Resolution และ AMD FidelityFX Super Resolution ให้ภาพคมชัด ลื่นไหล หน่วยความจำ LPDDR5X 16 GB ความเร็ว 7500 MT/s และพื้นที่จัดเก็บ PCIe Gen 4 NVMe สูงสุด 2 TB ช่วยให้เกมโหลดเร็วและเล่นได้อย่างต่อเนื่องไม่มีสะดุด.

Acer Game Space ช่วยจัดการและเข้าถึงเกมยอดนิยมด้วยปุ่มลัดบนอุปกรณ์ ใช้งานได้หลากหลายทั้งเล่นเกม ท่องเว็บ และทำงาน พร้อมระบบเสียง DTS:X® Ultra Audio และจอยสติ๊ก Hall Effect. Nitro Blaze 11 มาพร้อมคอนโทรลเลอร์ถอดได้พร้อมขาตั้ง และกล้องหน้าสำหรับวิดีโอคอลและสตรีม รองรับ USB 4 (Type-C), USB 3.2, Wi-Fi 6E และ Bluetooth 5.3 แถมฟรี PC Game Pass 3 เดือน ให้เล่นเกมดังๆ อย่าง Call of Duty: Black Ops 6, Indiana Jones and the Great Circle, Ara: History Untold และเกมจาก EA Play

Acer Nitro Mobile Gaming Controller

Nitro Mobile Gaming Controller ดีไซน์พับเก็บได้ พกพาสะดวก ตอบโจทย์ผู้ชื่นชอบการเล่นเกมนอกสถานที่ คอนโทรลเลอร์ plug-and-play ใช้งานได้กับทั้ง Android และ iOS ปรับขนาดได้รองรับหน้าจอสูงสุด 8.3” เชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB Type-C พร้อมยางกันลื่นช่วยยึดอุปกรณ์แน่นหนาแม้ใส่เคส ให้ความรู้สึกสบายมือ รองรับการชาร์จเร็ว 18W มอบอรรถรสการเล่นเกมได้ยาวนาน

ราคาและการวางจำหน่าย

Acer Nitro Blaze 8 (GN782U) วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือ และภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา (EMEA) ในไตรมาส 2 ราคาเริ่มต้นที่ 899 USD. และ 999 EUR.ตามลำดับ

Acer Nitro Blaze 11 (GN7112U) วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือ และภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา (EMEA) ในไตรมาส 2 ราคาเริ่มต้นที่ 1,099 USD. และ 1,199 EUR.

Acer Nitro Mobile Gaming Controller วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือในไตรมาส 2 ราคาเริ่มต้นที่ 69.99 USD. ภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา (EMEA) วางจำหน่ายในไตรมาส 1 ราคาเริ่มต้นที่ 89.99 EUR.

ข้อมูลผลิตภัณฑ์ ราคา และความพร้อมในการจัดจำหน่ายที่แน่นอนจะแตกต่างกันไปตามภูมิภาค หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดจำหน่าย ข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ และราคาในตลาด โปรดติดต่อสำนักงาน Acer ใกล้คุณผ่านทาง www.acer.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

MCC จับมือ Elastic จัดงาน MCC X Elastic Partner Day 2025 นำเสนอเทคโนโลยีและกลยุทธ์ใหม่ รุกตลาดไทยอย่างยั่งยืน

บริษัท เมโทรคอนเนค จำกัด (MCC) ร่วมกับ บริษัท Elastic N.V. ผู้นำเทคโนโลยีด้าน Search AI จัดงานสัมมนา MCC X Elastic Partner Day 2025” เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2568 ณ โรงแรม Bangkok Marriott Marquis Queen’s Park โดยได้รับเกียรติจาก คุณวรัชญ์ รัตนธรรมมา, Assistant Vice President บริษัท เมโทรคอนเนค จำกัด กล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการ ซึ่งในงานครั้งนี้มุ่งเน้นการนำเสนอเทคโนโลยีล่าสุด และแนวทางการต่อยอดด้านโซลูชั่นไอที เพื่อตอบโจทย์การพัฒนากลยุทธ์ของคู่ค้าและองค์กรในยุคดิจิทัลสร้างเครือข่ายพันธมิตรเพื่อผลักดันธุรกิจร่วมกัน

คุณวรัชญ์ รัตนธรรมมา กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของ บริษัท เมโทรคอนเนค จำกัด ในการเป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายเทคโนโลยีที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศ โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากร และองค์กรเพื่อเตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี รวมถึงการสร้างพันธมิตรทางการตลาดที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยเร่งการขับเคลื่อนนวัตกรรม และการเติบโตของอุตสาหกรรมไอทีไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการนำ Elastic ซึ่งเป็นผู้นำด้านโซลูชั่นการค้นหา และการจัดการข้อมูล บุกตลาดไทยเต็มรูปแบบผ่านแพลตฟอร์มการจัดการข้อมูล Search AI Platform ประกอบกับศักยภาพของ บริษัท เมโทรคอนเนค จำกัด ที่พร้อมให้การสนับสนุนบริษัทคู่ค้า และลูกค้าเพื่อนำเทคโนโลยีของ Elastic ใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

เปิดมุมมองเทรนด์เทคโนโลยีล่าสุดจากวิทยากร Elastic

Mr. Ravi Rajendran, Area VP – ASEAN and Greater China Region จาก Elastic ได้บรรยายถึงทิศทาง และเป้าหมายของ Elastic ในการสนับสนุนองค์กรไทยให้พร้อมรับมือยุคที่ข้อมูล และการวิเคราะห์กลายเป็นหัวใจในการตัดสินใจทางธุรกิจ

คุณธงชัย วัฒนโสภณวงศ์Sales Director Indochina จาก Elastic บรรยายในหัวข้อ Accelerate Incremental Business by Solving Your Customer’s Data Challenges” โดยชี้ให้เห็นว่า Elastic เป็นแพลตฟอร์มซึ่งช่วยบริหารจัดการข้อมูลโดยใช้ระบบ AI เป็นหัวใจหลัก มีความสามารถในการจัดเก็บ ค้นหา และคาดการณ์ Incident อย่างแม่นยำ ตอบโจทย์ความต้องการไม่ว่าจะเป็นระบบ AIOps / Observability, Cybersecurity รวมไปถึงการใช้งานด้าน GenAI/RAG ช่วยเสริมความสามารถขององค์กรในการขยายธุรกิจในหลายมิติ

Mrs. Mindy Kam, Channels & Alliances, Growth Emerging Market จาก Elastic กล่าวถึงกลยุทธ์ Scaling with Partners” ในการขยายธุรกิจและเจาะตลาดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมสร้างความแข็งแกร่งให้กับคู่ค้า พร้อมสร้างโอกาสทางธุรกิจที่ยั่งยืน

งานสัมมนาครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้ง บริษัท เมโทรคอนเนค จำกัด และ Elastic ในการพัฒนาโซลูชั่นเทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อรองรับความต้องการของตลาดไทย และสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้กับลูกค้าและคู่ค้าในประเทศ

สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการของ Elastic สามารถติดต่อฝ่ายการตลาด บริษัท เมโทรคอนเนค จำกัด โทร. 02-0894880 หรืออีเมล mktmcc@metroconnect.co.th หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.metroconnect.co.th ได้ทันที


Exit mobile version