Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. จัดประกวดนวัตกรรม KMUTNB Innovation Awards 2025 ชิงเงินรางวัลนับแสน

สำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กำหนดจัด งานประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ประจำปี 2568 (KMUTNB Innovation Awards 2025) เปิดรับสมัครวันที่ 1 – 11 มีนาคม 2568 (เวลา 16:00 .) ชิงเงินรางวัลนับแสน

  การประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมพระจอมเกล้าพระนครเหนือ จะถูกจัดโชว์ผ่านการจัดแสดงนิทรรศการในรูปแบบออนไลน์ (Virtual Exhibition) ในวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน 2568 ณ ห้อง Cloud 9 ชั้น 9 อาคารสำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มจพ. กรุงเทพฯ ณ ที่เว็บไซต์ https://kmutnb-innoawards.com และนำเสนอผลงานรอบตัดสิน

มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้คณาจารย์นักวิจัยนักศึกษาและนักเรียนตลอดจนประชาชนทั่วไปได้มีเวทีในการแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์และองค์ความรู้ในการสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมและพัฒนาความรู้ความสามารถด้านนวัตกรรมเพี่อความได้เปรียบในการแข่งขันกับนานาประเทศรวมถึงสร้างความตระหนักและความตื่นตัวในการเป็นผู้ประกอบการตลอดจนการบ่มเพาะและเร่งการพัฒนาผู้ประกอบการเพื่อให้เกิดธุรกิจนวัตกรรมรายใหม่สนับสนุนการพัฒนาประเทศไปสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรมและสังคมฐานความรู้โดยมีรางวัลแบ่งเป็นประเภทต่างๆดังนี้

  1) รางวัลประเภท INNOVATIVE IDEAS (ID) จำนวน 6 รางวัล มูลค่ารวม 60,000 บาท

  2) รางวัลประเภท INNOVATIVE PRODUCTS (IP) จำนวน 6 รางวัล มูลค่ารวม 105,000 บาท

  3) รางวัลพิเศษ Special prize จากผู้สนับสนุนการจัดงาน

  4) รางวัลจากคะแนนโหวตผ่าน Virtual Exhibition

  ขอเชิญนักเรียน นิสิต นักศึกษา หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่มีไอเดีย นวัตกรรมสร้างสรรค์ ส่งผลงานเข้าร่วมประกวด ในงานประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ประจำปี 2568 (KMUTNB Innovation Awards 2025) เปิดรับผลงานผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ https://kmutnb-innoawards.com

  หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  ฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการจัดงานประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมพระจอมเกล้าพระนครเหนือ  สำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มจพ. โทรศัพท์ 0-2555-2000 ต่อ 1506, 1548 หรือที่ https://facebook.com/KMUTNBINNO


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม มจพ. รับสมัครนักศึกษาใหม่ ประจำปีการศึกษา 2568

คณะพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม สาขาวิชาการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมและทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่ ประจำปีการศึกษา 2568 หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต ระดับปริญญาตรี ใบที่ 2 โดยรับสมัครผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีทุกสาขา (ยกเว้นสาขาบริหารธุรกิจ) และนักศึกษาที่กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 4 (ยกเว้นสาขาบริหารธุรกิจ) ที่กำลังจะจบการศึกษาใน ภาคการศึกษาที่ 2/2567 โดยต้องมี Transcript  มายื่นในวันมอบตัว

รายละเอียดหลักสูตรและการรับสมัครดังนี้

หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต ระดับปริญญาตรี ใบที่ 2 สาขาวิชาการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมและทรัพยากรมนุษย์ (BBR-D) เรียน 1 ปีการศึกษา (2 ภาคเรียน) และฝึกปฏิบัติงานจริงในสถานประกอบการ 5 เดือน เรียนวันจันทร์ วันพุธ วันศุกร์ นอกเวลาราชการ และวันเสาร์เต็มวัน เปิดรับสมัคร 3 รอบดังนี้

  รอบที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม ถึง 31 มีนาคม 2568

  รอบที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1  เมษายน ถึง 20 พฤษภาคม 2568

  รอบที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 1  มิถุนายน ถึง 15 มิถุนายน 2568

   รายละเอียดหลักสูตรดูได้ที่เว็บไซต์ https://bid.kmutnb.ac.th/ สามารถสมัครเรียนออนไลน์ได้ที่ https://www.admission.kmutnb.ac.th/หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://lnk.bio/Bid.Kmutnb ฝ่ายวิชาการ ชั้น 2 อาคาร 96  คณะพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม มจพ.โทรศัพท์ 0-2555-2000 ต่อ 3813


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

DNB และ อีริคสัน เพิ่มศักยภาพเครือข่าย 5G ของมาเลเซียด้วยเทคโนโลยี 5G Advanced

บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติของประเทศมาเลเซีย หรือ Digital Nasional Berhad: (DNB) และ อีริคสัน ได้เปิดตัวเทคโนโลยี 5G Advanced บนเครือข่ายของ DNB ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายแรกที่เปิดตัวเทคโนโลยีนี้ โดยเทคโนโลยีใหม่นี้ใช้ประสิทธิภาพจาก AI เพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ด้วยความหน่วงต่ำพิเศษและรองรับปริมาณงานสูง เพื่อมอบประสบการณ์ที่เสมือนจริง

งานเปิดตัวนี้จัดขึ้นที่ My5G Portal Experience Centre ของ DNB ที่ตั้งอยู่ที่ย่าน Tun Razak Exchange หรือ TRX ศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ที่สำคัญของมาเลเซีย โดยมี นาย YB Gobind Singh Deo รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเป็นประธาน พร้อมด้วยผู้นำจากหน่วยงานรัฐบาลและผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือต่าง ๆ ในงานเปิดตัวเป็นการแสดงสดจากวงดนตรีที่สมาชิกวงอยู่กันสองสถานที่ โดยอาศัยประสิทธิภาพจากความหน่วงที่ต่ำพิเศษ แบนด์วิดธ์ที่สูง และความเสถียรของ 5G Advanced ทำให้วงสามารถเล่นพร้อมกันได้แบบเรียลไทม์ การสาธิตนี้ยังแสดงให้เห็นศักยภาพในการใช้งานด้านอื่น ๆ อาทิ การผ่าตัดทางไกล (Remote Surgery) และการศึกษาผ่านเทคโนโลยีเสมือนจริง (Immersive Education)

5G Advanced เป็นการต่อยอดพัฒนาขึ้นมาจากเครือข่าย 5G ทำให้เครือข่ายสามารถมอบประสบการณ์ให้กับผู้ใช้ได้อย่างสม่ำเสมอและเหนือชั้นในทุกเวลาและสถานที่ และมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมบนเครือข่ายเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ตามต้องการ โดยเครือข่าย DNB ยังได้รับประสิทธิภาพการดำเนินงานตามแนวทาง AI Intent-Based ของอีริคสัน เพื่อสร้างเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งความก้าวหน้าเหล่านี้สามารถช่วยยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้และเปิดโอกาสให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมสำหรับผู้บริโภค รวมถึงแอปพลิเคชันทางธุรกิจที่ไม่สามารถทำได้ด้วยเครือข่าย 5G แบบมาตรฐาน

โซลูชัน 5G Advanced ของอีริคสัน เช่น RedCap สามารถรองรับการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น โดยยืดอายุแบตเตอรี่และลดความซับซ้อนในอุปกรณ์ต่าง ๆ อาทิ อุปกรณ์สวมใส่และเซ็นเซอร์อุตสาหกรรม สำหรับภาคธุรกิจ นี่หมายถึงการใช้งาน IoT ที่ดีขึ้น ในประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีกว่า และมีวิธีที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้นในการสร้างนวัตกรรม โดย 5G Advanced ยังนำเสนอโซลูชันตามเจตนารมณ์ หรือ Intent-Based Solutions อาทิ ระบบประหยัดพลังงานอัตโนมัติ (Automated Energy Saver) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสมัครใช้บริการ Energy Efficiency and Management ของอีริคสัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานอย่างสูงสุด

ในสุนทรพจน์ของนาย YB Gobind แสดงถึงความหวังในการยกระดับเครือข่าย 5G ของมาเลเซีย โดยเน้นส่งเสริมการใช้งาน 5G ให้มากขึ้นในหมู่ผู้ใช้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคธุรกิจ “การเร่งการใช้งาน 5G ในธุรกิจต่าง ๆ มีความสำคัญต่อการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของมาเลเซีย ไม่เพียงแต่ทำให้มาเลเซียเป็นผู้นำด้าน 5G ในช่วงที่ประเทศเป็นประธานอาเซียนในปีนี้เท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการลงทุนดิจิทัลและมอบประโยชน์ให้กับประเทศเราในระดับภูมิภาค”

Datuk Azman Ismail ซีอีโอของ DNB กล่าวว่า “เครือข่าย 5G ของเราได้รับการยอมรับในระดับโลกในด้านประสิทธิภาพและความเสถียร DNB มุ่งหวังที่จะช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของธุรกิจในภาคส่วนต่าง ๆ ด้วยเทคโนโลยี 5G Advanced อาทิ ภาคการผลิต สาธารณสุข โลจิสติกส์ น้ำมันและก๊าซ เกษตรกรรม และการท่องเที่ยว ด้วยเครื่องมือขั้นสูงในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่พร้อมส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่เหนือชั้นกว่า”

David Hagerbro ประธานบริษัท อีริคสัน ประจำมาเลเซีย ศรีลังกา และบังกลาเทศ กล่าวว่า “เทคโนโลยี 5G Advanced เปิดใช้งานแล้วบนเครือข่ายของ DNB โดยอีริคสันยังคงมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพของ 5G Advanced ร่วมกับ DNB อย่างมียุทธศาสตร์เพื่อทำให้เครือข่ายมีความอัจฉริยะ มีประสิทธิภาพสูง และปลอดภัยยิ่งขึ้น สำหรับ DNB เป็นผู้นำระดับโลกด้าน 5G อยู่แล้ว และการเปิดตัว 5G Advanced จะช่วยตอกย้ำความเป็นผู้นำให้กับบริษัทฯ”

DNB ยังคงสนับสนุนการใช้งาน 5G ในกลุ่มสาธารณะ องค์กร และธุรกิจผ่านความร่วมมือและเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้ของโครงการการศึกษา ‘My5G Portal’ ภายใน DNB’s immersive 5G experience center เพื่อแสดงยูสเคสการใช้งานมากกว่า 50 ยูสเคสใน 12 อุตสาหกรรม นำเสนอประสบการณ์ที่จับต้องได้ให้แก่ผู้เยี่ยมชมเกี่ยวกับศักยภาพของเทคโนโลยี 5G สำหรับปฏิวัติวิธีที่ผู้คนทำงาน ดำเนินชีวิต และเล่นด้วยกัน

สิ้นเดือนธันวาคมปี 2567 มาเลเซียมีผู้สมัครใช้บริการ 5G ประมาณ 18.2 ล้านราย คิดเป็นสัดส่วนการใช้งานที่ 53.4% ตามที่มาเลเซียมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในภูมิภาค ดังนั้นการนำเทคโนโลยี 5G Advanced มาใช้จะมีบทบาทสำคัญเพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจพร้อมส่งเสริมสังคมที่เชื่อมต่อถึงกันมากยิ่งขึ้น


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

BINANCE TH ร่วมกับ GULF จับมือ ม.ธรรมศาสตร์ ลงนาม MoU พัฒนา “บุคลากรสินทรัพย์ดิจิทัล”

กรุงเทพฯ ประเทศไทย [24 กุมภาพันธ์ 2568] – BINANCE TH by Gulf BINANCE ผู้นำแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการกำกับดูแลภายใต้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (MOU) กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อพัฒนาและเติมทักษะให้กับบุคลากรรุ่นใหม่ เพื่อพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมต่าง ๆ รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย 

ข้อมูลจาก ก.ล.ต. เผยมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ณ เดือน มกราคม 2568 มีมูลค่ากว่า 9.95 หมื่นล้านบาท  โดยมีบัญชีนักลงทุนมากกว่า 2.45 ล้านราย สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดคริปโทเคอร์เรนซี่ที่มีความต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งในด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยังอยู่ในวงจำกัด  สอดคล้องกับข้อมูลของกระทรวงแรงงาน ที่ระบุว่า ณ ปัจจุบัน ประเทศไทยต้องการกําลังแรงงานด้านดิจิทัลมากกว่า 140,000 คน อาทิ วิศวกรซอฟต์แวร์ นักวิเคราะห์ข้อมูล นักพัฒนาเอไอ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ผู้พัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน ผู้พัฒนาโปรแกรมเซมิคอนดัคเตอร์ ไมโครชิป ออโตเมชั่น นักการตลาดดิจิทัล

นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า 

“กัลฟ์ให้ความสำคัญกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่เพียงภาคการเงินเท่านั้น เรามองเห็นโอกาสในการประยุกต์ใช้บล็อกเชนในธุรกิจที่หลากหลาย เช่น การซื้อขายคาร์บอนเครดิต การบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียน และการทำธุรกรรมซื้อขายไฟฟ้า แต่การที่จะขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นจริง เราจำเป็นต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถที่พร้อม ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในครั้งนี้ จึงเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ ที่จะเข้าใจทั้งด้านพลังงานและเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานของไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น นอกจากนี้ การมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านคริปโทเคอร์เรนซี จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีบล็อกเชนในภูมิภาค และดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้อีกด้วย”

นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด กล่าวว่า “การเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยกำลังขยายตัวขึ้นอย่างมาก โดยในปี 2024 มูลค่าการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มของเราเติบโตขึ้นกว่า 300% และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ จากการยอมรับของนักลงทุนสถาบันที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการอนุมัติ Bitcoin ETF ในสหรัฐฯ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ดังนั้นเราจึงต้องเร่งพัฒนาบุคลากรด้านบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลให้ทันต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม ผ่านการพัฒนาหลักสูตร e-Learning และ Blended Learning  ที่ครอบคลุมทั้งด้านทฤษฎีและการประยุกต์ใช้จริง โดยจะเน้นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชน สินทรัพย์ดิจิทัล การเงินดิจิทัล และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้นักศึกษาไทยมีความรู้ทัดเทียมในระดับสากล และพร้อมเป็นผู้นำในการพัฒนาระบบการเงินดิจิทัลของประเทศในอนาคตอันใกล้”

ศาสตราจารย์ ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มุ่งมั่นในการผลิตบัณฑิตที่มีความพร้อมรับมือกับความท้าทายในศตวรรษที่ 21  มธ.พร้อมปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเราตั้งเป้าผลิตบัณฑิตด้านนี้กว่า 8,000 คนต่อปี และความร่วมมือกับผู้นำทั้งในอุตสาหกรรมพลังงานและสินทรัพย์ดิจิทัลครั้งนี้ จะช่วยยกระดับการเรียนการสอนให้มีความทันสมัย ผ่านการผสมผสานองค์ความรู้จากในและนอกห้องเรียน รวมถึงประสบการณ์จริงจากภาคธุรกิจ ช่วยให้นักศึกษาได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด และนำมาต่อยอดได้ นอกจากนั้นนักศึกษาและบุคลากรไทยที่เข้าร่วมโครงการนี้จะได้รับประโยชน์มากมาย เช่น โอกาสในการฝึกงานกับบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โอกาสในการทำงานในตำแหน่งที่กำลังเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน และโอกาสในการสร้างเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ”

Changpeng Zhao (CZ) อดีต CEO ของ Binance กล่าวว่า “เราเชื่อว่าการศึกษาเป็นรากฐานของนวัตกรรมและการเข้าถึงทางการเงิน ความร่วมมือของเรากับ Gulf Thailand และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อให้ความรู้แก่นักศึกษา 1,000 คนเกี่ยวกับบล็อกเชนและคริปโตถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพให้กับคนรุ่นต่อไปของประเทศไทยด้วยความรู้และทักษะที่จำเป็นในการเติบโตในเศรษฐกิจดิจิทัล

ประเทศไทยมีระบบนิเวศบล็อกเชนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และการเสริมสร้างความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยีคริปโตให้กับเยาวชนจะช่วยขับเคลื่อนการยอมรับอย่างรับผิดชอบ การเป็นผู้ประกอบการ และการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ความคิดริเริ่มนี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนกลุ่มผู้มีความสามารถในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างอุตสาหกรรมคริปโตระดับโลกด้วยการส่งเสริมชุมชนผู้นำ นักพัฒนา และนักประดิษฐ์ในอนาคตที่มีข้อมูลครบถ้วน

เรารู้สึกภูมิใจที่ได้ร่วมมือในความพยายามเชิงกลยุทธ์นี้และยังคงมุ่งมั่นที่จะทำให้การศึกษาเกี่ยวกับบล็อกเชนเข้าถึงได้สำหรับทุกคน เพื่อให้แน่ใจว่าประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตของ Web3″

ความร่วมมือครั้งนี้มีระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่การลงนาม โดยทั้งสามองค์กรจะร่วมกันพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของนักศึกษาและบุคลากรให้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการมุ่งผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง Digital Asset Hub แห่งอาเซียน ซึ่งคาดว่าภูมิภาคนี้จะมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 1.3 แสนล้านบาท ภายในปี 2025

คำเตือน: คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาข้อมูลและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

เกี่ยวกับไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์

ไบแนนซ์ คือแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลโดยได้รับใบอนุญาตภายใต้ชื่อบริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท กัลฟ์ อินโนวา จำกัด (บริษัทในเครือของบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไบแนนซ์ แคปปิตอล แมเนจเมนท์ จำกัด (บริษัทในเครือของกลุ่ม BINANCE) 


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

JETRO ร่วม BOI และ EECO เชิญผู้สนใจร่วมงาน “Thailand-Japan Sustainable Business Forum 2025”

องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร : JETRO) สำนักงานกรุงเทพฯ ได้มีการจัดตั้ง  Sustainable Business Desk ขึ้นเพื่อส่งเสริมข้อริเริ่มมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนหรือ Carbon Neutrality (CN) ซึ่งงานฟอรั่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือธุรกิจเพื่อความยั่งยืนไทย-ญี่ปุ่น

โอกาสนี้ เจโทร กรุงเทพฯ ได้ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และ สำนักงานคณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EECO) จัดงาน Thailand-Japan Sustainable Business Forum 2025 ขึ้นในวันที่ 4 มีนาคม 2568 เวลา 15.00 – 17.00 น. ณ ห้องบอลรูม 1 ชั้น 4 โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ

ภายในงานได้รับเกียรติกล่าวเปิดงานจากนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พร้อมด้วย ดร. จุฬา สุขมานพ. เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EECO) และ นายคุโรดะ จุน ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนไทย-ญี่ปุ่น ด้านการลงทุนและการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน

นอกจากนั้นภายในงานยังมีพิธีลงนามโครงการนำร่องการส่งเสริมเทคโนโลยีดักจับและใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (CCUS) โดยอาศัยจุลสาหร่ายเพื่อสนับสนุนแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก  (Microalgae CCUS) ระหว่าง โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP Power Limited) และ บริษัท Algal Bio  พร้อมด้วยการเสวนาโดยผู้นำธุรกิจจากไทยและญี่ปุ่น ที่จะนำเสนอนวัตกรรมและการประยุกต์ใช้เพื่อผลลัพธ์ด้านความยั่งยืนและเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (CN) อาทิ  เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF) ที่ได้ร่วมกับ บริษัท Thermalytica ในการนำเสนอแนวทางความยั่งยืนและโครงการนำร่องด้านเทคโนโลยีการลดอุณหภูมิในโรงเรือนเพื่อทดสอบแนวคิด กระบวนการ หรือขั้นตอน (Proof of Concept (PoC)) ในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมด้วยบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) และ บริษัท CBT/Toray ที่จะนำเสนอการพัฒนาเศษวัสดุทางการเกษตร เช่น น้ำตาลชีวภาพจากชีวมวลที่ไม่ใช้เป็นอาหารไปสู่การผลิตเรซินชีวภาพและเส้นใยชีวภาพเพื่อการพาณิชย์ ซึ่งสามารถตอบโจทย์เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำได้

สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมงานฯ สามารถลงทะเบียนได้แล้วที่ https://forms.office.com/r/HtArTSsbP3 และหาข้อมูลเพิ่มเติมที่https://www.jetro.go.jp/thailand/topics/_534311.html


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ใช้ชีวิตให้ติดสบาย กับเครื่องปรับอากาศมิตซูบิชิ อีเล็คทริค มิสเตอร์สลิม พร้อมแนะนำรุ่นใหม่! XZ Series

บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค กันยงวัฒนา จำกัด ขอแนะนำเครื่องปรับอากาศมิสเตอร์สลิม ระบบอินเวอร์เตอร์ รุ่นใหม่ล่าสุด 3 ซีรีส์ XZ Series มาพร้อม 3D Move-Eye Comfort Sensor เซ็นเซอร์ที่ช่วยมอบความเย็นสบายให้ผู้ใช้งานได้อย่างรู้ใจ และช่วยให้ประหยัดพลังงานได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยจัดการปัญหาฝุ่นได้อย่างครบวงจร โดยแผ่นกรองอากาศและแผ่นกรองฝุ่น PM 2.5 Filter สามารถกำจัดไวรัส แบคทีเรีย รวมทั้งลดปัญหาฝุ่นเกาะภายในเครื่องด้วย Dual Barrier Coating และเพื่อให้เข้ากับทุกสไตล์การแต่งห้องได้มากขึ้น ได้เพิ่มสีดำใหม่นอกเหนือจากสีขาว นอกจากนี้ยังมีเครื่องปรับอากาศอีกหลายรุ่นที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน อาทิ รุ่น GZ Series โดดเด่นด้วย ECO EYE Sensor เซ็นเซอร์อัจฉริยะตรวจจับความเคลื่อนไหวเพื่อลดการใช้พลังงานเกินความจำเป็น หากไม่พบผู้ใช้งานภายในห้อง สามารถเปิด – ปิดเครื่องปรับอากาศได้อัตโนมัติ โดยไม่ต้องกดรีโมท มาพร้อมฟังก์ชัน Fast cooling Plus ให้คุณเย็นเร็วทันใจ สบายกว่าเดิม โดยจะเร่งรอบการทำงานของคอมเพรสเซอร์และส่งลมเย็นไปยังผู้ใช้งานบริเวณกลางห้อง เพื่อให้คุณรู้สึกเย็นอย่างรวดเร็ว เมื่ออุณหภูมิภายในห้องเย็นขึ้นจะปรับเข้าสู่โหมด Swing เพื่อกระจายความเย็นไปทั่วบริเวณห้อง และบานเกล็ดจะปรับเข้าสู่ตำแหน่งบนสุด เพื่อไม่ให้ผู้ใช้งานรู้สึกเย็นจนเกินไป และเกิดความสบายสูงสุด พร้อมมาตรฐานฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ระดับ 3 ดาว และ รุ่น Happy Plus Inverter MZ Series ฟังก์ชันที่ครบครัน คุ้มค่า ถูกออกแบบมาเพื่อความสบายด้วยดีไซน์ที่สะดวกต่อการล้างทำความสะอาดได้ง่าย เพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานยิ่งขึ้น ด้วยฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ระดับ 1 ดาว เป็นต้น

พบกับมิตซูบิชิ อีเล็คทริค มิสเตอร์สลิม ระบบอินเวอร์เตอร์ใหม่ ได้แล้ววันนี้ที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมโทร. 02-763-7000 กด 7 หรือ www.mitsubishi-kyw.co.th/Product/For-Home/conditioner.aspx


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยโฉมโซลูชั่นสำหรับ AI ดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านพลังงานและความยั่งยืน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ด้านการบริหารจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ เร่งผลักดันโซลูชั่นดาต้าเซ็นเตอร์ที่พร้อมรองรับ AI ได้ครบวงจร ด้วยการเปิดตัวโซลูชั่นใหม่เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายเร่งด่วนด้านพลังงานและความยั่งยืน ที่เกิดจากความต้องการด้านระบบ AI ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด

ประกาศเรื่องแรกคือการเปิดตัวการออกแบบอ้างอิงใหม่สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ (New data center reference design) ซึ่งเป็นการพัฒนาร่วมกับ NVIDIA รองรับการระบายความร้อนด้วยของเหลว และคลัสเตอร์ AI ที่มี high-density ได้สูงสุดถึง 132 กิโลวัตต์ต่อแร็ค การออกแบบใหม่นี้ มีการประยุกต์ให้เหมาะกับชิป GB200 NVL72 และ Blackwell ของ NVIDIA โดยช่วยลดความซับซ้อนในกระบวนการวางแผนและการติดตั้ง ด้วยสถาปัตยกรรมที่ผ่านการพิสูจน์และรับรอง ซึ่งตอบโจทย์ความท้าทายเฉพาะในการใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวในสเกลใหญ่

นอกจากนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังเปิดตัว ยูพีเอสรุ่นใหม่  Galaxy VXL มี high-density สูง ในรูปทรงที่กะทัดรัดที่สุดในอุตสาหกรรม โดยยูพีเอสแบบ high-density ตัวนี้ ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งาน AI ดาต้าเซ็นเตอร์และเวิร์กโหลดไฟฟ้าขนาดใหญ่ ซึ่ง Galaxy VXL นี้ช่วยให้สามารถประหยัดพื้นที่ได้ถึง 52% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม และด้วยความหนาแน่นด้านพลังงานที่สูงถึง 1,042 กิโลวัตต์ ต่อตารางเมตร จึงเป็นยูพีเอสแบบโมดูลาร์ที่ปรับขยายได้ถึง 1.25 เมกะวัตต์ โดยออกแบบมาเพื่อให้พลังงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีความหนาแน่นสูง

ทั้งสองนวัตกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโซลูชั่นดาต้าเซ็นเตอร์ที่รองรับ AI แบบครบวงจรของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่มุ่งเน้น 3 เรื่องหลัก ได้แก่ การพัฒนากลยุทธ์ด้านพลังงานสำหรับยุค AI การปรับใช้โครงสร้างพื้นฐานขั้นสูง และการให้คำปรึกษาด้านความยั่งยืน เพื่อให้ประโยชน์สำหรับเจ้าของและผู้ประกอบการดาต้าเซ็นเตอร์ ในการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานที่มีความหนาแน่นสูงและประหยัดพลังงาน เพื่อรองรับเวิร์กโหลด AI ได้อย่างยั่งยืนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

“ผลกระทบด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมจาก AI กำลังขยายตัวรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องลดปริมาณการใช้พลังงานให้น้อยลง ด้วยการหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจากดาต้าเซ็นเตอร์และโครงสร้างพื้นฐานระบบดิจิทัล” ปานกาจ ชาร์มา รองประธานบริหาร กลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ และเครือข่าย ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “ที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เรามุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามขีดจำกัด ด้วยการยกระดับมาตรฐานใหม่ และกำหนดทิศทางอนาคตของ AI ควบคู่กับการปกป้องสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องอาศัยกลยุทธ์ที่ครอบคลุมตั้งแต่ระบบกริด ไปจนถึงชิป เครื่องทำความเย็น และอื่นๆ อีกมากมาย”

การเป็นพันธมิตรกับ NVIDIA

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้พัฒนาการออกแบบอ้างอิงด้านดาต้าเซ็นเตอร์ล่าสุดร่วมกับ NVIDIA โดยรองรับคลัสเตอร์ AI ที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว พร้อมทั้งแก้ปัญหาท้าทายในการติดตั้งระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวในสภาพแวดล้อมดาต้าเซ็นเตอร์ประเภท Hyperscale, Colocation และ Enterprise โดยเฉพาะ

การออกแบบอ้างอิงนี้ สร้างจากความร่วมมือระหว่างสองบริษัท โดยให้ทางเลือกทั้งสำหรับระบบกระจายของเหลวหล่อเย็น (Liquid-to-liquid Coolant Distribution Units หรือ CDUs) ไปยังจุดต่างๆ ของระบบระบายความร้อน และระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวหล่อเย็นให้ไหลผ่านโดยตรงไปยังชิป (Direct-to-Chip) ซึ่งเป็นจุดที่มีความร้อนสูง นอกจากนี้ยังแบ่งปันแผนงานด้านกลไกการทำงานและระบบไฟฟ้าอย่างครบถ้วน เพื่อให้มั่นใจถึงการดำเนินงานของ AI ดาต้าเซ็นเตอร์ ในอนาคตที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

การออกแบบดังกล่าว พัฒนาขึ้นโดยใช้เครื่องมือด้านซอฟต์แวร์ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค เช่น Ecodial และ EcoStruxure™ IT Design CFD โดยสามารถปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการเฉพาะด้านเวิร์กโหลด AI ขณะเดียวกันยังช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ประโยชน์จากการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนและให้ประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงสุดสำหรับการใช้งานแบบ high-density

การสร้างอนาคตของการประมวลผลแบบเร่งความเร็ว และ AI จำเป็นต้องอาศัยความเร็วและระบบโครงสร้างที่มั่นคง” เจนเซนหวง ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ NVIDIA กล่าว “ความร่วมมือของเรากับ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยให้ลูกค้าสามารถออกแบบนวัตกรรมเทคโนโลยีของโลกบนโครงสร้างพื้นฐานที่เสถียรและมีความยืดหยุ่น เรากำลังร่วมกันสร้างศูนย์ข้อมูล AI ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการประมวลผลแบบเร่งความเร็ว รองรับสถาปัตยกรรมที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการส่งมอบระบบอัจฉริยะทางดิจิทัลให้กับทุกบริษัทและทุกอุตสาหกรรม”

โซลูชั่น AI ดาต้าเซ็นเตอร์ แบบครบวงจร

การประกาศเปิดตัวนวัตกรรมเหล่านี้ นับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในการสร้างโซลูชั่นดาต้าเซ็นเตอร์แบบครบวงจร ให้ความยั่งยืน และพร้อมรองรับ AI อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อช่วยลูกค้าลดการปล่อยคาร์บอนจากโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทุกที่ทั่วโลก โดยเน้นที่ 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

กลยุทธ์พลังงานสำหรับยุค AI: ชไนเดอร์ อิเล็คทริค สนับสนุนบริษัทต่าง ๆ ในการจัดหาพลังงานหมุนเวียนและเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้าในสถานที่ได้อย่างเหมาะสม ด้วยแหล่งพลังงานที่หลากหลาย เช่น ลม แสงอาทิตย์ และไฮโดรเจน โดยให้บริการหลากหลาย เช่น การเลือกสถานที่ และการวิเคราะห์ภูมิศาสตร์ตามแผนการติดตั้งของลูกค้า รวมถึงสนับสนุนการผลิตพลังงานในสถานที่ผ่าน AlphaStruxure ซึ่งช่วยให้มั่นใจถึงความรวดเร็วในการออกสู่ตลาด ความน่าเชื่อถือ ความยืดหยุ่น และความยั่งยืนของแหล่งพลังงานที่เลือกใช้

โซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานขั้นสูง ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้พัฒนาพอร์ตโฟลิโอที่ครอบคลุมระบบโครงสร้างพื้นฐานที่มีความหนาแน่นสูง และประหยัดพลังงาน เพื่อรองรับความต้องการด้าน AI ที่เกินกว่า 100 กิโลวัตต์ ต่อแร็ค ซึ่งรวมถึงส่วนประกอบโครงสร้างพื้นฐานของดาต้าเซ็นเตอร์ตั้งแต่กริดไปจนถึงชิป และจากชิปไปจนถึงชิลเลอร์ รวมถึงซอฟต์แวร์บริหารจัดการพลังงาน และการมอนิเตอร์ระยะไกลด้วยขุมพลังของ AI และการบริการด้านดิจิทัลสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพตลอดวงจรการทำงานของระบบเหล่านี้

Galaxy VXL UPS รุ่นใหม่ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่เปิดตัวในวันนี้ เป็นผลิตภัณฑ์ล่าสุดที่เสริมเข้ามาในสายผลิตภัณฑ์ด้านระบบโครงสร้างพื้นฐานขั้นสูงที่ครบวงจรของบริษัทฯ

นอกจากนี้ เพื่อรับมือกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นจากเวิร์กโหลดที่มี high-density สูง ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เพิ่งลงนามในข้อตกลงเพื่อเข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ใน Motivair Corporation ซึ่งจะช่วยเสริมสายผลิตภัณฑ์ด้านการระบายความร้อนด้วยของเหลวของบริษัทและเสริมความเชี่ยวชาญในระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวแบบ Direct-to-Chip และโซลูชั่นความร้อนที่มีความจุสูง

ให้ประสิทธิภาพและความยั่งยืน ธุรกิจที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยลูกค้าลดคาร์บอนได้เกินเป้าหมายด้วยกลยุทธ์ความยั่งยืนที่ปรับให้เหมาะต่อความต้องการเฉพาะ รวมถึงการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และโปรแกรมการมีส่วนร่วมกับซัพพลายเออร์ โดยบริการให้คำปรึกษาระดับโลกเหล่านี้ ยังให้ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลผ่าน EcoStruxure Resource Advisor และได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญ 2,400 ราย ในกว่า 100 ประเทศ

เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของ AI

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังสนับสนุนแนวทางที่ยึดตามหลักวิทยาศาสตร์ในการ ‘bend the curve’ ซึ่งเป็นการลดการใช้พลังงาน หัวใจสำคัญของแนวทางนี้คือการนำ ‘ความฉลาดด้านพลังงานสำหรับ AI ที่ยั่งยืน’ มาช่วย ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เชื่อว่าสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้ ด้วยการผสานโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลเข้ากับการดำเนินงานที่ขับเคลื่อนด้วย AI

วิธีนี้นอกจากจะช่วยให้อุตสาหกรรมต่างๆ ลดการปล่อยคาร์บอนจากการใช้พลังงานของ AI แล้ว ยังเป็นการนำความสามารถของ AI มาช่วยในการตรวจสอบและให้ข้อมูลเชิงลึก เสมือนเป็นเครื่องมือที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในวงกว้างได้อีกด้วย การบรรลุวิสัยทัศน์นี้ต้องอาศัยความมุ่งมั่นร่วมกันในการติดตั้งโซลูชั่นที่ให้ความยั่งยืนและใช้ศักยภาพของ AI มาช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพในทุกภาคส่วน
“ภายในปี 2027 คาดว่าการใช้พลังงานไฟฟ้าของดาต้าเซ็นเตอร์จะคิดเป็น 2.5% ของความต้องการพลังงานทั่วโลก โดยส่วนที่เหลือ 97.5% จะกระจายอยู่ตามอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อาคาร ภาคการผลิต ภาคขนส่ง และภาคพลังงาน” นายฌอน เกรแฮมกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัย ด้าน Cloud to Edge Datacenter Trends จาก IDC กล่าว “ในขณะที่ดาต้าเซ็นเตอร์ต่างมุ่งสู่เป้าหมายการเป็น Net Zero ท่ามกลางการเติบโตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน คำมั่นสัญญาด้านความยั่งยืนที่แท้จริงอยู่ที่การใช้ AI เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดในอุตสาหกรรมต่างๆ ดังที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และ NVIDIA ได้ให้เห็นว่าความร่วมมือในระยะยาว และนวัตกรรม คือสิ่งจำเป็นในการขับเคลื่อนประสิทธิภาพและความยั่งยืน”

ข้อมูลเพิ่มเติมด้านการออกแบบอ้างอิง ที่พัฒนาร่วมกับ NVIDIA ในยูพีเอสรุ่น Galaxy VXL หรือ โซลูชั่นดาต้าเซ็นเตอร์ที่พร้อมสำหรับ AI แบบครบวงจร เยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. จัดงานวันรวมน้ำใจชาว มจพ. ประจำปี 2568 “66 ปี มจพ. ผู้นำนวัตกรรม สู่พลังสร้างสรรค์ ผลักดันเศรษฐกิจไทย”

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) จัดงานวันรวมน้ำใจชาว มจพ. “66 ปี มจพ. ผู้นำนวัตกรรม สู่พลังสร้างสรรค์ ผลักดันเศรษฐกิจไทยเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ครบรอบ 66 ปี ในวันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 พร้อมกับประกาศเกียรติคุณศิษย์เก่าดีเด่นคณาจารย์และนักศึกษาผู้มีผลงานดีเด่นสร้างชื่อเสียงในระดับนานาชาติผู้ปฏิบัติงานดีเด่นรวมทั้งผู้มีคุณูปการแก่มหาวิทยาลัยด้านต่างๆกิจกรรมมีดังนี้

ภาคเช้า ศ.ดร. ธานินทร์  ศิลป์จารุ รักษาการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตร โดยมี ศ.ดร. ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภามหาวิทยาลัย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและบุคลากร ร่วมในพิธีทำบุญถวายภัตตาหารเช้าและตักบาตรอาหารแห้งพระสงฆ์ จำนวน 19 รูป

ภาคสาย ศ.ดร. ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เป็นประธานในพิธีรำลึกถึงทวาปูชนียาจารย์ ศาสตราจารย์ ดร.บุญญศักดิ์ ใจจงกิจ และ Dipl. Ing Karl Stützle อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมัน และเป็นผู้ก่อตั้ง ผู้บุกเบิกมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือในนามเทคนิคไทยเยอรมัน.ดร. ธานินทร์  ศิลป์จารุ รักษาการแทนอธิการบดี มจพ. กล่าวคำระลึกถึงทวาปูชนียาจารย์ และ รศ.ดร.ณัฐพงศ์ มกระธัช รองอธิการอธิการบดีฝ่ายพัฒนามหาวิทยาลัยเพื่อความยั่งยืน กล่าวรายงาน

ภาคบ่าย พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข  องคมนตรี ประธานในพิธีประกาศเกียรติคุณศิษย์เก่าดีเด่น มจพ.” และมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่ศิษย์เก่าดีเด่น จำนวน 35 ราย โดยมี ผศ.ดร.ทักษิณ  แสงสุวรรณ กล่าวรายงาน

ภาคค่ำ พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข  องคมนตรี เป็นประธานกล่าวเปิดงานวันรวมน้ำใจชาว มจพ. “66 ปี มจพ.  ผู้นำนวัตกรรม  สู่พลังสร้างสรรค์  ผลักดันเศรษฐกิจไทย  พร้อมด้วยผู้แทนเอกอัครราชทูตเยอรมนี ประจำประเทศไทย และผู้แทนเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ประจำประเทศไทย ชมวีดิทัศน์  “66 ปี มจพ.  ผู้นำนวัตกรรม  สู่พลังสร้างสรรค์  ผลักดันเศรษฐกิจไทยมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ ให้แก่ บุคคลเกียรติยศ มจพ. ประจำปี 2567 และรับชมการแสดง  โดย นักศึกษาชมรมศิลปการแสดง การแสดงดนตรีสากล โดย วงดนตรีประดู่แดง  ตามลำดับ      

ขวัญฤทัย ข่าว / สมเกษ ถ่ายภาพ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค นำจัดงาน Innovation Day เปิดตัว MasterPacT MTZ Active เบรกเกอร์ขุมพลังดิจิทัล

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค นำทีมโดย นายเผดิมศักดิ์ รัตนเรืองศักดิ์ (กลาง) รองประธานฝ่ายธุรกิจ เพาเวอร์ โพรดักส์ ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ไทย ลาว และเมียนมา  ได้จัดงาน Innovation Day เปิดตัว MasterPacT MTZ Active เซอร์กิตเบรกเกอร์มาพร้อมขุมพลังแห่ง IoT รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้า ยกระดับความปลอดภัยและความยั่งยืน มาพร้อม Energy Reduction Maintenance Setting (ERMS) ภายในตัว ช่วยปกป้องอันตรายจากประกายไฟ ที่อาจเกิดกับเจ้าหน้าที่บำรุงรักษา และด้วยการออกแบบที่ใช้งานง่ายของชุดควบคุม ช่วยให้การตั้งค่าฟังก์ชั่นการป้องกันทั้งหมดสะดวกขึ้น รวมถึงเรื่องของกระแสไฟฟ้า การทดเวลา และการแจ้งเตือน อีกทั้งตอกย้ำความมุ่งมั่นด้านการคิดค้นนวัตกรรมของชไนเดอร์ อิเล็คทริค งานนี้ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานจำนวนมาก อาทิ ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมพลังงาน และพันธมิตรทางธุรกิจ โดยงานมีขึ้น ณ QUARTIER CineArt, ชั้น 4, ศูนย์การค้า EmQuartier เมื่อเร็วๆ นี้


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. เปิดตัว มินิบัสไฟฟ้าสำหรับระบบขนส่งสาธารณะระบบรอง

.ดร.ธานินทร์  ศิลป์จารุ อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ประธานพิธีแถลงข่าวเปิดตัวรถมินิบัสไฟฟ้า สำหรับระบบขนส่งสาธารณะระบบรอง  (Electric Mini Bus Prototype for Feeder Public Transport System)  พร้อมด้วย ศ.ดร.สมฤกษ์ จันทรอัมพร รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย  รศ.ดร.กัมปนาท เทียนน้อย ผู้อำนวยการสำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวรายงานและวัตถุประสงค์ของโครงการ   และ ผศ.ดร.ชินวุธ พิพัฒน์ภานุกูล  ผอ. กลุ่มภารกิจพัฒนาวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และ ผู้แทนบริษัท เชิดชัย คอร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมพิธี  ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์   2568  ณ ห้องประชุม   Cloud 9  ชั้น 9  อาคารสำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มจพ.

โครงการวิจัยมินิบัสไฟฟ้าสำหรับระบบขนส่งสาธารณะระบบรอง  ได้รับทุนสนับสนุนจาก กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประจำปีงบประมาณ พ.. 2566 จัดสรรโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และมี บริษัท เชิดชัย คอร์ปอเรชั่น จำกัด  หน่วยงานเข้าร่วมโครงการ     

สำหรับรถมินิบัสไฟฟ้าคันนี้ มีขนาด 7 เมตร จำนวน 18 ที่นั่ง รองรับการใช้บริการของผู้พิการ สามารถวิ่งได้ระยะทาง 100 กิโลเมตรต่อการประจุไฟฟ้า 1 ครั้ง ด้วยความเร็วสูงสุด 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และที่สำคัญ สามารถรองรับการอัดประจุไฟฟ้าได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ DC , AC  และแบบไร้สาย พัฒนาขึ้นโดยทีมวิจัย มจพ. นำโดย ผศ.ดร.ชัยยุทธ์ สัมภวะคุปต์ ภาควิชาเทคโนโลยีวิศวกรรมเครื่องต้นกำลัง วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม พร้อมด้วย ผู้ร่วมวิจัย รศ.ดร.กัมปนาท เทียนน้อย รศ. ดร.ธวัชชัย วงศ์ช่าง ผศ.ดร.วัลลภ กิติสาธร ผศ.ดร.ธีรวัฒน์ คลับคล้าย อ.ดร. วัยอาจ สายคง และ อ.ดร. สุนทรโอษฐงาม

สำหรับเป้าหมายของทีมวิจัยที่มีต่อผลงานชิ้นนี้ มุ่งหวังให้เกิดการใช้ประโยชน์รถมินิบัสไฟฟ้าอย่างแท้จริง เช่น การให้บริการสำหรับบุคลากร เจ้าหน้าที่ และนักศึกษาของ มจพ. ที่ต้องการใช้บริการในเส้นทางที่กำหนด เพื่อเดินทางไปกลับ ระหว่าง มจพ. กับจุดหยุดรถที่เชื่อมต่อกับแนวเส้นทางวิ่งของโครงการรถไฟฟ้า หรือการต่อยอดในเชิงพาณิชย์ ให้เกิดการเพิ่มสัดส่วนการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าในภาคขนส่งสาธารณะมากขึ้นทั่วประเทศ เพื่อให้คนไทยได้ใช้ชีวิตประจำวันที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยส่งเสริมการใช้ Local Content ลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ ส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าในประเทศ ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าและต่อยอดอุตสาหกรรมเดิมของประเทศไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ได้อย่างยั่งยืน


Exit mobile version