Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะสถาปัตยกรรมและการออกแบบ มจพ.ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน TOP 5 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด กทม. จากการจัดอันดับโดย EduRank ในสาขาสถาปัตยกรรม

คณะสถาปัตยกรรมและการออกแบบ มจพ.ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน TOP 5 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดใน กทม. จากผลการจัดอันดับโดย EduRank ในสาขาสถาปัตยกรรม   

คณะสถาปัตยกรรมและการออกแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน TOP 5 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในกรุงเทพมหานคร จากผลการจัดอันดับโดย EduRank ในสาขาสถาปัตยกรรม  เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ด้วยความโดดเด่นในหลักสูตรของเราสถาปัตยกรรม Architecture,ออกแบบภายใน Interior Design,ออกแบบผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเซรามิกส์ Innovative Ceramics Product Design,ศิลปประยุกต์และการออกแบบผลิตภัณฑ์ Applied Art and Product Design,การจัดการงานออกแบบภายในและพัฒนาธุรกิจ Interior Design Management and Business Development และสถาปัตยกรรมศาสตรมหาบัณฑิต และปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานวัตกรรมการออกแบบเพื่อความยั่งยืน Master/Doctor of Architecture (Innovation and Designing for Sustainability)   

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จนี้คือก้าวสำคัญของการเป็นผู้นำทางการออกแบบและนวัตกรรมด้านการออกแบบเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:https://edurank.org/art-design/architecture/bangkok/


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มัดรวมสูตรสำเร็จ EcoStruxure™ IT ปี 2024 พร้อมเจาะลึกพัฒนาการก้าวต่อไป ในปี 2025

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น สำหรับการบริหารจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ เปิดเผยถึงความสำเร็จของเส้นทางในการพัฒนา EcoStruxure IT ในปีที่ผ่านมา พร้อมแผนงานปี 2025 ว่ายังคงมุ่งเน้นที่การช่วยให้ลูกค้าใช้ซอฟต์แวร์ Data Center Infrastructure Management (DCIM) อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้โครงสร้างพื้นฐานด้านไอที มีความยืดหยุ่น ปลอดภัย และยั่งยืนมากที่สุด ในทุกที่

ท่ามกลางความท้าทายที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนของการใช้งานไฮบริดไอที นับเป็นโอกาสดีที่จะหันมาทบทวนว่า EcoStruxure IT ช่วยให้องค์กรลูกค้าเติบโตอย่างไรบ้าง และระบบของเราช่วยให้โครงสร้างพื้นฐานไอทีมีความยืดหยุ่น ปลอดภัยและยั่งยืนอย่างไรบ้าง

การอัปเดตและพัฒนาต่อเนื่องเพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้ระบบมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างความสำเร็จบางส่วนในการดำเนินการปีที่ผ่านมา ซึ่งทีมงาน EcoStruxure IT ได้มีการปรับปรุงและเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์ทั้งสำหรับการใช้งานแบบ On-Premise และ Cloud-Based เพื่อช่วยให้การดำเนินงานของลูกค้าง่ายขึ้น ยืดหยุ่นมากขึ้น ได้แก่

  • นโยบายในการแจ้งเตือน (alarm threshold policies) ใน IT Expert สามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนโดยใช้เงื่อนไขขั้นสูง เช่น กำหนดให้แจ้งเตือนหากอุณหภูมิสูงเกิน 25 องศาจากค่าปกตินานเกิน 30 นาที ช่วยลดจำนวนการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็นและทำให้มีความแม่นยำมากขึ้น
  • วิดเจ็ต “Service Contracts and Visits” บนแดชบอร์ดของ IT Expert ช่วยให้องค์กรดูภาพรวมของอุปกรณ์ทั้งหมดได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว พร้อมแจ้งให้ทราบว่าอุปกรณ์ใดอยู่ภายใต้สัญญาบริการ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะได้รับการอัปเดตทุกสัปดาห์
  • การบันทึกเหตุการณ์ (Windows event logging) สำหรับ PowerChute ช่วยให้สามารถบันทึกทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระบบได้ โดยจะรวบรวมข้อมูลไว้ที่ส่วนกลางเพื่อให้สามารถติดตามเหตุการณ์เหล่านั้นได้ง่ายขึ้น  นอกจากนี้ ยังรองรับ Syslog สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการส่งบันทึกเหตุการณ์ไปที่ Syslog Server ส่วนกลางได้ด้วย
  • ขยายการรองรับ PowerChute vCLS สำหรับทุกการตั้งค่า UPSช่วยให้เลือกปิดระบบเฉพาะส่วนที่จำเป็นได้อย่างยืดหยุ่น
  • รองรับ LDAP (Lightweight Directory Access Protocol) บน Network Management Card (NMC) ช่วยให้ลูกค้าสามารถตั้งค่าอุปกรณ์เพื่อใช้ LDAP Server เพื่อยืนยันตัวตนได้จากระยะไกล เช่นในการใช้ Microsoft Active Directory และ OpenLDAP
  • PowerChute Network Shutdown สามารถตั้งค่าให้รันคำสั่งบนระบบได้จากระยะไกล เช่น Storage Array หรือ Backup Server ผ่านการเชื่อมต่อ SSH ซึ่งให้ประโยชน์ในการจัดการระบบจัดเก็บข้อมูลหรือระบบอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน ที่อาจจำเป็นต้องปิดระบบให้เรียบร้อย พร้อมกับอุปกรณ์ที่เหลืออื่นๆ
  • การรวมศูนย์ Syslog ของ Data Center Expert จากหลากหลายระบบ ช่วยให้จัดการเรื่องการบันทึกเหตุการณ์ในระบบได้ง่ายขึ้น

เหล่านี้ คือการดำเนินการสำหรับลูกค้าในปีที่ผ่าน ด้วยการอัปเกรดและเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้กับผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้ระบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีทำงานได้ประสิทธิภาพมากขึ้น จัดการได้ง่ายขึ้น

ปรับปรุงฟีเจอร์ด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง

ความปลอดภัยทางไซเบอร์คือสิ่งที่อุตสาหกรรมให้ความสำคัญมานาน และองค์กรธุรกิจ ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น การรักษาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีให้ปลอดภัยเป็นงานที่ท้าทายและมีความซับซ้อนมากขึ้น จึงทำให้ทีมงาน EcoStruxure IT เข้ามาช่วยดูแลเรื่องนี้

ด้วยการใช้งานยูพีเอสและตู้แร็คจำนวนนับหลายพันในดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งแต่ละเครื่องมีรหัสผ่านเพื่อรักษาความปลอดภัย การดูแลเรื่องเหล่านี้ จึงเป็นงานที่ยากและท้าทายมาก โดยปัจจุบัน IT Expert มีตัวเลือกให้สามารถตั้งค่าเพื่อเชื่อมต่อและเปลี่ยนรหัสผู้ใช้ และรหัสผ่านของทุกอุปกรณ์ได้พร้อมกันทีเดียว จึงช่วยองค์กรลดเวลาในเรื่องดังกล่าว อีกทั้งสามารถดำเนินการระยะไกลผ่านระบบคลาวด์ได้

ในทำนองเดียวกัน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้เพิ่มความปลอดภัยให้กับ Data Center Expert โดยเปลี่ยนโปรโตคอลการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์และ DCE จาก SNMPv1 เป็น SNMPv3 ได้อย่างง่ายดายเพียงกดปุ่ม ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้าเรียกร้อง และบริษัทฯ ยินดีที่ได้ช่วยให้ทำเรื่องนี้เป็นจริง

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้มีการประกาศว่าแพลตฟอร์ม EcoStruxure IT NMC ได้รับการรับรองตามมาตรฐานที่กำหนดโดยคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐานอิเล็กทรอนิกส์ (IEC) และในเดือนตุลาคม ยังได้ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญของอุตสาหกรรม ว่า NMC ของเราได้รับการรับรองด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ในระดับสูง จน กลายเป็น DCIM NMC ตัวแรกที่ได้รับการรับรอง IEC 62443-4-2 Security Level 2 (SL2) จาก IEC

ชไนเดอร์ อิเล็คทริคมุ่งเน้นความสำคัญเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างจริงจัง และการรับรองที่ยกระดับไปอีกขั้นจากหน่วยงานอิสระช่วยยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ของผู้จำหน่ายรายนั้นๆ ที่ออกแบบมาสำหรับศูนย์ข้อมูลและสภาพแวดล้อมไอทีแบบกระจายศูนย์ ผ่านการทดสอบและประเมินเรื่องความปลอดภัยอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ เรายังได้รับการรับรองว่ากระบวนการพัฒนาของเราสอดคล้องตามมาตรฐาน ISASecure® Secure Development Lifecycle Assurance (SDLA) อีกด้วย

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังช่วยบริษัทต่างๆ แก้โจทย์ที่เป็นปัญหาท้าทายในการตามอัปเดตเฟิร์มแวร์ โดยระบบ EcoStruxure IT Secure NMC System (SNS) ช่วยจัดการเรื่องของเฟิร์มแวร์ได้ในตัวด้วยเครื่องมือใหม่เฉพาะสำหรับดูแลเรื่องนี้  ซึ่ง SNS Tool ช่วยลดกระบวนการที่ยุ่งยากในการค้นหาและติดตั้งเฟิร์มแวร์ล่าสุดบนอุปกรณ์ทั้งหมด ช่วยให้ดำเนินการได้เร็วขึ้นถึง 90%

ในแง่ของความปลอดภัยทางไซเบอร์ ยังมีการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์เหนือชั้นไปอีกขั้น ด้วยการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ พร้อมการรับรองมาตรฐานถึงสองรายการ ช่วยให้ลูกค้าจัดการและอัปเดตระบบได้สะดวกและง่ายดายขึ้น

การรายงานความยั่งยืนรูปแบบใหม่ด้วยระบบอัตโนมัติ

หนึ่งในการพัฒนาที่น่าจับตามองที่สุด ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาก คือการที่ทีม EcoStruxure IT ได้นำเสนอฟีเจอร์การออกรายงานด้านความยั่งยืนแบบใหม่ด้วยระบบอัตโนมัติ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ล้ำหน้าของสายผลิตภัณฑ์ EcoStruxure IT ที่ช่วยให้องค์กรสามารถคำนวณและรายงานข้อมูลด้านความยั่งยืนได้อย่างรวดเร็วเพียงปลายนิ้วสัมผัส ไม่ต้องเสียเวลานั่งทำเองนานๆ ขุมพลังของ AI ช่วยให้องค์กรควบคุมข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมภายในดาต้าเซ็นเตอร์

ฟีเจอร์การรายงานใหม่ที่ผ่านการปรับปรุงและพัฒนา และได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากอุตสาหกรรม เปิดให้ใช้งานสำหรับผู้ใช้ EcoStruxure IT ทุกคนตั้งแต่เดือนเมษายนในปีที่ผ่านมา ก่อนที่ข้อบังคับด้านประสิทธิภาพพลังงานของสหภาพยุโรป (Energy Efficiency Directive หรือ EDD) จะมีผลบังคับใช้ เนื่องจาก EED เรียกร้องให้ประเทศในสหภาพยุโรปลดการใช้พลังงานพร้อมรายงานข้อมูลตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลักของดาต้าเซ็นเตอร์ เพราะความยั่งยืนคือหนึ่งในวิธีที่ช่วยจำกัดการใช้พลังงาน ช่วยลดต้นทุนด้านพลังงาน และลดของเสียในดาต้าเซ็นเตอร์ ทำให้ DCIM มีบทบาทสำคัญมาก และชไนเดอร์ อิเล็คทริคก็เล็งเห็นความสำคัญดังกล่าว จึงเข้ามาช่วยลูกค้าจัดการทรัพย์สินไอที อีกทั้งให้การสนับสนุนเรื่องการรายงานที่สอดคล้องตามกูฏข้อบังคับ

ที่ ชไนเดอร์ อิเล็คทริคเราได้ดำเนินโครงการ Green IT ร่วมกับทีม CIO  และพบว่าเครื่องมือต่างๆ ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้ใช้งานได้ง่ายเสมอไป ทำให้ไม่สามารถจัดการกับข้อมูลได้ตามต้องการ และบางครั้งข้อมูลก็ไม่สมบูรณ์ เรื่องนี้ จึงเป็นแรงขับเคลื่อน ให้เราสร้างการเปลี่ยนแปลง และผลลัพธ์จากเรื่องนี้ ก็คือการที่เราออกมาตรวัดการรายงานความยั่งยืนแบบใหม่ ที่ช่วยให้ลูกค้าก้าวข้ามความท้าทายในการออกรายงานความยั่งยืน เพื่อช่วยให้จัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

มุมมองของชไนเดอร์ อิเล็คทริค สำหรับปี 2025

เป็นการมองไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่น เพราะที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เรามั่นใจว่าทีม EcoStruxure IT จะยังคงสร้างนวัตกรรมและต่อยอดจากความสำเร็จขึ้นไปอีก ด้วยการตระหนักดีว่า สภาพแวดล้อมไอทีแบบไฮบริดจะทวีความซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในเวลาที่ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในดาต้าเซ็นเตอร์ เป้าหมายหลักของเรามีความชัดเจนมาก นั่นคือการสนับสนุนและเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกค้า เพื่อช่วยให้ลูกค้าเตรียมพร้อมในการรับมือกับทุกความท้าทาย พร้อมกับภารกิจในการสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานไอที ที่มีความยืดหยุ่น ปลอดภัย และยั่งยืนที่สุดในทุกที่ ทุกเวลา

Tags: DC ProfessionalDCIMEcoStruxure ITIT ProfessionalKevin Brown


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อีริคสัน และ Telstra บุกเบิกการใช้ Programmable Network เป็นแห่งแรกในเอเชียแปซิฟิก

ด้วยความร่วมมือครั้งสำคัญกับอีริคสัน (NASDAQ: ERIC) ผู้ใช้งานมือถือบนเครือข่ายของ Telstra ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารชั้นนำในออสเตรเลีย จะเป็นผู้ใช้กลุ่มแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่จะได้รับประสบการณ์จากเครือข่ายที่ตั้งโปรแกรมได้ประสิทธิภาพสูง หรือ Programmable Network พร้อมเทคโนโลยี 5G Advanced

ภายใต้ข้อตกลงระยะเวลาสี่ปี Telstra จะอัปเกรด Radio Access Network (RAN) ด้วยโซลูชันฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ที่รองรับ Open RAN และซอฟต์แวร์ 5G Advanced ของอีริคสัน นอกจากนี้ยังนำ AI และระบบอัตโนมัติมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเครือข่ายผ่านความสามารถในการตรวจจับและซ่อมแซมตัวเอง

การเปลี่ยนแปลงนี้จะเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ Telstra ด้วยเครือข่าย 5G ที่ล้ำสมัย ทนทาน และมีความเสถียรมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก Programmable Program ของ Telstra จะเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันที่เป็นนวัตกรรมและมีความสามารถปรับแต่งการเชื่อมต่อที่เหนือกว่าตามความต้องการเฉพาะของผู้ใช้งานมือถือบนเครือข่ายของ Telstra รวมถึงบริการใหม่ ๆ ที่อิงตามประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ยังเตรียมจะเปิดเครือข่ายให้กับนักสร้างนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีจากอีโคซิสเต็มส์ที่กว้างขึ้นผ่าน Network APIs (Application Programming Interfaces)

ด้วยการนำไปใช้และการเร่งการใช้งาน Network APIs รวมถึงศักยภาพของ APIs สามารถเพิ่มโอกาสสร้างรายได้ใหม่ ๆ ให้กับอุตสาหกรรมโทรคมนาคม โดยการประกาศร่วมทุนครั้งสำคัญระหว่างผู้ก่อตั้งหลักอย่าง อีริคสัน และ Telstra ภายใต้ชื่อ Aduna เมื่อไม่นานนี้ ได้ยกระดับความสามารถเครือข่าย 5G Advanced ใหม่ของ Telstra ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางในการส่งมอบบริการ API-based services ดังกล่าว

ความสามารถประสิทธิภาพสูงของโซลูชัน 5G Standalone (5G SA) ที่เกี่ยวข้องยังเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการเปิดใช้งานยูสเคสใหม่ ๆ และการสร้างสรรค์นวัตกรรมของนักพัฒนาที่จะทำให้ Industry 4.0 เกิดเป็นจริงได้ในประเทศออสเตรเลีย

นาง Vicki Brady ซีอีโอของ Telstra กล่าวว่า “เราอยู่ท่ามกลางจุดเปลี่ยนสำคัญ ซึ่งความต้องการของลูกค้าด้านเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น พวกเขาต้องการการเปลี่ยนแปลงในวิธีการส่งมอบและใช้งานการเชื่อมต่อ ในขณะที่ความต้องการใช้งานดาต้าเน็ตบนมือถือของเครือข่ายเราเองเพิ่มขึ้นสามเท่าช่วงห้าปีที่ผ่านมา

“ความร่วมมือกับอีริคสันครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกของผู้ให้บริการด้านการสื่อสารในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เรามีเป้าหมายสำคัญเพื่อพัฒนาบริการและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้คลื่นความถี่ 5G ของเราให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ผู้บริโภคนับล้านได้รับประสบการณ์ใช้งาน 5G ที่ดียิ่งขึ้น ทั้งในด้านความสม่ำเสมอของประสิทธิภาพ ความเสถียร และความเร็วเครือข่ายที่ดีขึ้น”

“ด้วย Programmable Network เราจะเปลี่ยนจากบริการแบบ One-Size-Fits-All ไปสู่การส่งมอบยูสเคสที่มีความซับซ้อนและเป็นโมเดลทางธุรกิจมากยิ่งขึ้น เพื่อมอบประสบการณ์การเชื่อมต่อที่แตกต่างและปรับแต่งให้เหมาะกับลูกค้ายิ่งขึ้น”

นาย Börje Ekholm ประธานและซีอีโอของอีริคสันกล่าวว่า “Programmable Networks ที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นองค์ประกอบพื้นฐานสำคัญต่อการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเสริมสร้างการเปลี่ยนแปลงในองค์กรและประเทศ โดย Telstra คือ ผู้นำพันธมิตรรายแรก ๆ ของอีริคสันที่เริ่มเปิดใช้งาน และกำลังจะได้รับประโยชน์จากการเชื่อมต่อ 5G Standalone ของเรา การเชื่อมต่อเครือข่ายที่เร็วขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น และแตกต่างนี้จะปรับเปลี่ยนประสบการณ์ของทั้งผู้บริโภคและองค์กรธุรกิจ พร้อมช่วยให้นักพัฒนาใช้เทคโนโลยี 5G สำหรับการทดลอง สร้างนวัตกรรม และสร้างแอปพลิเคชันที่สำคัญ ภายในดีลนี้ Telstra ยังมอบประสิทธิภาพการใช้งานเครือข่ายให้ชาวออสเตรเลีย ตั้งแต่นักพัฒนารายบุคคลไปจนถึงอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เพื่อร่วมกันเสริมสร้างให้ออสเตรเลียสามารถแข่งขันบนเวทีโลก เราพร้อมทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Telstra เพื่อให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริง”

ประโยชน์ด้านอื่น ๆ สำหรับ TELSTRA

แผนอัปเกรดเครือข่าย 5G ครั้งใหญ่ของ Telstra จะเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนด้านคลื่นความถี่และการดำเนินงานของ Telstra ให้สูงสุด โดยเครือข่ายใหม่นี้ตั้งเป้าเพิ่มประสิทธิภาพ 5G มากขึ้นเป็นสองเท่า พร้อมยกระดับการใช้งานให้มีความเสถียรมากยิ่งขึ้น ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการได้กว้างขึ้น ทั้งยังเพิ่มความเร็วในการอัปโหลดและดาวน์โหลดข้อมูล และช่วยประหยัดพลังงาน

นอกจากนี้ ยังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากการให้บริการมือถือแบบเดิมที่เน้น One-Size-Fits-All ไปสู่ Differentiated Connectivity ซึ่งผู้บริโภคและองค์กรสามารถสร้างประสบการณ์ในบริการของตนเองได้

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยี

โซลูชันต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย Open RAN-ready Massive MIMO และโซลูชัน RAN Compute ใหม่ของอีริคสัน รวมถึงการสมัครใช้บริการ 5G Advanced ล่าสุดของอีริคสัน เพื่อนำเสนอบริการใหม่ ขับเคลื่อนประสิทธิภาพการดำเนินงาน และเพิ่มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังรวมถึง Ericsson Intelligent Automation Platform (EIAP) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการจัดการและระบบอัตโนมัติเครือข่ายแบบเปิด (Open RAN) ที่มีอุปกรณ์จากหลายผู้ผลิต (Multi-vendor) และเทคโนโลยีหลากหลาย (Multi-technology) ทั้ง 4G และ 5G RAN

EIAP จะปรับปรุงการจัดการเครือข่ายและระบบอัตโนมัติโดยใช้ EIAP และเครื่องมือในระบบนิเวศนักพัฒนาเพื่อสร้างและติดตั้งแอปพลิเคชันที่กำหนดเอง (rApps) ที่ใช้เทคนิคอัตโนมัติขั้นสูง รวมถึงการเรียนรู้ของเครื่องและ AI ในการเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายและส่งมอบการดำเนินงานที่ยั่งยืนที่ดีขึ้น

การขยายความร่วมมือล่าสุดนี้ เป็นการต่อยอดความร่วมมือระยะยาวระหว่างอีริคสันและ Telstra ในด้านเครือข่าย RAN ระบบ Core เครือข่ายใยแก้วนำแสง (Optical) ระบบถ่ายโอนข้อมูล (Transport) และระบบสนับสนุนธุรกิจ (Business Support Systems)

ADUNA

ADUNA เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างผู้ให้บริการโทรคมนาคมระดับโลก ซึ่งนอกเหนือจากอีริคสันและ Telstra สมาชิกผู้ก่อตั้ง Aduna ยังประกอบไปด้วย América Móvil, AT&T, Bharti Airtel, Deutsche Telekom, Orange, Reliance Jio, Singtel, Telefonica, T-Mobile, Verizon และ Vodafone

บริษัทร่วมทุนแห่งนี้ได้รับการจัดตั้งขึ้นในเดือนกันยายนปี 2024 โดยมีการประกาศชื่อบริษัทในเดือนมกราคม ปี 2025 มีเป้าหมายเพื่อรวบรวมและจำหน่าย Network APIs ในระดับโลก เพื่อกระตุ้นการสร้างสรรค์นวัตกรรมในบริการดิจิทัลต่าง ๆ

พันธมิตรต่าง ๆ จะเปิดให้นักพัฒนาหลายล้านคนทั่วโลกสามารถเข้าถึงความสามารถการพัฒนาขั้นสูงในเครือข่ายของตน ผ่านแพลตฟอร์มระดับโลกสำหรับ Network APIs ทั้งหมด โดยความร่วมนี้ตั้งเป้าขับเคลื่อนยูสเคสใหม่ ๆ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมและภาคส่วนต่าง ๆ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. ต้อนรับเอกอัครราชทูต โรมาเนียประจำประเทศไทย หารือการพัฒนาความร่วมมือทางวิชาการและมอบทุนการศึกษา จำนวน 2 ทุน

.ดร. ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) .ดร.เสาวณิต  สุขภารังษี รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย ให้การต้อนรับ H.E. Mrs.Daniela-Brînduşa Băzăvan (ดานีเอลาบรึนดูชา เบอเซอวัน)เอกอัครราชฑูตสาธารณรัฐโรมาเนียประจำประเทศไทย  ร่วมประชุมเพื่อหารือการพัฒนาความร่วมมือทางวิชาการ การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและการศึกษา เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และมอบทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาชาวโรมันเนีย จำนวน 2 ทุน ในสาขาวิชาการค้าระหว่างประเทศและธุรกิจโลจิสติกส์  วิทยาลัยนานาชาติ  ในวันจันทร์ที่  10 มีนาคม 2568 ณ ห้องประชุมประชุมสำนักงานกองงานสภามหาวิทยาลัย อาคารนวมินทรราชินี  มจพ. จากนั้น เป็นการบรรยาพิเศษ  Embassy Talk : Insight into Romania’s Trade Landscape and Cultural Heritage โดยได้รับเกียรติจาก H.E. Mrs. Daniela-Brînduşa Băzăvan เอกอัครราชทูตโรมาเนียประจำประเทศไทย เป็นวิทยากรบรรยาย

ณ ห้องประชุม IC 401 อาคารวิทยาลัยนานาชาติ และเข้าเยี่ยมชมคณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์

ขวัญฤทัย ข่าว/สมเกษ ถ่ายภาพ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

จับตา 5 เทรนด์นวัตกรรมก่อสร้างสู่ทางออก Carbon Net Zero เพิ่มโอกาสอสังหาฯ-ก่อสร้างไทย ในงาน The NOVA Expo 2025

EEC Academy เผย 5 เทรนด์นวัตกรรมก่อสร้างยุคใหม่ ชี้ทิศทางการปรับตัวภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง สู่เป้าหมายประชาคมโลก ผ่านงาน The Nova Expo 2025 ผนึกองค์กรชั้นนำภาครัฐ&เอกสาร และ Thai ESCO สมาคมบริษัทจัดการพลังงานไทย ผลักดันอสังหาฯ ไทยคาร์บอนเป็นศูนย์ ผ่านรูปแบบ “Climate Finance and Investment” พร้อมไกด์เทรนด์ธุรกิจ Energy Service Company ทั้งรูปแบบการปรับปรุงและธุรกิจพลังงานรูปแบบใหม่ “พลังงานความเย็น” จากการสนับสนุนนโยบายโลก กองทุนนานาชาติ นโยบายรัฐไทย แบงก์ชาติ และธนาคารชั้นนำไทย ขนเทคโนโลยีล้ำสมัยและนวัตกรรมสีเขียวแห่งอนาคต ที่เกิดจากความร่วมมือกันของทุกภาคส่วน เพิ่มโอกาสและทางรอดภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ภาคการก่อสร้างไทยและโลก สู่สังคม Carbon Net Zero พร้อมจัดงานใหญ่แห่งปี The Nova Expo 2025 “นวัตกรรมสีเขียวเปลี่ยนโลก” ระหว่าง 12 – 14 มีนาคม 2568 นี้ ที่ BITEC บางนา จัดเต็มเทรนด์ใหม่และองค์ความรู้ ระดับวงการอสังหาฯ-ก่อสร้าง จากกูรูผู้เชี่ยวชาญระดับท็อปของวงการ

ดร. เกชา ธีระโกเมน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีอีซี เอ็นจิเนียริ่ง เน็ทเวิร์ค จำกัด หรือ EEC Academy เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมก่อสร้างไทยมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศคิดเป็น GDP ราว 7 – 8% ของ GDP คิดเป็น มูลค่าทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมการก่อสร้างอยู่ที่ 1.5 – 2 ล้านล้านบาทต่อปี ก่อให้เกิดการจ้างงานตั้งแต่การค้าไปจนถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น แต่ขณะเดียวกันก็เป็นอุตสาหกรรมปลดปล่อยคาร์บอนมากกว่า 40% ของการปลดปล่อยคาร์บอนทั้งหมดของโลก

ดังนั้นเพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนเป็นศูนย์ ยกระดับสังคม ชุมชน สู่ความยั่งยืนแห่งอนาคต ประชาคมโลกต่างให้ความสำคัญกับแนวทางการลดการปล่อยคาร์บอน เช่นเดียวกับผู้ผลิตและผู้พัฒนาโครงการต่างๆ ในวงการก่อสร้างทั้งในไทยและทั่วโลก ต่างหันมาให้ความสำคัญกับนวัตกรรมสีเขียว เพื่อสร้างประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และมุ่งเป็นส่วนหนึ่งไปสู่การสร้าง Carbon Net Zero เพื่อส่งเสริมสุขภาวะและสุขภาพที่ดี

การมุ่งไปสู่แนวทางนี้ผู้พัฒนาโครงการก่อสร้าง ต่างต้องมีเทคโนโลยีชั้นสูงและองค์ความรู้ เพื่อเป็นเครื่องมือยกระดับประสิทธิภาพอาคาร บริษัท อีอีซี เอ็นจิเนียริ่ง เน็ทเวิร์ค จำกัด (EEC Academy) ในฐานะผู้นำด้านการออกแบบทางวิศวกรรมงานระบบที่มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ ตอบรับเทรนด์โลกสีเขียว ผ่านการจัดงาน “The NOVA Expo 2025” งานแห่งปีของวงการอสังหาฯ-ก่อสร้างซึ่งจัดต่อเนื่องมาหลายปี ที่รวบรวมเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่ออุตสาหกรรมการก่อสร้างสมัยใหม่

ทั้งนี้ ดร. เกชา ชี้ถึงสาเหตุสำคัญของการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างว่า เกิดจากปัจจัยหลักๆ ที่ประกอบด้วย

1.วัสดุก่อสร้างที่มาจากกระบวนการผลิต ซึ่งปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 8%

2.การใช้พลังงาน โดยเฉพาะประเทศเขตร้อนอย่างเมืองไทย ที่มีการใช้พลังงานจากอุปกรณ์ทำความเย็นให้กับ อาคารสูงถึง 60-70% ของการใช้พลังงานทั้งหมด

3.ขาดกระบวนการคัดแยกและกำจัดขยะอย่างมีประสิทธิภาพ

4.การขนส่ง ด้วยระยะทางการขนส่งและรถขนส่ง ยังใช้พลังงานเชื้อเพลิง

“การรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ควรต้องมีมาตรการที่ชัดเจน ได้แก่ การออกแบบอาคารที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการใช้เทคโนโลยีประหยัดพลังงานและการออกแบบอาคารใช้พลังงานต่ำหรือ Passive Design, การเลือกใช้วัสดุที่ยั่งยืน, ภาครัฐควรมีมาตรฐานสนับสนุนการรับรองตามมาตรฐานอาคารเขียว และที่สำคัญที่สุดการใช้พลังงานทางเลือกและพลังงานสะอาด เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากกริดไฟฟ้า และสนับสนุนการใช้วัสดุรีไซเคิล ลดการเกิดขยะ และสามารถนำไปใช้ใหม่ได้ เพื่อให้เกิด Circular Economy Model” ดร. เกชา กล่าว

นอกจากนี้ ดร. เกชา ยังเผยถึงเทรนด์นวัตกรรมการก่อสร้างที่ทั่วโลกกำลังตื่นตัวและถูกนำมาใช้ในการยกระดับการก่อสร้าง โดยหลักๆ จะมีอยู่ 5 เทรนด์เทคโนโลยีสำคัญ ได้แก่

1.การออกแบบและวางผังเพื่อลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (Green Design and Planning for Carbon Reduction) อาทิ การสร้างสภาวะแวดล้อมที่ดีและใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ การวางทิศทางอาคารเพื่อป้องกันความร้อน การใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด คำนึงตั้งแต่ก่อนสร้างไปถึงการใช้งานอาคารไปอีก 30 ปี โดยมีเครื่องมือสำคัญอย่าง เครื่องคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นต์ (Carbon Footprint Calculator) การประเมินวงจรชีวิตอาคาร (Lifecycle Assessment) และระบบรับรองอาคารยั่งยืน

2.การก่อสร้างแบบสำเร็จรูปและโมดูลาร์ (Green Modular and Materials Construction) เทคนิคการก่อสร้างที่ประกอบบางส่วนจากโรงงาน มาช่วยลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ลดการเกิดเศษวัสดุ โดยมีเทคโนโลยีการพิมพ์ 3D และหุ่นยนต์ก่อสร้าง (Construction Robotics) เข้ามามีบทบาทสำคัญ

3.เทคโนโลยีสีเขียวและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (Green Innovative Tech) ด้วยการใช้ระบบ IoT, AI และระบบอัจฉริยะ (Smart Systems) เข้ามามีส่วนในการออกแบบ ก่อสร้าง ควบคุมงานก่อสร้าง และบริหารงานอาคาร การนำ AI เข้ามาทำนายรูปแบบการใช้พลังงานและปรับระบบเรียลไทม์ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน ลดต้นทุนการดำเนินงาน และยืดอายุการใช้งานของอาคาร โดยมีนวัตกรรมที่น่าสนใจ อาทิ Digital Twins (แบบจำลองเสมือนของอาคาร) ระบบทำความเย็นด้วยพลังงานแสงอาทิตย์สมัยใหม่, สารทำความเย็นจากธรรมชาติ, เครื่องปรับอากาศแบบไร้ท่อ, การทำความเย็นด้วยพลังงานความร้อนใต้พิภพ, การทำความเย็นโดยอิสระ DOAS (Dedicated Outdoor Air System ระบบอากาศแยกส่วน)

4.เทคโนโลยีเพื่อช่วยให้เกิดการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ (Green Operation Quality) อาทิ การให้บริการพลังงานความเย็น ไม่ว่าจะเป็น Cooling as a Service (CaaS), Performance Guarantee รวมถึงการให้บริการบริหารระบบบำบัดน้ำเสีย (Smart Waste Water Management) ที่จะมาช่วยดูแลและบริหารจัดการระบบอาคารที่มีความซับซ้อน

5.เทคโนโลยีพลังงานสีเขียวที่เกิดขึ้นมากมาย (Green Innovation Energy) เช่น RE100 หรือการใช้พลังงานสะอาด 100%, พลังงานไฮโดรเจน, ระบบกักเก็บพลังงาน, ESCO หรือ Energy Service Company, ระบบทำความเย็นจากศูนย์กลางหรือ District Cooling System ซึ่งควรได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน การให้ความรู้ความเข้าใจถึงผลดีด้านสิ่งแวดล้อมและประโยชน์ที่จะได้รับจากเทคโนโลยีเหล่านี้

องค์ความรู้และเทคโนโลยีเหล่านี้ผู้ขับเคลื่อนวงการอสังหาฯ ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจก่อสร้าง สามารถมาอัปเดตกันได้ภายในงาน The Nova Expo 2025 งานใหญ่แห่งปี ที่รวบรวมเทคโนโลยีล้ำสมัยและนวัตกรรมสีเขียวแห่งอนาคต จากความร่วมมือกันทุกภาคส่วนของสังคมและพันธมิตรชั้นนำได้แสดงพลังเพื่อเพิ่มโอกาสและทางรอดภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ภาคการก่อสร้างไทยและโลกใบนี้สู่สังคม ZERO CARBON พร้อมทั้งเปิดตัวพลังงานรูปแบบใหม่ รักษ์สิ่งแวดล้อม โดยผู้ร่วมงานจะมีโอกาสฟังเสวนาจากผู้เชี่ยวชาญจากตัวจริงของวงการก่อสร้าง 

สำหรับงาน The Nova Expo 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 มีนาคม 2568 ตลอด 3 วันเต็ม ฟรี!  ที่ BITEC บางนา โดยภายในงาน The Nova Expo 2025 ยังได้ร่วมกับ Thai ESCO สมาคมบริษัทจัดการพลังงานไทย ผนึกพลังครั้งยิ่งใหญ่ ผลักดันอสังหาฯ ไทยคาร์บอนเป็นศูนย์ ผ่านรูปแบบ “Climate Finance and Investment” พร้อมนำเสนอเทรนด์ธุรกิจ Energy Service Company ที่มีแนวโน้มเติบโตในไทยและระดับนานาชาติ ทั้งรูปแบบการปรับปรุงการใช้พลังงาน และธุรกิจพลังงานรูปแบบใหม่ “พลังงานความเย็น” จากการสนับสนุนจากนโยบายโลก กองทุนนานาชาติ นโยบายรัฐไทย แบงก์ชาติ และธนาคารชั้นนำของไทย

ครั้งแรกในไทยกับความชัดเจนขั้นสุด ที่จะมาเคลียร์ประโยชน์ที่ทุกฝ่ายจะได้รับจาก Green Fund, ESG Fund, Taxonomy พบกับการเสวนาบนเวทีใหญ่จากผู้เชี่ยวชาญตัวจริงในวงการจากกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ธนาคารแห่งประเทศไทย, คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และงานเสวนากับตัวจริงระดับโลกจาก Cooling as a Service Company ทั้ง Keppel, BNSP และ UNISUS

“การก้าวเข้าสู่สังคม Carbon Net Zero จะเกิดขึ้นไม่ได้หากทุกฝ่ายไม่ร่วมมือกัน เราจะเห็นประเทศที่พัฒนาแล้วหันมาให้ความสนใจและสนับสนุน รวมทั้งลงทุนในกิจกรรมต่างๆ ที่ส่งเสริมการลดการปล่อยคาร์บอน หากประเทศไทยมีพลังงานสีเขียวที่เป็นที่ยอมรับระดับสากลจะสามารถดึงดูดนักลงทุนและสร้างเม็ดเงินมหาศาลให้เกิดขึ้นกับประเทศได้ EEC Academy ในฐานะองค์กรที่มีความรู้ในภาคธุรกิจการก่อสร้างจึงพร้อมเดินหน้าผลักดันและสร้างองค์ความรู้ เตรียมความพร้อมเรื่องพลังงานสีเขียวให้มากขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคตอันใกล้ สู่เป้าหมายประเทศไทยต้องเป็นแหล่งพลังงานสีเขียว” ดร. เกชา กล่าวในตอนท้าย

งานนี้ชมฟรี!  The Nova Expo 2025 จัดขึ้นระหว่าง 12-14 มีนาคม 2568 ตลอด 3 วันเต็ม ที่ BITEC บางนา สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ https://www.zipeventapp.com/e/The-Nova-Expo-2025  หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/thenovaexpo 


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะบริหารธุรกิจ มจพ.วิทยาเขตระยอง รับสมัครนักศึกษาโควตาพื้นที่ภาคตะวันออก TCAS68

คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขต ระยอง เปิดรับสมัครนักศึกษา

โควตาพื้นที่ภาคตะวันออก TCAS68  ประจำปีการศึกษา 2568  รับสมัครตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2568 ถึง วันที่ 31 มีนาคม 2568 สาขาวิชาที่เปิดรับสมัคร  ได้แก่

1) สาขาวิชาบริหารธุรกิจอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ (BIBLA)
 2) สาขาวิชาการบัญชี (BACC)
3) สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ (BCOM)
4) สาขาวิชาการตลาดดิจิทัล (BDIM)

สมัครออนไลน์ที่เว็บไซต์ http://www.admission.kmutnb.ac.th

วันที่ 10 เมษายน 2568  ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์
วันที่ 21 เมษายน 2568  สอบสัมภาษณ์ (ออนไลน์)
วันที่ 23 เมษายน 2568  ประกาศผลสอบคัดเลือก

สอบถามรายละเอียดได้ที่ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขต ระยอง  โทรศัพท์  038-627-021, 065-641-4744  และติดตามข้อมูลการรับสมัคร / ประกาศผลได้ที่ เพจคณะบริหารธุรกิจ มจพ.วิทยาเขตระยอง หรือที่เว็บไซต์ คณะบริหารธุรกิจ https://fba.kmutnb.ac.th/main/

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

DHL มองเห็นโอกาสใหม่ในประเทศไทยผ่าน ‘Strategy 2030’ พร้อมยืนยันพันธกิจในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย

กรุงเทพฯ, 4 มีนาคม 2568 – ดีเอชแอล (DHL) บริษัทโลจิสติกส์ชั้นนำของโลก ประกาศความมุ่งมั่นต่อประเทศไทยผ่านกลยุทธ์ ‘Strategy 2030 – Accelerate Sustainable Growth’ พร้อมโอกาสในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสำคัญของภูมิภาค ขณะที่ธุรกิจจำนวนมากกำลังมุ่งสร้างซัพพลายเชนอันยืดหยุ่นที่สามารถรับมือวิกฤตการณ์และมีประสิทธิภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ในประเทศไทย DHL ทั้งสี่หน่วยธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์อย่างเต็มรูปแบบ ได้แก่ DHL eCommerce, DHL Express, DHL Global Forwarding และ DHL Supply Chain  ช่วยให้ภาคธุรกิจไทยสามารถเข้าถึงเครือข่ายและโซลูชันระดับโลกของ DHL ในฐานะพันธมิตรโลจิสติกส์ที่ให้บริการแบบครบวงจร กลยุทธ์ ‘Strategy 2030’ ของ DHL มุ่งตอบสนองต่อ 5 เมกะเทรนด์สำคัญที่กำลังเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจของไทย ได้แก่ การค้าโลก อีคอมเมิร์ซ ความยั่งยืน การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และการพัฒนาของแรงงาน

แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงในภาคอุตสาหกรรมเหล่านี้จะนำมาซึ่งความท้าทายใหม่ๆ แต่ด้วยการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วโลกของ DHL ทำให้บริษัทสามารถคว้าโอกาสสำคัญในการทำให้ธุรกิจเติบโต นอกเหนือจากเมกะเทรนด์ดังกล่าว DHL ยังมองเห็นโอกาสในการเติบโตของประเทศไทยที่สำคัญดังต่อไปนี้:

ปัจจัยเกื้อหนุนจากการกระจายฐานการผลิต

DHL จะต่อยอดจากเครือข่ายระดับโลกอันแข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญในท้องถิ่น เพื่อใช้ประโยชน์จากปัจจัยเกื้อหนุนจากการกระจายฐานการผลิต ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเส้นทางการค้าที่เติบโต การปรับตัวของซัพพลายเชนทั่วโลกให้สนับ และความต้องการของธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก

แม้ว่าเวียดนามและอินโดนีเซียจะได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในด้านการกระจายฐานการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านซัพพลายเชน แต่ศักยภาพการผลิตที่แข็งแกร่งของไทยในภาคยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ได้สร้างความได้เปรียบให้กับประเทศ กระทรวงพาณิชย์รายงานว่าการส่งออกของไทยเติบโตถึง 5.4% ตลอดปี 2567 ซึ่งนับเป็นยอดส่งออกที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศ

ตลาดสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรปเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโต โดยสหราชอาณาจักรกำลังก้าวขึ้นมาเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงสำหรับภาคธุรกิจไทย

พลังงานใหม่

การเปลี่ยนแปลงในภาคพลังงานหมุนเวียนและอุตสาหกรรมยานยนต์จำเป็นต้องมีโซลูชันโลจิสติกส์เฉพาะทาง ซึ่ง DHL มองเห็นโอกาสสำหรับประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐในการดึงดูดผู้ผลิตจากต่างประเทศให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศ

โซลูชันที่ครอบคลุมซัพพลายเชนด้านยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของ DHL จะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้ถึง 30% ของปริมาณการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573

อีคอมเมิร์ซ

ภาคอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย (Thailand E-commerce Association) คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดจะเติบโตจาก 26,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566 เป็น 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2568 ซึ่งสะท้อนอัตราการเติบโตที่ประมาณ 21% ในช่วงสองปี เทียบเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ประมาณ 10% อีกทั้ง DHL ยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนภาคธุรกิจ SME ที่เติบโตของไทย ซึ่งประกอบด้วยผู้ประกอบการกว่า 3.2 ล้านราย และมีส่วนสำคัญในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ คิดเป็น GDP ถึง 35%

ความสำเร็จของแบรนด์อย่าง Gentlewoman และ Fairtex แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของแบรนด์ไทยในการใช้ประโยชน์จากโซลูชันโลจิสติกส์แบบครบวงจรของ DHL เพื่อขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ การผสานเครือข่ายระดับโลกของ DHL เข้ากับความเชี่ยวชาญในท้องถิ่น เสริมสร้างขีดความสามารถให้ธุรกิจไทยแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพในตลาดระดับสากล

โครงการสำคัญอย่าง GoTrade ของ DHL ได้พัฒนาศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการ SME กว่า 9,000 รายทั่วโลก สำหรับประเทศไทย DHL Express ได้พัฒนาโครงการนี้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่สำคัญ อาทิ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (OSMEP) เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยก้าวสู่โอกาสทางการค้าระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกเหนือจากการสนับสนุนด้านการค้าระหว่างประเทศแล้ว DHL ยังมีบทบาทสำคัญในการเสริมศักยภาพให้กับผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-retailers) ธุรกิจ SME และแบรนด์ต่างๆ ในการขยายตลาดภายในประเทศไทย ผ่านบริการขนส่งที่น่าเชื่อถือ มีมาตรฐาน คุณภาพสูง ในราคาที่คุ้มค่าของ DHL eCommerce   ความมุ่งมั่นในการให้บริการที่เป็นเลิศของ DHL ทำให้มั่นใจได้ว่าธุรกิจทุกขนาดและทุกภาคส่วนจะสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงและขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลมากขึ้น

DHL ยืนยันพันธกิจระยะยาวที่มีต่อประเทศไทย

DHL แสดงให้เห็นถึงพันธกิจระยะยาวที่มีต่อประเทศไทยผ่านเครือข่ายการดำเนินงานที่ครอบคลุม และการลงทุนอย่างต่อเนื่องในโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ปัจจุบัน DHL มีบุคลากรรวมกว่า 9,300 คน จากทั้งสี่หน่วยธุรกิจที่ให้บริการในประเทศไทย

ปัจจุบัน DHL Supply Chain บริหารจัดการพื้นที่คลังสินค้ากว่า 678,000 ตารางเมตร ครอบคลุมมากกว่า 70 แห่ง รวมถึงในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ด้วยเครือข่ายการขนส่งที่ครอบคลุมทำให้บริษัทสามารถจัดการการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยรถขนส่งกว่า 4,800 คัน ปัจจุบันบริษัทกำลังลงทุนพัฒนาคลังสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และมีแผนขยายการใช้รถขนส่งไฟฟ้า (EV) เพิ่มขึ้น 300% ในอีกสามปีข้างหน้า

DHL Express บริหารเครือข่ายการบินและภาคพื้นดินที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วยศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาค (regional hub) ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ศูนย์บริการ 15 แห่ง และจุดให้บริการทั้งที่เป็นเจ้าของเองและผ่านพันธมิตร 131 แห่ง ทั้งหมดนี้รองรับการจัดส่งด่วนระหว่างประเทศแบบถึงมือผู้รับ มีเครื่องบินขนส่งสินค้าระหว่างประเทศให้บริการ 85 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ โดยศูนย์บริการทั้งหมด 100% ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตพลังงานหมุนเวียน

DHL Global Forwarding มีความเชี่ยวชาญด้านบริการจัดการการขนส่งสินค้าทางอากาศ ทางทะเล ทางรางรถไฟ และทางถนน ด้วยสำนักงาน 7 แห่ง และคลังสินค้า 3 แห่ง รวมพื้นที่ 8,480 ตารางเมตรทั่วประเทศไทย DHL Global Forwarding ให้บริการลูกค้ากว่า 2,000 ราย ศูนย์ DHL International Multimodal Hub แห่งใหม่เป็นการลงทุนสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการค้าของภูมิภาค ศูนย์นี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการขนส่ง โดยช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างรูปแบบการขนส่งต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น และลดความซับซ้อนของพิธีการศุลกากรในจุดเดียว นอกจากนี้ ยังเป็นศูนย์เชื่อมต่อที่สำคัญให้กับประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล เช่น ประเทศลาว ด้วยทางเลือกการขนส่งที่หลากหลาย

DHL eCommerce มีเครือข่ายการจัดส่งครอบคลุมทั่วประเทศอย่างกว้างขวาง ประกอบด้วยศูนย์กระจายสินค้าปลายทาง 151 แห่ง ยานพาหนะกว่า 2,000 คัน และจุดให้บริการกว่า 230 แห่ง ทำให้สามารถให้บริการได้อย่างทั่วถึง พร้อมทั้งบริการจัดส่งถึงมือผู้รับภายในวันถัดไปสูงถึง 97% ของพื้นที่ทั่วประเทศ ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง DHL eCommerce ลงทุนในโซลูชันที่ทันสมัยเพื่อยกระดับคุณภาพการบริการที่แตกต่างให้แก่ผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-retailers) ธุรกิจ SME แบรนด์ต่างๆ และลูกค้าองค์กร โดยมีแผนปรับปรุงศูนย์กระจายสินค้าครั้งใหญ่ในปี 2569 เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ผู้นำด้านโลจิสติกส์ที่ยั่งยืน: ผู้ให้บริการโลจิสติกส์สีเขียวที่เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของลูกค้า

ด้วยเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2593 DHL แสดงความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนในประเทศไทยผ่านโครงการริเริ่มที่ครอบคลุมทั้ง 4 หน่วยธุรกิจ โดยทุกหน่วยธุรกิจได้นำยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มาใช้ในการดำเนินงานของตน

DHL Express Thailand เป็นผู้บุกเบิกในฐานะผู้ให้บริการโลจิสติกส์ด่วนระหว่างประเทศรายแรกที่นำจักรยานยนต์ไฟฟ้าและ EV มาใช้ในประเทศไทย บริษัทสามารถปรับเปลี่ยนยานพาหนะเป็น EV ได้ 21% คิดเป็น EV มากกว่า 50 คัน ซึ่งใช้ในการเข้ารับและจัดส่งสินค้า นอกจากนี้ DHL Express ยังสนับสนุนให้ลูกค้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 3 ผ่านการใช้เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (SAF) ผ่านบริการ GoGreen Plus

DHL Supply Chain ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการให้บริการโลจิสติกส์สีเขียวผ่านการขนส่งที่ยั่งยืนมากขึ้น ด้วยการนำรถขนส่งไฟฟ้า (EV) กว่า 30 คัน มาใช้งานโดยร่วมมือกับลูกค้าในภาคธุรกิจค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภค และภาคยานยนต์ พร้อมกันนี้ยังดำเนินโครงการ Certified GoGreen Specialist ซึ่งได้ฝึกอบรมพนักงานของ DHL Supply Chain ไปแล้วกว่า 80% นอกจากนี้ บริษัทกำลังดำเนินการตามแนวทางการบริหารคลังสินค้าที่ยั่งยืน โดยวางแผนพัฒนาคลังสินค้าที่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% แห่งแรกของประเทศไทยในปี 2568

DHL Global Forwarding แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาการขนส่งทางถนนอย่างยั่งยืนมากขึ้นทั่วภูมิภาคเอเชีย ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ การขนส่งหลายรูปแบบ และการใช้ EV โดยคาดการณ์ว่า EV ที่ใช้ในประเทศไทยจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 85,000 กิโลกรัมต่อปี  DHL Global Forwarding เป็นผู้นำนวัตกรรมโลจิสติกส์ที่ยั่งยืนผ่านบริการ GoGreen Plus ด้วยการนำเสนอทางเลือกในการลดการปล่อยคาร์บอนผ่านการใช้เชื้อเพลิงทางทะเลและการบินที่ยั่งยืน ช่วยให้ลูกค้าสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกเส้นทางการค้า

DHL eCommerce ได้นำ EV มาใช้ในเส้นทางรับส่งระหว่างศูนย์กระจายสินค้าในกรุงเทพฯ และพื้นที่เขตเมือง ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะนำรถบรรทุกไฟฟ้าสำหรับการขนส่งระยะสั้นมาใช้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 นอกจากนี้ยังตั้งเป้าหมายที่จะปรับเปลี่ยนยานพาหนะขนส่งปลายทางในกรุงเทพฯ ให้เป็น EV จำนวน 50% ภายในระยะเวลาสองปี

ข้อความจากผู้บริหาร

เกียรติชัย พิตรปรีชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DHL eCommerce เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “ภาคอีคอมเมิร์ซของไทยยังมีแนวโน้มการเจริญเติบโตที่ดี DHL มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางอนาคตของอุตสาหกรรมนี้ ผ่านการยกระดับมาตรฐานคุณภาพการขนส่งให้ดียิ่งขึ้นและการขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัล ด้วยการผสานเครือข่ายการจัดส่งที่ครอบคลุมทั่วประเทศเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัยและโซลูชันด้านโลจิสติกส์ที่ยั่งยืน เราสามารถส่งเสริมศักยภาพให้ธุรกิจไทยทุกขนาดและทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าองค์กรหรือบุคคลทั่วไป ให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในเศรษฐกิจดิจิทัล”

เฮอร์เบิต วงศ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการ DHL Express ประเทศไทย และหัวหน้าภาคพื้นอินโดจีน กล่าวว่า “เครือข่ายของเราที่ครอบคลุม 220 ประเทศ พร้อมด้วยโครงสร้างพื้นฐานทางอากาศและภาคพื้นดินส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสำคัญของการค้าโลก เราช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจทุกขนาดในประเทศไทยให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากโอกาสธุรกิจที่มีทั่วโลก และส่งเสริมอนาคตที่ยั่งยืนผ่านโซลูชันที่เชื่อถือได้และมีประสิทธิภาพ เช่น บริการ GoGreen Plus เราพร้อมเชื่อมต่อประเทศไทยกับทั่วโลกและเปิดตลาดใหม่ให้แก่ธุรกิจไทย”

วินเซนต์ ยอง กรรมการผู้จัดการ DHL Global Forwarding ประเทศไทย กล่าวว่า “การเปิดตัวศูนย์ DHL International Multimodal Hub ที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อไม่นานมานี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ด้านโลจิสติกส์ของประเทศไทย ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ที่สำคัญของอาเซียนภายในปี 2568 โซลูชันของเรา เช่น เครือข่ายการขนส่งที่หลากหลายแบบบูรณาการ จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของประเทศ”

สตีฟ วอล์กเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DHL Supply Chain กลุ่มธุรกิจประเทศไทย กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในซัพพลายเชนและโลจิสติกส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญสำหรับภาคยานยนต์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมการผลิต ประกอบกับการมีตลาดค้าปลีกในประเทศขนาดใหญ่ เรามีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งต่อโอกาสทางธุรกิจ และมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการเติบโตของลูกค้าและความเป็นเลิศด้านซัพพลายเชนในประเทศไทยในอนาคต”


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์คาดการณ์ อีกสองปีข้างหน้า 40% ของการรั่วไหลข้อมูล AI เกิดจากการใช้ GenAI ข้ามประเทศอย่างไม่เหมาะสม

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 5 มีนาคม 2568 – การ์ทเนอร์ อิงค์ คาดว่าภายในปี 2570 ปัญหาข้อมูลรั่วไหลที่เกี่ยวข้องกับ AI มากกว่า 40% เกิดจากการใช้ Generative AI ข้ามประเทศอย่างไม่เหมาะสม

ความนิยมใช้งาน GenAI ในหมู่ผู้ใช้งานทั่วไปเติบโตเร็วเกินกว่าแนวทางการพัฒนาด้านการกำกับดูแลข้อมูลและมาตรการรักษาความปลอดภัย ซึ่งสร้างความกังวลอย่างยิ่งต่อการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลในประเทศ (Data Localization) เนื่องจากต้องใช้พลังการประมวลผลแบบรวมศูนย์ (Centralized Computing) สำหรับรองรับเทคโนโลยีเหล่านี้

Joerg Fritsch รองประธานนักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “การถ่ายโอนข้อมูลข้ามประเทศโดยไม่ตั้งใจมักเกิดขึ้นเนื่องจากขาดการกำกับดูแลที่ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะเมื่อมีการรวม GenAI เข้าไว้ในผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ โดยไม่มีคำอธิบายหรือการประกาศที่ชัดเจน องค์กรต่าง ๆ เริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในเนื้อหาที่พนักงานสร้างขึ้นผ่านการใช้เครื่องมือ GenAI แม้เครื่องมือเหล่านี้จะสามารถใช้ในแอปพลิเคชันทางธุรกิจที่ได้รับอนุมัติ แต่ก็มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยหากมีการป้อนคำสั่งที่ละเอียดอ่อนไปยังเครื่องมือ AI และ APIs ที่โฮสต์ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถระบุได้”

ช่องว่างของการกำหนดมาตรฐาน AI ทั่วโลก นำไปสู่การดำเนินงานที่ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ

การขาดแนวปฏิบัติที่ดีและมาตรฐานที่สอดคล้องกันทั่วโลกสำหรับการใช้งาน AI รวมถึงการกำกับดูแลข้อมูล ทำให้เกิดความท้าทายเพิ่มขึ้น และเป็นเหตุให้เกิดการแบ่งแยกตลาด รวมถึงบังคับให้องค์กรต้องพัฒนากลยุทธ์ขึ้นเฉพาะแต่ละภูมิภาค ซึ่งอาจจำกัดความสามารถของการขยายการดำเนินงานไปสู่ระดับโลกและรับประโยชน์จากผลิตภัณฑ์และบริการ AI

“ความซับซ้อนของการจัดการการไหลเวียนข้อมูลและการรักษาคุณภาพตามนโยบาย AI ในแต่ละประเทศนั้นอาจทำให้การดำเนินงานไม่มีประสิทธิภาพ โดยองค์กรต้องลงทุนด้านการกำกับดูแล AI ขั้นสูงและเพิ่มความปลอดภัยเพื่อปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนพร้อมปฏิบัติตามกฎระเบียบ และความจำเป็นนี้อาจผลักดันให้ตลาดบริการด้านความปลอดภัย การกำกับดูแล และการปฏิบัติตามกฎระเบียบของ AI เติบโตยิ่งขึ้น รวมถึงโซลูชันเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและการควบคุมกระบวนการทำงานของ AI” Fritsch กล่าวเพิ่มเติม  

องค์กรต้องรีบดำเนินการก่อนที่การกำกับดูแล AI จะกลายเป็นข้อบังคับของโลก

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2570 การกำกับดูแล AI หรือ AI Governance จะกลายเป็นข้อกำหนดของกฎหมายและข้อบังคับ AI ที่มีอำนาจบังคับใช้ทั่วโลก

“องค์กรที่ไม่สามารถนำโมเดลการกำกับดูแลและการควบคุม AI มาใช้ได้อย่างบูรณาการ อาจเสียเปรียบในการแข่งขันได้ โดยเฉพาะองค์กรที่กำลังขาดทรัพยากรเพื่อการขยายกรอบการกำกับดูแลข้อมูลที่มีอยู่ให้ทันการเปลี่ยนแปลง” Fritsch กล่าวเพิ่มเติม 

เพื่อลดความเสี่ยงจากเหตุการรั่วไหลของข้อมูล AI โดยเฉพาะจากการใช้และถ่ายโอนข้อมูล GenAI ข้ามประเทศอย่างไม่เหมาะสม และเพื่อให้เป็นไปตามข้อปฏิบัติตามกฎระเบียบ การ์ทเนอร์แนะนำกลยุทธ์การดำเนินการสำหรับองค์กรไว้ ดังนี้:

  • เพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแลด้านข้อมูล: องค์กรต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบระหว่างประเทศและตรวจสอบการถ่ายโอนข้อมูลข้ามประเทศโดยที่ไม่ตั้งใจ ด้วยการขยายกรอบการกำกับดูแลข้อมูลให้ครอบคลุมถึงแนวทางสำหรับข้อมูลที่ประมวลผลด้วย AI รวมถึงการประเมินผลกระทบของการสืบย้อนข้อมูลและการถ่ายโอนข้อมูลสำหรับประเมินผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวแบบสม่ำเสมอ 
  • จัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแล: จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อเพิ่มการกำกับดูแล AI และมีการสื่อสารที่โปร่งใสเกี่ยวกับการใช้งาน AI และการจัดการข้อมูล โดยคณะกรรมการเหล่านี้ต้องรับผิดชอบการกำกับดูแลทางเทคนิค การจัดการความเสี่ยงและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ พร้อมมีการสื่อสารและการรายงานการตัดสินใจ 
  • เสริมสร้างความปลอดภัยข้อมูล: ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การเข้ารหัส และการปกปิดตัวตนเพื่อปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อน ตัวอย่างเช่น ตรวจสอบพื้นที่การประมวลผลที่ปลอดภัย หรือ Trusted Execution Environment (TEE) ในตำแหน่งทางภูมิศาสตร์เฉพาะ และใช้เทคโนโลยีการปกปิดตัวตนขั้นสูง เช่น Differential Privacy เมื่อข้อมูลต้องออกจากภูมิภาคเหล่านี้ 
  • ลงทุนในผลิตภัณฑ์ TRiSM: วางแผนและจัดสรรงบประมาณสำหรับผลิตภัณฑ์และความสามารถด้านการจัดการความไว้วางใจ ความเสี่ยง และความปลอดภัย (TRiSM) ที่ปรับแต่งสำหรับเทคโนโลยี AI รวมถึงการกำกับดูแล AI การกำกับดูแลความปลอดภัยข้อมูล การกรองและแก้ไขคำสั่ง และการสร้างข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างแบบสังเคราะห์ การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2569 องค์กรที่ใช้การควบคุม AI TRiSM จะใช้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือผิดกฎหมายน้อยลงอย่างน้อย 50% พร้อมลดการตัดสินใจผิดพลาด

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

STT GDC ประกาศเริ่มก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์แห่งที่สามในกรุงเทพฯ

กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 3 มีนาคม 2568 — เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) หรือ STT GDC Thailand ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ประกาศเริ่มดำเนินการก่อสร้าง STT Bangkok 2 ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งที่สามในประเทศไทย เพื่อรองรับความต้องการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สำคัญในประเทศ โดยดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของ STT Bangkok แคมปัส ที่มีศักยภาพพัฒนากำลังไฟฟ้าได้ถึง 24 เมกะวัตต์ (MW) ผ่านระบบจ่ายไฟจากสองแหล่งจ่าย เพื่อเพิ่มเสถียรของระบบ โดยการก่อสร้างได้เริ่มดำเนินการแล้วและคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการในไตรมาส 4 ของปี 2569 

คุณสมบัติการประมวลผลยุคใหม่

STT Bangkok 2 ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับอนาคตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล สำหรับการประมวลผลยุคใหม่ ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้นำเสนอการติดตั้งระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวหรือ Liquid Cooling ที่มีความเฉพาะ กับการประมวลผลขั้นสูง รวมทั้งสามารถรองรับเวิร์กโหลด AI ที่ต้องการการจัดการความร้อนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น นวัตกรรมการระบายความร้อนแบบไฮบริดที่สามารถรองรับได้ทั้งการระบายความร้อนด้วยอากาศและของเหลวจะช่วยมอบความยืดหยุ่นเพื่อสนับสนุนสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในดาต้าเซ็นเตอร์ ช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกโซลูชันที่ตรงกับความต้องการที่เฉพาะได้

ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อรองรับความต้องการในการประมวลผลที่หลากหลาย ตั้งแต่การใช้งานในปัจจุบันไปจนถึงการประมวลผลความเร็วสูงที่ทันสมัยที่สุด โดยการออกแบบที่ยืดหยุ่นของ STT Bangkok 2 จะช่วยให้ธุรกิจสามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของความต้องการด้านการประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว

คุณบุศรินทร์ ประดิษฐยนต์ Country Head เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ดิฉันและทีมงานรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เริ่มการก่อสร้าง STT Bangkok 2 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญและตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเราที่จะสนับสนุนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของประเทศไทย โดยดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ไม่เพียงแต่เพิ่มขีดความสามารถให้กับเราเพื่อตอบสนองความต้องการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลขั้นสูงที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างความเป็นผู้ให้บริการชั้นนำในภูมิภาค”

การขยายธุรกิจของ STT GDC ในประเทศไทย

การพัฒนา STT Bangkok 2 เป็นองค์ประกอบสำคัญของการขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ของ STT GDC ในประเทศไทย และขยายความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ไปสู่การพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ที่พร้อมรองรับ AI สำหรับตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชีย โดยโครงการนี้ยังช่วยเสริมสร้างความเป็นผู้นำของบริษัทฯ ในเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังพัฒนารวดเร็วในภูมิภาค

“จากการผสานความเชี่ยวชาญระดับโลกเพื่อการพัฒนาและดำเนินการดาต้าเซ็นเตอร์ของ STT GDC เข้ากับประสบการณ์ด้านเวิร์กโหลด AI จะทำให้ STT Bangkok 2 พร้อมตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่ต้องการการประมวลผลขั้นสูงและรองรับการขับเคลื่อนด้วย AI” คุณบุศรินทร์ กล่าวเสริม

STT Bangkok 2 เป็นการพัฒนาต่อยอดความสำเร็จมาจาก STT Bangkok 1 ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกของบริษัทฯ ในประเทศไทย ซึ่งเปิดดำเนินการมาตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2564 ด้วยกำลังไฟฟ้าขนาด 22 เมกะวัตต์ เมื่อ STT Bangkok 1 และ STT Bangkok 2 รวมกันแล้วจะกลายเป็นดาต้าเซ็นเตอร์แคมปัสขนาดใหญ่ของ STT Bangkok ที่พร้อมนำเสนอโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานที่มีขนาดใหญ่และแข็งแกร่งยิ่งขึ้นให้กับลูกค้า โดยแคมปัสแห่งนี้จะมีกำลังไฟฟ้ารวมกันมากถึง 46 เมกะวัตต์ เพียงพอสำหรับลูกค้าในการขยายศักยภาพการดำเนินงานภายในสถานที่เดียวกันที่ตั้งอยู่บนทำเลยุทธศาสตร์

การขยายแคมปัสนี้ ทำให้ STT GDC Thailand สามารถให้บริการที่ยืดหยุ่นแก่ธุรกิจต่าง ๆ เพื่อสร้างการเติบโตด้านโครงสร้างพื้นฐานไอทีอย่างราบรื่นตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลง พร้อมยังรองรับ AI และเปิดกว้างให้เชื่อมต่อกับผู้ให้บริการโครงข่ายแบบเสรี (Carrier-Neutral)

และยังมี STT Bangkok 3 ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งที่ 3 กำลังไฟฟ้าขนาด 2 เมกะวัตต์ และตั้งอยู่ในโครงการ One Bangkok ที่มีชื่อเสียง ด้วยดาต้าเซ็นเตอร์ทั้งสามแห่งนี้ทำให้ STT GDC ยืนหยัดเป็นผู้นำตลาดในประเทศไทย1 อย่างมั่นคง พร้อมรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสำหรับบริการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับสูงในอุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศที่กำลังขยายตัวรวดเร็ว

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ STT Bangkok 2 และบริการของ STT GDC ในประเทศไทย สามารถคลิกเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ https://www.sttelemediagdc.com/

บรรยายภาพดาต้าเซ็นเตอร์แคมปัส STT Bangkok ขนาดใหญ่ ที่รวม ดาต้าเซ็นเตอร์สำคัญ – STT Bangkok 1 (ตึกขวามือสุดที่เปิดดำเนินการแล้ว) และ STT Bangkok 2 (ตึกตรงกลางที่กำลังก่อสร้าง)

โดยทั้งหมดจะให้กำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 46MW ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์เดียวกัน สามารถรองรับการขยายธุรกิจที่มีความต้องการโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น

เกี่ยวกับ เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์

เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (STT GDC) เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่เติบโตรวดเร็วที่สุด บริษัทฯ นำเสนอแพลตฟอร์มระดับโลกสำหรับเป็นรากฐานสำคัญของระบบนิเวศดิจิทัลที่ช่วยเชื่อมโลกเข้าด้วยกัน โดย STT GDC เปิดดำเนินงานอย่างครอบคลุมในสิงคโปร์ สหราชอาณาจักร เยอรมนี อินเดีย ไทย เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และเวียดนาม เพื่อขับเคลื่อนอนาคตดิจิทัลที่ยั่งยืนและวางรากฐานที่โดดเด่นเพื่อสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจในทุกที่ ข้อมูลเพิ่มเติม เยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์: https://www.sttelemediagdc.com/


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว โซลูชั่นสำหรับอาคารขนาดเล็ก และขนาดกลาง

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว EcoStruxure Building Activate โซลูชั่นอัจฉริยะที่ช่วยพลิกโฉมอาคารขนาดเล็กและกลางสู่ Smart & Sustainable Building ด้วยเทคโนโลยี IoT และ AI ในรูปแบบ SaaS ที่ช่วยลดต้นทุนด้านพลังงาน ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน และมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้แก่ผู้ใช้งาน รองรับการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ ครอบคลุมตั้งแต่อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม ไปจนถึงมหาวิทยาลัย พร้อมระบบเปิดที่สามารถผสานการทำงานกับโครงสร้างเดิมได้อย่างราบรื่น ตอบโจทย์อนาคตของอาคารอัจฉริยะอย่างแท้จริง

นายเผดิมศักดิ์ รัตนเรืองศักดิ์ รองประธานฝ่ายธุรกิจ เพาเวอร์ โพรดักส์ ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ไทย ลาว และเมียนมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวว่า “EcoStruxure Building Activate เป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของอาคารสู่ยุคดิจิทัล ด้วยเทคโนโลยี IoT และขับเคลื่อนด้วย AI เราสามารถช่วยให้ลูกค้าลดต้นทุน ยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้งาน และเดินหน้าสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

EcoStruxure Building Activate เป็นโซลูชั่นการจัดการพลังงานและสินทรัพย์สำหรับอาคารขนาดเล็กและขนาดกลาง ในรูปแบบ Software as a Service (SaaS) ให้ความยืดหยุ่น ช่วยให้มองเห็นความเป็นไปของระบบแบบรวมศูนย์ ช่วยลดความซับซ้อนในการดำเนินงานและการบำรุงรักษา สำหรับอาคารที่ขนาดต่ำกว่า 10,000 ตารางเมตร

  • ใช้งานง่าย: ปรับการดำเนินงานให้เหมาะสมด้วย Interface ที่ใช้งานง่าย การตรวจจับความผิดปกติอัจฉริยะ และรายงานอัตโนมัติ
  • ระบบเปิด: โซลูชั่นโปรโตคอลแบบเปิดที่สามารถรวมเข้ากับหลากหลายระบบอาคารที่มีอยู่อย่างได้อย่างราบรื่น แม้แต่ระบบยี่ห้ออื่น
  • มีความยืดหยุ่น: จัดการอาคารเดี่ยวและกลุ่มอาคารได้มากว่า 100 สาขา ได้ด้วยคุณสมบัติเพิ่มเติมที่สามารถเพิ่มได้ตามการเติบโตของกิจการ
  • ให้ความยั่งยืน:ช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ด้วยการวัด การจัดการ และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอน

“เราสามารถเปลี่ยนอนาคตของอาคารดั้งเดิมที่ไม่เคยใช้ดิจิทัลเลย ให้เป็น Smart & Sustainable ด้วย EcoStruxure Building Activate อาทิ อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม โรงพยาบาล และมหาวิทยาลัย ที่ต้องการปฏิรูปสู่ Smart Building อย่างเต็มรูปแบบ โดยโซลูชั่นนี้สามารถช่วยให้เจ้าของอาคาร ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยรวม 

นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าด้านอสังหาริมทรัพย์ และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในยุคเศรษฐกิจสีเขียว”นายเผดิมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย


Exit mobile version