Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ครบรอบ 50 ปี ลัคกี้เฟลม เดินหน้าก้าวใหม่สู่องค์กรแห่งความยั่งยืน มุ่งเป้าแบรนด์ไทยระดับสากล พัฒนาผลิตภัณฑ์อัจฉริยะตอบโจทย์โลกอนาคต

นายเชาว์เลิศ ลีลาศวัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ลัคกี้เฟลม จำกัด กล่าวถึงสภาพตลาดและการเติบโตของตลาดเตาแก๊สและเตาไฟฟ้าที่ใช้ในครัวเรือนว่า ในปีที่ผ่านมา (2567) การเติบโตของตลาดในเชิงคุณภาพถือว่ายังเติบโต โดยลูกค้ากลุ่มนี้เป็นระดับกลางถึงสูง (Middle to High-End) ซึ่งยังมีความสามารถในการจับจ่ายที่ดี แต่มีความต้องการสินค้าที่สอดคล้องกับพฤติกรรมในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบดีไซน์ที่มีความโดดเด่น มีนวัตกรรม เทคโนโลยีและฟังก์ชันการใช้งานที่ทันสมัย ซึ่งเมื่อผนวกกับประสิทธิภาพการใช้งานที่เหมาะกับลักษณะของครัวไทยและจุดแข็งด้านความปลอดภัยสูงแล้ว ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ ลัคกี้เฟลม ในกลุ่มนี้เติบโตได้ดีตามไปด้วย 

ปัจจุบัน ลัคกี้เฟลม มีผลิตภัณฑ์อยู่ในตลาดกว่า 500 SKUs ใน 8 กลุ่มผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย กลุ่มเตาแก๊สและเตาไฟฟ้า กลุ่มเครื่องดูดควัน กลุ่มเตาอบ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เครื่องทำน้ำอุ่น กลุ่มอ่างล้างจานและก็อกน้ำ กลุ่มอุปกรณ์แก๊ส รวมถึงผลิตภัณฑ์สำหรับธุรกิจร้านอาหาร โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเตาแก๊ส เตาไฟฟ้า อันดับหนึ่งของประเทศและเป็นผู้ผลิตเตาแก๊สอันดับต้นของอาเซียน มีสัดส่วนการขายในประเทศอยู่ที่ 80% ครองส่วนแบ่งตลาดเตาแก๊สในประเทศประมาณ 20% จากมูลค่าตลาดรวมประมาณ 3,500 ล้านบาท และส่งออกตลาดต่างประเทศมีสัดส่วนประมาณ 20% โดยตลาดหลัก คือ เวียดนาม พม่า อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และเยอรมันนี ส่วนผลกระทบจากมาตรการด้านภาษีของสหรัฐอเมริกานั้น แม้สหรัฐฯ จะไม่ใช่ตลาดส่งออกหลักโดยตรง แต่ก็ได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมถึงมีการเตรียมพร้อมในการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อรองรับกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ควบคู่ไปกับการจับมือกับพันธมิตรใหม่ๆ ที่มีศักยภาพในภูมิภาคต่างๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงในเชิงกลยุทธ์

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2568 นั้น ถือเป็นความท้าทายและเป็นก้าวใหม่สำคัญของ ลัคกี้เฟลม ที่ดำเนินธุรกิจมาถึง 50 ปี วันนี้การเดินหน้าธุรกิจต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกับโลกที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ซึ่งเป็นจุดยืนเดียวกับ ลัคกี้เฟลม ที่มีเป้าหมายในการเป็นแบรนด์ไทยที่มีศักยภาพระดับสากล ขยายตลาดในอาเซียน และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์โลกอนาคต ภายใต้การดำเนินงานที่มุ่งเน้นความยั่งยืน (ESG) อย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การปรับปรุงกระบวนการผลิตที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพทั้งการติดตั้งโซลาเซลล์ 600 กิโลวัตต์ ทำให้ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 1,500 ตัน รวมถึงกระบวนการบำบัดน้ำและอากาศจากการผลิต ทำให้ทางบริษัทฯ ได้รับการรับรองจากกระทรวงอุตสาหกรรมให้เป็น อุตสาหกรรมสีเขียว นอกจากนั้นยังมีการดำเนินนโยบายด้าน Circular Economy ทำการศึกษาและพัฒนาการนำเศษวัสดุจากการผลิต มาผลิตเป็นชิ้นส่วนใหม่ที่นำไปใช้ต่อได้ตามหลัก Upcycling ทำให้ลดต้นทุน ลดของเสียที่ทำให้เกิดขยะและใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า รวมถึงยังมีการลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การใช้แขนกลในกระบวนการ Die Casting การใช้ระบบ IT, ในการควบคุมคุณภาพในกระบวนการผลิต ฯลฯ

แนวทางดังกล่าวส่งผลถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีทั้งกับผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อมไปควบคู่กัน ซึ่งลัคกี้เฟลม เป็นผู้ผลิตเตาแก๊สรายแรกที่ได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรม หรือ มอก. ทั้งในด้านความปลอดภัย และ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ต่ำกว่า 1,000PPM. จากการพัฒนาเตาแก๊สให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ ใช้พลังงานได้คุ้มค่า และแม้จะไม่มีการประกาศบังคับใช้ มอก. แต่ลัคกี้เฟลมเล็งเห็นถึงความสำคัญเรื่องความปลอดภัยสูงสุด จึงมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพเพื่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง รวมถึงการพัฒนาให้เตาแก๊ส ลัคกี้เฟลม ประหยัดแก๊สได้มากถึง 30% เมื่อเทียบกับเตาแก๊สทั่วไปจนได้รับฉลากประหยัดพลังงานและมีประสิทธิภาพสูงจากกระทรวงพลังงาน

ส่วนด้านการตลาดนั้น ลัคกี้เฟลม จะยังคงรักษาฐานในกลุ่มแม่บ้าน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ Mass Market พร้อมกับให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าในเมืองและคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูงมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ประเภท Built-in และสินค้าสำหรับผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม ที่ต้องการความสะดวก ปลอดภัยและเหมาะสมกับพื้นที่จำกัด (Smart Function & Safety Innovation) ซึ่งผลิตภัณฑ์ใหม่ที่น่าสนใจสำหรับปี 2568 นั้น ประกอบด้วย Nexus ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวอัจฉริยะ (Smart Kitchen Appliances) ที่ประกอบด้วยเครื่องดูดควัน (Smart Hood) และเตาแก๊ซแบบฝัง (Smart Built-in Gas Hob) โดยเครื่องดูดควันมีคุณสมบัติเด่น ทั้งการเชื่อมต่อการทำงานระหว่างเตาแก๊สกับเครื่องดูดควันปรับความแรงเครื่องดูดควันตามกำลังไฟของเตา ม่านอากาศป้องกันควันออกสู่ภายนอก  หัวเตา มีระบบความปลอดภัยสูงตัดแก๊สทันทีที่เปลวไฟดับ (Flame Failure Device) พื้นผิวหน้าเตาเป็นกระจกนิรภัยเคลือบ AG Nano ลดการเกิดคราบ ทำความสะอาดง่าย รับประกันกระจกตลอดอายุการใช้งาน รวมถึงเตาแก๊สอัจฉริยะ i-Hob สามารถเชื่อมต่อ Application บนสมาร์ทโฟน เพิ่มความสะดวก และปลอดภัยต่อผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังจะมีการออกผลิตภัณฑ์ เตาไฟฟ้ารุ่น พิเศษ (Limited Edition) ฉลอง 50 ปี โดยจะร่วมกับนักออกแบบและดีไซน์เนอร์ชื่อดัง เพื่อขอบคุณลูกค้าที่อยู่เคียงข้างกับแบรนด์ ลัคกี้เฟลม มาโดยตลอด ส่วนเป้าหมายรายได้ในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มได้ 10% และคาดว่าในอีก 3ปี จะเติบโตได้ถึง 1,200 ล้านบาท จากปัจจัยการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาด การจับมือพันธมิตรใหม่ และการรุกตลาดส่งออกต่างประเทศที่มากขึ้นอีกด้วย

ผู้สนใจข้อมูลบริษัทและผลิตภัณฑ์ของลัคกี้เฟลมสามารถหารายละเอียดได้ที่https://www.luckyflame.co.th/ หรือ โทร 02-312-4330-40


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

CelcomDigi ร่วมมือกับอีริคสัน ยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้งานมือถือผ่านเครือข่ายอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI

CelcomDigi Berhad (“CelcomDigi”) และ อีริคสัน (มาเลเซีย) Sdn Bhd (“Ericsson”) ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) เพื่อร่วมมือกันพัฒนาการดำเนินงานเครือข่ายอัตโนมัติในประเทศมาเลเซีย โดยโครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อใช้ประโยชน์ด้านการวิเคราะห์เครือข่ายที่ขับเคลื่อนด้วย AI มาเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านเครือข่ายของ CelcomDigi ช่วยให้บริษัทฯ สามารถมอบประสบการณ์เครือข่ายที่มีประสิทธิภาพสูงให้แก่ผู้ใช้งานมือถือได้อย่างต่อเนื่อง

การนำเครือข่าย 5G มาใช้อย่างแพร่หลาย ก่อให้เกิดความซับซ้อนของเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีจำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อและยูสเคสการใช้งานที่หลากหลายเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเพื่อแก้ไขความท้าทายเหล่านี้ CelcomDigi และอีริคสันจะร่วมกันสำรวจแนวทางการพัฒนาเครือข่ายอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนตามเจตนารมณ์หรือ Intent-Driven Autonomous Networks โดยใช้ประสิทธิภาพจาก AI และระบบอัตโนมัติสำหรับมอบบริการการเชื่อมต่อที่แตกต่างและมีคุณภาพสูง

ความร่วมมือดังกล่าวประกอบด้วยสาระสำคัญดังนี้:

  • ระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI – ใช้เทคโนโลยี AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
  • การรับประกันบริการ 5G – การรับประกันบริการ 5G ที่มีประสิทธิภาพสูงและแตกต่าง สำหรับองค์กรและผู้บริโภค
  • มอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ผู้ใช้ – ปรับปรุงคุณภาพการบริการและประสิทธิภาพการดำเนินงานผ่านโซลูชันอัตโนมัติ

อีริคสันจะนำความเชี่ยวชาญระดับโลกและแนวคิด AI Intent-Based Operations (IBO) ที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมมาช่วยเร่งการพัฒนาการดำเนินงานเครือข่ายอัตโนมัติ โดยบูรณาการความสามารถอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI ต่าง ๆ มาใช้สนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายและการพัฒนาเครือข่ายของ CelcomDigi ให้มีความทันสมัยอย่างต่อเนื่อง สำหรับสร้างเครือข่ายดิจิทัลชั้นนำของประเทศ พร้อมมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับทั้งองค์กรและผู้บริโภคชาวมาเลเซีย

นาย Datuk Idham Nawawi ซีอีโอของ CelcomDigi ให้ความเห็นถึงความร่วมมือนี้ว่า “การใช้ 5G ในมาเลเซียกำลังเร่งขยายตัวมากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องพัฒนาความสามารถเครือข่ายเพื่อจัดการและรับมือกับความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ยังคงมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้ใช้งาน การขยายความร่วมมืออย่างต่อเนื่องกับอีริคสัน ทำให้เรากำลังก้าวไปสู่การดำเนินงานเครือข่ายอัตโนมัติตามเจตนารมณ์ หรือ Intent-Based Autonomous Networks โดยใช้ AI และระบบอัตโนมัติมาเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของเครือข่าย เพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมปรับปรุงด้านความยั่งยืน”

นาย David Hägerbro ประธานและซีอีโอของอีริคสัน มาเลเซีย ศรีลังกา และบังกลาเทศ กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ CelcomDigi ถือเป็นก้าวสำคัญเชิงกลยุทธ์สำหรับการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของมาเลเซีย พวกเราตื่นเต้นกับศักยภาพในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI เพื่อดำเนินงานเครือข่ายอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพและประสบการณ์ของผู้ใช้งานมือถือให้ดียิ่งขึ้น โดย MoU ฉบับนี้มีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการดำเนินงาน เพิ่มคุณภาพการให้บริการ และยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราต่อมาเลเซียที่ยังคงเหมือนเดิม และจากความร่วมมือนี้ เรายังมุ่งสนับสนุนให้ CelcomDigi เป็นผู้ให้บริการชั้นนำด้านนวัตกรรมดิจิทัล”

ความร่วมมือนี้ยังต่อยอดความมุ่งมั่นของ CelcomDigi ในการใช้ประโยชน์จากความร่วมมือกับพันธมิตรสำหรับขับเคลื่อนนวัตกรรมและสนับสนุนการทรานฟอร์มเมชันของประเทศไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยเครือข่าย 5G และเทคโนโลยี AI ด้วยการบุกเบิกการดำเนินงานเครือข่ายอัตโนมัติของ CelcomDigi และอีริคสันจะกำหนดมาตรฐานใหม่ในด้านประสิทธิภาพเครือข่าย การนำเสนอบริการที่แตกต่าง และสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ใช้งานที่ดียิ่งขึ้น


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะวิศวฯ มจพ. จับมือ สมาคมการจัดการระบบคลังสินค้าไทย อบรมนักวิเคราะห์ระบบอัตโนมัติ SA ในโครงการบัณฑิตพันธุ์ใหม่ พ.ศ 2568

คณะวิศวกรรมศาสตร์   มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ  (มจพ.)  ร่วมกับ สมาคมการจัดการระบบคลังสินค้าไทย (TIA : Thai  Intralogistics  Association)  และ เครือข่ายพันธมิตรของสมาคมการจัดการระบบคลังสินค้าไทย กำหนดจัดอบรมนักวิเคราะห์ระบบอัตโนมัติ System Analyst (SA ) รุ่นที่ 11 ภายใต้โครงการบัณฑิตพันธุ์ใหม่  .  2568  (Transformation to  Sustainable  Smart  Manufacturing)  ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย

คุณสมบัติผู้เข้าอบรม

สำเร็จการศึกษาด้านเทคโนโลยี ระดับปริญญาตรีเป็นต้นไป หรือเป็นผู้ที่สนใจอยู่ระหว่างการเรียนในระดับปริญญาตรี จำนวน 3 กลุ่มดังนี้

กลุ่ม 1 บุคลากรภาคการศึกษา ได้แก่ อาจารย์วิทยาลัยเทคนิค / มหาวิทยาลัยสายเทคโนโลยี
กลุ่ม 2 ผู้ประกอบการ ด้าน System Integrator / Maker ที่ทำงานด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม เอไอ และดิจิทัล
กลุ่ม 3 สถานประกอบการ ได้แก่ สายงานเทคโนโลยี ระดับหัวหน้างานขึ้นไป ที่ต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอุตสาหกรรม

เปิดรับสมัคร ตั้งแต่บัดนี้ – 20 เมษายน 2568

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทรศัพท์ 083-846-0056, 083-133-7895 หรือ 091-255-19999  Facebook : ThaiIntralogistics และ e-mail : thailntralogistics@gmail.com

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

STGT รุกงานเอกซ์โประดับโลก ลุยตลาดเกาหลี อินเดีย เยอรมนี โชว์ศักยภาพผู้ผลิตถุงมือยางอันดับหนึ่งของไทยมาตรฐานระดับแนวหน้าของโลก

บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์อันดับหนึ่งของประเทศไทยและอันดับต้นของโลก เดินหน้ายกทัพถุงมือยางศรีตรังโกลฟส์และผลิตภัณฑ์ในเครือบุก 3 ประเทศ ในเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยเข้าร่วมงานแสดงสินค้าระดับแนวหน้าของโลก ได้แก่ 1) งานแสดงอุปกรณ์การแพทย์และโรงพยาบาลนานาชาติเกาหลีครั้งที่ 40 “Korea International Medical & Hospital Equipment Show (KIMES) 2025” ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ วันที่ 20-23 มีนาคม 2568 2) งานแสดงสินค้าและการประชุมชั้นนำสำหรับโรงพยาบาล ศูนย์สุขภาพ และคลินิก “Medical Fair India 2025” ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย วันที่ 27-29 มีนาคม 2568 และ 3) งานแสดงสินค้าทางทันตกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก “IDS Dental industry and Dental trade fair 2025” ณ เมืองโคโลญจน์ สาธารณรัฐเยอรมนี วันที่ 25-29 มีนาคม 2568 พร้อมนำเสนอการดำเนินงานด้านความยั่งยืนภายใต้แนวคิด “Clean World Clean Gloves (CWCG)” หรือ “ถุงมือสะอาด โลกสะอาด”

นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าระดับโลกไม่เพียงแต่เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของ STGT ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ แต่ยังเป็นการยืนยันถึงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมถุงมือยางที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มลูกค้าปัจจุบันและขยายฐานตลาดใหม่ ซึ่ง STGT ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์ ที่อยู่ภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ และการผลิตในลักษณะ OEM ร่วมแสดงในงานแสดงสินค้าระดับโลกถึง 3 งาน ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทั้งภูมิภาคเอเชียและยุโรป โดยมีผู้ร่วมงานทั้ง 3 งานรวมกว่า 200,000 ราย เนื่องจากอุตสาหกรรมการแพทย์ถือเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ที่ทั่วโลกให้ความสนใจ และถุงมือยางถือเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในทุกขั้นตอนของการให้บริการทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็น การตรวจคัดกรองโรค การตรวจวินิจฉัยโรค หรือการตรวจในห้องปฏิบัติการ เป็นต้น

“ในปี 2568 เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเติบโตของผู้ผลิตถุงมือยางในประเทศไทย  เนื่องจากความต้องการสินค้ากลุ่มสุขภาพและการแพทย์ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ถึงแม้จะคลี่คลายไปแล้ว แต่ได้สร้างพฤติกรรม New Normal ให้กับผู้บริโภคทั่วโลกที่หันมาดูแลและใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ประกอบกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่ส่งเสริมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ อีกทั้งประเทศไทยมีข้อได้เปรียบด้านมาตรการภาษีระหว่างประเทศ ซึ่งโอกาสเหล่านี้เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ ในตลาดโลกอย่างมีนัยสำคัญ และ STGT มุ่งมั่นพัฒนาถุงมือยางให้ตอบโจทย์ทุกการใช้งานแก่ผู้บริโภคสินค้าในทุกอุตสาหกรรมและทุกครัวเรือน” นางสาวจริญญา กล่าว

นางสาวจริญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า การร่วมงานจัดแสดงสินค้าระดับนานาชาติเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการสื่อสารกับลูกค้าทั่วทุกมุมโลก และตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยกระบวนการผลิตถุงมือยางของ STGT ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและลดการปล่อยของเสีย มุ่งสู่ Net Zero นอกจากนี้ บริษัทยังนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติ (Automation) มาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและกระบวนการผลิตเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับการดำเนินงานภายใต้แนวคิดสำคัญที่เปรียบเสมือนหัวใจหลักของ STGT  คือ “Clean World Clean Gloves (CWCG)” ที่บริษัทฯ มุ่งมั่นผลิตถุงมือยางที่สะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและโลกของเรา STGT เราพร้อมที่จะส่งมอบการ “ปกป้องทุกสัมผัส ด้วยความห่วงใย” สู่ทุกชีวิตทั่วโลก และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมถุงมือยางไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เชฟรอน จัดสัมมนา Green Manufacturing & Lubricants โรงงานสีเขียวกับการเลือกใช้สารหล่อลื่นที่ถูกต้อง

บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นคาลเท็กซ์ ฮาโวลีน และคาลเท็กซ์ เดโล่ นำโดยนางสาวระพีพรรณ ฉัตรชัยมงคล ผู้จัดการฝ่ายขายผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นเพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม (ที่ 3 จากขวา) จัดงานสัมมนา Green Manufacturing & Lubricants โรงงานสีเขียวกับการเลือกใช้สารหล่อลื่นที่ถูกต้อง ให้แก่กลุ่มลูกค้าผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นคาลเท็กซ์และผู้ที่สนใจในเขตพื้นที่ภาคใต้ เพื่อแนะนำข้อมูลและให้ความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) พร้อมชี้แนะแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากเชฟรอนให้ข้อมูลในการเลือกใช้สารหล่อลื่นและวางแผนซ่อมบำรุงที่มีผลต่อการทำงานและสิ่งแวดล้อมด้วย นอกจากนี้ยังได้แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ Clarity® Bio EliteSyn™ AW น้ำมันไฮดรอลิคคุณภาพสูงเกรดพรีเมียม ที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ อีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อม ณ โรงแรมคริสตัลหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เมื่อเร็ว ๆ นี้


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์คาดการณ์ยอดใช้จ่าย GenAI ทั่วโลกปีนี้ แตะ 644 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

กรุงเทพฯ ประเทศไทย., 2 เมษายน 2568 — การ์ทเนอร์ อิงค์ คาดการณ์มูลค่าการใช้จ่าย GenAI ทั่วโลก ปี 2568 จะเพิ่มขึ้น 76.4% จากปีที่แล้ว คิดเป็นมูลค่ารวม 644 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

John-David Lovelock รองประธานนักวิเคราะห์อาวุโสของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ความคาดหวังต่อความสามารถของ GenAI กำลังลดลงเนื่องจากอัตราความล้มเหลวที่สูงในการทำงานพิสูจน์เชิงแนวคิด หรือ Proof-Of-Concept (POC) เบื้องต้นและความไม่พอใจกับผลลัพธ์ของ GenAI ในปัจจุบัน แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ผู้ให้บริการโมเดลพื้นฐานยังคงลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีเพื่อเพิ่มขนาด ประสิทธิภาพ และความน่าเชื่อถือให้กับโมเดล GenAI ซึ่งความไม่สัมพันธ์กันนี้จะยังคงมีอยู่ตลอดปีนี้และปีหน้า”  

โปรเจกต์ภายในที่มีเป้าหมายสำคัญจากปีก่อนจะเผชิญการตรวจสอบอย่างละเอียดในปีนี้ เนื่องจากผู้บริหาร CIO เลือกใช้โซลูชันสำเร็จรูปเชิงพาณิชย์เพื่อนำไปใช้และสร้างคุณค่าทางธุรกิจที่คาดการณ์ได้มากขึ้น แม้ว่าจะมีการปรับปรุงโมเดล แต่ผู้บริหาร CIO จะลดการทำ POC และการพัฒนาเทคโนโลยีด้วยตนเอง โดยมุ่งเน้นไปที่คุณสมบัติ GenAI จากผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ที่มีอยู่แทน” Lovelock กล่าว 

ปี 2568 ยอดการใช้จ่าย GenAI มีแนวโน้มเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในทุกตลาดหลักและตลาดย่อย (ดูตารางที่ 1) GenAI จะมีผลกระทบสร้างการเปลี่ยนแปลงทุกแง่มุมของการใช้จ่ายด้าน IT ในตลาด บ่งชี้ถึงอนาคตที่เทคโนโลยี AI จะกลายเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินธุรกิจและพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคมากขึ้น

ตารางที่ 1. คาดการณ์มูลค่าใช้จ่าย GenAI ทั่วโลก (หน่วย: ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) 

   

2024 Spending

 

2024 Growth (%)

 

2025 Spending

 

2025 Growth (%)

Services 10,569 177.0 27,760 162.6
Software 19,164 255.1 37,157 93.9
Devices 199,595 845.5 398,323 99.5
Servers 135,636 154.7 180,620 33.1
Overall GenAI 364,964 336.7 643,860 76.4

ที่มา: การ์ทเนอร์ (มีนาคม 2568)

Consumer Devices ที่มีความสามารถด้าน AI เป็นปัจจัยขับเคลื่อนมูลค่าใช้จ่าย GenAI

ยอดการใช้จ่าย GenAI ในปี 2568 จะได้รับการขับเคลื่อนเป็นอย่างมาก โดยการผสมผสานความสามารถด้าน AI เข้ากับฮาร์ดแวร์ เช่น เซิร์ฟเวอร์ สมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือพีซี โดย 80% ของยอดการใช้จ่าย GenAI จะเป็นการใช้จ่ายสำหรับฮาร์ดแวร์

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดเป็นผลมาจากความแพร่หลายที่เพิ่มขึ้นของอุปกรณ์ที่รองรับ AI ซึ่งคาดว่าจะครอบคลุมตลาด Consumer Device เกือบทั้งหมด ภายในปี 2571 อย่างไรก็ตามผู้บริโภคไม่ได้ไล่ตามคุณสมบัติเหล่านี้ เหตุเพราะผู้ผลิตฝังเทคโนโลยี AI เป็นคุณสมบัติมาตรฐานไว้ในอุปกรณ์ ทำให้ผู้บริโภคเสมือนถูกบังคับให้ซื้อสินค้าเหล่านี้” Lovelock กล่าวเสริม

การคาดการณ์แนวโน้มการใช้จ่ายด้าน GenAI ของการ์ทเนอร์ ใช้การวิเคราะห์อย่างเข้มข้นของยอดขายจากผู้ค้าและผู้ให้บริการหลายพันราย ครอบคลุมผลิตภัณฑ์และบริการด้าน GenAI ทั้งหมด การ์ทเนอร์ใช้เทคนิคการวิจัยปฐมภูมิ เสริมด้วยแหล่งข้อมูลทุติยภูมิที่เชื่อถือได้ในการสร้างฐานข้อมูลที่ครอบคลุมตามขนาดข้อมูลของตลาดสำหรับเป็นฐานการคาดการณ์

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Binance TH, Binance Charity และ CZ มอบความช่วยเหลือเร่งด่วนรวมมูลค่า 1.5 ล้านดอลลาร์ แก่ผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในไทยและเมียนมา

จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศเมียนมาและพื้นที่โดยรอบ รวมถึงประเทศไทย Binance Charity ร่วมกับนายฉางเผิง จ้าว (Changpeng Zhao หรือ CZ) ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตซีอีโอของ Binance ได้ประกาศโครงการช่วยเหลือ โดยจะทำการแจกจ่ายความช่วยเหลือผ่านการแอร์ดรอปเหรียญ BNB รวมมูลค่า 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับผู้ใช้ Binance.com ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในเมียนมา และผู้ใช้ของ Binance TH by Gulf Binance ที่อยู่ในประเทศไทย เพื่อสนับสนุนความช่วยเหลือในภูมิภาคนี้

สำหรับประเทศไทย รายชื่อพื้นที่ที่ถือว่าได้รับผลกระทบสามารถตรวจสอบได้จากหน้า FAQ ของ Binance TH (https://www.binance.th/th/faq) และเว็บไซต์ของ Binance Charity (https://www.binance.charity/) โดยการระบุผู้ใช้ที่ได้รับสิทธิ์จะอ้างอิงจากที่อยู่ที่ได้ลงทะเบียนไว้กับ Binance TH by Gulf Binance โดยคาดว่าผู้ใช้ที่มีสิทธิ์จะได้รับเงินช่วยเหลือภายในวันที่ 14 เมษายน 2568

“ในช่วงเวลาวิกฤต ทุกวินาทีล้วนมีความหมาย” CZ กล่าว “เทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการส่งต่อความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประสบภัย เราขอเชิญชวนทุกคนมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการยื่นมือช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนในช่วงเวลาสำคัญนี้” CZ กล่าวเสริม

นายริชาร์ด เทง ซีอีโอของ Binance กล่าวว่า “เรารู้สึกเสียใจอย่างยิ่งต่อเหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในเมียนมา ประเทศไทย และพื้นที่โดยรอบ ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อผู้เสียชีวิต ครอบครัวของพวกเขา และทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้ Binance ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกชุมชนที่ได้รับผลกระทบ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความช่วยเหลือของเราจะสามารถบรรเทาความเดือดร้อนได้ในบางส่วน”

นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ซีอีโอของ Binance TH by Gulf Binance กล่าว  “ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้ที่ต้องสูญเสียคนที่รักและขอส่งกำลังใจให้กับทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ เราได้ร่วมมือกับ Binance Charity เพื่อแสวงหาวิธีการที่สร้างสรรค์ในการช่วยเหลือในยามวิกฤต และเพื่อแสดงให้เห็นถึงความห่วงใยที่เรามีต่อผู้ใช้และชุมชนโดยรวม นอกจากนี้เราขอเชิญชวนผู้ที่ได้รับเงินช่วยเหลือหากเป็นไปได้ให้ส่งต่อความช่วยเหลือแก่ผู้อื่นที่อาจเดือดร้อนมากกว่า เพื่อให้ความช่วยเหลือไปถึงผู้ที่จำเป็นได้รับอย่างทั่วถึง”

นอกจากนี้ Binance TH เห็นความสำคัญของการปฏิบัติภารกิจของหน่วยงานต่าง ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกองกำกับการสุนัขตำรวจที่เป็นอีกกำลังหลักเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่ง Binance TH by Gulf Binance จะบริจาคเงินเพิ่มเติมจำนวน 200,000 บาท ให้กับ องค์การสุนัขกู้ภัยแห่งชาติ ภายใต้มูลนิธิเพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคม เพื่อช่วยสนับสนุนการฝึกสุนัขสำหรับภารกิจและปฏิบัติการพิเศษต่าง ๆ  

Binance Charity ยังคงยึดมั่นในพันธกิจในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ต้องการ ด้วยพลังของเทคโนโลยีบล็อกเชน โดยก่อนหน้านี้ได้ดำเนินโครงการเพื่อสังคมในประเทศต่าง ๆ เช่น สเปน ตุรกี อาร์เจนตินา ลิเบีย เวียดนาม และอีกมากมาย

ข้อมูลเพิ่มเติมโปรดอ่านเพิ่มเติมได้ที่หน้า FAQ

เกี่ยวกับ Binance Charity

Binance Charity คือองค์กรการกุศลชั้นนำที่ใช้ศักยภาพของเทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อมอบความช่วยเหลือที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และทันท่วงทีในช่วงเวลาวิกฤต ด้วยการนำพลังของคริปโทเคอร์เรนซีและโซลูชัน Web3 มาปรับใช้ Binance Charity มีเป้าหมายเพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือกับทรัพยากรที่จำเป็นในการฟื้นฟูชีวิตและชุมชน ด้วยพันธสัญญาอันแน่วแน่ต่อภารกิจด้านมนุษยธรรมทั่วโลก Binance Charity ยังคงเดินหน้าบุกเบิกแนวทางเชิงนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกไปทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง

เกี่ยวกับไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (BINANCE TH by Gulf Binance) 

บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด (Gulf BINANCE) คือ บริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท ดิจิทัล แองเคอร์ โฮลดิ้งส์  จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทภายในเครือของไบแนนซ์ และบริษัท กัลฟ์ เอดจ์ จำกัด โดยได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจากกระทรวงการคลังของประเทศไทย เมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 ก่อนที่จะเปิดให้บริการแพลตฟอร์ม BINANCE TH by Gulf BINANCE (“BINANCE TH”) ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน โดย BINANCE TH มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาภูมิทัศน์คริปโตในประเทศไทย ด้วยการสร้างการยอมรับและสนับสนุนให้เกิดการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัล เน้นย้ำในการดูแลด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้ เสริมสร้างความรู้ด้านดิจิทัล และการดำเนินงานภายใต้กฏระเบียบข้อบังคับของหน่วยงานกำกับดูแลในประเทศไทย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม เว็บไซต์ https://www.binance.th/th


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ปฏิบัติการกู้ภัยของทีม iRAP Robot มจพ. เดินหน้าสำรวจค้นหาผู้รอดชีวิต ในพื้นที่เสี่ยงภัยต่อเป็นวันที่ 4 ใช้ทีมถึง 2 ทีม

ทีมหุ่นยนต์กู้ภัย “iRAP Robot” มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ  (มจพ.) ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยฯ ตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม จากเหตุแผ่นดินไหว  พร้อมเดินหน้าสำรวจค้นหาผู้รอดชีวิตในพื้นที่เสี่ยงภัยต่อ นับจากวันที่ 28-31 มีนาคม  2568  วันนี้เป็นวันที่ 4 แล้ว   โดยทีมหุ่นยนต์กู้ภัย “iRAP Robot”  มจพ. มีผู้ประสานงานหลักทีมหุ่นยนต์กู้ภัย คือ นายพัฒนเดช ศรีอนันต์  ชื่อเล่นแพทหรือ โก๋แพท เป็นนักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีวิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์ วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ  (มจพ.) แจ้งความคืบหน้าตลอดบนเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/iraprobot

ทีมหุ่นยนต์กู้ภัย “iRAP Robot” รายงานสถานการณ์ถึงปฏิบัติการกู้ภัยของทีม iRAP Robot (KMUTNB) ที่เตรียมความพร้อมและได้เริ่มต้นภารกิจกู้ภัย โดยร่วมมือกับทีมกู้ภัยหน่วยต่างๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย ด้วยการใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ที่พัฒนาโดยทีม iRAP Robot (KMUTNB) ในการสร้างแผนที่และสำรวจพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงได้หรือมีอันตราย  นำหุ่นยนต์กู้ภัย 2 -3 ตัว ในแต่ละวันจัดสรรไม่เหมือนกันตามภารกิจทั้งติดตั้งเซ็นเซอร์ LiDAR, กล้องตรวจจับความร้อน, แขนกลหยิบจับ, เซ็นเซอร์วัดออกซิเจน และระบบสร้างแผนที่ 3D รวมถึงหุ่นยนต์กู้ภัยขนาดเล็กที่มีความสามารถคล้ายกันในการสำรวจและสร้างแผนที่ 3D ได้ นอกจากนี้ ทีมยังได้ทดสอบระบบการสื่อสารและการควบคุมระยะไกล เพื่อให้มั่นใจว่าหุ่นยนต์จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งยังมีโดรน DJI Matrice 350RTK จำนวน 2 ลำ สำหรับสำรวจทางอากาศ  ซึ่ง มจพ. ได้จัดทีมหุ่นยนต์กู้ภัย “iRAP Robot” (KMUTNB) สนับสนุนในการปฎิบัติหน้าที่ครั้งนี้อย่างเต็มความสามารถ

การปฏิบัติงานภาคสนาม ทีม iRAP Robot (KMUTNB) ได้ดำเนินการสำรวจพื้นที่ชั้นใต้ดินของตึกที่ถล่มร่วมกับทีมกู้ภัย USAR ในเขตพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงและอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงาน จึงได้ส่งหุ่นยนต์ลงไปสำรวจและสร้างแผนที่ 3D ในรอบแรก ขณะนี้กำลังดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลแผนที่ 3D ที่ได้จากการใช้หุ่นยนต์สแกนข้อมูลสภาพแวดล้อม เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่กู้ภัย

ทีมหุ่นยนต์กู้ภัย iRAP Robot (KMUTNB)  รายงานสถานการณ์ ปฏิบัติการกู้ภัยของทีม iRAP Robot (KMUTNB) ได้สรุปข้อมูลทั้งหมดเพื่อส่งต่อให้กับทีมเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัย โดยได้รับความช่วยเหลือจากทางประเทศอิสราเอล โดยการสั่งการจากนายกรัฐมนตรีประเทศอิสราเอล  นายเบนจามิน เนทันยาฮู เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและต่อเนื่องของการดำเนินการ ภารกิจหลักก็คือการ Support ทีมขุดรื้อขุดค้นหา ว่าตอนนี้ขุดไปในระยะเท่าไหร่แล้ว โดยซอยแผนที่ 3D ส่งให้ทางทีมหน่วยงานกลาง   เว็บไซต์แสดง Maps 3D ของสถานที่เกิดเหตุ อัพเดทล่าสุด ทำโดยบุคลากรอาจารย์ จาก มจพ. อาจารย์ ดร.พชร  เครือวิทย์ ที่ลิงก์  http://npsurvey.thddns.net:3934/PC/viewer.html 

การส่งมอบแผนที่ 3D ฉบับสมบูรณ์ ทีม iRAP Robot (KMUTNB) ได้เสร็จสิ้นการสร้างแผนที่ 3D ของอาคารทั้งหมด ทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งถือเป็นข้อมูลแผนที่ที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ในตอนนี้ โดยได้ส่งมอบแผนที่ให้กับทุกหน่วยงานที่ร่วมปฏิบัติการกู้ภัย เพื่อใช้ในการประเมินและวางแผนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างมีประสิทธิภาพ

ขอขอบคุณข้อมูล 3D

ข้อมูลแผนที่ 3D ของอาคารตึกภายนอกจากโดรนสำรวจที่ได้รับจาก สมาคมตอบโต้ภัยพิบัติ (D.R.A.T.)

ข้อมูลแผนที่ 3D ของอาคารตึกภายในจากหุ่นยนต์กู้ภัยที่ได้จากทีม iRAP Robot (KMUTNB)

การใช้แผนที่ 3D ที่ได้รับการสร้างขึ้น ยังสามารถนำไปใช้ในการประเมินปริมาตรของซากอาคาร โดยการคำนวณน้ำหนักจากค่า density ของคอนกรีต ซึ่งจะช่วยในการประเมินเวลาและการดำเนินการขนย้ายซากออกจากพื้นที่เสียหาย

ทีมหุ่นยนต์กู้ภัย “iRAP Robot” ได้ลงปฎิบัติหน้าที่ จำนวน 2 ทีม ประกอบด้วย ทีมที่ 1 ประกอบด้วย 1.ผศ.ดร. จิรพันธ์ อินเทียม 2.นายพัฒนเดช ศรีอนันต์ 3.นายนภดล จำรัสศรี 4.นายชัยพฤกษ์ เลาหะพานิช 5.นายเนตินันท์ กุตนันท์ 6.นายธนกร กุลศรี 7.นายอาทิตย์ นาราเศรษฐกุล 8.นายเจษฎากร ชัยนราพิพัฒน์ และ 9.นายฐิติยศ ประกายธรรม ทีมที่ 2 ประกอบด้วย  1.รศ.ดร. กิตติชัย ธนทรัพย์สิน 2.ดร. สายันต์ พรายมี 3.นายภูมิทรรศน์ สังขพันธ์ 4.นายภูบดี บุญจริง 5.นายจิรกานต์ สุขเจริญ 6.นายเมธี มีเเสง 7.นายสุกฤษฎิ์ไชย หอมกระจาย 8.นายณภัทรจันทร์ลามและนายกลย์ภัทร์บุญเหลือและ

นอกจากนี้ทีม iRAP Robot (KMUTNB) ยังได้สนับสนุนกล้องโดรนรุ่นใหม่ล่าสุด DJI Zenmuse H30T ให้กับสมาคมตอบโต้ภัยพิบัติ (D.R.A.T.) ซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ค้นหาและสำรวจทางอากาศ  ทีม iRAP Robot (KMUTNB) ยังคงให้ความสำคัญในทุกขั้นตอนของการปฏิบัติงาน และยืนยันถึงความพร้อมในการใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์และโดรนในการสนับสนุนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ในทุกด้าน

ขวัญฤทัย ข่าว/ข้อมูลภาพ โก๋แพท


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ทีมหุ่นยนต์กู้ภัย “iRAP Robot” มจพ. ร่วมกับ อว.เข้าพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยฯตึก สตง. ถล่มจากเหตุแผ่นดินไหว

ทีมหุ่นยนต์กู้ภัย iRAP Robot   มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) แชมป์โลก 10 สมัย  ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ส่งหุ่นยนต์ค้นหา พร้อมทั้งโดรน ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยฯ กรณีเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง สร้างความเสียหายโครงการอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ซึ่งอยู่ในระหว่างก่อสร้าง บริเวณ ถ.กำแพงเพชร เขตจตุจักร กทม. ถล่มเกิดความเสียหาย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและประสบภัย เมื่อวันที่ 28 มีนาคม  2568

ทีมหุ่นยนต์กู้ภัย iRAP Robot มจพ.  นำโดย  รศ.ดร.กิตติชัย ธนทรัพย์สิน คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เข้าช่วยเหลือโดยปฏิบัติภารกิจร่วมกับเจ้าหน้าที่จากภาครัฐและภาคเอกชน โดยนำหุ่นยนต์สำรวจ จำนวน 3 ตัว ไปในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจากภัยพิบัติซ้ำซ้อน มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการทำงานของหน่วยกู้ภัย และเพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึงผู้ประสบภัยในสถานการณ์วิกฤติ ได้แก่ หุ่นยนต์สำรวจเพื่อการกู้ภัยและหุ่นยนต์สำรวจขนาดเล็ก ออกแบบมาให้สามารถสร้างแผนที่สามมิติของพื้นที่ และเคลื่อนที่ผ่านสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน เช่น อาคารที่ถล่มหรือพื้นที่จำกัดการเข้าถึง ข้อมูลที่หุ่นยนต์เก็บรวบรวมได้จะช่วยให้หน่วยกู้ภัยสามารถประเมินสถานการณ์และวางแผนการช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ หุ่นยนต์สำรวจขนาดเล็ก มีความคล่องตัวสูง เหมาะสำหรับการเข้าถึงพื้นที่แคบหรือซอกมุมต่างๆ พร้อมติดตั้งเซนเซอร์สำหรับตรวจวัดระดับออกซิเจนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการประเมินความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเข้าไปปฏิบัติงาน เคลื่อนที่ผ่านพื้นที่ต่างระดับ หรือเข้าถึงลำบาก รวมถึงการขึ้นบันไดได้อย่างมีเสถียรภาพ ถือเป็นจุดเด่น พร้อมทั้งติดตั้งเซนเซอร์วัดอุณหภูมิเพื่อใช้ประเมินสภาวะความร้อนในพื้นที่ปฏิบัติงาน ซึ่งมีความสำคัญต่อการวางแผนและตัดสินใจของเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ร่วมปฏิบัติงาน  ทีมหุ่นยนต์ iRAP Robot มจพ.  ใช้การ  ในขณะที่หุ่นยนต์สำรวจเพื่อการกู้ภัย มาพร้อมแขนกลสำหรับหยิบจับหรือเคลื่อนย้ายสิ่งของ โดยตอนแรกในการเดินสำรวจบริเวณรอบอาคารและใช้หุ่นยนต์สำรวจเพื่อสร้างแผนที่ในพื้นที่โซนกู้ภัย B แล้วนำหุ่นยนต์ดังกล่าวเข้าพื้นที่รวมทั้งสนับสนุนทีมกู้ภัยและทีมช่วยเหลือ

ด้านกระทรวง อว.จะนำอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) จำนวน 2 ตัว เพื่อสนับสนุนภารกิจการสำรวจในครั้งนี้ด้วย โดยอากาศยานไร้ คนขับ โดรน DJI Mavic 3 Enterprise มีศักยภาพสูงมีกล้องที่มีความละเอียดสูงมีการซูมระยะไกลเพื่อใช้ในการสำรวจขอบเขตของความเสียหายจากแผ่นดินไหว

ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจจะถูกนำไปใช้วิเคราะห์เพื่อค้นหาผู้ประสบภัย และสนับสนุนการช่วยเหลือพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นการประเมินความเสียหายของโครงสร้าง เพื่อใช้ซ่อมแซมต่อไป

ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) มุ่งมั่นในการประยุกต์ใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อช่วยเหลือสังคมในยามวิกฤติ และพร้อมให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบรรเทาผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้อย่างเต็มกำลัง และร่วมกันส่งกำลังใจให้กับทุกท่านที่ประสบภัยในครั้งนี้

ขวัญฤทัยข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ซิสโก้ร่วมกับ NVIDIA เปิดตัว “โครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ปลอดภัยขั้นสูง”

กรุงเทพฯ, 26 มีนาคม 2568 — ซิสโก้ [NASDAQ: CSCO] ร่วมกับ NVIDIA เปิดตัวสถาปัตยกรรม AI factory ที่เน้นความปลอดภัยเป็นแกนหลัก ความร่วมมือกับ NVIDIA นี้ต่อยอดจากการขยายพันธมิตรที่ได้ประกาศไปเมื่อเดือนที่แล้ว โดยทั้งสองบริษัทได้ดำเนินการอย่างรวดเร็วในการนำเสนอสถาปัตยกรรมอ้างอิงที่ผ่านการตรวจสอบแล้วในวันนี้ ทั้งสองบริษัทกำลังพัฒนา Cisco Secure AI Factory with NVIDIA เพื่อลดความซับซ้อนในการติดตั้ง จัดการ และรักษาความปลอดภัยโครงสร้างพื้นฐาน AI สำหรับองค์กรในทุกระดับ

ชัค ร็อบบินส์, ประธานกรรมการและซีอีโอของซิสโก้ กล่าวว่า “AI สามารถเปิดประตูสู่โอกาสที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับองค์กรธุรกิจ และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ องค์กรธุรกิจจำเป็นต้องมีการบูรณาการระหว่างเครือข่ายและความปลอดภัยเข้าด้วยกัน โซลูชันที่น่าเชื่อถือและเปี่ยมด้วยนวัตกรรมของ Cisco และ NVIDIA จะเสริมศักยภาพให้ลูกค้าของเราสามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างง่ายดายและปลอดภัย”

เจนเซน หวง, ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ NVIDIA กล่าวว่า “AI factories กำลังเปลี่ยนแปลงทุกอุตสาหกรรม และความปลอดภัยต้องถูกสร้างเข้าไปในทุกเลเยอร์ เพื่อปกป้องข้อมูล แอปพลิเคชัน และโครงสร้างพื้นฐาน โดย NVIDIA และ Cisco กำลังร่วมกันสร้างพิมพ์เขียวสำหรับ AI ที่ปลอดภัย มอบรากฐานที่องค์กรต่างๆ ต้องการเพื่อขยายการใช้งาน AI ได้อย่างมั่นใจ ในขณะที่ปกป้องทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของพวกเขา”

การพัฒนาและส่งมอบแอปพลิเคชัน AI ต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพสูง ขยายขนาดหรือสเกลได้ รวมถึงชุดเครื่องมือซอฟต์แวร์ AI  โดยการรักษาความปลอดภัยให้กับโครงสร้างพื้นฐานและซอฟต์แวร์ AI นี้ต้องการสถาปัตยกรรมใหม่ที่ฝังระบบความปลอดภัยในทุกเลเยอร์ของระบบ AI ซึ่งสามารถขยายตัวและปรับเปลี่ยนโดยอัตโนมัติเมื่อโครงสร้างพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไป ความร่วมมือระหว่าง Cisco และ NVIDIA บนแพลตฟอร์มเครือข่าย NVIDIA Spectrum-XTM Ethernet สร้างรากฐานสำหรับ Cisco Secure AI Factory with NVIDIA ซิสโก้กำลังบูรณาการโซลูชันความปลอดภัยอย่าง Cisco Hypershield เพื่อช่วยปกป้องเวิร์กโหลด AI ขณะที่ Cisco AI Defense ช่วยปกป้องการพัฒนา การติดตั้ง และการใช้งานโมเดลและแอปพลิเคชัน AI  โดย Cisco และ NVIDIA จะมอบความยืดหยุ่นให้ลูกค้าในการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานตามความต้องการด้าน AI เฉพาะของพวกเขา โดยไม่กระทบต่อความเรียบง่ายในการดำเนินงานหรือความปลอดภัย

การสร้าง Secure AI Factory

AI factories – ศูนย์ข้อมูลที่สร้างขึ้นเฉพาะเพื่อรองรับเวิร์กโหลด AI – ได้รับการออกแบบให้เป็นระบบที่แบ่งเป็นโมดูล ขยายขนาดหรือสเกลได้ และคล่องตัวมากขึ้น แต่องค์กรต่างๆ ต้องมองไกลกว่าแค่ประสิทธิภาพการประมวลผลเพียงอย่างเดียว AI factories ต้องรับมือกับความท้าทายด้านความปลอดภัยที่ซับซ้อนและเกิดขึ้นใหม่ รายงาน Cisco State of AI Security ที่เผยแพร่ล่าสุดได้วิเคราะห์เวกเตอร์ภัยคุกคามเฉพาะด้าน AI หลายสิบรายการและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ AI กว่า 700 ฉบับ เพื่อชี้ให้เห็นพัฒนาการสำคัญในแลนสเคปด้านความปลอดภัย AI ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว องค์กรที่รับมือกับความท้าทายทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI และความปลอดภัยไปพร้อมกันจะมีความคล่องตัวมากขึ้น ขยายระบบได้เร็วขึ้น และสร้างมูลค่าทางธุรกิจได้รวดเร็วกว่า

Cisco Secure AI Factory with NVIDIA คาดว่าจะพัฒนาต่อยอดจากความสามารถเฉพาะตัวของทั้งสองบริษัทในการนำเสนอเครือข่าย AI ที่ยืดหยุ่นและตัวเลือกเทคโนโลยีแบบครบวงจร (full-stack) ที่ใช้ประโยชน์จากสถาปัตยกรรมร่วมกัน ความร่วมมือนี้จะนำเทคโนโลยีจาก Cisco, NVIDIA และพันธมิตรในอีโคซิสเต็มมารวมกันเป็นสถาปัตยกรรม AI factory ที่ปลอดภัยสำหรับลูกค้าองค์กร ซึ่งประกอบด้วย:

  • ระบบคอมพิวต์: Cisco UCS AI servers ที่พัฒนาบนเทคโนโลยี NVIDIA HGX™ และ NVIDIA MGX™ สำหรับการประมวลผลความเร็วสูง
  • ระบบเครือข่าย: โซลูชัน Cisco Nexus Hyperfabric AI และ Nexus networking ที่ขับเคลื่อนด้วย Silicon One และเครือข่าย NVIDIA Spectrum-X Ethernet
  • ระบบจัดเก็บข้อมูล: ระบบจัดเก็บข้อมูลประสิทธิภาพสูงจากพันธมิตรที่ได้รับการรับรอง ได้แก่ Pure Storage, Hitachi Vantara, NetApp และ VAST Data
  • ซอฟต์แวร์: แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ NVIDIA AI Enterprise เพื่อปรับปรุงการพัฒนาและการติดตั้งเวิร์กโหลด agentic AI ระดับการผลิต

Cisco Secure AI Factory ร่วมกับ NVIDIA สร้างความปลอดภัยในทุกระดับชั้น:

  • การรักษาความปลอดภัยโครงสร้างพื้นฐาน: Cisco Hybrid Mesh Firewall มอบการจัดการความปลอดภัยแบบครบวงจรและนโยบายที่สอดคล้องกันในหลายจุดของการบังคับใช้ รวมถึงสวิตช์เครือข่าย ไฟร์วอลล์แบบดั้งเดิม และเอเจนต์ของเวิร์กโหลด แนวทางแบบบูรณาการนี้ช่วยให้มั่นใจในความปลอดภัยที่แพร่หลายและสอดคล้องกัน ตั้งแต่การตรวจสอบแพ็กเก็ตเชิงลึกไปจนถึงการครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานอย่างกว้างขวาง เพื่อตรวจจับ ปิดกั้น และยับยั้งผู้ประสงค์ร้าย Cisco Hypershield (ส่วนหนึ่งของ Hybrid Mesh Firewall) จะขยายการบังคับใช้ความปลอดภัยแบบแพร่หลายและ zero-trust ไปยังทุกโหนด AI ในอนาคต โดยการบูรณาการกับ NVIDIA BlueField-3 DPUs
  • การรักษาความปลอดภัยเวิร์กโหลด: Cisco Hypershield ป้องกันการเคลื่อนไหวแนวขนาน (lateral movement) ของผู้ประสงค์ร้ายและการลดช่องโหว่เชิงรุกโดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งแพตช์ ทั้งหมดนี้ควบคุมจากอินเทอร์เฟซการจัดการเพียงแห่งเดียว ด้วยการตรวจสอบและควบคุมการทำงานของโปรเซส การเข้าถึงไฟล์ และกิจกรรมเครือข่าย Hypershield มอบการมองเห็นเชิงลึกและการบังคับใช้ขณะรันไทม์อย่างแม่นยำภายในเวิร์กโหลด AI การปรับปรุงในอนาคตจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับการป้องกันเวิร์กโหลดยิ่งขึ้น ผ่านการบูรณาการกับ NVIDIA BlueField-3’s DOCA AppShield เพื่อตรวจจับภัยคุกคามเวิร์กโหลดแบบเรียลไทม์ในเครื่องเสมือนและคอนเทนเนอร์ที่เน้น AI
  • การรักษาความปลอดภัยแอปพลิเคชัน AI: Cisco AI Defense ช่วยให้ทีมงานด้านความปลอดภัยและ AI มีเครื่องมือที่ครอบคลุมเพื่อปกป้องแอปพลิเคชัน AI จากความเสี่ยงด้านความปลอดภัย (เช่น พฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามนโยบาย พฤติกรรมที่เป็นอันตราย) และความเสี่ยงด้านความมั่นคง (เช่น prompt injection, ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล) ตลอดวงจรการพัฒนา AI Defense ผสานรวมเข้ากับเวิร์กโฟลว์ CI/CD ที่มีอยู่เพื่อให้การทดสอบช่องโหว่อัตโนมัติและชั้นความปลอดภัยรันไทม์ร่วมกันสำหรับโมเดลและแอปพลิเคชันต่างๆ นอกจากนี้ AI Defense ยังช่วยให้บริษัทต่างๆ ปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยของ AI ด้วยการผสานรวมเพียงครั้งเดียว รวมถึง NIST, MITRE ATLAS และ OWASP LLM Top 10 การปรับปรุงในอนาคตรวมถึงการผสานรวมกับ NVIDIA AI Enterprise เพื่อปรับปรุงเวิร์กโฟลว์ความปลอดภัยของ AI ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

Cisco และ NVIDIA ต่างนำความเข้าใจเกี่ยวกับความต้องการด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI ของลูกค้ามาผสานรวมกัน โดยทั้งสองบริษัทสามารถนำเสนอรูปแบบการติดตั้งที่ยืดหยุ่นควบคู่ไปกับสถาปัตยกรรมอ้างอิงที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว Secure AI จะมอบโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่มีประสิทธิภาพสูงและขยายขนาดได้ให้กับลูกค้าองค์กร ซึ่งรองรับลูกค้าในทุกขั้นตอนของการเดินทาง และฝังความปลอดภัยไว้ตลอดทั้งกระบวนการ

Cisco Secure AI Factory with NVIDIA จะมีตัวเลือกการติดตั้งแบบครบวงจรที่ยืดหยุ่น ประกอบด้วย:

  • พร้อมติดตั้งใช้งานทันที: ด้วยการใช้ Cisco Nexus Hyperfabric AI ร่วมกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัยของ Cisco และเทคโนโลยีของ NVIDIA ลูกค้าสามารถติดตั้งโซลูชัน AI แบบบูรณาการในแนวตั้งที่ทำงานอัตโนมัติและลดความซับซ้อนของ AI factory lifecycle ที่ปลอดภัย ตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการติดตั้ง และการติดตามตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง
  • สร้างด้วยตนเอง: ด้วยองค์ประกอบแบบโมดูลาร์ที่ปรับแต่งได้จาก Cisco, NVIDIA และพันธมิตรอีโคซิสเต็มด้านสตอเรจของทั้งสองบริษัท ลูกค้าสามารถผสานโครงสร้างพื้นฐานปัจจุบันของพวกเขาและสร้างโซลูชันที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับสภาพแวดล้อมที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละองค์กร

แพทริค มัวร์เฮด, ผู้ก่อตั้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และหัวหน้านักวิเคราะห์ของ Moor Insights & Strategy กล่าวว่า “ในตลาดที่ขับเคลื่อนอย่างรวดเร็วเช่นทุกวันนี้ ธุรกิจต่างๆ ต้องการมากกว่าแค่เทคโนโลยี พวกเขาต้องการโซลูชันแบบครบวงจรที่แก้ไขความท้าทายเร่งด่วนที่สุด โดย Cisco และ NVIDIA ได้รวมจุดแข็งของทั้งสองบริษัทเข้าด้วยกันเพื่อส่งมอบโซลูชันแบบบูรณาการ ซึ่งผมเชื่อว่าจะขับเคลื่อนนวัตกรรม ทำให้การติดตั้งง่ายขึ้น และปรับปรุงการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ แม้ว่า AI จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การผสานกันของทั้งสองบริษัทนี้อาจเป็นเหมือน ‘ปุ่มที่ทำให้ทุกอย่างง่าย’ สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI การทำให้โครงสร้างพื้นฐาน AI ง่ายต่อการนำมาใช้และจัดการมากขึ้น จะช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถเร่งการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล และบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น”

วีระ อารีรัตนศักดิ์, กรรมการผู้จัดการซิสโก้ประจำประเทศไทย และเมียนมาร์  กล่าวว่า”ธุรกิจในปัจจุบันกำลังเผชิญกับแรงกดดันอย่างมากในการนำ AI มาใช้งาน ในขณะที่องค์กรต่างๆ กำลังเร่งการนำ AI มาใช้ จำเป็นต้องมั่นใจว่าไม่ได้ละทิ้งความปลอดภัยด้าน AI เพื่อแลกกับความเร็ว  Cisco Secure AI factory ร่วมกับ NVIDIA เป็นโซลูชันแรกและหนึ่งเดียวในตลาดที่วางรากฐานความปลอดภัยด้าน AI ไว้ในทุกระดับของชุดโซลูชัน ความร่วมมือกับ NVIDIA ครั้งนี้จะเสริมศักยภาพให้ธุรกิจในประเทศไทยมีความมั่นใจในการนำไปปรับใช้ จัดการ และรักษาความปลอดภัยโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและขยายขนาดได้ตามความต้องการของธุรกิจ”

ซิสโก้ และ NVIDIA: การเดินทางสู่สถาปัตยกรรมที่ได้รับการตรวจสอบและเป็นหนึ่งเดียว

การดำเนินการอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญในการตอบสนองความต้องการโครงสร้างพื้นฐาน AI ในปัจจุบัน และ ซิสโก้กับ NVIDIA ได้มีความก้าวหน้าในฐานะส่วนหนึ่งของความร่วมมือที่ประกาศไว้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ซิสโก้ได้พัฒนาสถาปัตยกรรมอ้างอิงใหม่ที่มีตัวเลือกการติดตั้งสำหรับ Cisco Nexus Hyperfabric AI หรือ Cisco Nexus 9000 Series Switches ซึ่งผ่านการตรวจสอบและพัฒนาตามสถาปัตยกรรมอ้างอิง NVIDIA Enterprise สำหรับ HGX H200 และ Spectrum-X 

ความพร้อมใช้งาน

โซลูชันที่พัฒนาขึ้นบนสถาปัตยกรรม Cisco Secure AI Factory with NVIDIA จะพร้อมจำหน่ายก่อนสิ้นปี 2568 ทั้งนี้ องค์ประกอบเทคโนโลยีแต่ละส่วนจำนวนมากที่รวมอยู่ในสถาปัตยกรรมอ้างอิงนี้มีจำหน่ายแล้วในปัจจุบัน

เกี่ยวกับ ซิสโก้ (Cisco)

Cisco (NASDAQ: CSCO)  ผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่ปฏิวัติวิธีการเชื่อมต่อและการรักษาความปลอดภัยให้กับองค์กรในยุค AI  เป็นเวลากว่า 40 ปีที่ซิสโก้ได้เชื่อมต่อโลกอย่างปลอดภัย ด้วยโซลูชันและบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI ชั้นนำในอุตสาหกรรม ซิสโก้ช่วยให้ลูกค้า พันธมิตร และชุมชนสามารถปลดล็อกนวัตกรรม เพิ่มประสิทธิภาพ และเสริมความแข็งแกร่งด้านดิจิทัล ด้วยจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ซิสโก้ยังคงมุ่งมั่นสร้างอนาคตที่เชื่อมต่อและครอบคลุมให้มากขึ้นสำหรับทุกคน ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ The Newsroom และติดตามเราได้ที่ @Cisco


Exit mobile version