Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อีริคสันคว้าสัญญาร่วมบริหารเครือข่ายระยะยาวกับ Bharti Airtel ของอินเดีย

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) คว้าสัญญาระยะยาวการให้บริการด้านการจัดการในศูนย์ปฏิบัติการเครือข่าย หรือ NOC Managed Services (MS) จาก Bharti Airtel บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ในอินเดีย ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือที่มียาวนานระหว่างทั้งสองบริษัทให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยข้อตกลงเชิงกลยุทธ์นี้ยังตอกย้ำความเป็นผู้นำของอีริคสันในบริการด้านการจัดการหรือ Managed Services และสอดรับกับความมุ่งมั่นเพื่อนำเสนอบริการที่ยอดเยี่ยมให้กับผู้ใช้บริการของ Bharti Airtel

ภายใต้ข้อตกลงฉบับนี้ อีริคสันจะเปิดใช้ Intent-Based Operations ที่ขับเคลื่อนผ่านศูนย์ปฏิบัติการเครือข่าย หรือ Network Operations Center (NOC) เพื่อจัดการเครือข่ายที่ให้บริการของ Airtel ตั้งแต่ 4G, 5G NSA, 5G SA, Fixed Wireless Access (FWA), Private Networks และ Network Slicing

และในความร่วมมือนี้ อีริคสันจะเป็นผู้ดูแลและจัดการเครือข่ายทั่วประเทศอินเดียของ Airtel ผ่านศูนย์ NOC ที่ทันสมัย พร้อมขยายขนาดบริการ FWA และ Network Slicing ไปทั่วประเทศ

มร.รันดีป เซฆอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยีของ Bharti Airtel กล่าวว่า “เราตื่นเต้นที่ได้เสริมสร้างความร่วมมือกับอีริคสัน เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายของเราในการสร้างเครือข่ายที่พร้อมสำหรับอนาคต และมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกค้า เราเชื่อว่าเทคโนโลยีเชิงนวัตกรรมเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถให้บริการตอบสนองความต้องการการใช้ดาต้าที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคในอินเดียที่เชื่อมต่อผ่านระบบดิจิทัล”

มร. แอนเดรส วิเซนเต้ หัวหน้าประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โอเชียเนียและอินเดียของอีริคสัน กล่าวว่า “ข้อตกลงสำคัญกับ Bharti Airtel ในครั้งนี้ เสริมสร้างความมุ่งมั่นของเราในการช่วยให้ Airtel มอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้บริการ ด้วยการใช้ประสิทธิภาพจาก Intent-Based NOC Operations จะทำให้ Airtel ปลดล็อกบริการที่มีความหลากหลายและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น และยังเปิดโอกาสการสร้างรายได้ใหม่ ๆ ให้กับ Airtel”

ความร่วมมือระหว่าง อีริคสัน กับ Bharti Airtel ที่ยาวนานกว่า 25 ปี ครอบคลุมเทคโนโลยีการสื่อสารเคลื่อนที่หลายยุคสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกาศครั้งนี้เกิดขึ้นจากการประกาศความร่วมมือระหว่าง Bharti Airtel และ อีริคสัน ในการพัฒนาเครือข่ายหลัก 5G เพื่อขับเคลื่อน 5G Evolution


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

AMD เปิดตัวโปรเซสเซอร์ใหม่ Ryzen AI Z2 สำหรับเครื่องเล่นเกมพกพา

AMD เปิดตัวโปรเซสเซอร์ Ryzen Z2 Series ใหม่ ในส่วนหนึ่งของงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์จาก ASUS และ Microsoft ณ งาน Xbox Games Showcase ประกอบด้วย AMD Ryzen AI Z2 Extreme และ AMD Ryzen Z2 A เพื่อขับเคลื่อนประสิทธิภาพการเล่นเกมบนเครื่องเกมพกพาใหม่ ROG Xbox Ally และ ROG Xbox Ally X

โปรเซสเซอร์ Ryzen Z2 ใหม่ พร้อมมอบประสบการณ์การเล่นเกม AAA ในระดับชั้นนำในรูปแบบพกพา ผ่านโปรเซสเซอร์ทรงพลังทั้งสองรุ่น ประกอบด้วน

  • โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen AI Z2 Extreme มาในสถาปัตยกรรมล่าสุด “Zen 5” พร้อมคอร์ประมวลผล 8 คอร์/16 เธรด สถาปัตยกรรมกราฟิก RDNA 3.5 และขุมพลังการประมวลผล AI สูงสุดถึง 50 TOPS นับเป็นครั้งแรกที่มีการนำขุมพลังการประมวลผลที่ทรงประสิทธิภาพมาไว้ในเครื่องเล่นเกมพกพา
  • โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen Z2 A สร้างขึ้นบนสถาปัตยกรรม “Zen 2” ที่มุ่งเน้นด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงาน มาพร้อมคอร์ประมวลผล 4 คอร์/8 เธรด และสถาปัตยกรรมกราฟิก RDNA 2 ซึ่งได้รับการพัฒนามาเพื่อการเล่นเกมที่ลื่นไหลและยาวนาน

โปรเซสเซอร์ทั้งสองรุ่นนี้ใช้คุณประโยชน์จากชุดซอฟต์แวร์ Radeon เพื่อการพัฒนาด้านกราฟิกและประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ ซึ่งรวมถึงฟีเจอร์ AMD FidelityFX™ Super Resolution (FSR), Radeon Super Resolution (RSR), และ AMD Fluid Motion Frames (AFMF) สำหรับการสร้างเฟรม เพื่อมอบประสบการณ์การเล่นเกมที่สมจริงที่สุด


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ทีมหุ่นยนต์ iRAP_ECONOMY มจพ. คว้ารางวัลชนะเลิศ ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชฯ

ทีมหุ่นยนต์ iRAP_ECONOMY คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)คว้ารางวัลชนะเลิศ ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี  เป็นแชมป์สมัยที่ 2 ในการแข่งขันหุ่นยนต์  ส.ส.ท. ชิงแชมป์ประเทศไทย ประจำปี 2568 ครั้งที่ 32 เกมส์ “TPA SuperDunk – RoboBasketball” และอีก 2 รางวัล ได้แก่  รางวัลหุ่นยนต์อัตโนมัติยอดเยี่ยม (Best Autonomy)และรางวัล Popular vote เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ เป็นเวทีให้เยาวชนไทยได้เแสดงศักยภาพความรู้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์  เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์  รวมถึงเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ของนักเรียน นักศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาที่สนใจเรื่องวิทยาการหุ่นยนต์จากทั่วประเทศ จัดโดยสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) 

สำหรับปีนี้  มีผู้เข้าแข่งขันทั่วประเทศกว่า 500 ทีม จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ  อาทิ สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี วิทยาเขตกรุงเทพและราชบุรี สถาบันหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) โดยครั้งต่อไปเข้าร่วมแข่งขัน ABU Robocon Thailand ระหว่างวันที่ 20-22 มิถุนายน 2568 เพื่อคัดเลือกตัวแทนประเทศไทยในการแข่งขัน ABU Robocon International ที่จะจัดขึ้น ณ ประเทศมองโกเลีย 

ติดตามผลงานได้ที่เพจ iRAP Robot และ  https://www.facebook.com/iraprobot 

ขวัญฤทัย ข่าว/ภาพ- เพจ iRAP Robot 


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. จัดงานประชุมวิชาการระดับชาติ ด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ 21 (NCCIT2025)

สมาคมสภาคณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศร่วมกับ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมดิจิทัล มจพ. และมหาวิทยาราชภัฏกาญจนบุรีจัดงานประชุมวิชาการระดับชาติด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ

ครั้งที่ 21 The 21st National Conference on Computing and Information Technology (NCCIT2025) และงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ 21

The 21st International Conference on Computing  and Information Technology (IC2IT2025) ระหว่างวันที่ 15-16 พฤษภาคม 2568 ณ เฟลิกซ์ ริเวอร์แคว รีสอร์ท กาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี โดย ผศ.ดร. สุนันฑา สดสี คณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมดิจิทัล มจพ. เป็นประธานกล่าวในพิธีเปิดงาน

และได้รับความร่วมมือจาก Prof. Dr. Dursun Delen จาก Department of Management Science & Information Systems, Oklahoma State University, United States of America และ ดร.ไพโรจน์ ลิขิตธนเศรษฐ์ ผู้จัดการฝ่ายบริหารและสนับสนุนการขาย จากบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ให้เกียรติเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ และมีผู้เข้าร่วมงานประชุมวิชาการเพื่อนำเสนอผลงานทางวิชาการมากกว่า 100 คนจากหลากหลายสาขาวิชาเช่นวิทยาศาสตร์ข้อมูลกาเรรียนรู้เชิงลึกการประมวลผลภาพความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ

และระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ เป็นต้น โดย IC2IT2025 มีการเผยแพร่ตีพิมพ์โดย Springer Publisher และถูกระบุอยู่ในฐานข้อมูล SCOPUS


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ปลดล็อกคุณประโยชน์ทางธุรกิจด้วยโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่ยั่งยืน

โดย ออทัมน์ สแตนนิช ผู้อำนวยการฝ่ายนักวิเคราะห์ การ์ทเนอร์

เมื่อแรงกดดันด้านกฎระเบียบเข้มงวดขึ้นและราคาพลังงานพุ่งทะยาน ทำให้องค์กรต้องหันมาทบทวนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนและการลงทุนด้านเทคโนโลยีเร็วกว่าที่คาดไว้

จากการสำรวจของการ์ทเนอร์ พบว่า 79% ของซีอีโอในเอเชียแปซิฟิกมองว่าความยั่งยืนเป็นโอกาสของการเติบโตทางธุรกิจที่โดดเด่น เมื่อผู้บริหารปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ระยะยาวโดยที่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมยังเป็นหนึ่งในหัวใจหลักที่จะกำหนดกรอบการแข่งขัน

การตัดสินใจว่าเราควรลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่ยั่งยืนเมื่อใดและอย่างไร จึงเป็นการตัดสินใจทางธุรกิจที่สำคัญด้วยเหตุที่ความยั่งยืนส่งผลต่อทุกด้านขององค์กร 

ดาต้าเซ็นเตอร์ที่ยั่งยืนและบริการคลาวด์เผยให้เห็นข้อได้เปรียบด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน แต่มักถูกประเมินค่าของคุณประโยชน์ทางธุรกิจต่ำเกินไป หลายคนยังมองความยั่งยืนผ่านมุมมองผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การลดการปล่อยคาร์บอนและการลดขยะให้เหลือน้อยที่สุด

ผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานและการปฏิบัติการ (Infrastructure and operations หรือ I&O) ต้องก้าวข้ามการตอบสนองความคาดหวังและพิสูจน์คุณค่าทางธุรกิจของความพยายามด้านความยั่งยืนของพวกเขา

เพื่อปลดล็อกคุณค่าของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ยั่งยืน (Sustainable IT) อย่างเต็มที่ จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงกรอบความคิด สิ่งนี้กระตุ้นให้ผู้นำ I&O จัดกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนให้สอดคล้องกับผลลัพธ์ทางธุรกิจที่สำคัญ และก้าวข้ามเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม

ตระหนักถึงประโยชน์ทางอ้อม อาทิ ช่วยประหยัดต้นทุนทางด้านนวัตกรรมและการจัดการความเสี่ยง ซึ่งจะช่วยวางแนวทาง Sustainable IT ให้เป็นปัจจัยขับเคลื่อนสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจ นอกจากนี้ยังช่วยให้มีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับความสำเร็จด้านความยั่งยืน โดยการวัดความก้าวหน้าในรูปแบบที่ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพทางธุรกิจ

เพิ่มคุณค่าสูงสุดพร้อมลดการเกิดของเสียให้น้อยที่สุด 

การดำเนินการที่มีประสิทธิภาพของผู้นำ I&O สามารถเป็นประโยชน์ทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและงบประมาณ คือ การชะลอการซื้ออุปกรณ์ใหม่ ๆ รวมทั้งการจัดการ ปรับปรุง หรือนำสินทรัพย์ที่มีอยู่เดิมกลับมาใช้ใหม่ให้ดีขึ้น

แนวทางหนึ่งคือการกำหนดมาตรฐานวงจรชีวิตของอุปกรณ์ไอทีตามระยะเวลาการสนับสนุนของผู้ขาย และลดลงเฉพาะเมื่อจำเป็น เนื่องจากความต้องการด้านประสิทธิภาพ ผลการวิจัยของการ์ทเนอร์ชี้ให้เห็นว่าองค์กรไม่เพียงแต่ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ แต่ยังสามารถประหยัดต้นทุนได้สูงถึง 40% หากมีการขยายอายุการใช้งานอุปกรณ์

สิ่งนี้รวมไปถึงเทคโนโลยีที่พนักงานใช้และมีการยอมรับแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืนมากขึ้น ตามการสำรวจของการ์ทเนอร์พบว่า 75% ของพนักงานมีแนวโน้มที่จะใช้อุปกรณ์ที่ปรับปรุงประสิทธิภาพใหม่สำหรับการทำงานหากช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน

ดาต้าเซ็นเตอร์เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่การจัดการเซิร์ฟเวอร์และพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่มีอยู่ให้ดีขึ้นสามารถช่วยลดของเสียและประหยัดเงินได้ ในหลายองค์กรการใช้งานเซิร์ฟเวอร์มักจะน้อยกว่า 50% และบางครั้งต่ำถึง 20% เพื่อช่วยปรับปรุงสินทรัพย์เหล่านี้ องค์กรสามารถใช้โซลูชัน Performance Management และ Event Management เพื่อติดตามการใช้งานและประสิทธิภาพในโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ 

โอกาสทองในการสร้างนวัตกรรม 

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า 40% ของ AI Data Centres ที่มีอยู่จะเผชิญกับข้อจำกัดในการดำเนินงานเนื่องจากความพร้อมด้านพลังงานในปี 2570 ซึ่งการหันมาทบทวนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนเป็นกุญแจสำคัญ โดยความท้าทายนี้เป็นโอกาสทองสำหรับผู้นำ I&O ในการเปลี่ยนแปลงด้านนวัตกรรม สร้างโอกาสการเติบโตใหม่ ๆ รวมถึงการนำเทคโนโลยีและโมเดลธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่มาปรับใช้

ตัวอย่าง ควรพิจารณาแพลตฟอร์ม Open Telemetry ที่เป็นมาตรฐานเปิดในอุตสาหกรรมสำหรับการรวบรวมข้อมูลจากโครงสร้างพื้นฐานไอที สำหรับติดตามและปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน นอกจากนี้ยังสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญสำหรับทีมไอทีเพื่อทำความเข้าใจรูปแบบการใช้ข้อมูล ที่สามารถปรับให้เหมาะสมสำหรับประสิทธิภาพที่ดีขึ้นและสม่ำเสมอมากขึ้นของระบบ

การนำเทคโนโลยีการทำความเย็นด้วยของเหลว (Liquid Cooling) หรือการจุ่ม (Immersion Cooling) มาใช้ยังสามารถลดผลกระทบด้านพลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพ และนำความร้อนที่สูญเสียไปกลับมาใช้ใหม่ พร้อมมีต้นทุนการทำความเย็นและประสิทธิภาพที่มีความสอดคล้องกันมากยิ่งขึ้น

สร้างความยืดหยุ่นทางธุรกิจในระยะยาว 

ไอทีที่ยั่งยืน ทนทานและมีประสิทธิภาพคือหนึ่งในผลประโยชน์ที่สำคัญที่สุด ในการสร้างความยืดหยุ่นทางธุรกิจ

แท้จริงแล้วระบบนิเวศด้านไอทีขององค์กรขึ้นอยู่กับการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติและความมั่นคงของอุตสาหกรรมทั่วโลก จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้นำ I&O ในการพัฒนากลยุทธ์ด้านความยั่งยืนเพื่อรองรับการหยุดชะงักด้านต้นทุนพลังงานที่ผันผวนและความท้าทายในห่วงโซ่อุปทานและข้อกำหนด ESG ที่เปลี่ยนแปลงไป

เพื่อปกป้ององค์กรจากปัญหาการหยุดชะงักเหล่านี้และช่วยรักษาความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจ ผู้นำ I&O ควรนำแนวปฏิบัติการรีไซเคิลที่ยั่งยืนและการใช้ทรัพยากรมาใช้ ซึ่งอาจรวมถึงการมองหาสถานที่ที่มีคาร์บอนต่ำสำหรับการโฮสต์เวิร์กโหลดที่ทำงานอย่างรวดเร็วและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียนให้มากที่สุด เช่น พลังงานน้ำหรือเชื้อเพลิงฟอสซิล

เกี่ยวกับผู้เขียน

ออทัมน์ สแตนนิช เป็นผู้อำนวยการนักวิเคราะห์ที่การ์ทเนอร์ มุ่งเน้นความยั่งยืนด้านไอทีและบทบาทของผู้นำ I&O ในโครงการด้าน ESG ขององค์กร

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

HIS MSC จัดงาน “The Future of Hospitality: AI-Powered Customer Experiences” Executive Lunch Talk

HIS MSC Company Limited ได้จัดงาน Executive Lunch Talk ภายใต้หัวข้อ “The Future of Hospitality: AI-Powered Customer Experiences” ณ โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ เมษายน 2568

ภายในงานได้รับเกียรติจาก คุณภูษิต อรุณรัตนดิลก รองประธานบริษัท HIS MSC Company Limited กล่าวเปิดงานและบรรยายถึงความสำคัญของการนำนวัตกรรม AI มาปรับใช้ในธุรกิจ โดยเน้นว่าองค์กรที่เริ่มต้นก่อนย่อมมีความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน

หนึ่งในไฮไลท์ของงานคือการบรรยายโดย คุณมีลาภ โสขุมารองผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจซอฟต์แวร์โซลูชั่น บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้นำเสนอการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI และระบบอัตโนมัติ (Automation) ในภาคธุรกิจโรงแรมและบริการ เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า ตัวอย่างเช่น การใช้ AI ChatBot สำหรับให้ข้อมูลเกี่ยวกับห้องพัก โปรโมชั่น แหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง วิธีการเดินทาง รวมถึงข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวันตลอดปี

หลังจบการบรรยาย ผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวัน พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการนำ AI ไปใช้ในภาคส่วนต่างๆ ของโรงแรม อีกทั้งยังได้เยี่ยมชมการใช้งาน Myra Omni Kiosk ซึ่งเป็นระบบเช็คอิน-เช็คเอาต์อัตโนมัติแบบ Self Service สำหรับโรงแรม

“HIS MSC Company Limited มุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพสูง ด้วยความเป็นมืออาชีพ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการเติบโตอย่างยั่งยืนของลูกค้า มากกว่า ทศวรรษ

สนใจข้อมูลเกี่ยวกับ HIS MSC เพิ่มเติมได้ที่ คุณภูษิต อรุณรัตนดิลก: (66) 062-646-6539 Email: phusith@metrosystems.co.th Website: https://www.hismsc.com


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เบื้องหลังหน้ากากบนโซเชียลแพลตฟอร์มนำไปสู่กลโกงด้านการเงินมูลค่าหลายล้านบาทและการทลายแก๊งอาชญากร

บทความโดย Binance.com

ภาพความร่ำรวยอย่างรวดเร็วที่ถูกขยายให้ดึงดูดใจยิ่งขึ้นด้วยโซเชียลมีเดีย ยังเป็นหลุมพรางดึงดูดผู้คนที่ไม่ทันระวังอยู่เรื่อย ๆ กรณีล่าสุดในประเทศไทยเป็นเครื่องเตือนใจที่ชัดเจนถึงพลังของอันตรายนี้ นักเทรดสินทรัพย์ดิจิทัลที่ดูเหมือนประสบความสำเร็จ อวดอ้างไลฟ์สไตล์หรูหราบน TikTok ได้วางแผนกลโกงการลงทุนที่ซับซ้อน ซึ่งฉ้อโกงเหยื่อไปกว่า 200 ล้านบาท (มากกว่า 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) กลอุบายอันแยบยลนี้ ซึ่งรู้จักกันในชื่อกลุ่ม FOX Wallet สัญญาถึงอิสรภาพทางการเงิน แต่กลับมอบเพียงความสูญเสียอันน่าเศร้าใจ ตอกย้ำถึงความจำเป็นอย่างยิ่งในการเฝ้าระวังในยุคดิจิทัล

วิธีการหลอกลวงนั้นคุ้นเคยอย่างน่าตกใจ เหยื่อที่ถูกล่อลวงด้วยบุคลิกออนไลน์ของนักลงทุนที่เชี่ยวชาญ ซึ่งแสดงสินค้าแบรนด์เนมและรถยนต์หรูหรา ถูกชักชวนเข้าสู่แพลตฟอร์มการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ดูเหมือนถูกต้องผ่านแอปพลิเคชัน LINE ในช่วงแรก การลงทุนเล็กน้อยให้ผลตอบแทนที่น่าประทับใจ สร้างความรู้สึกปลอดภัยจอมปลอมและกระตุ้นให้ลงทุนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาพลวงตาก็แตกสลายเมื่อความพยายามในการถอนเงินถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียม “ปลดล็อก” ที่สูงเกินจริง ทำให้นักลงทุนต้องเผชิญกับกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ว่างเปล่าและบทเรียนอันเจ็บปวด

ขนาดของการฉ้อโกง ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้คนกว่า 200 ราย ได้กระตุ้นการตอบสนองอย่างเด็ดเดี่ยวจากตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (TCSD) ของประเทศไทย ปฏิบัติการ FOX Hunt ได้เริ่มต้นขึ้น นำโดย พ.ต.อ.ชิตชนก ทับเจริญ เพื่อทลายเครือข่ายการหลอกลวงที่ซับซ้อนนี้ การสืบสวนเผยให้เห็นเครือข่ายที่แยบยลซึ่งใช้บัญชีม้าในจังหวัดต่างๆ เพื่อถ่ายเทเงิน เปลี่ยนเป็นเงินสดอย่างรวดเร็วเพื่อซื้อสินค้าหรูหรา หรือโอนไปยังกระเป๋าเงินดิจิทัลเพื่อพรางร่องรอย

นี่คือจุดที่ความโปร่งใสโดยธรรมชาติของเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งมักถูกผู้กระทำผิดเข้าใจผิด กลายเป็นจุดอ่อนของพวกเขา ณ จุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญนี้ หน่วยข่าวกรองทางการเงิน (FIU) ของ Binance ได้เข้ามามีบทบาทเป็นพันธมิตรที่สำคัญ ด้วยการใช้การวิเคราะห์บนเครือข่ายขั้นสูง FIU ได้ติดตามการไหลเวียนของเงินที่ผิดกฎหมายอย่างพิถีพิถัน ระบุธุรกรรมที่น่าสงสัย และเชื่อมโยงกิจกรรมของกระเป๋าเงินโดยตรงกับผู้ต้องสงสัยหลักภายในกลุ่ม การใช้ความเชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ดิจิทัลนี้ทำให้ บก.สอท. ได้รับหลักฐานสำคัญที่จำเป็นในการขอหมายจับ

จุดสูงสุดของปฏิบัติการ FOX Hunt คือการจับกุมผู้ต้องสงสัยแปดรายที่เกี่ยวข้องกับบทบาทต่างๆ ในการหลอกลวง ตั้งแต่ผู้ถือบัญชีเริ่มต้นไปจนถึงคนกลางที่จัดการการเงิน เจ้าหน้าที่ยังได้ยึดทรัพย์สินจำนวนมาก รวมถึงเงินสด รถยนต์หรูหรา และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นการสร้างความเสียหายอย่างมากต่อการดำเนินงานของกลุ่ม และมอบความหวังเล็กน้อยให้กับเหยื่อ

ความสำเร็จของปฏิบัติการ FOX Hunt ตอกย้ำถึงความสำคัญอย่างยิ่งของการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและอุตสาหกรรมสกุลเงินดิจิทัล ดังที่ พ.ต.อ.ชิตชนก ทับเจริญ กล่าวไว้อย่างเหมาะสมว่า “ความร่วมมือที่ประสบความสำเร็จกับ Binance ในครั้งนี้ ตอกย้ำถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในยุคดิจิทัล” โดยเน้นว่าความร่วมมือดังกล่าว “จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการสืบสวนทางการเงินและสนับสนุนการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

นิลส์ แอนเดอร์เซน-โรเอด หัวหน้าหน่วยข่าวกรองทางการเงินของ Binance สะท้อนความรู้สึกนี้ โดยเน้นย้ำถึงความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับโดยธรรมชาติของเทคโนโลยีบล็อกเชน โดยระบุว่า “นำมาซึ่งความโปร่งใสที่ไม่เคยมีมาก่อนสู่ระบบการเงิน ทำให้เราสามารถติดตามและตรวจสอบการเคลื่อนไหวของเงินทุนได้” กรณีนี้เป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าความโปร่งใสนี้ เมื่อรวมกับการวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญแล้ว สามารถเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการต่อต้านอาชญากรรมทางการเงินได้อย่างไร

การทลายเครือข่าย FOX Wallet ที่สำเร็จลุล่วง ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องเตือนใจว่าแม้แต่กลโกงคริปโตที่ซับซ้อนที่สุดก็สามารถถูกแกะรอยและจัดการได้เท่านั้น หากแต่ยังตอกย้ำถึงความสำคัญของการศึกษาและการสร้างความตระหนักรู้แก่สาธารณชน กลโกงเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้บนแพลตฟอร์มออนไลน์ใดๆ ก็ตาม ทำให้ประชาชนต้องตื่นตัวอยู่เสมอ ไม่หลงเชื่อคำแนะนำการลงทุนออนไลน์จากคนแปลกหน้าโดยง่าย และทำการวิจัยอิสระด้วยตนเองเสมอไป ปฏิบัติการหนึ่งครั้ง ผู้ใช้งานที่รู้เท่าทันหนึ่งคน การต่อสู้กับการก่ออาชญากรรมทางการเงินออนไลน์ยังคงดำเนินต่อไป

###

เกี่ยวกับไบแนนซ์ (BINANCE)

ไบแนนซ์เป็นผู้นำระบบนิเวศบล็อกเชนระดับโลก และเป็นผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งในด้านมูลค่าการซื้อขายและจำนวนผู้ใช้บริการที่ได้รับการยืนยันตัวตน ไบแนนซ์ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้บริการมากกว่า 260 ล้านคนในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ด้วยความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมด้านความมั่นคงปลอดภัย ความโปร่งใส ประสิทธิภาพของระบบการซื้อขาย การคุ้มครองผู้ลงทุน และความครอบคลุมของผลิตภัณฑ์และบริการสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่เหมือนใคร ตั้งแต่การซื้อขายและบริการทางการเงิน ไปจนถึงการให้ความรู้ การวิจัย การพัฒนาสังคม ระบบการชำระเงิน บริการสำหรับสถาบัน และบริการด้าน Web3 ไบแนนซ์มุ่งมั่นในการพัฒนาระบบนิเวศคริปโตที่ครอบคลุมทุกภาคส่วน เพื่อเสริมสร้างอิสรภาพทางการเงินและการเข้าถึงบริการทางการเงินสำหรับประชาชนทั่วโลก โดยมีคริปโตเป็นพื้นฐานสำคัญ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมได้ที่: https://www.binance.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. ติดอันดับ 1 ความเป็นเลิศทางวิชาการ ประจำปี 2025 โดย Times Higher Education

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)  ได้รับการประเมินเป็นเลิศทางวิชาการ (Academic Excellence) ของสาขาวิชา (THE Subject Ranking) โดย Times Higher Education (THE) สถาบันจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก ของประเทศอังกฤษ ประจำปี 2025 ดังนี้

อันดับ 1 ด้านคุณภาพงานวิจัยสาขาวิศวกรรมศาสตร์ (Research Quality in Engineering )
อันดับ 1 ด้านสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยของสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ของมหาวิทยาลัยไทย (Research Environment in Computer Science)
อันดับ 2 ด้านการสอนของสาขาบริหารธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ (Teaching in Business and Economics)

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ส่ง โมดูลาร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ แก้ปัญหาการเติบโตของ AI ที่เอดจ์

องค์กรธุรกิจในหลายภาคส่วนกำลังนำ AI มาช่วยจัดการกับปัญหาข้อมูลล้นจนเกินขีดความสามารถที่คนจะจัดการได้ ทั้งในแง่ของความเร็วและความเป็นไปได้ ซึ่งการปฏิวัติ AI ทำให้มีความต้องการด้านพลังการประมวลผลที่เอดจ์อย่างมาก เช่นเดียวกับกระแสการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ แต่ในครั้งนี้ มีความต้องการสูงกว่าที่ผ่านมามาก เนื่องจาก AI ต้องใช้ความหนาแน่นของแร็คในการประมวลผลที่เอดจ์สูงมากเป็นพิเศษ ซึ่งจุดนี้ โมดูลาร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ช่วยตอบโจทย์ได้อย่างดี โดยช่วยให้องค์กรมีโครงสร้างที่ยืดหยุ่นและสามารถขยายศักยภาพรองรับการเติบโตที่รวดเร็วของ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มีการคาดการณ์ว่า AI จะเติบโตในอัตราเฉลี่ย 33% ต่อปีระหว่างปี 2023 ถึง 2030 เพราะการพัฒนา Generative AI คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันกระแสของ AI โดยหลายองค์กรกำลังนำ AI มาใช้แทนที่หรือมาช่วยงานมนุษย์ในด้านต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพในการทำงานมากขึ้น เครื่องมืออย่าง ChatGPT และ Microsoft Copilot กำลังช่วยให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงและใช้ AI ได้ง่ายขึ้น

การใช้งาน AI นั้นแทบจะไม่มีขีดจำกัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเฮล์ธแคร์ การเงิน การผลิต การขนส่ง ตลอดจนความบันเทิง แม้แต่งานต่างๆ อย่างการทำพรีเซนเทชันหรือการทำรายงานการขาย ก็สามารถทำได้รวดเร็ว เพียงป้อนข้อมูลที่เกี่ยวข้องไปในระบบ AI และขอให้ AI จัดการกับข้อมูลตามรูปแบบที่ต้องการ

นอกจากนี้ องค์กรมากมายต่างกำลังนำเทคโนโลยี AI มาช่วยในการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ บริหารจัดการซัพพลายเชนได้อย่างฉลาด รวมถึงปรับบริการให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของลูกค้ามากขึ้น ซึ่งความต้องการด้านข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ AI กำลังผลักดันให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีชิปและเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ ทำให้ความหนาแน่นของพลังงานต่อแร็คสูงขึ้นมาก ขณะที่ความต้องการพลังประมวลผลที่มีความหนาแน่นสูงก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน

ความต้องการใช้งาน AI ที่เอดจ์

นอกจาก AI ช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจมากมายจากการพัฒนาและนำความสามารถใหม่ๆ มาใช้ แต่ก็มาพร้อมความท้าทายเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องการติดตั้งฮาร์ดแวร์และโครงสร้างพื้นฐานของดาต้าเซ็นเตอร์ที่จำเป็นต่องาน AI ทำให้ต้องมีแนวทางใหม่สำหรับเอดจ์ เช่น การใช้โครงสร้างดาต้าเซ็นเตอร์แบบโมดูลาร์ที่สามารถปรับขยายได้ตามต้องการ

การนำความสามารถด้าน AI ไปไว้ที่เอดจ์ จะเป็นเหตุผลลักษณะเดียวกับการผลักดันให้บริษัทต่างๆ หันมาใช้เอดจ์ตั้งแต่แรก

  • เพื่อควบคุมและรักษาความปลอดภัยข้อมูลในองค์กรได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ลดความหน่วงของระบบ และรองรับการประมวลผลได้แบบเรียลไทม์ หรือใกล้เคียง

AI เป็นเทคโนโลยีที่ต้องอาศัยข้อมูลจำนวนมาก เนื่องจากมีงานหลักอยู่ 2 ส่วนด้วยกัน คือการฝึก AI และการสรุปผลลัพธ์ (inference) ซึ่งในขั้นตอนการฝึกโมเดล ต้องมีการฟีดข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อให้ AI มีฐานความรู้ที่แน่นมากขึ้น ยิ่งมีข้อมูลป้อนให้อัลกอริธึมมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ AI ฉลาดมากขึ้นเท่านั้น หลังจากนั้น โมเดลจะนำความรู้ที่ได้มาใช้ในการสรุปผลลัพธ์เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความท้าทายของโครงสร้างพื้นฐาน IT

ในแง่ของโครงสร้างพื้นฐาน AI ต้องการพลังประมวลผลสูงมาก โดยปกติแล้ว ในหนึ่งเซิร์ฟเวอร์แร็คจะใช้พลังงานประมาณ 10 กิโลวัตต์ แต่ปัจจุบันความต้องการพลังงานไปไกลถึง 50–100 กิโลวัตต์ ตัวอย่างเช่น ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กำลังพัฒนาดีไซน์อ้างอิงเพื่อรองรับแร็คเซิร์ฟเวอร์พลังงานสูงเกือบ 90 กิโลวัตต์ ซึ่งพร้อมใช้งานตั้งแต่ปลายปี 2024  โดยเซิร์ฟเวอร์ที่ออกแบบมาสำหรับ AI นอกจากจะมีหน่วยประมวลผลหลายตัวแล้ว ยังต้องใช้ชิปเซ็ตขั้นสูงเพื่อเพิ่มพลังการประมวลผลและช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งความหนาแน่นสูงระดับนี้ อาจทำให้เกิดความร้อนปริมาณมาก ซึ่งระบบระบายความร้อนแบบเดิมอาจรับมือไม่ไหว

ดังนั้น จึงมีการนำเทคโนโลยีระบายความร้อนด้วยของเหลวมาใช้ เพื่อช่วยกระจายความร้อนจากตัวประมวลผล ด้วยการส่งผ่านน้ำหรือของเหลวชนิดอื่นไปยังชิปผ่านหน่วยกระจายสารหล่อเย็น (Coolant Distribution Unit – CDU) เพื่อดูดซับความร้อน จากนั้นของเหลวในลูปที่สองจะถูกส่งต่อไปยังหน่วยทำความเย็น (Chiller Unit) และส่งกลับมายัง CDU อีกครั้ง ซึ่งกระบวนการนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐาน และทำให้ต้องเพิ่มท่อ และท่อร่วม (Manifolds) เพื่อส่งของเหลวผ่านแร็คและระบายออกไปยังนอกอาคาร ซึ่งอาจสร้างความซับซ้อนเพิ่มขึ้น เพราะการที่โครงสร้างพื้นฐานต้องรองรับระบบท่อเพิ่ม ทำให้กินพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เอจด์ที่มีขนาดจำกัด

ด้วยภาระงานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น โซลูชั่นระบายความร้อนที่ดีขึ้น และระบบแร็คไอทีที่ซับซ้อน ทำให้ต้องมีการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ที่ให้ความล้ำหน้าและวางวิศวกรรมที่ให้ความยืดหยุ่น เพื่อรองรับ AI ยุคใหม่

โมดูลาร์ ดาต้าเซ็นเตอร์  ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด

คาดว่าในปี 2028 งานที่เกี่ยวข้องกับ AI จะใช้ 20% ของพลังงานทั้งหมดในดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งดาต้าเซ็นเตอร์แบบโมดูลาร์สามารถตอบสนองความต้องการของธุรกิจที่ใช้ AI ที่เอดจ์ได้อย่างตรงจุด ทั้งเรื่องของระบบโครงสร้างพื้นฐาน การประมวลผล และพลังงานไฟฟ้า รวมถึงระบบระบายความร้อนที่จำเป็นต่อการฝึกโมเดล AI และการสรุปผลลัพธ์

ซึ่งแต่ละยูนิตในโครงสร้างสร้างพื้นฐาน จะถูกออกแบบเพื่อให้ทำงานแยกส่วนเป็นโมดูลได้ตามกรณีการใช้งานแต่ละประเภท โดยดีไซน์นี้ มีการเปิดตัวไปในปีที่ผ่านมา และสามารถขยายเป็นคลัสเตอร์ที่ทำซ้ำๆ ได้  เพื่อช่วยให้ติดตั้งได้อย่างรวดเร็วและยืดหยุ่นในทุกที่ต้องการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการใช้ AI ในเชิงกลยุทธ์ได้ตามเป้าหมาย ดีไซน์ดังกล่าว ทำให้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค สามารถช่วยลูกค้าแก้ปัญหาท้าทายในการใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยช่วยให้องค์กรใช้เทคโนโลยีได้อย่างเต็มศักยภาพเพื่อสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน  

เมื่อมีการใช้ AI แพร่หลายมากยิ่งขึ้น คำถามจะไม่ใช่ประเด็นที่ว่าองค์กรจะขยายโครงสร้างพื้นฐานไอทีหรือไม่ แต่อยู่ที่จะขยายเมื่อไหร่ เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้โซลูชั่น AI ที่ต้องอาศัยทรัพยากรจำนวนมากทั้งข้อมูล พลังงาน และระบบระบายความร้อน ทั้งนี้ หากองค์กรต้องการเตรียมความพร้อมในการใช้งาน AI สามารถศึกษาแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด รวมถึงเอกสารวิชาการ และเข้าร่วมงานสัมมนาผ่านเว็บ และ ฯลฯ ได้ที่ Transitioning to AI-Ready Data Centers


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

INT ม.มหิดล เปิดเวที “INT Accelerate Demo Day” โชว์ศักยภาพสตาร์ตอัปสาย Healthcare-Oriented Deep Tech

สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (INT) มหาวิทยาลัยมหิดล จัดงาน “INT Accelerate Demo Day” เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 เปิดเวทีให้สตาร์ตอัปด้าน
Healthcare-Oriented Deep Tech
ภายใต้โครงการ iNT Accelerate แสดงศักยภาพและนวัตกรรมที่พร้อมต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)

งานนี้ได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ ดร. ชาลีดา บรมพิชัยชาติกุล รักษาการรองผู้อำนวยการ กลุ่มงานด้านกลยุทธ์วิจัย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยมหิดล อาทิ ศาสตราจารย์ ดร.ศันสนีย์ ไชยโรจน์ ที่ปรึกษาอธิการบดีฝ่ายวิจัย, รองศาสตราจารย์
ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย, รองศาสตราจารย์ นายแพทย์เชิดชัย นพมณีจำรัสเลิศ รองอธิการบดีฝ่ายสารสนเทศและดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน และ อาจารย์ ดร.เจษฎา อานิล ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายการศึกษา, รองศาสตราจารย์ ดร.วิริยะ เตชะรุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (INT) และ คุณอรวลัญช์ โลหิตหาญ รองผู้อำนวยการฝ่ายการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญา สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (INT) เข้าร่วมงาน

ชู 8 สตาร์ตอัปด้านสุขภาพที่โดดเด่น

ภายในงานมีการนำเสนอผลงาน Pitching จาก 8 สตาร์ตอัป พร้อมจัดแสดงนวัตกรรม ได้แก่

บริษัท เพอร์เฟค โพรเทคชั่น จำกัด (คณะวิทยาศาสตร์): น้ำยาเข้มข้นกำจัดกลิ่นและฆ่าเชื้อด้วยเอนไซม์นาโนไบโอคอนจูเกชัน

บริษัท เอเวอร์เจน เทคโนโลยี จำกัด (คณะวิทยาศาสตร์): หนังเทียมจากเส้นใยใบสับปะรด

บริษัท ซาฮาร่า ดราย จำกัด (สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้): ผลิตภัณฑ์ Sahara Dry Grip

บริษัท เอียร์เอสเซนส์ จำกัด (คณะวิศวกรรมศาสตร์): ระบบคัดกรองการได้ยินอัตโนมัติ

บริษัท เอ อาร์ ทิ เมด จำกัด (คณะเทคนิคการแพทย์): แขนเทียมซิลิโคนสำหรับฝึกเจาะเลือด

บริษัท พาสซีคูล จำกัด (คณะวิทยาศาสตร์): นวัตกรรมเจลเย็น Passi-Cool

บริษัท ไบโอวิต้า จำกัด (คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล): ทิชชู่เปียกสมุนไพรต้านไวรัสมือเท้าปาก

บริษัท นันนิล อินเทลลิเจนซ์ โรโบติกส์ จำกัด (คณะวิศวกรรมศาสตร์): อุปกรณ์คัดกรองภาวะ    เส้นประสาทเสื่อมจากโรคเบาหวาน

เชื่อมโยงนักลงทุนกับสตาร์ตอัปไทย

นอกจากการนำเสนอผลงานแล้ว ยังมีช่วง Special Talks หัวข้อ “Technology & Investment Trends” โดยนักลงทุนชั้นนำ (VC) มาร่วมแบ่งปันมุมมองและแนวโน้มการลงทุนในอุตสาหกรรมสุขภาพ พร้อมกิจกรรม Networking เพื่อสร้างโอกาสความร่วมมือระหว่างสตาร์ตอัปกับนักลงทุนและพันธมิตรในอุตสาหกรรม

สำหรับโครงการ iNT Accelerate ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างระบบนิเวศสตาร์ตอัปด้านสุขภาพในประเทศไทย ช่วยเร่งการพัฒนานวัตกรรมจากห้องปฏิบัติการสู่ตลาดเชิงพาณิชย์ สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรม Deep Tech และ Medical Hub ของประเทศ


Exit mobile version