Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์เผย 10 เทรนด์เทคโนโลยีสำคัญต่อภาครัฐ ประจำปี 2566

ผู้บริหารไอที (CIO) ควรใช้เทรนด์เหล่านี้ปรับองค์กรรัฐให้ทันสมัย (Modernization) มีข้อมูลเชิงลึก (Insights) และเปลี่ยนผ่านให้ทันโลก (Transformation)

กรุงเทพฯ 23 พฤษภาคม 2566  การ์ทเนอร์เผย 10 แนวโน้มเทคโนโลยีที่มีความสำคัญต่อกิจการภาครัฐในปี 2566 เป็นแนวทางให้ผู้นำองค์กรภาคสาธารณะเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านและเตรียมพร้อมไปสู่รัฐบาลหลังยุคดิจิทัล (หรือ Post-Digital Government) และมุ่งที่เป้าหมายของภารกิจทั้งหลายอย่างต่อเนื่อง

อาร์เธอร์ มิคโคลีท ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย การ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ความวุ่นวายทั่วโลกและการหยุดชะงักทางเทคโนโลยีในปัจจุบันไม่เพียงแต่กำลังกดดันรัฐบาลให้ต้องหาทางออกเพื่อปรับสมดุลระหว่างโอกาสและความเสี่ยงทางดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังให้โอกาสสำคัญอีกหลายอย่างสำหรับเปลี่ยนแปลงรัฐบาลดิจิทัลไปสู่ยุคถัดไป ซึ่งผู้บริหารไอทีภาครัฐฯ ต้องแสดงให้เห็นว่าการลงทุนดิจิทัลของพวกเขานั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่กลยุทธ์ทั่ว ๆ ไป ในขณะที่ยังต้องเดินหน้าปรับปรุงการส่งมอบบริการและรับมือกับผลกระทบต่าง ๆ ที่มีต่อภารกิจหลัก”

ผู้บริหาร CIO ภาครัฐฯ ควรพิจารณาผลกระทบของแนวโน้มเทคโนโลยีต่อไปนี้ (ดูรูปที่ 1) ที่มีต่อองค์กร และนำมาปรับใช้เป็นข้อมูลเชิงลึกเพื่อพิจารณารูปแบบการลงทุนพร้อมปรับปรุงความสามารถทางธุรกิจ บรรลุภารกิจสำคัญของผู้นำและสร้างองค์กรรัฐที่พร้อมสำหรับอนาคตยิ่งขึ้น


รูปที่
 1 แนวโน้มเทคโนโลยีภาครัฐ ประจำปี 2566 โดยการ์ทเนอร์

Adaptive Security

การ์ทเนอร์คาดว่า ในปี 2568 75% ของผู้บริหาร CIO ในองค์กรภาครัฐจะมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงต่อการรักษาความปลอดภัยนอกเหนือจากในส่วนที่เกี่ยวข้องกับไอที ประกอบด้วยเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยของการปฏิบัติงานต่าง ๆ รวมถึงเทคโนโลยีที่แวดล้อมภารกิจสำคัญขององค์กร การผสานรวมข้อมูลองค์กร ความเป็นส่วนตัว ซัพพลายเชน ระบบไซเบอร์และกายภาพ (Cyber-Physical Systems หรือ CPS) และระบบคลาวด์ที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างบูรณาการ โดยผู้บริหาร CIO ควรเชื่อมโยง Adaptive Security ให้มีขอบเขตกว้างขึ้นไปถึงนวัตกรรมดิจิทัล การทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ภารกิจด้านความมั่นคงของชาติ และเป้าหมายในการสร้างความยืดหยุ่นขององค์กรมากยิ่งขึ้น

Cloud-Based Legacy Modernization

รัฐบาลของประเทศที่เป็นผู้นำอยู่ในความกดดันให้รื้อระบบเก่า ระบบแบบไซโลต่าง ๆ และการจัดเก็บฐานข้อมูล เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานไอทีและแอปพลิเคชันให้ทันสมัย รวมถึงเพื่อให้มั่นใจว่าบริการภาครัฐมีความยืดหยุ่นมากขึ้น CIO สามารถใช้กลยุทธ์การจัดหาที่ยืดหยุ่นหรือปรับเปลี่ยนได้ (Adaptive Sourcing Strategies) เพื่อระบุขอบเขตที่รูปแบบ “As-A-Service” จะไปช่วยจัดสรรทรัพยากรภายในและจัดลำดับความสำคัญของภารกิจ การ์ทเนอร์คาดว่าภายในปี 2568 กว่าครึ่งของงานที่ต้องทำขององค์กรภาครัฐฯ มากกว่า 75% จะใช้ผู้ให้บริการคลาวด์แบบไฮเปอร์สเกล

Sovereign Cloud

ความปั่นป่วนทั่วโลก ตลอดจนความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและการเข้าถึงข้อมูลของรัฐบาลที่เกินขอบเขต ส่งผลให้มีความต้องการอธิปไตยบนคลาวด์ (Sovereign Cloud) มากขึ้น รัฐบาลมีความพยายามมากขึ้นเพื่อเข้าถึงข้อมูลที่เปิดเผยในขอบเขตจำกัดและโครงสร้างพื้นฐาน โดยใช้อำนาจศาลและการเข้าถึงข้อมูลของรัฐบาลต่างประเทศ การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2568 มากกว่า 35% ของแอปพลิเคชันรัฐรุ่นเก่า ๆ จะถูกแทนที่ด้วยโซลูชันต่าง ๆ ที่พัฒนาด้วยแพลตฟอร์มแอปพลิเคชันแบบ Low-Code และดูแลโดยทีมงานแบบผสมผสาน (Fusion Team)

Hyperautomation

การ์ทเนอร์ ระบุว่าภายในปี 2569 องค์กรภาครัฐ 60% จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบอัตโนมัติในกระบวนการทำงานของรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 35% ในปี 2565 โดยการริเริ่มโครงการไฮเปอร์ออโตเมชั่น (Hyperautomation) ใหม่ ๆ จะช่วยสนับสนุนการทำงานและกระบวนการไอทีภาครัฐ สำหรับการให้บริการสาธารณะที่เชื่อมต่อและลื่นไหลแก่ประชาชน โดย CIO ต้องจัดแนวคิดโครงการอัตโนมัติใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับความสำคัญในปัจจุบันในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล ขณะเดียวกันยังต้องจัดสรรค่าใช้จ่ายการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

AI for Decision Intelligence

ภายในปี 2567 การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า 60% ของการลงทุนกับเอไอและการวิเคราะห์ข้อมูลของรัฐบาลจะส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจและผลลัพธ์การปฏิบัติงานแบบเรียลไทม์ โดยเอไอเพื่อการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด (AI For Decision Intelligence) ช่วยให้รัฐบาลตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ  ทันท่วงทีในระดับที่เหมาะสม ซึ่ง CIO ต้องพร้อมสำหรับการนำเอไอมาใช้อย่างแพร่หลายโดยตรวจสอบให้มั่นใจว่ามีข้อมูลเพียงพอต่อการตัดสินใจและเป็นไปตามหลักการกำกับดูแลของภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ

Data Sharing as a Program

การใช้ข้อมูลร่วมกัน (Data sharing) ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ขององค์กรภาครัฐ นั้นยังไม่เพียงพอต่อความต้องการสำหรับการนำข้อมูลมาใช้และวิเคราะห์ ภายในสิ้นปี 2566 นี้ การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า 50% ขององค์กรภาครัฐจะจัดตั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบภารกิจด้านแบ่งปันข้อมูลอย่างจริงจัง รวมถึงมาตรฐานโครงสร้างข้อมูล คุณภาพและทันเวลา ซึ่ง CIO ควรโฟกัสไปที่เป้าหมายที่เป็นมูลค่าเพิ่มมาและวัตถุประสงค์ของภารกิจในช่วงกำลังพัฒนาโครงการ Data-Sharing

Total Experience หรือ TX

ภายในปี 2569 แนวทางการสร้างประสบการณ์ภาพรวมของรัฐบาล (Total Experience หรือ TX) จะลดความคลุมเครือในกระบวนการทำงานลงถึง 90% ขณะเดียวกันยังเพิ่มมาตรวัดความพึงพอใจทั้งประสบการณ์ของประชาชนหรือผู้ใช้บริการภาครัฐ (CX) และประสบการณ์ของพนักงานหรือข้าราชการ (EX) ขึ้นถึง 50% โดย TX ช่วยสร้างการทำงานร่วมกันและสอดคล้องกันระหว่าง CX, EX, Multi-Experience (MX) และประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) ที่แต่เดิมแยกกันอยู่ เพื่อสนับสนุนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของรัฐบาล CIO สามารถช่วยลดแรงเสียดทานของประสบการณ์ต่าง ๆ โดยเชื่อมโยงองค์ประกอบ (Mapping) จำลองภาพเสมือน (Visualizing) และออกแบบการเดินทางของประสบการณ์ (Journeys) แก่ประชาชนและพนักงานเจ้าหน้าที่ขึ้นใหม่

Digital Identity Ecosystems

การ์ทเนอร์คาดว่า ภายในปี 2567 มากกว่า 1 ใน 3 ของหน่วยงานภาครัฐระดับประเทศจะใช้วอลเล็ตแบบระบุอัตลักษณ์บุคคล โดยรัฐบาลกำลังเผชิญกับความรับผิดชอบรูปแบบใหม่ของการระบุอัตลักษณ์ดิจิทัลผ่านระบบนิเวศต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ (หรือ Emerging Digital Identity Ecosystems) ที่ยังมาพร้อมกับความคาดหวังว่าระบบต้องมีความปลอดภัย มีนวัตกรรมทันสมัย และสามารถนำไปใช้ในภาคส่วนอื่น ๆ รวมถึงการเดินทางข้ามพรมแดน ซึ่งหากภาครัฐต้องการบรรลุเป้าหมายนี้ ต้องทำให้ข้อมูลอัตลักษณ์ดิจิทัลที่มีความสำคัญสูงนี้เข้าถึงได้ง่ายและสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายหลากหลายที่เป็นผู้ใช้ปลายทางรวมถึงผู้ให้บริการต่าง ๆ

Case Management as a Service (CMaaS)

การบูรณาการของบริการภาครัฐขึ้นอยู่กับการออกแบบและพัฒนาโซลูชั่นการจัดการเป็นกรณี (Case Management) ให้เป็นผลิตภัณฑ์และบริการที่สามารถประกอบรวมกันได้ ที่สามารถแชร์ไปยังโครงการ หน่วยงาน และภาคส่วนในระดับต่าง ๆ ของรัฐบาลได้ การ์ทเนอร์คาดว่าภายในปี 2567 หน่วยงานรัฐฯ ที่ใช้แนวทางการจัดการแบบประกอบกัน (หรือ Composable Case Management) จะปรับใช้ฟีเจอร์ใหม่ได้เร็วกว่าหน่วยงานอื่นที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกันถึง 80% โดย CIO ควรแสดงให้เห็นถึงการบรรลุเป้าหมายทั้งในแง่ผลลัพธ์ การทำงานร่วมกัน หรือการใช้โปรแกรมการทำงานได้อย่างผสมผสาน

Composable Government Enterprise

รัฐบาลสามารถประสบความสำเร็จและทลายกรอบการทำงานแบบเก่า ระบบทำงานไซโล และรูปแบบการเก็บข้อมูลได้ โดยใช้สถาปัตยกรรมที่สามารถนำมาประกอบกันได้ (Composable Architecture) ซึ่งการปรับปรุงพัฒนาและเพิ่มความทันสมัยให้กับระบบอย่างต่อเนื่องสามารถทำได้โดยการนำวิธีการแบบโมดูลาร์ (ที่แยกเป็นส่วน ๆ และนำมาประกอบเข้าด้วยกันได้) มาใช้กับสถาปัตยกรรมแอปพลิเคชัน และใช้ความสามารถของระบบอัตโนมัติและแมชชีนเลิร์นนิ่งที่พัฒนารุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว

เกี่ยวกับ Gartner for Information Technology Executives

Gartner for Information Technology Executives นำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปใช้ได้จริงแก่ผู้บริหารและผู้นำด้านไอที สำหรับช่วยให้พวกเขาสามารถใช้ขับเคลื่อนองค์กรก้าวข้ามการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและสร้างการเติบโตให้ธุรกิจ ชมข้อมูลเพิ่มเติมคลิก www.gartner.com/en/information-technology.


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

HID เปิดตัว Seos® บัตรเข้า-ออกอาคาร ทำด้วยไม้ไผ่จากแหล่งที่ยั่งยืน

กรุงเทพ – 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 – HID ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชั่นการระบุตัวตน เปิดตัวบัตรเข้าออกอาคารรุ่น Seos® Bamboo™ ผลิตจากไม้ไผ่ซึ่งมีแหล่งที่มาและผ่านกระบวนการที่ยั่งยืน ปราศจากพลาสติกพีวีซี บัตรดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโซลูชั่นเพื่อความปลอดภัย Seos® ที่ได้รับรางวัลของ HID และเป็นบัตรรุ่นแรกในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Eco Cards™

ไม้ไผ่ที่นำมาใช้ ผ่านการรับรองมาตรฐาน FSC® จากองค์กร Forestry Stewardship Council® (FSC®) ซึ่งเป็นการรับประกันว่า มีแหล่งที่มาจากป่าไม้ที่บริหารจัดการอย่างมีความรับผิดชอบ และเกิดประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ

รายงานทางการตลาดล่าสุด รวมถึงรายงานของอุตสาหกรรมด้านความปลอดภัยและการยืนยันตัวตนของ HID ระบุว่า องค์กรส่วนใหญ่ให้ความสำคัญเรื่องสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนเป็นอันดับต้นๆ จึงได้หันไปใช้วัสดุหมุนเวียนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกเหนือจากการลดการใช้พลังงานและการลดการเกิดของเสีย

การเปิดตัวบัตรเข้าออกอาคารที่มีความปลอดภัยสูงซึ่งผลิตจากไม้ไผ่ของ HID ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นพัฒนาด้านนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยไม่กระทบต่อความปลอดภัยและประสบการณ์การใช้งานของลูกค้า ไม้ไผ่เป็นทรัพยากรหมุนเวียนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ใช้น้ำและยาฆ่าแมลงน้อยกว่าวัสดุที่ใช้ทำบัตรแบบเดิมๆ

Martin Huddart รองประธานอาวุโสและกรรมการผู้จัดการ ธุรกิจ Physical Access Control ของ HID กล่าวว่า “HID มีความพยายามที่จะนำเสนอตัวเลือกอื่นเพื่อทดแทนบัตรยืนยันตัวตนแบบพลาสติกตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว โดยได้เปิดตัว HID Mobile Access®  หรือระบบเข้าออกอาคารโดยใช้โทรศัพท์มือถือ บัตร Seos® Bamboo™ จึงเป็นตัวเลือกเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความยั่งยืนภายในระบบนิเวศการเข้าออกอาคาร เพราะช่วยให้ห่วงโซ่คุณค่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ในพื้นที่ที่ยังต้องใช้บัตรยืนยันตัวตนเพื่อการเข้าออกอาคาร

บัตร Seos® Bamboo™ ยังสนับสนุนองค์กรที่ต้องการการรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียว ซึ่งรวมถึง มาตรฐาน LEED (ความเป็นผู้นำด้านการออกแบบที่อนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม หรือ Leadership in Energy and Environmental Design) ที่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ มาตรฐาน BREEAM ของอังกฤษ (Building Research Establishment Environmental Assessment Method) และการรับรองมาตรฐาน Zero Waste to Landfill (การบริหารจัดการขยะฝังกลบเป็นศูนย์)

 

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัตร Seos ที่ทำจากไม้ไผ่ได้ที่ visit the website.


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

สำนักพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม มจพ. จัดฝึกอบรมหลักสูตรบุคลากรสิ่งแวดล้อมประจำโรงงาน ประจำปี 2566

สำนักพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) จัดฝึกอบรมหลักสูตรบุคลากรสิ่งแวดล้อมประจำโรงงานประจำปี 2566 ฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกอบรม กรุงเทพฯ และศูนย์วิจัยและฝึกอบรมทรัพยากรมนุษย์เพื่ออุตสาหกรรม ระยอง โดยวัตถุประสงค์ เพื่อให้โรงงานตามรายการที่กำหนด ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่อง การกำหนดชนิดและขนาดของโรงงาน กำหนดวิธีการควบคุมการปล่อยของเสีย มลพิษ หรือสิ่งใด ๆ ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม กำหนดคุณสมบัติของผู้ควบคุมดูแล ผู้ปฏิบัติงานประจำ และหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียน ผู้ควบคุมดูแลสำหรับระบบป้องกันสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ พ.. 2545  และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) .. 2554  ต้องมีบุคลากรด้านสิ่งแวดล้อมประจำโรงงานตามที่กำหนด   หลักสูตรบุคลากรสิ่งแวดล้อมประจำโรงงาน  ประจำปี 2566  มีรายละเอียดดังนี้

1) ศูนย์ฝึกอบรม กรุงเทพฯ 

รุ่นที่  1 วันที่ 17-21 กรกฎาคม 2566 หลักสูตรผู้ควบคุมระบบบำบัดมลพิษอากาศ 5 วัน ค่าธรรมเนียม  6,500 บาท

รุ่นที่ 1 วันที่ 23-25 สิงหาคม 2566 หลักสูตรผู้ปฏิบัติงานประจำระบบมลพิษกากอุตสาหกรรม 3 วัน ค่าธรรมเนียม 4,500 บาท

รุ่นที่ 1 วันที่ 4-8 กันยายน 2566 หลักสูตรผู้ควบคุมระบบบำบัดมลพิษกากอุตสาหกรรม 5 วัน ค่าธรรมเนียม 6,500 บาท

รุ่นที่ 1 วันที่ 18-20 ตุลาคม 2566 หลักสูตรผู้ปฏิบัติงานประจำระบบบำบัดมลพิษน้ำ 3 วันค่าธรรมเนียม

4,500 บาท

2) ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมทรัพยากรมนุษย์เพื่ออุตสาหกรรม ระยอง

รุ่นที่  1 วันที่ 12-14 มิถุนายน 2566 หลักสูตรผู้ปฏิบัติงานประจำระบบบำบัดมลพิษอากาศ 3 วัน ค่าธรรมเนียม 4,500 บาท

รุ่นที่  1 วันที่ 17-21 กรกฎาคม 2566 หลักสูตรควบคุมระบบบำบัดมลพิษน้ำ 5 วัน ค่าธรรมเนียม 6,500 บาท

รุ่นที่ 1 วันที่ 23-25 สิงหาคม 2566 หลักสูตรผู้ปฏิบัติงานประจำระบบมลพิษกากอุตสาหกรรม 3 วัน ค่าธรรมเนียม 4,500 บาท

รุ่นที่ 1 วันที่ 18-22 กันยายน 2566 หลักสูตรผู้ควบคุมระบบบำบัดมลพิษอากาศ 5 วัน ค่าธรรมเนียม 6,500 บาท

รุ่นที่ 1 วันที่ 18-20 ตุลาคม 2566 หลักสูตรผู้ปฏิบัติงานประจำระบบบำบัดมลพิษน้ำ 3 วัน ค่าธรรมเนียม 4,500 บาท

   คุณสมบัติผู้เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรผู้จัดการสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน และเป็นพนักงานของโรงงานที่ดำรงตำแหน่งในระดับผู้จัดการซึ่งผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้จัดการสิ่งแวดล้อม รวมถึงผู้ที่สนใจทั่วไปเกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อม  อบรมโดย วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ  ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม

สอบรายละเอียดได้ที่ สำนักพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ชั้น 8 อาคารอเนกประสงค์ โทรศัพท์ :  0 2555 2000 ต่อ 2605 – 2621, 2626 โทรสาร : 0 2587 3766 อีเมล : info@itdi.kmutnb.ac.th หรือที่ www.facebook.com/itdi.kmutnb.ac.th และที่ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมทรัพยากรมนุษย์เพื่ออุตสาหกรรม ระยอง  คุณยุวดี วิบูลย์จันทร์  โทรศัพท์ 08 1611 6445, 0 3862 700 ต่อ 5601, 5603

ขวัญฤทัย  ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ปัญหา Tech Talent ขาดแคลนจบแล้วจริงหรือ?

โดย เอ็มบูล่า เชิร์น ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย การ์ทเนอร์ อิงค์

หลังจากการเลิกจ้างพนักงานจำนวนมากของบริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทำให้ผู้นำธุรกิจและเทคโนโลยีต่างสรุปว่า “ภาวะขาดแคลนบุคลากรไอทีที่มีทักษะสูง (หรือ Tech Talent Crunch)” นั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่สิ่งที่ปรากฏอาจเป็นเพียงภาพลวงตา ผลวิจัยล่าสุดของการ์ทเนอร์พบว่า 86% ของผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIOs) บอกว่าพวกเขากำลังเผชิญกับการชิงตัวบุคลากรที่มีคุณสมบัติอย่างที่ต้องการ และอีก 73% มีความกังวลกับประสิทธิภาพของบุคลากรไอทีที่ลดลง

ปัญหาขาดแคลน Tech Talent ยังมีอยู่ต่อไป

วิกฤติการขาดแคลนบุคลากรไอทียังไม่จบสิ้น เนื่องจากปัจจุบันยังมีอุปสงค์แรงงานด้านนี้มากกว่าอุปทานที่มีอยู่ในตลาดเป็นอย่างมาก การ์ทเนอร์คาดว่าปัญหานี้จะส่งผลกระทบลากยาวไปถึงปี 2569 เป็นอย่างน้อย สอดคล้องกับปริมาณการใช้จ่ายด้านไอทีตามที่คาดการณ์

พนักงานที่ได้รับผลกระทบจากเหตุเลิกจ้างจำนวนมากนั้นอยู่ในสายงานธุรกิจไม่ใช่สายเทคโนโลยีและงานด้านไอทียังมีโอกาสอยู่อีกมากนอกจากบริษัทในสายเทคโนโลยี สิ่งสำคัญเพื่อทำความเข้าใจปัญหาขาดแคลนแรงงานไอทีที่มีทักษะสูงอย่างแท้จริงคือต้องมองไปให้ไกลกว่ากลุ่มบริษัทเทคฯ

การปรับลดแรงงานจำนวนมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ต่าง ๆ พยายามปรับให้ราคาหุ้นอยู่ในระดับที่เหมาะสมและเพื่อลดค่าใช้จ่ายตามโจทย์ของผู้ถือหุ้น แม้การเลิกจ้างเหล่านี้จะได้รับการชี้แจงว่าเป็นการปรับลดหลังเกิดการจ้างงานมากเกินความเป็นจริง แต่จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าการจ้างงานใหม่ไม่จำเป็นต้องได้รับผลกระทบไปด้วย ดังนั้นการปลดพนักงานเมื่อไม่นานมานี้จะส่งผลกระทบทั้งต่อตัวพนักงานและโครงการใหม่ ๆ อย่างเป็นวงกว้าง ตามที่องค์กรหันไปให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์และบริการหลัก ๆ เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดที่เจาะจงมากขึ้นแก่บริษัท ผลวิจัยการ์ทเนอร์พบว่าบริษัทที่อยู่เบื้องหลังการเลิกจ้างพนักงานที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีครั้งใหญ่ที่สุด 10 อันดับ ยังคงมีการจ้างงานรวมกว่า 150,000 คน ซึ่งมากกว่าเมื่อต้นปี 2563

เนื่องจากตลาดยังมีความผันผวนและแกว่งไปมาตามภาวะปั่นป่วนทางเศรษฐกิจ รวมถึงการปรับตัวรับมือกับการแพร่ระบาดที่มีอย่างต่อเนื่อง และการให้ความสำคัญของทักษะการทำงานที่เปลี่ยนไป สำคัญมากที่ผู้นำธุรกิจและสารสนเทศต้องไม่ตีความเหตุเลิกจ้างในปัจจุบันผิดไป แต่ภาวะขาดแคลน Tech Talent จะยังดำเนินต่อไปอีกนาน แม้ความผันผวนของตลาดในปัจจุบันจะบรรเทาลงไป

ใช้กลยุทธ์ดึงบุคลากรไอทีระดับท็อป 

ผู้นำเทคโนโลยีมีหน้าที่สร้างการเติบโตให้องค์กรด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ต้องมองให้ไกลกว่าข่าวการเลิกจ้างที่เข้ามารบกวนใจ เพื่อให้เห็นถึงสัญญาณต่าง ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในตลาด การขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้และทักษะด้านเทคโนโลยีถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะ CIO กำลังสูญเสียพนักงานที่มีความสามารถเร็วกว่าที่จะว่าจ้างได้ทัน

โดยเฉพาะในส่วนงานหลัก เช่น วิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science), วิศวกรรมซอฟต์แวร์ (Software Engineering) และ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ที่ตลาดยังขาดแคลนและแย่งชิงตัวกันอย่างหนัก และจะหนักเพิ่มมากขึ้นไปอีก ผู้นำไอทีต้องรับมือกับการแข่งขันเพิ่มขึ้นในกลุ่มบุคลากรที่มีความสามารถ และค่าจ้างก็จะปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

การมอบโอกาสการเติบโตทางดิจิทัลให้องค์กรนั้นจะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อเข้าใจถึงภาวะขาดแคลน Tech Talent เมื่ออุปทานภาพรวมของแรงงานสายนี้ในตลาดเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยไม่กี่เปอร์เซ็นต์ CIO สามารถใช้โอกาสนี้เสริมความพยายามในการสรรหาบุคลากรของตน ถึงเวลาแล้วที่ CIO ต้องใช้กลยุทธ์เพื่อให้ได้มาซึ่งบุคลากรไอทีระดับท็อป แทนที่จะสรรหาไปตามกลไกตลาด

จะเก็บรักษาและดึงดูดใจคนเก่ง ๆ ได้อย่างไร 

CIO ต้องมีความตั้งใจจริงสำหรับนำแนวทางปฏิบัติที่ได้รับการพิสูจน์แล้วมาใช้ เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีทักษะสูงเข้ามาร่วมทำงานในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพตรงตามตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น ควรขยายขอบเขตการรับสมัครให้เจาะกลุ่มคนที่ไม่ได้ตั้งใจหางาน (Passive IT Candidates) หรือผู้สมัครงานที่มีงานทำอยู่ในปัจจุบันและไม่ได้มองหางานใหม่ แต่อาจเปิดรับโอกาสทางอาชีพที่ดีกว่าหากมีข้อเสนอที่น่าสนใจเข้ามา เนื่องจากแผนการจ้างงานด้านไอทีจำนวนมากถูกออกแบบมาเพื่อกำหนดเป้าหมายไปยังคนที่ตั้งใจหางาน (Active Job Seekers) มากกว่าคนที่ไม่ได้ตั้งใจหางาน จุดนี้ทำให้เสียโอกาสในการค้นหาผู้สมัครงานไอทีที่ครอบคลุมทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ

เพิ่มโครงการแนะนำพนักงาน (Employee Referral Programs) หรือการใช้ความฉลาดของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นสองวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเฟ้นหาผู้สมัครงานแบบพาสซีพจากการค้นหาผ่านโซเซียลมีเดีย

ทักษะที่ไม่มีในตลาดแรงงานไอที สามารถหาได้จากการกำหนดเป้าหมายไปยังพนักงานที่ถูกเลิกจ้างในหมวดเทคโนโลยีใกล้เคียง และฝึกอบรมพวกเขาเพื่อเติมทักษะไอทีที่จำเป็น ตัวอย่างเช่น การหานักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientists) เป็นเรื่องยากมาก ๆ แต่ก็มีกลุ่มนักวิเคราะห์ธุรกิจและข้อมูล (Data and Business Analysts) จำนวนมากในตลาดแรงงานที่สามารถนำมาฝึกฝนทักษะทางเทคนิคเพิ่มเติมได้

CIO ควรทำงานร่วมกับทีมงานสรรหาบุคลากรเพื่อปรับคุณสมบัติที่ต้องการในประกาศหางาน และเพิ่มทักษะที่เกี่ยวข้อง ที่ต้องการในตำแหน่งที่เปิดรับ

สุดท้ายแล้ว องค์กรที่สามารถปรับเปลี่ยนสิ่งที่ Tech Talent ให้คุณค่ามากที่สุดในการทำงานกับองค์กร (Employee Value Propositions หรือ EVP) จะได้รับประโยชน์จากโอกาสในตลาดได้ดีกว่าในการสร้างการเติบโตที่มุ่งเน้นและมีประสิทธิภาพ ซึ่งงานด้านไอทีในตลาดยังมีอยู่มาก โดยบริษัทที่ทำตามความคาดหวังของพนักงานไม่ได้อาจต้องพบกับการลาออกของพนักงานที่พร้อมลาออกทันทีเมื่อได้รับข้อเสนอที่ดีกว่า

ดังนั้นการมุ่งไปที่ปัจจัยอื่น ๆ นอกเหนือจากค่าตอบแทน อาทิ ความยืดหยุ่นและโอกาสการเติบโตในสายงานจะสามารถปรับปรุง EVP ขององค์กรไอที เพื่อเอาชนะในสมรภูมิการแข่งขันด้านบุคลากรที่มีทักษะได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เอปสันชวนเรียนรู้เทคโนโลยี Heat-Free กับน้องหมี EcoBear

เอปสัน ชวนเพื่อนๆ ทำความรู้จักกับเทคโนโลยี Heat-Free ผ่านประสบการณ์ Augmented Reality (AR) เพียงสแกน QR Code หรือคลิกที่ลิงค์  https://ecotank-ar.com/?session =online แล้วส่องที่พื้นผิวเรียบ เช่น โต๊ะ หรือ กำแพง เพื่อพบน้องหมี EcoBear ที่จะมาบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเทคโนโลยีการพิมพ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่าง Heat-Free ในเครื่องพิมพ์เอปสัน EcoTank พร้อมรับโค้ดส่วนลด 100 บาท สำหรับซื้อเครื่องพิมพ์ Epson EcoTank ใน Epson Official Store บนร้านค้าออนไลน์อย่าง Shopee และ Lazada ร่วมสนุกและรับส่วนลดได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายน 2566 ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ facebook.com/epsonthailand


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อะโดบีขยายการดำเนินงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดสำนักงานในประเทศไทย

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – วันที่ 10 พฤษภาคม 2566 – อะโดบี (Nasdaq: ADBE) เปิดสำนักงานในประเทศไทยตอกย้ำความมุ่งมั่นในการขยายธุรกิจในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว การจัดตั้งสำนักงานแห่งใหม่นี้สะท้อนให้เห็นถึงการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของบริษัทฯ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจโดยอาศัยนวัตกรรม

สำนักงานของอะโดบีในสิงคโปร์รองรับการให้บริการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มานานกว่า 21 ปี และการจัดตั้งสำนักงานแห่งใหม่ในประเทศไทยนับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของอะโดบีที่มีต่อลูกค้าและพาร์ทเนอร์ในภูมิภาคนี้

ไซมอน เดล, รองประธานบริหาร และกรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) และเกาหลีของอะโดบี กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นตลาดที่สำคัญสำหรับอะโดบีมาโดยตลอด และเรามีแผนที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของเราด้วยการเปิดสำนักงานแห่งใหม่ที่นี่  ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาคนี้ และการมีสำนักงานในไทยนับเป็นก้าวที่สำคัญที่ช่วยให้เราสนับสนุน ลูกค้าและพาร์ทเนอร์ในอุตสาหกรรมต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการรักษาสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับทีมของเรา”

สำนักงานแห่งใหม่ในไทยตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจ ภายในอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ได้รับการรับรอง LEED Platinum โดยเป็นสถานที่ทำงานแบบไฮบริดที่ช่วยให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกันและติดต่อสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างราบรื่น โดยพื้นที่ทำงานร่วมกันมีสิ่งอำนวยความสะดวกล้ำสมัยที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการประชุมของทีม และการประชุมกับลูกค้า ตลอดจนโต๊ะทำงานและห้องประชุมที่สามารถใช้งานได้ทันที เพื่อเพิ่มความสะดวกในการติดต่อสื่อสารอย่างราบรื่น

ไซมอน เดล กล่าวเสริมว่า “ที่อะโดบี เรามุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์การทำงานที่ดีเยี่ยมให้กับพนักงานของเรา โดยสอดรับกับบุคลิกเฉพาะตัวของพนักงาน และช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้แก่พนักงานในการนำเสนอประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้แก่ลูกค้า  เราเชื่อว่าสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนการสร้างสรรค์ นวัตกรรมและการเติบโต โดยเราทุ่มเทให้กับการสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ไม่หยุดนิ่ง และเปิดกว้างสำหรับทุกคน”

สำนักงานแห่งใหม่ในประเทศไทยจะมีบทบาทสำคัญในการทำให้ความสัมพันธ์กับพาร์ทเนอร์และลูกค้าของอะโดบีแข็งแกร่งขึ้น รวมถึง เซ็นทรัล รีเทล และสยามพิวรรธน์ รองรับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องเพื่อนำเสนอประสบการณ์ลูกค้าที่ยอดเยี่ยม

เกี่ยวกับอะโดบี

อะโดบีกำลังเปลี่ยนแปลงโลกผ่านประสบการณ์ดิจิทัล ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.adobe.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การควบรวมกิจการของ DTAC และ TrueMove H ทำให้ความเร็ว 5G เพิ่มขึ้น และมอบประสบการณ์วิดีโอดีขึ้น

โดย โรเบิร์ต วิซีคอฟสกี้ นักวิเคราะห์อาวุโส Opensignal

ประเทศไทย, 10 พฤษภาคม 2566 – ข้อมูลจาก Opensignal แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้ได้สัมผัสกับความเร็ว 5G ที่สูงขึ้นพร้อมได้รับประสบการณ์วิดีโอ 5G ที่ดียิ่งขึ้นเมื่อเชื่อมต่อผ่านย่านความถี่ n41 (2.6GHz) และมีผู้ใช้ย่านความถี่นี้กันมากขึ้น ซึ่งเป็นความถี่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการของ DTAC และ TrueMove H ส่งผลให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ดียิ่งขึ้น

การวิเคราะห์ครั้งใหม่นี้ Opensignal ได้เปรียบเทียบประสบการณ์การเชื่อมต่อ 5G ของผู้ใช้สมาร์ทโฟนบนเครือข่ายมือถือของผู้ให้บริการต่าง ๆ ของประเทศไทยในเดือนธันวาคม 2565 และเดือนมีนาคม 2566 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนและหลังการสิ้นสุดกระบวนการการควบรวมกิจการระหว่าง DTAC และ TrueMove H

ในเดือนมีนาคม 2566 ผู้ใช้เครือข่าย AIS ได้รับประสบการณ์การเชื่อมต่อ 5G ด้วยความเร็วเฉลี่ยสูงสุดด้วยคลื่นความถี่ 42.7 MHz จึงเป็นเครือข่ายที่มีความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุด ขณะเดียวกันเมื่อเดือนธันวาคม 2565 ผู้ใช้เครือข่าย DTAC ได้พบกับความเร็ว 5G ในระดับต่ำมาก เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ให้บริการเครือข่ายอีกสองรายในประเทศไทย ทว่าช่วงเวลาของการควบรวมกิจการในเดือนมีนาคม 2566 เราสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงด้านความเร็วอย่างมีนัยยะของประสบการณ์ต่าง ๆ ของ DTAC เมื่อผู้ใช้เชื่อมต่อผ่านย่านความถี่ 2.6GHz

ผู้ให้บริการเครือข่ายในประเทศไทยใช้ย่านความถี่ 5G อยู่สองประเภทคือย่านความถี่ n28 (700MHz) และย่านความถี่ n41 (2.6 GHz) โดยแบบแรกจะให้ความถี่ครอบคลุมในช่วงกว้างกว่าและแบบที่สองจะให้ความจุข้อมูลสูงกว่า สิ่งนี้เองที่ทำให้มีปริมาณข้อมูลและความเร็วที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้ใช้มือถือ

มีความแตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญของการถือครองคลื่นความถี่ของผู้ให้บริการเครือข่ายทั้งสามรายในประเทศไทย ขณะที่ AIS และ TrueMove H เป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ความถี่100 MHz และ 90 MHz ในความถี่ 2.6GHz นั้น DTAC กลับไม่ได้ถือครองกรรมสิทธิ์ในคลื่นความถี่ใดในย่านความถี่นี้ในการประมูลคลื่นความถี่ประจำปี 2563 — จึงเป็นผลทำให้สามารถกระจายสัญญาณ 5G ในย่านความถี่ 700 MHz ได้เท่านั้น โดยข้อมูลนี้เป็นข้อมูลที่เราสังเกตมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 และในรายงานประสบการณ์เครือข่ายมือถือประจำประเทศไทยครั้งล่าสุดนี้ที่ผู้ใช้เครือข่าย DTAC ของเรา ได้พบกับค่าเฉลี่ยความเร็วในการดาวน์โหลด 5G ในระดับต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับการเชื่อมต่อบน AIS และ TrueMove H ประมาณ 30Mbps

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปในเดือนมีนาคม 2566 ในช่วงการสิ้นสุดกระบวนการการควบรวมกิจการระหว่าง DTAC และ TrueMove H  ขณะที่ทั้งสองบริษัทยังไม่ได้ถูกควบรวมให้อยู่ภายใต้เครื่องหมายการค้า True Corp ใหม่อย่างเต็มรูปแบบและการควบรวมเครือข่ายยังคงอยู่ในขั้นตอนการดำเนินงาน เราสังเกตเห็นว่าผู้ใช้ 5G บนเครือข่าย DTAC ในย่านความถี่ 2.6 GHz ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ TrueMove H ในเวลานี้ได้รับประสบการณ์ความเร็วในการดาวน์โหลด 5G เป็น 105.7 Mbps ซึ่งมีความเร็วสูงกว่าย่านความถี่ 700 MHz ถึงสามเท่า ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ ในเดือนมีนาคม 2566 ค่าเฉลี่ยโดยรวมในการดาวน์โหลด 5G ของ DTAC เพิ่มขึ้น 2.8 เท่า หากเทียบกับในเดือนธันวาคม 2565 แล้วนับว่ามีความเร็วเพิ่มขึ้นจาก 29.6Mbps เป็น 82.1Mbps สิ่งที่น่าสนใจคือ ความเร็วในการดาวน์โหลด 5G ของ TrueMove H บนความถี่ 2.6GHz นั้นลดลงจากในเดือนธันวาคม 2565 ที่ 102.5Mbps เหลือเพียง 83.9Mbps ในเดือนมีนาคม 2566 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการใช้ย่านความถี่ 2.6GHz ร่วมกันของทั้งสองบริษัท

Opensignal ได้พิจารณาพัฒนาการด้านแบนด์วิธคลื่นความถี่โดยเฉลี่ยของการเชื่อมต่อ 5G บนเครือข่ายของผู้ให้บริการในประเทศไทยระหว่างเดือนธันวาคม 2565 และเดือนมีนาคม 2566 พบว่าแบนด์วิธคลื่นความถี่ 5G โดยเฉลี่ยของเครือข่าย DTAC เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 19.5MHz ในเดือนธันวาคม 2565 เป็น 22.9MHz ในเดือนมีนาคมซึ่งเพิ่มขึ้น 3.4MHz (17.1%) นับตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นมา สำหรับผู้ใช้ที่เชื่อมต่อ 5G บนเครือข่าย AIS และ TrueMove H นั้นยังไม่พบการเปลี่ยนแปลงทางสถิติของค่าเฉลี่ยแบนด์วิธคลื่นความถี่ใด ๆ ในช่วงเดือนดังกล่าว

เมื่อพิจารณาสัดส่วนของการเปลี่ยนแปลงของ 5G ต่อย่านความถี่ในเดือนธันวาคม 2565 และเดือนมีนาคม 2566 ของผู้ให้บริการเครือข่ายต่าง ๆ แล้ว พบว่าเครือข่าย DTAC มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากโดยเปลี่ยนจากความถี่ 700MHz (n28) เป็น 2.6 GHz (n41) ขณะที่ในเดือนธันวาคม 2565 นั้น DTAC ยังคงใช้คลื่นความถี่ 700MHz ให้บริการ 5G แต่ในเดือนมีนาคม 2566 ในการอ่านค่า 5G ของเครือข่าย DTAC พบว่ามีการให้บริการบนคลื่นความถี่ 2.6GHz เพิ่มขึ้นเกือบ 80% ซึ่งเราไม่พบการเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้กับเครือข่าย AIS และ TrueMove H ด้วยสัดส่วนของ 5G ในคลื่นความถี่ 700MHz ยังคงเป็นไปอย่างปรกติทั้งในเดือนธันวาคม 2565 และเดือนมีนาคม 2566 ซึ่งอยู่ในช่วง 8.6% และ 15.2% ตามลำดับ

แบนด์วิธความถี่ที่เพิ่มขึ้นไม่เพียงแต่ทำให้ความเร็วในการดาวน์โหลด 5G สูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยพัฒนาคุณภาพการบริการมือถือในด้านอื่น ๆ อีกด้วย Opensignal ได้วิเคราะห์คะแนนด้านประสบการณ์วิดีโอ 5G ตามคลื่นความถี่ 5G ที่ผู้ให้บริการเครือข่ายในประเทศไทยใช้เป็นหลัก พบว่าการเชื่อมต่อ 5G บนย่านความถี่ 2.6MHz ทำให้ผู้ใช้ 5G ชาวไทยได้รับประสบการณ์วิดีโอที่ดีกว่าการเชื่อมต่อบนย่านความถี่700MHz ด้วยค่าคะแนนที่แตกต่างกันในเดือนมีนาคม 2566 ในช่วงคะแนน 2.9 และ 3.2 สำหรับ DTAC และ TrueMove H ตามลำดับ และ 6 คะแนนสำหรับ AIS

เช่นเดียวกับด้านความเร็วในการดาวน์โหลด 5G ในเดือนธันวาคม 2565 Opensignal ยังไม่พบการให้บริการ 5G บนย่านความถี่ 2.6GHz ของ DTAC แต่เดือนมีนาคม 2566 เราพบว่ามีการเชื่อมต่อ 5G บนเครือข่าย DTAC บนย่านความถี่นี้ และยังได้รับคะแนนประสบการณ์วิดีโอ 5G ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าการเชื่อมต่อบนย่านความถี่ 700MHz

ผู้ให้บริการรายใหม่มีศักยภาพเขย่าตลาดมือถือ

​เราพบว่าในประเทศอื่น ๆ ที่มีผู้ให้บริการรายใหม่เกิดขึ้นจากการควบรวมกิจการได้เปลี่ยนตำแหน่งของตนเองไปอย่างสิ้นเชิง จากการวิเคราะห์ล่าสุดถึงแนวโน้มการแข่งขันในอิตาลี แสดงให้เห็นว่าการควบรวมกิจการของ Wind และ Tre ในปี 2563 นำไปสู่การเกิดขึ้นของผู้ให้บริการใหม่ที่พลิกโฉมตลาดอิตาลีได้และยังคว้ารางวัลประสบการณ์เครือข่ายมือถืออีกหลายรางวัลในรายงานของ Opensignal

AIS ครองรางวัลในรายงานประสบการณ์เครือข่ายมือถือของประเทศไทยจาก Opensignal ที่เผยแพร่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 และ พฤศจิกายน 2565 โดยคว้ารางวัลชนะเลิศด้านความเร็ว 5G และรางวัลด้านประสบการณ์ทั้งหมด ส่วน DTAC และ TrueMove H จากกรณีการควบรวมกิจการที่ทำให้มีกรรมสิทธิ์ในคลื่นความถี่และโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนฐานผู้ใช้ที่มากขึ้น ทำให้บริษัทกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของ AIS ในด้านประสบการณ์เครือข่ายมือถือ

เกี่ยวกับ Opensignal 

เป็นผู้ให้บริการอิสระระดับโลกด้านข้อมูลเชิงลึกและประสบการณ์เครือข่ายที่ผสมผสาน รวมถึงข้อมูลภาพรวมการเติบโต การให้บริการของผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายและบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ต รายงานสาธารณะของบริษัทฯ ได้รับการยอมรับระดับโลกในมาตรฐานการเปรียบเทียบประสบการณ์เครือข่าย โดยใช้โซลูชันการวิเคราะห์แบบองค์รวมและการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางเพื่อสร้างข้อมูลเชิงลึกในรูปแบบใหม่ๆ ที่ไม่มีมาก่อน และยังช่วยผู้ให้บริการด้านการสื่อสารสามารถปรับปรุงเครือข่าย พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพเชิงพาณิชย์ของตนได้สูงสุด ปรับปรุงประสบการณ์เชื่อมต่อให้กับทุกคน

บริษัทฯ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ประเทศสหรัฐฯ แคนาดา สหราชอาณาจักร และมีสำนักงานขายในอเมริกาใต้และเอเชีย


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ออฟฟิศเมท จัดแคมเปญ “Furniture FestiWow”

ออฟฟิศเมท และ ออฟฟิศเมท พลัส ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ชวนคนทำงานและทุกธุรกิจเนรมิตพื้นที่ทำงานในสไตล์ที่ชอบ… จัดแคมเปญ “Furniture FestiWow” เทศกาลช้อปเฟอร์นิเจอร์สุดว้าวที่คุณพลาดไม่ได้! คัดสรรเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ Furradec และ one ทั้งสินค้ามาใหม่ล่าสุด และโมเดลตัวท็อปขายดีที่ถูกใจทุกคน รวมกว่า 30 รายการ ทุกชิ้นลดราคาสุดคุ้ม ทั้งเก้าอี้ Ergonomic ฟังก์ชั่นจัดเต็ม, เก้าอี้ผู้บริหารนั่งสบาย, เก้าอี้สำนักงานราคาประหยัดเริ่มต้น 999 บาท รวมถึงโต๊ะทำงานสไตล์มินิมอล สามารถเลือกมิกซ์แอนด์แมทช์ได้ตามใจชอบ    จะซื้อใช้เองก็คุ้ม หรือจะรีโนเวทออฟฟิศเอาใจพนักงานก็ยิ่งประหยัด พิเศษสุดๆ! ออฟฟิศเมทแจกของแถมเพิ่มให้อีกเมื่อช้อปตามกำหนด ทั้งกาอเนกประสงค์ เตาปิ้งย่าง2in1 และ เตาแม่เหล็กไฟฟ้า ช้อปด่วนจำนวนจำกัด ตั้งแต่ 8 พ.ค. 66 – 19 พ.ค. 66 เท่านั้น

ช้อปสะดวกได้ทุกช่องทางการขาย สามารถเลือกลองเฟอร์นิเจอร์ได้ที่ร้านออฟฟิศเมท และออฟฟิศเมท พลัส ทุกสาขา หรือสั่งออนไลน์ได้ที่ OFM Mobile App, www.ofm.co.th และ Line: @OfficeMate หรือโทรสั่งซื้อก็ง่ายที่เบอร์ 1281 ออฟฟิศเมท บริการจัดส่งและประกอบเฟอร์นิเจอร์ฟรีให้ถึงบ้านและออฟฟิศในกรุงเทพและอีกหลายจังหวัด


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์คาดผู้บริโภคใช้จ่ายบริการคลาวด์สาธารณะทั่วโลก ยังโต แตะใกล้ 600 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีนี้

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 8 พฤษภาคม 2566  การ์ทเนอร์ อิงค์ คาดการณ์มูลค่าการใช้จ่ายบริการคลาวด์สาธารณะของผู้ใช้ทั่วโลกในปี 2566 จะเติบโตเพิ่มขึ้น 21.7% คิดเป็นมูลค่า 597.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มจาก 491 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2565 ซึ่งคลาวด์คอมพิวติ้งคือปัจจัยสำคัญขับเคลื่อนธุรกิจดิจิทัลให้เติบโตไปอีกขั้น ตามที่หลาย ๆ องค์กรกำลังปรับตัวรับมือกับการหยุดชะงักโดยนำเทคโนโลยีกำเนิดใหม่ อาทิ Generative AIWeb3 และ Metaverse มาเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจ

การ์ทเนอร์คาดว่าองค์กรธุรกิจในประเทศไทยจะมีปริมาณการใช้จ่ายในบริการคลาวด์สาธารณะปี 2566 เพิ่มขึ้น 31.7% จากปี 2565 คิดเป็นมูลค่า 54.8 พันล้านบาท โดยตลาดคลาวด์ทุกกลุ่มคาดว่าจะเติบโตในปีนี้ และบริการ Infrastructure-as-a-service (IaaS) คาดว่าจะเติบโตสูงสุดที่ 44.3%

ซิด ณาก รองประธานฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ กล่าวว่า ผู้ให้บริการคลาวด์ระดับไฮเปอร์สเกลกำลังขับเคลื่อนคลาวด์เป็นวาระสำคัญ โดยปัจจุบันองค์กรต่าง ๆ มองว่าคลาวด์คือแพลตฟอร์มกลยุทธ์ขั้นสูงสำหรับทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ซึ่งองค์กรเหล่านี้ต้องการผู้ให้บริการคลาวด์ที่สามารถนำเสนอความสามารถที่ซับซ้อนได้มากขึ้น อันเป็นผลมาจากแนวโน้มการแข่งขันของบริการดิจิทัลที่กำลังร้อนระอุ

ตัวอย่างเช่น Generative AI ที่รองรับการใช้งานของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models หรือ LLMs) ซึ่งต้องการความสามารถในการประมวลผลที่มีศักยภาพและปรับขนาดได้อย่างสูงเพื่อประมวลผลข้อมูลเรียลไทม์ ซึ่งคลาวด์สามารถนำเสนอโซลูชั่นและแพลตฟอร์มได้อย่างสมบูรณ์แบบ นี่จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ผู้เล่นหลักเป็นผู้ให้บริการคลาวด์ระดับไฮเปอร์สเกลที่เข้ามาแข่งขันกันในด้าน Generative AI”  ซิด ณาก กล่าวเพิ่มเติม

บริการคลาวด์ในทุกกลุ่มตลาดในปีนี้คาดว่าจะโตขึ้น

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าบริการ Infrastructure-As-A-Service (IaaS) มีมูลค่าการใช้จ่ายผู้ใช้ปลายทางเติบโตสูงสุดในปี 2566 ที่ 30.9% ตามมาด้วยบริการ Platform-As-A-Service (PaaS) ที่ 24.1% (ดูตารางที่ 1)

ตารางที่ 1. คาดการณ์มูลค่าบริการคลาวด์สาธารณะของผู้ใช้ทั่วโลก (หน่วย: ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

 

2022

2023

2024

Cloud Application Infrastructure Services (PaaS)

111,976

138,962

170,355

Cloud Application Services (SaaS)

167,342

197,288

232,296

Cloud Business Process Services (BPaaS)

59,861

65,240

71,063

Cloud Desktop-as-a-Service (DaaS)

2,525

3,122

3,535

Cloud Management and Security Services

34,487

42,401

51,871

Cloud System Infrastructure Services (IaaS)

114,786

150,310

195,446

Total Market

490,977

597,325

724,566

BPaaS = business process as a service; IaaS = infrastructure as a service; PaaS = platform as a service; SaaS = software as a service

เนื่องจากการปัดเศษ ทำให้ตัวเลขบางตัวเมื่อรวมกันแล้วอาจไม่ตรงกับจำนวนรวมทั้งหมด

ที่มา: การ์ทเนอร์  (เมษายน 2566)

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2569 องค์กร 75% จะนำโมเดลการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันมาใช้บนคลาวด์เป็นแพลตฟอร์มพื้นฐานสำคัญ

ประสบการณ์ของลูกค้า ผลตอบรับทางดิจิทัลและธุรกิจ รวมไปถึงการก้าวไปสู่โลกเสมือนเป็นครั้งแรก จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตระยะถัดไปของบริการ IaaS ซึ่งเทคโนโลยีเกิดใหม่ อาทิ แชทบอท (Chatbots) และฝาแฝดดิจิทัล (Digital Twins) ช่วยให้ธุรกิจมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดแบบเรียลไทม์กับลูกค้า ซึ่งต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์และบริการแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ

โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์และบริการแพลตฟอร์มเป็นปัจจัยที่กำลังขับเคลื่อนการเติบโตของปริมาณการใช้จ่ายสูงสุด ในขณะที่บริการ SaaS ยังคงเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของคลาวด์ คาดว่าจะมียอดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้ 17.9% หรือคิดเป็นมูลค่า 197 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566

ผู้ให้บริการคลาวด์ระดับไฮเปอร์สเกลคือผู้นำในเทคโนโลยีพื้นฐานของคลาวด์คอมพิวติ้ง แต่ในระดับแอปพลิเคชันทางธุรกิจนั้นกลับมีผู้นำที่กระจัดกระจายต่างออกไป โดยผู้ให้บริการคลาวด์กำลังเผชิญกับความต้องการด้านการออกแบบข้อเสนอในบริการ SaaS ใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ใช้ประโยชน์จากความสามารถของคลาวด์เนทีฟ (Cloud Native) ปัญญาประดิษฐ์แบบฝัง (Embeded AI)  และการทำงานแบบแยกส่วน (Composability) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่องบประมาณเพิ่มขึ้นและมาจากนักธุรกิจเทคโนโลยี (Business Technologists) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะจุดประกายคลื่นการสร้างสรรค์นวัตกรรมและแทนที่ตลาดแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันบนคลาวด์” ซิด ณาก กล่าวเพิ่ม

 

เกี่ยวกับ Gartner for High Tech

Gartner for High Tech นำเสนอแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดตามขอบเขตความรับผิดชอบให้แก่ผู้นำเทคโนโลยีและทีมงานไอที รวมถึงข้อมูลเชิงลึกในอุตสาหกรรม มุมมองกลยุทธ์แนวโน้มเกิดใหม่และการเปลี่ยนแปลงในตลาด เพื่อให้สามารถจัดลำดับความสำคัญของภารกิจและสร้างความสำเร็จให้แก่องค์กรในอนาคต อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.gartner.com/en/industries/high-tech หรือติดตามข่าวสารและการอัปเดตจาก Gartner for High Tech ได้ที่ Twitter และ LinkedIn


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

วิศวะ มข.ไขคำตอบ “ติดโซลาร์เซลล์ลดค่าไฟ” คุ้มจริงไหม ?

กลายเป็นข่าวสร้างความสนใจให้สังคมในช่วงฤดูร้อน เมื่อหนุ่มแชร์ประสบการณ์ค่าไฟฟ้าลดลง หลังที่บ้านติดตั้งโซลาร์เซลล์ ทำให้ค่าไฟฟ้าจากเดือนละ 4,000 – 5,000 บาท ลดลงเหลือเพียง 71 บาท จนหลายคนเริ่มมีความคิดอยากติดตั้งบ้าง แต่การติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อประหยัดค่าไฟนั้นจะคุ้มค่ากับต้นทุนที่ต้องเสียไปหรือไม่

รศ.ดร.รองฤทธิ์ ฉัตรถาวร อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวถึงการติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ภายในบ้านทดแทนการใช้ไฟฟ้าจากการไฟฟ้า ว่า ช่วยลดค่าไฟฟ้าได้แน่นอน อย่างไรก็ตาม ก่อนจะลดค่าไฟฟ้าได้นั้น ยังมีสิ่งที่ประชาชนต้องคำนึงถึง คือ ต้นทุนในการติดตั้งโซลาร์เซลล์ โดยการติดตั้งโซลาร์เซลล์ 1 กิโลวัตต์ มีต้นทุน 30,000 – 50,000 บาท ขึ้นอยู่กับคุณภาพของแผงและ inverter ซึ่งตามระเบียบการไฟฟ้า ระบุว่า ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้า 3 เฟส จะติดตั้งได้ไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ ส่วนบ้านที่ใช้ไฟฟ้า 1 เฟส จะติดตั้งได้ไม่เกิน 5 กิโลวัตต์

“หากติดตั้งขนาด 5 กิโลวัตต์ สำหรับผู้ใช้ไฟประเภทบ้านอยู่อาศัย แล้วใช้ไฟตอนกลางวันตลอด ในวันที่แดดออกปกติ ก็จะลดค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 80-120 บาท ต่อวัน หรือหากเดือนนั้นๆ เป็นเดือนที่แดดออกดีก็จะสามารถลดได้ถึง 2,400 – 3,600 บาทต่อเดือน”

รศ.ดร.รองฤทธิ์ ระบุอีกว่า หากถามเรื่องระยะเวลาความคุ้มทุนนั้น ต้องขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า หากใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลากลางวันมากเป็นประจำจะช่วยคืนทุนได้ไว แต่หากใช้ไฟฟ้าเฉพาะช่วงกลางคืนเป็นประจำจะคืนทุนช้า เนื่องจากการขายไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์แก่การไฟฟ้า เราจะขายได้ในอัตราอยู่ที่ 2.2 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งยังน้อยเมื่อเทียบกับอัตราค่าไฟฟ้าที่ซื้อจากการไฟฟ้า ซึ่งโดยเฉลี่ยความคุ้มทุนจะอยู่ที่ประมาณ 4-8 ปี

ทั้งนี้ สำหรับการติดตั้ง โซลาร์เซลล์บนหลังคานั้น จะมีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบ คือ 

1.แบบออนกริด (On Grid) คือ การใช้โซลาร์เซลล์จ่ายไฟฟ้าควบคู่กับการรับไฟฟ้าจากการไฟฟ้า โดยทั่วไปจะไม่มีการติดตั้งแบตเตอรี่

2.แบบออฟกริด (Off Grid) คือ การใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์เพียงอย่างเดียว ไม่พึ่งพาการใช้ไฟฟ้าจากการไฟฟ้า การติดตั้งรูปแบบนี้ ต้องมีการติดตั้งแบตเตอรี่เพื่อเก็บไฟฟ้าไว้ใช้ในช่วงกลางคืน  สำหรับการติดตั้งรูปแบบนี้อาจไม่เหมาะสมจาก 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยที่ 1 ต้นทุนแบตเตอรี่ราคาสูง เช่น หากโซลาร์เซลล์มีต้นทุน 200,000 บาท ค่าแบตเตอรี่อาจสูงถึง 100,000 บาท  และ ปัจจัยที่ 2 คือ การผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์มีความผันผวนไม่แน่นอน หากไม่มีแบตเตอรี่และไม่มีการซื้อไฟจากการไฟฟ้า จะทำให้เกิดเหตุการณ์ไฟดับได้

3.แบบไฮบริด (Hybrid) คือ การใช้ไฟฟ้าจากทั้งจากโซลาร์เซลล์ และการไฟฟ้า โดยมีการติดตั้งแบตเตอรี่เพื่อเก็บกระแสไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ไว้ใช้ในช่วงกลางคืน แต่หากไฟฟ้าไม่เพียงพอก็สามารถดึงไฟฟ้าจากการไฟฟ้ามาใช้ได้

“หากพิจารณาด้านความคุ้มค่า การติดตั้งโซลาร์เซลล์ในรูปแบบที่ 1 หรือ On Grid คุ้มทุนไวที่สุด เนื่องจากไม่ต้องมีต้นทุนเรื่องแบตเตอรี่ จึงทำให้มีระยะเวลาคุ้มทุนไวกว่าแบบอื่น”

สำรวจปัจจัยสำคัญก่อนลงทุนติดตั้ง

ทั้งนี้ รศ.ดร.รองฤทธิ์ แนะนำว่า ก่อนจะติดตั้งโซลาร์เซลล์ในบ้านควรพิจารณาถึงปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ก่อน ทั้งพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน หากไม่ใช่ไฟฟ้าในช่วงกลางวัน แต่ใช้ไฟฟ้าในช่วงกลางคืนเป็นประจำก็อาจไม่คุ้มค่ากับการติดตั้ง

ขณะเดียวกัน พื้นที่หลังคาบ้านก็ต้องเพียงพอต่อการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ด้วย โดย 1 กิโลวัตต์ต้องใช้พื้นที่ประมาณ 7-8 ตารางเมตร ส่วนตำแหน่งในการติดตั้งก็ต้องหันไปทางรับแดด ซึ่งจากข้อมูลของกระทรวงพลังงาน พบว่า ควรติดตั้งหันไปทางทิศใต้ ทำมุม 15 องศาจากพื้นดิน จะทำให้โซลาร์เซลล์มีประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าได้สุงที่สุด และไม่ควรมีอาคารหรือต้นไม้มาบดบัง

นอกจากนี้ ภายในบ้านควรมีพื้นที่ใช้สอยที่เพียงพอสำหรับการติดตั้งอุปกรณ์สนับสนุนการใช้งาน โดยเฉพาะ Inventer หรือตัวแปลงไฟฟ้าจากกระแสตรงของโซลาร์เซลล์ไปเป็นกระแสสลับให้สามารถใช้งานภายในบ้านได้ ซึ่งตำแหน่งการติดตั้งต้องอยู่ด้านล่างไม่ได้ติดบนหลังคา และต้องเป็นพื้นที่ไม่เสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วมอีกด้วย

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ เช่น การทำการสับเปลี่ยนระบบเชื่อมต่อของแผงโซลาร์เซลล์แบบอัตโนมัติเมื่อเกิดการบดบังบนแผง รวมถึงการพยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์มีความไม่แน่นอน แปรผันตามสภาพอากาศ ดังนั้น การพยากรณ์ค่ากำลังการผลิตของโซลาร์เซลล์ที่ดีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้าทั้งได้

ข่าว : ผานิต ฆาตนาค


Exit mobile version