Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Adobe Illustrator ใช้ Firefly ยกระดับเวิร์กโฟล์วงานครีเอทีฟ เสริมศักยภาพครีเอเตอร์ทุกระดับ ด้วยฟีเจอร์ใหม่สุดล้ำ Generative Recolor

อะโดบี (Nasdaq:ADBE) ได้เปิดตัว Generative Recolor (รุ่นเบต้า) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการรวม Adobe Firefly เข้ากับ Adobe Illustrator ช่วยให้นักออกแบบสามารถทดลองสีสันต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้ข้อความคำสั่งง่าย ๆ  รีลีสใหม่ล่าสุดนี้เป็นการพัฒนาต่อยอดวิสัยทัศน์ของอะโดบีในการส่งเสริมศักยภาพของครีเอเตอร์ในทุกระดับทักษะ โดยมี Firefly ทำหน้าที่เป็น Co-pilot เพื่อรองรับการสร้างสรรค์ผลงานตามจินตนาการได้อย่างรวดเร็ว

Generative Recolor รุ่นเบต้า ใช้ประโยชน์จาก Firefly ซึ่งเป็นโมเดล Generative AI สำหรับงานครีเอทีฟของอะโดบี เพื่อการทำงานโดยอัตโนมัติสำหรับขั้นตอนต่าง ๆ ที่ยุ่งยากซับซ้อนซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ใช้ต้องดำเนินการด้วยตนเอง โดยจะเปลี่ยนสีสันต่าง ๆ ในอาร์ตเวิร์กแบบเวกเตอร์ได้อย่างน่าอัศจรรย์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยก่อนหน้านี้แบรนด์ต่าง ๆ สร้างสีด้วยตนเองทุกครั้งเมื่อมีการพัฒนาแพ็กเกจจิ้งใหม่ เปลี่ยนตัวสีโลโก้ใหม่ หรือก่อนที่จะรีแบรนด์หรือออกแบบเว็บไซต์ใหม่ แต่ตอนนี้ด้วย Firefly นักออกแบบสามารถเพิ่มความรวดเร็วให้กับขั้นตอนการลงสีได้อย่างมาก และทำให้มีเวลามากขึ้นในการทำงานอื่น ๆ ที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์

ตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา อะโดบีเป็นผู้บุกเบิกนวัตกรรม AI จำนวนมาก และได้นำเสนอฟีเจอร์อัจฉริยะของ Adobe Sensei หลายร้อยรายการบน Creative Cloud, Document Cloud และ Experience Cloud ส่วน Firefly ซึ่งเปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มุ่งเน้นไปที่การสร้างรูปภาพและเอฟเฟ็กต์ข้อความในระยะเริ่มต้นและ Firefly ได้กลายเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีรุ่นเบต้าที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของอะโดบี โดยผู้ใช้ Photoshop สามารถสร้างภาพได้มากกว่า 150 ล้านภาพในเวลาเพียงสามสัปดาห์โดยใช้ ฟีเจอร์ Generative Fill ที่ขับเคลื่อนโดย Firefly

แอชลีย์ สติล, รองประธานอาวุโสฝ่ายสื่อดิจิทัลของอะโดบี กล่าวว่า “Adobe Illustrator เป็นเครื่องมือที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบผลงานที่โดดเด่นที่สุดในโลกมากมาย ตั้งแต่โลโก้แบรนด์ไปจนถึงแพ็กเกจจิ้งสินค้า Firefly จะช่วยให้ลูกค้าเร่งขั้นตอนการทำงานครีเอทีฟ และประหยัดเวลาได้หลายชั่วโมง และขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มความสะดวกในการคิดค้นไอเดีย การทดลอง และการสร้างชิ้นงานอย่างรวดเร็ว”

การบูรณาการ Firefly เข้ากับ Illustrator โดยตรง แสดงให้เห็นถึงความพยายามของอะโดบีที่จะยกระดับเวิร์กโฟลว์งานครีเอทีฟทั้งหมด ด้วยการเพิ่มความรวดเร็ว ความแม่นยำ และประสิทธิภาพ Firefly คือบริการ AI ที่โดดเด่นที่สุดในตลาด ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพระดับมืออาชีพ และสามารถใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้อย่างปลอดภัยเข้ากับเวิร์กโฟลว์ของครีเอเตอร์โดยตรง  อะโดบีวางแผนที่จะช่วยให้องค์กรและแบรนด์ต่าง ๆ สามารถปรับแต่ง Firefly โดยใช้แอสเสทของแบรนด์เอง และสร้างคอนเทนต์ตามแนวทางและสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ โดยใช้ API เพื่อเพิ่มการทำงานแบบอัตโนมัติ  นอกจากนี้ องค์กรต่าง ๆ จะได้รับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาจากอะโดบี สำหรับคอนเทนต์ที่สร้างด้วยเวิร์กโฟลว์ที่ขับเคลื่อนด้วย Firefly ซึ่งจะช่วยให้สามารถนำไปใช้งานทั่วทั้งองค์กรได้อย่างมั่นใจ

Geneative Recolor สะท้อนตัวตนและวิสัยทัศน์ของคุณในรูปแบบเวกเตอร์

Generative Recolor ที่เปิดตัวล่าสุดนี้ จะช่วยปรับปรุงการทำงานของ Illustrator ด้วยความสามารถที่น่าทึ่งของ Generative AI  ฟีเจอร์ใหม่นี้ออกแบบมาเพื่อตรวจจับจุดสำคัญของภาพ เช่น “เที่ยงวันในทะเลทราย” หรือ “เที่ยงคืนในป่า” แล้วแปลเป็นธีมแบบกำหนดเอง เพื่อเปลี่ยนสีของอาร์ตเวิร์กแบบเวกเตอร์  เทคโนโลยีรุ่นบุกเบิกนี้จะลงสีให้กับภาพกราฟิกแบบเวกเตอร์ที่ซับซ้อนแบบอัติโนมัติ โดยอ้างอิงจากข้อความคำสั่งง่าย ๆ ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาได้อย่างมาก เพราะศิลปินไม่จำเป็นต้องทำการแก้ไขวัตถุแต่ละชิ้นด้วยตนเอง

Generative Recolor ช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้กับกระบวนการด้านครีเอทีฟอย่างมาก และเหมาะสำหรับทุกสิ่งตั้งแต่โลโก้ของแบรนด์ไปจนถึงกราฟิกด้านการตลาดและโฆษณา ภาพวาดและภาพประกอบดิจิทัล หรือการนำเสนอแรงบันดาลใจและการสร้างอารมณ์  นักออกแบบสามารถทดสอบดีไซน์แพ็กเกจจิ้งของสินค้า ซึ่งครอบคลุมตัวเลือกสีต่าง ๆ ดูโฆษณาในรูปแบบที่แตกต่างตามฤดูกาลหรือเทศกาล และสร้างภาพประกอบโดยใช้ชุดสีที่หลากหลายนับไม่ถ้วน

Generative Recolor นำเสนอโอกาสที่น่าตื่นเต้นมากมายสำหรับนักออกแบบ เช่น:

  • ตรวจจับสีได้เร็วขึ้น: ประหยัดเวลาด้วยการเปลี่ยนสีกราฟิกอย่างรวดเร็วและชาญฉลาด โดยใช้ข้อความคำสั่งง่าย ๆ
  • ค้นหาและเปลี่ยนแปลงสี: ทดลองอย่างง่ายดายโดยใช้สี จานสี และธีมต่าง ๆ เพื่อให้ได้รูปลักษณ์และความรู้สึกที่เหมาะสมสำหรับงานอาร์ตเวิร์กของคุณ
  • สร้างชุดสีที่หลากหลาย: สร้างสีสันต่าง ๆ ที่หลากหลายจากไฟล์อาร์ตเวิร์กไฟล์เดียว สำหรับใช้บนโซเชียลมีเดีย สื่อสิ่งพิมพ์ และเว็บ

นวัตกรรมใหม่อื่นๆ ของ Adobe Illustrator

Illustrator รุ่นล่าสุดยังประกอบด้วยฟีเจอร์และนวัตกรรมใหม่ ๆ อีกมากมาย เช่น Retype (รุ่นเบต้า), ฟังก์ชั่น Layers ใหม่ ๆ และการปรับปรุง Image Trace ซึ่งจะช่วยให้สามารถทำการสร้างสรรค์ได้รวดเร็วและง่ายดายกว่าที่เคย  อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่

ความพร้อมใช้งาน

Generative Recolor และ Retype พร้อมใช้งานแล้ววันนี้ ในรูปแบบฟีเจอร์เบต้าใน Illustrator พร้อมการปรับปรุง Layers และ Image Trace

เกี่ยวกับอะโดบี

อะโดบีกำลังเปลี่ยนแปลงโลกผ่านประสบการณ์ดิจิทัล สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดเยี่ยมชม www.adobe.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ครั้งแรก! กับการรวมพลัง 7 พันธมิตร เปิดตัว PRO-Thailand Network

กรุงเทพฯ 28 มิถุนายน 2566 : 7 บริษัทพันธมิตรชั้นนำในประเทศไทย ประกาศเปิดตัว “เครือข่ายองค์กรความร่วมมือจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน” (Packaging Recovery Organization Thailand Network) หรือ “PRO-Thailand Network” อย่างเป็นทางการ มุ่งมั่นขับเคลื่อนการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน ภายใต้หลักการขยายความรับผิดชอบไปยังผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility [“EPR”]) เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อผลักดันให้เกิดการเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วของภาคประชาชน เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลหรือนำไปใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด เป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และผลักดันให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศไทย

ทั้งนี้ สมาชิกของ “เครือข่ายองค์กรความร่วมมือจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน” หรือ PRO-Thailand Network ประกอบด้วย เจ้าของตราสินค้า ผู้ผลิตสินค้า รวมถึงผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ รวมทั้งสิ้น 7 บริษัท ได้แก่ บริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด, บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด, บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด และบริษัท เอส ไอ จี คอมบิบล็อค จำกัด ซึ่งต่างให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและมีนโยบายด้านความยั่งยืนที่ชัดเจนในระดับโลก รวมถึงตระหนักร่วมกันถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วของภาคประชาชน ซึ่งไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกวิธี และกลายเป็นขยะในประเทศไทย ดังนั้น จึงตัดสินใจมารวมตัวกันโดยสมัครใจตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน โดยยึดหลักการ EPR เป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินงาน มุ่งเน้นการจัดการตลอดช่วงชีวิตของบรรจุภัณฑ์ ตั้งแต่ต้นทางคือการออกแบบและเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงปลายทางคือการเก็บกลับ การรีไซเคิล หรือการแปรสภาพบรรจุภัณฑ์ที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น ส่งเสริมให้เกิดระบบเศรษฐกิจแบบหมุนเวียน (Circular Economy) ในประเทศไทย ในเบื้องต้น PRO-Thailand Network ได้เริ่มต้นทดลองโมเดลการจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว 3 ประเภทคือ ขวดพลาสติก PET (Polyethylene Terephthalate) กล่องเครื่องดื่ม (อาทิ กล่องนม น้ำผลไม้ กล่องน้ำกะทิ) และถุงบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน (อาทิ ซองขนม กาแฟ) ภายใต้การทำงานกับมูลนิธิการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน หรือมูลนิธิ 3R

คณะผู้บริหารของ PRO-Thailand Network กล่าวว่า “แนวทางการดำเนินงานของ PRO-Thailand Network คือส่งเสริมการเก็บกลับและรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วของภาคประชาชน เพื่อนำกลับมารีไซเคิล หรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ คือ 1. การสร้างความร่วมมือ ด้วยการทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดห่วงโซ่การจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว และการทำงานร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆ ในระบบการจัดการขยะ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพในการลดขยะบรรจุภัณฑ์และเพิ่มการรีไซเคิลสู่การนำกลับมาใช้ใหม่ 2. การอำนวยความสะดวก ด้วยการพัฒนาปรับปรุงระบบการรีไซเคิลที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยทำงานอย่างใกล้ชิดกับกลุ่มซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า องค์กร Non-Governmental Organization (NGO) องค์กรธุรกิจและการค้า สื่อมวลชน ประชาชน และหน่วยงานรัฐบาล และ 3. การสร้างโมเดลต้นแบบ ด้วยโครงการนำร่องที่มีการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการเก็บกลับ การรีไซเคิล และ/หรือการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ก่อนจะขยายผลเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพในระดับประเทศ

นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวเสริม “ทุกวันนี้ กรมควบคุมมลพิษต้องการขับเคลื่อนให้การจัดการขยะของประเทศมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลดการเกิดขยะที่แหล่งกำเนิด การเพิ่มศักยภาพในการจัดการขยะเพื่อหมุนเวียนทรัพยากรตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงการส่งเสริมการบริหารจัดการขยะอย่างถูกวิธี ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน การทำงานของ PRO-Thailand Network จึงเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือที่จะมีส่วนสำคัญในการช่วยลดการเกิดขยะจากบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้วตั้งแต่ต้นทาง โดยเน้นการเก็บรวบรวมบรรจุภัณฑ์กลับไปรีไซเคิลหรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ซึ่งการทำงานในลักษณะนี้ก็มีให้เห็นในหลายประเทศทั่วโลก และในส่วนของกรมควบคุมมลพิษเห็นว่าการจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วเป็นสิ่งที่ภาคเอกชนไม่สามารถลงมือทำให้ประสบความสำเร็จได้โดยปราศจากแรงสนับสนุนด้านกฎหมายจากภาครัฐ ดังนั้น กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงได้มีการจัดทำกฎหมายการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนของประเทศไทย ภายใต้หลักการ EPR ซึ่งจะกำหนดให้ผู้ที่มีส่วนได้เสียในห่วงโซ่ของบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและเป็นธรรม อันจะนำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศไทยอย่างแท้จริง และ PRO-Thailand Network ก็เป็นหนึ่งในคณะทำงานที่ขับเคลื่อนเรื่องนี้ร่วมกันมาโดยตลอด”

นับตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน PRO-Thailand Network ดำเนินโครงการนำร่อง ผ่านมูลนิธิ 3R เพื่อเรียนรู้ ปรับปรุง และพัฒนา PRO Model ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย ดร. วิฑูรย์ สิมะโชคดี ประธานมูลนิธิ 3R อธิบายเพิ่มเติมว่า “มูลนิธิ 3R ในฐานะองค์กรที่มีภารกิจหลักในการผลักดันให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด 3R (Reduce-Reuse-Recycle) มาอย่างยาวนาน เราตระหนักถึงความสำคัญของการนำหลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต หรือ EPR มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วอย่างเป็นระบบและครบวงจร ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบบรรจุภัณฑ์ การผลิต นำเข้า จำหน่าย การบริโภค และการจัดการหลังการบริโภค โดยให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และในวันนี้ เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง ที่ PRO-Thailand Network ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ภายใต้ความร่วมมือกับ มูลนิธิ 3R เพื่อส่งเสริมการทำงานของทุกภาคส่วนในห่วงโซ่บรรจุภัณฑ์ ให้สอดคล้องกับนโยบายการขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยระบบโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของภาครัฐ และช่วยลดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม”

“การเปิดตัววันนี้นับเป็นก้าวสำคัญซึ่งเราทั้ง 7 บริษัทเชื่อมั่นว่า การขยายความร่วมมือในการรับผิดชอบบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วไปยังบริษัทผู้เป็นเจ้าของตราสินค้า ผู้ผลิตสินค้า รวมถึงผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ โดยทำงานอย่างใกล้ชิดกับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ นักวิชาการ และภาคประชาสังคม ตลอดจนกลุ่มผู้บริโภคที่เราอยากเชิญชวนให้มีการแยกบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว ออกจากขยะเศษอาหาร จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบริบทใหม่ของการจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วของประเทศไทยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น หน่วยงานที่สนใจเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ PRO-Thailand Network สามารถติดต่อผ่าน Facebook: PRO-Thailand Network https://web.facebook.com/prothailandnetwork” คณะผู้บริหาร PRO-Thailand Network กล่าวทิ้งท้าย


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์คาดการณ์มูลค่าใช้จ่ายไอทีของบริการธนาคารและการลงทุนทั่วโลก ปี 2566 สูงถึง 652 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

กรุงเทพฯ ประเทศไทย วันที่ 27 มิถุนายน 2566 — การ์ทเนอร์ อิงค์ คาดการณ์มูลค่าการใช้จ่ายด้านไอทีของบริการธนาคารและการลงทุนทั่วโลกจะสูงถึง 652.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566 เพิ่มขึ้น 8.1% จากปี 2565 โดยในหมวดซอฟต์แวร์จะมีอัตราการเติบโตมากที่สุด เพิ่มขึ้น 13.5% ในปีนี้

เดบบี้ บัคแลนด์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันเปลี่ยนบริบทการลงทุนในเทคโนโลยีของภาคการธนาคารและการลงทุนในปีนี้ แทนที่จะปรับลดงบประมาณไอที องค์กรกำลังใช้จ่ายมากขึ้นกับประเภทเทคโนโลยีที่สร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น การใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์ที่กำลังเปลี่ยนจากการพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้เองไปเป็นการซื้อโซลูชันที่สร้างมูลค่าจากการลงทุนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น”

การลงทุนในคลาวด์ยังคงสำคัญเหมือนเดิม

จากการสำรวจ CIO and Technology Executive Survey ประจำปี 2566 ของการ์ทเนอร์ พบว่าในปี 2566 CIO ในกลุ่มบริการธนาคารและการลงทุนจะใช้เงินก้อนใหม่หรือเพิ่มการลงทุนจำนวนมากที่สุดไปกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ ข้อมูลและการวิเคราะห์ เทคโนโลยีที่ใช้ร่วมกัน และคลาวด์

ผู้บริหารไอทีมากกว่าครึ่งวางแผนเพิ่มการลงทุนในคลาวด์และลดการใช้จ่ายด้านไอทีในดาต้าเซ็นเตอร์ของตนเอง สะท้อนให้เห็นจากยอดการเติบโตที่ช้าลงของการใช้จ่ายด้านระบบดาต้าเซ็นเตอร์ลดลงจาก 13.2% ในปี 2565 เป็น 5.7% ในปี 2566 (ดูตารางที่ 1) โดยธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ กำลังยกเลิกการลงทุนไปกับสินทรัพย์มีตัวตน (Tangible Assets) และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรขององค์กร (CAPEX) เพื่อหันมาใช้บริการและลงทุนกับสินทรัพย์ในรูปแบบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ (OPEX) เพื่อตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าและตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป 

ตารางที่ 1. คาดการณ์มูลค่าใช้จ่ายไอทีทั่วโลกของบริการธนาคารและการลงทุน (หน่วย: ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

หมวดหมู่การลงทุนด้านไอที มูลค่าการใช้จ่าย ปี 2565 มูลค่าการเติบโต ปี 2565 (%) มูลค่าการใช้จ่าย ปี 2566 มูลค่าการเติบโต ปี 2566 (%)
Data Center Systems 34,467 13.2 36,433 5.7
Devices 37,961 -9.9 37,149 -2.1
Internal Services 52,933 -2.2 55,156 4.2
IT Services 246,698 5.2 269,735 9.3
Software 153,268 11.2 174,014 13.5
Telecom Services 77,736 -2.9 79,599 2.4
รวม 603,063 4.1 652,086 8.1

ที่มา: การ์ทเนอร์ (มิถุนายน 2566) 

พีท เรดชอว์ รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ ระบุว่า “เพื่อรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจในปัจจุบัน CIO ขององค์กรที่ให้บริการธนาคารและการลงทุนกำลังจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายอย่างรอบคอบมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตที่ยืดหยุ่นและยั่งยืน เช่น การมอบประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้น (CX) และการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขอบเขตพื้นที่ใหม่ ๆ กลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ และสายงานธุรกิจใหม่ ๆ ที่ซึ่งเปลี่ยนไปจากเมื่อปีก่อนที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและเคยเป็นเป้าหมายหลักของ CEO ของธุรกิจการเงินการธนาคาร”

บริการไอทียังเป็นกลุ่มที่มียอดการใช้จ่ายมากที่สุด

เนื่องจากการใช้บริการให้คำปรึกษาและการบริการ Infrastructure As A Service (IaaS) ที่เพิ่มขึ้น บริการไอทีจะเป็นกลุ่มที่มียอดการใช้จ่ายสูงที่สุด โดยคาดว่าจะสูงถึงเกือบ 270 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566 เพิ่มขึ้น 9.3% จากปี 2565 สะท้อนถึงบทบาทที่สำคัญของผู้ให้บริการด้านไอทีที่มากขึ้นและมีส่วนช่วยเหลือองค์กรในกลุ่มบริการธนาคารและการลงทุนเพื่อรับมือกับโอกาสและความท้าทายใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น

“ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทำให้องค์กรต่าง ๆ ต้องแบ่งสัญญาระยะยาวออกเป็นโปรเจกต์สั้น ๆ หลาย ๆ โปรเจกต์” บัคแลนด์ กล่าวเพิ่ม “นอกจากนั้นยังลังเลที่จะเซ็นสัญญาใหม่ ยึดอยู่กับการริเริ่มระยะยาว หรือรับพันธมิตรด้านเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งเป็นการผลักดันให้มีการใช้บริการที่ปรึกษาด้านไอทีเพิ่มขึ้น”

ปัญหา Talent Shortage ก่อให้เกิดต้นทุนใช้จ่ายภายในองค์กร

การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะความสามารถทั่วโลกส่งผลกระทบต่อองค์กรในกลุ่มบริการธนาคารและการลงทุน โดยทำให้มูลค่าการใช้จ่ายบริการภายในเพิ่มขึ้น 4.2% ในปี 2566 เนื่องจากมีต้นทุนการจ้างงานและการรักษาทีมงานที่มีทักษะความสามารถเพิ่มขึ้น

“แม้เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีการปลดพนักงานของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หลายแห่งแต่บุคลากรที่มีทักษะความสามารถระดับสูงกลับไม่ได้มองว่าธนาคารเป็นจุดหมายปลายทางที่อยากมาทำงานด้วย หรือมอบรายได้ที่คุ้มค่า หรือน่าตื่นเต้นที่สุดที่ได้ทำงาน ดังนั้นองค์กรจำเป็นต้องมีโซลูชันที่เน้นนวัตกรรมเพื่อคัดสรรบุคลากรมากขึ้น อาทิ การลดข้อกำหนดของการศึกษาในมหาวิทยาลัย และเพิ่มสิทธิประโยชน์อื่นๆ มากขึ้น เช่น การฝึกอบรมเพื่อสร้างทักษะใหม่ ๆ ตลอดชีวิต การสร้างทีมไฮบริด การเพิ่มวิธีการที่เน้นความคล่องตัว และการร่วมมือด้านฟินเทค” เรดชอว์ กล่าวเพิ่ม 

ติดตามข่าวสารและข้อมูลอัปเดตจาก Gartner for High Tech ได้ทาง Twitter และ LinkedIn หรือเยี่ยมชม IT Newsroom สำหรับข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. จัดพิธีมอบยานใต้น้ำไร้คนขับแก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2566 .ดร.สมฤกษ์ จันทรอัมพร รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เป็นประธานพิธีส่งมอบยานใต้น้ำไร้คนขับเพื่อตรวจสอบแผงผลิตไฟฟ้าลอยน้ำให้แก่ คุณประเวทย์ เกิดวัดท่า ผู้อำนวยการฝายบำรุงรักษาเครื่องจักรกล การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้รับมอบ โดยมี รศ.ดร.รามิล เกศวรกุล หัวหน้าโครงการวิจัย กล่าวรายงาน ณ ห้องประชุมวิจิตรวาที คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจพ.

ทั้งนี้โครงการวิจัยพัฒนายานได้น้ำไร้คนขับมีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบ และสร้างยานใต้น้ำที่สามารถตรวจสอบสภาพทุ่นลอยน้ำและทุ่นใต้น้ำของแผงผลิตไฟฟ้าได้ อีกทั้งประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการประมวลผลภาพประเภทตัวกรองสัญญาณเพื่อใช้ในการตรวจสอบ  และประเมินความเสียหายเบื้องต้น 

การดำเนินโครงการวิจัย การออกแบบและสร้างพลศาสตร์ของไหลและสร้างระบบขับเคลื่อนของยาน ให้ตัวยานทรงตัวได้ขณะลอยอยู่ในน้ำ  โดยมีชุดขับดันทั้งหมด 12 ชุด ทำงานอย่างอิสระ โดยมิติของยานใต้น้ำไร้คนขับ มีตัวถังกว้าง 400 มิลลิเมตร ยาว 700 มิลลิเมตร สูง 300 มิลลิเมตร  ระบบถ่ายภาพและบันทึกวีดีโอ การประมวลผล ติดตั้งด้านหน้าหุ่นยนต์ โดยกล้องมีความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมบันทึกวีดีโอระดับ RGB และมีไฟช่วยการมองเห็น  ยานสามารถสำรวจในน้ำความลึกไม่น้อยกว่า 25 เมตร ระยะทางไม่น้อยกว่า 250 เมตร โดยติดตั้งระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (USBL-Seatrac X150 และ X010) ระบบตรวจจับระยะด้วยเสียง (Multibeam sensor – Blueprint Subsea รุ่น Oculus M750D) รวมทั้งระบบตรวจจับความเร็วใต้น้ำ

(DVL-A50) การขับเคลื่อนระยไกล ถ่ายทอดภาพการปฏิบัติงานใต้น้ำแบบใช้สายสัญญาณโดยระบบไฟส่องสว่างใต้น้ำ ซึ่งได้ทดสอบระบบการทำงานแบบไร้สายสัญญาณใต้ของยานใต้น้ำ ณ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบทุ่นลอยน้ำ เขื่อนสิรินธร


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มหาวิทยาลัยขอนแก่น จับมือ บริษัท เอเอ็ม หุ่นซีพีอาร์ จำกัด เปิดตัวหุ่น CPRobot: หุ่น CPR อัจฉริยะ สำหรับเรียนรู้และฝึกฝนทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพ

มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดย ฝ่ายนวัตกรรมและวิสาหกิจ พร้อมด้วย วิทยาลัยการคอมพิวเตอร์ ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร่วมกับ บริษัทเอเอ็ม หุ่นซีพีอาร์ จำกัด ลงนามการถ่ายทอดทรัพย์สินทางปัญญามหาวิทยาลัยขอนแก่น “นวัตกรรมเพื่อชีวิต หุ่น CPR ยางพาราอัจฉริยะ ” CPRobot (ซี-โปร-บ็อท) : หุ่น CPR อัจฉริยะสำหรับเรียนรู้และ ฝึกฝนทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพ โดยมี รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น นายอำนาจ เกิดอนันต์ กรรมการบริษัทเอเอ็ม หุ่นซีพีอาร์ จำกัด รศ.สิรภัทร เชี่ยวชาญวัฒนา คณบดีวิทยาลัยการคอมพิวเตอร์ รศ.นพ.ภัทรพงษ์ มกรเวช ผู้อำนวยการศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผศ.สายยัญ สายยศ หัวหน้าโครงการฯ ณ ห้องประชุมสารสิน ชั้น 2 อาคารสิริคุณากร มหาวิทยาลัยขอนแก่น

รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า CPRobot (ซี-โปร-บ็อท) : หุ่น CPR อัจฉริยะ นับเป็นผลงานอีกชิ้นของมหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อช่วยให้ทุกคนสามารถช่วยเหลือผู้มีภาวะหัวใจหยุดเต้นมีชีวิตรอดได้และไม่เกิดภาวะสมองตาย ผู้ที่จะช่วยชีวิตต้องมีความรู้เรื่องของ CPR เพื่อให้ผู้ป่วย มีชีวิตรอด ซึ่งนวัตกรรมเพื่อชีวิต หุ่น CPR ยางพาราอัจฉริยะ CPRobot (ซี-โปร-บ็อท) : หุ่น CPR อัจฉริยะสำหรับเรียนรู้และฝึกฝนทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพนี้ ถือเป็นความสำเร็จในการพัฒนานวัตกรรมด้าน Health AI ที่มีความสำคัญต่อประเทศไทย ซึ่งเกิดจากความร่วมมือจากหลายฝ่าย เช่น การนำวัสดุยางพาราทำเป็นหุ่น การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่สามารถประมวลผลได้ เป็นผลงานของวิทยาลัยการคอมพิวเตอร์ และร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านหัวใจ คือศูนย์หัวใจสิริกิติ์ และภาคเอกชนที่จะนำอุปกรณ์นี้ไปต่อยอดในการผลิต เพื่อช่วยให้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา บุคลากร และประชาชนทั่วไป สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการช่วยเหลือในสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างดี รวมถึงสามารถผลักดันนวัตกรรมนี้เพื่อช่วยสังคม การต่อยอดเชิงนโยบายสุขภาพต่อไป

ทางด้าน รศ.สิรภัทร เชี่ยวชาญวัฒนา คณบดีวิทยาลัยการคอมพิวเตอร์ มข. กล่าวว่า “เป้าหมายของการสร้างหุ่น CPRobot คือ ทำให้บุคคลทั่วไป สามารถเรียนรู้และฝึกฝนทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพที่ใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ฝึกสอน โดยสามารถวางหุ่น CPRobot (ซี-โปร-บ็อท) ในที่สาธารณะสามารถเข้าถึงได้ง่าย เช่น โรงเรียน อบต. สถานีขนส่ง เป็นต้น ทำให้ผู้คนสามารถเรียนรู้ และฝึกทักษะของตนเองจนเกิดความมั่นใจที่จะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ อีกทั้งยังสามารถนำไปเป็นเครื่องมือฝึกสอนสำหรับผู้เรียนกลุ่มใหญ่ เช่น โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย ศูนย์ฝึกทหาร เทศบาล เป็นต้น

ด้านนักวิจัย ผศ.สายยัญ สายยศ หัวหน้าโครงการฯ กล่าวว่า“วิทยาลัยการคอมพิวเตอร์ ได้พัฒนาร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์ของศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในการให้องค์ความรู้ด้าน CPR ซึ่งหุ่น CPRobot (ซี-โปร-บ็อท) ถูกคิดค้นและพัฒนาด้วยแนวความคิดที่ว่า ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีผสานกับการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ จึงเลือกใช้ยางพาราเป็นหุ่นต้นแบบ โดยได้รับความอนุเคราะห์จากศูนย์การเรียนรู้จากยางพาราจังหวัดของแก่น สำหรับการทำโมเดลหุ่น เพื่อทดสอบรุ่นแรก หุ่น CPRobot (ซี-โปร-บ็อท) ถูกคิดค้นพัฒนาทั้งทางด้านซอฟต์แวร์ และคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ ซึ่งประมวลผลใน Single-board Computer ขนาดเล็ก เพื่อความสามารถในการประมวลที่ชาญฉลาด และรองรับความต้องการในอนาคต และทำงานร่วมกับอุปกรณ์ตรวจจับแรงกดที่ทางทีมพัฒนาขึ้น นอกจากนี้ ทางด้านซอฟต์แวร์ มีการคิดค้นอัลกอริทึม กระบวนการวิเคราะห์สัญญาณ (Signal Processing) และการเรียนรู้ของเครื่อง เพื่อความสามารถในการโต้ตอบ และตอบสนองกับผู้ใช้งานได้อย่างอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ CPRobot (ซี-โปร-บ็อท) มีขีดความสามารถในการรองรับการประมวลผลที่หลากหลาย ตามความต้องการของตลาด ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตผลงานชิ้นนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าหากไม่ได้รับความสนับสนุน จากคณาจารย์ จากวิทยาลัยการคอมพิวเตอร์ และองค์ความรู้ที่สำคัญจากบุคลากรทางการแพทย์

ส่วน รศ.นพ.ภัทรพงษ์ มกรเวช ผู้อำนวยการศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า การช่วยฟื้นคืนชีพหรือ CPR ไม่ใช่เป็นหน้าที่เฉพาะของบุคลากรทางการแพทย์ การช่วยฟื้นคืนชีพที่รวดเร็วในขณะที่เกิดหัวใจหยุดเต้นทันทีในที่เกิดเหตุ มีความสำคัญต่อผู้ป่วยอย่างยิ่ง เพราะสมองสามารถทนการขาดออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้เพียง 4 นาที การที่จะทำให้มีออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ทันในช่วงเวลานี้ ถือเป็นความสำคัญอย่างยิ่งยวด ดังนั้นการสอนให้ประชาชนสามารถทำ CPR ได้ ถือเป็นภารกิจสำคัญ ที่จะสร้างสังคมแห่งความปลอดภัยขึ้นมาได้ การสร้างนวัตกรรมหุ่น CPRobot (ซี-โปร-บ็อท) : หุ่น CPR อัจฉริยะสำหรับเรียนรู้และฝึกฝนทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพ จะทำให้เกิดการเรียน การฝึกฝนในการทำ CPR ให้แพร่หลาย ก่อให้เกิดสังคมที่มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น หวังว่านวัตรกรรมนี้จะนำไปสู่การที่ประชาชนสามารถที่จะ CPR ได้อย่างถูกต้อง เพื่อที่จะเกิดสังคมที่ปลอดภัยต่อไป ทั้งนี้ ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และคณะแพทยศาสตร์ จะต่อยอดนำไปฝึกอบรม การทำ CPR ให้แก่นักศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น และโรงเรียนรอบข้าง ในจังหวัดขอนแก่น และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

และนายอำนาจ เกิดอนันต์ กรรมการบริษัทเอเอ็ม หุ่นซีพีอาร์ จำกัด กล่าวในท้ายที่สุดว่า บริษัท เอเอ็ม หุ่นกู้ชีพซีพีอาร์ นำนวัตกรรมนี้ มาพัฒนาและต่อยอดและสื่อสารให้กับประชาชน และหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนได้รับรู้ว่า ปัจจุบันได้มีนวัตกรรมอันล้ำเลิศของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ออกสู่สายตาและการรับรู้ของประชาชนว่า พวกท่านเหล่านั้น สามารถเรียนรู้วิธีปฏิบัติในการช่วยเหลือและกู้ชีพคนได้อย่างถูกต้อง ในการทำพีซีอาร์ เพื่อช่วยชีวิตคน บริษัท หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้ส่งต่อผลงานวิจัยนี้ ผ่านผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่ากับชีวิตของประชาชนคนไทย และต่างประเทศ ขอขอบคุณ ทีมผู้บริหารและทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ช่วยสนับสนุนด้วยดีตลอดมา ซึ่งหลังจากนี้คงจะได้ร่วมมือกัน เพื่อพัฒนานวัตกรรม หุ้นกู้ชีพซีพีอาร์ ให้ล้ำหน้าไปกว่าเดิม และผลักดันออกสู่ตลาด เพื่อที่ประชาชนจะได้รับรู้ว่า นวัตกรรมของคนไทย และมหาวิทยาลัยขอนแก่นนั้น ไม่แพ้ชาติใดในโลก”

ถ่ายภาพ : ณัฐวุฒิ  จารุวงศ์
ข่าว :  เบญจมาภรณ์  มามุข


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จัดทัพเบิกทางสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ในงาน Innovation Summit Bangkok 2023

การปฏิรูปอุตสาหกรรมให้เป็นดิจิทัล จำเป็นต้องมีการรวมเทคโนโลยี IT และ OT เข้าด้วยกัน และรวมเข้ากับระบบซอฟต์แวร์การจัดการพลังงาน เพื่อให้สามารถวัดและควบคุมโหลดไฟฟ้าที่ใช้พลังงาน สู่ควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 1 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง) ขอบเขตที่ 2 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน ควบคู่กับการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

งาน Innovation Summit Bangkok 2023 เป็นโอกาสสำหรับภาคอุตสาหกรรม ที่จะปลดล็อกศักยภาพด้านพลังงาน และระบบออโตเมชั่น อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มพลังให้กับกระบวนการทางอุตสาหกรรม ทั้งการยกระดับอาคารสำหรับอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ลดการสูญเสียพลังงาน พร้อมพบกับพันธมิตรกับผู้เชี่ยวชาญด้านระบบอัตโนมัติดิจิทัลและการจัดการพลังงานต่างๆ และพบกับเทคโนโลยีที่ช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลเพื่อไปสู่ความยั่งยืนได้อย่างง่ายดาย เทคโนโลยีไฮไลต์ได้แก่

  • Lexium™ MC12 multi carrier ระบบการลำเลียงในสายการผลิต ที่มุ่งแก้ pain point สำหรับอุตสาหกรรมการผลิต มีจุดเด่นด้านการติดตั้งและการออกแบบได้อย่างรวดเร็ว มาพร้อมซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้สามารถออกแบบและจำลองกระบวนการได้ล่วงหน้า ช่วยให้สามารถออกแบบสายการผลิตได้หลากหลายตามความต้องการ พร้อมทั้งสามารถประเมินประสิทธิภาพได้ก่อนติดตั้งจริง ผสานพลังซอฟต์แวร์จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค พร้อมกันนี้ Lexium™ MC12 multi carrier ได้รับการออกแบบเป็นแบบโมดูล ทำให้สามารถติดตั้งง่าย ลดต้นทุนการติดตั้งและการดูแลรักษา พร้อมมอบความสามารถครบครันที่ตอบโจทย์การทำธุรกิจในยุคอุตสาหกรรม 4.0 สามารถผสานรวมระหว่าง OT และ IT ด้วย EcoStruxure ซึ่งช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถมองเห็นประสิทธิภาพทั้งระบบและวิเคราะห์การทำงาน เพื่อนำไปต่อยอดทางธุรกิจได้ต่อไปอีกด้วย
  • CMR (Collaborative Mobile Robot) หุ่นยนต์อัจฉริยะสำหรับอุตสาหกรรม Health Care ที่ให้ความสามารถในการจดจำภาพสภาพแวดล้อมในการทำงาน ผสานการตั้งโปรแกรมในการทำงานได้อย่างแม่นยำ นับเป็นผู้ช่วยมือฉมังในการทำงานซ้ำๆ จึงช่วยลดโหลดและลดเวลาทำงานของเจ้าหน้าที่
  • Smart Water เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยี ในการบริหารจัดการน้ำ เก็บข้อมูลด้วยเซ็นเซอร์ ทั้งระดับน้ำ อุณหภูมิ การไหล ฯลฯ ช่วยให้ได้ข้อมูลเชิงลึกสำหรับวิเคราะห์ ผ่านสถาปัตยกรรม EcoStruxure ทั้งช่วยในเรื่องการควบคุมแบบอัตโนมัติ พร้อมสามารถรองรับการทำงานร่วมกับระบบพยากรณ์อากาศได้ สามารถมอนิเตอร์ วิเคราะห์ ควบคุม ได้ตั้งแต่ระดับโรงงาน เมือง และประเทศ
  • โซลูชั่นสำหรับการผลิตสินค้าอุปโภค/ บริโภค ซึ่งเป็น end to end โซลูชั่น จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค ด้วยขุมพลังจาก EcoStruxure ผสานศักยภาพระหว่าง IT และ OT ที่เป็นระบบเปิด ทำให้ง่ายในการติดตั้ง หรือประยุกต์ใช้ร่วมกับระบบเดิมที่มีอยู่แล้ว ใช้งานง่าย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุนด้านพลังงาน ควบคู่กับการสร้างความยั่งยืน
  • EcoStruxure Automation Expert เทคโนโลยี Software Base PLC สามารถติดตั้งผ่านคอมพิวเตอร์ได้เลย สามารถเชื่อมต่อ ควบรวมอำนาจการควบคุม ทั้งจากผลิตภัณฑ์ หรือเครื่องจักร ที่มาจากหลากหลายแบรนด์ทั่วโลกได้อย่างเป็นหนึ่งเดียว โดยไม่ต้องมีการติดตั้งซอฟต์แวร์หลากหลายที่ทำให้เกิดซ้ำซ้อน เหมาะกับอุตสาหกรรมทุกประเภท ลดความยุ่งยาก และกระบวนการทำงาน ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพในด้านเวลาอีกด้วย เรียกได้ว่าถ้าโรงงานมีเป้าหมายด้านการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล แต่ไม่อยากลงทุนในการเปลี่ยนระบบเดิมมากมาย EcoStruxure Automation Expert คือคำตอบแรกที่ดีที่สุด

ร่วมสัมผัสประสบการณ์ทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล ไปสู่โรงงานที่ยั่งยืน ในแบบครบวงจร ได้ในงาน Innovation Summit Bangkok 2023 ใน วันที่ 5-6 กรกฎาคม 2566 ณ Grand Hall ชั้น 2, ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

ลงทะเบียนได้แล้ววันนี้


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

รายงาน Ericsson Mobility ฉบับล่าสุด เผย 5G ทั่วโลกยังเติบโตต่อเนื่อง

ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารทั่วโลกยังเดินหน้าลงทุนกับ 5G อย่างต่อเนื่อง ตามรายงาน Mobility Report ของ Ericsson (NASDAQ: ERIC) ฉบับเดือนมิถุนายน 2566 แม้จะมีความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์และการชะลอตัวของเศรษฐกิจมหภาคในบางตลาด

ปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตต่อสมาร์ทโฟนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียยังเติบโตอย่างแข็งแกร่งในภูมิภาคนี้ และคาดว่าจะสูงถึง 54 กิ๊กกะไบต์ต่อเดือนในปี 2571 หรือเติบโต 24% ต่อปี โดยยอดการใช้ดาต้าเน็ตมือถือทั้งหมดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 13 เอกซะไบต์ต่อเดือนในปี 2565 เป็น 55 เอกซะไบต์ต่อเดือนในปี 2571 โดยเติบโต 27% ต่อปี

ภายในสิ้นปี 2571 คาดว่ายอดผู้ใช้งาน 5G จะเพิ่มเป็น 430 ล้านราย คิดเป็น 34% ของยอดผู้ใช้งานบริการมือถือทั้งหมดของภูมิภาคฯ ในช่วงเวลาเดียวกัน ในแง่ของความครอบคลุม 5G ภายในสิ้นปี 2565 พบว่า:

  • 5G พร้อมให้บริการแก่ประชากรประมาณ 50% ในมาเลเซีย และ 66% ในฟิลิปปินส์
  • กว่า 80% ของประชากรในออสเตรเลียและไทย สามารถเข้าถึงบริการ 5G
  • เมื่อกลางปี 2565 ที่ผ่านมา 5G ในสิงคโปร์ครอบคลุมมากกว่า 95%

จำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนในภูมิภาคนี้คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 3% ต่อปี และภายในปี 2571 จะเพิ่มไปถึง 1.12 พันล้านราย จาก 930 ล้านราย ณ สิ้นปี 2565 ขณะที่ผู้ใช้บริการ 4G คาดว่าจะยังมีการเติบโตที่ 770 ล้านราย ภายในปี 2571 เพิ่มจาก 640 ล้านราย ณ สิ้นปี 2565 หรือเติบโตเฉลี่ย 3% ต่อปีเช่นกัน

อินเดียเป็นตลาด 5G สำคัญที่กำลังปรับใช้งานเครือข่ายขนาดใหญ่มากมายภายใต้กรอบนโยบาย Digital India หลังเปิดให้บริการ 5G ไปเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2565 เมื่อสิ้นปี 2565 อินเดียมียอดผู้ใช้บริการ 5G ประมาณ 10 ล้านราย และคาดว่าภายในสิ้นปี 2571 ยอดการใช้บริการ 5G จะเพิ่มเป็น 57% ของยอดผู้ใช้บริการมือถือทั้งหมดในประเทศ ส่งผลให้ภูมิภาคนี้เป็นภูมิภาค 5G ที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในโลก

รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับนี้ยังเผยให้เห็นว่าผู้ใช้บริการ 5G ในทวีปอเมริกาเหนือนั้นมีการเติบโตแข็งแกร่งกว่าการคาดการณ์ครั้งก่อน โดยเมื่อสิ้นปี 2565 ที่ผ่านมา ภูมิภาคนี้มีสัดส่วนผู้ใช้บริการ 5G สูงสุดในโลกที่ 41%

ผู้ใช้บริการ 5G เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วโลกและคาดว่าจะเพิ่มไปถึง 1.5 พันล้านราย ภายในสิ้นปี 2566 ส่วนปริมาณการใช้ดาต้าผ่านเครือข่ายมือถือทั่วโลกก็เติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน คาดว่าภายในสิ้นปี 2566 ยอดการใช้ดาต้าบนมือถือต่อสมาร์ทโฟนทั่วโลกจะเกินกว่า 20 กิ๊กกะไบต์ต่อเดือน

รายงานยังแสดงการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่องในตลาดที่เป็นผู้นำ 5G นายเฟรดริก เจดลิง รองประธานผู้บริหารและหัวหน้าฝ่ายเครือข่ายของอีริคสัน กล่าวว่า “ยอดผู้ใช้ 5G ทั่วโลกมีเกินหนึ่งพันล้านบัญชีไปแล้ว ทำให้ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารในตลาด 5G ชั้นนำมีรายได้เติบโตในเชิงบวก เราเห็นความเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งระหว่างการสมัครบริการ 5G ที่เพิ่มขึ้นและรายได้จากการให้บริการ โดยในช่วงสองปีที่ผ่านมาจากการเปิดตัวบริการ 5G ใน 20 ตลาดชั้นนำ ส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น 7% แนวโน้มนี้แสดงให้เห็นถึงมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของ 5G ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้ใช้และผู้ให้บริการ”

นายอิกอร์ มอเรล ประธานบริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “ในฐานะผู้ให้บริการด้านการเชื่อมต่อที่ได้รับความไว้วางใจและดำเนินกิจการมาอย่างยาวนานในประเทศไทย อีริคสันจะเดินหน้าทำงานร่วมกับผู้ให้บริการอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความสำเร็จในการมอบเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพครอบคลุมการใช้งาน มีความยืดหยุ่น รองรับการเติบโตธุรกิจ ใช้งานง่ายและมีความปลอดภัยเป็นหลักสำคัญ นอกจากนี้เรายังทำงานใกล้ชิดกับผู้ให้บริการด้านการสื่อสารหลัก ๆ ในประเทศ ภาครัฐบาล ตลอดจนภาคอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษาในการพัฒนาระบบนิเวศ 5G ในประเทศเพื่อบรรลุตามวิสัยทัศน์ Thailand 4.0”

ผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSP) ประมาณ 240 รายทั่วโลกเปิดตัวบริการ 5G เชิงพาณิชย์และประมาณ 35 รายปรับใช้หรือเปิดตัว 5G แบบสแตนด์อโลน (SA) โดยบริการ 5G สำหรับผู้บริโภคที่เห็นได้มากที่สุดได้แก่ Enhanced Mobile Broadband (eMBB), Fixed Wireless Access (FWA), เกม และบริการอื่น ๆ ที่ใช้กับอุปกรณ์ AR/VR เช่น การฝึกอบรมและการศึกษา

รายงานยังเผยให้เห็นว่า 5G ยังคงขับเคลื่อนนวัตกรรมในแพ็คเกจบริการมือถือ  ผู้ให้บริการนำเสนอบริการบันเดิลเป็นชุดความบันเทิงยอดนิยมต่าง ๆ มากขึ้น อาทิ โทรทัศน์ การสตรีมเพลง หรือแพลตฟอร์มเกมบนคลาวด์ ซึ่งในปัจจุบันมีผู้ให้บริการ 5G ประมาณ 58% นำเสนอบริการเหล่านี้ในหลากหลายรูปแบบ

ผู้ให้บริการมากกว่า 100 ราย หรือประมาณ 40% ของผู้ให้บริการ Fixed Wireless Access (FWA) ให้บริการ FWA บน 5G อยู่ในเวลานี้

บริการ FWA กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่งในแง่:

  • จำนวนผู้ให้บริการมือถือที่ให้บริการ FWA
  • สัดส่วนของผู้ให้บริการ FWA บนเครือข่าย 5G
  • สัดส่วนของผู้ให้บริการ CSP ที่มีโครงสร้างค่าบริการตามความเร็ว
  • ปริมาณการใช้ดาต้าที่ให้บริการ เนื่องจากมียอดการเชื่อมต่อและการใช้ดาต้าเน็ตต่อการเชื่อมต่อเพิ่มขึ้น

ภายในปี 2571 คาดว่าการเชื่อมต่อ FWA ทั้งหมดจะเป็น 5G เกือบ 80%

รายงาน Ericsson Mobility ประจำเดือนมิถุนายน 2566 ยังรวมบทความเชิงลึกอีก 4 บทความ ดังนี้:

  • Exploring how traffic patterns drive network evolution
  • Exploring differentiated service with 5G networks
  • AR uptake enabled by mobile networks
  • Mobile quality of experience: Network readiness for new services

อ่านรายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับเต็มได้ที่นี่


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

โซลูชัน DEX ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลของวีเอ็มแวร์ช่วยประหยัดต้นทุน และเพิ่มศักยภาพให้กับทีมไอทีเพื่อนำไปปรับปรุงประสบการณ์ดิจิทัลของพนักงานในองค์กร

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – 22 มิถุนายน 2566 – เทคโนโลยีที่ใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ดิจิทัลแก่พนักงาน (DEX) มีความสำคัญมากขึ้น ทำให้องค์กรต้องมีเครื่องมือที่จำเป็นในการมอบประสบการณ์การทำงานที่ยอดเยี่ยมแก่พนักงาน ในขณะเดียวกันก็ต้องช่วยให้ทีมไอทีทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและประหยัดค่าใช้จ่ายไปในตัว อย่างไรก็ตาม โซลูชัน DEX ที่มีอยู่ยังคงทำงานแบบแยกส่วนกัน (fragmented) ทำให้ต้องทำงานรวมกันกับหลายแพลตฟอร์มจากผู้ให้บริการหลายรายเพื่อวัดผล วิเคราะห์ ส่งมอบ และจัดการกับประสบการณ์การทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหานี้ วีเอ็มแวร์ อิงค์ (NYSE: VMW) เปิดตัวการปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อสร้างความแตกต่างในการใช้งานสำหรับโซลูชัน Digital Employee Experience (DEX) ที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงความพร้อมใช้งานทั่วไปของ DEX สำหรับอุปกรณ์ที่มีการจัดการโดยเครื่องมืออื่น ๆ (3rd party) DEX สำหรับ VMware Horizon, เครื่องมือที่ช่วยหา Root Cause Analysis (RCA) ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI และอัปเดต Workspace ONE ITSM Connector สำหรับ ServiceNow เพื่อรองรับการแก้ปัญหาจากการใช้เครื่องมือดิจิทัล นวัตกรรมเหล่านี้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของวีเอ็มแวร์ในการจัดหาโซลูชัน DEX แบบองค์รวมที่ช่วยเพิ่มประสิทธืภาพในการทำงาน เร่งการจัดการปัญหา และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงานมากขึ้น

แชงการ์ ไอเยอร์ รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป เอ็นด์-ยูเซอร์ คอมพิวติ้ง วีเอ็มแวร์ กล่าวว่า “องค์กรต่าง ๆ ในหลายอุตสาหกรรมยังคงต้องรับมือกับเหตุการณ์หรือปัญหาด้านไอทีที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องพร้อมกับอัตราการลาออก หมุนเวียน ของพนักงานที่เพิ่มขึ้นจึงทำให้มีการทำงานแบบไฮบริดมากขึ้น องค์กรที่ประสบความสำเร็จจะต้องจัดลำดับความสำคัญของเทคโนโลยีที่ช่วยให้ทีมไอทีมีเครื่องมือที่เหมาะสม แก้ไขปัญหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมทั้งความสามารถในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดซ้ำ ขณะที่ป้องกันปัญหาใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตไปพร้อมกัน โซลูชัน DEX ที่ครอบคลุมของวีเอ็มแวร์ใช้ประโยชน์จากระบบอัตโนมัติเพื่อเสริมศักยภาพทีมไอทีด้วยอินไซท์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างประสบการณ์ของพนักงานที่ยอดเยี่ยม”

แพลตฟอร์มที่ปรับขนาดได้รองรับ Use Case ที่หลากหลาย

VMware พัฒนาโซลูชัน DEX โดยรวบรวมประสบการณ์การใช้งานของพนักงานจากอุปกรณ์ปลายทางทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทางกายภาพหรือเวอร์ชวล และ จัดการโดยวีเอ็มแวร์เอง หรือการจัดการโดยบุคคลที่สาม โซลูชัน Digital Employee Experience Management (DEEM) ของวีเอ็มแวร์ ณ ปัจจุบันนี้รองรับการใช้งานบนอุปกรณ์ Windows โดยโซลูชันของบุคคลที่สามแล้ว ตามประกาศอัปเดตล่าสุดจากวีเอ็มแวร์ อุปกรณ์เหล่านี้สามารถใช้บริการ DEX ของ วีเอ็มแวร์ได้เต็มรูปแบบ รวมถึง Intelligent Hub, DEEM และ Assist แม้ว่าบริษัทจะใช้ระบบการจัดการอื่น ๆ อยู่ ก็สามารถใช้โซลูชัน DEEM  และขยายโซลูชัน DEX ของพวกเขาได้

พร้อมกันนี้วีเอ็มแวร์ประกาศว่า DEEM สำหรับ VMware Horizon พร้อมใช้งานแล้ว สำหรับผู้ใช้ที่เตรียมขยายการวัดผลไปยังเดสก์ท็อปและเวอร์ชวลแอป ลูกค้าสามารถวัดผลและวิเคราะห์ประสบการณ์ของผู้ใช้ปลายทางโดยใช้เวอร์ชวลแอปและเดสก์ท็อปของ Horizon ซึ่งช่วยให้ลูกค้ารวบรวมประสิทธิภาพของเครือข่าย บันทึกเวลาเข้าสู่ระบบ และประสิทธิภาพของ VM หากคะแนนประสบการณ์สำหรับ Horizon เปลี่ยนแปลง ฝ่ายไอทีจะได้รับการแจ้งเตือนเชิงรุกด้วยระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติทันที ทำให้ทีมสามารถแก้ไขปัญหาที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยใช้แพลตฟอร์ม Horizon สำหรับการทำงาน

แนวทาง DEX ที่ครอบคลุมช่วยให้ฝ่ายไอทีสามารถแก้ไขปัญหาได้หลากหลายขึ้นและสามารถ ป้องกันเหตุได้ล่วงหน้ามากขึ้น

องค์กรจะไม่สามารถสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นให้แก่พนักงานได้หากปราศจากการควบคุมการส่งมอบประสบการณ์และการแก้ไขปัญหา ปัจจุบัน วีเอ็มแวร์นำเสนอโซลูชันครบวงจรเพียงหนึ่งเดียวที่สร้างวงจรแบบปิดที่ช่วยให้ฝ่ายไอทีสามารถป้องกันเหตุที่จะเกิดได้ล่วงหน้ามากขึ้น ใช้ประโยชน์จากข้อมูลประสบการณ์แบบองค์รวมเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงรุกและปรับปรุงประสบการณ์ของพนักงานอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสามารถในการจัดการเอ็นด์พอยต์แบบรวมที่ได้รับการยอมรับของ VMware Workspace ONE ลูกค้าจึงสามารถป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้ในทุกสถานการณ์

เมื่อเกิดปัญหาระหว่างการทำงานของพนักงาน เจ้าหน้าที่ฝ่าย Service Desk จะเป็นด่านแรกในการช่วยเหลือ ด้วยการเพิ่มข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์เดียวกันกับที่ฝ่ายไอทีสามารถดูใน Workspace ONE ไปยัง ServiceNow ผ่าน ITSM Connector ของวีเอ็มแวร์ ทีมให้บริการสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น วีเอ็มแวร์เปิดตัวนวัตกรรมสำหรับ ITSM Connector รวมถึงการให้คะแนนประสบการณ์ ชุดการดำเนินการจัดการอุปกรณ์ปลายทางแบบรวม และความสามารถในการทริกเกอร์เวิร์กโฟลว์ที่สร้างโดยทีมไอทีใน VMware Freestyle Orchestrator ด้วยการใช้ประโยชน์จากคะแนนประสบการณ์ ฝ่ายบริการสามารถแก้ไขปัญหาเชิงรุกอื่น ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ได้ก่อนที่จะลุกลามบานปลายและเป็นอุปสรรคต่อเวิร์กโฟลว์ การดำเนินการและเวิร์กโฟลว์การแก้ไขเพิ่มเติมเหล่านี้จะยังคงช่วยลดเวลาที่ต้องใช้ในการแก้ไขปัญหาแต่ละจุดอีกด้วย

โอลิเวอร์ บอมบ์ หัวหน้าฝ่าย Digital Workspace ของ Groupe กล่าวว่า “ธุรกิจของเราดำเนินการบนสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตมากกว่า 200,000 เครื่องที่ใช้งานสำหรับพนักงานในองค์กรและผู้บริหารระดับแนวหน้า รวมทั้งประชาชนที่อาศัยในฝรั่งเศสและผ่านเครือข่ายผู้จัดจำหน่ายของเรา (ที่มีหน้าร้าน 17,000 แห่ง) ด้วยแนวทางแบบผสานรวมใน VMware Workspace ONE ทำให้ทีมไอทีและฝ่ายบริการของเรามองเห็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน และสามารถแก้ไขปัญหาที่สะดวกขึ้น อัตโนมัติมากขึ้น ฝ่ายให้บริการของเราสามารถปรับปรุงข้อตกลงระดับการบริการสำหรับปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเองซึ่งผลลัพธ์ช่วยให้ประหยัดชั่วโมงการทำงานของวิศวกรของเรามากขึ้น”

ROI ที่จับต้องได้ผ่านการจัดการประสบการณ์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

ความคาดหวังของทีมไอทีคือต้องแก้ปัญหาได้มากขึ้น ด้วยประสิทธิภาพที่ดีขึ้น โดยใช้ทรัพยากรน้อยลง บริการ DEX จากวีเอ็มแวร์ ช่วยให้ทีมไอทีตอบสนองได้ในเชิงรุกผ่านข้อมูลเชิงลึก การวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่เป็น Root cause ได้ไวยิ่งขึ้น (RCA) และระบบอัตโนมัติ ด้วยการใช้โมเดลแมชชีนเลิร์นนิงทางสถิติเพื่อค้นหาและประเมินความผิดปกติในประสบการณ์ได้แบบอัตโนมัติ แผนกไอทีสามารถระบุปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานได้อย่างรวดเร็วด้วยข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งมีให้บริการแล้วในปัจจุบัน โดยวีเอ็มแวร์ ได้เปิดตัว Guided RCA ซึ่งใช้ AI ระบุสาเหตุที่เป็นไปได้มากที่สุดของปัญหาและกำหนดคะแนนความเชื่อมั่น (confidence score) ให้กับปัญหา ซึ่งช่วยลดขั้นตอนการค้นหาต้นตอของปัญหาและประหยัดเวลา ด้วยเวิร์กโฟลว์การทำงานอัตโนมัติแบบบูรณาการ การดำเนินการที่เหมาะสมสามารถรองรับการแก้ไขปัญหาในอนาคตได้ ด้วยมาตรการที่ปรับขนาดการแก้ปัญหาและแจ้งเตือนพนักงานในเชิงรุก เมื่อไม่นานมานี้ ลูกค้าของวีเอ็มแวร์รายหนึ่งที่ประสบกับปัญหาแล็ปท็อปขัดข้องสามารถระบุสาเหตุที่แท้จริงได้โดยใช้ Guided RCA เมื่อทำงานร่วมกับทีมแอปพลิเคชัน ลูกค้าสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ประหยัดเวลาด้านวิศวกรรมหลายร้อยชั่วโมงในการแก้ปัญหาด้านประสิทธิภาพการทำงานที่สูญเสียไป

แพม คอคคา รองประธานฝ่ายเทคโนโลยีและการสร้างประสบการณ์พนักงานไอทีของวีเอ็มแวร์ กล่าวว่า “แผนกไอทีของวีเอ็มแวร์ใช้ DEX เพื่อนำกลยุทธ์ด้านไอทีเชิงรุกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมาใช้ นอกจากจะช่วยประหยัดเวลาของผู้เชี่ยวชาญในการแก้ไขปัญหาในโจทย์ที่หลากหลายขึ้นได้รวดเร็วขึ้นแล้ว ยังเพิ่มความมั่นใจให้กับพนักงานฝ่ายไอทีของเราอีกด้วย ด้วย DEEM for Insights และการสนับสนุนเชิงรุก1 ชี้ให้เห็นว่าแผนกไอทีของวีเอ็มแวร์ใช้เวลาในการแก้ไขปัญหาลดลงโดยเฉลี่ย 35% สิ่งนี้ช่วยประหยัดเวลาอันมีค่าของแผนกไอทีและทำให้พนักงานกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเร็วขึ้น”


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

สถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยีไทย-ฝรั่งเศส มจพ. ร่วมกับ บ.เอส.ซุปเปอร์ เคเบิ้ล จำกัด สัมมนาวิชาการ “S. Super Campus Tour” ครั้งที่ 15

สถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยีไทยฝรั่งเศส  มจพ. โดยฝ่ายเทคโนโลยีไฟฟ้าและพลังงาน ร่วมกับ บริษัท เอส.ซุปเปอร์ เคเบิ้ล จำกัด จัดสัมมนาวิชาการในโครงการ S. Super Campus Tour ครั้งที่ 15 เรื่องสายไฟฟ้าแรงดันต่ำและแสดงเครื่องทดสอบความทนกระแสของสายไฟฟ้าวันที่ 14 กรกฎาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 10.00-16.00 .ณ ห้องฝึกอบรม 704 ชั้น 7 อาคารสถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยีไทยฝรั่งเศส  มจพ. รับจำนวน 40 คน  หัวข้อการสัมมนา ประกอบด้วย  ข้อมูลพื้นฐานของสายไฟฟ้า โครงสร้างของสายไฟฟ้า มาตรฐานสายไฟฟ้า สายไฟฟ้ามีวันหมดอายุหรือไม่รูปแบบการติดตั้ง (วิธีการเดินสาย) และ การคำนวณหาขนาดสายไฟฟ้า

ขอเชิญชวนคณาจารย์บุคลากรนักศึกษาเข้าร่วมสัมมนาทางวิชาการเรื่องสายไฟฟ้าแรงดันต่ำและแสดงเครื่องทดสอบความทนกระแสของสายไฟฟ้า” 

ลงทะเบียนได้ที่ลิงก์
https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSd-sErqpoI_rLrmMHBX4_Wv-rMOoLucbo7xLK9vJ3bkhx77hQ/viewform

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณวรนุช เบอร์โทร. 089 786 6190

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จ่อเปิดตัวไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่ ในงาน Innovation Summit Bangkok 2023

ปัจจุบันไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ได้มีการนำมาใช้งานอย่างแพร่หลาย ซึ่งไมโครดาต้าเซ็นเตอร์เป็นดาต้าเซ็นเตอร์สำเร็จรูปพร้อมใช้ขนาดเพียง 1 ตู้แร็ค ที่รวมระบบไฟฟ้า ระบบสำรองไฟ ระบบแอร์ และระบบมอนิเตอร์ ประกอบสำเร็จรูปภายในตัว ทำให้ง่ายต่อการติดตั้งใช้งาน และมีการลงทุนที่คุ้มค่ากว่าการสร้างห้องดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดเล็ก เนื่องจากไม่ต้องสร้างห้องและมีแอร์ในตัว ทำให้หยัดพลังงานมากกว่าการทำความเย็นทั้งห้องดาต้าเซ็นเตอร์ ดังนั้นไมโครดาต้าเซ็นเตอร์จึงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุดของการใช้ศูนย์ข้อมูลขนาดเล็กหรือการประมวลผลแบบเอดจ์ (Edge Computing) โดยเฉพาะตอนนี้ไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ มีความจำเป็นอย่างสูงสำหรับภาคอุตสาหกรรม 4.0 ที่ต้องการระบบประมวลผล การควบคุมและต้องการใช้ระบบ IIoT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนผลิต แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่จำกัดของโรงงานทำให้ไม่สามารถใช้งานไมโครดาต้าเซ็นเตอร์แบบทั่วไปได้ ซึ่งชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้เห็นถึงปัญหาและข้อจำกัดนี้จึงพัฒนา “นวัตกรรมไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ สำหรับการใช้ในอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ” ซึ่งกำลังจะมีการเปิดให้ชมสินค้าตัวจริงในงาน Innovation Summit Bangkok 2023 ได้แก่  APC Micro Data Center R-Series เป็นโซลูชั่นไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่สมบุกสมบัน เช่น โกดัง โรงงาน ไซต์งาน อุตสาหกรรมน้ำมัน อุตสาหกรรมเหมือง เป็นต้น มาพร้อมความโดดเด่นที่ต่างจากไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ในสำนักงานทั่วไป โดยไม่ต้องการติดตั้งท่อน้ำยาแอร์ มีโครงสร้างแข็งแกร่งปิดสนิทอย่างแนบแน่น ป้องกันฝุ่น และความชื้น ใช้งานได้แม้ในพื้นที่ๆ มีความร้อนสูง ผสานระบบรักษาความปลอดภัยชั้นยอด

นอกจากนี้ในงานยังมีการเปิดตัว APC Smart-UPS Ultra นิยามใหม่สำหรับ UPS 1 เฟสในยุคอนาคต ที่เล็กที่สุดและทันสมัยที่สุด ซึ่งให้ความยืดหยุ่นในการติดตั้งได้แม้ในตู้แร็คแบบติดผนังขนาดเล็ก ด้วยรูปลักษณ์ที่บางเฉียบ และด้วยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ Lithium-ion ทำให้คุ้มค่า อายุการใช้งานนานกว่า 3 เท่า และชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วขึ้น 2 เท่า เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีเดิม มาพร้อมระบบอัจฉริยะในตัว EcoStruxure™ Ready สำหรับการควบคุมระยะไกล และการมอนิเตอร์ในแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ง่ายในการแก้ปัญหา และคาดการแนวโน้มการใช้พลังงานได้ ให้ความยืดหยุ่นสำหรับสภาพแวดล้อมไอที และอุตสาหกรรมในยุค 4.0

นายแอบเบย์ แอนิล โกสานการ์ รองประธานกลุ่ม Secure Power ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย ลาว และเมียนมา  เผยว่า “ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ไม่เคยหยุดในการพัฒนานวัตกรรมที่ช่วยสร้างความยั่งยืนตอบโจทย์ลูกค้าทั่วโลกทั้งธุรกิจ และอุตสาหกรรม โดยเฉพาะดาต้าเซ็นเตอร์ ที่เปรียบเสมือนเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจ และการผลิต ในยุค 4.0 ที่ทุกสิ่งต้องขับเคลื่อนด้วยข้อมูล และใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงาน และสร้างความยั่งยืนควบคู่กันไป โดยในงาน Innovation Summit Bangkok 2023 ที่กำลังจะมีขึ้นนี้ เรามีเทคโนโลยีด้านไอที ดาต้าเซ็นเตอร์ ที่จะตอบโจทย์ทุกความต้องการของธุรกิจที่ต้องการก้าวไปสู่ความยั่งยืน

ร่วมสัมผัสประสบการณ์จากนวัตกรรมใหม่ของไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ และโซลูชั่นสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ในแบบครบวงจร ได้ในงาน Innovation Summit Bangkok 2023 ใน วันที่ 5-6 กรกฎาคม 2566 ณ Grand Hall ชั้น 2, ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

 ลงทะเบียนได้แล้ววันนี้


Exit mobile version