Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เจาะประเด็น The Next Big Things ของวงการ FinTech จากเวที CTC2023 Festival

ไฮไลท์สำคัญในงาน Creative Talk Conference 2023 ในธีม Festival มีเซสชันหนึ่งที่น่าสนใจคือ “The Next Big Thing” ของแวดวง FinTech ไทย ซึ่งในเซสชันดังกล่าวมี CEO คนเก่ง คุณอัศวิน พละพงศ์พานิช ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DeeMoney ร่วมพูดคุยและเสวนาบนเวทีถึงทิศทางและอนาคตของแวดวงฟินเทคไทยในฐานะผู้ให้บริการการโอนเงินระหว่างประเทศที่ถือเป็นภาคเอกชนที่ได้รับสิทธิ์ครั้งนี้

คุณอัศวิน พละพงศ์พานิช ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DeeMoney เผยว่า “ตอนนี้ DeeMoney ถือเป็นผู้นำอันดับ 1 ของประเทศไทยในแง่ของ Cross-Border Payments ถ้าเทียบกับตลาด Non-Bank ที่ให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศ เราให้บริการโอนเงินเข้ามาที่ประเทศไทยได้มากกว่า 100 ประเทศ และสามารถโอนเงินออกไปยังต่างประเทศได้มากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก”

“ผมว่าตลาดฟินเทคมีความน่าสนใจและน่าตื่นเต้นมาก พอๆกับตลาดคริปโตเมื่อช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ด้วยที่ฟินเทคถือเป็นอุตสาหกรรมที่ผลักดันเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ของโลก ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่ต่างประเทศก็เช่นกัน ประกอบกับเกิดภาวะโรคระบาด COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ฟินเทคเติบโตมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ที่ประเมินธุรกิจบริการดิจิทัลในปี 2566 มีมูลค่าสูงถึง 5.6 แสนล้านบาทและมีอัตราเติบโตกว่า 20%”

“ด้านการลงทุนในฟินเทคปี 66 ถึงแม้จะลดลงทั่วโลก แต่ยังมีความคาดหวังการเติบโตจากฝั่งเอเชีย เนื่องด้วยการเปิดรับของผู้ให้บริการที่อยู่บนโลกธุรกิจบริการดิจิทัล ที่ร่วมมือกันผ่านการให้บริการทางการเงินแบบฝังตัว (Embedded finance) การนำเสนอบริการทางการเงินต่างๆ เช่น การชำระเงิน ประกัน เงินฝาก การลงทุน ของผู้ให้บริการรายอื่นบน ecosystem ของตัวเอง (Financial-services as-a-platform ) เทคโนโลยีบล็อกเชน และการเกิดขึ้นของ Virtual banking หรือธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา ซึ่งประเทศไทยเตรียมประกาศใบอนุญาตใหม่เพื่อสนับสนุนการขยายตลาดในกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่เคยเข้าถึงบริการธนาคาร (Unbanked) หรืออาจจะเข้าถึงบริการของธนาคารแล้วแต่ยังไม่เต็มประสิทธิภาพ (Underbanked)”

“โดยหากสตาร์ตอัปจะรอด สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่เรื่องมูลค่าและยอดขาย แต่เป็นการบริหารจัดการทุกส่วนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ส่วนหลักได้แก่ 1) กลยุทธ์ด้านการเงิน (Financial strategy) การดูแล บริหารจัดการเงินลงทุนให้เหมาะสมกับสอดคล้องกับรายได้ และการเจริญเติบโตของธุรกิจ เพื่อให้เห็นชัดว่า Business model ที่ทำอยู่เป็นไปได้จริง 2) Sustainable การนำธุรกิจไปสู่ผลประกอบการที่มีการรับรู้กำไร (Profitability) อย่างต่อเนื่อง ในที่นี้ไม่ได้หมายความถึง การสร้างกำไรอย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่กำไรที่ได้ต้องมีความยั่งยืน อยู่ได้ในระยะยาว 3) Social impact ถามว่าหากบริษัทจะมีกำไรที่ดีอย่างเดียวเพียงพอหรือไม่ ในยุคนี้คงไม่ได้ เพราะเมื่อบริษัทเติบโต ก็ย่อมมีผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder) เช่นลูกค้า คู่ค้า และพนักงาน ในฐานะผู้ให้บริการเราจะต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อส่วนรวม เราต้องสร้างคอมมิวนิตี และสร้างระบบนิเวศน์ที่ดีให้เกิดขึ้น โดย สูตรสำเร็จของธุรกิจไม่ใช่คำนึงถึงแต่ผลกำไร แต่จะต้องส่งเสริมสังคมไปด้วยพร้อมกัน

ในระหว่างเซสชันมีการพูดถึงประเด็นการทำธุรกิจในไทยและต่างประเทศ ว่ามีเทคโนโลยีหรือพฤติกรรมอะไรที่เป็นเทรนด์ที่น่าสนใจบ้าง? “สิ่งที่น่าจับตามองในตอนนี้คือ AI และการทำ Automation เพราะสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตและการบริหารจัดการได้อย่างมี ประสิทธิภาพ โดยเชื่อว่าคนทั้งโลกจะหันมาให้ความสนใจในเรื่องนี้ รวมทั้งมีคำศัพท์ใหม่ที่เกิดขึ้นและคนจะหันมาโฟกัสเพิ่มคือ เทคโนโลยี IoT (Internet of Things) ’ ที่อุปกรณ์อัจฉริยะ (Smart devices) ต่าง เชื่อมต่อ สามารถส่งผ่านข้อมูลระหว่างกันผ่านอินเตอร์เน็ต และอีกหัวข้อหนึ่งที่น่าสำคัญคือ ‘Open banking’ ที่ผู้บริโภคสามารถขอใช้บริการกับผู้ให้บริการทางการเงินรายใหม่ โดยส่งข้อมูลของตนเองจากผู้ให้บริการปัจจุบัน เพื่อประกอบการพิจารณาในการขอใช้บริการ ภาพทั้งหมดนี้อาจจะยังไม่ชัดเจนมากนัก แต่สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นคือ Mobile device และ Application จะมีความเข้าใจพฤติกรรมการใช้งานของกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะแอปพลิเคชันเดียวจะไม่สามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าได้ เนื่องจากพฤติกรรมของลูกค้าจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามฟังก์ชันของการพัฒนาโปรดักส์”

นอกจากนี้ยังมีคำถามที่คุณอัศวิน พละพงศ์พานิช ตอบไว้ในมุมมองที่น่าสนใจ คือ ‘อนาคตของโลกการเงินจะเป็นอย่างไรและเราควรเตรียมพร้อมแค่ไหนเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง?’ “ในแง่ของฟินเทค เราในฐานะผู้บริโภคจะมีโปรดักส์มาให้เลือกและมีความหลากหลายมากขึ้น เช่นในสมัยก่อนเราพึ่งพิงแค่ธนาคาร แต่ทุกวันนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว ในแง่ของผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจผมว่าการเข้ามาของอินเทอร์เน็ตในยุค IoTs ที่ความเร็วจะสปีดไวขึ้นในทุกปี ทำให้มี AI ที่จะเข้ามาทดแทนธุรกิจที่ทำอยู่ได้ไวมาก ฉะนั้นผู้ประกอบการ จำเป็นต้องคิดล่วงหน้ากับผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ เพราะบริบทของสินค้าและบริการก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปไวด้วยเช่นกัน”

“สำหรับผมแล้ว ในช่วงที่ผ่านมาเจอผลกระทบของเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้ง สิ่งที่ทำให้ผมผ่านมาได้ในการทำธุรกิจคือ Innovation หรือ นวัตกรรม ที่ต้องสร้างสินค้าและบริการขึ้นมาใหม่ ต้องเปลี่ยนตลาด ต้องคิดในมุมผู้บริโภคก่อนว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นแบบไหน ต้องปรับวิธีการอย่างไร ถ้าเราไม่ปรับ ไม่มองภาพให้เห็นชัดเจนว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เราก็จะไปไม่รอดและปรับตัวไม่ทัน” คุณอัศวิน พละพงศ์พานิช ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DeeMoney ปิดท้าย


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เชิญร่วมงานสัมมนา “Decoupling ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ไทยได้หรือเสียประโยชน์”

เชิญเข้าร่วมงานสัมมนา “Decoupling ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ไทยได้หรือเสียประโยชน์
ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 เวลา 9.00 – 12.00 . ทั้งในรูปแบบออฟไลน์ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท กรุงเทพฯ และรูปแบบออนไลน์ผ่านระบบ Zoom Meeting

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับสถาบันวิจัยและให้คําปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (โดยกลุ่มคลัสเตอร์ความสามารถในการแข่งขัน คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) จัดงานสัมมนาหัวข้อ “Decoupling ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ไทยได้หรือเสียประโยชน์โดยงานสัมมนาประกอบด้วย

  1. การนำเสนอผลการศึกษาการแยกห่วงโซ่อุปทาน (Decoupling) ของอุตสาหกรรมสำคัญระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน และนัยต่อเศรษฐกิจไทย โดย รองศาสตราจารย์ ดร.อาชนัน เกาะไพบูลย์ และคณะวิจัยกลุ่มคลัสเตอร์ความสามารถในการแข่งขัน คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  2. การเสวนาหัวข้อการเตรียมรับมือกับการแยกห่วงโซ่อุปทานระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดย
  • ดร.ชัยชาญ เจริญสุขประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย
  • คุณวิวรรธน์ เหมมณฑารพรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
  • ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสารรองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน
  • คุณอภิวัฒน์ ทองประเสริฐกรรมการผู้จัดการบริษัทวิสอัพจำกัด
  • ดำเนินการเสวนาโดย รองศาสตราจารย์ ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ผู้สนใจลงทะเบียนได้ที่ https://forms.gle/Pn7Njk8174WjkPNx9 หรือสแกน QR Code ตามภาพภายในวันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม 2566 (ที่นั่งมีจำนวนจำกัด สงวนสิทธิ์สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนก่อน)


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์ บทความ เทคโนโลยี

“ความน่าเชื่อถือ” และ “ความปลอดภัย” สองปัจจัยสำคัญกำหนดอนาคต Generative AI”

บทความโดย เอวิวา ลิทาน รองประธานฝ่ายวิจัย การ์ทเนอร์ 

ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วแบบหายใจรดต้นคอของนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์เอไอแบบรู้สร้าง หรือ Generative AI ทำให้เกิดความวิตกด้านความปลอดภัยและความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นตามมา มีนักกฎหมายบางรายเสนอกฎระเบียบและข้อบังคับใหม่เพื่อกำกับดูแลเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ต่าง ๆ และยังมีผู้นำธุรกิจและเทคโนโลยีบางคนออกมาแนะนำให้ระงับการฝึกระบบเอไอเป็นการชั่วคราวเพื่อเป็นการประเมินด้านความปลอดภัยของตน

Generative AI อยู่รอบตัวเรา 

ความเป็นจริงที่ว่าการพัฒนา Generative AI ไม่หยุดอยู่เท่านี้ องค์กรจำเป็นต้องดำเนินการตั้งแต่ตอนนี้เพื่อกำหนดกลยุทธ์ภาพรวมสำหรับจัดการด้านความน่าเชื่อถือ ความเสี่ยง และการรักษาความปลอดภัยของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (หรือ AI TRiSM) ซึ่งมีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อเรียนรู้และเข้าใจเครื่องมือ AI TRiSM สำหรับใช้จัดการข้อมูลและกระบวนการระหว่างผู้ใช้และบริษัทที่เป็นเจ้าของโมเดลพื้นฐานของ Generative AI

เวลานี้ยังไม่มีเครื่องมือสำเร็จรูปใดในตลาดที่รับรองความเป็นส่วนตัวแก่ผู้ใช้อย่างเป็นระบบหรือสามารถกรองเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อนำโมเดลเหล่านี้มาใช้งาน ตัวอย่างเช่น การกรองข้อมูลที่ไม่ถูกต้องออกจากข้อเท็จจริง รูปภาพที่ไม่มีอยู่จริง เนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์หรือข้อมูลที่เป็นความลับ

นักพัฒนา AI ต้องทำงานร่วมกับผู้กำหนดนโยบายเป็นกรณีเร่งด่วน รวมถึงหน่วยงานกำกับดูแลที่เกิดขึ้นมาใหม่ เพื่อกำหนดนโยบายและวางแนวทางปฏิบัติสำหรับการกำกับดูแลและการจัดการความเสี่ยงของเอไอ

ความเสี่ยงสำคัญที่กระทบองค์กร

Generative AI ก่อให้เกิดความเสี่ยงใหม่ ๆ หลายประการ ประการแรกคือ “ล่อลวงด้วยภาพลวงตา (Hallucinations)” และการปลอมแปลง อาทิ ข้อมูลที่ผิดแปลกไปจากข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นปัญหายอดนิยมที่สุดซึ่งเกิดขึ้นแล้วกับโซลูชัน Chatbot ของ Generative AI กรณีข้อมูลการฝึกอบรม กรณีการตอบสนองที่มีอคติ ไม่อยู่ในหลักสมมุติฐานหรือมีความไม่ถูกต้อง กรณีเหล่านี้ตรวจจับได้ยากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโซลูชันนั้นมีความน่าเชื่อถือและมีผู้ใช้จำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ

ความเสี่ยงต่อมา คือ Deepfakes เมื่อ Generative AI ถูกนำไปใช้สร้างเนื้อหาที่มีเจตนามุ่งร้าย ซึ่งล้วนเป็นความเสี่ยงสำคัญ เช่น รูปภาพปลอม วิดีโอปลอม รวมถึงการบันทึกเสียงปลอม ที่มักถูกใช้เพื่อโจมตีเหล่าคนดังและนักการเมือง เพื่อนำไปสร้างและเผยแพร่ข้อมูลที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด หรือแม้กระทั่งใช้สร้างบัญชีปลอมหรือเข้าไปยึดและเจาะบัญชีที่ถูกต้องตามกฎหมายที่มีอยู่เดิมตัวอย่างเมื่อเร็ว ๆ นี้ คือ กรณีภาพพระสันตปาปาฟรานซิสที่สวมแจ็กเก็ตแฟชั่นสีขาวที่สร้างขึ้นโดย AI และกลายเป็นไวรัลบนโซเชียลมีเดีย แม้จะดูเหมือนไม่มีพิษภัย แต่ก็ทำให้เรามองเห็นอนาคตของ Deepfakes ในการปลอมแปลงคนมีชื่อเสียง ลอกเลียนแบบ ล่อลวง และความเสี่ยงทางการเมืองต่อทั้งตัวบุคคล องค์กร และภาครัฐบาล

ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Data privacy) ก็น่ากังวลใจไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะเมื่อองค์กรให้สิทธิ์พนักงานสามารถเปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดอ่อนและเป็นกรรมสิทธิ์ขององค์กรได้อย่างง่ายดายเมื่อใช้โซลูชัน Generative AI Chatbot โดยแอปพลิเคชันเหล่านี้อาจจัดเก็บข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อนเข้ามา หรือแม้แต่ข้อมูลที่ใช้ป้อนเพื่อฝึกอบรมโมเดลเอไออื่น ๆ โดยข้อมูลดังกล่าวอาจตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่หวังดีกรณีที่เกิดการละเมิดความปลอดภัย

ต่อมาคือ ปัญหาด้านลิขสิทธิ์ (Copyright Issues) แชทบอท Generative AI ได้รับการฝึกอบรมด้านข้อมูลอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก ซึ่งอาจรวมถึงเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ โดยอาจมีผลลัพธ์บางอย่างละเมิดการคุ้มครองลิขสิทธิ์หรือทรัพย์สินทางปัญญา (IP) หากไม่มีการอ้างอิงแหล่งที่มาหรือมีความโปร่งใสเกี่ยวกับวิธีสร้างผลลัพธ์ ดังนั้นวิธีเดียวที่จะลดความเสี่ยงนี้คือให้ผู้ใช้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา

สุดท้าย คือ ข้อกังวลด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Concerns) นอกเหนือจากการล่อลวงทางวิศวกรรมทางสังคมขั้นสูงและภัยคุกคามแบบฟิชชิงแล้ว ผู้โจมตีสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้สร้างโค้ดอันตราย (Malicious Code) ได้ง่ายขึ้น

ผู้ขายที่นำเสนอโมเดลพื้นฐาน Generative AI ต้องให้ความมั่นใจกับลูกค้าว่าได้มีการฝึกฝนและทดสอบโมเดลดังกล่าวนี้เพื่อปฏิเสธคำขอด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เป็นอันตราย อย่างไรก็ตามผู้ขายจะไม่ได้ให้เครื่องมือตรวจสอบการควบคุมความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพทั้งหมดแก่องค์กร โดยพวกเขายังให้ความสำคัญกับแนวทางป้องกันแบบ “ทีมผู้บุกรุกสีแดง หรือ Red Teaming ที่เป็นแนวทางการทดสอบระบบโดยแสร้งเป็นผู้บุกรุกทางดิจิทัลหรือทางกายภาพ เป็นอย่างมาก ซึ่งการใช้แนวทางนี้คือต้องการให้องค์กรมั่นใจเต็มที่กับความสามารถต่าง ๆ ที่ผู้ขายนำเสนอสำหรับจัดการตามเป้าหมายด้านความปลอดภัย

รับมือและจัดการความเสี่ยงจาก AI 

มีแนวทางทั่วไปที่เราสามารถดึงศักยภาพของ ChatGPT และแอปพลิเคชันที่คล้ายกันมาใช้อยู่สองแบบ ได้แก่ Out-Of-The-Box Model ที่ใช้ประโยชน์จากบริการที่มีอยู่เดิม โดยไม่ปรับแต่งค่าใด ๆ เพิ่มเติม และแนวทางที่สองคือ Prompt Engineering ที่ใช้เครื่องมือสร้าง ปรับแต่ง และประเมินข้อมูลอินพุตและเอาต์พุต

สำหรับการใช้ Out-Of-The-Box Model องค์กรต้องตรวจสอบข้อมูลเอาต์พุตของโมเดลทั้งหมดด้วยตนเอง เพื่อตรวจหาผลลัพธ์ที่ไม่ถูกต้อง ข้อมูลที่ผิดหรือคลาดเคลื่อนไม่เป็นกลาง โดยกำหนดกรอบการกำกับดูแลและการปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลเพื่อเปิดใช้โซลูชันจำพวกนี้ในองค์กร พร้อมวางนโยบายที่ชัดเจน ห้ามพนักงานถามคำถามที่เปิดเผยข้อมูลองค์กรหรือข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อน

องค์กรควรตรวจสอบการใช้งาน ChatGPT และโซลูชันที่คล้ายคลึงกันที่ไม่ได้รับอนุญาตด้วยการควบคุมความปลอดภัยและแดชบอร์ดที่มีอยู่สำหรับตรวจจับการละเมิดนโยบายการใช้งาน เช่น ไฟร์วอลล์ที่สามารถบล็อกการเข้าถึงของผู้ใช้ในองค์กร ข้อมูลความปลอดภัยและระบบการจัดการเหตุการณ์ที่สามารถตรวจสอบบันทึกการละเมิด และเว็บเกตเวย์ที่มีความปลอดภัยที่สามารถปิดกั้นการเรียกใช้ API ที่ไม่ได้รับอนุญาตได้

สำหรับการใช้ Prompt Engineering มีมาตรการลดความเสี่ยงทั้งหมดพร้อมใช้อยู่แล้ว ซึ่งองค์กรควรดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อปกป้องข้อมูลภายในและข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ที่ใช้สื่อสารกับเอไอในโครงสร้างพื้นฐานของบุคคลที่สาม โดยการสร้างและจัดเก็บข้อความการสื่อสารทางวิศวกรรมกับเอไอให้เป็นสินทรัพย์ถาวร

และสินทรัพย์เหล่านี้ยังสามารถแสดงการสื่อสารกับเอไออย่างมีนัยสำคัญและผ่านการตรวจสอบแล้วว่าสามารถนำมาใช้ได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ยังใช้เป็นคลังข้อมูลการสื่อสารกับเอไอที่ได้รับการปรับแต่งและพัฒนาขั้นสูงที่สามารถนำมาใช้ซ้ำ แชร์ หรือจำหน่ายต่อได้

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ออฟฟิศเมท พลัส ลุยขยายแฟรนไชส์ทั่วไทย เปิดรับนักลงทุนที่ใช่! มาต่อยอดสู่ความสำเร็จไปด้วยกัน ในงาน SMART SME EXPO 2023

แฟรนไชส์ร้านอุปกรณ์สำนักงานและสินค้าเพื่อธุรกิจ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล    เปิดรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ไฟแรงที่กำลังมองหาการลงทุนเพื่อต่อยอดกิจการครอบครัวหรือกิจการเดิมในท้องถิ่นที่มีฐานลูกค้าธุรกิจ B2B โดยชูคอนเซปต์ “ความสำเร็จ  ต่อยอดได้ไม่สิ้นสุด” ด้วยโมเดลแฟรนไชส์มาตรฐานค้าปลีกชั้นนำ ที่เน้นการขายเชิงรุกผ่านช่องทาง การขาย Omni Channel ให้คุณขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความสำเร็จและเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน  พร้อมการันตีกำไร 1 แสนบาท/เดือน (ตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด) พบกันได้ที่บูธออฟฟิศเมท พลัส    (บูธ A2B1) ในงาน SMART SME EXPO 2023 ฮอลล์ 8  อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่าง วันที่ 6-9 ก.ค. 66 พร้อมรับข้อเสนอส่วนลดค่าแรกเข้าแฟรนไชส์สุดพิเศษเฉพาะในงาน และสามารถพูดคุยกับที่ปรึกษาแฟรนไชส์มืออาชีพได้ฟรี! เราพร้อมแบ่งปันข้อมูลธุรกิจแฟรนไชส์แบบเจาะลึก สอบถามข้อมูลโทร. 099-128-5000 Line: @OFM_Plus หรือดูรายละเอียดที่ www.ofmplus.com


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ASOLAR มอบประสบการณ์ด้านพลังงานทางเลือก เพื่อความยั่งยืนให้กับกลุ่มธุรกิจองค์กรและกลุ่มโรงงาน

บริษัท เอโซลาร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้นำด้านการผลิตและจัดจำหน่ายโซลาร์เซลล์ ภายใต้แบรนด์ ASOLAR (เอโซลาร์) จัดกิจกรรมให้ความรู้ในภาพรวมของระบบและเทรนด์ในอนาคตของโซลาร์เซลล์ “ASOLAR Exclusive Conference 2023 Solar Rooftop for Your Business” พลังงานทางเลือกเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ

 นายเอกภัทร ปัญญาแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอโซลาร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงงานในครั้งนี้ว่า “ เอโซลาร์ มีแนวคิดในการขยายประเภทธุรกิจเพิ่มขึ้นด้วยการพาธุรกิจพัฒนาจากไฟ LED ธรรมดาให้เป็นพลังงานแสงอาทิตย์หรือโซลาร์เซลล์ที่หลากหลาย ปัจจุบันได้มุ่งเน้นการลดค่าไฟทั้งกลุ่มบ้านและโรงงานที่เรียกกันว่าระบบ Solar Rooftop และทางแบรนด์มีความภูมิใจและมีวิสัยทัศน์ที่จะสร้างความเป็นผู้เชี่ยวชาญในการติดตั้งระบบ Solar Rooftop และโอกาสนี้ได้ให้ความรู้ในภาพรวมของระบบโซลาร์ Solar Rooftop พลังงานทางเลือกเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ รวมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับการติดตั้งโซลาร์เซลล์และการดีไซน์ระบบโซลาร์รูฟท็อปให้สอดคล้องกับการใช้งานอาคาร ”

 นอกจากนี้ ยังได้ร่วมเชิญพาร์ทเนอร์พูดคุยในหัวข้อ Huawei Fusion Solar Smart PV Solutions for Green Home and the New Huawei AC Charger ที่ได้รับเกียรติจาก นายฐิตินันท์ ตรงเจริญชัย Business Development Manager จาก Huawei และ นายพงศ์เทพ พงศ์สุวรรณ Sales Manager จาก JA SOLAR ร่วมแบ่งปันความรู้ในหัวข้อ “เทคโนโลยีแผงโซลาร์เซลล์และประสิทธิภาพการผลิตแผง” และแบ่งปันประสบการณ์การใช้งานจริงจากลูกค้าที่ติดตั้งโซลาร์เซลล์จริงในโครงการพุทธอุทยานมหาราช โดย นายสหัสวรรษ ระดมสิทธิพัฒน์ ผู้จัดการโครงการพุทธอุทยานมหาราช ภายในงานยังมีธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกสิกรไทย ที่มามอบโปรโมชั่นดีๆ ให้กับผู้ประกอบการที่สนใจสินเชื่อด้านโซลาร์เซลล์ และภายในงานทาง JA SOLAR ได้มอบรางวัล Excellent Partner ให้กับทาง เอโซลาร์ อีกด้วย

เกี่ยวกับบริษัท ASOLAR

บริษัท เอโซลาร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด  ผู้นำตลาดและผู้เชี่ยวชาญด้านโซลาร์เซลล์มากกว่า 10 ปี พร้อมด้วยทีมช่างวิศวกรมืออาชีพคอยให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการดูแลและติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่มีคุณภาพ อีกทั้งให้ความสำคัญในเรื่องสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย ส่งมอบพลังงานสะอาดให้กับทุกบ้านทุกครอบครัว เพื่อให้สมาชิกในบ้านอุ่นใจว่าได้ใช้สินค้าที่ดีมีคุณภาพปลอดภัยต่อผู้ใช้และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนกลุ่มองค์กรธุรกิจและโรงงาน อุตสาหกรรมต่างๆ ด้วยคุณภาพที่ได้การยอมรับจาก 2,500 ไซต์งานทั่วประเทศที่ไว้วางใจ อีกทั้งยังมีศูนย์บริการทั่วประเทศกว่า 10 สาขา ภายใต้แนวคิด “เชี่ยวชาญ ใกล้บ้าน ใกล้คุณ” 

ติดต่อสอบถามข้อมูลสินค้าได้ที่ บริษัท เอโซลาร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (สำนักงานใหญ่) โทร 02 108 8599 หรือศึกษาเพิ่มเติมที่ www.asolar.co.th


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

สถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยีไทย-ฝรั่งเศส มจพ. ต้อนรับ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

ผศ.ดร.พีรพงษ์ พรวงศ์ทอง ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายวิจัยและพัฒนานวัตกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) พร้อมด้วย ผศ.ดร.วัฒนา แก้วมณี ผู้อำนวยการ และ ผศ.ดร.พรศักดิ์ ศรีสังสิทธิสันติ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารและพัฒนากิจการสถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยีไทยฝรั่งเศส  ร่วมให้การต้อนรับ นางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และคณะในโอกาสที่เข้าเยี่ยมชมการฝึกอบรมหลักสูตรผู้ตรวจสอบการเชื่อมสากล  รุ่นที่ 12/2566 โดยจัดให้กับบุคลากรจากสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 1 สมุทรปราการ  กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2566


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เฟดเอ็กซ์ผนึกกำลังมาสเตอร์การ์ด® ขยายโอกาสธุรกิจไทยให้โลดแล่นไปทั่วโลก

กรุงเทพฯประเทศไทย – 4 กรกฎาคม 2566 — เฟดเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส (FedEx Express) บริษัทในเครือเฟดเอ็กซ์ คอร์ปอเรชั่น (FedEx Corp.) (NYSE: FDX) หนึ่งในบริษัทผู้ให้บริการขนส่งสินค้าด่วนที่ใหญ่ที่สุดของโลก ประกาศความร่วมมือกับมาสเตอร์การ์ด เพื่อช่วยขยายขีดความสามารถให้แก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในไทย ร่วมถึงสนับสนุนลูกค้าบุคคลทั่วไปที่ต้องการส่งพัสดุไปยังต่างประเทศ

ภายใต้ความร่วมมือนี้ เฟดเอ็กซ์มอบส่วนลดค่าขนส่ง 40% ให้แก่ผู้ถือบัตรมาสเตอร์การ์ดในประเทศไทยที่เปิดบัญชีผู้ใช้งานรายบุคคลและใช้บริการขนส่งกับเฟดเอ็กซ์ และส่วนลด 45% แก่ลูกค้าธุรกิจที่เปิดบัญชีผู้ใช้งานรายบริษัทเป็นครั้งแรก ลูกค้ารายบุคคลและธุรกิจสามารถใช้ส่วนลดดังกล่าวกับบริการขนส่งระหว่างประเทศของเฟดเอ็กซ์ ที่มาพร้อมกับความสะดวก รวดเร็ว และราคาที่เข้าถึงได้ อาทิ  FedEx International Priority® Express, FedEx International Priority®, และ FedEx International Priority® Freight[1]

ลูกค้ารายใหม่จะได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในโปรแกรม My FedEx Rewards เพื่อสะสมคะแนนและแลกของรางวัล โดยผู้ใช้บริการรายใหม่จะได้รับคะแนนโบนัสแรกเข้าเพิ่มเป็นสองเท่า ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ผู้ถือบัตรมาสเตอร์การ์ดที่สนใจ สามารถเปิดใช้บัญชีได้ที่นี่

“เฟดเอ็กซ์ให้ความสนับสนุนช่วยเหลือให้ธุรกิจไทยสามารถส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศได้โดยง่ายยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยเครือข่ายที่มีอยู่ทั่วโลกซึ่งเป็นจุดแข็งของเรา การร่วมมือกับมาสเตอร์การ์ดในครั้งนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการมากยิ่งขึ้น ทั้งยังมาพร้อมกับอัตราในการบริการที่แสนคุ้มค่า ซึ่งจะช่วยขยายขีดความสามารถและเปิดโอกาสให้ธุรกิจในประเทศไทยได้เติบโตไปยังตลาดใหม่ ๆ ได้ทั่วโลกด้วยโซลูชันที่มีประสิทธิภาพและระบบดิจิทัลที่ล้ำหน้าของเรา” นายเทียน หลง วูน, กรรมการผู้จัดการ, เฟดเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส ประเทศไทยและมาเลเซีย กล่าว

เฟดเอ็กซ์ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพการบริการและโซลูชันทางการขนส่งอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อช่วยสนับสนุนธุรกิจไทยให้สามารถเติบไปได้ทั่วโลก ตัวอย่างบริการที่เชื่อมโยงธุรกิจไทยเข้ากับ 170 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ FedEx International Economy® (IE) services ผู้ใช้บริการสามารถส่งพัสดุหรือสินค้าไปถึงประเทศปลายทางในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้ใน 3 – 5 วันทำการ* และใช้เวลา 4 – 5 วันทำการเพื่อส่งพัสดุหรือสินค้าไปยังประเทศปลายทางในทวีปยุโรปและอเมริกา*[2] เฟดเอ็กซ์ยังมีบริการ FedEx® Delivery Manager International อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการ ให้ผู้รับพัสดุหรือสินค้า ณ ปลายทาง สามารถกำหนดและติดตามรายละเอียดการจัดส่งพัสดุได้ด้วยตนเองอย่างง่ายดายผ่านเว็บไซต์ของเฟดเอ็กซ์


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มข.ผนึกกำลัง บลจ.บัวหลวง สร้างนักการเงินและการลงทุนเลือดใหม่ยกระดับเศรษฐกิจครอบครัวอีสาน

ปัจจุบันสาขาการลงทุนและการบริหารจัดการลงทุนได้ก้าวขึ้นมามีความสำคัญในสาขาด้านการเงินที่เปิดกว้างในหลายรูปแบบ เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ท่ามกลางแนวคิด “ให้เงินช่วยทำงาน” เพื่อสร้างความมั่นคงและอิสรภาพทางการเงินก่อนวัยเกษียณ ประชาชนบางส่วนจึงเกิดความกระตือรือร้นที่จะ “หาทางเลือกการลงทุน” ที่ใช่เพื่อตอบโจทย์ชีวิตของตัวเอง

คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น  เล็งเห็นความสำคัญของการสร้างความเข้าใจในการเงินและการลงทุนที่ถูกต้องและยั่งยืน จึงได้ลงนามความร่วมมือกับ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (BBLAM) หรือ บลจ.บัวหลวง ณ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจด้านการลงทุน ครอบคลุมมิติของการบริหารจัดการความมั่งคั่ง การให้ข้อมูลด้านวิชาชีพในอุตสาหกรรมการจัดการลงทุน และการให้ความร่วมมือในเชิงการวิจัยเชิงลึกด้านวิชาการ โดยได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ เกรียงไกร  กิจเจริญ รองอธิการบดีฝ่ายทรัพยากรบุคคล มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นประธานในพิธี ร่วมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.กัลปพฤกษ์  ผิวทองงาม  คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด ผู้บริหารจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และ ผู้บริหารจากบมจ.กรุงเทพฯและ BBLAM เข้าร่วมในพิธี

ศาสตราจารย์ ดร.กัลปพฤกษ์  ผิวทองงาม คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า คณะเศรษฐศาสตร์มีการเรียนการสอนใน Modul Financial Economics ซึ่งเป็นกลุ่มรายวิชาที่นักศึกษาต้องใช้ความรู้ด้านการลงทุนอยู่แล้ว และ บลจ.บัวหลวง เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการจัดการลงทุน กองทุนส่วนบุคคล การจัดการกองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และการจัดการทรัพย์สินของผู้อื่น  “การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้จึงถือเป็นการยกระดับความรู้ของนักศึกษา ที่จะออกไปประกอบอาชีพทางด้านการเงิน และยังนำความรู้นั้นไปสร้างความเข้าใจในด้านการเงินและการลงทุนให้ประชาชน ซึ่งหากเราทำสำเร็จในครั้งนี้จะถือเป็นการยกระดับครอบครัวไทยด้านการเงินและการลงทุนด้วย”

ทั้งนี้ คณะเศรษฐศาสตร์ มข. และ บลจ.บัวหลวงได้มีความประสงค์ร่วมกันที่จะให้ความร่วมมือและให้การสนับสนุนทางวิชาการและการวิจัยเชิงลึกรวมไปถึงการร่วมดำเนินกิจกรรมภายในข้อตกลงความร่วมมือ ดังนี้  1) โครงการให้ความรู้ด้านการลงทุนและแนะแนววิชาชีพด้านการลงทุน (Wealth Management &  Asset Management) 2) โครงการสหกิจศึกษา3) โครงการให้ความรู้ด้านการออมและการลงทุนเบื้องต้น 4) โครงการความร่วมมือด้านวิชาการระหว่าง บลจ. บัวหลวง และ มหาวิทยาลัย 5) โครงการแข่งขัน Idea Pitch Competition 6) โครงการศึกษาพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า การลงนาม MOA ระหว่างบลจ.บัวหลวงและมหาวิทยาลัยขอนแก่นครั้งนี้ เป็น MOA ฉบับแรกที่บลจ.บัวหลวงได้ร่วมลงนามกับสถาบันการศึกษา เนื่องด้วยเล็งเห็นถึงการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดของภูมิภาคอีสานโดยที่มีขอนแก่นเป็นศูนย์กลาง การวางรากฐานทางการลงทุนในภาคอีสาน ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มศักยภาพการเติบโตของภูมิภาค ผนวกกับมหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นสถาบันที่เปี่ยมไปด้วยทรัพยากรบุคคลคุณภาพ องค์ความรู้ที่ทันสมัย และเครือข่ายที่จะสามารถเชื่อมโยงกับชุมชน    “ บลจ.บัวหลวงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือทางวิชาการครั้งนี้จะนำมาซึ่งผลสัมฤทธิ์ตามเป้าประสงค์ที่ได้กำหนดไว้ร่วมกัน รวมถึงบรรลุพันธกิจหลักของ บลจ. บัวหลวงที่จะทำให้ครอบครัวไทย มีความมั่นคงทางการเงิน ”

ภาพ/ข่าว : รวิพร  สายแสนทอง


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

แอสตร้าเซนเนก้า เผยผลสำรวจประชากรกลุ่มเสี่ยงในประเทศไทยกว่า 60% ยังคงได้รับผลกระทบในการใช้ชีวิตจากโควิด-19

แอสตร้าเซนเนก้า บริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก ตระหนักถึงผลกระทบและความเสี่ยงจากโควิด-19 ที่ยังคงส่งผลต่อการใช้ชีวิตของประชากรอีกนับล้านคนทั่วโลก จากผลสำรวจที่สะท้อนเสียงของกลุ่มประชากรที่ยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้าใจเกี่ยวภาวะทางสุขภาพและเตรียมความพร้อมให้กับประชากรกลุ่มนี้ถึงแนวทางในการป้องกันตนเอง แม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่เริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติแล้วก็ตาม

สำหรับประเทศไทย แอสตร้าเซนเนก้าเผยถึงผลสำรวจในกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องและประชากรกลุ่มเสี่ยงสูง (607) ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มประชากรราว 500,000 คนในประเทศ[1] ที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อและอาจเกิดอาการรุนแรงจากโควิด-19 ได้มากกว่าคนทั่วไป เพื่อทำความเข้าใจและแสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากโควิด-19 ในด้านต่างๆ โดย ราว 60% ของกลุ่มตัวอย่างได้เผยว่า โควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตทั้งในด้านสังคมและการทำงาน

นายโรมัน รามอส ประธาน บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “แม้ว่าวัคซีนและมาตรการป้องกันโควิด-19 อื่นๆ ในปัจจุบันจะสามารถป้องกันผลกระทบที่รุนแรงจากโควิด-19 ได้ แต่สำหรับประชากรกลุ่มเสี่ยงสูงและผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง มาตรการดังกล่าวอาจไม่เพียงพอ แอสตร้าเซนเนก้า จึงมุ่งเดินหน้าสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับแนวทางการป้องกันโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยยกระดับการดูแลสุขภาวะให้กับประชากรกลุ่มนี้ ซึ่งรวมถึงทางเลือกอื่นๆ ในการป้องกันและการรักษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงของการเกิดอาการรุนแรงหรือเสียชีวิตจากโควิด-19”

จากผลการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่า 40-44% ของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลจากโควิด-19 และมีประวัติเคยได้รับวัคซีนมาก่อน คือผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง[2] ซึ่งถึงแม้ว่าจะเคยได้รับวัคซีนมาแล้วก็ตาม ประชากรที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องมีแนวโน้มสูงที่จะเสียชีวิตระหว่างเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล[3] หรือมีอาการรุนแรงจนต้องเข้ารักษาตัวในแผนกผู้ป่วยวิกฤต (ICU)2 รวมถึงมีแนวโน้มที่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจขณะรักษาตัว[4]

สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องในประเทศไทย ยังคงเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงจากโควิด-19 เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ[5] อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างของผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องในประเทศไทยกลับพบว่า กว่า 87% เชื่อว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 มีประสิทธิภาพเพียงพอแล้วต่อการป้องกันโควิด-19 ในขณะเดียวกัน กลุ่มตัวอย่างถึง 92% มีความสนใจและอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางอื่นๆ ในการป้องกันโควิด-19

ผลการสำรวจดังกล่าวได้ตอกย้ำถึงความสำคัญของการสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวภาวะความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในกลุ่มประชากรดังกล่าว ตามเป้าหมายของแคมเปญ “เตรียมภูมิคุ้มกันให้ทุกความพิเศษ” จาก               แอสตร้าเซนเนก้า การส่งเสริมความตระหนักรู้ในวงกว้างจะช่วยให้ผู้ป่วยหรือผู้ที่มีความเสี่ยงตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และต้องการหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยการเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ให้บริการด้านสุขภาพเกี่ยวกับแนวทางอื่นๆ ในการป้องกันโควิด-19

นพ. วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ และรองผู้อำนวยการสถาบันบำราศนราดูร กล่าวว่า “สถานการณ์โรคระบาดได้ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประชากรกลุ่มเสี่ยงสูงหรือผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เพราะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิตได้มากกว่าคนทั่วไปหากได้รับเชื้อ ดังนั้น หากเรามุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับโควิด-19 เพื่อลดอัตราการเจ็บป่วยรุนแรงและอัตราการเสียชีวิต เราต้องให้ความสำคัญในการดูแลประชากรกลุ่มนี้ ด้วยการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อให้พวกเขาสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติ”

ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง และกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงจาก     โควิด-19 ได้มากกว่าคนทั่วไป ได้แก่

  • กลุ่มเสี่ยงสูง (607) ได้แก่ ผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปและผู้ป่วยกลุ่มโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค
  • ผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย ที่ได้รับการบำบัดทดแทนไตทั้งการฟอกเลือดและการล้างไตทางหน้าท้อง
  • ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะหรือได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
  • ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดหรือมะเร็งที่อวัยวะอื่นๆ
  • ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน หรือผู้ที่แพทย์พิจารณาแล้วว่ามีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีซีดีสี่น้อยกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.
  • ผู้ป่วยกลุ่มอื่นๆ ที่แพทย์พิจารณาแล้วว่าควรได้รับยา

แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย ได้สานต่อ แคมเปญ “เตรียมภูมิคุ้มกันให้ทุกความพิเศษ” โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงความจำเป็นในการปกป้องผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องและประชากรที่ยังคงมีความเสี่ยงสูงจากโควิด-19 เพื่อให้ผู้ป่วยมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันของตนเอง และขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากแพทย์ผู้รักษาเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติตนรวมถึงทางเลือกอื่นๆ ในการป้องกันโควิด-19

เกี่ยวกับ แอสตร้าเซนเนก้า

แอสตร้าเซนเนก้า (ชื่อย่อหลักทรัพย์ AZN ในตลาดหลักทรัพย์ LSE/ STO/ Nasdaq) เป็นบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก มุ่งเน้นทางด้านการคิดค้น พัฒนา และจำหน่ายยาเพื่อการรักษาโรค โดยเฉพาะในกลุ่มยาโรคมะเร็ง กลุ่มยาโรคหัวใจ ไต และระบบเผาผลาญ และกลุ่มยาโรคทางเดินหายใจ แอสตร้าเซนเนก้า มีฐานอยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร และดำเนินธุรกิจในกว่า 100 ประเทศ และมีผู้ป่วยหลายล้านคนทั่วโลกที่ได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมยาต่างๆ จาก แอสตร้าเซนเนก้า สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาไปยังเว็บไซต์ astrazeneca.com และช่องทางทวิตเตอร์ @AstraZeneca


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เตรียมเผยโฉมเทคโนโลยีสำหรับอาคารที่ยั่งยืนแบบครบวงจร ในงาน Innovation Summit Bangkok 2023

ปัญหาด้านพลังงานสำหรับอาคารส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยตรง ทั้งเจ้าของอาคารเอง หรือผู้เช่า รวมไปถึงระบบสิ่งอำนวยความสะดวก ครอบคลุมทั้งอาคารให้เช่าและอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงพยาบาล และคอนโดมิเนียม เพราะปัญหาพลังงานอาจทำให้เจ้าของอาคารต่างเล็งลดต้นทุนในภาพรวม ส่งผลต่อธุรกิจ ทำให้ผู้พักอาศัยไม่ได้รับความสะดวกสบายเท่าที่ควร ทั้งในปัจจุบันยังเป็นเทรนด์ในเรื่องความยั่งยืน ที่ผู้ประกอบการ ต่างต้องการไปให้ถึงจุดนั้น ดังนั้นโซลูชั่น EcoStruxure Building นับเป็นการตอบโจทย์แบบครบวงจร ทั้งผู้ประกอบการและผู้พักอาศัย นอกจากนี้อาคารในยุคปัจจุบันยังมีเรื่องของ EV Charger ที่จะเข้ามามีบทบาทรองรับการใช้งานรถไฟฟ้า ซึ่งทำให้เกิดโหลดการใช้พลังงานที่มากขึ้น หากไม่ได้มีการบริหารจัดการที่ดีพอก็จะทำให้พลังงานไม่เพียงพอในการใช้งานครอบคลุมทั้งอาคาร ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัญหาในอนาคต

ในงาน Innovation Summit Bangkok 2023 ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 5-6 กรกฎาคม ชไนเดอร์ อิเล็คทริค นำเทคโนโลยีสำหรับการบริหารจัดการอาคารเพื่อสร้างความยั่งยืน ช่วยให้ผู้บริหารสามารถบริหารจัดการอาคารได้แบบมีประสิทธิภาพ อาทิ

  • อาคารสำนักงาน: โซลูชั่นในการบริหารจัดการพลังงานในอาคาร และระบบอัตโนมัติ ด้วยสถาปัตยกรรมที่ปลอดภัย ให้ศักยภาพด้าน IoT มีความยืดหยุ่น ให้ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์พลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้อย่างครบวงจรในหนึ่งเดียว ช่วยลดต้นทุนด้านการใช้พลังงาน เช่น เมื่อห้องประชุมไม่มีคน เครื่องปรับอากาศจะหยุดทำงาน หรือไฟเปิด ปิดเฉพาะ พื้นที่ๆ ใช้งานเป็นต้น
  • โรงแรม: โซลูชั่นห้องพักเชื่อมต่อ EcoStruxure ที่ให้ความยืดหยุ่น ประหยัดพลังงาน สำหรับโรงแรมสามารถช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าที่เข้าพัก ด้วยประสบการณ์ห้องพักส่วนตัวที่เชื่อมต่อกับความต้องการของลูกค้าอย่างสมบูรณ์ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ใช้งานง่าย และยังช่วยเจ้าหน้าที่ ที่ได้รับการมอบหมายในการดูแลส่วนต่างๆ สามารถบูรณาการระบบการจัดการโรงแรม ห้องพัก และสิ่งอำนวยความสะดวกได้อย่างราบรื่น ทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการห้อง โซนต่างๆ  ส่งผลต่อความสะดวกสบายแก่ผู้เข้าพัก เช่น การปรับแต่งซีน ความสว่าง ให้เหมาะกับผู้เข้าพัก หรือกิจกรรมตามโซนต่างๆ ของโรงแรม หรือห้องพักได้อีกด้วย โซลูชั่นของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ไม่ได้มีความสามารถในการบริหารจัดการเพียงโรงแรมเดียว แต่ยังสามารถช่วยในการบริหารจัดการโรงแรมในเครือได้ทั่วโลก
  • เฮลธ์แคร์: โซลูชั่นที่เปี่ยมไปด้วยการสร้างความมั่นใจ และไว้วางใจให้กับลูกค้า ด้วยความปลอดภัยสูงสุด  สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับคนไข้ ไม่ว่าจะเป็นห้องปฏิบัติการ ห้องผ่าตัด ห้องพักผู้ป่วย โซนไอโซเลชั่น ซึ่ง EcoStruxure for Healthcare ช่วยให้ผู้ดูแลสามารถวิเคราะห์ และควบคุมในแต่ละโซน แต่ละห้องได้ตามความต้องการ และตามความจำเป็นตามเงื่อนไขทางสุขภาพของคนไข้ นอกจากนี้ยังช่วยให้เจ้าหน้าที่ลดเวลาในการทำงานที่ซ้ำซ้อน เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดแก่ธุรกิจโรงพยาบาลอีกด้วย
  • EV Charger: อุปกรณ์และระบบสำหรับเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าสำหรับอาคารและสถานีชาร์จ ได้แก่ EVlink Pro AC แบบใช้ไฟฟ้า 3 เฟส ให้พลังในการชาร์จ 7.4 kW, 11 kW, 22 kW, และ EVlink Pro DC โฟกัสการทำสถานีเป็นหลัก ตัวเครื่องทนทานใช้งานในสถานที่เปิดได้อย่างดี สามารถรองรับการชาร์จได้รวดเร็ว ตั้งแต่ 120 – 180 kW สามารถใช้งานพร้อมกันได้ถึง 2 หัวจ่ายต่อเครื่อง มาพร้อม โซลูชั่น EV Charging expert ช่วยในเรื่องการบริหารจัดการโหลดพลังงานทั้งหมดให้เพียงพอในการชาร์จ และไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานพลังงานในส่วนอื่น เช่นอาคาร หรืออุปกรณ์ชาร์จตัวอื่นๆ  และ EV Advisor ช่วยในการมอนิเตอร์สถานะของเครื่องชาร์จทั้งหมด พร้อมการวิเคราะห์ปัญหา ซึ่งโซลูชั่น EV Charger ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค เรียกได้ว่ามางานเดียวครบทั้งโซลูชั่นในการติดตั้ง ครอบคลุมทั้งอาคาร หรือสถานีชาร์จ

ร่วมสัมผัสประสบการณ์จากนวัตกรรมอาคารหนึ่งในโซลูชั่นด้านความยั่งยืน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในแบบครบวงจร ได้ในงาน Innovation Summit Bangkok 2023 ใน วันที่ 5-6 กรกฎาคม 2566 ณ Grand Hall ชั้น 2, ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

ลงทะเบียนได้แล้ววันนี้


Exit mobile version