Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อาจารย์ วทอ.มจพ. สร้างนวัตกรรมเครื่องคัดแยกดอกดาวเรือง อนุสิทธิบัตรแรกของคนไทย

ผศ.ขวัญชัย เสวีนันท์  ภาควิชาเทคโนโลยีวิศวกรรมเครื่องกล   วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)  ผู้สร้างนวัตกรรมเครื่องคัดแยกขนาดดอกดาวเรือง  ชิ้นแรกของคนไทย ที่ได้รับอนุสิทธิบัตร เลขที่ 21280 จดทะเบียน เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2566 ไอเดียเกิดจากการมองเห็นปัญหาของเกษตรกรไทย ด้านอุปกรณ์ทุ่นแรง ด้านการใช้แรงงานในภาคเกษตรลดลง รวมถึงยังขาดแคลนนวัตกรรมเกษตรที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีในการอำนวยความสะดวกในการทำงาน การลดระยะเวลา การลดจำนวนแรงงานคน เพื่อเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้น โดยขนาดของเครื่องมีความกว้าง  1,220 ยาว 2,450  สูง 1,550 มิลลิเมตร  ชุดโครงสร้างเครื่องจะประกอบไปด้วย ชุดถาดเขย่า ชุดลำเลียงและคัดแยก ชุดเปลี่ยนทิศทาง โครงเครื่องทำหน้าที่รองรับชิ้นส่วนต่าง ๆ  ถาดเขย่าตัวที่ป้อนดอกดาวเรือง ทำให้ดอกดาวเรืองเคลื่อนที่ตกลงมายังชุดเปลี่ยนทิศทางที่ดึงและลำเลียงดอกดาวเรืองที่ตกลงมาในแบบดอกที่เป็นลักษณะคว่ำ เพื่อให้ง่ายต่อการคัดแยกขนาด ชุดลำเลียงจะลำเลียงและคัดแยกขนาดของดอกดาวเรืองได้ทั้ง  ขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ชุดรองรับทำหน้าที่รองรับดอกดาวเรืองที่ตกลงมาจากชุดลำเลียงนำดอกดาวเรืองตกลงไปที่ตะกร้าด้านล่าง โดยที่ปลายของถาดรองรับมีตัวนับจำนวน    การออกแบบและสร้างเครื่องคัดแยกขนาดดอกดาวเรืองนำไปใช้งานทางการเกษตร ที่สามารถควบคุมระยะเวลาในการคัดแยกและลดความผิดพลาดจากการคัดแยกขนาดดอกดาวเรือง  ที่ครอบคลุมถึงการวางแผนการเพาะปลูกและสามารถเพิ่มผลผลิตที่มีคุณภาพขนาดของดอกดาวเรืองให้สมบูรณ์มากขึ้น

ผศ. ขวัญชัย เปิดเผยว่า ตนเองและคณะทำงานได้ลงพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร  ซึ่งเป็นพื้นที่ชาวเกษตรกรทำการปลูกดาวเรืองเป็นจำนวนมาก  ซึ่งในภาพรวมแล้วชาวเกษตรกรที่เพาะปลูกดอกดาวเรืองเพื่อการขายส่งตามฤดูกาล และเมื่อมีผลผลิตออกสู่ท้องตลาดเพื่อส่งจำหน่ายมีจำนวนมาก ความต้องการของดอกดาวเรืองจึงมีเพียงพอ ในทางกลับกันด้านแรงงานและกำลังคนในการตัดและคัดแยกดอกดาวเรืองขาดแคลน และไม่เพียงพอกับความต้องการ อีกทั้งทุกขั้นตอนของการคัดแยกดอกดาวเรืองยังใช้แรงงานคนที่มีทักษะและชำนาญสูงในการเก็บเกี่ยว และต้องมีประสบการณ์ในการทำงานลักษณะนี้ หากชาวเกษตรกรขาดทักษะและความชำนาญก็จะใช้ระยะเวลานาน และมีโอกาสในการคัดแยกดอกดาวเรืองผิดพลาด ส่งผลต่อคุณภาพของดาวเรืองอีกด้วย 

ลักษณะเด่นของเครื่องคัดแยกดอกดาวเรืองสอดคล้องกับลักษณะการใช้งานชาวเกษตรกรที่ง่าย เคลื่อนย้ายสะดวก ด้วยมีขนาดของเครื่องที่ถูกออกแบบรองรับได้เป็นอย่างดีด้วยชุดโครงสร้างเครื่องอย่าง ชุดถาดเขย่า ชุดลำเลียงและคัดแยก เป็นต้น ด้านความแม่นยำของชุดลำเลียงก็จะ ลำเลียงและคัดแยกขนาดของดอกดาวเรืองได้ทั้ง  ขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ได้ตามที่กำหนดไว้ เมื่อดอกดาวเรืองถูกชุดถาดเขย่าแล้ว ก็จะสู่กระบวนการลำเลียงและตกลงไปที่ตะกร้าที่รองรับไว้ด้านล่างของถาดรองรับดอกดาวเรืองพร้อมๆ กับตัวนับจำนวนดอกดาวเรือง จำนวนการคัดแยก 100 ดอกต่อ 3 นาที  สำหรับงบประมาณที่ใช้สร้างเครื่อง 50,000 บาท ใช้เวลาสร้าง  2 เดือน

นวัตกรรมเครื่องคัดแยกดอกดาวเรืองนี้ นับว่าเป็นประโยชน์ต่อชาวเกษตรกรและได้เสียงตอบรับที่ดี ประการสำคัญคือ สามารถตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายคือ การลดแรงงานคนของชาวเกษตรกร และยังช่วยในเรื่อง เวลาที่รวดเร็ว และประหยัดเวลาในการคัดแยกดอกดาวเรื่อง  รวมถึงช่วยลดข้อผิดพลาดในการคัดแยกดอกดาวเรือง  และนำไปต่อยอดความรู้โดยนำไปประยุกต์ใช้กับการเกษตรเพื่อให้การทำงานรวดเร็วขึ้น  ลดต้นทุนและประหยัดค่าใช้จ่าย และยังสามารถวางแผนในการทำการเกษตรครั้งต่อไปได้ และรวมไปถึงผลผลิตที่ดี มีคุณภาพ อนาคตสามารถใช้งานด้านอุตสาหกรรมเกษตรที่กว้างขวางมากขึ้นตามลำดับ ผศ. ขวัญชัย กล่าวท้ายที่สุด

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่  ผศ.ขวัญชัย  เสวีนันท์   ภาควิชาเทคโนโลยีวิศวกรรมเครื่องกล วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ โทรศัพท์ 081-803-8767

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เรียนฟรี !non degree 4 หลักสูตร คณะเกษตรฯ มข. ภายใต้โครงการผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่ฯ

คณะเกษตรฯ มข. ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ KKU Lifelong Education ตอบสนองความต้องการของสังคม ดันหลักสูตรต้นแบบ 4 หลักสูตร ภายใต้โครงการผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่ฯ สอดคล้องกับทิศทางในการขับเคลื่อน Education Transformation ในประเด็นที่ 2 การศึกษาตลอดชีวิตประเภท non degree เรียนฟรี ! มีผู้สนใจสมัครเรียนเกินเป้าหมาย

 รศ.ดร.ดรุณี โชติษฐยางกูร คณบดีคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า จากการที่สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว) โดยคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารโครงการผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่เพื่อสร้างกำลังคนที่มีสมรรถนะสูง สำหรับอุตสาหกรรม New Growth Engine ตามนโยบาย Thailand 4.0 และการปฏิรูปอุดมศึกษาไทย ในการประชุมครั้งที่ 3/2565 ได้มีมติเห็นชอบหลักสูตรภายใต้โครงการผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่ฯ จำนวน 20 หลักสูตร เพื่อจัดทำเป็นหลักสูตรต้นแบบ ของโครงการพัฒนาทักษะกำลังคนของประเทศ (Re-Skill/Up-Skill/New-Skill)

ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีหลักสูตรที่ได้รับการคัดเลือกเป็นหลักสูตรต้นแบบดังกล่าว จำนวน 4 หลักสูตร คือ 1. หลักสูตรการเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) 2. หลักสูตรเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร(Agriculture Biotechnology) 3.หลักสูตรการจัดการเกษตรปลอดภัยและการเกษตรอินทรีย์
และ 4. หลักสูตรการจัดการธุรกิจเกษตรในยุคดิจิทัล (Agricultural Business for Digital Society)

ทุกหลักสูตรเรียนฟรี โดยหลักสูตรแรกที่เริ่มจัดการเรียนการสอนคือ หลักสูตรการจัดการธุรกิจเกษตรในยุคดิจิทัล (Agricultural Business for Digital Society) มีผู้สนใจจากกลุ่มเป้าหมายจาก เกษตรกรพันธุ์ใหม่ (Smart Farmer) และกลุ่ม Young Smart Farmer ผู้เริ่มประกอบการธุรกิจเกษตร ผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร ได้แก่ ผู้ผลิต ผู้แปรรูป ผู้ค้าและผู้ส่งออก กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และผู้สนใจประกอบธุรกิจเกษตรสมัครเข้าร่วมโครงการร่วม 200 คน ผ่านการคัดเลือกเข้าเรียนจำนวน 58 คน มีระยะเวลาการเรียนหลักสูตร 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม – 21 กันยายน 2566

หลักสูตรแบ่งเป็น 5 Module ดังนี้ การพัฒนาแนวคิดผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร  การออกแบบโมเดลธุรกิจเกษตรและการจัดการธุกิจเกษตรสมัยใหม่ การใช้แนวคิดเชิงออกแบบเพื่อการตลาดและการตลาดดิจิทัล การเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและการสร้างแบรนด์ และ การตลาดบริการทางธุรกิจเกษตรด้วยจิตวิญญาณ เรียนทั้งแบบ Onsite และ Online โดยการเรียนภาคปฏิบัติจะได้ศึกษา ดูงานในสถานประกอบการ เมื่อเรียนจบหลักสูตรผู้เรียนจะได้รับประกาศนียบัตรรับรองการผ่านหลักสูตรและสามารถเก็บหน่วยกิต ตลอดหลักสูตรจำนวน 9 หน่วยกิต (จากการเรียน 3 Module) เพื่อนำไปใช้เรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นในอนาคต

รศ.ดร.ดรุณี กล่าวถึงการจัดทำหลักสูตรต้นแบบ non degree 4 หลักสูตรต้นแบบของ มข. ภายใต้โครงการผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่ฯ ว่า ในวันที่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนเทคโนโลยี มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีกระทบอย่างมากต่อบทบาทของมหาวิทยาลัยในแทบทุกพันธกิจ โดยด้านการศึกษา เราจะเห็นว่า ในปัจจุบันมหาวิทยาลัยจะไม่ใช่พื้นที่สำหรับคนศึกษาตามระบบเท่านั้น ซึ่งนับวันจะน้อยลงเพราะเราก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แต่มหาวิทยาลัยจะเป็นพื้นที่การเรียนรู้สำหรับคนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย ในการที่จะเข้ามาเรียน โดยเฉพาะ การ reskill /upskill

ทั้งนี้  KKU lifelong learning ก็เกิดขึ้นภายใต้นโยบาย Education Transformation ของท่านอธิการบดี รศ.นพ. ชาญชัย พานทองวิริยะกุล ดังนั้นจะเห็นว่ามีหลักสูตรใหม่ๆ เกิดขึ้น รวมทั้งหลักสูตรประเภท non degree  เพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงนี้ และเป็นที่แน่นอนว่า ภาคการเกษตรฯ มีบทบาทที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ การพัฒนากำลังคนด้านนี้ในภาคส่วนต่างๆ จึงมีความสำคัญ การจัดหลักสูตร non degree ต้นแบบ 4 หลักสูตร ที่กระทรวง อว. เลือกให้ มข. ทำ ก็เป็นความร่วมมือของคณะ/ส่วนงาน เกือบ 10 ส่วนงาน ร่วมกันพัฒนาหลักสูตร และจัดการเรียนการสอน ร่วมกับสถานประกอบการต่างๆ ซึ่งก็เป็นการตอบสนองนโยบายด้าน spiritual ด้วยเช่นกัน

สำหรับหลักสูตรที่จะเปิดจัดการเรียนการสอนต่อไป คือ หลักสูตรการเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) ระหว่างวันที่ 22 กรกฎาคม – 17 กันยายน 2566 สำหรับนิสิต/นักศึกษาชั้นปีที่ 3 หรือผู้สำเร็จการศึกษาระดับ ปวส. ผู้ที่ทำงานแล้วและต้องการเพิ่มพูนสมรรถนะ ผู้ที่ทำงานแล้วแต่ต้องการเพิ่มพูนสมรรถนะที่แตกต่างไปจากเดิม กลุ่มอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล และผู้สนใจประกอบธุรกิจการเกษตร ซึ่งอีก 2 หลักสูตรคือ หลักสูตรเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร (Agriculture Biotechnology) ระยะเวลาการเรียนหลักสูตร 5 สิงหาคม – 19 พฤศจิกายน 2566 และหลักสูตรการจัดการเกษตรปลอดภัยและการเกษตรอินทรีย์ ระยะเวลาการเรียนหลักสูตร สิงหาคม – มกราคม 2567 ก็ได้รับความสนใจจากประชาชนกลุ่มต่างๆ เป็นอย่างมาก

นับได้ว่าการจัดทำหลักสูตรต้นแบบ non degree 4 หลักสูตร ของคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ครั้งนี้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อสร้างบัณฑิตพันธุ์ใหม่ และกำลังคนที่มีสมรรถนะและศักยภาพสูงสำหรับการทำงานในอุตสาหกรรมใหม่สู่ New S-Curve และเป็นกลไกสำคัญ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (New Growth Engines) ของประเทศ เพื่อสร้างฐาน (Platform) การพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาแห่งอนาคต โดยปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตบัณฑิตและสร้างต้นแบบของหลักสูตรและการเรียนการสอน โดยเน้นการปรับเปลี่ยนเนื้อหาสาระ โครงสร้างหลักสูตร และกระบวนการจัดการเรียนการสอน สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติในสภาพจริงเป็นสำคัญ พัฒนาการศึกษาเพื่อสร้างให้ผู้เรียนมีสมรรถนะและศักยภาพสูง รวมทั้งการร่วมมือกับสถานประกอบการหรือภาคอุตสาหกรรมในการผลิตบัณฑิตและกำลังคน รวมทั้ง ยังสนองตอบต่อยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยขอนแก่นในการขับเคลื่อน KKU Lifelong Education อีกด้วย

ท่านสามารถสมัครเรียนได้ที่

 https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSeoep68QrqhExGlspDVmjchIlj7Hkra2eY68POMDvOHfP_8Mg/closedform

ข่าว  : เบญจมาภรณ์  มามุข


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

IRPC ผนึก Metro Systems ร่วมพัฒนาต่อยอดธุรกิจขยายตลาดให้บริการด้าน Digital Solution

IRPC จับมือ Metro Systems ลงนามบันทึกข้อตกลงพันธมิตรการค้า ร่วมพัฒนาต่อยอดธุรกิจการให้บริการด้านดิจิทัล ด้วยความชำนาญ และประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีของทั้งสองบริษัท โดยแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน   สร้างโอกาสทางธุรกิจ ต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อร่วมกันพัฒนาธุรกิจให้บริการด้าน Digital Solution ประกอบด้วย Application and Automation service, Technology consult, Infrastructure service, Cloud service, data Analytic, และ cybersecurity service

วันที่ 17 กรกฎาคม 2566 นายปรเมศร์ จุลวิชิต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริหารศักยภาพองค์กร และดิจิทัล บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC  พร้อมด้วย นายชัยวัฒน์ ลิขิตจรรยากุล รองกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจซอฟต์แวร์โซลูชั่น บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ Metro Systems ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพันธมิตรทางการค้าด้านซอฟต์แวร์และดิจิทัล ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อร่วมกันพัฒนาธุรกิจที่ให้บริการด้านดิจิทัล โดยอาศัยความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ รวมถึงทรัพยากรด้านเทคโนโลยี ประกอบด้วย Application and Automation service, Technology consult, Infrastructure service, Cloud service, Data Analytic, และ Cybersecurity service ในการพัฒนาและต่อยอดโครงการต่างๆ พร้อมสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ และขยายตลาดใหม่ให้กับทั้งสองบริษัทในการเสนอ Digital Solution ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการผลักดันธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน

นายปรเมศร์ จุลวิชิต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริหารศักยภาพองค์กร และดิจิทัล IRPC เปิดเผยถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า “IRPC ได้นำเทคโนโลยีดิจิทัล และนวัตกรรมยุคใหม่ มาประยุกต์ใช้กับกระบวนการทำงานภายในของบริษัท รวมถึงการนำข้อมูลต่างๆ มาประมวลผล และวิเคราะห์เชิงลึกจนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เช่น การทำ Robot Software, AI, Data Science, IT Security เป็นต้น มาช่วยการทำงานเพื่อต่อยอดด้านการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจ ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพ และยกระดับความปลอดภัยในการทำงาน ทำให้ทีม IRPC Digital (นำทีมโดย คุณสุวรรณ ศรีนวล ผู้จัดการฝ่ายดิจิทัล) มีองค์ความรู้ และประสบการณ์ด้านดิจิทัล ที่สามารถร่วมกันสร้างโอกาสทางธุรกิจ และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพิ่มศักยภาพทักษะการให้บริการ ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ภายใน IRPC สามารถขยายผลออกไปสู่ลูกค้าภายนอกได้ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้วยความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และนวัตกรรมยุคใหม่ มาช่วยเสริมศักยภาพ และทักษะให้กับทีม IRPC โดยถือเป็นโอกาสทางธุรกิจอันดีที่ IRPC ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพันธมิตรทางการค้าด้านซอฟต์แวร์ และดิจิทัล กับ บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในการยกระดับการให้บริการด้านดิจิทัลครั้งนี้”

นายชัยวัฒน์ ลิขิตจรรยากุล รองกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจซอฟต์แวร์โซลูชั่น บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติ และภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสร่วมมือกับ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ในการร่วมพัฒนาทีม IRPC Digital ผมมีความมั่นใจว่า เราจะมีส่วนร่วมในการ Transform Business ของ IRPC Digital ไปเป็นผู้ให้บริการทางด้านดิจิทัลให้กับลูกค้ารายใหม่ๆ ของ IRPC ได้ ซึ่งเราเป็นผู้เชี่ยวชาญในการให้บริการโซลูชั่นทางเทคโนโลยี โดยมีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญกว่า 37 ปี Metro Systems ยังได้ร่วมกันพัฒนา Robotic Process Automation (RPA) กว่า 4 ปี ในการแลกเปลี่ยนความรู้ทางด้านเทคโนโลยี เราเล็งเห็นถึงโอกาสในการพัฒนาธุรกิจร่วมกัน โดยอาศัยความรู้ความสามารถ ความชำนาญ และทรัพยากรในด้านเทคโนโลยีที่ Metro Systems และ IRPC มี โดยเรามีความเชี่ยวชาญในด้าน Application and Automation service, Technology consult, Infrastructure service, Cloud service, Data Analytic, และ Cybersecurity service ที่เป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้กับ IRPC มีความพร้อมทั้งทางด้านบุคลากรที่มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในแต่ละโซลูชั่น รวมถึงทรัพยากรในด้านต่างๆ ที่พร้อมจะสนับสนุน ผมเชื่อว่าจากการร่วมมือกันในครั้งนี้ จะทำให้ทั้งสองบริษัทสามารถพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด เพื่อให้ทันความเปลี่ยนแปลงทั้งในอุตสาหกรรม และเทคโนโลยี ที่รวดเร็วในปัจจุบัน ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือพันธมิตรทางการค้านี้ Metro Systems และ IRPC จะร่วมกันพัฒนา และต่อยอดโครงการต่างๆ สร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ๆ นำศักยภาพที่มีมาร่วมกันพัฒนาธุรกิจ ผ่านโซลูชั่นที่ใช้ได้จริง และเป็นประโยชน์ต่อองค์กร เพื่อช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการผลักดันให้กับธุรกิจ หรือองค์กรอื่นๆ ในประเทศไทยเติบโต และยั่งยืนอย่างแน่นอน”

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโปรดติดต่อ คุณสุภาพรรณ ถ้วนกำจร โทร.02-089-4938 email: supapthu@metrosystems.co.th Website: https://www.metrosystems.co.th/


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. แถลงข่าวทีมหุนยนต์ iRAP ROBOT คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 9 โชว์นวัตกรรมยอดเยี่ยมระดับโลก

.ดร.สุชาติ  เซี่ยงฉิน อธิการบดี  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เปิดเผยว่า ทีมหุ่นยนต์  iRAP Robot  (ไอราฟ โรบอท) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) คว้าแชมป์โลกรางวัลชนะเลิศ หุ่นยนต์กู้ภัย World Robocup Rescue 2023 โดยเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 9 และได้รางวัล Best in class mobility (สมรรถนะการขับเคลื่อนยอดเยี่ยม) และ รางวัล Best in class mapping (การสร้างแผนที่จำลองเสมือนจริงยอดเยี่ยมระดับโลก) ณ เมืองบอร์โด ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 4 -10 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา  ผลงานหุ่นยนต์  iRAP Robot  นับเป็นการสร้างชื่อเสียงในระดับโลกให้ประเทศไทยและ มจพ. แชมป์โลกหุ่นยนต์กู้ภัยสมัยที่ 9  มจพ. จึงเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกแห่งเดียวในโลกที่เป็นแชมป์หุ่นยนต์กู้ภัยถึง  9 สมัย ยืนหนึ่งโชว์นวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมระดับโลก นับได้ว่ามีความสำเร็จเป็นอย่างมากทั้งในด้านของทีมเวิร์คของนักศึกษาทีมแชมป์โลกหุ่นยนต์กู้ภัยของมหาวิทยาลัยได้นำชื่อเสียงมาสู่มหาวิทยาลัยและประเทศชาติครั้งนี้  โดยมีทีมหุ่นยนต์กู้ภัยเข้าร่วมจำนวน 17 ทีม จากนานาประเทศชั้นนำด้านเทคโนโลยี ประกอบด้วย อเมริกา เยอรมัน ญี่ปุ่น จีน เม็กซิโก บังกลาเทศ เกาหลีใต้ ออสเตรีย ฝรั่งเศส ตุรกี และไทย  โดยประเทศไทยสามารถคว้าชัยชนะได้

อาจารย์ดร.อรัญ แบล็ทเลอร์ อาจารย์ที่ปรึกษาและควบคุมทีม กล่าวว่า เมื่อหุ่นยนต์ iRAP Robot ปรากฏตัวขึ้นในสนามย่อมเป็นตัวเต็งในการแข่งขันครั้งนี้ สามารถสะกดสายตาทีมอื่น ด้วยศักดิ์ศรีที่เป็นแชมป์โลกหลายสมัย จึงทำให้ทีมเราต้องพัฒนาศักยภาพ และสร้างสรรค์นวัตกรรมที่โดดเด่น ฝีมือขั้นเทพจากนักศึกษารั้วมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ แบบ 100%” เติมเต็มทุกกระบวนการในการสร้างหุ่นยนต์ให้ตรงความต้องการของโจทย์และกติกาการแข่งขันในเวทีระดับโลกยุคใหม่ในหลาย ๆ ด้าน สำหรับการพัฒนาต่อยอดให้ความสำคัญเทคโนโลยีทุกด้าน รวมถึงการสร้างหุ่นยนต์ให้เป็นอัตโนมัติมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรักษาแชมป์ให้ได้ต่อไป  ในปีนี้หุ่นยนต์ iRAP Robot ได้รับรางวัล Best in class mapping (การสร้างแผนที่จำลองเสมือนจริงยอดเยี่ยมระดับโลก) เป็นรางวัลที่สร้างภาคภูมิใจมาก เนื่องจากได้รับคื่นชมจากคณะกรรมผู้ตัดสินว่าได้ออกแบบ และสร้างแผนที่จำลองเสมือนจริงที่สมบูรณ์แบบกว่าทุกปีที่ผ่านมา นับเป็นปีแรกที่สามารถคว้ารางวัลนี้มาจากทีมเยอรมันได้สำเร็จ

จุดเด่นที่ทำให้ทีมหุ่นยนต์กู้ภัยคว้าแชมป์โลกในครั้งมีอยู่ 3 องค์ประกอบที่บ่งบอกถึงสมรรถนะ 3 ด้าน

1. Mobility หรือด้านการขับเคลื่อน หุ่นยนต์ของเราสามารถวิ่งผ่านสิ่งกีดขวางอย่างเช่น หิน ทราย หรือบล๊อกไม้ซึ่งเป็นการจำลองการเกิดอุบัติภัย อาคารถล่ม

2. Dexterity หรือด้านการใช้แขนกล หุ่นยนต์สามารถใช้แขนกลในการหยิบจับสิ่งกีดขวางหรือวัตถุในพื้นที่ประสบภัย หรือการเปิดประตูอาคาร

3. Exploration หรือ Mapping หรือด้านการสำรวจและทำแผนที่ หุ่นยนต์ของเราสามารถสร้างแผนที่สภาพแวดล้อมที่ได้วิ่งผ่าน เพื่อดูว่ามีสิ่งกีดขวางตรงไหนบ้าง เส้นทางการเดินทางที่เหมาะสมเป็นอย่างไร นอกจากนี้จะมีระบบการตรวจจับวัตถุอัตโนมัติซึ่งใช้ระบบของ AI หรือ Neural network ในการทำงาน โดยเมื่อระบบตรวจจับตรวจพบวัตถุ เช่นป้ายวัตถุไวไฟ วัตถุที่สามารถระเบิดได้ ตำแหน่งของวัตถุดังกล่าวจะถูกพลอตลงไปยังแผนที่ ทำให้เราจะสามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวในการช่วยเหลือทีมหน่วยกู้ภัยในการระบุเส้นทางหรือพื้นที่เสี่ยงที่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อลดความเสี่ยงในการเข้าสู่พื้นที่ประสบภัยจริง

ผศ.นพดล  พัดชื่น  อาจารย์ที่ปรึกษาและควบคุมทีม เล่าให้ฟังถึงการออกแบบและสร้างหุ่นยนต์ว่า ทั้งหมดของฮาร์ดแวร์ ส่วนโครงสร้าง และการออกแบบ ถูกออกแบบและสร้างด้วยฝีมือเด็กไทย มีเพียงชิปประมวลผลที่ยังต้องอาศัยจากต่างประเทศเนื่องจากประเทศไทยยังผลิตไม่ได้  ส่วนซอฟต์แวร์ทั้งหมดก็ถูกออกแบบและสร้างขึ้นจากฝีมือนักศึกษาและอาจารย์ในทีมทั้งหมดไม่ได้ใช้ของจากต่างประเทศ  เสริมให้สมรรถนะของหุ่นยนต์  iRAP Robot  สามารถทำคะแนนมาเป็นอันดับหนึ่งทุกรอบ โดยรอบคัดเลือกได้ 1411% รอบก่อนชิงชนะเลิศได้ 695%  ซึ่งทำให้บรรยากาศการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศเป็นไปอย่างเข้มข้น สร้างความกดดันให้กับทุกทีม จากเวทีการแข่งขันหุ่นยนต์กู้ภัยโลก “World RoboCup Rescue 2023” นับได้ว่าความสำเร็จในครั้งนี้เป็นความมุ่งมั่นในการทำงานอย่างเป็นระบบมีการทำงานเป็นทีมและทุกคนมีสติและเป้าหมายร่วมกัน

สมาชิกในทีม iRAP ROBOT ที่แถลงข่าวในวันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2566 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ประกอบด้วย (1) นายจิรกานต์ สุขเจริญ (หัวหน้าทีมหุ่นยนต์ iRAP Robot) 

(2) นายฐิติยศ ประกายธรรม (3) นายภูมิทรรศน์ สังขพันธ์  (4) นายศักดิธัช วินิจสรณ์ (5) นายชัยพฤกษ์ เลาหะพานิช (6) นายอาทิตย์ นาราเศรษฐกุล (7) นายปิยภูมิ ธนวุฒิอนันต์ (8) นายกลย์ภัทร์ บุญเหลือ (9) นายธรณินทร์ อุ่นอารีย์  (10) นายธนกร กุลศรี  (11) นายนภดล   จำรัสศรี  (11) นายเจษฎากร ชัยนราพิพัฒน์ (13) นายภูบดี บุญจริง  ด้านอาจารย์ที่ปรึกษาและควบคุมทีม มี (1) ผศ.สมชาย เวชกรรม (2) รศ.ดร.ธีรวัช บุณยโสภณ (3) อาจารย์ ดร.จิรพันธุ์  อินเทียม  (4)  อาจารย์ ดร.อรัญ แบล็ทเลอร์  และ (5) ผศ.นพดล พัดชื่น

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ  (มจพ.)  ขอแสดงความยินดีและชื่นชมกับแชมป์หุ่นยนต์กู้ภัยโลก สมัยที่ 9 ของ มจพ. ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งอีกครั้ง ด้วยฝีมือสุดคลาสสิคบนเวทีโลก และสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย  อาจกล่าวได้ว่า มจพ. เป็นแชมป์โลกหุ่นยนต์ที่นานาชาติรู้จักฝีไม้ลายมือและชื่อเสียงเยาวชนไทยเป็นอย่างดี  เป็นการตอกย้ำความเป็นที่สุดของแชมป์โลกแบบครบเครื่องในระยะเวลาถึง 17 ปี  ตั้งแต่แชมป์โลกหุ่นยนต์กู้ภัยสมัยที่ 1 ของ มจพ.ในปีพ.. 2549 ( .. 2006 ) จากเวทีการแข่งขัน  World RoboCup Rescue กับทีมหุ่นยนต์กู้ภัยนานาชาติทั่วโลก ณ เมือง เบรเมน ประเทศเยอรมัน  ล่าสุด แชมป์โลกหุ่นยนต์กู้ภัยสมัยที่ 9 ของ มจพ. ในปีพ.. 2566 (.. 2023) จากเวทีการแข่งขัน World RoboCup Rescue กับทีมหุ่นยนต์กู้ภัยนานาชาติทั่วโลก ณ เมืองบอร์โด ประเทศฝรั่งเศส

นับเป็นการรักษาแชมป์โลกหุ่นยนต์กู้ภัยให้กับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)ได้สำเร็จเป็นสมัยที่  9  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ขอแสดงความยินดีและชื่นชมในความสามารถของนักศึกษาทุกท่านที่สร้างชื่อเสียงมาสู่มหาวิทยาลัยและประเทศชาติและทำให้ต่างชาติทึ่งและยอมรับในศักยภาพและความสามารถของเยาวชนไทย

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ซีพี-เมจิ เปิดตัว “ซีพี-เมจิ รีไซขุ่น” ชวนผู้บริโภคส่งแกลลอนนม รีไซเคิลเป็นถังขยะ

13 กรกฎาคม 2566, กรุงเทพฯ – บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด ผู้นำในอุตสาหกรรมนมพาสเจอร์ไรส์ของประเทศไทย เปิดตัวแคมเปญ “ซีพี-เมจิ รีไซขุ่น” เชิญชวนประชาชนส่งแกลลอนนมเมจิ ซึ่งเป็นพลาสติกแบบขุ่น (HPDE) และเป็นผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายมากที่สุดของซีพี-เมจิ เพื่อนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ตั้งเป้าเก็บ 15,000 แกลลอน  แปรรูปเป็นเม็ดพลาสติกเพื่อนำมาผลิตเป็น “ถังขยะ เพื่อแยกขยะ” จำนวน 500 ถัง มอบให้จังหวัดสระบุรี ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566

ซีพี-เมจิ มีเจตนารมณ์ขององค์กรและนโยบายการพัฒนาความยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “เพิ่มคุณค่าชีวิต – Enriching Life” และหนึ่งในประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน คือการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณขยะพลาสติก โดยเฉพาะพลาสติกประเภท HDPE (High Density Polyethylene) หรือพลาสติกแบบขุ่นซึ่งเป็นพลาสติกที่ใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์นมเมจิ จึงเปิดตัวโครงการ “ซีพี-เมจิ รีไซขุ่น” เพื่อรณรงค์ให้คนไทยร่วมกันส่งแกลลอนนมที่ใช้แล้ว เข้าสู่กระบวนการจัดการที่ถูกต้อง และเพิ่มคุณค่าด้วยการรีไซเคิลเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีประโยชน์ต่อชุมชน

นางสาวชาลินี พูนลาภมงคล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด กล่าวว่า “โครงการ ซีพี-เมจิ รีไซขุ่น เป็นหนึ่งในโครงการเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ และเป็นก้าวแรกของซีพี-เมจิ ในการดำเนินการด้านขยะพลาสติก ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ระดับประเทศและระดับโลก

“พลาสติก HDPE นั้นสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ แต่ยังไม่ได้มีการทำอย่างแพร่หลายนัก เนื่องจากซีพี-เมจิ มีการใช้บรรจุภัณฑ์ประเภท HPDE เป็นจำนวนมาก เราจึงริเริ่มโครงการนี้ขึ้น เพื่อสร้างการรับรู้ และสร้างความร่วมมือกับลูกค้าและผู้บริโภคของเราในการแยกขยะพลาสติก โดยเฟสแรกนี้ เราตั้งเป้าในการเก็บแกลลอนพลาสติกจำนวน 15,000 แกลลอน นำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล และแปรรูปเป็นถังขยะสีเหลืองสำหรับขยะรีไซเคิล จำนวน 500 ถัง ส่งมอบให้กับจังหวัดสระบุรี เพื่อกระจายไปยังพื้นที่ชุมชนและพื้นที่สาธารณะทั่วจังหวัด ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ด้านการจัดการขยะอย่างถูกต้องให้กับทุกภาคส่วนต่อไป

ทางด้านนายทศพล ศุภเมธีกูลวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร CirPlas ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจัดการขยะพลาสติก กล่าวว่า “ปัจจุบันประเทศไทยมีขยะพลาสติกมากถึง 2 ล้านตัน โดยขยะมากกว่า 75% ไม่ได้รับการจัดการที่ถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งมักจะถูกนำไปฝังกลบ หรือเผาทำลาย ส่งผลให้เกิดการหลุดรอด และตกค้างในสิ่งแวดล้อม ส่วนพลาสติกที่ถูกนำกลับมารีไซเคิลสูงที่สุดคือพลาสติกประเภท PET อยู่ที่ 70% รองลงมาคือ PP 25% และ บรรจุภัณฑ์ประเภท HDPE อยู่ที่ 20% ซึ่งต้องขอขอบคุณโครงการซีพี-เมจิ รีไซขุ่น ที่จะทำตัวเลขตรงนี้มีการเปลี่ยนแปลงให้สูงขึ้นเรื่อยๆ ไปในทางที่ดีขึ้น โดยทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ ด้วยการแยกขยะอย่างถูกต้อง เพียงแค่นำแกลลอนพลาสติกไปทิ้ง ณ จุดรับทิ้งของ CirPlas กว่า 60 จุดทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล บริษัทฯ จะทำการเก็บและนำไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลเป็นเม็ดพลาสติกใหม่ ซึ่งจะถูกนำไปผลิตเป็นถังขยะต่อไป โดยลูกค้าสามารถค้นหาข้อมูลของจุดรับทิ้งได้ที่ เฟสบุค CirPlas หรือ Line Official (@cirplas) และลูกค้าสามารถสังเกตเครื่องหมายแคมเปญ ซีพี-เมจิ รีไซขุ่นได้ทุกจุดรับทิ้งแกลลอน”


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ผลสำรวจจากการ์ทเนอร์เผยผู้บริหารระดับซีอีโอระบุว่า AI คือเทคโนโลยีที่สร้างผลกระทบสูงสุดต่อภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ

  • ครึ่งหนึ่งของบรรดาซีอีโอเผยว่า “การเติบโต (Growth)” เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มีความสำคัญเป็นอันดับแรก
  • ซีอีโอส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่าภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและถดถอยจะเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้น ๆ และส่งผลกระทบไม่ลึก
  • ปัญหาเงินเฟ้อและความอ่อนไหวด้านราคากำลังทำให้พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุด

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 13 กรกฎาคม 2566 – การ์ทเนอร์เผยผลสำรวจของซีอีโอและผู้บริหารระดับสูง พบว่า 21% ระบุว่าปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่สุดและเชื่อว่าจะส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมไปในอีก 3 ปีข้างหน้านี้

มาร์ค ราสกิโน รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “Generative AI จะส่งผลกระทบอย่างสูงต่อธุรกิจและรูปแบบการดำเนินงานต่าง ๆ อย่างไรก็ตามความกลัวที่จะตกเทรนด์หรือพลาดโอกาสทางธุรกิจกลับเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของตลาดเทคโนโลยี โดย AI กำลังเข้าไปสู่จุดที่ผู้บริหารที่ยังไม่ลงทุนในเทคโนโลยีนี้เริ่มกังวลว่าพวกเขาอาจพลาดบางสิ่งที่สำคัญในการแข่งขัน”

The 2023 Gartner CEO and Senior Business Executive Survey เป็นรายงานประจำปี จัดทำขึ้นเพื่อสำรวจมุมมองของบรรดาผู้บริหารธุรกิจอาวุโสกว่า 400 ราย ครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรม ที่มีรายได้และขนาดองค์กรแตกต่างกัน จากทั้งภูมิภาคอเมริกาเหนือ (North America), ยุโรป, เอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลางและแอฟริกาใต้

ครึ่งหนึ่งของซีอีโอมองว่า “Growth” คือ กลยุทธ์ทางธุรกิจที่มีความสำคัญอันดับแรก

คริสติน โมเยอร์ รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “เมื่อต้องจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ซีอีโอรู้สึกลังเลแต่ยังเดินหน้าไปต่อ โดยซีอีโอเกินครึ่งเชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและถดถอยในปีนี้จะกินเวลาช่วงสั้น ๆ และผลสำรวจยังเผยให้เห็นว่ากระแสเงินสด เงินทุน และการระดมทุนมีการเพิ่มขึ้นเล็กน้อย”

แม้องค์กรจะเผชิญกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ถาโถมเข้ามา แต่ครึ่งหนึ่งของผู้บริหารระดับสูงระบุว่าการเติบโต (Growth) เป็นความสำคัญเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจอันดับแรกในอีกสองปีข้างหน้านี้ โดยยังให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีอยู่ในอันดับต้น ๆ รองลงมา คือ ประเด็นด้านแรงงาน (ดูรูปที่ 1)

รูปที่ 1: สิบอันดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจของซีอีโอ ช่วงปี 2566-2567 (รวมคำตอบสามอันดับแรก)

ที่มา: การ์ทเนอร์ (พฤษภาคม 2566)

“หลังสามปีแห่งความผันผวน การจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินธุรกิจของซีอีโอเริ่มมั่นคง โดยผู้นำในระดับผู้บริหารกำลังมองทะลุผ่านช่วงเวลาวิกฤตรอบด้านไปสู่ช่วงเวลาแห่งการขับเคลื่อนการแข่งขันในยุคถัดไปที่ยึดพนักงานที่มีความสามารถ (Talent) ความยั่งยืน (Sustainability) และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) เป็นปัจจัยขับเคลื่อนและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยมีการกล่าวถึงความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น 25% จากการสำรวจเมื่อปีก่อน นับเป็นครั้งแรกที่ความยั่งยืนติด 10 อันดับแรกของความสำคัญเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจ และการ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2569 ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมจะมีความสำคัญสูงกว่าหมวดเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง

เงินเฟ้อดันพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน

ซีอีโอ 22% ระบุว่าเงินเฟ้อ (Inflation) เป็นความเสี่ยงที่สร้างความเสียหายต่อธุรกิจมากที่สุด และเกือบหนึ่งในสี่ของบรรดาซีอีโอคาดการณ์ว่าในปีนี้ความอ่อนไหวด้านราคา (Price Sensitivity) ที่สูงขึ้นสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สุดต่อความคาดหวังของลูกค้า อย่างไรก็ตามการเพิ่มราคาสินค้าและบริการยังเป็นแนวทางรับมือกับปัญหาเงินเฟ้อที่มีความสำคัญที่สุด (44%) ตามด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุน (36%) และการเพิ่มประสิทธิผล รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพและการใช้ระบบอัตโนมัติ (21%)

“เป็นเรื่องน่ากังวลที่ซีอีโอดูเหมือนจะไม่ให้ความสำคัญกับประสิทธิผลมากเท่าที่ควรในช่วงภาวะเงินเฟ้อ หรืออาจเป็นเพราะพวกเขามองว่าปัญหาเงินเฟ้อจะไม่กลายเป็นปัจจัยถาวรของภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ ผู้นำและซีอีโอต้องนำระบบอัตโนมัติมาปรับใช้เพื่อออกแบบวิธีการทำงาน สร้างกระบวนการและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้มีประสิทธิภาพ แทนที่การผลักภาระต้นทุนไปให้ลูกค้า” โมเยอร์ กล่าวเพิ่มเติม

การดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุดต่อทีมงาน

เมื่อถามถึงผลกระทบของความเสี่ยงต่าง ๆ ที่มีต่อธุรกิจ ซีอีโอ 26% ระบุว่าการขาดแคลนบุคลากรเป็นความเสี่ยงที่สร้างความเสียหายให้องค์กรมากที่สุด ดังนั้นการดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถจึงเป็นสิ่งที่ผู้บริหารควรให้ความสำคัญสูงสุด โดยความกังวลเกี่ยวกับค่าตอบแทนคือการเปลี่ยนแปลงใหญ่สุดของพนักงานและพฤติกรรมของพนักงานในอนาคต รองลงมาคือ ความต้องการความยืดหยุ่นมากขึ้น และการทำงานระยะไกลหรือไฮบริด

“ท่ามกลางสภาวะเงินเฟ้อจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ค่าจ้างมีความสำคัญมาก แต่ในวงจรเศรษฐกิจก่อนหน้านี้ ปัญหาการว่างงานมักจะบ่อนทำลายอำนาจของตลาดแรงงาน” มาร์ค ราสกิโน กล่าวเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารและข้อมูลอัปเดตจาก Gartner for High Tech ได้ทาง Twitter และ LinkedIn หรือเยี่ยมชม IT Newsroom สำหรับข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ลาซาด้า เปิดตัวบริการโลจิสติกส์แบบมัลติแชนแนลในไทย ตอบโจทย์ผู้ประกอบการในการจัดการคลังสินค้าและจัดส่งครบวงจร ครอบคลุมหลายช่องทางอีคอมเมิร์ซ

กรุงเทพฯ, 13 กรกฎาคม 2566 – ลาซาด้า เปิดตัวบริการโลจิสติกส์แบบหลากหลายช่องทาง (Multi-Channel Logistics: MCL) นำเสนอโซลูชันที่ช่วยให้ผู้ขายสามารถบริหารจัดการคลังสินค้าและการจัดส่งได้อย่างครบวงจรในที่เดียว ไม่ว่าเป็นคำสั่งซื้อจากแพลตฟอร์มใด ถือเป็นครั้งแรกที่มีการให้บริการนี้แก่แบรนด์และผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย โดยลาซาด้ามีเครือข่ายโลจิสติกส์ที่ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ใช้บริการด้วยการจัดส่งที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ลาซาด้า โลจิสติกส์ ได้เปิดตัวบริการด้านโลจิสติกส์แบบหลากหลายช่องทาง (MCL) ในประเทศไทยในช่วงต้นปี 2566 ที่ผ่านมา ด้วยระบบที่รองรับคำสั่งซื้อจากแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ผู้ขายและแบรนด์จึงสามารถบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ได้ในที่เดียวแบบครบวงจร ทั้งการจัดเก็บสินค้า กระจายคำสั่งซื้อ จัดส่งสินค้า และการส่งคืน ทำให้ผู้ประกอบการสามารถหันไปให้ความสำคัญกับการขายและการตลาดได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ โลจิสติกส์แบบหลากหลายช่องทางยังทำให้กระบวนการจัดส่งสินค้ารวดเร็วยิ่งขึ้น ส่งผลให้อัตราการยกเลิกคำสั่งซื้อต่ำลง และทำให้ยอดขายของแบรนด์เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

เจมส์ มาร์แชนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายโลจิสติกส์ บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย) กล่าวว่า “การใช้งานอีคอมเมิร์ซที่เพิ่มขึ้นมาพร้อมกับความคาดหวังที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์การช้อปปิงที่สะดวก และการจัดส่งที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน ความต้องการบริการด้านโลจิสติกส์ครบวงจรก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่แบรนด์และผู้ขายมีสินค้าวางขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ในหลายช่องทาง ทำให้ผู้ประกอบการต้องใช้บริการคลังสินค้าและจัดส่งผ่านผู้ให้บริการหลายเจ้า ส่งผลให้ใช้เวลาในการบริหารจัดการมากขึ้น และอาจทำให้ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจสูงขึ้นตามไปด้วย”

“บริการด้านโลจิสติกส์แบบหลากหลายช่องทางจะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยยกระดับประสบการณ์อีคอมเมิร์ซของผู้ซื้อ ผู้ขายและแบรนด์ ทั้งในด้านของความสะดวก รวดเร็ว และคุ้มค่า โดยเราเชื่อว่า ระบบโลจิสติกส์ที่ครบวงจร และมีประสิทธิภาพ ถือเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ รวมถึงการพัฒนาด้านเศรษฐกิจดิทัลของประเทศไทยในภาพรวม” เจมส์ มาร์แชนท์ กล่าวเสริม

ที่ผ่านมา ลาซาด้า โลจิสติกส์ ได้ขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านคลังสินค้าและเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่ง ทำให้อัตราการมีสินค้าเตรียมนำส่ง (ready-to-ship) อยู่ในระดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม สำหรับบริการด้านโลจิสติกส์แบบหลากหลายช่องทาง เน้นให้บริการลูกค้าที่มีความจำเป็นต้องบริหารจัดการคำสั่งซื้อจำนวนมาก เช่น กลุ่มแบรนด์ รวมถึงกลุ่มผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซ (eCommerce Enabler) ซึ่งให้บริการด้านระบบบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์ให้กับแบรนด์และผู้ขาย แต่อาจมีข้อจำกัดในด้านบริการจัดส่งและไม่มีคลังสินค้าเป็นของตนเอง ทั้งนี้ โลจิสติกส์แบบหลากหลายช่องทางเปิดให้บริการครอบคลุมทั้งกลุ่มที่เป็นและไม่ได้เป็นพันธมิตรของลาซาด้า


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ม.มหิดล เปิดเวที “Mahidol Deep Tech DEMO DAY” โชว์ผลงาน 14 สตาร์ทอัพ กลุ่มธุรกิจนวัตกรรม

สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) ร่วมกับ คณะเทคนิคการแพทย์ ม.มหิดล เปิดเวที “Mahidol Deep Tech DEMO DAY” โชว์ผลงาน 14 สตาร์ทอัพ กลุ่มธุรกิจนวัตกรรม โดยการสนับสนุนจาก หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)

วันที่ 4 กรกฎาคม 2566 สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) ร่วมกับ คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดงาน “Mahidol Deep Tech DEMO DAY” แสดงผลงานกลุ่มธุรกิจนวัตกรรม Deep Tech Startup ที่ได้รับการบ่มเพาะภายใต้โครงการแพลตฟอร์มเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์สำหรับนวัตกรรมเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี (Smart Living) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นผู้กล่าวต้อนรับ และได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ ดร.สิรี ชัยเสรี ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ให้เกียรติขึ้นกล่าวเปิดงาน พร้อมกล่าวถึงที่มาในการให้ทุนสนับสนุนและความสำคัญของ Deep Tech Technology

ซึ่งมี 14 สตาร์ทอัพ ในกลุ่มธุรกิจนวัตกรรม Deep Tech Startup เข้าร่วมจัดแสดงผลงาน ได้แก่

1.ทีม Healthy Materials and Innovation Laboratory ผลงานแผ่นกั้นเสียงสำหรับงานจราจรและบ้านเรือน
2. ทีม Excellent Center for Drug Discovery (ECDD) ผลงานยาสมุนไพรจากสารสกัดกระชาย
3.ทีม The PowerGen นวัตกรรมการกำเนิดไฟฟ้าเพื่อการใช้ประโยชน์ด้านพลังงานทดแทน
4. ทีม BioNEDD Lab ผลงานแผ่นรองนอนต้านแบคทีเรียสำหรับผู้ป่วยติดเตียงและป้องกันแผลกดทับ
5. ทีม Melioidosis Innovation ผลงานเมลิออยโดสิส เทส คิท เพื่อช่วยวินิจฉัยโรคเมลิออยโดสิสอย่างรวดเร็วในพื้นที่ระบาด
6. ทีม Mental Health Tech Discovery ผลงาน Mind Friend in Metaverse
7. ทีม Brain X Solution ระบบฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองด้วย Brain-Computer interface
8. ทีม Artimed ผลงานแขนเทียมจากยางพาราดัดแปลงและซิลิโคนเพื่อใช้เป็นหุ่นจําลองสําหรับการฝึกหัตถการเจาะเลือด
9. ทีม IQMED Innovation ผลงาน Heart in a box อุปกรณ์ขนส่งหัวใจแบบหัวใจบีบตัวสำหรับบริการขนส่งหัวใจ
10. ทีม Green Life Harmony ผลงาน Oral Care Jelly เจลลี่เพิ่มความชุ่มชื้นในปาก
11. ทีม GPJ Biotechnology ผลงานกระดูกปลาทูน่าสกัดพร้อมดื่ม
12. ทีม Nutricious ผลงานเครื่องดื่มโปรตีนสูงจากไข่ขาว
13. ทีม Mahagarun ผลงานเครื่องดื่มสมูทตี้โปรตีนสูงจากถั่วเหลือง
14. ทีม FOODIYPHAGE ผลงานผงปรับเนื้อสัมผัสอาหารพร้อมใช้


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

MCC ร่วมมือ HPE จัดงาน The Evolving Landscape of Data Storage Trends and Technologies

บริษัท เมโทรคอนเนค จำกัด (MCC) ร่วมกับ บริษัท ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) (HPE) จัดงาน “The Evolving Landscape of Data Storage Trends and Technologies”  ในวันที่ 23 มิถุนายน 2566 ณ.โรงแรม Hyatt Regency Bangkok Sukhumvit,Regency Ballroom III&IV, ชั้น 5  โดย คุณวรัชญ์ รัตนธรรมมา (คนที่สองจากขวา),  Assistant Vice President บริษัท เมโทรคอนเนค จำกัด ให้เกียรติกล่าวเปิดงาน พร้อมให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และมีผู้เชี่ยวชาญบรรยายโซลูชั่นต่างๆ ดังต่อไปนี้

คุณวิทยา ว่องวชิราพาณิชย์ (คนที่หนึ่งจากขวา), Storage Product Manager จาก บริษัท ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย)  บรรยายในห้วข้อ “GreenLake for Data Service and Block New Platform” โดยกล่าวถึงประสบการณ์การใช้งานคลาวด์บนแพลตฟอร์ม HPE GreenLake ที่ดูแลให้ตั้งแต่ Edge ไปจนถึงคลาวด์ และได้แนะนำบริการ HPE GreenLake Storage ซึ่งเป็นบริการใหม่ล่าสุด ที่ต่อจากนี้จะให้ลูกค้าสามารถเลือกโมเดลไลเซนส์ได้ยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแบบ OpEx หรือ CapEx ซึ่งทำให้ตอบโจทย์ความต้องการทางธุรกิจได้อย่างเหมาะสม และได้นำเสนอ Block Storage แบบ Scale-out ตัวแรกในตลาดที่สามารถแยกออกเป็นโมดูลได้ โดยออกแบบสำหรับ Application ที่ใช้ในงานสำคัญโดยเฉพาะโดยมีความสามารถที่โดดเด่น ได้แก่

  • จัดการได้ง่ายขึ้น ผ่านคลาวด์ที่ใช้สะดวกเหมือนใช้งานบน On-Prem
  • ประสิทธิภาพดีขึ้น และคุ้มค่ามากขึ้น ด้วยสตอเรจแบบ Scale-out แบบแยกโมดูลได้
  • ทำงานได้บน Application ที่หลากหลาย โดยไม่โดนลดประสิทธิภาพ รับประกันความพร้อมบริการข้อมูลตลาดแบบ 100%

คุณณัฐพล พลประเสริฐกุล (คนที่หนึ่งจากซ้าย), Senior Presales Manager จาก บริษัท เมโทรคอนเนค จำกัด  บรรยายในห้วข้อ “Enhanced Data Protection: Improve Your Data Protection Capabilities” โดยนำเสนอการเพิ่มความสามารถและประสิทธิภาพในการป้องกันข้อมูลอันเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้ในการรับมือภัยคุกคามทางด้านไซเบอร์ (Cyber Threats) ซึ่ง Data เป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจ หรือองค์กรในปัจจุบันและเป็นเป้าหมายในการถูกโจมตี โดย HPE Cohesity จะช่วย Backup Data และป้องกันภัยคุกคามด้วยการตรวจจับความผิดปกติ ตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ใช้ มีการปกป้องข้อมูลด้วยหลักการ Zero-Trust รวมถึงการควบคุมการเข้าถึงที่เข้มงวด สามารถกู้คืนข้อมูลกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจ หรือองค์กรสามารถรับมือกับภัยคุกคามทางด้านไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คุณเพ็ญนภา เดชเจริญศรี (คนตรงกลาง), Assistant Product Sales Specialist จาก บริษัท เมโทรคอนเนค จำกัด  บรรยายในห้วข้อ Get Rewarded with HPE ENGAGE & GROW” โดยแนะนำสิทธิประโยชน์และโปรโมชั่นสำหรับคู่ค้าของ บริษัท เมโทรคอนเนค จำกัด  และ บริษัท ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย)

ทั้งนี้ บริษัท เมโทรคอนเนค จำกัด  เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ บริษัท ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) โดยได้รับความไว้วางใจให้เป็นส่วนหนึ่งในการขยายตลาดสู่บริษัทคู่ค้า เพื่อตอบสนองความต้องการทางด้านเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงการช่วยเหลือและส่งต่อความรู้ความชำนาญให้แก่บริษัทคู่ค้า เพื่อพัฒนาและต่อยอดโซลูชันที่ตอบโจทย์กับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน

สนใจข้อมูลเพิ่มเติม หรือสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ติดต่อฝ่ายการตลาด โทร.02-0894880 อีเมล์ mktmcc@metroconnect.co.th Website: https://www.metroconnect.co.th/


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

GAC AION รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน จับมือ Gold Integrate บุกตลาดไทยอย่างเป็นทางการ

เมื่อเร็วๆ นี้ GAC AION (จีเอซี ไอออน) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่จากสาธารณรัฐประชาชนจีน นำโดย นายเจิง ชิ่งหง (Zeng Qinghong) ประธานกรรมการบริษัท GAC Group ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงอย่างเป็นทางการกับ บริษัท โกลด์ อินทิเกรท จำกัด (Gold Integrate) ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์รายแรกในประเทศไทย ที่งานสัมมนาความร่วมมือเศรษฐกิจการค้าจีนและไทย ประจำปี 2566 โดยมี ฯพณฯ หาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย, นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และนายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบาย เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานรัฐบาลมณฑลกวางตุ้ง ร่วมเป็นประธานและสักขีพยานในงาน

นายเจิง ชิ่งหง ประธานกรรมการบริษัท GAC Group กล่าวว่า “GAC AION เป็นบริษัทในเครือ GAC Group (Guangzhou Automobile Group Co., Ltd.) เป็นองค์กรหลักในการพัฒนาพลังงานรูปแบบใหม่ที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายอัจฉริยะ ส่วนการลงนามในครั้งนี้สะท้อนถึงกลยุทธ์ทางการตลาด และการให้ความสำคัญต่อการทำธุรกิจในต่างประเทศ จากการสำรวจในช่วงที่ผ่านมาเราได้เล็งเห็นว่าประเทศไทย มีความน่าสนใจในด้านการลงทุนที่ดีที่สุด ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ รวมถึงการเป็นฐานที่ตั้งการผลิต เพื่อขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต”

จากนั้น นายเจิง ชิ่งหง ได้นำทีมเข้าเยือน นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนการลงทุน การพัฒนาของ GAC AION ในประเทศไทย และหารือถึงขอบเขตของการทำธุรกิจ การผลิตและการจัดจำหน่าย ตลอดจนการวางแผนการพัฒนาของ GAC Group ในอนาคต

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวหลังการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในครั้งนี้ว่า “มิตรภาพระหว่างไทย – จีน มีความมั่นคงมาอย่างยาวนาน ซึ่งเราเองได้มีการยอมรับต่อเป้าหมายการพัฒนาและแผนธุรกิจของ GAC AION และยินดีที่จะให้การสนับสนุนทางธุรกิจของ GAC AION ในประเทศไทย ซึ่งในขณะเดียวกันได้คาดหวังว่าทาง GAC Group จะสามารถส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานใหม่ในไทยและสร้างระบบนิเวศให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น”

ต่อมาทีมงาน GAC AION เดินทางเข้าพบกับ ฯพณฯ หาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย พร้อมรับคำแนะนำเกี่ยวกับสถานการณ์การพัฒนาธุรกิจของประเทศไทย อีกทั้งได้ให้คำชื่นชมกับ GAC Group ที่ มาร่วมแลกเปลี่ยนทางด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีน -ไทย ตามนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมพลังงานใหม่ให้กับประเทศไทย

ขณะเดียวกันได้เข้าเยี่ยมชมบริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์แบรนด์จีนในประเทศไทย รวมทั้งเข้าชมโชว์รูมและพื้นที่บริการหลังการขายของแบรนด์ที่เกี่ยวข้อง พร้อมทำการทดลองขับและทำความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขายและการให้บริการของตัวแทนจำหน่ายในไทย

การเปิดศึกการแข่งขันในตลาดต่างประเทศและการลงนามบันทึกข้อตกลงของ GAC Aion อย่างเป็นทางการในครั้งนี้ ถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในการพัฒนาธุรกิจรถยนต์พลังงานใหม่ของ GAC Group และเป็นก้าวสำคัญของแผนกลยุทธ์ระดับสากล

นายเจิง ชิ่งหง ได้กล่าวเสริมว่า “ความสำเร็จสู่การเป็นมาตรฐานสากลด้วยการดำเนินกลยุทธ์ของ GAC ที่มุ่งเน้นคุณภาพเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจในตลาดต่างๆ ทั่วโลก ทางบริษัทได้ร่วมกับ GAC Aion ศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายภาษีอากรของประเทศไทย การก่อสร้างโรงงานในท้องถิ่นและนโยบายอื่นๆ เพิ่มการใช้ทรัพยากรร่วมกันให้เกิดผลประโยชน์สูงสุด กระชับความร่วมมือระหว่างประเทศให้ลึกซึ้ง ที่ถือเป็นความร่วมมือแบบ win-win เพื่อแบรนด์ GAC จะขยายธุรกิจในต่างประเทศได้เป็นวงกว้างและแข็งแรงมากขึ้น และการพบปะหารือ หรือทำการสำรวจตลาดที่ไทยครั้งนี้ ได้เพิ่มพูนความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดและนโยบายด้านพลังงานใหม่ของประเทศไทย และเป็นการส่งกำลังใจต่อทีมงานของ Aion ที่อยู่ในประเทศไทย สร้างความมุ่งมั่น ความมั่นใจให้กับทีมงานสำหรับการพัฒนาธุรกิจที่ไทยอย่างเชิงลึก ตลอดจนการขยายธุรกิจที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต ทาง GAC ยังได้ตั้งเป้าหมายการส่งออกที่ 500,000 หน่วยในปี 2573 การเปิดศึกการแข่งขันในตลาดต่างประเทศของ GAC Aion อย่างเป็นทางการในครั้งนี้ ถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในการพัฒนาธุรกิจรถยนต์พลังงานใหม่ของ GAC Group และเป็นก้าวสำคัญของแผนกลยุทธ์ระดับสากล”


 

Exit mobile version