Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์ บทความ เทคโนโลยี

ซอฟต์แวร์สร้างศักยภาพให้โลกใบนี้

โดย นาทัลยา มากาโรชคินา รองประธานอาวุโส Secure Power ฝ่ายปฏิบัติการระหว่างประเทศ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

ศักยภาพของซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ คือการเชื่อมต่อการทำงานร่วมกัน พร้อมมอบความฉลาดในทุกแง่มุมสำหรับธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยให้ประโยชน์ด้านดิจิทัลแก่ทุกภาคส่วน

แม้จะมีข้อถกเถียงว่าซอฟต์แวร์กำลังกลืนกินโลกก็ตาม แต่แค่เพียงช่วงเวลาไม่นานมานี้ ประเด็นดังกล่าวก็เปลี่ยนไปสู่ความจริงที่ว่า ซอฟต์แวร์ “กำลังสร้างศักยภาพ” ให้กับโลกใบนี้

ทุกวันนี้สถาปัตยกรรมขององค์กรปรับเปลี่ยนไปสู่โมเดลที่ใช้ซอฟต์แวร์ควบคุมการทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ การควบคุมเหล่านี้นำไปสู่ความยืดหยุ่นและคล่องตัวที่เหนือชั้นขึ้นไปอีกระดับเพื่อให้ตอบสนองและรับมือกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และความขัดข้องที่เกิดจากอิทธิพลของสภาพอากาศ รวมถึงแนวโน้มของตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในขณะที่ต้องพร้อมรับมือกับเรื่องความปลอดภัย อีกทั้งให้ความยั่งยืน

การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วโลกเมื่อเร็วๆ นี้แสดงให้เห็นว่าซัพพลายเชนมีความเสี่ยง และอยู่ภายใต้อิทธิพลที่คาดเดาได้ยาก นอกเหนือจากสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์แล้ว เหตุการณ์ black swan เช่น การปิดกั้นคลองสุเอซ ยังได้ถูกรวมเข้ากับประเด็นการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ ตั้งแต่ไฟป่าในแคลิฟอร์เนีย น้ำท่วมยุโรป และความแห้งแล้งในออสเตรเลีย ไปจนถึงคลื่นความร้อน และอุณหภูมิที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในหลายทวีป

องค์กรต่างๆ ต้องปรับตัวให้เข้ากับความเป็นจริงครั้งใหม่เรื่อยมาภายใต้ระยะเวลาอันสั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการคว่ำบาตร ราคาพลังงานที่ผันผวน หรือความขัดข้องในการเข้าถึงพลังงาน (access disruption) การขาดแคลน และความล่าช้าในการจัดหา ซึ่งส่งผลกระทบอย่างยิ่งโดยเฉพาะเรื่องการก่อสร้าง อุตสาหกรรมยานยนต์ และแม้กระทั่งอุตสาหกรรมอาหารก็ตาม

แบบจำลอง แผนงาน และการพลิกแพลง

ในการรับมือกับฉากทัศน์เหล่านี้ องค์กรต่างๆ ต้องมีความยืดหยุ่นและความคล่องตัว พร้อมมีการตรวจสอบดูแลมากขึ้น โดยอาศัยข้อมูลเชิงลึก เพื่อให้สามารถจำลอง วางแผน และพลิกแพลงได้

นั่นหมายถึงการมีระบบซอฟต์แวร์ที่เชื่อมโยงการทำงานในทุกด้าน เพื่อให้สามารถมองเห็น วัดผลการดำเนินงาน และบริหารจัดการได้ดี

การออกรายงานการดำเนินงานทั่วไปขององค์กรนับว่าไม่เพียงพออีกต่อไป หากต้องการแข่งขันและอยู่รอดได้ องค์กรต้องสามารถจำลองและคาดการณ์ได้ว่า การเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นเหล่านี้จะส่งผลต่อผลผลิต ความสามารถในการทำกำไร และเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้อย่างไร

20-30-50

พื่อให้บรรลุมิติใหม่ในการมองเห็น และควบคุมได้ดียิ่งขึ้น จึงทำให้มีสถาปัตยกรรมใหม่เกิดขึ้น

ปัจจุบัน มีการคาดการณ์กันว่าสถาปัตยกรรมขององค์กรในอนาคตมีองค์ประกอบที่ผสมผสานกันระหว่างศูนย์ข้อมูลหลัก 20% คลาวด์สาธารณะ 30% และการปรับใช้ Edge 50% ภายในสามปีข้างหน้า

สถาปัตยกรรมที่ว่าจะนำไปสู่การยกระดับความสามารถให้เหนือชั้นไปอีกขั้น ทั้งเรื่องของเซ็นเซอร์ (IIoT) การมอนิเตอร์ การมองเห็น การบริหารจัดการ และการวิเคราะห์ โดยระบบงานบนคลาวด์จะทำหน้าที่ดูแลสถาปัตยกรรมใหม่เหล่านี้ที่มีองค์ประกอบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เรื่องของสายการผลิต พื้นที่ในร้านค้าปลีก และระบบดูแลคนไข้ในสถานพยาบาล ไปจนถึงการนำเอดจ์มาใช้งาน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกในการจัดเก็บข้อมูลในระดับภูมิภาค รวมถึงศูนย์ข้อมูลส่วนกลาง

รากฐานของแนวทางนี้จะไม่ใช่แค่การมองเห็นข้อมูลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการจัดการโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลด้วยความสามารถใหม่ของ DCIM3.0

มาตรการป้องกัน

สิ่งสำคัญของโลกใหม่ที่สร้างศักยภาพด้วยซอฟต์แวร์ คือการผสานรวมการทำงานเชิงลึกของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML)

ความยืดหยุ่นนั้นเกิดขึ้นจากความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการคาดการณ์ ซึ่งการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ที่อาศัยแอปพลิเคชั่นเชิงลึกของเทคโนโลยีเหล่านี้ ช่วยให้เกิดระบบการบำรุงรักษาเชิงป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งสามารถตรวจจับ หรือป้องกันความล้มเหลวก่อนที่จะส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน

การปรับตัวโดยใช้มุมมองเชิงลึก

ตัวอย่างของการปรับตัวที่ว่า มีให้เห็นในอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งผู้ผลิตในสวนปลูกผักและผลไม้ กำลังลดอุณหภูมิเรือนกระจกซึ่งเป็นผลโดยตรงจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น

ด้วยชุดเซ็นเซอร์เต็มรูปแบบ ตั้งแต่เริ่มต้นปลูกจนไปถึงการวางขายหน้าร้าน ผู้ปลูกสามารถจำลองการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ คาดการณ์ผลผลิตและการเปลี่ยนแปลงของพืชผล เพื่อให้เข้าใจว่าจะต้องปรับต้นทุนจุดไหนให้เหมาะสมต่อการรับมือกับสถานการณ์ โดยสามารถประมวลผลข้อมูลได้ใกล้เคียงกับจุดที่สร้างข้อมูล ก่อนที่แบบจำลองส่วนกลางจะคัดกรองตัวเลข ผู้ปลูกสามารถปรับความต้องการด้านแรงงาน การขนส่ง และการกระจายสินค้าให้เหมาะสมได้ โดยอิงจากข้อมูลที่ถูกต้อง และการวิเคราะห์ที่มีข้อมูลครบรอบด้าน หรือตัวอย่างอื่นๆ นอกเหนือจากการเกษตรได้แก่ การดูแลสุขภาพที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยที่ได้จากแพทย์ผู้ดูแล โดยนำเอดจ์มาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แบบเรียลไทม์

การใช้วิธีการเหล่านี้ในการรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์เบื้องต้น ทำได้ด้วยการผสานรวมความสามารถของเอดจ์กับแหล่งข้อมูลส่วนกลางอย่างราบรื่น ผ่านการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลจาก DCIM ไปจนถึง Data Lake และการวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI

ในการเชื่อมต่อข้อมูลจากจุดเชื่อมต่อทั้งหมดระหว่างแอปพลิเคชันและผู้ใช้งาน ต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง

นี่คือเหตุผลที่เราได้พัฒนาพันธมิตรที่แข็งแกร่ง เพื่อให้เข้าใจถึงความเสี่ยง และเพื่อให้มั่นใจว่าแอปพลิเคชันและบริการของเรามีความยืดหยุ่น ปลอดภัย และให้ความยั่งยืนสำหรับระบบไอทีในอนาคต แม้ว่าจะมีขยายการใช้งานไปสู่สภาพแวดล้อมไอทีแบบไฮบริดมากขึ้นก็ตาม

เมตริกที่อิงตามหลักวิทยาศาสตร์และได้มาตรฐาน

ประเด็นสำคัญเรื่องความยืดหยุ่นและความปลอดภัยในเรื่องเหล่านี้ ต้องไปด้วยกันกับข้อกำหนดอื่นที่สำคัญ คือ เรื่องความยั่งยืน

ประโยชน์หลักของซอฟต์แวร์ใหม่ที่ช่วยสร้างศักยภาพให้โลกนี้ คือความสามารถในประยุกต์ใช้เมตริกที่ได้มาตรฐานได้ครอบคลุมทั่วทั้งระบบ เพื่อวัดและจัดการการปล่อยมลพิษและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป้าหมายการปล่อยมลพิษที่อิงตามหลักวิทยาศาสตร์กำลังได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายมากขึ้น และสามารถช่วยให้องค์กรต่างๆ เข้าใจและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ แม้จะอยู่ท่ามกลางแนวโน้มปัจจุบันก็ตาม

สร้างโลกแห่งศักยภาพ

แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ระบบซอฟต์แวร์และการควบคุม ซึ่งต่อยอดจากการพัฒนาใน IIoT, AI และ ML รวมถึงคลาวด์และเอดจ์คอมพิวติ้ง ก็สามารถช่วยให้องค์กรต่างๆ มีการมองเห็นที่ดีขึ้น มีข้อมูลเชิงลึก และการกำกับดูแลการดำเนินงานที่ดีขึ้น

เรื่องนี้จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นขึ้นไปอีกขั้น เพื่อรับมือกับกระแสอิทธิพลของโลกปัจจุบัน ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่สามารถทำได้

การเพิ่มศักยภาพด้านการจัดการกับความเสี่ยงทางไซเบอร์ได้ดีขึ้น รวมถึงเป็นรากฐานเพื่อขับเคลื่อนความมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน ทำให้มุมมองด้านซอฟต์แวร์เปลี่ยนไป จากสิ่งที่กำลังกลืนกินโลก กลายเป็น สิ่งที่สร้างศักยภาพให้กับโลกใบนี้


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

กฟผ. ชวนตะลุย EGAT Carbon Neutrality Land ในงานมหกรรมวิทย์ฯ 66

กรุงเทพฯ, 8 สิงหาคม 2566 – การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เตรียมเปิดบูท “EGAT Carbon Neutrality Land: ตะลุยดินแดนไฟฟ้า ความเป็นกลางทางคาร์บอน” เชิญชวนเหล่านักผจญภัยรุ่นจิ๋วมาตะลุยดินแดนไฟฟ้าที่มุ่งสู่ความเป็นทางคาร์บอน ฝ่าภารกิจผลิตไฟฟ้าด้วยโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดเขื่อนสิรินธรขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ผจญภัยด้วยยานยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคต พร้อมร่วมสะสมไอเท็มประหยัดพลังงาน และพิชิตคาร์บอนตัวร้ายผ่านโครงการปลูกป่าอย่างมีส่วนร่วม
 
พร้อมปลุกจินตนาการสุดบรรเจิดผ่านกิจกรรมประกวดวาดภาพระบายสีในหัวข้อ “EGAT LAND ดินแดนในฝัน ” ชิงรางวัลสุดสร้างสรรค์ และร่วมแข่งขันกีฬา E-Sports สุดมัน ภายในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2566 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 – 20 สิงหาคม 2566 เวลา 09.00 – 19.00 น. ณ อาคาร 9 – 11 อิมแพ็ค เมืองทองธานี หรือติดตามรายละเอียดได้ที่เฟซบุ๊กห้องเรียนสีเขียว กฟผ. page: www.facebook.com/glr.egat  เข้าชมงานฟรี!  

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงาน โปรดติดตามได้จากสื่อสังคมของ กฟผ.
Website ห้องเรียนสีเขียว: https://gls.egat.co.th/
Facebook: www.facebook.com/EGAT.Official


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อาจารย์ วิศวะ มจพ. พัฒนาอุปกรณ์สวมตลับลูกปืนเน้นฟังก์ชั่นขดลวดเหนี่ยวนำความร้อน

ผลงานของ ผศ.พิพิถนนท์   พูลสวัสดิ์ อาจารย์สาขาวิชาวิศวกรรมการผลิต ภาควิชาวิศวกรรมการผลิตและหุ่นยนต์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)  กำลังอยู่ในระหว่างการจดอนุสิทธิบัตร เรื่อง อุปกรณ์ให้ความร้อนตลับลูกปืนด้วยขดลวดเหนี่ยวนำ เป็นการใช้หลักการเหนี่ยวนำทางไฟฟ้า ให้สามารถตอบโจทย์ในส่วนของกรรมวิธีการผลิตในการสวมประกอบ เป็นกระบวนการที่มีความรวดเร็ว ไม่สกปรกและสามารถควบคุมอุณหภูมิและให้ความร้อนในส่วนที่ต้องการได้ แต่เนื่องจากในปัจจุบันเครื่อง Induction bearing heater สำหรับตลับลูกปืน ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดใหญ่มาก ยังมีราคาที่สูงอยู่ซึ่งอาจไม่คุ้มต่อการลงทุนสำหรับตลับลูกปืนขนาดเล็ก ยังมีการสวมอัดตลับลูกปืนด้วยวิธีทางกลโดยการตอก จึงเป็นที่มาแนวคิดและพัฒนาการออกแบบและสร้างเครื่อง Induction heater สำหรับตลับลูกปืนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 30 มิลลิเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 40 มิลลิเมตร อุปกรณ์สวมตลับลูกปืนที่ใช้การความร้อนกับตลับลูกปืนด้วยขดลวดเหนี่ยวนำนั้น ถือได้ว่าเป็นวิธียืดอายุการใช้งานตลับลูกปืนให้ใช้งานยาวขึ้น และลดความเสียหายของชิ้นส่วนที่สวมประกอบ ช่วยประหยัดเวลาในการบำรุงรักษา และประหยัดค่าใช้จ่ายการบำรุงรักษา รวมถึงมีประสิทธิภาพในการใช้งานมากขึ้น โดยได้รับทุนสนับสนุนจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ระยะเวลาในการทำวิจัย 1 ปี

ผศ.พิพิถนนท์ อธิบายให้ฟังว่า วัตถุประสงค์ของพัฒนาอุปกรณ์สวมตลับลูกปืน เพื่อช่วยในการสวมประกอบตลับลูกปืนกับเพลา โดยไม่ให้เกิดความเสียหาย และให้ได้ฟังก์ชั่นการทำงานที่สมบูรณ์ การสวมประกอบตลับลูกปืน (Bearing) เข้ากับเพลาด้วย โดยปกติจะมีค่าพิกัดงานสวมเป็นเกณฑ์กำหนดอยู่แล้ว ชนิดของงานสวมให้เราเลือกว่าจะเลือกงานสวมอัด สวมพอดี ในงานสวมประกอบยังแบ่งออกเป็นเพลาคงที่และรูคว้านคงที่ ซึ่งขึ้นอยู่กับหน้าที่ของชิ้นส่วนส่งกำลังและฟังก์ชั่นการทำงานของเครื่องจักรนั้น ในส่วนของตลับลูกปืนเป็นการสวมชนิดรูคว้านคงที่ พิกัดงานสวมมีความสำคัญในการออกแบบและการประกอบ จึงได้เริ่มมีการใช้หลักการการให้ความร้อนโดยตรงกับตลับลูกปืนเพื่อให้แบริ่งเกิดการขยายตัว และสามารถสวมกับเพลาได้ การใช้ความร้อนในการทำให้ตลับลูกปืนขยายตัว

ลักษณะเด่นของการพัฒนาอุปกรณ์สวมตลับลูกปืน ใช้หลักการของเครื่องให้ความร้อนตลับลูกปืนด้วยการเหนี่ยวนํา  เมื่อป้อนกระแสไฟเข้าที่ขดลวดเหนี่ยวนํา ซึ่งเปรียบได้กับขดลวดปฐมภูมิของหม้อแปลงไฟฟ้าก็จะมีกระแสไหลผ่านขดลวดซึ่งกระแสนี้ จะทําให้เกิดเส้นแรงแม่เหล็กขึ้น เส้นแรงแม่เหล็กที่เกิดขึ้นนี้จะไปตัดกับตลับลูกปืน   ในที่นี้ตลับลูกปืนเปรียบเหมือนขดลวดที่มีปลายทั้งสองข้างติดถึงกัน  ดังนั้น จึงทําให้เกิดกระแสไหลในตลับลูกปืนกระแสนี้เรียกว่า กระแสไหลวน กระแสไฟฟ้านี้จะทําให้เกิดความร้อนในตลับลูกปืนขึ้น ยิ่งมีกระแสไหลวนมากเพียงใดก็จะทําให้ ตลับลูกปืนร้อนมากขึ้นกระแสไหลวนจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ  (1)  กระแสที่ไหลผ่านขดลวดเหนี่ยวนําถ้ามีกระแสมาก กระแสไหลวนที่เกิดขึ้นในตลับลูกปืนก็จะมากด้วย (2) ค่าสัมประสิทธิ์ (Coefficient) ของการเหนี่ยวนํา และ (3)   อัตราส่วน (Ratio) ระหว่างจํานวนของขดลวดเหนี่ยวนําตลับลูกปืน

อย่างไรก็ตาม ผศ.พิพิถนนท์ กล่าวเสริมว่า วิธีการดำเนินงานได้ทำการออกแบบด้านฮาร์ดแวร์ โดยได้ดำเนินพัฒนาและทดสอบประสิทธิภาพเครื่อง/ผลการทดสอบ ทดลองกับตลับลูกปืน รูในเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 มิลลิเมตร สวมกับเพลาโดยให้พิกัดงานสวมพอดีและงานสวมอัด ที่อุณหภูมิไม่เกิน 150 องศาเซลเซียส ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที ในการสวมประกอบ  ระหว่างใช้งาน เช่น การหมุน การเลื่อน และถอดเปลี่ยนชิ้นส่วนอุปกรณ์สวมตลับลูกปืน ก็เกิดการสึกหรอก และเป็นสนิมได้ หากการพัฒนาอุปกรณ์ให้ความร้อนตลับลูกปืนด้วยขดลวดเหนี่ยวนำ ยังช่วยในเรื่องของการลดการชำรุด ประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายการบำรุงรักษา โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนเพลาหรือเฟือง ทำให้การหมุนคล่องตัว และช่วยตรวจสอบเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่เมื่อเกิดการสึกหรอหรือชำรุดก็สะดวกขึ้น รวมถึงมีประสิทธิภาพในการใช้งานมากขึ้น  การใช้ความร้อนตลับลูกปืนด้วยขดลวดเหนี่ยวนำ ยังเป็นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย

การพัฒนาอุปกรณ์ให้ความร้อนตลับลูกปืนด้วยขดลวดเหนี่ยวนำสามารถเป็นต่อยอดพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมด้านการผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และหากนำไปทำในเชิงพาณิชย์ได้โอกาสและทิศทางเป็นไปได้มากเนื่องจากต้นทุนของเครื่องราคาไม่สูงโดยงบประมาณไม่เกินสองหมื่นบาทเฉพาะค่าวัสดุและอุปกรณ์

สอบถามรายละเอียดได้ที่  ภาควิชาวิศวกรรมการผลิตและหุ่นยนต์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ  โทรศัพท์ 0-2555-2000 ต่อ  8217

ขวัญฤทัยข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ (SAU) ร่วมกับ “WeStride” พัฒนาหลักสูตรปริญญาโท Software Engineer และ Full Stack Developer ระดับสากล

มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ (SAU) ร่วมกับ “WeStride”  บริษัท EdTech Startup จาก Stanford ร่วมมือพัฒนาหลักสูตรปริญญาโท เพื่อสร้าง Software Engineer และ Full Stack Developer ระดับสากล ป้อนตลาดงานสายเทคโนโลยีที่มีความต้องการสูงมากในทุกองค์กร

ดร.ฉัททวุฒิ พีชผล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ กล่าวว่า เนื่องจากปัจจุบัน  Software Engineer และ Full Stack Developer ที่ทำงานได้จริงขาดแคลนและเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานเป็นอย่างมาก เราจึงร่วมมือกับมืออาชีพอย่าง WeStride เพื่อพัฒนาหลักสูตร Certified และ ปริญญาโทด้าน Software Engineering และ Full Stack Developer ที่มีความเชี่ยวชาญสามารถทำงานได้จริง และตอบโจทย์ของโลกยุคใหม่ที่ต้องการบุคลากรที่มีทักษะตรงตามความต้องการของตลาดงานโดยหลักสูตรนี้ได้จัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่ายและสะดวก ด้วยเนื้อหาที่เข้มข้นมีอาจารย์ที่มีคุณวุฒิและประสบการณ์ มีโค้ชดูแลแบบ One to One เรียนแบบ Action Based Learning ผ่านการทำโจทย์และทำโครงการเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง อีกทั้งยังเสริมพื้นฐานด้วยวิชาไอที CS50 จาก Harvard โดยผู้เรียนจะมีโอกาส พัฒนาตัวเองสู่งาน Tech มืออาชีพในองค์กรชั้นนําของไทยและต่างประเทศ  จึงมั่นใจได้ว่าเมื่อเรียนจบแล้วจะสามารถนำความรู้และทักษะไปทำงานได้จริง

ความร่วมมือกับ WeStride ซึ่งเป็น Bootcamp อันดับ Top ของอาเซียน ได้รับรางวัลและการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกอย่าง Stanford University จะเป็นการสร้างโอกาสทางการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่ ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะความรู้และความสามารถให้แก่ผู้เรียนนำไปสู่การเป็น Software Engineer และ Full Stack Developer หลักสูตรนี้ได้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนคอร์สออนไลน์เพื่อเก็บหน่วยกิตรับปริญญาโทตอบโจทย์ผู้ต้องการย้ายสายงานสู่ด้านเทคโนโลยีอย่างแท้จริง

นายชวิน อัศวเสตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ WeStride กล่าวว่า เราเห็นโอกาสในการร่วมมือกับ ม.เอเชียอาคเนย์ ในการทำหลักสูตรนี้ขึ้นมา เพื่อจะช่วยสร้างบุคลากรที่มีความสามารถทำงานในตลาดแรงงานไอทีในปัจจุบัน หลักสูตรออกแบบมาเพื่อสอนตั้งแต่ไม่มีประสบการณ์จนนำไปใช้ในการทำงานได้จริง มีเมนเทอร์ ติวเตอร์และโค้ชอาชีพมากประสบการณ์คอยให้คำปรึกษาดูแลแบบตัวต่อตัวจนจบการศึกษา พร้อม Job Guarantee รับประกันการได้งานทำ โดยเราจะช่วยหางาน พร้อมผลักดันจนเข้าสู่สายงาน Software Engineer และ Full Stack Developer ได้จริง เหมาะกับผู้ที่สนใจพัฒนาทักษะ (Upskill) หรือเปลี่ยนสายงานในการทำงาน (Reskill) มาสู่  Software Engineer และ Full Stack Developer โดยผู้เรียนไม่จำเป็นจะต้องมีพื้นฐานความรู้ทางด้านไอทีมาก่อน ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://se.sau.ac.th


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เมโทรซิสเต็มส์ ร่วมกับ วีเอ็มแวร์ จับมือเป็นพันธมิตรผู้ให้บริการ VMware Multi-cloud Managed Services Partner

บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MSC ผู้นำในธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศครบวงจร ประกาศความร่วมมือกับวีเอ็มแวร์ (VMware) นำเสนอบริการ Multi-cloud Managed Services ที่มีเป้าหมายเพื่อช่วยธุรกิจ และองค์กรต่างๆ ในไทยใช้ประโยชน์สูงสุดจากนวัตกรรมดิจิทัล และคลาวด์คอมพิวติ้งสร้างการเติบโตของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การบริหารจัดการมัลติคลาวด์ ไม่ว่าจะเป็นการวางกลยุทธ์คลาวด์ การจัดการและบริหารศักยภาพคลาวด์ รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้น นับเป็นความท้าทายในการบริหารจัดการมัลติคลาวด์ทั้งสิ้น ดังนั้นธุรกิจจำเป็นต้องเร่งพัฒนากลยุทธ์ดิจิทัลให้สอดคล้องกับภูมิทัศน์ดิจิทัลที่พัฒนาอยู่ตลอดเพื่อให้พร้อมสำหรับทุกๆ การแข่งขัน ความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยให้องค์กรต่างๆ ก้าวข้ามอุปสรรคในประสบการณ์ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่สามารถใช้แพลตฟอร์มคลาวด์คว้าโอกาสทางธุรกิจในเศรษฐกิจดิจิทัล สร้างความคล่องตัว ความปลอดภัย รองรับการปรับขนาด มีโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่ลูกค้าไว้วางใจ พร้อมทั้งมีผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และทักษะช่วยจัดการและปรับใช้โซลูชันได้อย่างเหมาะสมตรงตามความต้องการใช้งานของแต่ละธุรกิจ

นายวีรพันธุ์ ดุรงค์แสง กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจดิตอลโซลูชั่น บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าววว่า “เมโทรซิสเต็มส์ ให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศครบวงจร โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่มธุรกิจหลัก และหนึ่งในธุรกิจหลักของเราคือ ผู้ให้บริการ IT Infrastructure as a service และ managed service เรามีประสบการณ์ตรงกับการกำหนดกลยุทธ์ ออกแบบ และวางระบบคลาวด์ของเราเอง เพื่อใช้และให้บริการกับลูกค้าองค์กร และให้กับลูกค้า รวมถึงประสบการณ์บริการ managed services เรามี best practices หลากหลายที่ทำให้เราสามารถนำเสนอบริการ Multi-cloud managed services แบบครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษา กำหนดกลยุทธ์ วางแผน implement  รวมถึงดูแลบริหารระบบและค่าใช้จ่ายที่ตรงกับธุรกิจและการใช้งาน รวมถึงทีมงานที่มีประสบการณ์ ไม่ว่าลูกค้ามี on-premise IT infrastructure ของตัวเอง หรือใช้คลาวด์หลากหลายแพลตฟอร์ม  ความร่วมมือกับ VMware เพื่อนำเสนอบริการ VMware Multi-cloud Managed Service บริการนี้จะช่วยเสริมศักภาพให้เมโทรซิสเต็มส์ มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เพราะวีเอ็มแวร์มีระบบนิเวศน์คลาวด์ที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าหรือจากผู้ให้บริการคลาวด์ต่าง ๆ ทำให้การให้บริการ multi-cloud managed services ง่ายขึ้นไม่ว่าจะเป็นการให้คำแนะนำ กำหนดกลยุทธ์ วางแผน การจัดการและความปลอดภัยของสภาพแวดล้อม multi-cloud ต่างๆ  สิ่งนี้ช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถให้ความสำคัญกับการวางแผนรูปแบบบริการหรือธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตและผลกำไรของตนเอง ในขณะเดียวกันให้เมโทร ซิสเต็มส์ ทำหน้าที่บริหารจัดการ multi-cloud อย่างสมาร์ท”

นายเอกภาวิน สุขอนันต์ ผู้จัดการวีเอ็มแวร์ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “เรายินดีที่ได้เป็นพันธมิตรกับเมโทรซิสเต็มส์ ผู้นำธุรกิจที่ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมไอทีของไทย เทคโนโลยีคลาวด์ของวีเอ็มแวร์ที่ผสานกับความเชี่ยวชาญของเมโทรซิสเต็มส์ จะสร้างการทำงานร่วมกันที่มีประสิทธิภาพ มอบโอกาสให้ธุรกิจต่าง ๆ ใช้ประโยชน์จากศักยภาพสูงสุดของคลาวด์และพร้อมสำหรับขับเคลื่อนการสร้างนวัตกรรม”

ในฐานะพันธมิตรผู้ให้บริการ Multi-Cloud Managed Services เมโทรซิสเต็มส์จะให้บริการดังต่อไปนี้:

  • Cloud Consult Services: บริการให้คำปรึกษา แนะนำ และออกแบบ ในการนำระบบที่อยู่บน On-Premise ไปใช้งานบน Public, Private และ Multi Cloud อย่างมืออาชีพ
  • Cloud Infrastructure Automation & Modernization Services: บริหารจัดการระบบ IT Infrastructure และ Application & Data Modernization ด้วย Cloud Service Automation เพื่อตอบโจทย์ต่อความท้าทายทางธุรกิจในปัจจุบัน
  • Cloud Managed Services: บริการด้านการบริหารจัดการตามมาตราฐาน ITIL Framework และ Improvement  Services  ด้วย Infrastructure Automation & Modernization โดยวิศกร มืออาชีพ เพื่อลดภาระการทำงานของลูกค้า ในลักษณะที่เป็นงานประจำวัน (Day-2 Operation)

 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์ บทความ เทคโนโลยี

การ์ทเนอร์ชี้ 5 เทรนด์สำคัญ กำหนดอนาคต Data Science และ Machine Learning

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 4 สิงหาคม 2566 – การ์ทเนอร์เผยแนวโน้มสำคัญที่ส่งผลต่ออนาคตของวิทยาศาสตร์ข้อมูลและแมชชีนเลิร์นนิ่ง (Data Science and Machine Learning หรือ DSML) ซึ่งเป็นผลมาจากวิวัฒนาการและการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองต่อการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยของข้อมูลในปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อธุรกิจโฟกัสการลงทุน Generative AI 

ปีเตอร์ เครนสกี้ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “แมชชีนเลิร์นนิ่งยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ขณะเดียวกัน DSML กำลังพัฒนาจากเดิมที่มุ่งเน้นโมเดลการคาดการณ์ (Predictive Models) ไปเป็นให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ในวงกว้างขึ้น ไดนามิก และเน้นข้อมูลเป็นหลัก รวมถึงได้รับแรงหนุนจาก Generative AI แม้อาจมีความเสี่ยงเกิดขึ้น แต่ก็มีความสามารถและช่วยสร้างยูสเคสการใช้งานใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและองค์กรด้วยเช่นกัน”

การ์ทเนอร์รวบรวม 5 แนวโน้มสำคัญที่จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของ DSML ไว้ดังนี้:

เทรนด์ที่ 1: Cloud Data Ecosystems

Data Ecosystems (ระบบนิเวศข้อมูล) กำลังเปลี่ยนจาก self-contained ซอฟต์แวร์ หรือการปรับใช้ซอฟต์แวร์แบบผสมผสานไปสู่คลาวด์เนทีฟโซลูชันเต็มรูปแบบ การ์ทเนอร์คาดว่า ภายในปี 2567 50% ของการนำระบบคลาวด์ใหม่มาใช้จะอยู่ในระบบนิเวศข้อมูลคลาวด์ที่เชื่อมโยงกัน มากกว่าการใช้โซลูชันผสานรวมแบบแมนนวล

การ์ทเนอร์แนะนำให้องค์กรธุรกิจต่าง ๆ ประเมิน Data Ecosystems โดยพิจารณาจากความสามารถในการแก้ไขปัญหาด้านข้อมูลแบบกระจาย ตลอดจนการเข้าถึงและบูรณาการร่วมกับแหล่งข้อมูลภายนอกที่มีสภาพแวดล้อมใกล้เคียงกัน

เทรนด์ที่ 2: Edge AI

ความต้องการ Edge AI เพิ่มขึ้นเพื่อประมวลผลข้อมูล ณ จุดที่ข้อมูลถูกสร้างขึ้น ช่วยให้องค์กรได้รับข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ ช่วยตรวจจับแพทเทิร์นใหม่ ๆ และปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่เข้มงวด โดย Edge AI ยังช่วยให้องค์กรธุรกิจต่าง ๆ สามารถปรับปรุงในด้านการพัฒนา การจัดวางระเบียบ การผสานรวมและการนำ AI มาใช้ 

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2568 มากกว่า 55% ของการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดโดยโครงข่ายประสาทเทียมเชิงลึก (Deep Neural Networks) จะเกิดขึ้น ณ ตำแหน่งข้อมูลในระบบ Edge จากเดิมที่น้อยกว่า 10% ในปี 2564 โดยองค์กรควรระบุแอปพลิเคชัน และจำเป็นต้องฝึกและคาดคะเน AI เพื่อย้ายไปยังสภาพแวดล้อม Edge ที่ใกล้กับ IoT

เทรนด์ที่ 3: Responsible AI

Responsible AI หรือ AI ที่มีความรับผิดชอบ ทำให้ AI กลายเป็นพลังบวกแทนที่จะเป็นภัยคุกคามต่อสังคมและตัวมันเอง โดยยังครอบคลุมหลายแง่มุมของการทำธุรกิจให้ถูกต้องและเป็นตัวเลือกทางจริยธรรมเมื่อองค์กรมีการนำ AI มาใช้อย่างอิสระ เช่น ธุรกิจและคุณค่าทางสังคม ความเสี่ยง ความไว้วางใจ ความโปร่งใส และความรับผิดชอบ การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2568 โมเดลการฝึก AI ล่วงหน้าที่ 1% ของผู้จำหน่าย AI จะทำให้ Responsible AI กลายเป็นประเด็นที่สังคมกังวล

การ์ทเนอร์แนะนำให้องค์กรต่าง ๆ ใช้แนวทางที่คำนึงถึงสัดส่วนความเสี่ยงเพื่อส่งมอบคุณค่า AI และระมัดระวังเมื่อใช้โซลูชันและแบบจำลองต่าง ๆ โดยขอการรับประกันจากผู้จำหน่ายเพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขากำลังจัดการความเสี่ยงและปฏิบัติตามกฎระเบียบ ปกป้ององค์กรจากการสูญเสียทางการเงินที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการดำเนินคดีทางกฎหมาย และความเสียหายต่อชื่อเสียง

เทรนด์ที่ 4: Data-Centric AI

Data-Centric AI หรือ AI ที่เน้นข้อมูลเป็นศูนย์กลาง แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงจากแนวทางที่ยึดโมเดลและโค้ดเป็นศูนย์กลางไปสู่การมุ่งเน้นด้านข้อมูลมากขึ้นเพื่อสร้างระบบ AI ที่ดีขึ้น โซลูชันต่าง ๆ อาทิ การจัดการข้อมูลเฉพาะของ AI (AI-Specific Data Management) ข้อมูลสังเคราะห์ (Synthetic Data) และเทคโนโลยีการติดฉลากข้อมูล (Data Labeling Technologies) มีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ปัญหาความท้าทายด้านข้อมูลมากมาย รวมถึงความสามารถในการเข้าถึง ปริมาณ ความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย ความซับซ้อน และขอบเขตการใช้งาน

การใช้ Generative AI เพื่อสร้างข้อมูลสังเคราะห์มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ช่วยลดภาระในการรับข้อมูลในโลกความเป็นจริง และยังสามารถช่วยฝึกฝนโมเดลการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2567 60% ของข้อมูลสำหรับ AI จะถูกสังเคราะห์ขึ้นเพื่อจำลองความเป็นจริง สถานการณ์ในอนาคต และลดความเสี่ยงของ AI เพิ่มขึ้นจาก 1% ในปี 2564

เทรนด์ที่ 5: Accelerated AI Investment

การลงทุนใน AI จะยังเติบโตอย่างรวดเร็ว ผ่านองค์กรต่าง ๆ ที่นำโซลูชันไปใช้ รวมถึงอุตสาหกรรมที่ต้องการเติบโตผ่านเทคโนโลยี AI และธุรกิจที่ใช้ AI การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในสิ้นปี 2569 จะมีการลงทุนมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับเริ่มต้นใช้ระบบ AI ที่อาศัยโมเดลพื้นฐาน ซึ่งเป็นโมเดล AI ขนาดใหญ่ที่ได้รับการฝึกฝนจากข้อมูลจำนวนมหาศาล

ผลสำรวจล่าสุดของการ์ทเนอร์จากผู้บริหารมากกว่า 2,500 ราย ยังพบว่า 45% เผยว่ากระแส ChatGPT ที่มาแรงกระตุ้นให้พวกเขาเพิ่มการลงทุนด้าน AI ขณะที่ 70% ระบุว่าองค์กรของพวกเขาอยู่ในโหมดการสำรวจและทดสอบการใช้ Generative AI และ 19% อยู่ในช่วงทดลองใช้หรือผลิตใช้

ติดตามข่าวสารและข้อมูลอัปเดตจาก Gartner for High Tech ได้ทาง Twitter และ LinkedIn หรือเยี่ยมชม IT Newsroom สำหรับข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

กลับมาอีกครั้ง! เอเซอร์จัดแคมเปญ Acer Day 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7

กรุงเทพฯ, 4 สิงหาคม 2566 – บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด จัดแคมเปญใหญ่ระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Acer Day 2023 ภายใต้ธีม #AceYourWorld นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการทำงานและประสบการณ์ดิจิทัลให้กับผู้คนที่มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย มุ่งเน้นให้ผู้คนเพิ่มขีดความสามารถและปลดล็อกศักยภาพที่มีอยู่ในตนเองให้บรรลุเป้าหมายด้วยเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น นักเรียน นักศึกษา ทำงานออฟฟิศ หรือผู้ประกอบการ Acer Day 2023 ขอเป็นส่วนร่วมในการขับเคลื่อนทุกแรงบันดาลใจให้สามารถสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ที่มีเอกลักษณ์ของตนเองให้เป็นที่ยอมรับ

“เอเซอร์มุ่งมั่นที่จะพาผู้คนก้าวข้ามกำแพงระหว่างคนและเทคโนโลยี เราเดินหน้าพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยปลดล็อกให้ผู้คนบรรลุเป้าหมายชีวิตที่ดีขึ้น แคมเปญ Acer Day 2023 ที่จัดขึ้นในปีนี้จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถของนวัตกรรมจากเอเซอร์ที่จะช่วยยกระดับประสบการณ์และปลดล็อกโอกาสให้ผู้ใช้ได้สร้างสรรค์ผลงานที่ยอดเยี่ยมขึ้นอีกขั้น.” นายแอนดรู โฮว ประธานภูมิภาพเอเชียแปซิฟิก บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าว

แคมเปญ Acer Day 2023 เริ่มตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม – 3 กันยายน 2566 (ระยะเวลาการจัดกิจกรรมขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ) พบโปรโมชั่นผลิตภัณฑ์ราคาสุดพิเศษ พร้อมการวางจำหน่ายโน้ตบุ๊กรุ่นพิเศษ Acer Swift Go Special Edition ที่เปิดตัวครั้งแรกในแคมเปญ Acer Day 2023 และผลิตภัณฑ์เกมมิ่งตัวเด็ดสเปคแน่น Predator Helios 18 และ Predator Helios Neo

Acer Swift Go Special Edition ดีไซน์เรียบหรู ตัวเครื่องอะลูมิเนียมเพรียวบางสีทอง (Sunshiny Gold) เล่นลวดลายด้วยลายเส้นสีทองและโลโก้ของ Acer Swift พกพาสะดวก คล่องตัว ตอบโจทย์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ ด้วยประสิทธิภาพของเทคโนโลยีประมวลผล 13th Gen Intel® CoreTM i5-13500H กราฟิก Intel® Iris® Xe บนมาตรฐาน Intel® EvoTM พร้อมหน่วยความจำ RAM LPDDR5 16GB และ SSD NVMe PCIe ขนาด 1TB ตอบสนองรวดเร็ว รองรับการทำงานมัลติทาสก์ บนหน้าจอ OLED 14” ความคมชัดระดับ 2.8K (2880 x 1800) อัตราส่วนภาพ 16:10 ความสว่าง 400-nits รองรับช่วงสี DCI-P3 100% มาตรฐานโรงภาพยนต์ พร้อมใช้งานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows11 และ Microsoft Office จำหน่ายในราคา 29,990 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) พร้อมรับประกัน 2 ปี (ฟรีค่าแรงและอะไหล่) 

สายเกมเครื่องแรงสเปคแน่น

Predator Helios 18 (PH18-71-97VX) ตัวตึงในสายฮาร์ดคอร์เกมมิ่งโน้ตบุ๊กที่อัดแน่นด้วยพลังความเร็วแรง จอ 18” WQXGA IPS 240Hz (2560×1600) พลังประมวลผล 13th Gen Intel® CoreTM i9-13900HX กราฟิก NVIDIA® GeForce® RTX 4080 12GB, RAM 32GB DDR5, SSD 2TB M.2 PCIe Gen 4 NVMe คีย์บอร์ด RGB ปรับแต่งแสงสีได้ตามต้องการ เทคโนโลยีระบายความร้อนสมบูรณ์แบบกับ 5th Gen AeroBlade 3D พัดลมระบายความร้อนแบบคู่และช่วยระบายความร้อนอย่างรวดเร็วด้วยซิลิโคนระบายความร้อนแบบโลหะเหลว พร้อมซอฟแวร์ควบคุมการทำงาน PREDATORSENSE ที่ช่วยตรวจสอบระบบ โอเวอร์คล็อก สร้างมาโคร ปรับแต่ง RGB ได้ตามความต้องการ ด้วยอินเตอร์เฟซเฉพาะตัวที่ใช้งานง่าย และปรับแต่งได้ ช่วยเร่งประสิทธิภาพระบบได้เต็มศักยภาพ Predator Helios 18 จำหน่ายในราคา 105,900 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) พร้อมรับประกัน 3 ปี (ฟรีค่าแรงและอะไหล่และบริการ On-site)

Predator Helios Neo เกมมิ่งโน้ตบุ๊คที่ทรงพลัง อัดแน่นด้วยประสิทธิภาพและกราฟิกจากโปรเซสเซอร์ 13th  Gen Intel Core HX-series จับคู่กับ NVIDIA GeForce RTX 40 Series จอแสดงผล 16” ที่มีให้เลือกทั้ง WQXGA IPS 165 Hz (2560×1600) และ จอ WUXGA IPS 165 Hz (1920×1200) รองรับช่วงสี 100% sRGB ระบบระบายความร้อนขั้นสูงด้วยเทคโนโลยีพัดลม AeroBlade™ ช่วยระบายความร้อนได้อย่างรวดเร็วด้วยซิลิโคนระบายความร้อนแบบโลหะ

  • Predator Helios Neo (PHN16-71-921N)13th Gen Intel® Core™ i9-13900HX, NVIDIA® GeForce® RTX 4060, RAM 16 GB DDR5, SSD 1 TB จำหน่ายในราคา 55,990 บาท  (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
  • Predator Helios Neo (PHN16-71-58MD)13th Gen Intel® Core™ i5-13500HX, NVIDIA® GeForce® RTX 4050, RAM 16 GB DDR5, SSD 512 GB จำหน่ายในราคา 39,990 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

PROMOTION! Acer Day 2023 #AceYourWorld พบนวัตกรรมเทคโนโลยีที่เอเซอร์คัดสรรมาเพื่อตอบโจทย์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์นำเสนอในราคาสุดพิเศษ ลดสูงสุด 10,000 บาทที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายเอเซอร์ และผ่อน 0% นานสูงสุด 15 เดือนสำหรับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ

ปลดล็อกขีดจำกัดในทุกสนามสู่ผู้นำในการแข่งขัน

Acer Nitro5 ตัวตึงในสายแคชชวลเกมมิ่งโน้ตบุ๊กไปได้สุดทั้งความสายบันเทิงและงานครีเอเตอร์ด้วยเทคโนโลยีที่เร็ว แรง พร้อมระบบระบายความร้อนขั้นสูงด้วยพัดลมระบายความร้อนคู่และช่องระบายอากาศสี่ช่อง จอแสดงผล 15.6” FHD IPS 165 Hz (1920 x 1080) รองรับช่วงสี 100% sRGB พร้อมคีย์บอร์ดไฟ RGB แบบ 4 โซน  ลำโพงคู่ DTS:X® Ultra ให้เสียงชัดเจนด้วยระบบเสียงรอบทิศทาง 3 มิติ รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi AX พร้อมระบบปฏิบัติการ Windows11 และ Microsoft Office

  • Acer Nitro5 (AN515-58-56HV)12th Gen Intel® CoreTM i5-12500H, NVIDIA® GeForce® RTX 3060 6GB, SSD 512 GB M.2 NVMe PCIe Gen4, RAM 16GB DDR6 ราคาพิเศษรับแคมเปญ Acer Day2023 ที่ 35,990 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จากราคาปกติ 45,990 บาท
  • Acer Nitro5 (AN515-58-705T)12th Gen Intel® CoreTM i7-12700H, NVIDIA® GeForce® RTX 3050Ti 4GB, SSD 512 GB NVMe PCIe Gen4, RAM 8 GB DDR4 ราคาพิเศษ 31,990 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จากราคาปกติ 41,990 บาท
  • Acer Nitro5 (AN515-58-55UB)12th Gen Intel® CoreTM i5-12500H, NVIDIA® GeForce® RTX 3050 4GB, SSD 512 GB NVMe PCIe Gen4, RAM 8 GB DDR4 ราคาพิเศษ 28,990 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จากราคาปกติ 35,990 บาท

สู่วิถี Digital Nomad ปลดล็อกการทำงานระดับมืออาชีพ ให้อิสระทุกการเดินทางทำงานได้ทุกที่

Acer Swift Series โน้ตบุ๊กกลุ่ม Thin & Light ดีไซน์สวยสะดุดตา น้ำหนักเบาง่ายต่อการพกพา มอบประสบการณ์การใช้งานที่เปี่ยมประสิทธิภาพ ให้ประสิทธิภาพการระบายความร้อนเพื่อการใช้งานอย่างเต็มสมรรถนะด้วยท่อนำความร้อนทองแดงแบบคู่ ทำงานร่วมกับพัดลม TwinAir Cooling เพิ่มการไหลเวียนของอากาศ

  • Acer Swift5 (SF514-56T71VH) มาพร้อมดีไซน์ที่เรียบหรูตัวเครื่องอะลูมิเนียมพรีเมียมเกรดอากาศ ยานน้ำหนักเบา พกพาสะดวก หน้าจอ 14” QHDLCD IPS Touch กระจก Antimicrobial Corning Gorilla Glass ช่วยลดการสะสมเชื้อแบคทีเรีย ระบบประมวลผล 12th Generation Intel® CoreTM i7-1260P กราฟิก Intel® Iris® Xe มาตรฐาน Intel® Evo™, SSD 1 TB, RAM 16 GB DDR5 ทัชแพด OceanGlass ผลิตจากขยะพลาสติกเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้สัมผัสการทำงานที่ลื่นไหล นำเสนอในราคาพิเศษ 39,990 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จากราคาปกติ 45,990 บาท
  • Acer Swift 3 OLED (SF314-71) โน้ตบุ๊กจอ OLED ขนาด 14” อัตราส่วน 16:10 WQXGA+ (2.8k) ให้ภาพชัดสมจริงที่รองรับช่วงสี DCI-P3 100% ระบบประมวลผล 12th Generation Intel® CoreTM i5-12500H กราฟิก Intel Iris Xe, SSD 512 GB, RAM 16 GB DDR5 ตัวเครื่องผลิตจากอะลูมิเนียม บาง 17.9 มม. น้ำหนักเพียง 1.4 กก. ทัชแพด OceanGlass ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Acer Swift 3 OLED มีให้เลือก 2 สี สีเทา (Steel Gray) และ สีทอง (Luxury Gold) ราคาพิเศษ 23,990 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จากราคาปกติ 31,990 บาท

ปลดล็อกการทำงานด้วยความสมดุลในแบบ Work-Life Balance

Acer Aspire โน้ตบุ๊กดีไซน์เรียบง่ายที่อัดแน่นด้วยประสิทธิภาพ รองรับการทำงานมัลติทาส์กอย่างมีประสิทธิภาพ ตอบสนองฉับไว พกพาสะดวก พร้อมใช้งานด้วยระบบปฎิบัติการ Windows11 และ Microsoft Office

  • Acer Aspire 7 (A715-51G51HN): หน้าจอ หน้าจอ IPS FHD 15.6” 144 Hz(1920×1080) ระบบประมวลผล 12th Gen Intel® CoreTM i5-1240P กราฟิก NVIDIA GeForce RTX 3050 4GB, SSD 512 GB, RAM 8 GB DDR5 การเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 พอร์ตเชื่อมต่อ Thunderbolt 4, USB Type-C และ USB 3.2 Gen1, HDMI ระบายความร้อนด้วยโซลูชั่นระบายความร้อนพัดลมคู่ และบานพับยกระดับ Acer Aspire 7 จำหน่ายในราคา 24,990 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จากราคาปกติ 29,990 บาท พร้อมรับประกัน 3 ปี (ฟรีค่าแรง,อะไหล่ และบริการ Onsite) 

Acer Aspire Vero โน้ตบุ๊กที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตัวเครื่องผลิตจากพลาสติก PCR ไม่ผ่านการเคลือบ/พ่นสี ควบคุมการประหยัดพลังงานของแบตเตอรี่ด้วยซอฟต์แวร์ VeroSenseTM ที่ทำงานร่ว มกับแพลตฟอร์ม Intel® EvoTM ระบบประมวลผล 12th Gen Intel® CoreTM i5-1235U และกราฟิก Intel Iris Xe รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 พอร์ตเชื่อมต่อ Thunderbolt 4, USB Type-C และ USB 3.2 Gen1 Type-A

  • Acer Aspire Vero (AV14-51): จอแสดงผล Full HD IPS 14” มีให้เลือกในโทนสีเทา Cobblestone Grey และสีน้ำเงิน Mariana Blue จำหน่ายในราคาพิเศษ 18,990 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จากราคา 25,990 บาท
  • Acer Aspire Vero (AV15-52): จอแสดงผล Full HD IPS 15.6” ตัวเครื่องโทนสีเทา Cobblestone Grey จำหน่ายในราคาพิเศษ 18,990 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จากราคา 26,990 บาท

Acer Aspire 3 ตัวเครื่องน้ำหนักเบาพกพาสะดวก หน้าจอแสดงผล Full HD พร้อมเทคโนโลยีถนอมสายตา Acer BlueLightShieldTM รองรับการใช้งานแบบมัลติทาส์ก

  • Acer Aspire 3 (A315-59-54S1) จอแสดงผล FHD 15.6” (1920×1080) ระบบประมวลผล 12th Gen Intel® CoreTM i5-1235U, SSD 512 GB, RAM 8 GB DDR4 ตัวเครื่องสีเงิน (Silver) ราคาพิเศษ 17,990 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จากราคาปกติ 22,990 บาท พร้อมรับประกัน 2 ปี (ฟรีค่าแรง,อะไหล่)
  • Acer Aspire 3 (A315-510P-39F9) จอแสดงผล IPS FHD 15.6” (1920×1080) ระบบประมวลผล 12th Intel® Core™ i3-N300, 8GB LPDDR5, SSD PCIE 256GB ตัวเครื่องสีเงิน (Silver) ราคาพิเศษ 12,990 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จากราคาปกติ 14,990 บาท พร้อมรับประกัน 2 ปี (ฟรีค่าแรง,อะไหล่)
  • Acer Aspire 3 (A315-510P-PP330) จอแสดงผล IPS FHD 15.6” (1920×1080) ระบบประมวลผล Intel® N200, 4GB LPDDR5, SSD PCIE 256GB ตัวเครื่องสีเงิน (Silver) ราคาพิเศษ 10,990 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จากราคาปกติ 10,990 บาท พร้อมรับประกัน 2 ปี (ฟรีค่าแรง,อะไหล่)

สู่ประสิทธิภาพที่เหนือชั้น ตอบรับทุกความต้องการ

Desktop Aspire TC Series เดส์กทอปพีซีดีไซน์แกร่งที่มาพร้อมประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม ลงตัวในทุกไลฟ์สไตล์ ง่ายต่อการจัดการและอัพเกรดเพื่อตอบโจทย์การใช้งาน ระบบระบายความร้อนทันสมัย พอร์ตเชื่อมต่อครบครัน พร้อมระบบปฏิบัติการ Windows11 และ Microsoft Office ให้ทุกการใช้งานดุจมืออาชีพ.

  • TC-1780-1318G0T0Mi/T003: 13th Gen Intel® CoreTM i3-13100, SSD 512 GB, RAM 8 GB จำหน่ายในราคา 18,990 บาท พร้อมรับประกัน 3 ปี (ฟรีค่าแรง,อะไหล่ และบริการ On-Site)
  • TC-1780-1348G0T0Mi/T005: 13th Gen Intel® CoreTM i5-13400, SSD 512 GB, RAM 8 GB จำหน่ายในราคา 21,990 บาท พร้อมรับประกัน 3 ปี (ฟรีค่าแรง,อะไหล่ และบริการ On-Site)
  • TC-1780-13716G0T0Mi/T006: 13th Gen Intel® CoreTM i7-13700, SSD 512 GB, RAM 16 GB จำหน่ายในราคา 29,990 บาท พร้อมรับประกัน 3 ปี (ฟรีค่าแรง,อะไหล่ และบริการ On-Site)

Aspire All-in-One C Series คอมพิวเตอร์ออล-อิน-วัน รูปทรงเพรียวบางประหยัดพื้นที่ ออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการใช้งานและความบันเทิงในชีวิตประจำวันของครอบครัว จอแสดงผล Full HD มีให้เลือกหลายขนาดตามความต้องการใช้งาน Aspire All-in-One C24 ขนาดหน้าจอ 23.8”, Aspire All-in-One C22 ขนาดหน้าจอ 21.5” และ Aspire All-in-One C27 ขนาดหน้าจอ 27” พร้อมใช้งานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows11 และ Microsoft Office

  • Aspire All-in-One C24 มาพร้อมระบบประมวลผล 13th Gen Intel® CoreTM ที่มีตั้งแต่ CoreTM i3, i5 และ i7, RAM เริ่มต้นตั้งแต่ 8 GB – 16 GB และ SSD 256 GB – 512 GB ให้เลือกใช้งาน ในราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 17,990 – 34,990 บาท พร้อมรับประกัน 3 ปี (ฟรีค่าแรง,อะไหล่ และบริการ On-Site)
  • Aspire All-in-One C22 มาพร้อมระบบประมวลผล 13th Gen Intel® CoreTM ที่มีให้เลือกใช้งานด้วย CoreTM i3 และ i5, RAM 8 GB และ SSD 256 GB – 512 GB ให้เลือกใช้งาน ในราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 16,990 – 21,990 บาท พร้อมรับประกัน 3 ปี (ฟรีค่าแรง,อะไหล่ และบริการ On-Site)
  • Aspire All-in-One C27 ระบบประมวลผล 13th Gen Intel® CoreTM i5-1335U, SSD 512 GB + 1 TB, RAM 16 GB จำหน่ายในราคา 27,990 บาท พร้อมรับประกัน 3 ปี (ฟรีค่าแรง,อะไหล่ และบริการ On-Site)

ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ใส่ใจคุณภาพชีวิต

Acerpure Clean VVacuum Cleaner เครื่องดูดฝุ่นไร้สายน้ำหนักเบา ทำงานด้วยพลังไซโครนผ่านระบบกรอง 5 ชั้น ช่วยดักจับสิ่งสกปรกอนุภาคขนาดเล็กได้ถึง 0.3 ไมครอน กำจัดฝุ่นละอองได้ถึง 99.5% ใช้งานต่อเนื่องนานสูงสุด 60 นาที (ในโหมดประหยัดพลังงาน) พิเศษสำหรับแคมเปญ Acer Day 2023 จำหน่ายในราคา 5,490 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จากราคาปกติ 6,990 บาท

Acerpure Clean VLite Vacuum Cleaner ครื่องดูดฝุ่นไร้สายขนาดกระทัดรัด พกพาสะดวกด้วยน้ำหนักเพียง 0.55 กก. ทำความสะอาดซอกซอนได้ทุกซอกทุกมุม และทุกพื้นผิวด้วยหัวแปรงมุมฉาก 90 องศาที่หมุนได้ 180 องศา และหัวแปรงอเนกประสงค์ 2-in-1 จำหน่ายในราคา 2,190 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จากราคาปกติ 2,990 บาท

Acerpure Cozy FAir Circulator เครื่องหมุนเวียนอากาศด้วยใบพัด 3 มิติ กระจายแรงลมได้ไกลถึง 15 เมตร ครอบคลุมพื้นที่กว่า 108 ตร.ม. ควบคุมทิศทางของอากาศได้อย่างแม่นยำ ประหยัดพลังงานและสามารถสั่งการได้ผ่านรีโมท เครื่องทำงานเงียบด้วยระดับเสียงรบกวนต่ำสุด 25 เดซิเบล จำหน่ายในราคา 2,690 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จากราคาปกติ 2,990 บาท

ติดตามรายละเอียดผลิตภัณฑ์ที่ร่วมรายการในแคมเปญ Acer Day 2023 ได้ที่ https://acerthailand.com/news-promotions/acer-day-2023/ และตัวแทนจำหน่ายเอเซอร์ที่ร่วมรายการ acer store สาขาไอทีมอลล์ ฟอร์จูน ชั้น 3 และ Acer Online Store
และติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Acer และ Acer Day ได้ที่เว็บไซต์ Acer และช่องทางโซเชียลได้ที่  Facebook: Acer Thailand Facebook, Instagram: AcerThailand,

#AcerDay2023 #AceYourWorld #AcerThailand


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

แอดไวซ์เสิร์ฟบริการไอทีครบวงจรให้กับลูกค้าองค์กรธุรกิจ ดันแผนรุกตลาด B2B ผ่าน Advice Biz Solutions

27 กรกฎาคม 2566 – แอดไวซ์ เผยกลยุทธ์ธุรกิจใหม่เดินหน้าสู่ตลาดลูกค้ากลุ่มองค์กรธุรกิจ ดันแผนรุกตลาด B2B เปิด “Advice Biz Solutions” แห่งแรกใจกลางย่านธุรกิจ รองรับความต้องการของธุรกิจทุกประเภทด้วย IT Solution ที่ครอบคลุมด้วยสินค้าไอทีสำหรับองค์กร รวมถึงบริการก่อนและหลังการขายแบบครบจบในที่เดียว ตอบโจทย์องค์กรที่กำลังมองหา One-Stop-Solution ด้านอุปกรณ์ไอที ช่วยบริหารจัดการค่าใช้จ่ายด้วยเครดิตเทอมสำหรับลูกค้าองค์กรโดยเฉพาะ และอำนวยความสะดวกด้านบริการหลังการขายอย่างมืออาชีพ

จากการฟื้นตัวกลับมาของเศรษฐกิจภาพรวมภายในประเทศ ส่งผลให้องค์กรธุรกิจในอุตสาหกรรมต่างๆ เริ่มมีการปรับปรุงและลงทุนกับอุปกรณ์ไอที รวมถึงเครื่องใช้สำนักงานต่าง ๆ มากขึ้น ดังนั้น Advice Biz Solutions จึงเป็นหนึ่งในโอกาสและทางเลือกของทุกธุรกิจ ด้วยวัตถุประสงค์ที่เราจัดทำขึ้นเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการและองค์กรธุรกิจทั้งภาครัฐและเอกชน นอกจากการให้บริการสินค้าไอทีสำหรับองค์กร ยังมีบริการดูแลหลังการขายที่ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น การให้คำแนะนำ/ปรึกษาด้านการใช้งาน, Onsite Service, การจัดหาอุปกรณ์ทดแทนระหว่างซ่อม ซึ่งแอดไวซ์ให้ความสำคัญกับบริการหลังการขายด้วยความเข้าใจรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่ไม่หยุดนิ่ง ความพร้อมในการดูแลลูกค้าที่รวดเร็วและครบถ้วนจึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่เราต้องให้ความสำคัญ

นายจักรกฤช วัชระศักดิ์ศิลป์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานผลิตภัณฑ์ การขายและการตลาด บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “Advice Biz Solutions” เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของเราที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างแนวทางการดำเนินธุรกิจเพื่อรุกสู่ตลาดองค์กร (B2B) สนับสนุนผู้ประกอบการให้พร้อมต่อยอดธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว และช่วยเหลือองค์กรในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการด้านไอทีให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นผ่านผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์การให้บริการด้านค้าปลีกไอที แนวทางในการรุกตลาดองค์กรของแอดไวซ์ในครั้งนี้ เรามุ่งหวังที่จะขยายโซลูชั่นการให้บริการที่เป็นจุดเด่นของแอดไวซ์ในการให้บริการกลุ่มลูกค้าทั่วไปสู่กลุ่มลูกค้าระดับองค์กรที่มีความต้องการด้านการบริการทั้งก่อนและหลังการซื้อ”

Advice Biz Solutions เป็นแนวทางการดำเนินธุรกิจครั้งสำคัญของแอดไวซ์ในการรุกเข้าสู่ตลาดองค์กร โดยเปิดให้บริการสาขาแรกที่อาคาร All Season Place ย่านใจกลางธุรกิจ พร้อมผนึกกำลังร่วมกับแบรนด์ไอทีชั้นนำ เสนอสินค้าให้กับลูกค้าองค์กรครบทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก สมาร์ทโฟน พรินเตอร์ อุปกรณ์ต่อพ่วงคอมพิวเตอร์ ที่ลูกค้าองค์กรจะได้รับเครดิตเทอมเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการบริหารงบประมาณและการจัดซื้ออีกด้วย และนอกจากสินค้าแล้ว Advice Biz Solutions ยังมีบริการหลังการขายที่จะช่วยอำนวยความสะดวกองค์กรต่าง ๆ ทั้งการตรวจเช็คอุปกรณ์ ส่งซ่อม เคลมสินค้า และอุปกรณ์ทดแทนระหว่างการซ่อม โดยผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถได้รับการฝึกอบรมและการรับรองจากแบรนด์ไอทีชั้นนำ

ปัจจุบัน แอดไวซ์มีทั้งหมด 338 สาขา ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย รวมถึงใน สปป.ลาว ถือเป็นผู้จำหน่ายสินค้าไอทีที่มีหน้าร้านครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศ แอดไวซ์ยังคงปรับปรุงและพัฒนาในทุกภาคส่วนผ่านความร่วมมือของพนักงานภายในองค์กรที่เป็นดั่งฟันเฟืองชิ้นสำคัญในการนำพาแอดไวซ์ก้าวไปข้างหน้า และมองหาแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์สินค้าไอทีรุ่นล่าสุดให้กับผู้บริโภคทั่วประเทศ เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้ผู้บริโภคสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาทักษะความสามารถในอนาคต


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

นศ. วิศวกรรม ฯ มข. คว้ารางวัลชนะเลิศการประกวด Moral Hackathon 2023

นักศึกษาวิศวกรรมระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์  คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น คว้ารางวัลชนะเลิศในการแข่งขัน Moral Hackathon 2023 จัดขึ้นภายใต้โจทย์ “Moral Move” เเรงขับเคลื่อนแห่งสังคมคุณธรรม จัดโดย ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ซึ่งมีทั้งหมด 14 ทีม จากสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ โดย นางสาวชาคริยา จันทรคามิ ได้ร่วมกับเพื่อสมาชิกต่างสถาบัน ชื่อทีม Easy Easy” ประกอบด้วย นางสาวชาคริยา จันทรคามิ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ,นายปริภัทร์ มะลีแก้ว นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ,นายเมฆินทร์ วงศ์ศรีลานักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร

จัดทำผลงานชื่อ “Sign Sense” ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ช่วยเชื่อมโลกของคนหูดี และคนหูหนวกเข้าด้วยกันผ่านการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์เข้ามามีส่วนช่วยในการสื่อสาร นวัตกรรมนี้จึงช่วยสื่อสารระหว่างผู้พิการในการได้ยินและคนหูดี ช่วยเชื่อมโลกสองใบเข้าด้วยกัน

นางสาวชาคริยา จันทรคามิ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า “SignSense เกิดขึ้นจากที่พวกเรานั่ง ระดมความคิดกันว่าอยากลองทำเทคโนโลยีเพื่อคนพิการ โดยสนใจกลุ่มผู้พิการทางการได้ยิน และสื่อความหมาย (คนหูหนวก) เมื่อลองศึกษาปัญหาของคนหูหนวกดูว่าปัจจุบันพวกเขามีปัญหาอะไรบ้าง เราจึงพบว่าจริงๆ แล้วคนหูหนวกไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นหลัก และไวยากรณ์ภาษามือไทยไม่เหมือนกับภาษาไทย ทำให้เค้าสื่อสารกับคนหูดีลำบาก บางคนจึงเขียนไม่ได้เลย อ่านไม่ได้ด้วย หรือเขียนออกมาแล้วคนหูดีไม่เข้าใจ พวกเราจึงเกิดไอเดียที่ว่าจะดีกว่ามั้ยถ้าจะทำให้คนหูหนวกและคนหูดียังสื่อสารกันได้ โดยทั้ง 2 ฝ่ายยังได้ใช้ภาษาแม่ของตัวเอง”

“พวกเราจึงทำ SignSense ซึ่งเป็น Application ที่ใช้ AI ที่แปลง ‘ภาษามือเป็นเสียง’ และ ‘แปลงเสียงเป็นภาษามือ’ ไปพร้อมๆ กันแบบ Realtime กล่าวคือเมื่อคนหูดีพูดก็จะแปลงคำพูดเป็นภาษามือ และเมื่อคนหูหนวกทำภาษามือก็จะแปลงเป็นเสียงออกไปให้คนหูดีได้ยินนั่นเอง โดยการแปลในลักษณะนี้จะทำให้สื่อสารกันได้อย่างไร้รอยต่อ (seamlessly) เพื่อสร้างความเท่าเทียม ลดช่องว่างในการสื่อสาร และทำให้คนหูหนวกได้เข้าถึงสื่อ, ข้อมูลมากขึ้นนั่นเอง”


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ออฟฟิศเมท จัดแคมเปญรับหน้าฝน “โปรฉ่ำกระหน่ำแถม”

ออฟฟิศเมท และ ออฟฟิศเมท พลัส ในเครือเซ็นทรัล รีเทล จัดโปรโมชั่นรับหน้าฝน  กับแคมเปญ “โปรฉ่ำกระหน่ำแถม” ให้ลูกค้า SME และภาคธุรกิจได้ช้อปกันอย่างจุใจทั้งหน้าร้านและออนไลน์ตลอดเดือนสิงหาคม 2566… ช้อปคุ้มจัดเต็มกับเฟอร์นิเจอร์ลดสูงสุด 70% พร้อมรับของแถมเครื่องใช้ไฟฟ้าน่าใช้ เมื่อช้อปเฟอร์นิเจอร์ Furradec และแบรนด์ชั้นนำครบตามกำหนด อีกทั้งยังมีโปรแรงแซงลมฝนครบทุกกลุ่มสินค้า ทั้งลดทั้งแถมจัดหนัก ทั้งสินค้าอุปกรณ์สำนักงาน ไอที อิเล็กทรอนิกส์ ปริ้นเตอร์ อุปกรณ์ทำความสะอาด สินค้าโรงงาน และอีกเพียบ

พิเศษ…!  ช้อปก่อนจ่ายทีหลัง ลูกค้าบุคคลรับสิทธิ์ผ่อน 0%* กับบัตรเครดิตชั้นนำที่ร่วมรายการ และลูกค้าองค์กรสามารถขอรับเครดิตเทอม 30* วัน ที่ร้านออฟฟิศเมท และออฟฟิศเมท พลัส ทุกสาขา หรือช้อปออนไลน์ได้ง่ายๆ ที่ OFM Mobile App เว็บไซต์ www.ofm.co.th หรือ Chat & Shop ที่ Line: @OfficeMate และ Contact Center 1281 ออฟฟิศเมทบริการจัดส่งฟรีเมื่อช้อป 499.- ตามกำหนด


 

Exit mobile version