Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ซีเมนส์ จัดแสดงเทคโนโลยี ระบบไฟฟ้าและโซลูชัน IoT ด้านพลังงาน ที่งาน ASEAN Sustainable Energy Week 2023

ระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม – 1 กันยายน ศกนี้ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ ที่บูธ H9 ฮอลล์ 2

ซีเมนส์มุ่งสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมไทยเดินหน้าสู่อุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน โดยนำเทคโนโลยีและโซลูชันอัจฉริยะจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ Siemens Xcelerator มาร่วมจัดแสดงในงาน “ASEAN Sustainable Energy Week 2023”

ภายใต้แนวคิด “Accelerate Transformation Towards Decarbonization and Sustainable Industry”

ซีเมนส์ตั้งเป้าส่งเสริมศักยภาพและสนับสนุนอีโคซิสเต็มส์ในภาคอุตสาหกรรมให้มีความสามารถในการบริหารและจัดการพลังงานไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยคำนึงถึงการลดคาร์บอนจากอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องในกระบวนการปฎิบัติงาน

ข้อมูลจากองค์การพลังงานระหว่างประเทศ (The International Energy Agency: IEA) เผยในปี 2565 ที่ผ่านมา ภาคอุตสาหกรรมเป็นกลุ่มที่ใช้พลังงานภาพรวมมากที่สุดถึง 37% นอกจากนี้ภาคอุตสาหกรรมยังเผชิญความท้าทายในการเดินหน้าสู่ Net Zero ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงรอบด้านในการดำเนินงาน โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้าจะมีความซับซ้อนในระบบจำหน่ายไฟฟ้าที่จะมีการนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ในระบบมากขึ้น ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมต้องเร่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยีอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการต่าง ๆ ให้สามารถใช้พลังงานได้อย่างคุ้มค่า ลดต้นทุน และสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ไปสู่ความยั่งยืนได้

คุณสุวรรณี สิงห์ฤาเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซีเมนส์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ซีเมนส์มุ่งมั่น นำเสนอนวัตกรรม โซลูชันและเทคโนโลยีที่ช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถปรับเปลี่ยนกระบวนการไปสู่ระบบดิจิทัล พร้อมรับมือกับต้นทุนด้านพลังงาน โดยยึด 3 แกนหลัก ได้แก่ Decrease CAPEX & OPEX, Enhance Efficiency และ Replace with Technology ซึ่งหมายถึงการใช้เทคโนโลยีในการเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เพื่อส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้สามารถขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายการเป็นอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน”

ปัจจุบันการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่สร้างความสำเร็จให้กับภาคอุตสาหกรรม ส่งผลให้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) และ Digital Transformation มีส่วนสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน  ข้อมูลจาก Association of the Industrial Energy and Power Industry ชี้ว่าภาคอุตสาหกรรมกำลังเผชิญกับความท้าทายในด้านการบริหารและจัดการไฟฟ้า โดย 60% ของผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมต้องประสบปัญหาไฟฟ้าดับอย่างน้อย 1 ครั้ง/ปี และ 80% ต้องปิดระบบแบบกระทันหัน ซึ่งทำให้เกิดความสูญเสียอย่างรุนแรงต่อโรงงาน นอกจากนี้ 53% ของผู้ผลิตไฟฟ้า ยังต้องทำการบำรุงรักษาเชิงป้องกันให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าบ่อยครั้ง เนื่องจากขาดการมองเห็นข้อมูลสถานะที่แท้จริงของอุปกรณ์ และ 50% ยังใช้อุปกรณ์จากซัพพลายเออร์ที่ต่างกัน ทำให้ขาดการเชื่อมต่อของข้อมูลเพื่อควบคุมและบริหารจัดการไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้นับเป็นปัญหาสำคัญที่แก้ไม่ตกของการจัดการพลังงานไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมในปัจจุบัน

นวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบไฟฟ้าและโซลูชัน IoT ด้านพลังงานจากซีเมนส์จะสามารถช่วยเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการและขจัดความท้าทายดังกล่าวได้อย่างครบวงจร โดยโซลูชันและเทคโนโลยีไฮไลท์ที่ซีเมนส์นำมาจัดแสดง ภายในงาน ASEW 2023 ประกอบด้วย

  • โซลูชัน IoT ด้านพลังงานไฟฟ้า (Power IoT solutions) สำหรับภาคอุตสาหกรรม สามารถใช้งานได้ทั้งในโรงไฟฟ้า, สถานีไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรม, สถานีไฟฟ้าย่อยในโรงงาน, ใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าโรงงานอุตสาหกรรม และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ในนิคมอุตสาหกรรม ประกอบด้วย 

o   Microgrids for Sustainability แอปพลิเคชันไมโครกริดช่วยบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งผลิต/กำเนิด/ส่งไฟฟ้ามากกว่า 2 แหล่ง (สถานีไฟฟ้าทั่วไป ไฟฟ้าพลังน้ำ ไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ฯลฯ) ทำให้สามารถใช้แหล่งพลังงานที่คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ในขณะที่คงความมีเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า

o   IoT Applications and Cybersecurity แอปพลิเคชัน IoT ที่ช่วยควบคุมและตรวจสอบสถานะอุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งแสดงผลข้อมูลและสร้างรายงานดิจิทัลผ่านระบบเซิร์ฟเวอร์ในองค์กร (On-Premises) หรือผ่านระบบคลาวด์ (On-Cloud) ช่วยลดการเกิดไฟดับและการซ่อมบำรุงอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น ทำให้การผลิตมีความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังมั่นใจถึงความปลอดภัยของข้อมูลด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ Energy Automation ที่ได้รับการรับรองด้าน Cybersecurity ตามมาตรฐาน IEC 62443-4-1 เป็นแห่งแรกของโลก

o   Smart Power Monitoring and Management แอปพลิเคชันที่ช่วยตรวจสอบและบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าสำหรับตู้ควบคุมระบบจำหน่ายไฟฟ้าหลัก ทำให้ทราบสถานะของอุปกรณ์และระบบไฟฟ้าแรงดันต่ำภายในโรงงาน จึงสามารถวางแผนใช้พลังงานไฟฟ้าในกระบวนการการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยวางแผนประหยัดพลังงานและพบกระแสผิดพร่อง(fault)ได้อย่างรวดเร็ว ลดการสูญเสียที่ไม่จำเป็น 

o   Scale Up E-Mobility and Manage Loads แอปพลิเคชันควบคุมสถานีบริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ทราบสถานะจุดชาร์จและสามารถควบคุมได้จากระยะไกล ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการและซ่อมบำรุง ทำให้จุดชาร์จทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

  • นวัตกรรมสวิตช์เกียร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Medium-Voltage blue GIS) ใช้ก๊าซสะอาด (Clean Air) ปราศจากก๊าซฟลูออรีน (100% F-gas free) ลดการเกิดภาวะโลกร้อน ไม่ต้องบำรุงรักษา ทำให้ระบบจำหน่ายไฟฟ้ามีความยั่งยืน
  • นวัตกรรมระบบบริหารจัดการมอเตอร์อัจฉริยะ (SIMOCODE pro) ติดตั้งภายในตู้ควบคุมระบบไฟฟ้าหลักในโรงงาน SIVACON S8 Low-Voltage Switchboard ช่วยให้ทราบสถานะการทำงาน การแจ้งเตือนและตัดวงจรก่อนที่มอเตอร์จะเกิดความเสียหาย ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงมอเตอร์ ช่วยให้การผลิตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
  • สถานีไฟฟ้าย่อยแบบ E-House (คล้ายตู้คอนเทนเนอร์ ที่ภายในมีอุปกรณ์ไฟฟ้าที่จำเป็นติดตั้งอยู่) จะช่วยลดเวลาในการทำโครงการให้เสร็จเร็วขึ้น สนับสนุนภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการขยายตัวด้านโครงการอย่างยั่งยืนและรวดเร็ว โดย E-House สามารถเคลื่อนย้าย ดัดแปลง หรือนำไปใช้งานซ้ำในโครงการใหม่ได้

นอกจากนี้ซีเมนส์ยังได้นำ SICHARGE D เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบ DC Charger ประสิทธิภาพสูง ซึ่งได้รับรางวัล iF Design Award 2023 ประเภทยานยนต์ (Automotive) มาจัดแสดงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

“ภาคอุตสาหกรรมที่กำลังมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำจำเป็นต้องเตรียมพร้อมและมีเทคโนโลยีที่สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านพลังงาน เพราะนอกจากระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่จะมีความซับซ้อนมากขึ้นในอนาคต ยังมีความท้าทายในการนำพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เข้ามาใช้ร่วมกันในระบบอย่างเหมาะสม รวมถึงความซับซ้อนของโหลดงานที่มาเชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายไฟฟ้าก็มีบทบาทที่เป็นได้ทั้งผู้บริโภค (Consumer) และผลิตโดยผู้บริโภค (Prosumer) ดังนั้นเทคโนโลยีระบบไฟฟ้าในอนาคตจึงต้องพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เพื่อให้การบริหารจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด มีเสถียรภาพ ยืดหยุ่นต่อการใช้งานที่หลากหลาย และส่งเสริมความยั่งยืน ” คุณสุวรรณี กล่าวสรุป 


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

AMD เปิดตัวผลิตภัณฑ์กราฟิกการ์ดใหม่ AMD Radeon RX 7800 XT และ Radeon RX 7700 XT

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – 28 สิงหาคม 2566 – AMD (NASDAQ: AMD) เปิดตัวผลิตภัณฑ์กราฟิกการ์ดที่มีประสิทธิภาพระดับแนวหน้าใหม่ ณ งาน Gamescom จำนวน 2 รุ่น  ประกอบด้วย AMD Radeon™ RX 7800 XT และ AMD Radeon RX 7700 XT ที่พัฒนามาเพื่อมอบประสบการณ์การเล่นเกมที่มีประสิทธิภาพและอัตรารีเฟรชสูงที่ความละเอียด 1440p สำหรับเกม AAA และอีสปอร์ต ที่เป็นที่ต้องการอย่างมากปัจจุบันและในอนาคต นอกจากนี้ AMD ยังได้ประกาศความพร้อมใช้งานฟีเจอร์ AMD FidelityFX™ Super Resolution 3 เทคโนโลยีสำหรับเพิ่มสเกลการแสดงผลในยุคถัดไปที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการเล่นเกม

กราฟิกการ์ดใหม่สร้างขึ้นบนสถาปัตยกรรม AMD RDNA 3 เสนอฟีเจอร์ด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ล้ำสมัย ออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การเล่นเกมที่ความละเอียด 1440p เพลิดเพลินไปกับภาพการแสดงผลที่ลื่นไหลที่อัตราเฟรมเรต 60+ FPS และประสิทธิภาพต่อราคาที่ดีขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบคู่แข่งในด้านการเล่นเกม กราฟิกการ์ด AMD Radeon RX 7800 XT และ AMD Radeon RX 7700 XT ยังมาพร้อม VRAM GDDR6 ความเร็วสูงขนาด 16GB และ 12GB ตามลำดับ และแบนด์วิธหน่วยความจำสูงสำหรับการเล่นเกมความละเอียดสูงที่มากกว่าคู่แข่งถึง 2 เท่า นอกจากนี้ยังรองรับฟีเจอร์ขั้นสูงที่จะยกระดับประสิทธิภาพการประมวลผลและความคมชัดของการแสดงผลเทคโนโลยีที่พัฒนาใหม่ AMD HYPR-RX 

Scott Herkemnan รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปฝ่าย Graphic Business Unit บริษัท AMD กล่าวว่า “เกมเมอร์ในปัจจุบันเลือกใช้จอแสดงผลความละเอียด 1440p มากว่าจอแสดงผลความละเอียดอื่น ๆ ซึ่งจอแสดงผล 1440p ที่มีอัตรารีเฟรชสูงในปัจจุบันสามารถนำเสนอภาพที่คมชัดอย่างมาก รวมไปถึงประสบการณ์การเล่นเกมที่ลื่นไหล ตอบโจทย์สิ่งที่เกมเมอร์ต้องการ  AMD รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้นำเสนอผลิตภัณฑ์กราฟิกการ์ดใหม่ที่มอบประสิทธิภาพและความเที่ยงตรงที่สามารถช่วยยกระดับการเล่นเกมให้กับเกมเมอร์ได้เพลิดเพลินไปกับเกมต่าง ๆ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตตามที่พวกเขาคาดหวังจะได้รับ”

ขับเคลื่อนอนาคตด้านเกมมิ่งที่ความละเอียด 1440p

กราฟิกการ์ด AMD Radeon RX 7800 XT เป็นกราฟิกการ์ดระดับท็อปสำหรับการเล่นเกมที่ความละเอียด 1440p มาพร้อมหน่วยประมวลผล 60 ยูนิตบนสถาปัตยกรรม AMD RDNA 3 เสนอภาพรวมด้านประสิทธิภาพต่อราคาที่มากกว่าคู่แข่งถึง 20%[i] นอกจากนี้ กราฟิกการ์ด AMD Radeon RX 7700 XT ที่มาพร้อมหน่วยประมวลผล 54 ยูนิตบนสถาปัตยกรรม AMD RDNA 3 ทำให้สามารถเสนอภาพการแสดงผลที่ความละเอียด 1440p และให้ภาพรวมด้านประสิทธิภาพต่อราคาที่มากกว่าคู่แข่งถึง 20%[ii] โดยกราฟิกการ์ดทั้งสองรุ่นเสนอทางเลือกการอัพเกรดที่ยอดเยี่ยมให้กับเกมเมอร์ที่ใช้การ์ดรุ่นก่อนหน้า ฟีเจอร์ที่สำคัญประกอบด้วย::

  • AMD RDNA 3 Architecture – เสนอหน่วยประมวลผลที่ได้รับการออกแบบใหม่ที่ผสานรวมฟีเจอร์ raytracing และ AI accelerator, เทคโนโลยี AMD Infinity Cache™ รุ่นที่สอง และเทคโนโลยี raytracing รุ่นที่สอง
  • Dedicated AI Acceleration – กราฟิกด้าน AI ใหม่ที่ได้รับการพัฒนาให้เหมาะกับเวิร์คโหลดงานด้าน AI รุ่นล่าสุด มาพร้อมคำสั่งและปริมาณงานด้าน AI ที่เพิ่มขึ้น ส่งมอบประสิทธิภาพโดยเฉลี่ยมากกว่าสถาปัตยกรรม AMD RDNA 2 ถึง 2 เท่า[iii]
  • พัฒนาประสิทธิภาพและคุณภาพด้านการสตรีมมิ่ง – ตัวเข้ารหัสของ AMD ที่ได้รับการพัฒนาด้านคุณภาพของการแสดงผลที่ดีขึ้นเมื่อทำการสตรีมมิ่งและบันทึกวิดีโอ ฟีเจอร์ AMD AI และเทคโนโลยีแมชชีนเลิร์นนิ่งด้านคอนเทนต์อะแดปทีฟได้ถูกผสานรวมเข้ากับ AMD Media Framework เพื่อให้ความคมชัดของข้อความเมื่อสตรีมมิ่งด้วยบิตเรตและความละเอียดที่ต่ำ
  • Ultra-High Definition Encoding – เอ็นจิ้นด้านการเข้ารหัส/ถอดรหัสเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ปลดล็อคประสบการณ์ด้านมัลติมีเดียใหม่ผ่านการรองรับการเข้ารหัส/ถอดรหัสแบบ AV1 เต็มรูปแบบ ด้วยขอบเขตสีที่กว้างและการพัฒนาช่วงไดนามิคที่สูง[iv]
  • AMD Radiance Display™ Engine – รองรับจอแสดงผลที่ใช้พอร์ต DisplayPort 2.1 และ HDMI® 2.1a สำหรับการแสดงผลความละเอียดสูงพิเศษและอัตราการรีเฟรชสูงสำหรับการเล่นเกมและเวิร์คโหลดงานด้านการสร้างสรรค์คอนเทนต์[v] นอกจากนี้ยังรองรับฟีเจอร์ HDR 12-bit และ REC2020 Color Space อย่างเต็มรูปแบบเพื่อเพิ่มความแม่นยำการแสดงผลด้านสีสำหรับการเล่นวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 8K
  • เทคโนโลยี AMD FidelityFX™ Super Resolution[vi]  เทคโนโลยีอัปสเกลภาพการแสดงผลของ AMD ที่รองรับการเล่นเกมทั้งในปัจจุบันและที่กำลังจะเปิดตัวกว่า 300 เกม เพื่อเสนอภาพการแสดงผลที่คมชัดและมีความละเอียดสูง ในขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มอัตราเฟรมเรตในเกมต่าง ๆ ที่รองรับฟีเจอร์

Product Specifications

Model Compute Units GDDR6 Game Clock[vii] (MHz) Boost Clock[viii] Memory Interfaces Infinity Cache TBP Price

(USD SEP)

AMD Radeon RX 7800 XT

 

60 16GB 2124 Up to 2430 256-bit 64 MB (2nd gen) 263W $499
AMD Radeon RX 7700 XT 54 12GB 2171 Up to 2544 192-bit 48 MB (2nd gen) 245W $449 

การเพิ่มเฟรมเรตและความเที่ยงตรงของการแสดงผล

AMD ยังได้ประกาศความพร้อมด้านเทคโนโลยีการอัปสเกลภาพการแสดงผลรุ่นต่อไปบนซอฟต์แวร์ AMD FidelityFX Super Resolution (FSR) ในชื่อ AMD FidelityFX Super Resolution 3 นำเสนอฟีเจอร์การสร้างเฟรมที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AMD Fluid Motion Frames[ix] และข้อมูลเวกเตอร์การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในเกมเพื่อเพิ่มค่า FPS อย่างมีประสิทธิภาพ ฟีเจอร์ AMD FSR 3 ออกแแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในด้านการแสดงผลของภาพที่สามารถรองรับบนผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มที่หลากหลาย รวมไปถึงผลิตภัณฑ์คู่แข่งและบนเครื่องเกมคอนโซล

AMD FSR 3 คาดว่าจะพร้อมรองรับบนเกม Forspoken จากผู้พัฒนา Square Enix และเกม Immortals of Aveum จากผู้พัฒนา Ascendant Studios และ Electronic Arts Inc. ในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง พร้อมเกมอีกกว่า 10 เกม ที่คาดว่าจะเพิ่มการรองรับฟีเจอร์ AMD FSR 3 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ FSR 3 และรายชื่อเกมต่าง ๆ ที่กำลังจะเปิดตัว คลิก

ฟีเจอร์ซอฟต์แวร์ใหม่สำหรับการเล่นเกมในยุคถัดไป

AMD เปิดตัวซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นล่าสุด AMD Software: Adrenalin Edition เสนอประสิทธิภาพและฟีเจอร์ใหม่ที่พัฒนามาเพื่อส่งมอบประสบการณ์การเล่นเกมในอีกระดับ โดยคาดว่าจะพร้อมใช้งานในวันที่ 6 กันยายน ศกนี้ ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยี AMD HYPR-RX ฟีเจอร์ที่จะเข้ามาช่วยลดความยุ่งยากและจัดการการทำงานร่วมกันระหว่างเทคโนโลยี AMD Radeon Super Resolution (RSR), AMD Radeon Anti-Lag และ AMD Radeon Boost เพื่อให้สามารถใช้งานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฟีเจอร์ AMD HYPR-RX ประกอบด้วยเทคโนโลยี AMD Radeon Anti-Lag ใหม่ ซึ่งจะช่วยยกระดับการเล่นเกมในด้านการตอบสนองที่รวดเร็วผ่านการตั้งค่า Anti-Lag ในแต่ละโปรไฟล์เกม ช่วยลดความล่าช้าในการป้อนข้อมูลให้กับผู้ใช้ได้

ฟีเจอร์ AMD HYPR-RX และ AMD Radeon Anti-Lag+ รองรับบนกราฟิกการ์ด AMD Radeon RX 7000 Series 

การวางจำหน่าย

กราฟิกการ์ด AMD Radeon RX 7800 XT และ AMD Radeon RX 7700 XT จะวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2566 ผ่านทางพันธมิตรผู้ผลิตชั้นนำของเรา ประกอบด้วย ASRock, ASUS, Biostar, Gigabyte, PowerColor, Sapphire, Vastamor, XFX และ Yeston นอกจากนี้ กราฟิกการ์ด AMD Radeon RX 7800 XT จะวางจำหน่ายผ่านทางเว็บไซต์ AMD.com ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2566 เช่นกัน

 


 

Categories
บทความ เทคโนโลยี

รายงานวงจรเทคโนโลยีเกิดใหม่ปี 2566 ของการ์ทเนอร์ จัดให้ Generative AI อยู่บนสุดของความคาดหวังที่จะโตขยายอีกมาก

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 28 สิงหาคม 2566 — รายงาน Gartner’s Hype Cycle for Emerging Technologies 2023 ระบุว่า Generative Artificial Intelligence (เอไอแบบรู้สร้าง) ถูกจัดให้อยู่บนตำแหน่งสูงสุดของความคาดหวังที่จะโตขึ้นอีกมากในวงจรเทคโนโลยีเกิดใหม่ ซึ่งคาดว่าจะถึงจุดที่สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ภายใน 2 ถึง 5 ปี โดย Generative AI ถูกรวมอยู่ในธีมที่กว้างกว่าของ Emergent AI ซึ่งเป็นเทรนด์หลักของวงจรฯ นี้ ที่สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับนวัตกรรม

อรุณ จันทรเศกการัน รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ความนิยมของเทคนิค AI ใหม่จำนวนมากจะส่งผลกระทบสำคัญต่อธุรกิจและสังคม ซึ่งการฝึกใช้ AI และการสเกลโมเดลพื้นฐานของ AI ขนานใหญ่ รวมถึงการใช้เอเจนท์การสนทนาแบบไวรัล (Conversational Agents) และการเพิ่มจำนวนของแอปพลิเคชั่น Generative AI กำลังเผยให้เห็นคลื่นใหม่ ๆ ของการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพของพนักงานและไอเดียสร้างสรรค์สำหรับเครื่องจักร” 

รายงานวงจรเทคโนโลยีเกิดใหม่ (The Hype Cycle for Emerging Technologies) เป็นรายงานด้านวงจรต่าง ๆ ของการ์ทเนอร์ที่มีความเฉพาะเจาะจง เกิดจากการกลั่นกรองข้อมูลเชิงลึกของเทคโนโลยีและกรอบการทำงาน (Frameworks) หลัก ๆ มากกว่า 2,000 รายการ ให้ผู้บริหารสามารถนำไปใช้ได้ รายงานนี้จัดทำขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยการ์ทเนอร์ รวบรวมเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่มีความน่าสนใจที่ผู้บริหารและอุตสาหกรรม “ต้องรู้” ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ล้วนมอบประโยชน์ด้านการเปลี่ยนแปลงในอีก 2-10 ปีข้างหน้านี้ (ดูรูปที่ 1)

ภาพที่ 1 วงจรเทคโนโลยีเกิดใหม่ ปี 2566 (Hype Cycle for Emerging Technologies, 2023)
ที่มา: การ์ทเนอร์ (สิงหาคม 2566)

เมลิซซ่า เดวิส รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ขณะที่ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่AI ผู้บริหาร CIO และ CTO ยังต้องหันความสนใจไปยังเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่มีศักยภาพในการสร้างความเปลี่ยนแปลงอีกด้วย รวมถึงเทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับประสบการณ์ของนักพัฒนา ขับเคลื่อนนวัตกรรมผ่านระบบคลาวด์ที่แพร่หลาย และส่งมอบความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง”

“เนื่องจากเทคโนโลยีในวงจรเทคโนโลยีเกิดใหม่ (Hype Cycle) ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น ความไม่แน่นอนต่าง ๆ จึงอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในขั้นของการพัฒนา ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีเอ็มบริโอนิก (Embryonic Technologies) ที่มีความเสี่ยงมากในการนำมาปรับใช้ แต่อาจมีประโยชน์มากกว่าสำหรับ Early Adopters” เดวิสกล่าวเสริม

4 ธีมหลักของเทคโนโลยีเกิดใหม่ ได้แก่

Emergent AI: นอกเหนือจาก Generative AI แล้ว ยังมีเทคนิค AI ที่เกิดขึ้นใหม่อีกหลายตัวที่นำเสนอศักยภาพอย่างสูงในการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าดิจิทัล การตัดสินใจทางธุรกิจได้ดีขึ้น และสร้างความต่างในการแข่งขันที่ยั่งยืน เทคโนโลยีเหล่านี้ประกอบด้วย AI Simulation, Causal AI, Federated Machine Learning, Graph Data Science, Neuro-symbolic AI และ Reinforcement Learning

Developer Experience (DevX): DevX หมายถึงทุกแง่มุมของการโต้ตอบระหว่างนักพัฒนากับเครื่องมือ แพลตฟอร์ม กระบวนการและผู้คนที่พวกเขาทำงานด้วยเพื่อพัฒนาและส่งมอบผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์และบริการ ซึ่งการเพิ่มประสิทธิภาพด้านประสบการณ์ของนักพัฒนา หรือ DevX มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของไอเดียริเริ่มด้านดิจิทัลขององค์กรส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังมีความสำคัญต่อการดึงดูดและรักษาผู้มีทักษะความสามารถด้านวิศวกรรมระดับสูง รวมถึงรักษาขวัญและกำลังใจของทีมให้อยู่ในระดับสูง และทำให้มั่นใจว่างานนั้นสร้างแรงจูงใจและมีรางวัลตอบแทน

เทคโนโลยีหลักที่ DevX ช่วยพัฒนาและปรับปรุง ได้แก่ AI-Augmented Software Engineering, API-Centric SaaS, GitOps, Internal Developer Portals, Open-Source Program Office และ Value Stream Management Platforms

Pervasive Cloud: ในอีก 10 ปีข้างหน้า คลาวด์คอมพิวติ้งจะพัฒนาจากแพลตฟอร์มนวัตกรรมเทคโนโลยีไปสู่คลาวด์ที่แพร่หลายไปทั่วและยังเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของนวัตกรรมทางธุรกิจ เพื่อรองรับการใช้งานที่แพร่หลายนี้ ซึ่งคลาวด์คอมพิวติ้งจะมีรูปแบบการกระจายมากขึ้นและจะมุ่งไปที่อุตสาหกรรมแนวดิ่ง และการเพิ่มมูลค่าจากการลงทุนบนระบบคลาวด์สูงสุดจะต้องมีการปรับขนาดการดำเนินงานโดยอัตโนมัติ การเข้าถึงเครื่องมือแพลตฟอร์มแบบคลาวด์เนทีฟ และการกำกับดูแลที่เพียงพอ

เทคโนโลยีหลักที่เปิดใช้งาน Pervasive Cloud ได้แก่ Augmented FinOps, Cloud Development Environments, Cloud sustainability, Cloud-Native, Cloud-Out To Edge, Industry Cloud Platforms และ WebAssembly (Wasm) 

Human-Centric Security And Privacy: มนุษย์ยังเป็นต้นเหตุหลักของเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยและการละเมิดข้อมูล องค์กรสามารถใช้โปรแกรมความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลางเพื่อสร้างความยืดหยุ่นได้ ผสานกับโครงสร้างการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเข้ากับการออกแบบดิจิทัลขององค์กร เทคโนโลยีเกิดขึ้นใหม่จำนวนมากช่วยให้องค์กรสามารถสร้างวัฒนธรรมแห่งความไว้วางใจซึ่งกันและกัน พร้อมตระหนักถึงความเสี่ยงร่วมกันในการตัดสินใจระหว่างหลายทีม

เทคโนโลยีหลักที่สนับสนุนการขยายการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ได้แก่ AI TRISM, Cybersecurity Mesh Architecture, Generative Cybersecurity AI, Homomorphic Encryption และ Postquantum Cryptography

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

โนเกีย จัดแสดงเครือข่ายศักยภาพสูงที่งาน ‘Amplify Thailand’ เร่งขยายขีดความสามารถหนุนประเทศไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – โนเกีย จัดแสดงไฮไลต์เทคโนโลยีพร้อมกลยุทธ์ของบริษัทภายหลังปรับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจระยะยาวของบริษัทเพื่อขับเคลื่อนและเร่งการเปลี่ยนสู่ดิจิทัลและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่งาน ‘Amplify Thailand’ ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ วันนี้  โดยกลยุทธ์ล่าสุดนี้จะช่วยผลักดันให้ โนเกียขึ้นสู่แถวหน้าด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีเครือข่ายทั่วประเทศ  ในขณะเดียวกันนำเสนอโซลูชันเครือข่ายรุ่นใหม่ และนวัตกรรมเทคโนโลยีสำหรับ B2B ที่จะช่วยให้องค์กรธุรกิจและผู้ให้บริการเครือข่าย (CSP) สามารถสนับสนุนให้ประเทศไทยปลดล็อกศักยภาพด้านดิจิทัลและสร้างโอกาสด้านดิจิทัลไลเซชั่นได้เต็มศักยภาพยิ่งขึ้น

ภายในงาน นายอาร์เจย์ ชาร์มา ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท โนเกีย ประจำประเทศไทยและกัมพูชา ได้เผยให้ทราบถึงความเคลื่อนไหวและกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีล่าสุดของบริษัท รวมถึงข้อมูลการดำเนินกิจการในปัจจุบันของโนเกีย (ประเทศไทย)  ต่อด้วยการนำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจจากนายเทเรนซ์ แมคเคบ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านเทคโนโลยี บริษัท โนเกีย ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และประเทศญี่ปุ่น ที่มาเผยถึงภาพรวมเกี่ยวกับความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี รวมทั้งนวัตกรรมและโซลูชันทางเทคโนโลยีล่าสุดของโนเกีย


ตัวอย่างเทคโนโลยีและนวัตกรรมล่าสุดที่โนเกียได้นำมาแสดงในประเทศไทยหลังจากจัดแสดงในงาน 
Mobile World Congress 2023 (MWC’23) ณ กรุงบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ได้เผยถึงบทบาทของบริษัทในการผลักดันด้านดิจิทัลไลเซชั่นในประเทศไทย และหนทางที่จะช่วยส่งเสริมให้กลุ่มลูกค้าของโนเกียสามารถเปลี่ยนผ่านและเตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู่โลกดิจิทัลที่สมจริง เชื่อมต่อถึงกัน และไร้รอยต่อยิ่งขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้จะสามารถทำให้สำเร็จได้ผ่านนวัตกรรมและโซลูชันล่าสุดจากโนเกีย ที่จะพลิกโฉมอุตสาหกรรมหลักของประเทศไทยสู่ความเป็นดิจิทัล ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้อุตสาหกรรมเหล่านั้นสามารถเพิ่มขีดความสามารถด้านผลิตภาพที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้

เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นดังกล่าว โนเกีย ได้จัดซีรีย์งานแสดงผลงานทางเทคโนโลยีขึ้นมากมายเพื่อเผยให้เห็นสุดยอดนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีทั้งหมดสำหรับองค์กรธุรกิจ รวมทั้งเครือข่ายเคลื่อนที่ เครือข่ายคลาวด์ และเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย โดยมีไฮไลต์สำคัญที่คัดสรรมาเป็นพิเศษกับผลงานที่โนเกียได้นำไปจัดแสดงในงานระดับโลกอย่าง Mobile World Congress 2023 ที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าโนเกียมีจุดยืนที่ชัดเจนกับการกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมในประเทศไทย และผลักดันความก้าวหน้าในด้านเศรษฐกิจสังคมโดยการช่วยสนับสนุนผู้ให้บริการเครือข่ายและองค์กรในประเทศไทยตลอดเส้นทางของ 5G และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

นวัตกรรมที่นำมาจัดแสดงในงาน ประกอบด้วย

  • MX Industrial Edge
    • Nokia MX Industrial Edge คือ โซลูชัน Edge สำหรับองค์กรที่พร้อมสำหรับอนาคต ซึ่งสามารถเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของเทคโนโลยีด้านปฏิบัติการ (OT) ที่เป็นการผสานความรวดเร็วเข้ากับความง่ายในการใช้งานของโมเดล edge-as-a-service เข้ากับสถาปัตยกรรมเอดจ์ที่มีประสิทธิภาพสูง ยืดหยุ่น และปลอดภัย โซลูชันนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในภารกิจที่สำคัญสำหรับสภาพแวดล้อมทางอุตสาหกรรมที่เน้นความสำคัญในสินทรัพย์
    • Nokia MX Industrial Edge ที่เอื้อต่อกรณีการใช้งานด้านธุรกิจที่สำคัญสำหรับองค์กร เช่น การติดตามแบบเรียลไทม์ของสัญญาณวิดีโอและการแจ้งเตือน รวมทั้งโซลูชันการวิเคราะห์วิดีโอขั้นสูงสำหรับการใช้งานในภารกิจสำคัญ อาทิ การรับรองคุณภาพและความปลอดภัย
  • NetGuard Cybersecurity Dome
    • NetGuard Cybersecurity Dome คือ โซลูชันด้านความปลอดภัยระบบ Orchestration ระดับรางวัล ที่มาพร้อมกับกรณีใช้งาน 5G ที่ติดตั้งล่วงหน้าสำหรับการรับรองความปลอดภัยเครือข่าย ทีมดูแลด้านความปลอดภัยผ่านระบบ Orchestration สามารถเลือกกรณีใช้งาน 5G ได้จากแคตตาล็อกแบบครบวงจร (Comprehensive catalogue) ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านการสื่อสารโทรคมนาคมทั้งหมด ตั้งแต่สถานีฐาน (RAN) จนถึงโครงข่ายขนส่ง (Transport) และโครงข่ายหลัก (Core)
    • บริการเหล่านี้อยู่บนพื้นฐานความสามารถของระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์แบบตรวจหาและตรวจสอบแบบขยาย หรือ XDR (Extended Detection and Response) ที่เก็บข้อมูล รวบรวม วิเคราะห์ และเทียบเคียงความสัมพันธ์ของข้อมูลความปลอดภัยจากแหล่งข้อมูลจากหลากหลายที่มา และทำให้สมบูรณ์ขึ้นด้วยบริบทด้านการสื่อสารโทรคมนาคมที่จะช่วยให้ทีมฝ่ายปฏิบัติการด้านความปลอดภัยเข้าถึงความเสี่ยงทางธุรกิจ ปรับปรุงพัฒนาการตัดสินใจ รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น 
  • กลุ่มผลิตภัณฑ์โซลูชันเครือข่ายออปติคอล (Nokia Optical Product Solutions Portfolio)
    • ผลิตภัณฑ์และโซลูชันเครือข่ายออปติคอลของโนเกีย ช่วยให้สามารถใช้งานเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นได้อย่างไม่จำกัด เพื่อเปิดใช้งานการเชื่อมต่อพื้นฐานสำหรับการสื่อสารแบบเครือข่าย โซลูชันของโนเกียที่เพิ่มความสามารถของเครือข่ายนับจากเครือข่ายเอดจ์ (Edge) และข้ามไปถึงระบบการเชื่อมต่อสัญญาณข้อมูลแบบระยะไกล/ แกนหลัก (long-haul/core) และใต้ทะเล ไปพร้อมกับการลดความซับซ้อนในการทำงานของเครือข่ายให้มีความฉลาดและเป็นอัตโนมัติยิ่งขึ้น เพื่อส่งมอบบริการที่มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นและลดค่าใช้จ่ายการเป็นเจ้าของเครือข่าย (TCO)
    • โซลูชันเครือข่ายอัตโนมัติ (Network Automation) ของโนเกียจะช่วยให้ผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการ Webscale และองค์กรขนาดใหญ่สามารถเพิ่มผลประกอบการได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • ความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมของโนเกียที่ขับเคลื่อนผ่านการพัฒนาชิปเซ็ตขึ้นเอง
    • ชิปเซ็ต ReefShark ของโนเกีย มาเพื่อเสริมพอร์ตเครือข่าย 5G แบบครบวงจรให้โนเกีย เป็นการเพิ่มความชาญฉลาดและประสิทธิภาพให้กับเสาอากาศ MIMO ขนาดใหญ่ และโมดูลระบบ AirScale สำหรับชิปเซ็ตที่โนเกียได้พัฒนาขึ้นและนำไปต่อยอดเพื่อประสบการณ์การใช้งานที่เพิ่มขึ้นนี้มาพร้อมกับซิลิคอนดีไซน์ เช่นเดียวกับความชำนาญของบริษัทในการพัฒนาเสาอากาศสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่และนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์จาก Nokia Bell Labs ที่ทำให้โซลูชันที่มีสมรรถนะสูงและประสิทธิภาพสูงเกิดขึ้นจริงได้
    • แพลตฟอร์มที่เปิดใช้งานชิป PSE-6s ของโนเกีย ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานเครือข่ายมั่นใจในเครือข่ายการส่งข้อมูลออปติคอลว่าสามารถปรับขนาดสัญญาณให้สอดคล้องกับความต้องการความจุที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ เพื่อส่งมอบบริการคลื่นความถี่แบบไฮสปีดสูงด้วยประสิทธิภาพที่รวมถึง400GE และ 800GE ขณะเดียวกันยังช่วยลดการใช้พลังงานในเครือข่ายลงอีกด้วย
    • ชิปเซ็ต Quillion รองรับโมดูล GPON, XGS-PON, NG-PON2 และ Multi-PON (เช่น GPON+XGS-PON) ของโนเกีย มาพร้อมความหนาแน่นของพอร์ตในระดับชั้นนำของอุตสาหกรรม และความสามารถในการไม่ปิดกั้นแบบเต็มขั้น และยังประหยัดพลังงานได้ถึง 50% ช่วยเพิ่มคุณสมบัติทางการแข่งขัน รวมถึงการนำเสนอนวัตกรรมและสิ่งที่แตกต่างในเวลาที่เหมาะสม โนเกียได้ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์เพื่อใช้ประโยชน์จากความสามารถในการออกแบบ ASIC การประมวลผลเครือข่ายประสิทธิภาพสูงที่เป็นที่ยอมรับ และพัฒนาชิปเซ็ต Quillion ขึ้นมา
    • ซิลิคอนประมวลผลเครือข่าย FP5 ของโนเกีย กับคุณสมบัติที่พัฒนาแบบก้าวกระโดดของเครือข่าย IP อันทรงประสิทธิภาพ ที่ยังมาพร้อมคุณสมบัติใหม่ที่ช่วยปกป้องการรับส่งข้อมูลบนเครือข่ายจากภัยคุกคามด้านความปลอดภัยอีกด้วย ชิปเซ็ต FP5 คือ ซิลิคอนรูตติ้งที่มาพร้อมการเข้ารหัสแบบ Integrated Line Rate Encryption สำหรับบริการเครือข่ายแบบ L2, L2.5 และ L3 ที่ความเร็วสูงสุดได้ถึง 1.6 Tb/s โดยชิปเซ็ต FP5 ได้สร้างนิยามใหม่ด้านความยั่งยืนให้กับการวางเส้นทางเครือข่าย IP โดยช่วยลดการสิ้นเปลืองพลังงานได้ถึง 75% เมื่อเทียบกับชิปเซ็ตรุ่นก่อน
  • ชาร์จพลังเครือข่ายแบบซูเปอร์ผ่าน NPO
    • ระบบการวางแผนและเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่าย (Network Planning and Optimization (NPO)) ที่ดีที่สุดในพอร์ตดิจิทัลของโนเกีย ซึ่งช่วยในการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับธุรกิจเครือข่ายเคลื่อนที่ โดยระบบนี้จะช่วยเสริมประสิทธิภาพให้กับลูกค้าในแง่ของการส่งมอบพอร์ตฟอลิโอ เครื่องมือ และกระบวนการที่เป็นนวัตกรรมใหม่
    • พอร์ตฟอลิโอ Automation and Digitalization ของโนเกียที่กำหนดประสิทธิภาพเครือข่ายไว้ที่จุดศูนย์กลาง ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยผลักดันวิวัฒนาการพอร์ตฟอลิโอให้รองรับกับเทคโนโลยีใหม่สำหรับการแยกข้อมูลของโครงข่ายสถานีฐาน (RAN disaggregation) ด้วย O-RAN และ vRAN  นำมาซึ่งความยั่งยืนเชิงสภาพแวดล้อมผ่านการออกแบบของเครือข่ายเคลื่อนที่และการส่งมอบบริการ NPO

นายอาร์เจย์ ชาร์มา ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท โนเกีย ประจำประเทศไทยและกัมพูชา กล่าวว่า “เรายังคงยึดมั่นในการสนับสนุนประเทศไทยให้เดินหน้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งเทคโนโลยีของเราสามารถช่วยในการผลักดันการเปลี่ยนสู่ดิจิทัลในทุกภาคอุตสาหกรรม เราเชื่อว่าอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากผลิตภาพที่เพิ่มขึ้น โซลูชันเพื่อความยั่งยืนที่ได้รับการส่งเสริม และการเข้าถึงที่มากขึ้นผ่านการบริหารจัดการโซลูชันดิจิทัล โนเกียได้ทุ่มเทอย่างต่อเนื่องเพื่อให้การสนับสนุนแก่คู่ค้าและลูกค้าของเราตลอดเส้นทางนี้ และเราหวังที่จะได้ผลักดันให้เกิดการพัฒนาประเทศได้อย่างต่อเนื่องต่อไป”


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ IDePlate ป้ายทะเบียนรถอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมนำร่องทดสอบด้านการจราจรอัจฉริยะ ที่ บ้านฉาง จ.ระยอง

เมื่อเร็วๆ นี้ อบจ.ระยอง ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่าย Tönnjes C.A.R.D. International GmbH ผู้ผลิตป้ายทะเบียนจากประเทศเยอรมัน  และ Toennjes Leon บริษัทร่วมลงทุนจากไต้หวัน เพื่อพัฒนาระบบป้ายทะเบียนอัจฉริยะสำหรับยานยนต์ ด้วยการเปิดตัวโมเมนตัมใหม่ IDePlate เทคโนโลยีที่ทันสมัยจากเยอรมัน นอกจากนี้ได้นำร่องเพื่อทดสอบความเป็นไปได้ด้านการจัดระเบียบการขนส่งและการจราจรที่เมืองสมาร์ทซิตี้ บ้านฉาง จ.ระยอง และหากประสบความสำเร็จในอนาคตเตรียมพัฒนาขยายต่อไปทั่วประเทศ

นายสุชิน พูลหิรัญ นายกเทศมนตรีตำบลบ้านฉาง กล่าวว่า “เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EECมีเป้าหมายที่จะพัฒนาให้ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง กลายเป็น “Smart City” แห่งแรกในไทยอยู่แล้ว สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นการนำ IDePlate ไปติดตั้งบนรถบรรทุก รถจักรยานยนต์ และยานพาหนะของทางราชการ เพื่อทำให้การจัดระเบียบการขนส่งอัจฉริยะและการจราจรที่มีประสิทธิภาพ และยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนด้วย”

นาย Markus Mueller กรรมการผู้จัดการ Tönnjes C.A.R.D. International GmbH กล่าวว่า “รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้นำเทคโนโลยี IDePlate มาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาการขนส่งและการจราจรให้กับประเทศไทย โดย อ.บ้านฉาง จะเป็นชุมชนเป้าหมายแรกในเอเชีย และเราหวังว่าจะได้เห็นการนำเทคโนโลยี IDePlate นี้ไปใช้ทั่วประเทศไทยในเร็วๆ นี้” นอกจากนี้ นาย Markus Mueller ยังได้เน้นย้ำว่า บริษัทได้ลงทุนสร้างโรงงานสายการผลิตในไต้หวัน และพร้อมที่จะนำเทคโนโลยี IDePlate มาให้ทดลองใช้ในประเทศไทยแล้ว

 นาย Chen You Cheng ผู้แทนจาก Toennjes Leon ไต้หวัน กล่าวว่า “เทคโนโลยี IDePlate เป็นการฝังชิปลงในแผ่นป้ายทะเบียน เพื่อทำหน้าที่จัดการจราจรและแจ้งเตือนเส้นทางที่ปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ยานพาหนะ และยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ ทั้งนี้ในความร่วมมือระหว่างไต้หวันและเยอรมันที่ได้จัดขึ้นที่บ้านฉางนี้ เราไม่เพียงแต่ให้บริการด้านการออกแบบ การรวมระบบ และการดำเนินงานเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการทรัพยากรสำหรับประเทศไทยผ่านฐานการผลิตในเอเชียของเราอีกด้วย”

สำหรับ Tönnjes Group เป็นผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีป้ายทะเบียนดิจิทัล ด้วยประสบการณ์ในการสร้างโซลูชันการขนส่งอัจฉริยะทั่วทั้งสหภาพยุโรปและอเมริกาใต้, Toennjes Leon Company Limited ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินโครงการในเอเชีย ที่เชี่ยวชาญด้านบริการ IoT และการรวมระบบ ที่ประสบความสำเร็จในการช่วยเหลือไต้หวันในการทำ POC ตลอดจนได้ขยายการดำเนินงานสู่ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ศูนย์กลางการคมนาคมที่สำคัญภายใน EEC ระหว่างสนามบินนานาชาติกับท่าเรือพาณิชย์ และเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี 5G ของประเทศไทย ที่ถือได้ว่ามีความพร้อมต่อการเป็นชุมชนนำร่องในการใช้เทคโนโลยี IDePlate ในการจัดการขนส่งอัจฉริยะ ตลอดจนสามารถผลักดันให้เกิดการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงการขนส่งและการจราจรในประเทศไทยต่อไปในอนาคต


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เอปสันเปิด Epson EH-LS800B เลเซอร์โฮมโปรเจคเตอร์ระยะฉายสั้นพิเศษ เสริมไลน์โฮมโปรเจคเตอร์ที่ตอบรับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่

เอปสันขยายไลน์สินค้าโฮมโปรเจคเตอร์ ล่าสุดเปิดตัวเลเซอร์ โฮมโปรเจคเตอร์ระดับ 4K รุ่น EH-LS800B ซึ่งมีระยะฉายสั้นพิเศษ เพื่อความบันเทิงขนาดจอยักษ์สำหรับความบันเทิงภายในบ้าน

เอปสัน ผู้ผลิตโปรเจคเตอร์ที่มียอดขายอันดับหนึ่งทั่วโลก ตอกย้ำความเป็นผู้นำการพัฒนานวัตกรรม พร้อมยกระดับประสบการณ์ความบันเทิงภายในบ้าน  ด้วยการเปิดตัวเลเซอร์ โฮมโปรเจคเตอร์ ระบบ 3LCD รุ่น EpiqVision Ultra EH-LS800B Laser Projection TV ความสว่าง 4,000 ลูเมน มาพร้อมเทคโนโลยี 4K PRO-UHD ให้ภาพคมชัด สีสันสดใส มีชีวิตชีวา สามารถฉายภาพขนาด 80 นิ้ว ความละเอียดระดับ 4K ด้วยระยะห่างเพียง 2.3 เซนติเมตรเท่านั้น ถือเป็นโปรเจคเตอร์ที่มีระยะฉายสั้นที่สุดในตลาดโฮมโปรเจคเตอร์ในปัจจุบัน

สำหรับคุณสมบัติเด่นของ EH-LS800B ประกอบด้วยความสามารถในการฉายภาพที่มีสีสันสดใส คมชัดสมจริงระดับ Full HD ด้วยฟังก์ชันที่รองรับมาตรฐาน HDR10 และ HLG ทำให้สามารถรับชมความบันเทิงได้แม้ในเวลากลางวัน  ผู้ใช้สามารถตั้งค่าไวท์บาลานซ์ ตั้งค่าภาพตามสีของฉากเพื่อให้ภาพที่ดีที่สุด ค่าความอบอุ่นของแสง และตั้งค่าตามปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ ยังมีโหมดสำหรับเล่นเกมที่แสดงภาพอย่างรวดเร็ว ลดช่วงเวลา lag เหลือเพียง 0.02 วินาที มีช่องเชื่อมต่อ HDMI รวม 3 ช่อง (สำหรับ ARC และเกมอย่างละ 1 ช่อง) พร้อมติดตั้งระบบ AndriodTV และลำโพง 2.1 ของ Yamaha ในตัว ทั้งยังฉายภาพได้ใหญ่สุดถึง 150 นิ้ว ซึ่งเมื่อรวมกับภาพฉายคุณภาพสูงด้วยแล้ว ผู้ใช้จะได้รับประสบการณ์ความบันเทิงเสมือนมีโรงภาพยนตร์ภายในบ้าน ส่วนในเรื่องการติดตั้ง ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย รูปลักษณ์ดีไซน์ที่ทันสมัย เรียบหรู ช่วยเพิ่มความมีสไตล์ให้กับมุมโปรดภายในบ้าน  

นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เอปสันไม่เคยที่จะหยุดพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งๆ ขึ้น EH-LS800B โฮมโปรเจคเตอร์เลเซอร์ระยะฉายสั้นพิเศษรุ่นล่าสุดนี้ คืออีกหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจน เพราะสามารถมอบประสบการณ์คุณภาพของภาพระดับสูง ช่วยยกระดับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ จึงช่วยให้การใช้เวลาของกลุ่มเพื่อนและครอบครัว เป็นเวลาคุณภาพอย่างแท้จริง”


Categories
บทความ เทคโนโลยี

การ์ทเนอร์ชี้ความสามารถของ Conversational AI ขับเคลื่อนตลาด Contact Center ทั่วโลกเติบโต 16% ในปี 2566

กรุงเทพฯ 17 สิงหาคม 2566 – การ์ทเนอร์คาดการณ์มูลค่าการใช้จ่ายบริการ Contact Center (CC) และ CC Conversational AI รวมถึงผู้ช่วยลูกค้าแบบเสมือนจริง หรือ Virtual Assistant ทั่วโลก ในปี 2566 จะมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 18.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 16.2% จากปี 2565

เมแกน มาเรค เฟอร์นันเดซ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “อัตราการเติบโตของการลงทุนระยะสั้นใน CC และ CC Conversational AI รวมถึง Virtual Assistants คาดว่าจะลดลง เนื่องจากความผันผวนของธุรกิจทำให้รอบการตัดสินใจลงทุนกินเวลานานขึ้น โดยในการลงทุนระยะยาว Generative AI และการเติบโตของ Conversational AI จะเร่งการเปลี่ยนแพลตฟอร์ม Contact Center เนื่องจากหัวหน้าทีมที่ดูแลด้านประสบการณ์ลูกค้า (CX) มองหาแนวทางเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการและการมอบประสบการณ์ลูกค้าโดยรวมไปพร้อมกัน”

ตลาดบริการ Conversational AI และ Virtual Assistant ทั่วโลก เป็นกลุ่มบริการที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในตลาด Contact Center โดยกระตุ้นการเติบโตถึง 24% ในปี 2567 (ดูตารางที่ 1) ซึ่งความสามารถของ Conversational AI กำลังได้รับการลงทุนมากขึ้น เนื่องจากผู้มีอำนาจตัดสินใจในธุรกิจกำลังวางแผนรวมบริการ Conversational AI เข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อลดการพึ่งพาตัวแทนให้บริการลูกค้า ขณะที่ปริมาณการโต้ตอบของฝ่ายบริการลูกค้าที่ทำงานผ่านเทคโนโลยี AI ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยการโต้ตอบส่วนใหญ่นี้ถูกเสริมประสิทธิภาพด้วย CC AI แทนที่การโอนถ่ายไปยังตัวแทนเสมือนทั้งหมดแบบเดิม การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ในปี 2566 3% ของการโต้ตอบจะได้รับการจัดการผ่าน CC AI และเพิ่มขึ้นเป็น 14% ในปี 2570

ตารางที่ 1 คาดการณ์มูลค่าการใช้จ่ายใน Contact Center และ CC Conversational AI และ Virtual Assistant ของผู้ใช้ทั่วโลก (หน่วย: ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

ยอดใช้จ่าย

ปี 2565 

ยอดการเติบโต 

ปี 2565 (%)

ยอดใช้จ่าย

ปี 2566

ยอดการเติบโต 

ปี 2566 (%)

ยอดใช้จ่าย

ปี 2567

ยอดการเติบโต 

ปี 2567 (%)

16,077 17.6 18,690 16.2 23,171 24.0

ที่มา: การ์ทเนอร์ (กรกฎาคม 2566)

การ์ทเนอร์คาดว่าความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์จะก่อให้เกิดข้อจำกัดด้านงบประมาณในปี 2566 ส่งผลให้โครงการเปลี่ยนหรืออัปเกรดระบบ Contact Center แบบตั้งอยู่ในองค์กรชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม ในโครงการที่ต้องพบปะลูกค้าถูกมองว่าจะเป็นส่วนสำคัญในกลยุทธ์การรักษาและสร้างรายได้

“นั่นหมายความว่าเมื่อการลงทุนด้านไอทีหลายด้านลดลงจากการตัดงบประมาณ ส่งผลให้การบริการลูกค้าและการริเริ่มสนับสนุนเพิ่มศักยภาพในบริการเพื่อสร้างความต่างแก่ประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับหรือการปรับปรุงการดำเนินงานในบริการลูกค้าอาจได้รับการลงทุนง่ายขึ้นแบบซื้อเข้ามาใช้ (Buy-In) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ช่วยเสริมให้โครงการ Contact Center as a Service (CCaaS) ได้รับเงินทุนจากงบประมาณที่จัดสรรไว้สำหรับการทำดิจิทัลทรานฟอร์มเมชันขององค์กรมากขึ้น” มาเรค เฟอร์นันเดซ กล่าวเพิ่มเติม 

การ์ทเนอร์คาดว่าการลงทุน CCaaS จะเติบโตรวดเร็วยิ่งขึ้น เนื่องจากผู้มีอำนาจตัดสินใจใช้ความสามารถของ Contact Center บนคลาวด์เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานบริการลูกค้าให้ทันสมัย ซึ่งรวมถึงการนำไปใช้ในระบบ Contact Center ที่มีตัวแทนดูแลลูกค้าหลายพันราย ที่มีการนำ CCaaS ไปใช้ได้ช้า ในฐานะที่ CCaaS เป็นส่วนหนึ่งของโครงการปรับปรุงให้ทันสมัย โซลูชัน CCaaS จะใช้เพื่อสนับสนุนช่องทางการสื่อสารที่หลากหลายยิ่งขึ้น และจะนำเสนอแดชบอร์ดขั้นสูง การวิเคราะห์ การกำหนดเส้นทาง การเพิ่มประสิทธิภาพบุคลากร (Workforce Optimization หรือ WFO) เพิ่มความรู้และข้อมูลเชิงลึก รวมถึงความสามารถการสนทนาของ AI


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

กฟผ. เปิดบูท ‘EGAT Carbon Neutrality Land: ตะลุยดินแดนไฟฟ้า ความเป็นกลางทางคาร์บอน

กฟผ. เปิดบูท ‘EGAT Carbon Neutrality Land: ตะลุยดินแดนไฟฟ้า ความเป็นกลางทางคาร์บอน’ ชวนเยาวชนร่วมผจญภัยค้นหาไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และวิธีพิชิตคาร์บอน ภายในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2566 ตั้งแต่วันนี้ ถึง 20 ส.ค.

กรุงเทพฯ, สิงหาคม 2566 – นายเมธาวัจน์ พงศ์รดาภิรมย์ ผู้ช่วยผู้ว่าการยุทธศาสตร์องค์การ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับ ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ร่วมพิธีเปิดนิทรรศการ EGAT Carbon Neutrality Land: ตะลุยดินแดนไฟฟ้า ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2566 มีเยาวชนและประชาชนสนใจเยี่ยมชมบูท กฟผ. จำนวนมาก ณ อาคาร 11 อิมแพ็ค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี

นายเมธาวัจน์ พงศ์รดาภิรมย์ ผู้ช่วยผู้ว่าการยุทธศาสตร์องค์การ กฟผ. เปิดเผยว่า งานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติถือเป็นงานที่ช่วยกระตุ้น และสร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ที่จะเป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคต ในปีนี้ กฟผ. จึงได้ร่วมจัดนิทรรศการ EGAT Carbon Neutrality Land: ตะลุยดินแดนไฟฟ้า ความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยแบ่งฐานการเรียนรู้ออกเป็นทั้งหมด 6 โซน ได้แก่ โซนที่ 1: พลังงานหมุนเวียน ชวนเรียนรู้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มุ่งลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ พร้อมสนุกสนานไปกับภารกิจผลิตไฟฟ้าด้วยโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดเขื่อนสิรินธรขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โซนที่ 2: ห้องเรียนสีเขียว ชวนทำความรู้จักห้องเรียนสีเขียว แหล่งเรียนรู้ด้านการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันมีโรงเรียนที่ร่วมกิจกรรมกับโครงการห้องเรียนสีเขียวแล้วกว่า 1,300 แห่ง โซนที่ 3: ฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 จำลองบ้านประหยัดพลังงานพร้อมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากเบอร์ 5 และร่วมสนุกเก็บสะสมไอเท็มประหยัดพลังงาน โซนที่ 4: EV Station สร้างความมั่นใจรองรับทุกการเดินทางของผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าด้วยสถานีชาร์จ EleX by EGAT รวม 130 สถานีทั่วประเทศ เพียงใช้บริการผ่านแอปพลิเคชัน EleXA พร้อมร่วมสนุกเกมขับรถ EV เที่ยวศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. 8 แห่ง ทั่วประเทศ โซนที่ 5: ปลูกป่าล้านไร่ เรียนรู้ปริมาณการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกผ่านต้นไม้แต่ละชนิด อาทิ สัก มะค่าโมง ยางนา ประดู่ ตะเคียนทอง โกงกาง ซึ่งปลูกอยู่ในป่าประเภทต่าง ๆ ภายใต้โครงการปลูกป่าอย่างมีส่วนร่วมของ กฟผ. ซึ่งมีเป้าหมายปลูกป่า 1 ล้านไร่ ภายในเวลา 10 ปี (พ.ศ. 2565-2574) และโซนที่ 6: สนามเด็กเล่น ชวนน้อง ๆ ร่วมสนุกกับเกมสุดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันประกวดวาดภาพระบายสีหัวข้อ “EGAT LAND ดินเเดนในฝัน” ซึ่งเปิดรับผลงานทางอีเมลจนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 66 และประกาศผลการแข่งขันในวันที่ 20 สิงหาคม 66 ลุ้นชิงรางวัลสุดสร้างสรรค์ และร่วมแข่งขันกีฬา E-Sports สุดมัน ภายในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2566 ซึ่งจัดขึ้นตั้งแต่วันนี้ ถึง 20 สิงหาคม 2566 เวลา 09.00 – 19.00 น. ณ อาคาร 9-11 อิมแพ็ค เมืองทองธานี หรือติดตามรายละเอียดได้ที่เฟซบุ๊ก ห้องเรียนสีเขียว กฟผ. page: www.facebook.com/glr.egat

ภายในงาน กฟผ. ยังเตรียมจัดพิธีมอบรางวัล EGAT Green Learning Society ให้แก่โรงเรียนที่เป็นแบบอย่างที่ดีและมีผลงานโดดเด่นในการสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมภายใต้โครงการห้องเรียนสีเขียวรวม 7 กิจกรรม ได้แก่ 1) โรงเรียนสีเขียว เบอร์ 5 ส่งเสริมให้โรงเรียนบูรณาการองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมกับทุกกิจกรรมของโรงเรียน 2) กิจกรรม EGAT Green Seed 3) กิจกรรม EGAT Green Talk เพื่อต่อยอดศักยภาพเยาวชนในโครงการห้องเรียนสีเขียวสู่การเป็นนักสื่อสารและผู้นำเยาวชนด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม 4) โรงเรียนคาร์บอนต่ำ ลดการใช้ไฟฟ้าและการจัดการขยะที่โรงเรียน 5) โรงเรียนคาร์บอนต่ำสู่ชุมชน ลดการใช้ไฟฟ้าที่บ้านนักเรียน 6) โรงเรียนสีเขียว ซึ่งเป็นโรงเรียนต้นแบบด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม และ 7) อาคารเบอร์ 5 ในสถานศึกษา ซึ่งเป็นอาคารที่ใช้สำหรับการเรียนการสอนที่มีการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ จากผลการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียนและครอบครัวนักเรียนกว่า 1.23 แสนครัวเรือน ตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน สามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าสะสมได้กว่า 42.73 ล้านหน่วย ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าสะสมได้กว่า 187 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศสะสมได้กว่า 22 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ คาดว่าในปีนี้จะลดการใช้พลังงานได้ปริมาณมากเช่นเดียวกัน สอดรับนโยบายการเดินหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

AMD เปิดตัวผลิตภัณฑ์กลุ่มเวิร์คสเตชั่นกราฟิกการ์ด 2 รุ่น ประกอบด้วย AMD Radeon PRO W7600 และ AMD Radeon PRO W7500

AMD เปิดตัวผลิตภัณฑ์กลุ่มเวิร์คสเตชั่นกราฟิกการ์ดเพิ่ม 2 รุ่น ประกอบด้วย AMD Radeon PRO W7600 และ AMD Radeon PRO W7500 ที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับเวิร์คโหลดงานเมนสตรีมระดับมืออาชีพในหลากหลายอุตสาหกรรม รวมไปถึงด้านสื่อและความบันเทิง, การออกแบบและการผลิต และสถาปัตยกรรม วิศวกรรม และการก่อสร้าง

กราฟิกการ์ดตัวใหม่นี้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AMD RDNA 3 ที่ล้ำสมัย ปรับแต่งมาเพื่อนำเสนอประสิทธิภาพการประมวลผลที่ยอดเยี่ยม ความเสถียรที่โดดเด่นและประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานที่น่าทึ่ง มาพร้อมหน่วยความจำความเร็วสูง GDDR6 ขนาด 8GB รองรับงานที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมาก และสามารถเปิดใช้งานการเรนเดอร์แบบ ray-tracing ที่แสดงรายละเอียดการแสดงผลได้อย่างสมจริง อีกทั้งยังนำเสนอฟีเจอร์ต่าง ๆ มากมาย ประกอบด้วย:

  • AMD RDNA 3 Architecture – ฟีเจอร์หน่วยประมวลผลที่ได้รับการออกแบบใหม่ การผสานรวมระหว่างฟีเจอร์ raytracing และตัวเร่งการใช้งาน AI, เทคโนโลยี AMD Infinity Cache รุ่นที่สอง และเทคโนโลยี raytracing รุ่นที่สอง นอกจากนี้ยังเพิ่มประสิทธิภาพด้านเวิร์คโฟลว์บน AEC, D&M และ M&E สำหรับงานสร้างแบบจำลอง 3 มิติ, แอนิเมชั่น, การเรนเดอร์, การตัดต่อวิดีโอ และการทำงานในรูปแบบมัลติทาสก์
  • Dedicated AI Acceleration – คำสั่ง AI และปริมาณงาน AI ใหม่ที่เพิ่มขึ้น ส่งมอบประสิทธิภาพที่สูงกว่าสถาปัตยกรรม AMD RDNA 2 รุ่นก่อนหน้าถึง 2 เท่า
  • AMD Radiance Display Engine with DisplayPort 2.1 – รองรับการแสดงผลสีแบบ 12-bit HDR และสีที่มากกว่า 68 พันล้านสี การแสดงผลที่สามารถรองรับจอแสดงผลรุ่นต่อไปและตัวเลือกการกำหนดค่าแสดงผลแบบหลายจอ ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมด้านการแสดงผลที่มีความสมจริงเป็นพิเศษ
  • พัฒนาประสิทธิภาพของไดร์เวอร์และการรับรองแอปพลิเคชั่นระดับมืออาชีพ – AMD ยังคงทำงานร่วมกันกับผู้จัดจำหน่ายซอฟต์แวร์ระดับมืออาชีพชั้นนำในการรับรองแอปพลิเคชั่นที่ครอบคลุม เพื่อให้มั่นใจว่ากราฟิกการ์ด AMD Radeon PRO สร้างขึ้นมาเพื่อพร้อมรองรับการทำงานตลอด 24 ชั่วโมง และผ่านการทดสอบประสิทธิภาพด้านมาตรฐานการทำงาน

กราฟิกการ์ด AMD Radeon PRO W7600 และ AMD Radeon PRO W7500 พร้อมวางจำหน่ายในไตรมาสที่ 3 ปี 2566 ผ่านทางร้านค้าปลีกระดับชั้นนำในราคา $USD599 และ $USD429 ตามลำดับ และคาดว่าจะวางจำหน่ายผ่านเวิร์คสเตชั่น OEM และ SI ภายในปีนี้


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

วิศวกรรมเคมี มจพ. สร้างชื่อเทคโนโลยีสีเขียวสำหรับยานยนต์ สู่กระบวนการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงฯ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

รศ.ดร.สุวิมล  วงศ์สกุลเภสัช  อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เปิดเผยถึง เทคโนโลยีสีเขียวสำหรับยานยนต์ ต้นแบบและเทคโนโลยีกระบวนการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงเหลวสังเคราะห์ ที่ตอบโจทย์การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นโครงการวิจัยที่ได้รับทุนจากหน่วยบริหารและจัดการด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) เป็นทุนวิจัยประเภท สร้างเศรษฐกิจฐานชีวภาพ (เชื้อเพลิงชีวภาพ วัสดุและเคมีชีวภาพ) จากกการเปลี่ยนผลผลิตทางการเกษตรหรือของเหลือทิ้งในกระบวนการผลิตหรือการบริโภค

ระยะเวลาโครงการ 2 ปี (2564-2566) มูลค่ารวมโครงการ 29 ล้านบาท

จุดเด่นของต้นแบบและเทคโนโลยีกระบวนการผลิตกระบวนการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงเหลวสังเคราะห์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตลอดกระบวนการ จะประกอบไปด้วย กระบวนการผลิตก๊าซไฮโดรเจนและก๊าซสังเคราะห์ กระบวนการฟิชเชอร์โทรป (Fisher-Tropsch)  กระบวนการผลิต Bio-hydrogenated diesel (BHD) สามารถตอบโจทย์เทคโนโลยีสีเขียวสำหรับยานยนต์ ถือเป็นหนึ่งในเชื้อเพลิงสะอาดที่ประยุกต์ใช้ในการคมนาคม นอกจากนี้ยังพบว่า น้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพนี้มีค่าซีเทนที่สูงกว่าน้ำมันที่ได้จากน้ำมันดิบ และไม่ปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมเพราะมีองค์ประกอบของซัลเฟอร์ต่ำ สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงเหลวสังเคราะห์นั้น สามารถผลิตได้จากก๊าซสังเคราะห์เป็นน้ำมันคุณภาพสูง น้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ และน้ำมันเชื้อเพลิงเหลวสังเคราะห์นี้ สามารถใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลที่อาศัยหลักการอัดอากาศ และเชื้อเพลิงให้มีความดันสูงจนเชื้อเพลิงสามารถติดไฟได้ ด้วยเหตุนี้ งานวิจัยนี้ จึงมุ่งเน้นการพัฒนากระบวนการผลิตน้ำมันชีวภาพ โดยการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตตลอดทั้งกระบวนการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถตอบสนองความต้องการการใช้งานจริงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของกลุ่มผู้ใช้ประโยชน์ ได้แก่ อุตสาหกรรมพลังงาน อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมเคมี

รศ.ดร.สุวิมล  ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันปัญหาภาวะโลกร้อนที่เกิดเนื่องจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศได้รับความสนใจทั่วโลกการพัฒนากระบวนการผลิตสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากจะช่วยลดภาวะโลกร้อน แล้วยังสามารถลด PM 2.5 ได้อีกด้วย ซึ่งตอบโจทย์ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน  ต้นแบบและเทคโนโลยีกระบวนการผลิตกระบวนการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงเหลวสังเคราะห์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนี้ เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตในประเทศไทย สามารถช่วยลดการนำเข้าน้ำมันดีเซลและเพิ่มกำไรจากการเปลี่ยน waste เป็น high- value products ซึ่งช่วยส่งผลต่อเสถียรภาพด้านราคาพลังงานได้  อีกทั้งเพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขันและวางรากฐานทางเศรษฐกิจที่ช่วยลดต้นทุน  ถือเป็นทางเลือกใหม่ที่เหมาะสมที่ได้จากเทคโนโลยีกระบวนการผลิตกระบวนการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงที่สะอาด นอกจากนี้การพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศช่วยทำให้เกิดการลงทุุนในอุุตสาหกรรมพลัังงานและอุุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้น ช่่วยยกระดัับรายได้้แก่่ประชาชนในพื้นที่ทั้งในทางตรงและทางอ้อม เพิ่มเสถียรภาพด้านราคาในอุตสาหกรรมน้ำมันและทางการเกษตร

สอบถามรายละเอียดเพื่มได้ที่รศ.ดร.สุวิมล วงศ์สกุลเภสัช  ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)  โทรศัพท์. 097-042-1315 หรือที่ e-mail: suwimol.w@eng.kmutnb.ac.th

ขวัญฤทัย ข่าว


Exit mobile version