Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์ บทความ เทคโนโลยี

การ์ทเนอร์คาดการณ์ยอดจัดส่งรถยนต์ไฟฟ้าปี 66 สูงแตะ 15 ล้านคัน

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 11 กันยายน 2566 — การ์ทเนอร์คาดการณ์ยอดการจัดส่งรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าทั่วโลก (แบบใช้พลังงานจากแบตเตอรี่และแบบปลั๊กอิน-ไฮบริด) ในปี 2566 มีปริมาณเกือบ 15 ล้านคัน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 19% ในปี 2567 คิดเป็นยอดรวม 17.9 ล้านคัน

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ในปี 2567 ปริมาณการจัดส่งยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั้งหมด ตั้งแต่ รถยนต์ (Cars) รถโดยสาร (Buses) รถตู้ (Vans) และรถบรรทุกขนาดใหญ่ (Heavy Trucks) จะมียอดรวมที่ 18.5 ล้านคัน  โดยในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าจะคิดเป็น 97% ของยอดการจัดส่งยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดในปีหน้า (ดูตารางที่ 1)

ตารางที่ 1: ปริมาณการจัดส่งยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก ปี 2565-2567 (หน่วยตามจริง)

  ยอดจัดส่ง ปี 2565 ยอดจัดส่ง ปี 2566 ยอดจัดส่ง ปี 2567
รถยนต์ 11,128,805 14,975,296 17,855,428
รถโดยสาร 198,731 202,733 207,845
รถตู้ 137,668 218,337 349,950
รถบรรทุกขนาดใหญ่  22,595 30,162 39,349
Total 11,487,798 15,426,529 18,452,573

ที่มา: การ์ทเนอร์ (กันยายน 2566)

การ์ทเนอร์คาดว่ารถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ทั่วโลกจะเติบโตจาก 9 ล้านคันในปี 2565 เพิ่มเป็น 11 ล้านคัน ภายในสิ้นปี 2566 โดยคาดว่ารถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) จะเติบโตช้าลงเล็กน้อยจาก 3 ล้านคัน ในปี 2565 เพิ่มเป็น 4 ล้านคันในปี 2566

โจนาธาน ดาเวนพอร์ท ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “สัดส่วนของรถ PHEV คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่ของรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดในประเทศต่าง ๆ อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และญี่ปุ่น โดยมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย เนื่องจากผู้บริโภคในประเทศเหล่านั้นชื่นชอบรถ PHEV มากกว่ารถ BEV โดยผู้บริโภคในสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนจากรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) มาเลือกใช้รถ PHEV มากกว่า BEV เนื่องจาก PHEV มีความสามารถที่ผสมผสานระหว่างการขับขี่ในเมืองที่ไร้มลพิษด้วยพลังงานไฟฟ้าจากมอเตอร์ และยังมอบความสะดวกสบายในการขับเคลื่อนด้วยน้ำมันเพื่อการเดินทางที่ยาวนานและไกลขึ้น ซึ่งในตลาดยุโรปตะวันตก จีน และอินเดียแตกต่างออกไป โดยรถ PHEV ได้รับความสนใจน้อยกว่า BEV เนื่องจากผู้บริโภคในตลาดเหล่านี้ให้ความสำคัญกับต้นทุนการใช้งานโดยรวมที่ต่ำกว่า รวมถึงประสบการณ์การขับที่เงียบกว่า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”

ในปี 2573 จำนวนรถยนต์ทุกรุ่นที่ผลิตออกมาทั้งหมด จะเป็น EV มากกว่า 50%

การตัดสินใจของภาครัฐบาลที่มุ่งมั่นลดการปล่อยฝุ่นละอองจากยานพาหนะและการริเริ่มโครงการสนับสนุนในบางประเทศ อาทิ การออกกฎหมายเพื่ออนุญาตให้จำหน่ายเฉพาะยานพาหนะที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ และการออกข้อบังคับให้ต้องใช้รถ PHEV เป็นอย่างน้อย อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตของผู้ผลิตรถยนต์ โดยผู้ผลิตรถยนต์บางรายกำลังมองหาวิธีกำจัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากท่อไอเสียของรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นใหม่ ๆ ภายในปี 2578 และบางรายตั้งเป้าที่จะบรรลุยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดสหรัฐฯ ให้ได้ 40% ถึง 50% ต่อปี ภายในปี 2573 นอกจากนี้ ความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของรถยนต์ไฟฟ้าได้นำไปสู่การเปิดตลาดใหม่ ๆ ของแพลตฟอร์มการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า (EV Platform)

“กฎระเบียบด้านมลพิษที่เข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ผู้ผลิตต้องเปลี่ยนโมเดลรถยนต์ที่ทำการตลาดอยู่มากกว่าครึ่งหนึ่งให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้า ในปี 2573” ดาเวนพอร์ต กล่าวเพิ่ม 

ในปี 2570 รถ BEV จะมีราคาเท่ากับรถ ICE ที่มีขนาดและรูปแบบคล้ายกัน

นักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ยังคาดว่า ภายในปี 2570 ราคาเฉลี่ยของรถ BEV จะเท่ากับรถยนต์ ICE ที่มีขนาดและรูปร่างต่าง ๆ ใกล้เคียงกัน ซึ่งจะเร่งให้เกิดการใช้ EV ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ภายในปี 2573 การผลิตไฟฟ้าและประสิทธิภาพเครือข่ายจะเป็นปัจจัยกำหนดการใช้งาน EV ให้แพร่หลายเหนือกว่าปัจจัยด้านราคา

“เว้นแต่ในประเทศต่าง ๆ จะจูงใจผู้ขับขี่รถ EV ให้ชาร์จแบตเตอรี่นอกช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด นอกจากนี้การเปลี่ยนไปใช้รถ EV อาจสร้างความต้องการที่มากขึ้นเพิ่มเติมทั้งในด้านกำลังการผลิตไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานในการจ่ายไฟ” ดาเวนพอร์ต กล่าวเพิ่ม

“การใช้อัตราค่าไฟฟ้าแบบกลางวันและกลางคืน (Dual Day and Night) หรือแม้แต่การใช้อัตราค่าไฟฟ้ารายครึ่งชั่วโมง (Half-Hourly Electricity Tariffs) สามารถจูงใจผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าให้หันมาชาร์จไฟนอกช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก (Peak Times) ซึ่งจะต้องมีการนำมาตรวัดพลังงานไฟฟ้าอัจฉริยะมาใช้เป็นวงกว้าง นอกจากนั้น ความสามารถของสาธารณูปโภคต่าง ๆ ในการควบคุมเครื่องชาร์จ EV โดยตรงผ่านการเชื่อมต่อจากระบบหนึ่งไปสู่อีกระบบหนึ่ง หรือ Application Programming Interfaces (API) จะทำให้การชาร์จ EV ถูกลดทอนลงชั่วขณะระหว่างช่วงเวลาที่มีการบริโภคสูงสุด เพื่อให้มั่นใจว่าความต้องการการใช้ไฟฟ้าจะไม่มากเกินไป” ดาเวนพอร์ต กล่าวสรุป

ติดตามข่าวสารและข้อมูลอัปเดตจาก Gartner for IT Executives ได้ทาง X และ LinkedIn โดยติดแฮชแท็ค #GartnerIT หรือเยี่ยมชม IT Newsroom สำหรับข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

The 1 จับมือเซ็นทารา ต่อยอดศักยภาพ “Central Group Synergy” ขยายสิทธิประโยชน์แบบครบวงจร สำหรับสมาชิก The 1

11 กันยายน 2566 – The 1 (เดอะ วัน) ผู้นำด้านดิจิทัลไลฟ์สไตล์และลอยัลตี้ในฐานะ Center of Life Platform อันดับ 1 ของไทย ผนึกโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เครือโรงแรมชั้นนำของประเทศไทย ภายใต้กลุ่มเซ็นทรัล ชูศักยภาพ “Central Group Synergy” มอบสิทธิประโยชน์แบบครบวงจรเพื่อสมาชิก The 1 โดยเฉพาะ สะสมคะแนนเมื่อมียอดใช้จ่าย และแลกคะแนนเป็นส่วนลด พร้อมจัดเต็มสิทธิพิเศษมากมาย ทั้งห้องพัก ห้องอาหาร และสปา ณ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา 35 แห่ง ทั่วประเทศ อีกทั้งครอบคลุมสิทธิพิเศษยังต่างประเทศ อาทิ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เติมเต็มไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวอย่างเหนือระดับ เช็คและรับสิทธิ์บน The 1 APP ได้แล้ววันนี้!

ระวี พัวพรพงษ์ Head of Corporate Affairs and Relationship – The 1 กล่าวว่า “The 1 มุ่งมั่นมอบสิทธิประโยชน์ให้หลากหลายและพิเศษยิ่งขึ้นในทุกๆ วัน เพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดของสมาชิก ด้วยแนวคิด “The 1 ให้ทุกสิทธิ์เป็นเรื่องพิเศษ” การร่วมมือกับเซ็นทารา ภายใต้กลยุทธ์ Central Group Synergy ที่แข็งแกร่ง จึงทำให้เราสามารถขยายสิทธิประโยชน์ให้กับสมาชิก The 1 ได้ครอบคลุมทุกไลฟ์ไตล์อย่างครบวงจรมากยิ่งขึ้น โดยสามารถเข้าถึงสิทธิพิเศษท่องเที่ยวแบบเอ็กซ์คลูซีฟได้ง่ายๆ ด้วยการสะสมคะแนนจากทุกยอดการใช้จ่าย แลกคะแนนเป็นส่วนลด โปรโมชั่น รวมถึงสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมายที่มอบให้เฉพาะสมาชิก The 1 เท่านั้น ณ ทุกจุดบริการของโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา นอกจากนี้ ยังสานต่อความร่วมมือและการเติบโตร่วมกันโดยครอบคลุมไปยังต่างประเทศ เช่น ล่าสุด ได้ขยายสิทธิพิเศษให้กับสมาชิก The 1 ที่โรงแรมเปิดใหม่ อย่างโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น”

ทอม ธรัสเซล Vice President – Brand, Marketing & Digital โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวว่า “เซ็นทารามุ่งมั่นที่จะส่งมอบประสบการณ์การพักผ่อนด้วยบริการมาตรฐานระดับสากลให้กับสมาชิก The 1 ทุกท่าน เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้มอบสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่าและเพิ่มความสะดวกสบายในการแลกใช้คะแนนให้ง่ายกว่าที่เคย โดยสมาชิกจะสามารถแลกคะแนนในการสำรองห้องพัก การรับประทานอาหาร การทำสปา หรือกิจกรรมอื่นๆ ภายในโรงแรมและรีสอร์ทในเครือทั่วประเทศ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีโอกาสได้ต้อนรับสมาชิก The 1 เพื่อมอบประสบการณ์การเข้าพักที่แตกต่างอย่างเหนือระดับให้สมดังสโลแกนของเราที่ว่า Centara The Place to Be โดยนี่ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้น หลังจากนี้ยังจะมีแคมเปญที่น่าสนใจออกมาต่อเนื่องอีกตลอดทั้งปี”

สมาชิก The 1 รับสิทธิพิเศษ ณ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราได้แล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ดังนี้

  • สะสมทุกยอดการใช้จ่าย ทุก 25 บาท ได้รับคะแนนสะสม 1 คะแนน ทั้งห้องพัก (เมื่อจองและชำระค่าบริการกับทางเซ็นทาราโดยตรง เท่านั้น) ห้องอาหาร สปา และกิจกรรมที่มีให้บริการในโรงแรม
  • แลกคะแนนเป็นส่วนลดได้ทุกวันโดยไม่ต้องรอโปรโมชั่น : แลกคะแนน The 1 ทุก 1,000 คะแนน เป็นส่วนลด 100 บาท บน The 1 APP สำหรับค่าห้องพัก ห้องอาหาร สปา และกิจกรรมต่างๆ ที่มีให้บริการในโรงแรม
  • สิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิก The 1 อาทิ บริการเช็คเอาท์ล่วงเวลา (Late check-out) รับฟรีเครื่องดื่ม โปรโมชั่นพิเศษ 1 แถม 1 เป็นต้น เช็คสิทธิ์ ณ โรงแรมและห้องอาหารที่ร่วมรายการ
  • สิทธิพิเศษครอบคลุมโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราที่ร่วมรายการ 35 แห่ง ทั่วประเทศ อาทิ กรุงเทพฯ – เซ็นทารา แกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ / เชียงใหม่ – เซ็นทารา ริเวอร์ไซด์ เชียงใหม่ / หัวหิน – เซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ทและวิลลา หัวหิน / ภูเก็ต – เซ็นทารา แกรนด์ บีช        รีสอร์ท ภูเก็ต – เซ็นทารา วิลลา ภูเก็ต และ สมุย – เซ็นทารา รีเซิร์ฟ สมุย เป็นต้น เช็คข้อมูลโรงแรม  ห้องอาหาร และสปาที่ร่วมรายการเพิ่มเติมที่เว็บไซต์เซ็นทารา www.centarahotelsresorts.com

ดาวน์โหลด The 1 APP เพื่อติดตามข่าวสาร โปรโมชั่นและสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ทั้งบน App Store, Play Store และ Huawei AppGallery  https://go.the1.co.th/UohD/9xavlhrg


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

นักวิชาการหนุนจัดตั้ง PRO แห่งชาติตามหลัก EPR จัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วอย่างยั่งยืน

กรุงเทพฯ, กันยายน 2566 – นักวิชาการระบุภาครัฐกำลังเร่งยกร่างกฎหมาย “พระราชบัญญัติการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน พ.ศ. …” โดยหนึ่งในสาระสำคัญจะมีการจัดตั้งองค์กรที่รับผิดชอบการจัดการบรรจุภัณฑ์ (Producer Responsibility Organization หรือ PRO) และนำผู้ประกอบการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่คุณค่าของบรรจุภัณฑ์เข้ามาทำงานร่วมกัน ภายใต้หลักการความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility หรือ EPR) สอดคล้องกับความพยายามของ 7 บริษัทชั้นนำที่รวมตัวกันในนามของ “เครือข่ายองค์กรความร่วมมือจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน” หรือ “PRO-Thailand Network” นำร่องเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว 3 ประเภท คือ ขวดพลาสติก PET กล่องเครื่องดื่มยูเอชที และถุงบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน (เช่น ถุงขนม ถุงเติม ซองกาแฟ)

ผศ.ดร.ปเนต มโนมัยวิบูลย์ หัวหน้าศูนย์วิจัยระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อประเทศไทยปลอดขยะ (Circular Economy for Waste-free Thailand – CEWT) สำนักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เปิดเผยว่า “กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหมายให้ศูนย์บริการวิชาการ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ยกร่าง พ.ร.บ. การจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน ภายใต้หลักการ EPR ที่ต้องการให้ภาคอุตสาหกรรมเข้ามาร่วมรับผิดชอบจัดการบรรจุภัณฑ์ตั้งแต่ต้นทาง คือ การออกแบบ การกระจายสินค้า การใช้งาน และช่วยแบ่งเบาภาระของภาครัฐในการจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว จากเดิมที่ตกอยู่กับระบบจัดการขยะมูลฝอยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และปัจจุบันก็ยังไม่มีทรัพยากรในด้านต่างๆ เพียงพอที่จะเก็บรวบรวม และคัดแยกบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วเพื่อจัดการอย่างยั่งยืน ทั้งในการนำไปรีไซเคิล หรือทำเป็นพลังงานเชื้อเพลิง”

ผศ.ดร.ปเนต กล่าวว่า การจัดตั้งองค์กร PRO ภายใต้กฎหมาย EPR ฉบับนี้ มีความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นกลยุทธ์การดึงผู้ประกอบการ ได้แก่ เจ้าของแบรนด์สินค้า ผู้ผลิตหรือนำเข้าสินค้า ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ ให้เข้ามามีบทบาทรับผิดชอบบรรจุภัณฑ์หลังการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการทำงานร่วมกับผู้รวบรวมและเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว ไม่ให้เล็ดลอดออกไปสู่สิ่งแวดล้อมหรือถูกทิ้งในบ่อขยะ ซึ่งในระยะแรกอาจจะมีการตั้ง  PRO แห่งชาติ ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของผู้ประกอบการ พัฒนาแผนจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน จัดให้มีระบบเก็บรวบรวม คัดแยกบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วออกจากขยะมูลฝอย โดยมุ่งเน้นบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุหลัก 4 ประเภท ได้แก่ พลาสติก โลหะ แก้ว และกระดาษ สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม อาทิ ขวดพลาสติก PET และ HDPE ถุงบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนที่มีส่วนผสมของพลาสติก กล่องเครื่องดื่มยูเอชที ตลอดจนของใช้ส่วนตัว เครื่องสำอาง และบรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่ง

“ในภาพรวม บรรจุภัณฑ์ใช้แล้วใน 4 ประเภทข้างต้นนี้ น่าจะมีประมาณ 3-4 ล้านตันต่อปี คิดเป็นร้อยละ 10-15 ของปริมาณขยะทั้งหมดในประเทศ ดังนั้น สมมติว่าค่าใช้จ่ายอย่างต่ำในการจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว คือ 1 บาทต่อกิโลกรัม หมายความว่า รัฐจะต้องใช้งบประมาณ 3-4 พันล้านบาทต่อปี มาช่วยสนับสนุนการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์เหล่านี้ การจัดตั้ง PRO จึงเป็นการสร้างกลไกให้ผู้ประกอบการเข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นอีกโมเดลที่ประสบความสำเร็จในหลายประเทศทั่วโลก” ดร.ปเนต กล่าว

สำหรับประเทศไทย ภาคเอกชนรวมตัวกันด้วยความสมัครใจจัดตั้ง “เครือข่ายองค์กรความร่วมมือจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน” (Packaging Recovery Organization Thailand Network) หรือ “PRO-Thailand Network” เมื่อปี 2562 และได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมิถุนายน 2566 โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนและร่วมสร้างระบบการจัดเก็บและรวบรวมบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วกลับมารีไซเคิล (Recycle) หรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพื่อลดปริมาณขยะที่จะรั่วไหลสู่สิ่งแวดล้อม ปัจจุบัน มีสมาชิก 7 บริษัท ได้แก่ บริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด และบริษัท เอส ไอ จี คอมบิบล็อค จำกัด

จากการดำเนินโครงการนำร่องจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว 3 ประเภท ได้แก่ ขวดพลาสติก PET กล่องเครื่องดื่มยูเอชที (เช่น กล่องนม น้ำ ผลไม้ กล่องกะทิ) และถุงบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน (เช่น ถุงขนม ถุงเติม ซองกาแฟ) ในปี 2563 – 2565  PRO-Thailand Network สามารถเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วประเภทขวด PET จำนวน 25,134.15 ตัน ประเภทกล่องเครื่องดื่มยูเอชที จำนวน 180.49 ตัน ถุงบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนใช้แล้วได้ 78.56 ตัน


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Roborock โปรโมชั่นเด็ด 9.9 นี้ลดสูงสุดกว่า 60% พร้อมส่วนลดพิเศษอีกมากมาย

Roborock (โรโบร็อค) แบรนด์หุ่นยนต์ดูดฝุ่นชั้นนำระดับโลก ซึ่งผลิตโดย บริษัท Beijing Roborock Technology จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตหุ่นยนต์ทำความสะอาด และเครื่องดูดฝุ่นระดับโลก ต้อนรับมหกรรม 9.9 วันช้อปแห่งปี โดยขนหุ่นยนต์ดูดฝุ่นทุกรุ่นมาลดกระหน่ำกว่า 6 รุ่น ลดสูงสุดถึง 60% พร้อมสิทธิพิเศษมากมาย อาทิเช่น ผ่อน 0% นาน 10 เดือน ประกันนานถึง 3 ปี พร้อมบริการจัดส่งฟรีทั่วประเทศ และโค๊ดส่วนลดเพิ่มเติมกันจุกๆ เฉพาะในวันที่ 9 กันยายน 2566 นี้เท่านั้น ผ่านช่องทางทั้ง Shopee และ Lazada

ลูกค้าที่เข้ามาช้อปปิ้งผ่าน Roborock’s official store ใน Shopee รับส่วนลดสูงสุดถึง 60% เท่านั้นยังไม่พอ! สามารถใช้โค๊ดส่วนลด เพื่อลดเพิ่มอีก 1.โค๊ด : 990OFF ลดเพิ่มอีก 999 บาทเมื่อซื้อสินค้าตั้งแต่ 5,999 บาทขึ้นไป โค๊ด 2000OFF ลดเพิ่มอีก 2,000 บาท เมื่อซื้อสินค้าตั้งแต่ 9,999 บาทขึ้นไป และโค๊ด 15MALL99 ลดเพิ่ม 15% ในทุกสินค้าโดยลดสูงสุดถึง 2,000 บาท นอกจากนี้ยังสามารถผ่อน 0% นาน 10 เดือน และส่งฟรีไม่มีขั้นต่ำ เฉพาะในวันที่ 9 กันยายน 2566 นี้เท่านั้น *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

ลูกค้าที่เข้ามาช้อปปิ้งผ่าน Roborock’s LazMall ใน Lazada รับส่วนลดสูงสุดถึง 60% และส่งฟรีทั่วไทย แถมรับโค้ด: ROBOSEP21 เพื่อลด 10% เมื่อซื้อสินค้ามากกว่า 3,000 บาท โดยโค๊ดนี้ลดเพิ่มสูงสุดถึง 500 บาท เฉพาะในวันที่ 9 กันยายน 2566 นี้เท่านั้น *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

โดยรุ่นที่เข้าร่วมรายการมีดังต่อไปนี้

1. Roborock Q Revo เป็นหุ่นยนต์อัจฉริยะรุ่นใหม่ล่าสุดที่พึ่งเปิดตัวซึ่งถือเป็นนวัตกรรมอุปกรณ์ทำความสะอาดที่มาจากการวิจัยและพัฒนาที่มีคุณภาพและมีมาตรฐาน มาพร้อมกับแท่นชาร์จอัจฉริยะ All-In-One สุดครบครัน ทั้งการดูดทิ้งฝุ่น ซักผ้าถู เติมน้ำ เป่าแห้ง อัตโนมัติ โดย Roborock Q Revo เป็นหุ่นยนต์อัจฉริยะรุ่นแรกที่ใช้นวัตกรรมม็อบคู่ถูพื้นแบบใหม่ ทำความสะอาดผ้าถูพื้นด้วยแปรงทำความสะอาดแบบสองทิศทางด้วยความเร็วสูง 735 รอบต่อนาที สะอาด หมดจดอย่างแน่นอน โดยราคาของ Roborock Q Revo วันที่ 9 กันยายน 2566 จะลดเหลือเพียง 25,999 บาท พร้อมประกัน 2 ปี

2. Roborock S8 Series มีจุดเด่นด้วยการใช้งานง่าย สะดวกสบาย พร้อมยกระดับการทำงานที่เหนือกว่าด้วยเทคโนโลยีระดับโลก โดย Roborock S8 Series จะมีผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ Roborock S8 มาคู่กับแท่นชาร์จปกติ Charging Dock, Roborock S8+ มาพร้อมกับแท่นเก็บฝุ่นอัตโนมัติ RockDock™ Plus ระดับการกรองฝุ่น HEPA E12 โดยไม่ต้องเปลี่ยนถุงเก็บฝุ่นบ่อยๆ และ Roborock S8 Pro Ultra มาพร้อมแท่นชาร์จสุดอัจฉริยะ RockDock™ Ultra ทั้งซักผ้าถู, เติมน้ำ, ดูดเก็บฝุ่น, เป่าแห้ง, ชำระล้างตัวเอง โดยอัตโนมัติอย่างเต็มประสิทธิภาพและสมบูรณ์แบบมากที่สุด ซึ่งแต่ละรุ่นได้รับการออกแบบให้สามารถทำงานได้หลากหลายโหมด โดยราคาในวันที่ 9 กันยายน 2566 พร้อมประกัน 2 ปี สำหรับ Roborock S8 Pro Ultra จะอยู่ที่ 34,999 บาท Roborock S8+ จะอยู่ที่ 27,999 บาท และ Roborock S8 จะอยู่ที่ 19,999 บาท

3. Roborock S7 MaxV Ultra มาพร้อมแรงสั่นสะเทือนที่ทรงพลังทำให้มีการขัดถูได้สูงสุด 3,000 ครั้งต่อนาที* และมีแรงกดคงที่บนพื้นประมาณ 600 กรัม* ทำให้สามารถทำความสะอาดพื้นได้อย่างสะอาดล้ำลึกและมีประสิทธิภาพมากๆ โดยราคาในรุ่น Roborock S7 MaxV Ultra จะอยู่ที่ 30,999 พร้อมประกัน 2 ปี

4. Roborock Dyad Pro มีความพิเศษที่สามารถดูดฝุ่น ถูพื้น และขจัดคราบสิ่งสกปรกแบบแห้งและเปียกได้ในทีเดียว Roborock Dyad มาพร้อมนวัตกรรมที่สามารถทำความสะอาดได้แบบ 3 in 1 โดยเป็นได้ทั้ง เครื่องล้างพื้นไร้สาย ที่ดูดฝุ่น และถูเปียก ทำได้ครบ จบในขั้นตอนเดียว เปิดประสบการณ์การทำความสะอาดบ้านแบบใหม่ Roborock Dyad มีประสิทธิภาพการทำความสะอาดขั้นสูงสุดอย่างทรงพลังในทุกการเคลื่อนไหว อีกทั้งมีเทคโนโลยี DyadPower™ มาพร้อมกับมอเตอร์โรลเลอร์คู่ เพียงหนึ่งเดียวในโลกในตอนนี้ (Dual-Motor) ซึ่งสามารถทำความสะอาดได้อย่างดีเยี่ยมกว่าการมีโรลเลอร์เพียงตัวเดียว และไม่ทำให้เปลืองแรงของผู้ใช้งาน โดยมอเตอร์โรลเลอร์คู่สามารถดูดฝุ่นได้ทั้งแบบเปียกและแบบแห้ง ทำความสะอาดคราบสิ่งสกปรกได้ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคราบเหนียว เศษฝุ่นต่างๆ ก็สามารถทำความสะอาดได้อย่างหมดจดโดยราคาสำหรับ Roborock Dyad Pro จะอยู่ที่ 15,999 บาทพร้อมประกัน 2 ปี

สำหรับท่านใดที่สนใจ Roborock รุ่นใด  สามารถเริ่มจับจองเป็นเจ้าของได้ในวันที่ 9 กันยายน 2566 เวลา 00:00 – 23:59 น. นี้เท่านั้น โดยการสั่งซื้อผ่านทุกช่องทางของการจัดจำหน่าย  Roborock  ทั้งผ่านช่องทาง Shopee และ Lazada หรือหากต้องการลองใช้งานจริงก่อน สามารถไปทดลองใช้งานได้ที่ร้านโชว์รูม Roborock  ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลแอทเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 4

ทั้งนี้ สามารถติดตามข่าวสารดีๆ รวมถึงโปรโมชันสุดพิเศษจากโรโบร็อคได้ที่เว็บไซต์ www.roborockthailand.com และเพจเฟซบุ๊ก Roborock Thailand หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ LINE Official: @RoborockThailand


Categories
บทความ เทคโนโลยี

อนาคตของการยืนยันตัวตนด้วยมือถือ และผลกระทบต่ออุตสาหกรรมควบคุมการเข้า-ออก

หลายปีที่ผ่านมา วิธียืนยันตัวตนและเข้าถึงบริการต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วใน ในอดีต การยืนยันตัวตนจำเป็นต้องมีเอกสารที่จับต้องได้ เช่น การแสดงใบขับขี่เมื่อซื้อสินค้าหรือบริการที่จำกัดอายุ แต่การใช้สมาร์ทโฟนและเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือที่เพิ่มมากขึ้น ได้ทำให้เกิดการยืนยันตัวตนในรูปแบบดิจิทัลขึ้น ซึ่งแม้จะมาพร้อมกับความสะดวกสบาย ความปลอดภัยและความยืดหยุ่น แต่ความซับซ้อนอื่นๆ เช่น ความพร้อมด้าน IT การพิสูจน์ตัวตน และข้อกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาด้วยเช่นกัน 

แล้วโลกพร้อมหรือยังที่จะใช้การยืนยันตัวตนแบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งในที่สุด ก็จะแทนที่การยืนยันตัวตนด้วยเอกสารแบบดั้งเดิม

คำตอบไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลไม่มีความเท่าเทียมกันตั้งแต่แรก ไม่ใช่ทุกองค์กร หรือทุกคนจะสามารถเข้าถึงทรัพยากร ทักษะ หรือโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จได้อย่างเท่าเทียม ด้วยเหตุนี้ เราคาดว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ตลาดสำหรับการยืนยันตัวตนด้วยเอกสารจะเล็กลงอย่างต่อเนื่อง และการยืนยันตัวตนทางดิจิทัลจะกินพื้นที่เพื่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ปัจุบันคนเริ่มใช้สมาร์ทโฟนมากกว่าเดิม ทั้งเพื่อใช้จ่ายเงินออนไลน์ เข้าถึงบริการด้านดิจิทัล หรือแม้กระทั่งใช้เปิดประตูเพื่อเข้า-ออก บริษัทที่ปรึกษาอย่าง Gartner ระบุว่า ในปี 2022 องค์กรกว่า 70% ที่ใช้การยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลทางชีวภาพ (biometric) ในการเข้า-ออกสถานที่ทำงาน จะดำเนินการผ่านแอปในสมาร์ทโฟนแทน ไม่ว่าอุปกรณ์เครื่องอ่านปลายทางจะเป็นอะไร และจากตัวเลขนี้ในปี 2018 ที่น้อยกว่า 5% ก็แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว ก็ทำให้การยืนยันตัวตนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลมาถึงจุดเปลี่ยน ทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่เติบโตควบคู่ไปกับความต้องการในการให้บริการธุรกรรมแบบไร้สัมผัส สืบเนื่องมาจากการเกิดโรคระบาด และการใช้แอปกระเป๋าเงินต่างๆ ที่เก็บข้อมูลตัวตนทางดิจิทัลในมือถือ ที่ขยายตัวมากขึ้นเช่นกัน

การควบคุมการเข้า-ออกอาคาร ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยมือถือ

โทรศัพท์มือถือกลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่ เพราะนอกจากคุณสมบัติพื้นฐานแล้ว ยังมีประโยชน์ที่ล้ำเลิศและความสะดวกสบายต่างๆ และผู้คนก็พกพามือถือตลอดเวลา ดังนั้น การใช้งานเพื่อเข้า-ออกอาคารสถานที่ และเคลื่อนที่ไปยังบริเวณต่างๆ ในอาคารจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผล

นอกจากนี้ ระบบนิเวศที่เชื่อถือได้ของอุปกรณ์ควบคุมการเข้า-ออก, แอปพลิเคชันต่างๆ และการยืนยันตัวตนด้วยมือถือที่เชื่อมต่อกับคลาวด์นั้นกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ทำให้การใช้มือถือกับระบบควบคุมการเข้า-ออก เป็นเรื่องง่ายกว่าที่เคย และยังสามารถเข้าถึงบริการใหม่ๆ ที่มีมากมายได้อย่างปลอดภัย โดยผ่านมือถือและอุปกรณ์อัจฉริยะอื่นๆ ซึ่งจะเห็นได้จากการที่ผู้ใช้บริการมีการใช้งานที่หลากหลายและแตกต่างกัน

การใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเครื่องมือเพื่อยืนยันตัวตนในการเข้า-ออกสถานที่ เข้าถึงระบบเครือข่ายและบริการ และอื่นๆ อีกมากมาย ได้ช่วยให้เกิดความสะดวกสบาย เพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับความปลอดภัย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ลูกค้าและคู่ค้าต่างๆ ทั่วโลกจะหันมาใช้ระบบควบคุมการเข้า-ออกด้วยมือถือมากขึ้น โดยในปี 2023 กว่า 81% ของผู้ตอบแบบสอบถามในงานวิจัย 2023 State of Security and Identity ของ HID ผู้ให้บริการโซลูชันการระบุตัวตนระดับโลก ได้บอกว่า ในปีนี้ กำลังใช้โมเดลการทำงานแบบไฮบริด ซึ่งหลายบริษัทก็กำลังใช้ระบบการยืนยันตัวตน “ในรูปแบบการบริการ” แทนที่จะใช้ระบบที่ติดตั้งอยู่ภายในองค์กร

ทำไมการเข้า-ออกด้วยมือถือจะมีการใช้อย่างแพร่หลายในอนาคต?

การใช้สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือสมาร์ทวอตช์ เพื่อเข้า-ออกอาคาร หรือพื้นที่ที่จำกัดนั้น ไม่เพียงแต่สะดวกกับผู้ใช้งาน แต่ผู้จัดการอาคารและพนักงานรักษาความปลอดภัย ยังสามารถส่งมอบและเพิกถอนบัตรในโทรศัพท์มือถือ (Mobile ID) ของผู้ใช้งานได้ทันทีผ่านเครือข่ายสัญญาณ ทั้งยังช่วยลดการสัมผัส และปรับปรุงการจัดการการเข้า-ออกผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลบนคลาวด์ได้ด้วย

ด้วยเหตุนี้ บริษัทต่างๆ จึงใช้ระบบการเข้า-ออกด้วยมือถือเป็นอีกหนึ่งกลไกในการยืนยันตัวตนสำหรับพนักงานและบุคคลภายนอกมากขึ้นเรื่อยๆ การเข้า-ออกผ่านมือถือนั้น ช่วยลดการพึ่งพาการใช้บัตรหรือป้ายชื่อพนักงาน และรองรับกับโปรโตคอลต่างๆ ด้านความปลอดภัย และยังเพิ่มความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่งนอกเหนือจากการเข้ารหัสผ่านบัตร ทำให้การควบคุมการเข้า-ออกด้วยมือถือ ปลอดภัยมากกว่าระบบการเข้า-ออกแบบดั้งเดิม

อีกหนึ่งคุณสมบัติของการเข้า-ออกด้วยมือถือที่มีการกล่าวถึงมากขึ้น คือการใช้งานได้หลากหลาย หรือการที่ผลิตภัณฑ์ หรือโซลูชันเดียวสามารถใช้งานได้หลายอย่าง ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบปฏิบัติการ แต่ยังช่วยลดการใช้บัตรพลาสติกและโอกาสที่ผู้ใช้งานทำบัตรหาย จึงส่งผลดีในเรื่องความยั่งยืนและความปลอดภัย หนึ่งตัวอย่างที่ดี คือ ในธุรกิจการศึกษาระดับอุดมศึกษานั้น มหาวิทยาลัยต่างๆ กำลังใช้แนวทาง mobile-first แทนที่การใช้บัตรพลาสติก โดยใช้เบอร์โทรศัพท์ในการยืนยันตัวตน (Mobile IDs) เพื่อเปิดประตู ยืมหนังสือ ซื้ออาหาร และบริการอื่นๆ ได้

ดิจิทัลไอดี และดิจิทัลวอลเล็ต

ไม่นานมานี้เอง ที่บัตรพนักงานสามารถควบรวมเข้ากับดิจิทัลวอลเล็ตได้ ถึงแม้ว่าดิจิทัลวอลเล็ตจะใช้ทำธุรกรรมการชำระเงินได้มานานแล้ว แต่ปัจจุบันดิจิทัลวอลเล็ตสามารถทำอะไรได้มากกว่านั้นมาก ไม่ว่าจะเป็นการเก็บใบสั่งยา เอกสารการเดินทาง ใบขับขี่ บัตรประชาชน ข้อมูลประกันภัย และบัตรพนักงาน การเก็บบัตรพนักงานในดิจิทัลวอลเล็ต ทำให้พนักงานสามารถเข้า-ออกสำนักงาน, ลิฟต์, ช่องทางเข้าที่มีแกนหมุน เครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชัน และอื่นๆ ได้อีกมากมายเพียงใช้สมาร์ทโฟน หรือสมาร์ทวอตช์ โดยบัตรพนักงานในดิจิทัลวอลเล็ตที่ถูกเชื่อมเข้ากับระบบควบคุมการเข้า-ออกนั้น ง่ายในการจัดการ ส่งมอบ และมีความปลอดภัยสูงอีกด้วย

การเปิดใช้งานก็ทำได้ง่าย พนักงานสามารถจัดการบัตรในดิจิทัลวอลเล็ตที่ถูกเชื่อมเข้ากับระบบควบคุมการเข้า-ออกของบริษัทได้ โดยผ่านฮาร์ดแวร์ของบริษัทผู้ให้บริการ และการจัดการโดยพนักงานภายในองค์กร  ดังนั้นจึงสามารถเริ่มใช้งานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

บัตรพนักงานในดิจิทัลวอลเล็ตมีความเป็นส่วนตัวและปลอดภัย บัตรในวอลเล็ตจะถูกเก็บไว้ในมือถือของผู้ใช้งาน ทำให้การทำธุรกรรมต่างๆ มีความปลอดภัยเต็มที่ ในขณะเดียวกัน ข้อมูลของผู้ใช้งานก็ถูกจัดเก็บไว้เป็นส่วนตัว เพราะไม่มีใครรู้ว่าพนักงานเข้า-ออกสถานที่ใดบ้าง

แต่ยิ่งการยืนยันตัวตนอย่างเป็นทางการอยู่ในรูปแบบดิจิทัลมากเท่าไหร่ โซลูชันก็ต้องซับซ้อนมากเท่านั้นเพื่อให้สามารถปกป้องข้อมูลส่วนตัวและป้องกันการใช้ข้อมูลในทางที่ผิดได้ ดังนั้น สิ่งสำคัญคือต้องสร้างโปรแกรมยืนยันตัวตนที่ทันสมัย ที่จัดการด้านความปลอดภัยอยู่บนคลาวด์ และรองรับการเพิ่มขีดความสามารถได้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ระบบการยืนยันตัวตนแบบดิจิทัลต้องสอดคล้องตามกฎหมาย ข้อบังคับและมาตรฐานในอุตสาหกรรมที่เป็นที่ยอมรับในระดับภูมิภาคและระดับโลกด้วย ตัวอย่างเช่น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ GDPR

นอกจากในองค์กรต่างๆ แล้ว การยืนยันตัวตนและดิจิทัลวอลเล็ตยังใช้อย่างแพร่หลายในภาคการศึกษา โดยมหาวิทยาลัยและโรงเรียนต่างๆ ได้ให้นักเรียนและพนักงานสามารถเพิ่มไอดี หรือบัตรเข้าไปในดิจิทัลวอลเล็ตหรือมือถือได้ เพื่อให้สามารถเข้า-ออกอาคาร และซื้ออาหารได้

การเข้า-ออกอาคารด้วยมือถือจะเป็นอย่างไรต่อไป?

เมื่อมีการใช้ระบบเข้า-ออกด้วยมือถือมากขึ้น ผู้ที่จะได้สัมผัสกับความสะดวกสบายของเทคโนโลยีนี้ก็มีมากขึ้นด้วย การเพิ่มบัตรพนักงานเข้าไปในดิจิทัลวอลเล็ตได้นั้น ช่วยให้มั่นใจเรื่องความปลอดภัย และทำให้การใช้งานราบรื่นมากขึ้นสำหรับผู้ใช้อาคารและผู้เช่า

นอกจากนี้ ยังมีแง่มุมด้านความยั่งยืน การใช้ระบบการเข้า-ออกผ่านมือถือและการยืนยันตัวตน ได้ช่วยลดการใช้บัตรพลาสติก จึงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่มาจากวัฏจักรของพลาสติกได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อระบบควบคุมการเข้า-ออกถูกเชื่อมเข้ากับแพลตฟอร์มการบริหารอาคารแล้ว จะทำให้สามารถปรับเปลี่ยนทรัพยากรในอาคารได้อย่างต่อเนื่องตามอัตราการเข้าพักอาศัย ดังนั้นระบบควบคุมการเข้า-ออกที่ออกแบบมาโดยคำนึงถึงความยั่งยืนตั้งแต่ต้นจึงสามารถสร้างความโดดเด่นได้

ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมระบบควบคุมการเข้า-ออก มีความต้องการโซลูชันที่ยั่งยืนมากขึ้น ล่าสุด ได้มีการเปิดตัวบัตรเข้า-ออกอาคารที่มีความปลอดภัย ที่ทำมาจากแหล่งไม้ไผ่ที่ยั่งยืน เป็นการส่งเสริมห่วงโซ่มูลค่าให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในกรณีที่การใช้บัตรเข้า-ออกยังมีความจำเป็น

สุดท้ายนี้ อนาคตของการยืนยันตัวตนด้วยมือถือจะขึ้นอยู่กับการเปิดรับอย่างกว้างขวางและความเชื่อมั่นที่อยู่บนพื้นฐานของระเบียบข้อบังคับ รัฐบาล หน่วยงานภาคเอกชน และพลเมืองจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างระบบนิเวศที่เข้มแข็งที่จะสนับสนุนการทำงานร่วมกัน ความปลอดภัย และการยอมรับความแตกต่างได้

นอกจากนี้ การรณรงค์เพื่อสร้างการรับรู้ของสาธารณชน และการจัดตั้งโครงการศึกษานำร่องก็มีความสำคัญมากในการแนะนำประโยชน์ของการยืนยันตัวตนผ่านมือถือ รวมทั้งจัดการกับข้อกังวลต่างๆ และทำให้การยอมรับเกิดขึ้นอย่างเป็นวงกว้างในหมู่ประชาชน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

นักศึกษาไทยคว้ารางวัลใหญ่เวทีการแข่งขันแผนการสร้างแบรนด์ระดับเอเชีย โชว์ความสามารถนวัตกรรมการตลาดบนเวทีโลก

สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย คัดเลือกนักศึกษาจำนวน 2 ทีม ซึ่งประกอบด้วยนิสิตระดับปริญญาตรีจาก จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย คือ ทีม “POST sMART ” และ ทีม “Knock Everything Forever” เพื่อเป็นตัวแทนประเทศไทยไปร่วมแข่งขัน ในเวทีการประกวดแผนการตลาดและการสร้างแบรนด์ระดับนานาชาติ “Global  Brand Planning Competition” ประจำปี 2566 ที่จัดโดยสมาพันธ์การตลาดจีนระดับโลก (Global Chinese Marketing Federation – GCMF) ที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

แผนการสร้างแบรนด์ “Thailand Post Mart” นำเสนอโดยทีม “POST sMART ” ได้รับรางวัลเหรียญทอง และรองชนะเลิศอันดับ 1 ประเภททีมภาษาอังกฤษ ทีมนี้ประกอบด้วย นางสาวปาณิสรา ธัมอารีย์รัตน์, นายสาละ เวียงเก่า นางสาววริษฐา จึงวิวัฒนาภรณ์, นางสาวพัทรกมล ทองอยู่ และ นายพล วนาโรจน์

ส่วนแผนการสร้างแบรนด์ “ไปรษณีย์ไทย” ที่เสนอโดยทีม “Knock Everything Forever” ก็คว้ารางวัลเหรียญทอง และ รองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภททีมภาษาอังกฤษ ไปครองเช่นกัน ทีมนี้ประกอบด้วยนางสาววรัณย์พร จันทนยิ่งยง, นายศุภกิตติ์ ชาง, นายภาสวุฒิ ประสิทธิ์วรนันท์, นางสาวศตพร เวชทัพ, นายนนท์ปวิธ สุวัตถิกุล, นางสาวสีตลา สุวิวัฒน์ธนชัย และ นางสาวรมิตา จุฑาสันติกุล

โดยในครั้งนี้ ผู้บริหารจากสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ดร. สมชาติ วิศิษฐ์ชัยชาญ รองนายกสมาคมและ อุปนายกและประธานฝ่ายองค์ความรู้ด้านการตลาด, คุณศักดิ์ชัย เรืองกิตติกุล อุปนายก และ ประธานฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ และ คุณจันทร์เพ็ญ ทานนท์ ผู้จัดการฝ่ายภาคีการศึกษา นำทีมนักศึกษาไทยไปแข่งขัน

Global Brand Planning Competition” หรือ GBPC เป็นการแข่งขันประกวดแผนการตลาด และ การสร้างแบรนด์ระดับนานาชาติ จัดโดย สมาพันธ์การตลาดจีนระดับโลก (Global Chinese Marketing Federation หรือ GCMF) เวทีนี้ถูกก่อตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการจาก จีน สิงคโปร์ ไต้หวัน และ ฮ่องกง โดยมีจุดประสงค์เพื่อรวบรวมนิสิต นักศึกษาผู้มีความสามารถด้านการตลาดที่ยอดเยี่ยมจากมหาวิทยาลัยทั่วโลก มาร่วมแข่งขัน และแลกเปลี่ยนกรณีศึกษาเรื่องการตลาดและการสร้างแบรนด์ โดยส่งเสริมใช้นวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์

เกณฑ์การตัดสินครอบคลุมปัจจัยสำคัญต่างๆ ทั้งด้านการวิเคราะห์สถานการณ์ กลุ่มตลาดเป้าหมาย คู่แข่งจนไปถึงการวางกลยุทธ์ และการวางแผนงานที่ถูกคิดมาอย่างถี่ถ้วน ทั้งในระยะสั้น และในระยะสะท้อนถึงศักยภาพ เอกลักษณ์ของแบรนด์ และคุณค่าหลักของแบรนด์

GBPC ท้าทายให้ผู้เข้าร่วมพัฒนาแผนธุรกิจที่ครอบคลุมโดยมุ่งเน้นที่การสร้างแบรนด์ และการตลาดเชิงกลยุทธ์สำหรับแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ที่เลือก โดยพวกเขาต้องทำการวิเคราะห์ วางกลยุทธ์ และวางแผนการสร้างแบรนด์ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ และแสดงความเข้าใจในตลาดเป้าหมาย

การแข่งขันอันทรงเกียรตินี้ยังเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงทักษะ และความภาคภูมิใจต่อประเทศและมหาวิทยาลัยของตน นอกจากนี้ยังช่วยให้พวกเขาสร้างเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและเพื่อนร่วมงานทั่วโลก นำเสนอคุณค่าอันมีค่าในอุตสาหกรรมการตลาดระหว่างประเทศอีกด้วย  GBPC จึงเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้นักการตลาดรุ่นใหม่ทั่วโลกได้แสดงศักยภาพ เพื่อช่วยในการพัฒนาความเป็นเลิศด้านการตลาดทั่วโลกสืบไป


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ออฟฟิศเมท ยกขบวนแบรนด์ดังลดสูงสุด 70% ให้ทุกธุรกิจประหยัดตลอดเดือนกันยายน 2566

ออฟฟิศเมท และ ออฟฟิศเมท พลัส ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ผนึกกำลังแบรนด์ชั้นนำจัดแคมเปญ “BRAND PARADE GRAND SALE” มอบความประหยัดให้ทุกธุรกิจ กับพาเหรดสินค้าคุณภาพ ราคาโดนใจ ลดสูงสุด 70%* ตลอดเดือนกันยายน 2566 จัดเต็มดีลเด็ดสินค้าราคาดี 99.-, 499.-, 799.-, 999.- รับเดือน 9 และโปรโมชั่นสุดคุ้มจากแบรนด์ดัง   มีทั้งส่วนลดและของแถม ให้ SME และจัดซื้อองค์กรเลือกช้อปได้เต็มที่ ทั้งหมึกพิมพ์ ปริ้นเตอร์ อุปกรณ์ไอที กระดาษถ่ายเอกสาร อุปกรณ์สำนักงานพื้นฐาน ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และอุปกรณ์โรงงาน พิเศษสุด!…สำหรับออฟฟิศและธุรกิจที่กำลังมองหาเฟอร์นิเจอร์ใหม่ ช้อปเดือนนี้ งคุ้มสุดๆ มีสินค้าใหม่ให้ช้อปเพียบ พร้อมราคาสุดพิเศษ และแถมเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ฟรีๆ เมื่อช้อปครบตามกำหนด

ช้อปง่าย สบายกระเป๋า…!!! ออฟฟิศเมทให้ลูกค้าองค์กรช้อปไปก่อนจ่ายทีหลังกับเครดิตเทอม 30 วัน (ตามเงื่อนไข) และมีโปรฯ ผ่อน 0% กับบัตรเครดิตชั้นนำที่ร่วมรายการ ที่ร้านออฟฟิศเมท และออฟฟิศเมท พลัส ทุกสาขา หรือช้อปออนไลน์ได้ง่ายๆ ที่ OFM Mobile App เว็บไซต์ www.ofm.co.th หรือ Chat & Shop ที่ Line: @OfficeMate และ Contact Center 1281 ออฟฟิศเมทบริการจัดส่งฟรีเมื่อช้อป 499.- ตามกำหนด


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

MSC ผนึกรวมโซลูชั่นบน AWS

คุณชัยวัฒน์ วชิรโรจน์ไพศาล (ทางซ้าย) ผู้จัดการทั่วไปกลุ่มธุรกิจดิจิตอลโซลูชั่น บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำทางด้านเทคโนโลยีโซลูชั่นบนคลาวด์แพลตฟอร์ม AWS เข้าร่วมงานสัมมนาใหญ่ “AWS Cloud Day Thailand 2023” ได้รับการต้อนรับจาก คุณวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ (ที่สองจากซ้าย) Country Manager Amazon Web Services (Thailand) Co., Ltd. AWS และทีมงาน

ภายในงานบริษัทเมโทรซิสเต็มส์ฯ ได้นำเสนอโซลูชั่น DevSecOps, AIOps รวมถึง Dashboard ที่ผ่านการพัฒนาปรับปรุงจนเป็นที่ต้องการของตลาด ผ่านทางคุณณัฐดนัย วิทยาศิริกุล (ที่สองจากขวา) Cloud Solution Specialist Manager และคุณเปรมจิต อภิเมธีธำรง (ทางขวา) ACES: Advanced Center of Excellence Services ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานตลอดทั้งวัน  การพัฒนาปรับปรุงโซลูชั่นมุ่งเน้นการใช้งานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดให้บริการ ภายใต้คลาวด์แพลตฟอร์ม AWS ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักในการช่วยขับเคลื่อนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นอย่างแท้จริง ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งจัดขึ้นในวันอังคารที่ 8 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา           

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ กลุ่มธุรกิจดิจิตอลโซลูชั่น บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โทร.02-089-4994 อีเมล์ : dsgmkt@metrosystems.co.th Website: https://www.metrosystems.co.th/


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. ลงนามความร่วมมือทางวิชาการกับมหาวิทยาลัย NFU สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน)

รศ.ดร.อัยยะ  จันทรศิริ  คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ พลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ  วิทยาเขตระยอง   ลงนามความร่วมมือทางวิชาการ กับ Prof. Li – Wei Chen, Vice President for International Affairs  มหาวิทยาลัย  National  Formosa  University  สาธารณรัฐจีน  (ไต้หวัน)   โดยมี  .ดร.สมฤกษ์    จันทรอัมพร รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ  มจพ. ร่วมเป็นสักขีพยาน พร้อมด้วยคณาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย National Formosa University สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) พิธีลงนามความร่วมมือทางวิชาการดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมความร่วมมือระหว่างทั้งสองมหาวิทยาลัย เกี่ยวกับด้านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ของบุคลากรและนักศึกษา รวมถึงความร่วมมือด้านงานวิจัย ตลอดจนการเข้าเยี่ยมชม ศึกษาดูงาน และกิจการมหาวิทยาลัย ในวันพุธที่ 30 สิงหาคม 2566 ณ มจพ. กรุงเทพฯ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“SCB TechX” จับมือ “VMware” พัฒนาแพลตฟอร์มบริหารจัดการมัลติคลาวด์ด้วย Scaled DevOps

จากรายงานของ VMware ที่แสดงให้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่า องค์กร73% ในปัจจุบันใช้คลาวด์ตั้งแต่สองระบบขึ้นไป โดยผู้บริหารด้านเทคโนโลยีให้เหตุผลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการใช้ระบบคลาวด์หลายระบบดังนี้

  • ธุรกิจต่าง ๆ ยังคงพบกับความไม่แน่นอนอย่างมากเกี่ยวกับสถานะของตลาดขณะนี้ เผชิญกับความต้องการที่หลากหลาย ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนระบบคลาวด์ให้ตรงตามความต้องการใช้งาน ณ ขณะนั้น แต่ก็นำมาซึ่งความท้าทายในการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ดียังคงเชื่อมั่นว่า การใช้ผู้ให้บริการที่หลากหลายทำให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่นในการตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย
  • ทีมงานต่าง ๆ ภายในองค์กรเองก็ใช้ผู้ให้บริการระบบคลาวด์ที่แตกต่างกันเช่นกัน เนื่องจากมีเหตุผลในการใช้งานที่แตกต่างกัน แต่เหตุผลที่พบบ่อยที่สุดได้แก่ การใช้งานแอปและบริการที่มีอยู่มากในตลาด การกู้คืนความเสียหายและความต่อเนื่องทางธุรกิจ และความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ที่ได้รับการปรับปรุง

เพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของกลยุทธ์มัลติคลาวด์ การประกาศความร่วมมือระหว่าง SCB TechX และ VMware ในการพัฒนา Multi-Cloud Management Platform และสร้าง DevOps as a Service ที่สมาร์ทในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและความพึงพอใจของลูกค้า โดยจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ลดความซับซ้อนในการจัดการมัลติคลาวด์ ช่วยนักพัฒนาให้สามารถส่งมอบแอปพลิเคชั่นซอฟต์แวร์ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ขณะที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งระดับองค์กรและยูซเซอร์ทั่วไปผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัย นี่เป็นหนึ่งตัวอย่างของบริษัทไทยที่ร่วมมือกับบริษัทระดับโลกเพื่อใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อรับมือกับความท้าทายและสร้างโอกาสการเติบโตของยุคดิจิทัล


Exit mobile version