Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. ลงนามความร่วมมือ บพข. ขับเคลื่อนงานวิจัยเชิงลึก เร่งรัดนำงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์

.ดร.สมฤกษ์ จันทรอัมพร รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า

พระนครเหนือ ( มจพ.) ร่วมพิธีลงนามความร่วมมือ Memorandum of Intent (MOI) ระหว่าง 10 หน่วยงาน โชว์ความสำเร็จ 3 ปี  สร้าง 11 แพลตฟอร์ม  เป็นงานเร่งรัดงานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิงลึก

เพื่อเร่งรัดนำงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์กับหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)  พร้อมด้วย ผศ.ดร.พีรพงษ์ พรวงศ์ทอง ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิจัยและพัฒนานวัตกรรม 

รศ.ดร.กัมปนาท เทียนน้อย ผู้อำนวยการสำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  และ ผศ.ดร.ชลกาญจน์  วงศ์ก่อทรัพย์

ผู้จัดการศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ  ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามดังกล่าว โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเร่งรัดงานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Science and Technology Accelerators)  เกิดการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์และบริการมูลค่าสูงสู่เชิงพาณิชย์ให้สามารถพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมและเทคโนโลยีเชิงลึกจนได้ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีมูลค่าสูงเสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศ

เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2566 ณ โรงแรมพูลแมน กรุงเทพฯ

ขวัญฤทัยข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์คาดการณ์ในอีก 2 ปี องค์กรข้ามชาติ 30% ได้รับผลกระทบรุนแรงจากความเสี่ยงของอธิปไตยทางดิจิทัลที่ไม่ได้จัดการ

กรุงเทพฯ ประเทศไทย – 26 กันยายน 2566 – การ์ทเนอร์คาดการณ์ ภายในปี 2568 ประมาณ 30% ขององค์กรธุรกิจข้ามชาติจะประสบกับการสูญเสียรายได้ ความเสียหายต่อแบรนด์หรือการดำเนินการทางด้านกฎหมาย อันเกิดจากความเสี่ยงอธิปไตยทางดิจิทัล (Digital Sovereign Risk) ที่ไม่ได้รับการจัดการ

ไบรอัน เพรนติส รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ช่วง 30 ปีที่ผ่านมาองค์กรธุรกิจข้ามชาติบริหารธุรกิจโดยประเมินความเสี่ยงสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศที่เข้ามาเปิดกิจการ แต่ปัจจุบันองค์กรเหล่านี้จำเป็นต้องขยายความเสี่ยงด้านอธิปไตย (หรือ Sovereign Risk) ให้ครอบคลุมด้านดิจิทัลเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น อันเนื่องมาจากการใช้งานดิจิทัลแบบต่างคนต่างใช้และกระจัดกระจายมากขึ้นทั้งในระดับประเทศและในระดับภูมิภาค”

การ์ทเนอร์ระบุว่าอธิปไตยทางดิจิทัล  (หรือ Digital Sovereignty) คือ ความสามารถรัฐบาลในการตระหนักถึงนโยบายที่ไม่เป็นอุปสรรคอันเกิดจากกฎระเบียบดิจิทัลของรัฐบาลต่างประเทศที่มีผลโดยตรงต่อพลเมืองและธุรกิจที่มีภูมิลำเนาอยู่ รวมถึงนโยบายที่ดำเนินการผ่านบริษัทดิจิทัลรายใหญ่ภายใต้การควบคุมของกฎระเบียบ

“ขณะที่หลากหลายประเทศดำเนินกลยุทธ์ Sovereign Digital มากขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือภาระผูกพันด้านกฎระเบียบข้ามเขตอำนาจศาล ข้อจำกัดด้านภาษี การห้ามนำเข้า/ส่งออก มาตรการทางเทคโนโลยีเฉพาะระดับประเทศและข้อกำหนดด้านเนื้อหาของท้องถิ่นที่ซับซ้อน เนื่องจากดิจิทัลมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ ผู้บริหารจึงต้องเข้าใจความเสี่ยงอธิปไตยทางดิจิทัล (Digital Sovereign Risk) และผลกระทบต่อเงื่อนไขทางธุรกิจ”

การ์ทเนอร์ชูประเด็นสำคัญ 3 ประการที่ได้รับผลกระทบมาจาก Digital Sovereign Risk ซึ่งต้องจัดการเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียรายได้ ความเสียหายต่อแบรนด์ หรือการดำเนินการทางกฎหมาย ไว้ดังนี้ 

(1) ความเสี่ยงอธิปไตยทางดิจิทัลที่ส่งผลต่อลูกค้าองค์กรข้ามชาติของผู้ให้บริการเทคโนโลยี

การหยุดชะงักส่วนใหญ่เป็นผลมาจากกลยุทธ์ Sovereign Digital ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของผู้ให้บริการเทคโนโลยี โดยการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญกำลังส่งผลกระทบต่อภาคเทคโนโลยีและผู้ให้บริการเฉพาะ อาทิ ด้านข้อจำกัดของซัพพลายเออร์ 5G อย่าง Huawei หรือ Nokia ซึ่งอาจเป็นผลมาจากแรงกดดันด้านกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้น เพื่อเปลี่ยนแปลงนโยบายระดับชาติ หรือรับมือต่อเหตุการณ์ฉับพลันทางภูมิรัฐศาสตร์

จากข้อมูลของการ์ทเนอร์ชี้ให้เห็นว่าวิธีการที่ผู้ให้บริการเทคโนโลยีรับมือกับความเสี่ยงอธิปไตยทางดิจิทัลจะสามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กรธุรกิจข้ามชาติ โดยองค์กรต้องพิจารณาผู้ให้บริการเทคโนโลยีที่สำคัญไว้เป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานที่กว้างขึ้น และประเมินแบบเชิงรุกพร้อมลดความเสี่ยงอธิปไตยทางดิจิทัล

(2) การสร้างสรรค์นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีดิจิทัลจะถูกขัดขวางหากไม่ได้รับการปรับให้เข้ากับท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อความมุ่งมั่นสู่ดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น ความพยายามในการผลิตเทคโนโลยี/นวัตกรรมดิจิทัลจะผลักดันองค์กรต่าง ๆ ไปสู่การสร้างผลิตภัณฑ์ดิจิทัลแบบแยกส่วน ซึ่งตลาดที่เผชิญกับผลิตภัณฑ์ดิจิทัลเหล่านี้บ่อยครั้งจะมีผลกำไรและขาดทุน (Profit & Loss) เป็นของตนเอง หากพบตลาดที่อื่น ๆ นอกเหนือจากประเทศต้นทางขององค์กร การ์ทเนอร์ขอแนะนำให้ใช้ขั้นตอนจัดการ Digital Sovereign Risk ที่เกี่ยวกับแต่ละผลิตภัณฑ์ดิจิทัล

จำเป็นต้องปรับแต่งผลิตภัณฑ์เป็นท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องและปรับให้เข้ากับข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ ควบคู่ไปกับด้านวัฒนธรรมและภาษาของลูกค้าในตลาดเฉพาะ เป็นไปในทิศทางที่ต่างกันตามมาตรฐานเทคโนโลยีในระดับประเทศ ระเบียบการที่รัฐสนับสนุน และกรอบการทำงานที่ภาครัฐฯ ส่งเสริม ซึ่งล้วนเพิ่มน้ำหนักการตัดสินใจที่จำเป็นในการผลิตผลิตภัณฑ์ดิจิทัลที่จะให้บริการในตลาดหลายแห่ง

(3) ธุรกิจดิจิทัลจะอยู่ในสถานการณ์ลำบากท่ามกลางการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ดิจิทัล

ขณะที่องค์กรขยายเป้าหมายดิจิทัลและกลายเป็นธุรกิจดิจิทัล องค์กรจะต้องรับมือกับข้อขัดแย้งของตลาดเสรีดิจิทัลในวงกว้าง เช่นเดียวกับผู้ให้บริการเทคโนโลยี ทำให้อยู่ท่ามกลางการแข่งขันทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ดิจิทัล ซึ่งกระทบต่อกลยุทธ์ทางธุรกิจ

การ์ทเนอร์แนะนำให้ผู้บริหารระดับสูงด้านความเสี่ยง (Chief Risk Officers หรือ CRO) ทำความเข้าใจกับเทคโนโลยีดิจิทัล ไม่เช่นนั้นจะประสบปัญหาในการขยายขอบเขต วัตถุประสงค์ และผลกระทบการดำเนินงานจากปัจจัยต่าง ๆ ของ Digital Sovereign Risk ที่มีต่อองค์กร

ติดตามข่าวสารและข้อมูลอัปเดตจาก Gartner for IT Executives ได้ทาง X และ LinkedIn โดยติดแฮชแท็ค #GartnerIT หรือเยี่ยมชม IT Newsroom สำหรับข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เฟดเอ็กซ์ ยกระดับประสบการณ์การจัดส่งสินค้าสำหรับร้านค้าออนไลน์

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย, 25 กันยายน 2566 – เฟดเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส (FedEx Express) บริษัทในเครือเฟดเอ็กซ์ คอร์ปอเรชั่น (FedEx Corp.) (NYSE: FDX) หนึ่งในบริษัทผู้ให้บริการขนส่งสินค้าด่วนที่ใหญ่ที่สุดของโลก ยกระดับประสบการณ์การจัดส่งสินค้าออนไลน์สำหรับบริการ FedEx Ship Manager™ (FSM) ด้วยฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มข้อมูลการจัดส่งได้แบบอัตโนมัติ ให้ลูกค้าสามารถจัดการการจัดส่งสินค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ช่วยสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กและร้านค้าอีคอมเมิร์ซทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (AMEA)

บริการที่เพิ่มเข้ามาใหม่ใน FSM สามารถใช้ได้ใน 63 ประเทศและเขตการปกครองทั่วทั้งภูมิภาค AMEA โดยร้านค้าออนไลน์สามารถทำการจัดส่งสินค้าพร้อมจัดทำเอกสารต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายและประหยัดเวลายิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับการจัดส่งแบบเดิมที่ต้องคอยกรอกข้อมูลเองและใช้เวลาในการแปะฉลากข้อมูลผู้ส่งและผู้รับสินค้า ด้วยฟีเจอร์ใหม่นี้ ลูกค้า เฟดเอ็กซ์ จะสามารถเชื่อมต่อแอคเคาท์จากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopify, BigCommerce, WooCommerce, และ PrestaShop เข้ากับบริการ FSM ผ่านทางเว็บไซต์ fedex.com ส่วนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและมาร์เก็ตเพลสอื่น ๆ
จะสามารถใช้งานได้เช่นเดียวกันในเร็ว ๆ นี้

นอกจากนี้ ลูกค้า เฟดเอ็กซ์ ยังสามารถใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ ได้ดังนี้

  • เชื่อมต่อแอคเคาท์จากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเข้ากับ FSM เพื่อดาวน์โหลดข้อมูลการสั่งซื้อได้แบบอัตโนมัติ
  • สร้างและพิมพ์ฉลากคำสั่งซื้อหลายรายการได้ในครั้งเดียว โดยเชื่อมต่อข้อมูลกับเอกสารการค้าอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในกระบวนการการตรวจสอบสินค้าได้อย่างราบรื่น
  • เชื่อมต่อการอัปเดตหมายเลขติดตามสินค้าและสถานะการจัดส่งสินค้าจากช่องทางการขาย
    ต่าง ๆ โดยจะมีการแจ้งเตือนร้านค้าเมื่อสินค้าได้รับการจัดส่งเรียบร้อยแล้ว

“ในขณะที่ร้านค้าออนไลน์มุ่งสร้างประสบการณ์ในการสั่งซื้อสินค้าที่ราบรื่นให้กับลูกค้าเฟดเอ็กซ์ เองก็มุ่งเน้นไปที่การส่งมอบประสบการณ์การจัดส่งที่โดดเด่น มีประสิทธิภาพ และสะดวกสบายยิ่งขึ้นสำหรับร้านค้าออนไลน์ที่เป็นลูกค้าของเรา” นายซาลิล ชารี รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดและประสบการณ์ของลูกค้า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เฟดเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส กล่าว “ด้วยการยกระดับในครั้งนี้ ธุรกิจขนาดเล็กสามารถใช้บริการระบบการจัดส่งสินค้าแบบอัตโนมัติบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ช่วยประหยัดเวลาในการส่งสินค้า สามารถนำไปใช้พัฒนากลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจต่อไปได้ ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีที่สร้างความเป็นไปได้สำหรับอนาคต เฟดเอ็กซ์ มุ่งมั่นที่จะพัฒนาโซลูชันดิจิทัลระดับโลกเช่นนี้สำหรับลูกค้าของเราอย่างไม่หยุดยั้ง”

เฟดเอ็กซ์ มุ่งมั่นพัฒนาบริการสำหรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ พร้อมเพิ่มโซลูชันที่ช่วยสนับสนุนลูกค้าในหลากหลายด้าน ซึ่งรวมถึงบริการ FedEx Compatible and Alliances programs สำหรับลูกค้าธุรกิจบนมาร์เก็ตเพลส ซึ่งมีตัวเลือกการจัดส่งแบบ Last-mile Delivery ที่หลากหลายและสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ และลูกค้ายังสามารถจัดการได้สะดวกยิ่งขึ้นด้วยฟีเจอร์การส่งข้อความสนทนาโดยตรงและการติดตามสถานะการจัดส่งผ่านบริการ FedEx Delivery Manager International นอกจากนี้ยังมีบริการ Picture Proof of Delivery ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ว่าพัสดุของพวกเขาจะได้รับการจัดส่งถึงปลายทางอย่างปลอดภัย


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Roborock Dyad Pro Combo ใหม่! วางจำหน่ายแล้ว พร้อมโปรโมชั่นพิเศษฉลองเปิดตัวรับส่วนลดสูงสุดถึง 60%

Roborock ผู้นำด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและการผลิตหุ่นยนต์ทำความสะอาดและเครื่องดูดฝุ่นระดับโลก โดยมีการจัดจำหน่ายหุ่นยนต์ทำความสะอาดไปแล้วกว่า 10 ล้านเครื่องทั่วโลก ประกาศว่า Dyad Pro Combo รุ่นใหม่พร้อมให้คนไทยได้สั่งซื้อผ่านร้านค้าอย่างเป็นทางการทั้งบน Shopee และ Lazada รวมไปถึงร้านโชว์รูม Roborock ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลแอทเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 4

Roborock Dyad Pro Combo ได้เปิดตัวที่งาน IFA ที่เมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนีเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา Dyad Pro Combo เป็นเครื่องดูดฝุ่นพื้นเปียกและแห้งพร้อมอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมอีก 4 ชิ้นที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปร่าง และปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามสถานการณ์ 

Roborock Dyad Pro Combo มีกำลังดูด 17,000 PA  และสามารถทำความสะอาดได้ชิดถึง 1 มิลลิเมตรจากขอบและมุม นอกจากนี้ยังสามารถปรับกำลังแรงดูด การไหลของน้ำ และการจ่ายน้ำยาทำความสะอาดได้โดยอัตโนมัติ ครอบคลุมพื้นที่การทำความสะอาดได้มากถึง 300 ตร.ม. ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง และยังมีระบบเป่าแห้งอัตโนมัติด้วยลมร้อนถึง 50 องศาเซลเซียสที่ทำให้แปรงโรลเลอร์แห้งสนิทและไม่มีกลิ่นอับหรือกลิ่นไม่พึ่งประสงค์

Roborock Dyad Pro Combo ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 54,990 บาท แต่พิเศษสุดๆสำหรับลูกค้าที่ซื้อ Roborock Dyad Pro Combo ในวันที่ 25 กันยายน 2566 ผ่านทั้ง Shopee และ Lazada รับส่วนลดวันเปิดตัวถึง 60% ให้ลูกค้าได้เป็นเจ้าของ Roborock Dyad Pro Combo ในราคาเพียง 21,999 บาทเท่านั้น

นอกเหนือจากนั้น พิเศษสุดๆสำหรับ Shopee Payday ในวันที่ 25 กันยายน 2566 ลูกค้าจะได้รับส่วนลดเพิ่มเติมโดยสามารถใส่โค้ดส่วนลด 15MALL925 รับส่วนลด 15% เมื่อช้อปขั้นต่ำตั้งแต่ 0 บาทถึง 800 บาท และ Lazada Payday ในวันที่ 25 กันยายน 2566 ลูกค้าจะได้รับส่วนลดเพิ่มเติมโดยสามารถใส่โค้ดส่วนลด ROBOSEP41 รับส่วนลด 10% เมื่อช้อปขั้นต่ำตั้งแต่ 300 บาทถึง 500 บาท

สำหรับท่านใดที่สนใจ Roborock Dyad Pro Combo สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ในวันที่ 25 กันยายน 2566 หรือหากต้องการลองใช้งานจริงก่อน สามารถไปทดลองใช้งานได้ที่ร้านโชว์รูม Roborock ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลแอทเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 4

Roborock เราเป็นบริษัทเชี่ยวชาญในการวิจัย พัฒนา และผลิตหุ่นยนต์ทำความสะอาดบ้านและอุปกรณ์ทำความสะอาดอื่นๆ บริษัทพัฒนาและผลิตหุ่นยนต์ดูดฝุ่นภายใต้แบรนด์ Roborock รวมถึงสร้างหุ่นยนต์ดูดฝุ่นให้กับ Xiaomi หนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของจีน หุ่นยนต์แต่ละตัวที่เราสร้างขึ้นได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์เดียว คือทำให้ผู้คนมีเวลามากขึ้นในสิ่งที่พวกเขารัก ปัจจุบัน Roborock ให้บริการใน 40 ประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย บริษัทดำเนินงานในสี่แห่ง โดยมีสำนักงานในปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น และฮ่องกง สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ https://us.roborock.com 

สามารถติดตามข่าวสารดีๆ รวมถึงโปรโมชันสุดพิเศษจากโรโบร็อคได้ที่เว็บไซต์ www.roborockthailand.com และเพจเฟซบุ๊ก Roborock Thailand หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ LINE Official: @RoborockThailand หรือโทรฯ 02-114-8195 และ 082-388-1688


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และมูลนิธิชไนเดอร์ อิเล็คทริค ลงนามความร่วมมือกับสอศ.และ มจพ.เพื่อยกระดับ 15 สถาบันการศึกษาทั่วประเทศ

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และมูลนิธิชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้ลงนามในบันทึกความร่วมมือเพื่อมอบชุดฝึกสำหรับการเรียนรู้และการฝึกอบรมทางด้านไฟฟ้าและออโตเมชัน ให้กับ 15 สถาบันการศึกษาทั่วประเทศ โดยจะจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมมาตรฐานด้านการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric Standard Training Center) ที่วิทยาลัยระดับอาชีวศึกษา 14 แห่ง และจะจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric Center of Excellence) ที่สถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยีไทย-ฝรั่งเศส เพื่อผลิตกำลังพลคนรุ่นใหม่ด้านพลังงาน และอุตสาหกรรมอัตโนมัติจำนวนมาก

นายฌอง ปาสคาล ตริคัวร์ ประธานบริหาร ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และประธานมูลนิธิชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวว่า “ตั้งแต่ปี 2552 มูลนิธิชไนเดอร์ อิเล็คทริค พร้อมด้วยโครงการ Youth Education และ Entrepreneurship ได้ก้าวสู่การเดินทางอย่างจริงจังโดยมุ่งมั่นในการให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการพลังงาน ซึ่งเป็นคำมั่นสัญญาที่กำหนดโดยผลกระทบด้านความยั่งยืนของชไนเดอร์ อิเล็คทริค  เป้าหมายของเราก็คือการลดช่องว่างด้านการศึกษาโดยให้การสนับสนุนเรื่องการฝึกอบรมแก่เยาวชน 1 ล้านคน และผู้ประกอบการ 10,000 รายภายในสิ้นปี 2568  โดยมูลนิธิชไนเดอร์ มุ่งเป้าในการมีส่วนร่วมสนับสนุนสังคมคาร์บอนต่ำ และสร้างความทัดเทียมมากยิ่งขึ้น ด้วยการอาศัยความเชี่ยวชาญ และบรรดาพันธมิตรในภูมิภาค เพื่อจุดประกายให้กับคนรุ่นใหม่และชุมชนในวงกว้างเพื่อขับเคลื่อนไปสู่อนาคตที่ดียิ่งขึ้นผ่านการพัฒนาที่ยั่งยืน การร่วมมือระหว่างมูลนิธิชไนเดอร์ อิเล็คทริค และชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย จะให้การสนับสนุนด้วยการมอบสื่อการสอน จัดซื้ออุปกรณ์ด้านเทคนิค และการฝึกอบรมผู้สอน  โดย ทาง Asia Society for Social Improvement and Sustainable Transformation (ASSIST)  จะประสานความร่วมมือในครั้งนี้ ด้วยการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา”

สำหรับประเทศไทยทางมูลนิธิชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีการลงนามความร่วมมือกับสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกในปี 2565 และกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือในวันนี้ ตั้งเป้าฝึกอบรมนักศึกษาระดับอาชีวศึกษาสาขาไฟฟ้าทั่วประเทศให้ได้ 55,000 คน ตลอดระยะเวลาความร่วมมือถึงปี 2570 โดยนักศึกษาแต่ละคนจะต้องได้รับการฝึกอบรมทางด้านไฟฟ้าและออโตเมชันเป็นเวลา 180 ชั่วโมงหรือ 1 ภาคการศึกษา โดยมอบหมายให้ ASSISTเป็นผู้วัดผลการดำเนินการทุกไตรมาศ

นายสเตฟาน นูสส์ ประธานคลัสเตอร์ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา เผยว่า “ทุกวันนี้ทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมต่างมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน คือการทรานส์ฟอร์มไปสู่ดิจิทัล เรามีการรวมกันระหว่างเทคโนโลยี IT และ OT เข้าด้วยกัน และใช้ประโยชน์จากดิจิทัลในการทำงานในกระบวนการต่างๆ เช่น การมอนิเตอร์พลังงาน และกระบวนการต่างๆ เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ในเชิงลึกได้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในเชิงบวก รวมถึงการประหยัดพลังงาน และคาดการณ์แนวโน้มในการซ่อมบำรุงได้ พร้อมทั้งสร้างความยั่งยืนควบคู่กันไป ดังนั้นความท้าทายของผู้เริ่มทำงานคือการทำความเข้าใจกับระบบใหม่ๆ นี้ให้เข้าใจ ก่อนเข้าสู่การทำงานจริง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีความยินดีในการมอบสื่อการสอนที่จะทำให้นักศึกษาสามารถบ่มเพาะความรู้จากเทคโนโลยีของเราเพื่อการทำงานที่มั่นคงในอนาคต”

การส่งมอบเทคโนโลยีที่ใช้งานจริงให้กับสถาบันการศึกษานับเป็นการปูพื้นฐานสำหรับอนาคต ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมมีการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลมากขึ้น ทำให้มีความต้องการบุคลากรมืออาชีพที่รู้ลึกด้านเทคโนโลยีดิจิทัลด้านไฟฟ้า พลังงาน และอุตสาหกรรมมากขึ้น มูลนิธิชไนเดอร์ อิเล็คทริค และชไนเดอร์ อิเล็ค ประเทศไทย มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษา เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ และความเชี่ยวชาญด้านพลังงานและอุตสาหกรรมอัตโนมัติให้กับครูอาจารย์และนักศึกษาทั่วประเทศ เพื่อสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ให้กลายเป็นกำลังหลักที่แข็งแกร่งและเชี่ยวชาญในด้านอุปกรณ์ต่างๆ ที่ทันสมัย พร้อมรับเทรนด์การพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้งในอนาคต


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

แอสตร้าเซนเนก้า จับมือ สภาเภสัชกรรม มุ่งขยายแนวคิดการประยุกต์ใช้นวัตกรรมทางการแพทย์ ต่อยอดจาก Asthma Smart Kiosk สู่ Healthy Lung Smart Care

กรุงเทพฯ  บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย  นาย โรมัน รามอส ประธาน บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) และ นพ.กร ตาลทิพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ สานต่อความมุ่งมั่นในการนำวิทยาศาสตร์มาต่อยอดและพัฒนาเพื่อการวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มโรคหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และโรคมะเร็งปอด ภายใต้โครงการ Healthy Lung Thailand ด้วยการสนับสนุนสภาเภสัชกรรม เพื่อต่อยอดการใช้งานตู้อัจฉริยะ Asthma Smart Kiosk สู่แพลตฟอร์ม Healthy Lung Smart Care ในรูปแบบ web-based และ QR code เพื่อให้ผู้ป่วยและผู้ดูแลทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และมีแผนเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน TeleHealth ของสภาเภสัชกรรมในอนาคตอันใกล้ เพื่อขยายการเข้าถึงผู้ป่วยโรคหืดทั่วประเทศ ภายในงานสัปดาห์เภสัชกรรม ในวันที่ 22-24 กันยายน 2566 ณ ชั้น 5 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ 

แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับหน่วยงานในสังกัดสาธารณสุข สมาคมทางการแพทย์ รวมถึงสภาเภสัชกรรม ผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิ การสนับสนุน Peak Flow Meter อุปกรณ์เพื่อช่วยประเมินสมรรถภาพปอด การนำนวัตกรรมแอปพลิเคชันโทรศัพท์มือถือมาผนวกกับแนวเวชปฏิบัติและองค์ความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่ (Asthma Excellence Mobile Application) และAsthma Collaboration Network หรือ ACN นวัตกรรมเครื่องมือโซเชียลมีเดียที่สนับสนุนการทำงานร่วมกันระหว่างศูนย์ความเป็นเลิศกับหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิในการดูแลผู้ป่วยโรคหืด

เกี่ยวกับ แอสตร้าเซนเนก้า 

แอสตร้าเซนเนก้า (ชื่อย่อหลักทรัพย์ AZN ในตลาดหลักทรัพย์ LSE/ STO/ Nasdaq) เป็นบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก มุ่งเน้นทางด้านการคิดค้น พัฒนา และจำหน่ายยาเพื่อการรักษาโรค โดยเฉพาะในกลุ่มยาโรคมะเร็ง กลุ่มยาโรคหัวใจ ไต และระบบเผาผลาญ และกลุ่มยาโรคทางเดินหายใจ แอสตร้าเซนเนก้า มีฐานอยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร และดำเนินธุรกิจในกว่า 100 ประเทศ และมีผู้ป่วยหลายล้านคนทั่วโลกที่ได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมยาต่างๆ จากแอสตร้าเซนเนก้า สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาไปยังเว็บไซต์ astrazeneca.com และช่องทางทวิตเตอร์ @AstraZeneca 


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เอ็กซอนโมบิล เดินหน้าต่อยอดธุรกิจน้ำมันเครื่องโมบิลและเคมีภัณฑ์

22 กันยายน 2566, กรุงเทพฯ – บริษัท เอ็กซอนโมบิล มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศความมุ่งมั่นที่จะให้บริการทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจของประเทศไทยด้วยผลิตภัณฑ์จากนวัตกรรมคุณภาพ โดยเดินหน้าทำการตลาดผลิตภัณฑ์หล่อลื่น Mobil™ และเคมีภัณฑ์ในประเทศไทยต่อไป ภายใต้แนวคิด “โมบิล เพิ่มความมั่นใจในทุกการเดินทาง”

ชู 3 พันธกิจ ขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อผู้บริโภคและภาคธุรกิจ

คุณมาโนช มั่นจิตจันทรา ผู้จัดการฝ่ายขายผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น กล่าวว่า “ทิศทางการดำเนินธุรกิจของเรา ขับเคลื่อนด้วยพันธกิจ 3 ประการ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั้งส่วนผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ได้แก่ Mobility – เรามอบผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้การขนส่งสินค้าและผู้คนมีประสิทธิภาพมากขึ้น, Productivity – เราช่วยให้ลูกค้าเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และ Sustainability – เราใช้แนวทางที่สมดุลเพื่อความยั่งยืนโดยคำนึงถึงผลกระทบของกิจกรรมที่มีต่อเศรษฐกิจ ชุมชน และสิ่งแวดล้อม”

ผลิตภัณฑ์หล่อลื่นจากโมบิล อยู่คู่กับคนไทยมานานกว่า 90 ปี  และยึดมั่นในการมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพภายใต้มาตรฐานสูงสุด  ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักประเภทยานพาหนะส่วนบุคคล และผลิตภัณฑ์สำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม

ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมคุณภาพระดับโลกที่ได้รับการไว้วางใจ

สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคล Mobil 1™ และ Mobil Super™  ได้รับการออกแบบทางวิศวกรรม เพื่อช่วยเพิ่มความเป็นเลิศด้านการปกป้องเครื่องยนต์ และช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกมั่นใจเพิ่มขึ้นในทุกการเดินทาง ในฐานะน้ำมันหล่อลื่นสังเคราะห์ชั้นนำของโลก แบรนด์และเทคโนโลยี Mobil 1™ ได้รับความไว้วางใจจากทีมแข่งรถชั้นนำ เช่น Oracle Red Bull Racing และ Porsche Racing นอกจากนี้โมบิล ยังกลับมาสู่การแข่งขัน MotoGP อีกครั้งในปีนี้ และประกาศความร่วมมือกับ Red Bull KTM Factory Racing ในฐานะพันธมิตรด้านน้ำมันหล่อลื่นและเชื้อเพลิงระยะยาวของทีม

“ลูกค้าสามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์โมบิล ได้ที่ร้านค้าอะไหล่กว่า 700 แห่งทั่วประเทศ หรือนำรถเข้ารับบริการด้วยผลิตภัณฑ์โมบิล ได้ที่ศูนย์บริการบำรุงรักษารถยนต์กว่า 1,400 แห่ง ซึ่งรวมถึงเครือข่ายการดูแลรถยนต์ภายใต้แบรนด์โมบิล ศูนย์บริการบี-ควิก และ ออโต้วัน” คุณมาโนช กล่าว

สำหรับภาคธุรกิจ ผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่อง Mobil Delvac™ ในฐานะผู้นำด้านผลิตภัณฑ์หล่อลื่นในภาคอุตสาหกรรมที่มอบสมรรถนะที่แข็งแกร่งให้สามารถทำงานในสภาวะหนักหน่วงในทุกสภาพถนน รวมทั้งช่วยยืดระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายน้ำมัน และลดต้นทุนการดำเนินงานอีกด้วย ในขณะที่ Mobil SHC™ ได้รับการออกแบบเพื่อให้การปกป้องสูงสุด และยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ ดังนั้นธุรกิจจึงสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต รักษาสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและลดต้นทุนในการปฏิบัติงาน

มอบสิทธิประโยชน์แก่คู่ค้า ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม

คุณมาโนช กล่าว “สำหรับคู่ค้าร้านค้าอะไหล่ อู่บริการซ่อมรถและเครือข่ายการดูแลรถยนต์ภายใต้แบรนด์โมบิล ท่านสามารถสมัครเข้ารับสิทธิประโยชน์รายการสะสมแต้มรางวัลในรูปแบบดิจิทัล โดยใช้มือถือสแกนคิวอาร์โค้ดใต้ฝาผลิตภัณฑ์โมบิลที่ร่วมรายการเพื่อสะสมแต้มไว้แลกของรางวัลหลากหลายและง่ายดาย”

สำหรับลูกค้าภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม เรานำเสนอการให้คำปรึกษาและแก้ปัญหาด้านการหล่อลื่น Mobil Serv ℠

จากผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรน้ำมันหล่อลื่น เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบำรุงรักษาและความพร้อมใช้งานของเครื่องจักรให้ทำงานอย่างมีประสิทธิผล ลดเวลาสูญเสียที่เครื่องหยุดทำงาน และลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม

ธุรกิจเคมีภัณฑ์ เดินหน้าตอบรับตลาดที่ขยายตัว

นอกจากผลิตภัณฑ์หล่อลื่นโมบิล เพื่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม บริษัท เอ็กซอนโมบิล มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ยังนำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์สารละลายประเภทไฮโดรคาร์บอนที่หลากหลายภายใต้แบรนด์ต่างๆ ของเอ็กซอนโมบิล สำหรับธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ

คุณวิชาญ นิกรมาลากุล ผู้จัดการทั่วไปธุรกิจเคมีภัณฑ์ กล่าวว่า เอ็กซอนโมบิล เคมีในประเทศไทย มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 50 ปี และยังคงให้บริการธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ ในตลาดที่กำลังเติบโตนี้ ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ไฮโดรคาร์บอนของเราก็มีบทบาทสำคัญในผลิตภัณฑ์และการใช้งานในชีวิตประจำวัน

“คนจำนวนมากอาจไม่รู้ว่ากิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การทาสีประตูหน้าบ้าน การใช้น้ำมันทำอาหาร การห่ออาหารด้วยอลูมิเนียมฟอยล์ หรือแม้แต่การเติมกลิ่นหอมให้กับบ้านด้วยเครื่องกระจายกลิ่น จะไม่สามารถพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพหากปราศจากสารละลายไฮโดรคาร์” คุณวิชาญกล่าว “ในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ไฮโดรคาร์บอนชั้นนำของโลก นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจระดับโลกของเราได้อุทิศตนเพื่อพัฒนาความเป็นเลิศในการปฏิบัติงาน ปรับปรุงประสิทธิภาพและสมรรถนะ และมูลค่าในระยะยาวเพื่อภาคธุรกิจและผู้บริโภค โดยใช้ช่องทางทั้งทางตรงและทางอ้อม เรานำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์สารละลายประเภทไฮโดรคาร์บอนที่หลากหลายภายใต้แบรนด์ Isopar™, Exxsol™,  Solvesso™, และผลิตภัณฑ์แบรนด์พิเศษอื่นๆ ที่คิดค้นมาสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมเฉพาะทาง”

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.mobil.co.th และ www.exxonmobilchemical.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว Innovation Hub Bangkok รวมนวัตกรรมโซลูชั่นด้านความยั่งยืนและดิจิทัล

ตลอดปีที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่หลายองค์กรต่างเดินหน้ารับมือกับผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศ โดยมีบริษัทมากกว่า 4,000 แห่งทั่วโลกให้คำมั่นสัญญาว่าจะบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอน ขณะที่ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้คิดค้นนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องในการนำเสนอคุณค่าที่แตกต่าง เพื่อสนับสนุนองค์กรต่างๆ ไปสู่การสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจควบคู่กันไปด้วยดิจิทัลโซลูชั่นแบบครบวงจร

นายสเตฟาน นูสส์ ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ดูแลประเทศไทย เมียนมา และลาว ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยว่า “เราขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ด้วยนวัตกรรมโซลูชั่นแบบบูรณาการสำหรับบ้าน อาคาร ศูนย์ข้อมูล โครงสร้างพื้นฐาน และอุตสาหกรรม ด้วยโซลูชั่นทั้งฮาร์ดแวร์ คืออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันได้ และซอฟต์แวร์ เพื่อใช้ในการมอนิเตอร์ และตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ทำให้เรามีอำนาจในการควบคุมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และคาดการณ์การซ่อมบำรุง รวมถึงการลดคาร์บอน และก๊าซเรือนกระจก โดยมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนคือการสร้างความยั่งยืนให้กับโลก และธุรกิจ การเปิดตัว Innovation Hub Bangkok ในวันนี้ นับเป็น Innovation Hub ที่รวมโซลูชั่นด้านดิจิทัล ตอบโจทย์ทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อการทรานส์ฟอร์มสู่ระบบดิจิทัลให้กับธุรกิจที่ต้องการมุ่งไปสู่ความยั่งยืน”

 Innovation Hub Bangkok ตั้งขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทในกรุงเทพฯ ถนนรัชดาภิเษก โดยจัดแสดงโซลูชั่นสำหรับแต่ละอุตสาหกรรมต่างๆ ครอบคลุม ที่อยู่อาศัย อาคาร โรงงานอุตสาหกรรม ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบกริดและอินฟาสตรัคเจอร์ต่างๆ ดังนี้

Industries of the Future เทคโนโลยีผสานรวมระหว่าง IT และ OT เข้าด้วยกัน มอบความยั่งยืนและยืดหยุ่นผ่านระบบอัตโนมัติ บนแพลตฟอร์มเปิด เน้นซอฟต์แวร์เป็นศูนย์กลาง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น ซึ่งมีตัวอย่างตัวต้นแบบการใช้งานโดยโรงงานของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ซึ่งใช้โซลูชันและบริการ EcoStruxure™ รวมถึงเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ Modicon, Foxboro, Triconex, TeSys, Altivar และ Harmony รวมถึงซอฟต์แวร์ AVEVA

Data Centers of the Future นำเสนอโซลูชั่นตั้งแต่ดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ไปจนถึงไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ พร้อมรองรับการทำงานในรูปแบบเอดจ์คอมพิวติ้ง พร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะต่างๆ ที่ช่วยรองรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที เช่น การมอนิเตอร์ การควบคุมระยะไกล การควบคุมความเย็น และการไหลเวียนของอากาศ รวมถึงซอฟต์แวร์เฉพาะของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่สามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลในดาต้าเซ็นเตอร์ และเครือข่ายได้ทั้งหมด ช่วยรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจ และลดต้นทุนทางธุรกิจ

Buildings of the Future มาพร้อมเทคโนโลยีมาตรฐาน KNX โดยสามารถเชื่อมต่อกับโซลูชั่นสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับอาคารได้อย่างไร้ขีดจำกัด ทำให้การออกแบบอาคารในการรองรับการใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ เช่น อาคารสำนักงาน ที่เน้นเรื่องการใช้งานและประหยัดพลังงานเป็นหลัก มีความยืดหยุ่น ให้ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์ค่าพลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งในโซนออฟฟิศและส่วนกลางได้อย่างครบวงจรในหนึ่งเดียว

นอกจากนี้ โซลูชั่นสำหรับอาคารของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังสามารถตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจโรงแรม เน้นที่ความสะดวกสบายและประสบการณ์ที่ดีของแขกที่เข้ามาพัก ขณะที่กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาล สามารถใช้โซลูชั่นจัดการอาคารที่ออกแบบมาเพื่อเน้นความปลอดภัยและความอุ่นใจของคนไข้ สามารถผสานรวมกับสิ่งอำนวยความสะดวกทางการแพทย์อื่นๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นห้องปฏิบัติการ ห้องผ่าตัด ห้องพักผู้ป่วย ช่วยให้ผู้ดูแลสามารถวิเคราะห์และควบคุมการทำงานของระบบในแต่ละห้องได้ตามความต้องการ

Homes of the Future แสดงนวัตกรรมสำหรับบ้านของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค โซลูชั่นโฮมออโตเมชั่น เป้าหมายคือการทำให้บ้านมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากโซลูชันพลังงานในบ้านที่รองรับอนาคตและปรับขนาดได้ ตามความต้องการของผู้ใช้งานในบ้าน ช่วยตรวจสอบ ควบคุม และทำงานอัตโนมัติ พร้อมช่วยประหยัดการใช้พลังงาน พร้อมกันนี้ ยังมีโซนนำเสนอผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค สำหรับบ้าน อาทิ สวิตช์ไฟ เต้ารับ เซอร์กิตเบรกเกอร์ ที่มาพร้อมความปลอดภัยของผู้ใช้งานเป็นหลัก

Grids of the Future โซลูชั่นช่วยในการบริหารจัดการพลังงาน และกริดอัจฉริยะในแบบครบวงจร ทั้งซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ นอกจากนี้ ยังมีมุมนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด SM Airset สวิตช์เกียร์ (Switchgear) รุ่นใหม่ล่าสุดแบบโมดูลาร์ ไร้สาร SF6 ที่ส่งผลต่อสภาวะโลกร้อน

“นอกจากนี้ เรายังพร้อมให้คำปรึกษาในการปรับใช้ระบบการจัดการพลังงานและระบบดิจิทัลในอุตสาหกรรมต่างๆ ในการดำเนินงานขององค์กร ปัจจุบัน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีพนักงานมากกว่า 130,000 คนทั่วโลก ในประเทศไทยมีพนักงานกว่า 1,500 คน ที่พร้อมให้การต้อนรับองค์กรต่างๆ ในการเข้าเยี่ยมชม Innovation Hub Bangkok เพื่อเรียนรู้นัวตกรรม โซลูชั่นด้านดิจิทัลเพื่อนำไปปรับใช้ในองค์กร เพื่อสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนต่อไป” นายสเตฟาน กล่าวสรุป


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เครื่องพิมพ์ เอปสัน ได้รับฉลากเขียว การันตีเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นายฤทธิไกร เตชเมธากุล (ขวา) ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายขายลูกค้าองค์กรและภาครัฐ บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เป็นตัวแทนบริษัทฯ รับมอบเกียรติบัตรจาก ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ในพิธีมอบเกียรติบัตรสำหรับผู้ได้รับการรับรองฉลากเขียว (Green Label) ประจำปี 2565-2566 โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์ของเอปสัน ได้รับรางวัลในครั้งนี้ ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของเอปสันที่ยึดหลักความยั่งยืน ตั้งแต่ขั้นตอนกำหนดแนวคิด ออกแบบ ไปจนเสร็จสิ้นกระบวนการผลิต เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพควบคู่กับการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พิธีดังกล่าวจัดขึ้นภายใต้งาน “30 ปี TEI ก้าวไปกับภาคี สู่สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน” ณ ห้องแกรนด์ ริชมอนด์ สไตลิซ คอนเวนชั่น โฮเทล จังหวัดนนทบุรี เมื่อเร็วๆ นี้


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อีริคสันนำนวัตกรรม 5G ล่าสุด มาจัดแสดงที่งาน Imagine Live Thailand 2023

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) เปิดงาน Imagine Live Thailand 2023 นำยูสเคสและนวัตกรรมเทคโนโลยี 5G ขั้นสูง ที่เปิดตัวในงาน Mobile World Congress ณ เมืองบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ มาจัดแสดงในประเทศไทย โดยมีเทคโนโลยีและโซลูชันไฮไลท์ล่าสุด ประกอบด้วย โซลูชันสื่อสารวิทยุประหยัดพลังงาน (Energy Efficient Radio Solutions), การสื่อสารผ่านโฮโลแกรม (Holographic Communications), เทคโนโลยี Digital Twin และระบบเครือข่ายอัตโนมัติ (Network Automation) รวมถึงเทคโนโลยีอื่น ๆ อีกมากมายที่นำมาจัดแสดงไว้ภายในงาน

หนึ่งในไฮไลท์ที่นำมาจัดแสดง คือ ผลิตภัณฑ์ Radio 4466 ที่สามารถรองรับย่านความถี่ 1800MHz, 2100MHz และ 2300MHz ที่มีในประเทศไทย โดยผลิตภัณฑ์นี้เป็น Triple-Band Radio 4466 รุ่นล่าสุดของอีริคสัน ที่มีความสามารถเสริมศักยภาพการให้บริการ 4G และ 5G ข้ามย่านความถี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยผลิตภัณฑ์เดียวแก่ผู้ให้บริการไทย และยังช่วยประหยัดพลังงาน ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน รวมถึงจำนวนสถานีฐาน ซึ่ง Radio 4466 ยังอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Ericsson Radio Access Network ที่สามารถจัดการความท้าทายในการติดตั้งสถานีฐานพร้อมช่วยประหยัดพลังงานเป็นอย่างมาก

ในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้ในประเทศไทย อีริคสันมุ่งนำเสนอความเชี่ยวชาญระดับโลกและความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนลูกค้าในประเทศไทยให้ก้าวไปสู่ผู้นำ 5G ชั้นแนวหน้า มร.อิกอร์ มอเรล ประธาน บริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “การสร้างเครือข่าย 5G ประสิทธิภาพสูงและเน้นการประหยัดพลังงานเป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์สำคัญของเราที่ต้องการสร้างเครือข่ายในอนาคตที่มีความยืดหยุ่นและยั่งยืน ด้วยพอร์ตโฟลิโอการใช้ 5G​​ที่เพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานของอีริคสัน เรากำลังจัดการกับหนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของเรา นั่นคือการลดการใช้พลังงานของเครือข่ายและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในขณะที่การใช้งาน 5G มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น เป้าหมายของเราคือการไปสู่อนาคตคาร์บอนต่ำพร้อมกับการเร่งประสบการณ์ 5G” อีริคสันลงทุนกับการวิจัยและพัฒนาปีละประมาณ 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 18% ของยอดขาย

ประเทศไทยคือผู้นำคลื่น 5G อย่างชัดเจน จากการคาดการณ์ของอีริคสันระบุ ช่วงสิ้นปี 2565 พบว่า 5G ครอบคลุมมากกว่า 85% ของประชากรทั้งหมด ขณะที่ปริมาณการใช้ข้อมูลต่อการสมัครสมาชิกในประเทศไทยคาดว่าภายในปี 2568 จะเติบโตเพิ่มเป็นเกือบ 80 กิกะไบต์ต่อเดือน เพิ่มจาก 32.7 กิกะไบต์ต่อเดือน ในปี 2565 และคาดว่าในปี 2571 จะเพิ่มขึ้น 3 เท่า โดยคาดว่า 5G จะสามารถรองรับความต้องการประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นของเครือข่ายได้

“ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีความไดนามิกสูง และมีผู้บริโภคที่เข้าใจเทคโนโลยีสารสนเทศและใช้งานมากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ด้วยอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรม 4.0 ในประเทศตามเป้าหมาย Digital Thailand ของรัฐบาล ทำให้การเชื่อมต่อต้องมีความมั่นใจได้ ปลอดภัยและแข็งแกร่ง โดยความซับซ้อนที่เครือข่ายจำเป็นต้องจัดการทำให้เกิดความต้องการใหม่ ๆ ในการดำเนินงานของเครือข่าย การดึงศักยภาพจากเทคโนโลยี อย่างเช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML) มาปรับใช้จะช่วยผู้ให้บริการด้านการสื่อสารในประเทศไทยสามารถจัดการความซับซ้อนของเครือข่ายที่กำลังเติบโตได้ ตามที่เราเห็นการพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ ๆ บนเครือข่าย 5G” มร.อิกอร์ กล่าวเพิ่มเติม

แนวทาง Zero-Touch Operation กำลังกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยอำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยของอนาคตการดำเนินงานบนเครือข่ายที่ต้องมีความน่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพ ซึ่ง Zero-Touch ช่วยผู้ให้บริการสามารถจัดการเครือข่ายโดยใช้ข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อน คาดการณ์ล่วงหน้าและดำเนินการแบบเชิงรุกได้มากขึ้น โดยระบบเครือข่ายอัตโนมัติยังช่วยลดกิจกรรมที่ต้องดำเนินการด้วยตนเองลง และทำให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือมีความคล่องตัวในการทำธุรกิจมากขึ้น

ในฐานะผู้นำด้านไอซีทีระดับโลก อีริคสันกำลังใช้ศักยภาพจากบริการบรอดแบนด์มือถือขั้นสูง เทคโนโลยี Fixed Wireless Access (FWA) และเทคโนโลยี 5G มารองรับการเติบโตโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทย “เรากำลังใช้ศักยภาพทั้งในด้านความเชี่ยวชาญระดับโลกและความเป็นผู้นำเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนลูกค้าในประเทศไทย ก้าวไปเป็นผู้นำแถวหน้า 5G ผ่านความร่วมมือในภาคอุตสาหกรรมและพันธมิตรของเราในประเทศไทย และเรายังมุ่งมั่นเร่งสร้างนวัตกรรมและระบบนิเวศ 5G ที่แข็งแกร่งในประเทศไทย” มร.อิกอร์ กล่าวเพิ่ม

อีริคสันเป็นผู้นำเครือข่าย 5G ระดับโลก ปัจจุบัน บริษัทฯ เปิดให้บริการเครือข่าย 5G ไปแล้วจำนวน 152 เครือข่าย ใน 65 ประเทศ บริษัทฯ ยังได้รับการจัดอันดับเป็นผู้นำอันดับ 1 ในรายงาน Frost Radar™ 5G Network Infrastructure Market 2023 เป็นปีที่สามติดต่อกัน แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำ 5G Radio Access Networks (RAN), Transport networks, และ Core Networks


Exit mobile version