Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

MSC คว้า 3 รางวัลแห่งปีจากงาน Cisco Thailand & Myanmar Partner Appreciation Event 2023

บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MSC ผู้นำในธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศครบวงจร คว้า 3 รางวัลแห่งปีจาก ซิสโก้ ได้แก่ รางวัล “FY23 Enterprise Networking Partner of The Year”, “FY23 Top Year Over Year Growth Partner of The Year” (First Tier Partner) และ “Cisco Reimagine the Firewall – Partner Perfect Pitch” Contest  ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 28-30 กันยายน 2566 ณ โรงแรม เลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท จังหวัดเชียงราย

โดย คุณสุรเดช เลิศธรรมจักร์ กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจซอฟต์แวร์โซลูชั่น ขึ้นรับรางวัล “FY23 Enterprise Networking Partner of The Year , คุณชัยวัฒน์ ลิขิตจรรยากุล รองกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจซอฟต์แวร์โซลูชั่น ขึ้นรับรางวัล “FY23 Top Year Over Year Growth Partner of The Year” (First Tier Partner) , คุณคชพงษ์ ชุติกานนท์ Senior Sales Executive และ คุณชาริณีย์ อิสระพันธุ์ดัง Support Engineer ขึ้นรับรางวัล “Cisco Reimagine the Firewall – Partner Perfect Pitch” Contest  โดยรับมอบรางวัลจาก คุณวีระ อารีรัตนศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิสโก้ ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัดMr. Kelvin Looi Director, Asean Enterprise Networking Sales, Ms. Bee Kheng Tay Vice President Theatre Leader, Mr. Gil de Bernabe COO, Vice President of Sales Strategy & Operations, Asia Pacific, Japan & Greater China at Cisco ร่วมแสดงความยินดีในงาน Cisco Thailand & Myanmar Partner Appreciation Event 2023 จัดขึ้นเพื่อขอบคุณ และมอบรางวัลให้แก่พาร์ทเนอร์ และตัวแทนจำหน่าย ที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยม ตอกย้ำการเป็นบริษัทเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ “เราจะให้บริการอย่างเป็นเลิศแก่ลูกค้าด้วยโซลูชั่นไอทีที่ดีที่สุด” ที่พร้อมมุ่งมั่นร่วมมือเพื่อนำเทคโนโลยี และความเชี่ยวชาญ เข้าสนับสนุนเพื่อความเติบโตทางธุรกิจของลูกค้าต่อไป

บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2529 ประกอบธุรกิจในการให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยจัดจำหน่าย คอมพิวเตอร์ ฮาร์แวร์ ซิสเต็มส์ซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชั่นซอฟต์แวร์ วัสดุสิ้นเปลืองที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และพัฒนาโปรแกรมตามความต้องการลูกค้า รวมไปถึงการให้บริการด้านความปลอดภัยของเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างครบวงจร


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เดินเกมรุกอีคอมเมิร์ซดันคู่ค้าโต พร้อมผลักดันดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น ภายใต้กลยุทธ์และแนวคิดการบริหาร

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เดินเกมรุกอีคอมเมิร์ซอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น พร้อมเน้นย้ำกลยุทธ์การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับคู่ค้า ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการซื้อขายผลิตภัณฑ์ (End-to-end customer experience) ตั้งเป้าช่วยคู่ค้าทั้งรายใหญ่ และรายย่อยเพิ่มยอดขาย พร้อมสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยการขยายช่องทางการขายออนไลน์สำหรับคู่ค้า B2ผ่านทางเว็บไซต์ https://eshop.se.com/th/

การเปิดเว็บไซต์ดังกล่าวทำให้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค สามารถเข้าถึงกลุ่มคู่ค้าธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็กที่มีอยู่ในตลาดได้อย่างทั่วถึง ทั้งยังช่วยเพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์ให้ตอบสนองความต้องการของคู่ค้าได้ครบครันมากยิ่งขึ้น โดยครอบคลุมตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ขนาดเล็กถึงใหญ่ เช่น ผลิตภัณฑ์สำหรับที่อยู่อาศัย อาคาร และธุรกิจขนาดเล็ก รวมถึงอุปกรณ์สำรองไฟและป้องกันไฟกระชาก กลุ่มผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าแรงดันต่ำและระบบไฟฟ้า กลุ่มระบบอัตโนมัติและระบบควบคุมในอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังมีอะไหล่ ซอฟต์แวร์ศูนย์ข้อมูล งานบริการหลังการขาย และการขยายความคุ้มครองด้านผลิตภัณฑ์อีกด้วย

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นด้านการบริหารจัดการพลังงาน และระบบออโตเมชั่น มีแพลตฟอร์ม “EcoStruxure” ซึ่งเป็นระบบเปิดด้าน IoT 3 ระดับ ตั้งแต่ระดับผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า Connected Product ที่สามารถเชื่อมต่อแต่ละผลิตภัณฑ์ได้ ระดับต่อมาคือระบบควบคุมและการมอนิเตอร์ ที่เรียกว่า Edge Control และระดับสุดท้ายคือระบบการวิเคราะห์ และบริการ ที่เรียกว่า Apps, Analytics & Services โดยแพลตฟอร์มทั้ง 3 ระดับทำงานสอดประสานกัน มีโซลูชั่นครอบคลุมตั้งแต่บ้านพักอาศัย อาคารพาณิชย์ ดาต้าเซ็นเตอร์ โรงงาน และโครงข่ายไฟฟ้า โดยผลิตภัณฑ์บางส่วนของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้มีการนำร่องขายออนไลน์ ทั้งในรูปแบบ B2B (คู่ค้ารายใหญ่ไปสู่รายย่อย) และ B2C (คู่ค้ารายย่อยไปสู่ผู้บริโภค)

คุณทัศนารมย์ กูเดียร์ รองประธานฝ่ายขาย ธุรกิจดิจิตอล ประจำภาคพื้นอาเซียนรวมถึงประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น และไต้หวัน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวว่า “ในปัจจุบัน ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าพฤติกรรมการใช้ชีวิต และการทำงานของผู้คนส่วนใหญ่เปลี่ยนไป โดยมีการใช้ประโยชน์จากช่องทางดิจิทัลในการทำงานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่บ้าน ประชุมออนไลน์ สัมมนาออนไลน์ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีการทำงานไปแล้ว แม้แต่การปิดการขาย ก็สามารถทำได้ในรูปแบบออนไลน์ด้วยเช่นกัน สิ่งเหล่านี้สร้างความสะดวก ช่วยลดเวลาในการเดินทาง หรือแม้กระทั่งการใช้ชีวิตในชีวิตประจำวัน คนส่วนใหญ่ก็นิยมสั่งซื้อสินค้า และอาหารในรูปแบบออนไลน์เพิ่มขึ้น ดังนั้น ช่องทางดิจิทัลจึงเป็นช่องทางสำคัญที่ช่วยเปิดโอกาสในการเติบโตให้กับบริษัทและคู่ค้า ทั้งคู่ค้ารายใหญ่ อาทิ ตัวแทนจำหน่าย และคู่ค้ารายย่อย เช่น ร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้า ผู้รับประกอบตู้ไฟฟ้า ช่างไฟฟ้า โดยจะช่วยเพิ่มโอกาสให้คู่ค้ารายใหญ่สามารถปิดการขายกับคู่ค้ารายย่อยได้มากขึ้น ขณะที่คู่ค้ารายย่อยก็สามารถมองหาผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการและครบครันได้ง่ายขึ้นเช่นกัน นั่นจึงเป็นที่มาที่บริษัทสร้าง eshop ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เพื่อช่วยให้คู่ค้าของเราสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ง่าย ทุกที่ทุกเวลา ทั้งยังสามารถสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ได้อย่างสะดวกสบายในทุกๆ อุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ หากคู่ค้ามีข้อสงสัยสามารถแชตถามได้ทันที โดยมีเจ้าหน้าที่ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่มีความเชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาเสมือนมีเพื่อนคู่คิดทางธุรกิจแบบส่วนตัว นับเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้คู่ค้า พร้อมก้าวไปสู่การซื้อขายผลิตภัณฑ์ออนไลน์แบบไร้รอยต่อในยุคดิจิทัล 4.0 นี้”

คุณทัศนารมย์ เผยต่อว่า “เว็บไซต์ eshop ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีความพิเศษที่ไม่ได้ผูกขาดกับคู่ค้ารายใดรายหนึ่ง โดยคู่ค้ารายย่อยสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์โดยตรงจากตัวแทนจำหน่ายที่ตนเองติดต่อซื้อขายอยู่เป็นประจำได้ผ่านเว็บไซต์ดังกล่าว”

นอกจากนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังช่วยคู่ค้าในระบบให้ขายผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้น โดยการออกแคมเปญส่งเสริมการขาย ทั้งการสร้างแบรนด์โดยชไนเดอร์ อิเล็คทริคเอง การแนะนำผลิตภัณฑ์ผ่าน Influencer รวมถึงการจัดแคมเปญโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในช่องทางโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ ยูทูป โดยเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์ สวิตช์ไฟ เบรกเกอร์ เครื่องสำรองไฟ อีวีชาร์จเจอร์ และผลิตภัณฑ์สำหรับอุตสาหกรรม เช่น ปุ่มกดและอุปกรณ์อื่นๆ ด้านไฟฟ้าสำหรับโรงงาน  และมีการจัดกิจกรรมสร้างความเคลื่อนไหวในตลาดออนไลน์อย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นยอดขายให้คู่ค้าในภาพรวมของตลาดอุปกรณ์ไฟฟ้า

นอกจากนี้ยังมีการนำ LINE แอปพลิเคชัน มาผสานกับการทำงานของทีมขาย การนำระบบ Virtual Sales มาช่วยเพิ่มศักยภาพการขาย และตอบสนองความต้องการของคู่ค้าให้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการ พร้อมปิดการขายผ่านทางออนไลน์ ทีมขาย Virtual Sales จะนำเสนอขายผลิตภัณฑ์ในรูปแบบไฮบริด ทั้งการประชุมทางวิดีโอ การโทรทางออนไลน์ หรือนัดพบคู่ค้า และสามารถปิดการขายผ่านทางเว็บไซต์ eshop ชไนเดอร์ อิเล็คทริค หากคู่ค้าต้องการข้อมูลผลิตภัณฑ์ หรือรูปภาพเพิ่มเติม ทีมขาย Virtual Sales จะติดต่อคู่ค้าผ่านทางไลน์ @SE-TH ชไนเดอร์ อิเล็กทริค นอกจากนี้ คู่ค้ายังสามารถดาวน์โหลดแคตตาล็อกผลิตภัณฑ์ พร้อมรับสิทธิพิเศษดีๆ มากมายเมื่อลงทะเบียนผ่านไลน์ อาทิ โปรโมชั่นพิเศษ สะสมคะแนนจากยอดสั่งซื้อผลิตภัณฑ์แลกของรางวัล และสิทธิพิเศษในการร่วมงานสัมมนาออนไลน์กับ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้ก่อนใคร

“ในทุกผลิตภัณฑ์และการบริการของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เราคำนึงถึงความยั่งยืนของโลก แม้แต่เรื่องการเพิ่มช่องทางการขายผลิตภัณฑ์ผ่านทางออนไลน์ การผสานเทคโนโลยีเข้ากับการนำเสนอขายผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงบรรจุภัณฑ์ที่เราส่งตรงถึงคู่ค้า และผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นที่ออกแบบและผลิต เราก็คำนึงถึงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ เพื่อสนองตอบสนองนโยบายหลักของเราในการสร้างความยั่งยืนของโลก ควบคู่ไปกับธุรกิจที่ยั่งยืน ของทั้งชไนเดอร์ อิเล็คทริค เอง และคู่ค้าในอีโคซิสเต็มส์” คุณทัศนารมย์ กล่าวทิ้งท้าย


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

AMD เปิดตัวโปรเซสเซอร์ AMD Threadripper ใหม่ สำหรับงานด้านเวิร์คสเตชั่น

AMD เปิดตัวโปรเซสเซอร์ AMD Ryzen Threadripper PRO 7000 WX-Series และ AMD Ryzen Threadripper 7000 Series ผลิตภัณฑ์กลุ่มเวิร์คสเตชั่นรุ่นใหม่ นำเสนอประสิทธิภาพการประมวลผลและการประหยัดพลังงานที่ยอดเยี่ยมให้กับคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป เพื่อเพิ่มความเร็วเวิร์คโฟลว์งานด้านครีเอทีฟที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในโลก รวมไปถึงเพิ่มความเร็วด้านการประมวลผลของกราฟิกการ์ดและการเทรนนิ่ง AI

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณณ์ใหม่เวิร์คสเตชั่น:

  • โปรเซสเซอร์ Ryzen Threadripper PRO 7000 WX-Series สร้างขึ้นโดยมุ่งเน้นในด้านประสิทธิภาพการประมวลผลที่เหนือชั้นและแพลตฟอร์มฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่เหนือกว่าของรุ่นก่อนหน้า เพื่อเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับศิลปิน สถาปนิก วิศวกร และมืออาชีพในด้านต่าง ๆ ที่ต้องการประสิทธิภาพการประมวลผล ความน่าเชื่อถือ ความสามารถในการขยาย และความปลอดภัยในระดับสูง
  • โปรเซสเซอร์ Ryzen Threadripper 7000 Series มอบประสิทธิภาพด้านการประมวลผลที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ให้กับผู้ใช้คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป ช่วยประหยัดเวลาให้กับผู้ใช้งานด้านครีเอทีฟระดับ  มืออาชีพ พร้อมประสิทธิภาพด้านการประมวลผลที่ดีที่สุด

โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen Threadripper PRO 7000 WX-Series และ AMD Ryzen Threadripper 7000 Series จะพร้อมวางจำหน่ายภายในปีนี้สำหรับลูกค้ากลุ่ม DIY ผ่านพันธมิตร SI และ OEM ชั้นนำทั้ง Dell, Lenovo และ HP

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์โปรเซสเซอร์สามารถศึกษาได้ผ่านทางข่าวประชาสัมพันธ์ คลิก และวิดีโอ คลิก


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

TMA จัดงานขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตที่ดี ต่อยอดงานวิจัยและสตาร์ทอัพไทยและเทศ สู่การจับคู่ธุรกิจ 14 พ.ย.นี้

กรุงเทพฯ/ 19 ตุลาคม 2566 – เพราะเทคโนโลยีและนวัตกรรมคือแรงขับเคลื่อนสำคัญสู่อนาคต สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ร่วมกับมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ เตรียมจัดงานสัมมนาด้านเทคโนโลยีครั้งยิ่งใหญ่ Outstanding Technologist Awards and TechInno Forum 2023  นำเสนอเมกะเทรนด์เกี่ยวกับ Healthy Living Tech และการขับเคลื่อน R&D ที่ผสานความเข้าใจลูกค้า สู่รายได้หลักหมื่นล้านของแบรนด์ชั้นนำของโลกและของไทย พร้อมจัด TechInno Mart นำผลงานด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากไทยและต่างประเทศมาให้จับคู่ธรกิจ รวมถึงนำเสนอผลงานผู้ได้รับรางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่นและนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ประจำปี พ.ศ. 2566 เพื่อจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ มุ่งสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงภาครัฐ เอกชน และภาคการศึกษา และที่สำคัญเพื่อดันนวัตกรรมงานวิจัยไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ  งานนี้ CEO, เจ้าของกิจการ, CTO และผู้บริหารที่รับผิดชอบการสร้าง New S-Curve ต้องไม่พลาด พบกันวันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน 2566 ที่โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ

งานสัมมนากับเนื้อหาตอบโจทย์ธุรกิจ

งานสัมมนา TechInno Forum 2023 จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “Healthy Living” ว่าด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาตอบสนองการใช้ชีวิตให้มีสุขภาพดี โดยกิจกรรมภายในงาน แบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ

  • การนำเสนอข้อมูลความรู้ในหัวข้อ “เมกะเทรนด์” โดยบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจชั้นนำระดับโลก อย่าง ฟรอส์ท แอนด์ ซัลลิวัน  เจาะลึกนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพที่ดีกว่า ก่อนจะมาเป็น “อาหาร
    เพื่อชีวิต” โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาของเนสท์เล่ ผู้ผลิตอาหารชั้นนำของโลก  และการคิดนอกกรอบจากผลิตภัณฑ์ก่อสร้างสู่สมาร์ทโซลูชั่นที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในหลากมิติ แตกยอดธุรกิจสู่รายได้และอนาคต
    ที่ยั่งยืน โดยบริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด
  • Techno Mart การจัดแสดงนำเสนอเทคโนโลยี และผลงานนวัตกรรมที่พร้อมนำไปใช้งานทางธุรกิจจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษาของไทยและต่างประเทศ รวม 17 ผลงาน
  • การนำเสนอผลงานนวัตกรรมเทคโนโลยีโดยนักเทคโนโลยีดีเด่น และนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ที่ได้รับรางวัลประจำปี พ.ศ. 2566
  • TechInno Community เพื่อการสร้างโอกาสและเครือข่ายทางธุรกิจ การจับคู่ธุรกิจระหว่างสตาร์ทอัพและองค์กรชั้นนำ การแสวงหาแหล่งสนับสนุนเงินทุน เพื่อให้เกิดการต่อยอดไปสู่เชิงพาณิชย์

ดร. ธัญญวัฒน์ เกษมสุวรรณ ผู้อำนวยการกลุ่ม ด้านการพัฒนาและความร่วมมือทางธุรกิจ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และประธานกลุ่มบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) กล่าวว่า “Healthy Living เป็นเมกะเทรนด์ในโลกอนาคตที่กำลังถูกจับตามอง เป็นมาตรฐานการใช้ชีวิตที่ต้องการมีสุขภาพที่ดีและมีความสมดุลทั้งกายและใจ  ซึ่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมจะมีส่วนสำคัญ อย่างยิ่งต่อการออกแบบการใช้ชีวิตให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น การจัดงานในปีนี้จึงมุ่งเน้นให้สามารถนำงานวิจัยไปพัฒนาต่อยอดสู่การใช้งาน เราจึงเปิดเวทีให้นักวิจัยที่ประสบความสำเร็จมาแบ่งปันผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ นวัตกรรมและเทคโนโลยี และสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ในการนำองค์ความรู้และผลงานวิจัยเหล่านี้ไปต่อยอดและพัฒนาให้เกิดประโยชน์แก่คนในวงกว้าง”

รางวัลสำหรับนักเทคโนโลยีที่มีผลงานโดดเด่น

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ยังได้ร่วมกับมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงานแสดงความยินดีกับนักเทคโนโลยีดีเด่นและนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ เป็นประจำทุกปี โดยในปีนี้ นักวิจัยไทยที่โชว์ผลงานนวัตกรรมสุดสร้างสรรค์และคว้ารางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่น ได้แก่

ศาสตราจารย์ นพ. สุรเดช หงส์อิง, รองศาสตราจารย์ นพ. อุษณรัสมิ์ อนุรัฐพันธ์ และคณะ จากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล จากผลงานการค้นพบและวิจัยการพัฒนานวัตกรรมการรักษามะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดที่ผ่านการแปลงพันธุกรรมตัวรับแอนติเจนจำเพาะ chimeric antigen receptors T-cell (CAR-T) ด้วยเทคโนโลยีเซลล์และยีนบำบัด

สำหรับรางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ประจำปี พ.ศ. 2566 จำนวน 2 รางวัล ได้แก่

  1. ดร. ภก. นิติพล ศรีมงคลพิทักษ์ สังกัดศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ผู้ค้นพบและวิจัยเทคโนโลยีฐานในการสังเคราะห์ยา
  2. ผศ.ดร.กนกวรรณ กองพัฒน์พาณิชย์ สังกัดสำนักวิชาวิทยาการโมเลกุล สถาบันวิทยสิริเมธี ผู้ค้นพบและวิจัยโครงข่ายโลหะอินทรีย์เพื่อใช้เป็นวัสดุดูดซับโลหะหนักในผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม

น.สพ. รุจเวทย์ ทหารแกล้ว ประธานกรรมการโครงการรางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่น มูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “มูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์
ขอแสดงความยินดีกับนักวิจัยผู้ชนะรางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่น และรางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ทุกท่าน และขอขอบคุณที่ได้มุ่งมั่นพัฒนาผลงานที่ยอดเยี่ยม ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผลงานวิจัยเหล่านี้จะสามารถนำไปใช้งาน และต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้ต่อไป เทคโนโลยีเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทย ซึ่งภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันส่งเสริมและสนับสนุน เพื่อพัฒนาและต่อยอดการค้นพบเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป”

งาน Outstanding Technologist Awards and TechInno Forum 2023 ภายใต้หัวข้อ “Healthy Living” จะจัดขึ้นในวันที่ 14 พฤศจิกายน ศกนี้ ที่แมกโนเลีย บอลรูม โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ โดยได้รับการสนับสนุนการจัดงานจากสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และเอสซีจี

ผู้สนใจเข้าร่วมงานสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) คุณจตุพร จุลพันธ์วัฒนา โทร. 02-319-7677 ต่อ 122 หรือ โทร. 080-959-4622 อีเมล jatuporn@tma.or.th คุณศศิวิมล สิงห์แก้ว ต่อ 211 หรือ โทร. 061-978-7406 อีเมล sasiwimol@tma.or.th


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“Ugly Veggies” แพลตฟอร์มขาย “ผักไม่สวย แต่มีคุณภาพ” งานวิจัยเด่นจาก มข.

“Ugly Veggies” แพลตฟอร์มขายผักไม่สวย แต่มีคุณภาพงานวิจัยเด่นจาก มข. ช่วยลดขยะอาหารสร้างรายได้ให้เกษตรกร พร้อมตอบโจทย์การช่วยแก้ปัญหา SDGs 2 – ZERO HUNGER ยุติความหิวโหย สร้างความมั่นคงทางอาหาร

สถานการณ์ปัญหาขยะจากอาหารเป็นประเด็นที่ทุกประเทศกำลังร่วมมือกันแก้ไข โดยการผลักดันและประยุกต์เศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อบริหารจัดการและบูรณาการข้อมูลการลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหาร (Food loss and Food Waste) ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นกลยุทธ์ที่ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญ รวมถึงมหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยมี “Ugly Veggies Thailand” เป็นอีกหนึ่งโครงการในการสนับสนุนเพื่อช่วยลดปัญหาดังกล่าว

ผศ.ดร.ชวิศ เกตุแก้ว รองคณบดีฝ่ายกลยุทธ์ วิจัยและต่างประเทศ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้อำนวยการโครงการ “Ugly Veggies Thailand” กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของ “Ugly Veggies Thailand” ว่า วิทยาลัยนานาชาติมีชุมชนเป้าหมาย คือ กลุ่มเกษตรกรอำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น ที่ได้เข้าไปช่วยสนับสนุนด้าน Smart Farming เมื่อศึกษาไประยะหนึ่ง จึงพบว่าชุมชนมี Pain Point คือผัก Organic หรือผักอินทรีย์ที่ผลิตออกมาเมื่อคัดผักที่มีมาตรฐานตามความต้องการของตลาดประมาณ 50-70 % แล้วจะเหลืออีก 30% ที่ทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์

ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้มีในเกษตรกรกลุ่มอื่น ๆ ด้วย ทำให้นำมาสู่โจทย์ที่ว่าเราจะทำอย่างไร เพื่อสร้าง Zero Waste ในกระบวนการผลิตผักอินทรีย์ ขณะเดียวกันเราไม่ได้คิดเพียงแค่ว่าเราจะกำจัดขยะอย่างไร แต่ยังหาวิธีในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากสิ่งที่เหลือใช้เหล่านั้นด้วย

ผศ.ดร.ชวิศ กล่าวต่ออีกว่า หากเราสามารถใช้ประโยชน์จากกระบวนการผลิตผักอินทรีย์ ได้ตามเป้าหมาย 100 % ขยะทางการเกษตรของครัวเรือนจะลดลง 5.6 ตันต่อปี ทีมวิจัยมหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงเดินหน้าทำวิจัยโดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) พัฒนา แพลตฟอร์ม “Ugly Veggies” ขึ้น เพื่อเป็นช่องทางให้เกษตรที่มี Certificate หรือใบรับรองของ Organic การันตีความน่าเชื่อถือ และความปลอดภัย นำ ผักไม่สวย แต่มีคุณภาพ ที่เหลือจากการคัดเกรดส่งซูเปอร์มาเก็ตมาโพสต์ขายหน้าแผงออนไลน์ของตนเองบน  https://uglyveggies.kku.ac.th/ และบน Line Official ที่ชื่อว่า “Ugly Veggies Thailand” (Line: https://kku.world/uglyveggies)

  โดยลูกค้าสามารถเลือกจากสินค้าที่ต้องการทั้งผักไม่สวย แต่มีคุณภาพ (Ugly Veggies), ผักออร์แกนิคคุณภาพสูง, ผลไม้ และสินค้านวัตกรรมจากผักที่ถูกทิ้ง เช่น ผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ Jelly Joy ทำจากผักออร์แกนิคเสริมโพรไบโอติกและพรีไบโอติก ผ่านการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างเรียบร้อย สามารถเคี้ยวทานได้ เหมาะกับคนที่มีปัญหาเรื่องระบบขับถ่าย และจะมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ตามมาอีกหลายอย่าง หรือลูกค้าสามารถเลือกร้านค้าเพื่อเข้าไปเลือกชมสินค้าได้ พร้อมสื่อสารกับผู้ค้าโดยตรง

  “วิทยาลัยนานาชาติ บริหารจัดการดูแลกระบวนการนี้ทั้งหมดเปรียบเหมือนแอดมิน ทั้งสร้างแพลตฟอร์ม ออกแบบ ดูแลระบบหลังบ้าน หน้าบ้าน ให้มีหน้าตา Lifely มีชีวิตชีวาชวนให้ลูกค้าเข้ามาซื้อ และอาจมีการช่วยจัดโปรโมชั่นต่าง ๆ ทำให้การซื้อขายมีความง่ายและสะดวกมากขึ้น เพื่อให้เกษตรกรสามารถโพสต์ขายและจัดส่งให้ลูกค้าได้ด้วยตัวเอง

  ทั้งนี้ Ugly Veggies กำลังดำเนินการปรับเข้าสู่การเป็น Start Up ในส่วนของรายได้ที่เกิดขึ้นจากแพลตฟอร์มหรือค่า GP (Gross Profit) มีการคิดจากรายได้รวมของเกษตรกรแล้วหักค่าขนส่ง โดยเขียนโปรแกรมคำนวณไว้ในแพลตฟอร์มเรียบร้อยแล้วเหมือนกับระบบ Delivery ทั่วไป

    จากการศึกษาและวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคพบว่า ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มรักสุขภาพ และกลุ่มวัยกลางคนที่ทำอาหารเอง ซึ่งเป็นคุณแม่ที่ต้องการทำอาหารปลอดสารเคมีให้ลูก รวมถึงต้องการนำผักออร์แกนิคมาทำอาหารเพื่อดูแลผู้สูงอายุในบ้าน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ทีมวิจัยสามารถสร้างกลยุทธ์ทางธุรกิจในการออกแบบการขาย การสร้างแบรนด์ รวมถึงการตั้งราคาที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อตอบโจทย์ คนกินปลอดภัย คนขายอยู่ได้

อย่างไรก็ตาม การทำวิจัยในครั้งนี้ นอกจากมีโจทย์สำคัญ คือ การช่วยเหลือสังคม พัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมตามเป้าหมายของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งงานวิจัยนี้ช่วยแก้ปัญหา SDGs 2 – ZERO HUNGER ยุติความหิวโหย สร้างความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้คว้าอันดับ 1 ของประเทศในการจัดอันดับ THE Impact Rankings 2023 ของ Times Higher Education (THE) ในปี 2566 แล้ว ยังเป็นพื้นที่ให้นักวิจัยรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และเข้าใจปัญหาเชิงลึกของชุมชน นำไปสู่การขับเคลื่อนงานวิจัยของมหาวิทยาลัยขอนแก่นด้วยความผูกพันและเป็นทางออกของสังคมต่อไป

สำหรับเกษตรกรและลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง

เฟซบุ๊ก  https://www.facebook.com/uglyveggiesthailand
อินสตราแกรม  https://www.instagram.com/uglyveggies.th

บทความ  :  เบญจมาภรณ์  มามุข
ภาพ  :  วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยขอนแก่น


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. จัดงานสัมมนาวิชาการแห่งชาติ“นวัตกรรมดิจิทัลสู่ความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ และอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน”

วันที่ 19 ตุลาคม 2566 เวลา 9.30 . มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ โดยคณะพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม ร่วมฉลองครบรอบ 65 ปี ของการก่อตั้งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ หรือ วิทยาลัยเทคนิคไทยเยอรมัน จัดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติ  เรื่องนวัตกรรมดิจิทัลสู่ความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจและอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” Digital Innovation Capabilities for Sustainable Business and Industry Competitiveness”  โดย ศ.ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภามหาวิทยาลัย เปิดบ้านต้อนรับคณะผู้เข้าร่วมสัมมนาฯ ทั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก ดร.วิฑูรย์ สิมะโชคดี อดีตปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน และกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อติดปีกนวัตกรรมดิจิทัลในการปรับตัวเพื่อการแข่งขันทางธุรกิจและอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนโดยมี  .ดร.สุชาติ เซี่ยงฉิน อธิการบดี  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กล่าวต้อนรับงานสัมมนาวิชาการ  รศ.ดร.สุรพันธ์ ยิ้มมั่น รองอธิการบดีฝ่ายส่งเสริมอุตสาหกรรมและพัฒนาธุรกิจ ศึกษา และรักษาการแทนคณบดีคณะพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม กล่าวรายงาน นอกจากนี้ ได้เชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ คุณธง ตั้งศรีตระกูล รองประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย คุณศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และดร.รัฐศาสตร์ กรสูต รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA)  มาร่วมให้ความรู้ในครั้งนี้ด้วย และมีผู้สนใจเข้าร่วมสัมมนาในหอประชุมแห่งนี้มากกว่า 400 คน

งานสัมมนาวิชาการระดับชาติ เรื่องนวัตกรรมดิจิทัลสู่ความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจและอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” Digital Innovation Capabilities for Sustainable Business and Industry Competitiveness” จัดขึ้นโดยคณะนักศึกษาปริญญาเอกหลักสูตรบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมและทรัพยากรมนุษย์ คณะพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ สำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดงานสัมมนาฯ ในครั้งนี้ เนื่องจากทางมหาวิทยาลัยฯ เล็งเห็นว่าปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญส่งผลมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในการดำเนินธุรกิจ และการปรับตัวของการบริหารจัดการทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีผลกระทบตั้งแต่การทบทวนวิสัยทัศน์ พันธกิจ และการกำหนดกลยุทธ์ขององค์กร เพื่อการก้าวสู่การเติบโตได้อย่างยั่งยืนในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล และที่สำคัญอย่างยิ่งการปรับตัวในแนวทางการบริหารจัดการองค์กรภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของประเทศไทยให้มั่นคงและยั่งยืน พร้อมมุ่งเน้นในการเสริมสร้างองค์ความรู้ และมุมมองในการพัฒนาทิศทางองค์กรที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ผลกระทบต่อการยกระดับอุตสาหกรรมไทย และสร้างโอกาสในการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจระหว่างองค์กรภาครัฐและเอกชน เพื่อจะนำสู่การร่วมมือในการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมของประเทศเพื่อการแข่งขันกับต่างประเทศในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล  และที่สำคัญจัดการสัมมนา ในครั้งนี้ยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่สำคัญในการส่งเสริมความเข้าใจและการนำเอาหลักการดังกล่าวมาปรับใช้ในองค์กรและอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อสร้างการเรียนรู้และเข้าใจแนวโน้มทางดิจิทัลความเข้าใจถึงแนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้บริหารและผู้ประกอบการ จะเป็นโอกาสในการสร้างการเรียนรู้และความเข้าใจในปัจจัยที่ส่งผลต่อธุรกิจและอุตสาหกรรมในยุคดิจิทัล  และเพื่อส่งเสริมการนวัตกรรมและการพัฒนาใหม่ การนวัตกรรมเป็นจุดเด่นในการแข่งขันทางธุรกิจและอุตสาหกรรม เพื่อให้ธุรกิจเติบโตและคงทนอยู่ในระยะยาว การสัมมนาจะเป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการแลกเปลี่ยนแนวคิดและการสร้างสรรค์ในการนำเอานวัตกรรมดิจิทัลมาใช้ในองค์กร รวมถึงเพื่อเสริมความเข้าใจในความสำคัญของความยืดหยุ่น ความยืดหยุ่นในการปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญในการรอดมีอยู่ในยุคปัจจุบัน การสัมมนาจะช่วยให้ผู้เข้าร่วมเข้าใจถึงวิธีที่นวัตกรรมดิจิทัลสามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง

องค์กรและทุกธุรกิจต่างมองหาการเพิ่มความเข้าใจในการใช้นวัตกรรมดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจและอุตสาหกรรมสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการต่าง ๆ ผู้เข้าร่วมสัมมนาจะได้รับความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ในธุรกิจ  การเปิดโอกาสให้เกิดการนวัตกรรมและการพัฒนาใหม่  จากสาเหตุข้างต้น ทำให้การสัมมนาในครั้งนี้ เป็นเวทีที่สร้างสภาวะสร้างสรรค์และกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมมองหาวิธีในการนำเอาเทคโนโลยีและแนวคิดใหม่ ๆ มาปรับใช้ในองค์กรของพวกเขา ซึ่งจะส่งเสริมการนวัตกรรมและการพัฒนาในองค์กรและอุตสาหกรรม เพื่อเตรียมความพร้อมในการเผชิญกับอนาคตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว  อุตสาหกรรมและธุรกิจต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การสัมมนาเรื่องนี้จะช่วยเตรียมความพร้อมให้ผู้เข้าร่วมรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอนด้วยการเพิ่มความเข้าใจและการนำเอาหลักการดังกล่าวมาปรับใช้ในปัจจุบันและอนาคต


Categories
บทความ เทคโนโลยี

การ์ทเนอร์เปิด 5 เทคโนโลยีทรานส์ฟอร์มอนาคตดิจิทัลขององค์กร

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 18 ตุลาคม 2566 – การ์ทเนอร์ เผย 5 เทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตดิจิทัลของภาคองค์กร ได้แก่ มนุษย์ดิจิทัล (Digital Human), การสื่อสารผ่านดาวเทียม (Satellite Communication), อุปกรณ์ IoT โดยรอบขนาดจิ๋ว (Tiny Ambient IoT), การประมวลผลที่ปลอดภัย (Secure Computation) และหุ่นยนต์อัตโนมัติ (Autonomic Robots)

นิค โจนส์ รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่าเทคโนโลยีทั้งห้านี้มีศักยภาพในการเปลี่ยนโฉมขององค์กรธุรกิจได้และควรได้รับการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนในตอนนี้เลย เนื่องจากเทคโนโลยีเหล่านี้มีขอบเขตที่กว้างมากและมีความสามารถเปิดโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ หรือ ความสามารถสำคัญ ๆ (ดูรูปที่ 1)

“คำจำกัดความคำว่า Disruptive ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นให้ประเมินจากมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ขององค์กรและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น จากนั้นให้พิจารณาถึงโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่เกิดจากเทคโนโลยีแต่ละอย่าง รวมถึงแนวทางการเชื่อมผสานเทคโนโลยีเหล่านี้เข้าด้วยกัน”

รูปที่ 1: 5 เทคโนโลยีสำคัญที่จะทรานส์ฟอร์มอนาคตดิจิทัลองค์กร
ที่มา: Gartner (กันยายน 2566)

1. การสื่อสารผ่านดาวเทียม (Satellite Communications)

การสื่อสารผ่านดาวเทียมวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit หรือ LEO) ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น และกำลังได้รับแรงผลักดันจากการทำให้ห้วงอวกาศเป็นพื้นที่เสรี (Democratization of Space) และการใช้ห้วงอวกาศเป็นเชิงพาณิชย์ (Commercialization of Space) ด้วยประสิทธิภาพความเร็วในด้านการสื่อสาร (Low Latency) ทำให้ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) เป็นเทคโนโลยีสำคัญขององค์กรในการปฏิวัติการสื่อสารกับผู้คนและสิ่งของต่าง ๆ 

จากข้อมูลของการ์ทเนอร์ LEO จะให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ที่ครอบคลุมทั่วโลกและมีประสิทธิภาพรับ-ส่งสัญญาณรวดเร็วเพียงพอต่อการใช้งานที่หลากหลาย ซึ่งการเชื่อมต่อดาวเทียมโดยตรงสำหรับอุปกรณ์ IoT ขนาดเล็กให้ความครอบคลุมทั่วโลกในราคาไม่แพง โดยไม่ต้องใช้ซิม หรือผู้ให้บริการโทรคมนาคม และการโรมมิ่งที่ยุ่งยาก รวมถึงบริการด้านเสียงและข้อมูลจากดาวเทียมไปยังสมาร์ทโฟน 4G ที่ไม่มีการดัดแปลงเพื่อขยายความครอบคลุมไปยังสถานที่ห่างไกล

“อุตสาหกรรมนี้ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น คาดว่าจะมีวิวัฒนาการอีกมาก ดังนั้นควรระมัดระวังในการนำ LEO มาใช้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ในตลาดที่ซับซ้อน” โจนส์ กล่าวเพิ่มเติม

2. Tiny Ambient IoT

IoT โดยรอบขนาดจิ๋ว ช่วยให้สามารถติดแท็ก ติดตาม และตรวจจับทุกสิ่งได้โดยไม่ต้องใช้ความซับซ้อนหรือต้นทุนของอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ ผลลัพธ์ที่ได้คือความสามารถในการรับรู้ข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น ในรูปแบบหลากหลายมากขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าในอดีต 

สิ่งนี้จะทำให้เกิดระบบนิเวศใหม่ โมเดลธุรกิจใหม่โดยอาศัยการรู้ตำแหน่งหรือพฤติกรรมของวัตถุ ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้นพร้อมพฤติกรรมใหม่ และค่าใช้จ่ายในการติดตามที่ต่ำกว่ามาก IoT ขนาดเล็กจะขยายโอกาสให้กับธุรกิจที่หลากหลาย แต่การ์ทเนอร์แนะนำให้ประเมินปัญหาทางสังคมและกฎระเบียบที่อาจเกิดขึ้นก่อนนำไปใช้

3. การประมวลผลที่ปลอดภัย (Secure Computation)

การประมวลผลที่ปลอดภัยกำลังมีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อสิ่งต่าง ๆ เชื่อมโยงกันมากขึ้นและในขณะที่ระบบนิเวศเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลมากขึ้นทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้โดยไม่กระทบต่อความเป็นส่วนตัว

แม้ว่าหลักการหลายประการของการประมวลผลที่ปลอดภัยได้ถูกกำหนดไว้แล้ว แต่การนำไปใช้งานก็เป็นเรื่องที่ท้าทายด้วยเหตุผลด้านต้นทุน ทักษะ ประสิทธิภาพ และความพร้อมใช้งาน การ์ทเนอร์แนะนำว่าเทคโนโลยีเกิดใหม่ เช่น Optical Accelerators จะมีความสำคัญต่อการเปิดใช้งาน

4. มนุษย์ดิจิทัล (Digital Humans)

Digital Humans เป็นการนำเสนอเชิงโต้ตอบที่ขับเคลื่อนด้วย AI เลียนแบบลักษณะเฉพาะ บุคลิกภาพ ความรู้ และกรอบความคิดของมนุษย์ ตั้งแต่การเลียนแบบทางกายภาพ (เช่น หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์) ไปจนถึงเลียนแบบเสมือนจริง (เช่น ป๊อปสตาร์เสมือนจริง) หรือการเลียนแบบที่ควบคุมโดยมนุษย์ (เช่น การเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์) ไปสู่การควบคุมด้วย AI โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนมนุษย์ทุกด้าน (เช่น Digital Twin หรือ Chatbot)

แม้มนุษย์ดิจิทัลจะมีศักยภาพ แต่กลับเผชิญกับความท้าทายมากมาย รวมถึงการใช้งานที่ผิดจรรยาบรรณ พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม การสร้างอคติและแบบแผนที่ขาดกฎระเบียบ มีความเสี่ยงต่อการขับเคลื่อนทางสังคม ทัศนคติทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน และอื่น ๆ การ์ทเนอร์แนะนำให้ประเมินประเด็นทางสังคมและกฎระเบียบที่อาจเกิดขึ้นก่อนนำไปใช้

5. โดรนและหุ่นยนต์อัตโนมัติแบบปรับเปลี่ยนได้ (Adaptive Autonomic Drones and Robots)

ระบบอัตโนมัติคือระบบกายภาพหรือซอฟต์แวร์ที่สามารถจัดการตนเอง โดยสามารถปฏิบัติงาน เรียนรู้ และเข้าใจเป้าหมายได้อย่างมีอิสระ ระบบเรียนรู้และระบบปรับตัวอัตโนมัติจะมีความสำคัญหากเทคโนโลยีเช่นหุ่นยนต์ได้รับการสเกลเพื่อให้บรรลุศักยภาพสูงสุด

อย่างไรก็ตาม มีความท้าทายมากมายเกิดขึ้น เนื่องจากยังมีความไม่ชัดเจนว่า หุ่นยนต์หรือระบบ AI ได้เรียนรู้อะไร หรือสิ่งที่หุ่นยนต์สามารถทำได้ (หรือไม่สามารถทำได้) การ์ทเนอร์แนะนำให้เริ่มทดสอบสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งการนำไปใช้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะมอบความคล่องตัวและเป็นประโยชน์ในด้านประสิทธิภาพ แต่ต้องรับมือกับความเสี่ยงที่เกิดจากการวิเคราะห์ธุรกิจ ทั้งทางกฎหมายและจริยธรรม

ติดตามข่าวสารและข้อมูลอัปเดตจาก Gartner for IT Executives ได้ทาง X และ LinkedIn โดยติดแฮชแท็ค #GartnerIT หรือเยี่ยมชม IT Newsroom สำหรับข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

HPE ตอกย้ำผู้นำด้านเทคโนโลยี มุ่งเน้นโซลูชั่นแบบ Edge-to-Cloud พร้อมสร้างความยั่งยืนแห่งโลกดิจิทัล ในงาน HPE Discover More 2023

ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ หรือ เอชพีอี ได้จัดงานประชุมสุดยิ่งใหญ่ HPE Discover More 2023 โดยได้รับเกียรติจากผู้นำอุตสาหกรรมด้านไอที ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในภาคอุตสาหกรรมดิจิทัล  มาร่วมแสดงแนวคิด และแบ่งปันเรื่องราวที่เกี่ยวกับอนาคตของอุตสาหกรรมด้านไอที และดิจิทัลระดับโลก
คุณพลาศิลป์ วิชิวานิเวศน์ กรรมการผู้จัดการ ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ ประเทศไทย และเวียดนาม  กล่าวว่า “งาน HPE Discover More 2023 มาในแนวคิดที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็น การออกแบบคลาวด์ให้เหมาะสมกับองค์กร และการใช้งาน, เทคโนโลยี การบริหารจัดการข้อมูล และการเชื่อมโยงเทคโนโลยีที่ปลอดภัยในแบบ Edge-to-Cloud” อีกทั้งยังเสริมด้วยว่า งานนี้ทางเอชพีอีได้ร่วมมือกับพันธมิตรไอทีจำนวนมากจัดแสดงนวัตกรรม เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับโซลูชั่นสุดล้ำของบริษัทฯ ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการทางธุรกิจขององค์กรที่เปลี่ยนแปลงไป

ไม่ว่าจะเป็น บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด ได้มาแบ่งปันข้อมูลในเรื่องราวของ  Data Management & Protection Solutions เพราะ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าข้อมูลต่าง ๆ ขององค์กรธุรกิจนั้นมีความสำคัญอย่างมาก ดังนั้นทางวีเอสที อีซีเอส ได้นำเสนอโซลูชั่นที่หลากหลายในการบริหารจัดการ และป้องกันการสูญหายของข้อมูล รวมถึงโซลูชั่นในการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น Cohesity Qumolo Scality และอื่นๆ เพื่อให้องค์กรธุรกิจได้เลือกนำไปใช้งานให้เหมาะสมภายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นงานในส่วนของการสำรองข้อมูล การทำไฟล์แชร์ และการปกป้องข้อมูล เป็นต้น

ในส่วนของพาร์ทเนอร์อีกรายที่น่าสนใจไม่แพ้กันนั่นก็คือ บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการคลาวด์แบบครบวงจรในประเทศไทยภายใต้ชื่อแบรนด์ว่า SiS Cloud เป็นบริการคลาวด์แบบครบวงจรที่คลอบคลุมทั่วทั้งประเทศ ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงข้อมูลจากทุกที่ที่คุณต้องการ ด้วย Infrastructure as a Service  ซึ่งรองรับระบบ VMWare และ Nutanix และยังรวมถึง ระบบ ERP เช่น SAP อีกด้วย โดยสามารถเลือกตามโซลูชั่นที่เหมาะกับความต้องการของธุรกิจ สนับสนุนการทำงานต่างๆ ในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพ และความปลอดภัยสูง

ภายในงานคุณก็จะได้พบกับ Metro Cloud ซึ่งเป็นบริการด้าน Public Cloud ที่ดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญจาก บริษัท เมโทรซิสเต็มส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ได้มีการออกแบบมาอย่างดี ตามมาตรฐานที่กำหนด มีเป้าหมายเพื่อช่วยธุรกิจ และองค์กรต่าง ๆ ในไทยได้ใช้ประโยชน์สูงสุดจากนวัตกรรมดิจิทัล และคลาวด์คอมพิวติ้ง สร้างการเติบโตของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ  อีกทั้งเมโทรซิสเต็มส์ฯ เองก็ยังเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการที่สำคัญระดับประเทศ ที่ช่วยให้ธุรกิจในเมืองไทยก้าวสู่การทำ Modernize Application Management  ด้วยการผสานเทคโนโลยี องค์ความรู้ และประสบการณ์ต่าง ๆ  เพื่อให้ประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน

รวมไปถึงการมาร่วมแสดงนวัตกรรมโซลูชั่น NTT Cloud ของทางบริษัท เอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นโซลูชั่นสำคัญที่ขับเคลื่อนร่วมกับทางเอชพีอี เพื่อสร้างประสิทธิภาพให้กับโครงสร้างอินฟราสตรัคเจอร์ขององค์กรได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าจะเป็นระบบที่รันบน Edge ไปจนถึงการทำงานที่อยู่บนคลาวด์ด้วย

“นอกเหนือจากโซลูชั่นของพาร์ทเนอร์ที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังมีเจ้าของเทคโนโลยีที่สำคัญที่เป็นพันธมิตรด้านกลยุทธ์ไอทีกับเอชพีอีมากมายมาร่วมนำเสนอเทคโนโลยีไอที และดิจิทัลให้กับองค์กรได้สัมผัสกับนวัตกรรมใหม่ และกลายเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์หลักของเอชพีอี ที่นอกจากจะสร้างสรรค์เทคโนโลยีแบบครบวงจรตั้งแต่ Edge-to-Cloud แล้ว ยังคงเน้นถึงเรื่องความยั่งยืนด้านดิจิทัลแก่องค์กรต่าง ๆ เพื่อดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องอีกด้วย”  คุณพลาศิลป์ กล่าวทิ้งท้าย


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ประเทศไทย เปิดตัวรถขนส่งพลังงานไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ก้าวสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

กรุงเทพฯ, 16, ตุลาคม 2566 – ดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง (DHL Global Forwarding) ผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งสินค้าของกลุ่มบริษัทดีเอชแอล ประกาศก้าวสำคัญในเส้นทางสู่ความยั่งยืน ด้วยการเปิดตัวรถขนส่งพลังงานไฟฟ้า (EV) สำหรับการใช้งานในกรุงเทพฯ โดยรถไฟฟ้าเหล่านี้จะวิ่งขนส่งรวมระยะทางเกิน 28,000 กิโลเมตรต่อเดือน และจัดส่งสินค้าประมาณ 1,000 ตันให้กับลูกค้า

ด้วยการใช้รถขนส่งพลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่นี้ ดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ประเทศไทย ตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 85,000 กิโลกรัมต่อปี เทียบเท่ากับเที่ยวบินไป-กลับ 27 เที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ไปยังลอนดอนสำหรับนักท่องเที่ยวหนึ่งคน รถ EV รุ่นใหม่มีความสามารถในการชาร์จที่รวดเร็ว โดยใช้เวลาในการชาร์จเกินกว่าหนึ่งชั่วโมงเล็กน้อย โดยรถตู้ไฟฟ้าที่ชาร์จไฟเต็มสามารถเดินทางไกลได้ถึง 200 กิโลเมตร และบรรทุกของได้มากถึง 800 กิโลกรัม ขณะที่รถบรรทุกไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ไกลถึง 350 กิโลเมตร และบรรทุกของได้สูงสุด 5,000 กิโลกรัม โดยมีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยมาตรฐาน ได้แก่ ระบบเบรก ABS, ระบบล็อคอัตโนมัติ, สัญญาณเตือนโดยใช้เซ็นเซอร์ และระบบควบคุมการกระจายแรงเบรก (EBD) เพื่อรับรองความปลอดภัยในการขับขี่ให้กับพนักงานขนส่ง

โธมัส ทีเบอร์ซีอีโอ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง นำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการนี้ โดยกล่าวว่า “ที่ดีเอชแอล เราเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ในพลังของนวัตกรรมและความยั่งยืน ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เรามุ่งมั่นสร้างสรรค์อนาคตที่สดใสยิ่งขึ้นสำหรับทุกคน การที่เรานำรถ EV มาใช้ในการดำเนินงานในกรุงเทพฯ ทำให้เราใช้วิธีการขนส่งที่เป็นมิตรมากขึ้น และเป็นผู้นำในเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ลูกค้าและประชาชนทั่วไปเข้าร่วมการเดินทางที่ดีกว่าไปกับเรา”

การริเริ่มใช้รถ EV ในกรุงเทพฯ เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ GoGreen ในวงกว้างของบริษัทฯ โดยอีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ แนวทางปฏิบัติที่มีมายาวนานของดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ในการช่วยเหลือลูกค้าในการประเมินการปล่อยก๊าซคาร์บอนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์แบบครบวงจร MyDHLi ซึ่งมอบทางเลือกให้กับลูกค้าในการลดคาร์บอนแบบอินเซ็ต (Inset) และการชดเชยคาร์บอน (Offset) เพื่อช่วยลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการขนส่งของลูกค้า

ภายใต้ก้าวย่างที่สำคัญในการบรรลุวัตถุประสงค์ด้านความยั่งยืน ดีเอชแอลได้ลงทุนกับการดำเนินงานอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในระดับโลก โดยกลุ่มบริษัทดีเอชแอลมีแผนที่จะลงทุน 7 พันล้านยูโรภายในปี 2573 ในโครงการริเริ่มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือน้อยกว่า 29 ล้านตัน ซึ่งสอดคล้องกับโครงการ Science-Based Targets Initiative

การใช้รถขนส่งพลังงานไฟฟ้าในกรุงเทพฯ เป็นเพียงมุมหนึ่งของกลยุทธ์ของดีเอชแอล โดยดีเอชแอลได้เริ่มใช้ยานยนต์ไฟฟ้า 60% เพื่อการขนส่งลาสไมล์ ควบคู่ไปกับการปรับปรุงการใช้เชื้อเพลิงที่ยั่งยืนสำหรับการขนส่งทางอากาศและทางทะเล และดำเนินโครงการริเริ่มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้เครือข่ายทั่วโลกของบริษัทฯ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. จัดงานสัมมนา “รถยนต์ EV กับการพัฒนาพลังงานไทย”

.ดร.สุชาติ เซี่ยงฉิน  อธิการบดี มจพ. กล่าวเปิดการสัมมนารถยนต์ EV กับการพัฒนาพลังงานไทยในวันที่ 11 ตุลาคม 2566 เวลา 12.30 – 16.00 . ณ หอประชุมเบญจรัตน์ อาคารนวมินทรราชินี มจพ. นายชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ บรรณาธิการ The Leader Asia กล่าวรายงาน จากนั้น นางสาวนุจรีย์ เพชรรัตน์  ผู้อำนวยการกองนโยบายอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน   สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน  บรรยายพิเศษทิศทางการพัฒนาด้านพลังงานใหม่ของไทยผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ ศ.ดร.นิสัย เฟื่องเวโรจน์สกุล คณบดีบัณฑิตวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์นานาชาติ สิรินธรไทยเยอรมัน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) นายจาตุรงค์ สุริยาศศิน รองผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง อุปนายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย นายปริพัตร บูรณสิน อดีตที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการยานยนต์ไฟฟ้าสภาผู้แทนราษฎร ดร.วิชญ์พล โมทนียชาติ ผู้จัดการแผนกวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด และนายชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ บรรณาธิการ The Leader Asia ดำเนินการเสวนา การรู้เท่าทันต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกการผลิตในปัจจุบัน จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและพลังงานใหม่ที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย รวมถึงเพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างสื่อมวลชนกับสถาบันอุดมศึกษาในการจัดกิจกรรมวิชาการที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาความรู้ความคิดของนักศึกษา และแสวงหาข้อมูลข่าวสารเผยแพร่ต่อสาธารณชน


Exit mobile version