Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มข. หนุนความรู้ชุมชน ผลิตเตียงพลิกตัวต้นทุนต่ำ เพื่อผู้ป่วยติดเตียง

คณะเทคนิคการแพทย์ ร่วมกับ คณะเศรษฐศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และภาคเอกชน จัดโครงการพัฒนาส่งเสริมการผลิตเตียงพลิกตัวต้นทุนต่ำสำหรับผู้ป่วยติดเตียงโดยชุมชน ภายใต้โครงการ CIGUS

ปัจจุบัน สังคมประสบปัญหาเกี่ยวกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และ โรค NCDs หรือ กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง คือ ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคและไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ เป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรม ซึ่งอัตราโรคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมีการวิเคราะห์และพัฒนาร่วมกันระหว่าง คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น นำโดย ศ.ดร.วิชัย อึงพินิจพงศ์ ผู้คิดค้นผลงานนวัตกรรม : “เตียงอัจฉริยะ ช่วยพลิกตะแคง” และ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น นำโดย ผศ.ดร.สุรกานต์ รวยสูงเนิน เกิดเป็นโครงการ “พัฒนาส่งเสริมการผลิตเตียงพลิกตัวต้นทุนต่ำสำหรับผู้ป่วยติดเตียงโดยชุมชน” ภายใต้โครงการ CIGUS (C – community, I – industry, G – government, U – university, S – society) เป็นการนำองค์ความรู้จากมหาวิทยาลัยเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาในชุมชน โดยโครงการดังกล่าวจัดขึ้นจำนวน 2 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 จัดขึ้นในวันที่ 21-22 กันยายน 2566 และ ครั้งที่ 2 จัดขึ้นในวันที่ 27 ตุลาคม 2566 ณ ตำบลบ้านโต้น อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น

โดยครั้งแรกคณะทำงาน ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับวิธีการใช้และการสร้างเตียงฯ ให้แก่ประชาชน ทั้งในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ส่วนครั้งที่ 2 คณะเทคนิคการแพทย์ นำโดย ผศ.ดร.อมรรัตน์ จำเนียรทรง รองคณบดีฝ่ายบริหารและยุทธศาสตร์ พร้อมด้วย ศ.ดร.วิชัย อึงพินิจพงศ์ ได้ร่วมมอบเตียงพลิกตัวฯ ให้กับเทศบาลตำบลบ้านโต้น จำนวน 3 เตียง และเทศบาลตำบลหนองแวง จำนวน 2 เตียง รวม 5 เตียง พร้อมบรรยายให้ความรู้แก่ประชาชนในหัวข้อ  การให้ความรู้และวิธีการใช้เตียงพลิกตัวฯ โดย ศ.ดร.วิชัย อึงพินิจพงศ์    เรื่อง วิธีการสร้างเตียงพลิกตัวฯ โดย ผศ.ดร.สุรกานต์ รวยสูงเนิน และการให้ความรู้การดูแลผู้ป่วยติดเตียงพลิกตัวฯ โดย อ.ดร.วรวุฒิ ชมภูพาน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมดิจิทัล มจพ. รับสมัคร น.ศ ป.โท และ ป.เอก ภาคการศึกษาที่ 1/67

หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาการบริหารเครือข่ายดิจิทัลและความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศและหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิตสาขาวิชาการบริหารเครือข่ายและความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศภาควิชาการบริหารเครือข่ายดิจิทัลและความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (DNS)  คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมดิจิทัล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี

พระจอมเกล้าพระนครเหนือ โดยมีรายละเอียด ในการเปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่ ดังต่อไปนี้

หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (ปริญญาโท

1) หลักสูตรในเวลาราชการ แผน 1 แบบวิชาการ แบบ 1   เรียนวันจันทร์ศุกร์ เวลา 09.00 – 16.00 .  ค่าเทอม  คิดตามหน่วยกิตที่ลงทะเบียน โดยประมาณ 20,000 บาทต่อเทอม [CODE : MDNS]  โดยจำแนกเป็น 2 หลักสูตร คือหลักสูตรนอกเวลาราชการ แผน 2 แบบวิชาชีพ เรียนค่ำ เวลา 18.00 – 21.00 . ค่าเทอม เหมาจ่าย 45,000 บาทต่อเทอม [CODE : S-MDNS ค่ำ]

2) หลักสูตรนอกเวลาราชการ แผน 2 แบบวิชาชีพ  เรียนวันเสาร์อาทิตย์ เวลา 09.00 – 16.00 .

ค่าเทอมเหมาจ่าย 45,000 บาทต่อเทอม [CODE : S-MDNS เสาร์อาทิตย์] รายละเอียดหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (ปริญญาโท) : https://shorturl.asia/MCgUG

หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (ปริญญาเอก)

1) หลักสูตรในเวลาราชการ แผน ก แบบ 2.1 เรียนวันจันทร์ศุกร์ เวลา 09.00 – 16.00 . ค่าเทอม คิดตามหน่วยกิตที่ลงทะเบียน โดยประมาณ 40,000 บาทต่อเทอม [CODE : DDNS]  รายละเอียดหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (ปริญญาเอก) : https://shorturl.asia/3RcHI

การรับสมัครช่วงที่ 1 วันที่ 1 พฤศจิกายน – 29 ธันวาคม 2566 ช่วงที่ 2  วันที่ 4 มกราคม – 10 มีนาคม 2567 และช่วงที่ 3 วันที่ 11 มีนาคม – 12 พฤษภาคม 2567 สมัครออนไลน์ https://grad.admission.kmutnb.ac.th/   หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากภาควิชาโดยตรง Line : https://lin.ee/SzZvEz9

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

นายมงคล ตั้งศิริวิช ขึ้นแท่นประธานบริหารคนใหม่ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค พร้อมเดินหน้ารุกตลาด สานต่อสร้างความยั่งยืน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นในการจัดการพลังงาน ระบบออโตเมชั่น และความยั่งยืน ประกาศแต่งตั้ง นายมงคล ตั้งศิริวิช ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานกลุ่มคลัสเตอร์ คนใหม่ ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา ต่อจาก นายสเตฟาน นูสส์  มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ พร้อมสานต่อนำ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ไปสู่เป้าหมายในการช่วยทรานส์ฟอร์มองค์กรต่างๆ ไปสู่ความยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีนวัตกรรมและดิจิทัล ดูแลรับผิดชอบในการบริหารเชิงกลยุทธ์และผลักดันการเติบโตของธุรกิจ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในประเทศไทย ลาว และเมียนมา รวมถึงการสร้างความต่อเนื่องในความเป็นผู้นำด้านการจัดการพลังงาน ระบบออโตเมชั่น และความยั่งยืน ซึ่งมีโซลูชั่นและผลิตภัณฑ์ครอบคลุมด้านการจัดการพลังงานสำหรับ ที่พักอาศัย อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐาน และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ

โดยก่อนหน้านี้ นายมงคล ดำรงตำแหน่ง รองประธานกลุ่ม Strategic Accounts ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา มีความเชี่ยวชาญในการจัดวางกลยุทธ์เพื่อช่วยลูกค้าให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน พร้อมจัดหาเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์ และการบริการชั้นนำ ดูแลครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรม  นอกจากนี้ เขายังมีบทบาทในการเป็นผู้นำด้านการวางแผน และพัฒนากลยุทธ์ในการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล ร่วมกับพันธมิตร ด้านพลังงาน สมาร์ทกริด และตลาดพลังงานใหม่

นายมงคลร่วมงานกับ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปี มีความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ทำงานที่เข้มข้น ครบครัน เริ่มตั้งแต่ระดับวิศวกร การบริหารงานขาย บริหารฝ่ายบริการ จนถึงตำแหน่งปัจจุบันในการดูแลองค์กรลูกค้าต่างๆ  ด้วยวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของ นายมงคล ในการสนับสนุนองค์กรธุรกิจต่างๆ ให้เติบโตและก้าวไปอย่างความยั่งยืน และนี่เป็นการตอกย้ำถึงภารกิจหลัก ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัล เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน ให้กับทุกองค์กร และพันธมิตรคู่ค้าของเรา


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เดลล์ เทคโนโลยีส์ ประกาศสนับสนุน Sagarmatha Next Centre ในการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ปัญหาขยะพลาสติกบนยอดเขาเอเวอเรสต์

ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมเยือนมีสูงถึงกว่า 80,000 คนในแต่ละปี เอเวอเรสต์คือหนึ่งในจุดหมายปลายทางในการเดินเทรคกิ้งที่ได้รับความนิยมสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก คือที่ที่ผู้คนล้วนต้องการมาเติมเต็มความฝัน อีกทั้งมาเพื่อพิสูจน์ขีดจํากัดของตัวเอง นอกเหนือจากนั้น ที่นี่ยังเป็นที่ที่ผู้คนนำพาขยะมาทิ้งทับถมไว้เป็นจำนวนโดยประมาณถึง 250 ตันต่อปีอีกด้วย

สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเราในการเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เดลล์ เทคโนโลยีส์พร้อมให้การสนับสนุน Sagarmatha Next Centre องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรซึ่งดำเนินการโดยนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมท้องถิ่น โดยตัวศูนย์ตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้กับ Syangboche Namche Bazar บนเส้นทางเบสแคมป์บนเทือกเขาเอเวอเรสต์ ทำหน้าที่ในการให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวเกี่ยวกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่กําลังเพิ่มมากขึ้น และพยายามมองหาวิธีในการลดผลกระทบที่เกิดจากขยะ

Sagarmatha Next Centre ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 3,775 เมตรเหนือระดับน้ําทะเล เป็นจุดที่ต้องหยุดพัก (Must-stop) สําหรับนักเดินทางที่มาเยี่ยมเยือนเส้นทางปีนเขาเพื่อขึ้นสู่ยอดเขาเอเวอเรสต์ ซึ่งนี่ถือเป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่งในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการทำงานและความพยายามขององค์กรให้เป็นที่รู้จักและเข้าใจในหมู่นักปีนเขาทุกคนที่ผ่านเข้ามา

สําหรับโครงการนี้ เดลล์ เทคโนโลยีส์ได้ทํางานร่วมกับ มาร์ติน เอ็ดสตรอม นักสํารวจของเนชันแนล จีโอกราฟิค (National Geographic) ในการสร้างภาพยนต์ที่เป็นวิดีโอสั้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงผลกระทบในทางลบของขยะที่มีต่อพื้นที่แห่งนี้ ในขั้นตอนต่อไปของเดลล์คือการส่งมอบเทคโนโลยีล้ำสมัยให้กับ Sagarmatha Next Centre ทั้งเพื่อโชว์เคสวิดีโอ และเพื่อให้โอกาสเสริมเพิ่มเติมในการยกระดับประสบการณ์ผ่านเทคโนโลยีเสมือนจริง (Virtual Reality) ผ่านหน้าจอวิดีโอ โปรเจคเตอร์แบบอินเทอแอคทีฟที่สามารถตอบโต้ (Interact) ได้

และนี่คือข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อแสดงให้เห็นว่า Sagarmatha Next Centre ใช้เทคโนโลยีส์ที่ได้รับจากเดลล์ เทคโนโลยีส์อย่างไรบ้างในการสร้างความตระหนักรู้

  • นิทรรศการดิจิทัล – นักเดินทางที่มาเยี่ยมเยือนสามารถสำรวจและได้รับประสบการณ์ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลในพื้นที่ทุกตารางนิ้วของการอำนวยความสะดวกภายในศูนย์ก่อนที่จะออกเดินทางต่อไป
  • แผนที่ภายในพื้นที่และเส้นทางทั่วไป – นักเดินทางสามารถมองเห็น 17 เส้นทางการปีนเขาที่แตกต่างกันที่จะนำไปสู่เบสแคมป์ของยอดเขาเอเวอร์เรสต์ รวมถึงเส้นทางสู่จุดหมายปลายทางอื่นๆ ภายในหุบเขา 4 แห่งภายในพื้นที่แวดล้อม
  • การให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะแบบฝังกลบ (Landsfills) – นักเดินทางจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับพื้นที่มากกว่า 80 แห่งที่เป็นพื้นที่ในการจัดการขยะแบบฝังกลบบนเอเวอร์เรสต์ รวมถึงวิธีการที่สามารถทำได้ในการลดปัญหาขยะที่ถูกทิ้งให้ลดน้อยลง

ด้วยพลังของพีซี OptiPlex Micro Form Factor มอนิเตอร์ Dell 55 4K Interactive Touch ที่มาพร้อมเทคโนโลยี InGlassTM Touch 20 จุดและเทคโนโลยี Palm Rejection ช่วยให้นักเดินทางสามารถมีปฏิสัมพันธ์ หรือ interact กับมอนิเตอร์พร้อมกันหลายๆ คนได้อย่างต่อเนื่อง ตัวมอนิเตอร์มากับเทคโนโลยี In-Plane Switching (IPS) ที่ให้สีคมชัดเที่ยงตรงสมจริง พร้อมมุมมองในมุมกว้าง (Wide Angle) ซึ่งเหมาะสมอย่างที่สุดสำหรับการเรียนรู้เป็นหมู่คณะแม้กระทั่งอยู่ในช่วงเวลาระหว่างวันที่แสงแดดแผดจ้าในพื้นที่ที่ระดับความสูงขนาดนี้

สำหรับผู้มาเยือนอีกหลายต่อหลายคนที่เดินทางขึ้นสู่เอเวอร์เรสต์ เบสแคมป์ และอาจไม่สามารถปีนขึ้นสู่ซัมมิทที่สูงถึง 8,850 เมตรได้ ที่นี่ยังให้ประสบการณ์ผ่าน VR ที่เอ็ดสตรอมสร้างขึ้นเพื่อนำพายอดสูงสุดของเอเวอร์เรสต์มาอยู่ต่อหน้าด้วยการใช้พลังและการสร้างสรรค์บน Dell Precision โมบายเวิร์กสเตชั่นจากเดลล์

การให้การสนับสนุนของเดลล์ เทคโนโลยีส์ ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การให้เทคโนโลยีเท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึงบริจาคให้กับแนวคิดริเริ่มของโครงการ Carry Me Back ของ Sagarmatha Next อีกด้วย

เมื่อผู้มาเยี่ยมชมออกจากศูนย์ไปแล้ว พวกเขาต่างได้รับกำลังใจในการกระตุ้นให้พวกเขานำเอาสิ่งที่เรียนรู้ติดตัวไปและกลายเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหา โครงการ Carry Me Back ที่ริเริ่มขึ้นให้โอกาสเหล่านักเดินทางที่มาเยี่ยมเยือนในการช่วยกำจัดขยะ ด้วยการเก็บพวกมันลงถังขยะที่มีอยู่ก่อนที่จะถูกลำเลียงเพื่อไปรีไซเคิลต่อที่กาฐมาณฑุ ด้วยแนวคิดริเริ่มนี้ องค์กรประสบความสำเร็จในการกำจัดขยะถึงกว่า 5,000 ถุง หรือคิดเป็นจำนวนขยะถึง 5,000 กิโลกรัมออกจากเอเวอเรสต์นับตั้งแต่วันที่โครงการเริ่มต้นขึ้นในเดือนเมษายนของปี 2022 ซึ่งขยะโดยส่วนใหญ่จะถูกนำไปรีไซเคิลต่อไป

ด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้าทั้งในด้านความยั่งยืนและการให้การเรียนรู้ การสนับสนุนของเดลล์ เทคโนโลยีส์ที่มีต่อ Sagarmatha Next แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของความยั่งยืน (Sustainability) การศึกษาเรียนรู้ (Education) และเทคโนโลยี ในการที่จะพัฒนาและยกระดับเราไปสู่เป้าหมายและแนวคิดริเริ่มเพื่อการดำเนินงานในรูปแบบใหม่ๆ

ข้อมูลเพิ่มเติม:

  • เรียนรู้เกี่ยวกับคำมั่นสัญญาด้านความยั่งยืนของเดลล์ เทคโนโลยีส์ได้ ที่นี่
  • ติดตามข่าวสารของเดลล์ผ่านทาง FacebookYouTube และ LinkedIn

เกี่ยวกับเดลล์ เทคโนโลยีส์

เดลล์ เทคโนโลยีส์ ช่วยให้องค์กรธุรกิจและปัจเจกบุคคลสามารถสร้างอนาคตทางดิจิทัล พร้อมทั้งช่วยในการปฏิรูปทั้งรูปแบบการทำงาน การดำเนินชีวิต และการพักผ่อน เดลล์ เทคโนโลยีส์ให้การดูแลสนับสนุนลูกค้าด้วยสายผลิตผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีและการบริการที่กว้างที่สุด และมีความเป็นนวัตกรรมอย่างสูงสุดในยุคของข้อมูล


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เฟดเอ็กซ์ เปิดรูทใหม่ ยกระดับการขนส่งระหว่างไทย-เวียดนาม รวดเร็วทันใจ ภายใน 1 วัน

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย, 1 พฤศจิกายน 2566 – เฟดเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส (FedEx Express) บริษัท ในเครือเฟดเอ็กซ์ คอร์ปอเรชั่น (FedEx Corp.) (NYSE: FDX) หนึ่งในบริษัทผู้ให้บริการขนส่งสินค้าด่วนที่ใหญ่ที่สุดของโลก ประกาศเปิดเที่ยวบินใหม่สำหรับการจัดส่งสินค้าและพัสดุซึ่งสามารถย่นระยะเวลาให้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อยกระดับบริการระหว่างประเทศไทยและเวียดนาม รวมไปถึงภาคพื้นอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป

เที่ยวบินจัดส่งสินค้าเส้นทางใหม่นี้ เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2566 ด้วยเครื่องบินบรรทุกสินค้ารุ่น B767 ซึ่งมีกำหนดการบิน 4 วันต่อสัปดาห์ ในช่วงเวลาเย็น เพื่อขนส่งสินค้าจากเมืองโฮจิมินห์ไปยังประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียและยุโรป โดยจะนำส่งสินค้าไปยังศูนย์กระจายสินค้าของ เฟดเอ็กซ์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่เมืองกวางโจว ประเทศจีน ธุรกิจส่งออกที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนามจะได้รับผลพลอยได้ในการจัดส่งสินค้าที่รวดเร็วขึ้น โดยสินค้าจะถูกจัดส่งมายังประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียภายใน 1 วันทำการ และไปยังทวีปยุโรปภายใน 2 วันทำการ*

เที่ยวบินที่เพิ่มมาใหม่นี้เป็นการขยายขีดความสามารถจากปัจจุบันที่มีเที่ยวบินสำหรับการจัดส่งสินค้าไปยังประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชีย ยุโรป และอเมริกาอยู่แล้ว 5 เที่ยวบิน โดย 4 เที่ยวบิน จะนำส่งสินค้าในช่วงเช้า ผ่านศูนย์กระจายสินค้าของ เฟดเอ็กซ์ ประจำภูมิภาคแปซิฟิกใต้ที่ประเทศสิงคโปร์ และอีกหนึ่งเที่ยวบินจะส่งสินค้าในช่วงเย็น ผ่านศูนย์กระจายสินค้าของ เฟดเอ็กซ์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยจะมีเที่ยวบินขนส่งสินค้าออกจากเมืองโฮจิมินห์ทั้งสิ้น 9 เที่ยวบิน ต่อสัปดาห์ ทั้งนี้ เฟดเอ็กซ์ จะยังคงเดินหน้าสนับสนุนและผลักดันธุรกิจต่าง ๆ ในภูมิภาค ให้สามารถเติบโตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพต่อไป

ศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีความหลากหลายมากขึ้น ข้อตกลงทางการค้าเสรีพหุภาคี เช่น CPTPP และ RCEP[1] มีส่วนช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้แนบแน่น ส่งเสริมให้ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้กลายเป็นคู่ค้าที่สําคัญมากยิ่งขึ้น

“เรายังคงมุ่งมั่นเดินหน้าสร้างการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาเครือข่าย รวมไปถึงการเพิ่มขีดความสามารถและพัฒนาการเชื่อมต่อของระบบการจัดส่งให้เร็วขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและส่งมอบบริการที่ดีที่สุดสู่มือลูกค้าของเรา” นางสาวคาวอล พรีท ประธานบริษัท เฟดเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เผย “ประเทศในกลุ่มเสือเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคาดการณ์ได้ว่าในปี 2567 จะมีอัตราการเติบโตสูงถึงร้อยละ 4.9[2] เรามองว่าเวียดนามเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในการบ่งชี้ถึงเทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ บริการที่เราได้พัฒนาต่อยอดในประเทศเวียดนาม เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานเพื่อสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมทั้งความชำนาญในธุรกิจขนส่งและการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า”

“ประเทศไทยเป็นคู่ค้าและตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนามในตลาดอาเซียน[3] ทั้งสองประเทศมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีพลวัต มีการพัฒนาและการดำเนินงานที่เชื่อมโยง อีกทั้งเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน ซึ่งช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถฟื้นตัวและสร้างเครือข่ายทางการค้าและระบบห่วงโซ่อุปทานในระดับภูมิภาคได้อย่างยั่งยืน” นายเทียน หลง วูน กรรมการผู้จัดการเฟดเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส ประเทศไทยและมาเลเซีย กล่าว

การยกระดับการบริการในครั้งนี้มีส่วนช่วยผลักดันความพยายามอย่างต่อเนื่องของประเทศไทยและเวียดนามในการส่งเสริมการค้าทวิภาคีที่มีศักยภาพสูงและอาจมีมูลค่าถึง 9 แสนล้านบาท ภายในปี 2568[4] โดยในปี 2565 พบมูลค่าการค้าระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นจริงสูงถึงกว่า 7 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าเป็นอัตราร้อยละ 8.7 บ่งชี้ถึงโอกาสทางการค้าระหว่างสองประเทศที่จะสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง

เฟดเอ็กซ์ ให้การสนับสนุนธุรกิจการค้าระหว่างประเทศในเวียดนามเสมอมาตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจในปี 2537 ด้วยเที่ยวบินที่เพิ่มเข้ามาใหม่นี้ จะช่วยให้ธุรกิจในเวียดนามสามารถให้บริการแก่ลูกค้าในต่างประเทศได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นการตอกย้ำถึงความทุ่มเทของ เฟดเอ็กซ์ ในการพัฒนาเพื่อยกระดับการบริการในเวียดนามและเสริมแกร่งระบบการดำเนินงานของธุรกิจทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ของ เฟดเอ็กซ์


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

รายงาน Adobe เผยผู้บริโภคและนักการตลาดตระหนักถึงศักยภาพของ AI ที่แบรนด์ใช้ยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า แต่ต้องใช้อย่างมีความรับผิดชอบและโปร่งใส

ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ความก้าวหน้าของ Generative AI กลายเป็นพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในการทำงานและการสร้างสรรค์ ทั้งยังสร้างนิยามใหม่ให้กับวิธีที่ผู้บริโภค องค์กรธุรกิจ และสถานศึกษาใช้ในการคิดทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่การสร้างรูปภาพไปจนถึงคอนเทนต์  ขณะที่องค์กรต้องจัดการกับข้อกังวลต่างๆ ของสาธารณชน รวมถึงความโปร่งใสเกี่ยวกับการใช้ Generative AI ในการสร้างคอนเทนต์

ด้วยการป้อนคำสั่งที่เรียบง่าย Generative AI ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญทำงานได้เร็วขึ้น และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ใช้ที่มีประสบการณ์น้อยสามารถเรียนรู้งานได้เร็วยิ่งขึ้น และสามารถคิดค้นไอเดีย สร้างสรรค์ผลงาน เรียนรู้และทำความเข้าใจสิ่งใหม่ๆ ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งบ่อยครั้งมักจะเป็นไปในรูปแบบที่เราคาดไม่ถึง  Generative AI มีศักยภาพมหาศาลในการช่วยให้บุคลการด้านครีเอทีฟและนักการตลาดสร้างสรรค์เนื้อหาคอนเทนต์ได้รวดเร็วขึ้น แต่คุณค่าไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะสามารถนำมาใช้เพื่อจัดทำแผนการตลาด กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ออกแบบ customer journey และกลั่นกรองข้อมูลเชิงลึก เช่น นักการตลาดเพียงพิมพ์ข้อความ “สร้าง audience segment สำหรับคนทำงานอายุ 25-34 ปีที่เป็นแฟนฟุตบอล” Generative AI ก็จะสร้างแคมเปญการตลาดสำหรับกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวภายในเวลาไม่กี่วินาที

เพื่อทำความเข้าใจว่า Generative AI ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างต่อความคาดหวังของลูกค้า และวิธีการที่แบรนด์ต่างๆ มอบประสบการณ์ให้แก่ลูกค้า อะโดบีได้ทำการศึกษาหลายชุดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม 2566 โดยสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคมากกว่า 13,000 คน รวมถึงบุคลากรฝ่ายการตลาดและประสบการณ์ลูกค้า 4,000 คนใน 14 ประเทศ ได้แก่ ไทย ญี่ปุ่น อินเดีย สิงคโปร์ มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ สวีเดน เยอรมนี ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ และประเด็นหลักจากผลการศึกษามีดังนี้:

ผู้คนจำนวนมากมีความมั่นใจในการใช้ Generative AI ในชีวิตประจำวัน ทั้งในส่วนของครีเอเตอร์และผู้บริโภค โดยผู้บริโภคที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ (57%) เชื่อว่า Generative AI จะช่วยปรับปรุงความคิดสร้างสรรค์ส่วนบุคคล และตัวเลขดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มผู้บริโภคที่มีอายุน้อย กล่าวคือ 75% ของผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z ระบุว่า Generative AI ทำให้พวกเขามีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น  และเมื่อพูดถึงประสบการณ์ที่มีต่อแบรนด์ 72% ของผู้บริโภคทั่วโลกกล่าวว่า Generative AI ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า โดยผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียล 8 ใน 10 คน (80%) และกลุ่ม Gen Z (83%) แสดงความคิดเห็นในแง่บวกเช่นเดียวกัน

ผู้บริโภคต้องการให้บริษัทต่างๆ ใช้ Generative AI เพื่อปรับปรุงประสบการณ์อย่างมีความรับผิดชอบ

เมื่อพูดถึงสิ่งสำคัญที่สุดที่บริษัทควรทำในการใช้เทคโนโลยี Generative AI ผู้บริโภคระบุว่า “ความรับผิดชอบ” คือสิ่งสำคัญอันดับ 1 โดย 34% ให้ความสำคัญกับการดำเนินการต่างๆ เช่น การกำหนดขอบเขตเพื่อรองรับการใช้งานอย่างมีความรับผิดชอบ  ผู้บริโภค 30% กล่าวว่าการใช้ Generative AI เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และ 15% ให้ความสำคัญกับการดำเนินการที่จะปรับปรุงประสบการณ์ของพนักงาน เช่น เพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพในการทำงาน  ผู้ตอบแบบสอบถาม 9% กล่าวว่าข้อควรพิจารณาที่สำคัญที่สุดสำหรับบริษัทต่างๆ ที่นำ Generative AI มาใช้ก็คือ การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จทางการเงินมากขึ้น และมีเพียง 10% เท่านั้นที่กล่าวว่าบริษัทไม่ควรใช้ Generative AI เลย

Content Authenticity Initiative (CAI) ที่ก่อตั้งโดยอะโดบี เป็นตัวอย่างหนึ่งของมาตรการป้องกันที่ผลักดันโดยภาคอุตสาหกรรม  ด้วยสมาชิกมากกว่า 1,500 ราย CAI สนับสนุนมาตรฐานและเทคโนโลยีระดับโลกแบบเปิด รวมถึง Content Credentials ซึ่งเปรียบเสมือน “ฉลากโภชนาการ” แบบดิจิทัลสำหรับคอนเทนต์ ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบว่าคอนเทนต์ Generative AI ถูกสร้างขึ้นในลักษณะใด

บุคลากรด้านการตลาดและ CX ส่วนใหญ่กล่าวว่าพวกเขาจะใช้ Generative AI สำหรับการทำงานในอนาคต

เกือบเก้าในสิบ (89%) เคยใช้เครื่องมือ Generative AI บางประเภท โดย 67% ได้ลองใช้บอทสนทนา และ 45% เคยใช้เครื่องมือสร้างภาพ  บุคลากรเหล่านี้เกือบทั้งหมด (94%) เชื่อว่าบริษัทของตนจะใช้ Generative AI สำหรับการทำงานในอนาคต

Generative AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและทำให้ประสบการณ์ของลูกค้าเป็นแบบส่วนตัวมากขึ้น  ผู้บริหารฝ่ายการตลาดและประสบการณ์ลูกค้าเชื่อว่า Generative AI จะเป็นประโยชน์ในหลากหลายแง่มุม กล่าวคือ เก้าในสิบคน (90%) กล่าวว่าจะช่วยให้พวกเขาทำงานได้ดีขึ้น และในสัดส่วนที่เกือบจะเท่ากัน (88-89%) ระบุว่าจะช่วยให้พวกเขาทำงานได้มากขึ้น สร้างคอนเทนต์ได้มากขึ้นและดีขึ้น และปรับปรุงความสามารถในการใช้เครื่องมือด้านครีเอทีฟ  ในแง่ของประสบการณ์ กลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามเปอร์เซ็นต์เดียวกันนี้คาดว่า Generative AI จะช่วยให้พวกเขาเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่เหมาะสม ปรับแต่งประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคลให้แก่ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น กำหนดขั้นตอนการดำเนินการใหม่ๆ สำหรับลูกค้า และระบุกลุ่มเป้าหมายใหม่

Generative AI ขยายการเข้าถึงเครื่องมือด้านประสบการณ์ดิจิทัลที่ซับซ้อนได้

เมื่อสอบถามว่าบริษัทควรใช้ Generative AI ในลักษณะใดมากที่สุด ผู้บริหารฝ่ายการตลาดและ CX ระบุสิ่งสำคัญที่สุดอันดับ 1 เท่ากันทั้งสามอย่าง ได้แก่ การเพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพในการทำงาน การปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการ และการนำเสนอประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้แก่ลูกค้า

Generative AI จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างเนื้อหาคอนเทนต์  ขณะที่บุคลากรฝ่ายการตลาดและ CX มองว่าเครื่องมือ Generative AI ที่เกิดขึ้นใหม่นั้นมีศักยภาพสูง แต่ความคาดหวังสามอันดับแรกของพวกเขาล้วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาคอนเทนต์ โดยการสร้างคอนเทนต์ได้เร็วขึ้นครองอันดับ 1 ส่วนการปรับแต่งคอนเทนต์และการสร้างคอนเทนต์เพิ่มมากขึ้นจัดอยู่ในอันดับ 2 ด้วยคะแนนที่เท่ากัน  ในแต่ละกรณี Generative AI จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพลิกโฉมและการเพิ่มความคล่องตัวให้แก่ซัพพลายเชนด้านคอนเทนต์ และช่วยให้แบรนด์ต่างๆ ทั่วโลกสามารถตอบสนองความต้องการด้านคอนเทนต์ของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นทวีคูณ เช่น 2 เท่า, 5 เท่า และ 10 เท่า

บุคลากรฝ่ายการตลาดและ CX ยังมีข้อกังวลใจ

แม้ว่านักการตลาดส่วนใหญ่มีความเห็นด้านบวกเกี่ยวกับประโยชน์ของ Generative AI แต่ก็ยังคงมีความกังวลใจในบางเรื่อง โดยมีการจัดอันดับข้อกังวลใจที่สำคัญที่สุด ได้แก่ คุณภาพของข้อมูล ข้อความก๊อปปี้ หรือรูปภาพ (อันดับ 1), ความเสี่ยงต่อการละเมิดลิขสิทธิ์ (อันดับ 2) และการขาดความโปร่งใสเกี่ยวกับวิธีการฝึกโมเดล AI (อันดับ 3)

โดยรวมแล้ว ผลการศึกษาเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า Generative AI มีอนาคตที่สดใสทั้งสำหรับผู้บริโภคและแบรนด์  โดยลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญด้านแบรนด์ส่วนใหญ่มีความพร้อมและตื่นเต้นที่จะได้เห็นการใช้งาน Generative AI เพื่อปรับปรุงผลิตภัณฑ์ บริการ และประสบการณ์ และตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับแบรนด์ต่างๆ แล้วที่จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อขยายขอบเขตความเป็นไปได้และนำเสนอสิ่งที่ลูกค้าคาดหวังอย่างมีความรับผิดชอบได้อย่างไร

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางที่แตกต่างของอะโดบีสำหรับ Generative AI รวมถึงประสบการณ์ลูกค้ายุคหน้าที่ได้รับการปรับปรุงโดย Adobe Sensei GenAI และ Adobe Firefly ซึ่งทำหน้าที่เป็น Co-pilot สำหรับงานครีเอทีฟ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

โตชิบา ออกตู้เย็นมัลติดอร์ สั่งงานผ่าน TSmartLife ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล

โตชิบา แนะนำตู้เย็นมัลติดอร์ รุ่น GRRF605WIPMT(06) ขนาดความจุ 18 คิว ควบคุมการทำงานผ่านแอปพลิเคชัน TSmartLife เช่น ปรับอุณหภูมิ บันทึกการใช้งาน การแจ้งเตือนการปิดประตู  เป็นต้น ระบบทำความเย็นแยกอิสระ 2 ชุด (Dual Cooling) ป้องกันกลิ่นปะปนกันระหว่างช่องแช่เย็นและช่องแช่แข็ง รักษาอุณหภูมิได้คงที่ มาพร้อมเทคโนโลยี Origin Inverter ที่เป็นระบบอินเวอร์เตอร์ทั้งคอมเพรสเซอร์และพัดลม ช่วยประหยัดไฟยิ่งขึ้น ระบบกำจัดกลิ่น Pure BIO ที่มี Ag+ ช่วยยับยั้งแบคทีเรียและกลิ่นไม่พึงประสงค์ในตู้เย็น

พิเศษด้วยช่องเก็บของที่สามารถปรับระดับความชื้นให้เหมาะสมกับของที่แช่ได้ เพื่อการเก็บรักษาผักผลไม้ได้ยาวนานขึ้น ช่องกดน้ำดื่มด้านหน้า ถอดล้างทำความสะอาดได้ ดีไซน์หรู หน้าบานประตูสี Morandi Grey เคลือบผิว 10 ชั้น เพิ่มความทนทาน ป้องกันรอยขีดข่วนที่ตัวเครื่อง พร้อมมั่นใจคุณภาพมาตรฐานญี่ปุ่น รับประกันตัวเครื่อง ปี คอมเพรส เซอร์ 10 ปี ชมข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ www.toshibalifestyle.com/th, FB:ToshibaLifestyleThailand หรือ
โทร. 02-511-7999


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

PRO-Thailand Network และมูลนิธิ 3R เดินหน้าเปลี่ยน “ขยะ” เป็น “เงิน”

กรุงเทพฯ 30 ตุลาคม 2566 “เครือข่ายองค์กรความร่วมมือจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน” (Packaging Recovery Organization Thailand Network) หรือ “PRO-Thailand Network” ภายใต้การทำงานร่วมกับมูลนิธิการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน (มูลนิธิ 3R) เดินหน้าประสานความร่วมมือโรงงานรีไซเคิลกล่องเครื่องดื่ม (กล่องยูเอชที) และร้านรับซื้อของเก่าทั่วประเทศ นำโดย บริษัท อีโค่ เฟรนด์ลี่ ไทย จำกัด สมาคมซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า (สมาคมซาเล้งฯ) และกลุ่มวงษ์พาณิชย์ กรุ๊ป ผลักดันการรับซื้อและรวบรวมบรรจุภัณฑ์ หลังการบริโภคจากภาคประชาชน ประเภท “กล่องเครื่องดื่ม” อาทิ กล่องนม กล่องน้ำผลไม้ กล่องกะทิ กลับมารีไซเคิล (Recycle) จากทั่วทุกภาคของประเทศไทย

ดร.วิฑูรย์ สิมะโชคดี ประธาน มูลนิธิการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน (มูลนิธิ 3R) เปิดเผยว่า ในแต่ละปีประเทศไทยมีการบริโภคเครื่องดื่มในกล่องยูเอชทีมากถึง 70,000 – 80,000 ตัน แต่ยังไม่มีระบบการเก็บกลับ หรือรับซื้อคืนหลังการบริโภคแล้ว ทำให้กล่องยูเอชทีเหล่านี้จะถูกทิ้งรวมไปกับขยะทั่วไป ทั้งๆ ที่หากมีการนำกล่องเครื่องดื่มเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล จะได้เป็นเยื่อกระดาษชั้นดี ที่สามารถนำไปเป็นวัตถุดิบสำหรับธุรกิจ การผลิตกระดาษคราฟต์ ผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ซีเมนต์ กระดาษทิชชู่ ขณะที่พลาสติกและฟอยล์จากกล่องเครื่องดื่ม ก็สามารถนำไปพัฒนาเป็นพาเลท อิฐบล็อก และไม้เทียม เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ได้ ดังนั้นมูลนิธิ 3R จึงได้ทำงานร่วมกับเครือข่าย PRO-Thailand Network ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เพื่อวางรากฐานความยั่งยืนโดยผลักดันให้เกิดกลไกการรับซื้อกล่องเครื่องดื่มหลังการบริโภคจากภาคประชาชน

“มูลนิธิ 3R เชื่อมั่นว่า การขยายความร่วมมือของเครือข่ายนำโดยมี บริษัท อีโค่ เฟรนด์ลี่ ไทย จำกัด สมาคมซาเล้งฯ กับกลุ่มวงษ์พาณิชย์ จะเป็นก้าวสำคัญที่ทุกฝ่าย มาทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือ การสร้างกลไกการจัดเก็บ รับซื้อ และรวบรวมกล่องเครื่องดื่มใช้แล้วกลับมารีไซเคิล แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่า และสร้างมูลค่าในเชิงพาณิชย์ อีกทั้งยังเป็นการลดปริมาณขยะที่จะรั่วไหลสู่สิ่งแวดล้อม” ดร.วิฑูรย์ กล่าว

นายชัยยุทธิ์ พลเสน นายกสมาคมซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า กล่าวว่า “ตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมา สมาคมซาเล้งฯ ทำงานร่วมกับโรงงานรีไซเคิล นำโดย อีโค่ เฟรนด์ลี่ ไทย ได้ประชาสัมพันธ์การรับซื้อกล่องยูเอชทีหลังการบริโภคของประชาชนทุกชนิด กับร้านรับซื้อของเก่าที่เป็นสมาชิกรวมถึงพี่น้องชาวซาเล้งที่เก็บขยะขายทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันสมาคมซาเล้งฯ มีสมาชิกกว่า 35,000 คน อีกทั้งยังร่วมมือกับกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนคัดแยกกล่องยูเอชทีให้นำมาขายเปลี่ยนเป็นเงิน เป็นการส่งเสริมอาชีพซาเล้ง และช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันสมาคมซาเล้งฯ กำลังขยายฐานร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการรับซื้อกล่องยูเอชทีจากภาคประชาชน พร้อมๆ กับการนำร่องจัดตั้ง Recycling Hub เพื่อเป็นจุดรวบรวมประจำภาคเหนือ โดยจะมีการรณรงค์การคัดแยกกล่องเครื่องดื่มจากขยะทั่วไป และรับซื้อจากชุมชน โดยร้านรับซื้อของเก่าที่สนใจรับซื้อกล่องเครื่องดื่ม สามารถติดต่อโทร/ ID LINE 099-060 9777 หรือ อีเมล saleng.9777@gmail.com

ดร.สมไทย วงษ์เจริญ ประธานบริหารกลุ่มวงษ์พาณิชย์ กรุ๊ป บริษัท วงษ์พาณิชย์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า “วันนี้ อยากชวนทุกคนให้หยุดทิ้ง กล่องเครื่องดื่ม UHT ขายได้แล้วที่วงษ์พาณิชย์ทุกสาขาทั่วไทย เราได้เปิดการรับซื้ออย่างเป็นทางการแล้ว เราจะเริ่มปฏิบัติการให้ความรู้กับเด็กนักเรียนระดับประถม มัธยม อุดมศึกษา ชุมชน ครัวเรือน ผู้บริโภคในสังคมให้เกิดการตื่นตัว หยุดทิ้งของขายได้ วงษ์พาณิชย์ทั่วไทยยินดีรับซื้อในราคาดี ทั้งหมดมาจากนโยบายของบริษัทแม่ และความร่วมมือ MOU ระหว่าง กลุ่มวงษ์พาณิชย์ กรุ๊ป บริษัท อีโค่ เฟรนด์ลี่ ไทย จำกัด ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก PRO-Thailand Network”

นายสมยศ วัฒน์พานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีโค่ เฟรนด์ลี่ ไทย จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการรีไซเคิลกระดาษและกล่องยูเอชที กล่าวว่า “PRO-Thailand Network เข้ามาช่วยส่งเสริม และพัฒนาเทคโนโลยีการรีไซเคิลกล่องยูเอชที และผลักดันให้เกิดกลไกการรับซื้อกล่องยูเอชทีหลังการบริโภคแล้วทั่วประเทศ บริษัทเชื่อมั่นว่า จากการจับมือเป็นพันธมิตรร่วมมือกับ สมาคมซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า และกลุ่มวงษ์พาณิชย์ กรุ๊ป จะเป็นก้าวแรกที่ทำให้เกิดการคัดแยกกล่องยูเอชทีหลังการบริโภคตั้งแต่ต้นทาง เพื่อนำไปขายให้กับร้านรับซื้อของเก่า ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายต้องการรับซื้อกล่องยูเอชทีใช้แล้วจากภาคประชาชนเพื่อรีไซเคิล” สำหรับประชาชนที่สนใจคัดแยกกล่องยูเอชทีหลังการบริโภค

เช็กพิกัดร้านรับซื้อได้ที่
https://www.google.com/maps/d/edit?mid=1iEoI4fpBuHkSjXrmfyJRphKHa52u8gE&usp=sharing


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เปิดประสบการณ์ นวัตกรรมเทคโนโลยีการพิมพ์ไร้ขีดจำกัด ภายใต้คอนเซ็ปท์ “Smart Printtech Now and Future” 28-31 มีนาคม 2024 Printtech Exhibition

ในปัจจุบันที่เทคโนโลยีได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดอุตสาหกรรมต่างๆก็ได้ปรับตัวและพัฒนาไปพร้อมๆกันรวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมงานพิมพ์ป้ายโฆษณา, งานพิมพ์บนวัสดุ, งานพิมพ์สกรีนบนวัสดุ, งานพิมพ์บรรจุภัณฑ์ ฯลฯ ที่ได้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการสร้างสรรค์งานและประสบการณ์ทำงานให้กับผู้ประกอบการอย่างมีประสิทธิภาพไร้ขีดจำกัด

Printtech จึงขอเชิญทุกคนมาเปิดประสบการณ์ นวัตกรรมเทคโนโลยีการพิมพ์ไร้ขีดจำกัดไปกับ งานแสดงสินค้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งปี The11th Printtech & Signage Expo 2024 และงาน The 8th Garment Screen Embroidery 2024   ผ่าน 3 ไฮไลท์ ได้แก่

1. การแสดงนวัตกรรมเทคโนโลยีเครื่องจักรและเครื่องพิมพ์อันชาญฉลาด (Smart Innovation) ที่ช่วยให้ทำงานง่ายขึ้นลดต้นทุนเพิ่มผลกำไรเป็นโอกาสในการรับชมเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
2.
การแสดงวัสดุการพิมพ์ที่หลากหลาย (Various Material) ที่สามารถนำมาใช้ในการพิมพ์ได้ เช่น ไวนิล, ผ้าทอ, โลหะ,ไม้, แก้ว และเซรามิค ฯลฯ เป็นโอกาสในการสำรวจ ว่าเหล่านวัตกรรมนี้สามารถนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการพิมพ์ได้อย่างไร

3. การสร้างเครือข่ายและโอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunity) ต่อยอดธุรกิจกับฐานลูกค้าใหม่ๆ พบปะแลกเปลี่ยนแนวคิดกับนักธุรกิจจากองค์กรชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ร่วมชมงานแสดงสินค้าเทคโนโลยีการพิมพ์ครบวงจร ตลอด 4 วัน ระหว่างวันที่ 28-31 มีนาคม 2567 ฮอลล์ 9-10 .ศูนย์การแสดงสินค้า อิมแพค เมืองทองธานี  เวลา 10.00-20.00 .  สนใจพื้นที่ร่วมออกงานติดต่อ คุณมินท์ธิตา ฝ่ายการตลาด โทร.082-4559642 , 02-4092734-35  https://www.printtechexpo.com , email  printtechexpo@gmail.com , sale@printtechexpo.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

รายงาน Ericsson ConsumerLab 5G สร้างความแตกต่างของเครือข่ายและโอกาสทางธุรกิจให้กับค่ายมือถือ

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) เผยการวิจัยในรายงาน Ericsson ConsumerLab ฉบับล่าสุด ระบุ 1 ใน 5 ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G มองหาประสบการณ์บริการ 5G ที่แตกต่าง เช่น คุณภาพของการบริการ สำหรับการใช้แอปพลิเคชันยอดนิยม โดยผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินแก่ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารในอัตราพิเศษสูงสุดถึง 11% เพื่อเพลิดเพลินไปกับการเชื่อมต่อที่มีมูลค่าเพิ่ม

รายงาน 5G Value: Turning Performance into Value ยังเน้นด้านความพึงพอใจและความภักดีของผู้ใช้ โดยให้ความสำคัญกับศักยภาพของเคสทางธุรกิจของผู้ให้บริการ 5G เนื่องจากยอดผู้สมัครใช้บริการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกแสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจเพิ่มขึ้นกับการใช้งานเครือข่าย 5G

นอกจากนี้ ในรายงานยังเผยประสบการณ์การเชื่อมต่อ 5G ที่ไม่น่าพึงพอใจในสถานที่หลัก ๆ อาทิ สนามกีฬา สถานบันเทิงและสนามบิน ทำให้ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะย้ายค่ายมือถือมากขึ้นถึงสามเท่า

การวิจัยโดยรอบด้านครั้งนี้สะท้อนมุมมองของผู้บริโภคประมาณ 1.5 พันล้านรายทั่วโลก รวมถึงลูกค้า 5G ประมาณ 650 ล้านราย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยของอีริคสันเพื่อติดตามวิวัฒนาการของตลาดผู้บริโภค 5G ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ในประเทศไทยอีริคสันยังได้วิจัยตลาดแบบเฉพาะเจาะจง โดยการสอบถามกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนผู้บริโภคราว 23 ล้านคนในประเทศ

พบว่าปัจจัยขับเคลื่อนความพึงพอใจของเครือข่าย 5G กำลังพัฒนาไปสู่ประสบการณ์การใช้งานแอปพลิเคชัน โดยจำนวนผู้ใช้ที่พึงพอใจอย่างมากกับประสิทธิภาพเครือข่าย 5G ในภาพรวมของประเทศไทยเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

5G กำลังเปลี่ยนโฉมการสตรีมวิดีโอและการใช้งาน AR ผู้ใช้ชาวไทยที่ใช้แพ็คเกจบริการประเภทนี้จะใช้เวลาเกือบ 60% ของเวลาสตรีมมิ่งวิดีโอทั้งหมดไปกับการเพิ่มความน่าสนใจให้กับเนื้อหาวิดีโอหรือ AR ขณะที่ผู้ใช้ที่ไม่ได้ใช้แพ็คเกจบริการประเภทนี้จะใช้เวลาเพียง 40% ไปกับคอนเทนต์สมจริง (Immersive Content)

ประสิทธิภาพ 5G ในจุดสำคัญ ๆ มีผลต่อความภักดีของผู้บริโภค นับตั้งแต่เปิดตัว 5G ในประเทศไทย มีผู้ใช้บริการมือถือประมาณ 19% ย้ายค่ายมือถือ และในบรรดาผู้ที่ย้ายเครือข่าย เกือบ 60% เกิดจากเหตุผลด้านประสิทธิภาพเครือข่าย 5G ซึ่งหากผู้ใช้มีปัญหาการเชื่อมต่อในพื้นที่ต่าง ๆ ตั้งแต่ 2 แห่งขึ้นไปก็มีแนวโน้มที่ย้ายค่ายมากขึ้น 1.3 เท่า

ผู้บริโภค 5G ในประเทศไทยจะจ่ายค่าบริการพิเศษสำหรับการเชื่อมต่อที่มีความต่างและโดดเด่น โดยผู้ใช้สมาร์ทโฟนยินดีจ่ายค่าบริการเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 13% สำหรับข้อเสนอที่รวมการใช้บริการแอปฯ ชั้นนำ

ญาสมีต ซิงห์ เซธิ หัวหน้าฝ่าย Ericsson ConsumerLab กล่าวว่าในการสำรวจครั้งนี้ มีผู้บริโภค 5G ราว 37% เชื่อว่าการเพิ่มปริมาณการใช้ดาต้าในแพ็คเกจ 5G ของพวกเขาสมเหตุสมผลกับอัตราค่าบริการ

พรีเมียมของผู้ให้บริการ

“ที่น่าสนใจคือประมาณหนึ่งในห้าของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G แสดงความพึงพอใจชัดเจนต่อคุณภาพการเชื่อมต่อบริการที่มีความแตกต่าง โดยผู้บริโภคกลุ่มนี้มองหาประสิทธิภาพเครือข่ายที่ยกระดับและมีความเสถียรแทนการเลือกใช้ 5G แบบทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่ายที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับแอปพลิเคชันที่ต้องการประสิทธิภาพเครือข่ายสูง ๆ และเจาะจงสถานที่สำคัญ ๆ ผลการวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าพวกเขายินดีจ่ายค่าบริการพิเศษเพิ่มขึ้นอีก 11% หากผู้ให้บริการมีบริการเหล่านี้เสนอให้”

วิธีเก็บข้อมูล

อีริคสันสัมภาษณ์ผู้บริโภคมากกว่า 37,000 คน ใน 28 ประเทศ ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน พ.ศ. 2566 โดยขอบเขตการวิจัยสะท้อนมุมมองความคิดเห็นของผู้บริโภคประมาณ 1.5 พันล้านคน รวมถึงผู้ใช้ 5G จำนวน 650 ล้านราย

อ่านรายงานฉบับเต็ม: 5G Value: Turning performance into loyalty

ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง: Ericsson ConsumerLab: the voice of the consumer Ericsson ConsumerLab: 5G Reports Ericsson Private Networks


Exit mobile version