Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

โรงงานไมเดียประเทศไทย ผลิตเครื่องปรับอากาศครบ 1 ล้านชุด
ถือเป็นก้าวใหม่ที่สำคัญในการขยายธุรกิจในต่างประเทศของแบรนด์ 


เมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา แบรนด์เครื่องปรับอากาศ Midea (ไมเดีย) ได้จัดงานประชุมและเชิญแขก ผู้มีเกียรติจากทั่วโลกเข้าร่วมงาน ภายใต้คอนเซปต์ “Innovating for the Future” ซึ่งได้ ทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศ จำนวน 1 ล้านชุดแรก ที่ผลิตโดยโรงงานไมเดียประเทศไทย อย่างยิ่งใหญ่ งานนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี, ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและการพาณิชย์ประจำสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย, ประธานหอการค้าวิสาหกิจจีนประจำประเทศไทย, ผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (IEAT) พร้อมด้วย ประธานบริหารบริษัท ไมเดีย รีฟริจเจอเรชั่น อีควิปเมนท์ (ไทยแลนด์) จำกัด และตัวแทนแขกผู้มีเกียรติจากทั่วโลกของไมเดียเข้าร่วมงาน เพื่อเป็นเกียรติและสักขีพยานในช่วงเวลาสำคัญอันยิ่งใหญ่นี้

โรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศอัจฉริยะของไมดีย ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี ทุ่มงบประมาณลงทุนกว่า 5.5 พันล้านบาท โดยเริ่มผลิตสินค้าเต็มรูปแบบในเดือนพฤศจิกายน 2565 ซึ่งใช้ระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งโรงงาน จนสามารถผลิตสินค้าครบ 1 ล้านชุด โรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นบนมาตรฐานโรงงานแห่งยุคอุตสาหกรรม 4.0 มีพื้นที่ครอบคลุมถึง 2.08 แสนตารางเมตร และมีสายการผลิต โดยหุ่นยนต์อัตโนมัติเต็มรูปแบบถึง 6 สาย โดยส่วนใหญ่ส่งออกสินค้าให้กับประเทศในภูมิภาคอาเซียน, ตะวันออกกลาง, อเมริกาเหนือ และ ภูมิภาคอื่น ๆ และพร้อมเป็นอย่างยิ่ง ที่จะตอบสนองความต้องการของตลาดในประเทศไทย การเลือกจัดงานที่ประเทศไทยครั้งนี้ ไม่เพียงแต่แสดงให้ทั่วโลกได้เห็นว่าโรงงานไมเดียประเทศไทย นั้นอัจฉริยะกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรม แต่ยังเป็นการแสดงศักยภาพความแข็งแกร่งและสร้างความเชื่อมั่นของแบรนด์จีนในเวทีระดับสากล

ผลิตนวัตกรรมใหม่อย่างไม่หยุดยั้ง เครื่องปรับอากาศไมเดียสร้างสถิติอันดับ 1 มากมาย ในตลาด โลก ในปี 2565 ไมเดียมีกำลังการผลิตเครื่องปรับอากาศสูงถึง 60 ล้านชุด โดยในจำนวนนี้ ถูกส่งออกมากกว่า 30 ล้านชุด ปัจจุบันการผลิตและจำหน่ายเครื่องปรับอากาศของไมเดีย ก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของโลก และไมเดียยังเป็นแบรนด์อันดับหนึ่ง ที่มีส่วนแบ่งการตลาดและการส่งออกเครื่องปรับอากาศสูงสุดในประเทศจีน

ปัจจุบัน ไมเดียมีบริษัทในเครือกว่า 200 แห่ง ศูนย์วิจัยและพัฒนา 31 แห่ง และฐานการผลิตหลัก 40 แห่งทั่วโลก โดยมีพนักงานมากกว่า 1.6 แสนคน และธุรกิจครอบคลุมกว่า 200 ประเทศ จากรายชื่อผู้นำด้านสิทธิบัตร 250 อันดับแรกของโลก ในปี 2565 ที่เผยแพร่ โดยฐานข้อมูลสิทธิบัตรเชิงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกา IFI Claims Midea Group (ไมเดีย กรุ๊ป) ได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับที่ 7 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ในบรรดา บริษัทจากจีน ด้วยการถือครองสิทธิบัตรที่ถูกต้องกว่า 64,895 รายการ

ไมเดีย นำเสนอระบบปรับอากาศ HVAC เพื่อเป็นทางออกด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมสำหรับ อาคารทั้งหลัง ในการประชุมระดับโลกครั้งนี้ ไมเดีย ได้ให้ความสำคัญกับผู้ใช้งานเป็นหลัก โดยได้นำเสนอการแก้ปัญหาด้านสภาพอากาศและพลังงาน สำหรับอาคารทั้งหลังที่ยั่งยืนเป็นครั้งแรกของโลก โดยได้เปิดตัวเทคโนโลยีการแปลงความถี่โดยใช้ AI (ปัญญาประดิษฐ์) อัจฉริยะรุ่นใหม่ ซึ่งจะใช้ AI ผนวกกับการประมวลผลแบบคลาวด์ เพื่อให้สามารถควบคุมการแปลงความถี่ได้อย่างละเอียดและแม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ประสบความสำเร็จในการประหยัดพลังงานขั้นสูงสุด ในขณะเดียวกัน เครื่องปรับอากาศไมเดีย ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีปรับแรงดันไฟฟ้า ทำให้รับรู้การผกผันของกระแสไฟฟ้า ทั้งอัตรากำลังและกระแสไหลเวียนไฟฟ้าที่หลากหลาย สามารถเลือกพื้นที่การทำงานได้อย่างอิสระและทำงานได้อย่างปกติ แม้อยู่ในพื้นที่ห่างไกลของประเทศไทยที่มีแรงดันไฟฟ้าไม่คงที่ หรือช่วงที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงสุดในฤดูร้อน

ไมเดีย มุ่งมั่นที่จะสร้างระบบที่แข็งแกร่งในประเทศไทยอย่างเต็มกำลัง จุดมุ่งหมายหลักของงานนี้ คือ การเฉลิมฉลองการผลิตเครื่องปรับอากาศไมเดียครบ 1 ล้านชุดแรกในประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นเครื่องปรับอากาศ “Made in Thailand” ชุดแรกที่จะจัดจำหน่ายในตลาดไทยอีกด้วย แสดงให้เห็นว่า ไมเดีย ประสบความสำเร็จอย่างครอบคลุมในไทย ทั้งด้านการวิจัยและพัฒนา กำลังการผลิต ไปจนถึงการจัดจำหน่าย ทั้งนี้ ไมเดีย ยังคงเสาะหาเส้นทางการพัฒนาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพิ่มการลงทุนและสร้างสรรค์อย่างมืออาชีพ ปรับระบบบริการหลังการขายให้ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคในตลาดไทยได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น


Categories
บทความ เทคโนโลยี

สุดทางแล้ว “รัฐบาลดิจิทัล” เมื่อโลก “หลังยุคดิจิทัล” เริ่มขึ้น

บทความโดย ดีน ลาเชก้า รองประธานฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์

เทคโนโลยีดิจิทัลไม่ได้เป็นตัวกำหนดแนวทางหรือวิธีการการให้บริการขององค์กรภาครัฐฯ อีกต่อไป เนื่องจากมีสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุด คือ ผลลัพธ์ภารกิจ ที่ถูกนำมาพิจารณา หลังองค์กรรัฐฯ มุ่งลงทุนเทคโนโลยีดิจิทัลมากว่า 20 ปี ถึงเวลาแล้วที่ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง เมื่อการทำ “ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน” ไม่ใช่ปัจจัยขับเคลื่อนอีกต่อไป

การเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลดิจิทัล (หรือ Digital Government) ดำเนินไปอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และรัฐบาลหลายแห่งกำลังก้าวเข้าสู่โลกหลังยุคดิจิทัล (หรือ Post-Digital) ซึ่งเป็นช่วงที่เคสทางธุรกิจ (Business Case) เกิดขึ้นเพื่อเน้นกระตุ้นการลงทุนเพิ่มเติมมากกว่าผลตอบแทนที่ลดลง (Diminishing Returns) โดยเกิดจากความพยายามปรับปรุงประสบการณ์ของประชาชนหรือส่งมอบประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเพิ่มเติม เคสทางธุรกิจต่าง ๆ จะต้องสามารถมอบประโยชน์ที่เชื่อมโยงกับภารกิจหรือเป้าหมายด้านสาธารณะของแผนกหรือหน่วยงานของรัฐฯ ได้โดยตรง

จากข้อมูลของการ์ทเนอร์ ระบุว่าองค์กรภาครัฐมากถึง 90% กำลังอยู่ในกระบวนการขยายรัฐบาลดิจิทัล หรือ มีการขยายส่วนงานหลักขององค์กรไปเป็นดิจิทัลแล้ว ดังนั้นจึงเกิดเป็นคำถามว่าทำไมถึงควรต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มกับเทคโนโลยีอีก?

รัฐบาลหลังยุคดิจิทัล (หรือ Post-Digital Government) กำหนดให้องค์กรต่าง ๆ รีเซ็ตความตั้งใจใหม่และมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายสาธารณะ การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2569 รัฐบาลทั่วโลกมากกว่า 75% จะวัดความสำเร็จในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นด้วยการวัดผลกระทบของภารกิจที่ยั่งยืน แทนการพิจารณาเพียงแค่จำนวนชั่วโมงการทำงานที่ลดลง ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น หรือความพึงพอใจของประชาชนเท่านั้น

การตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้น ในช่วงเวลาที่ต้องรัดเข็มขัดในการใช้จ่ายและหนี้ทางเทคนิค (Technical Debt) ที่เพิ่มขึ้น บังคับให้องค์กรภาครัฐฯ ต้องมองหาความสามารถและแนวทางที่ใช้ในปัจจุบันให้ต่างออกไป หากต้องการบรรลุผลภารกิจที่ยั่งยืนพวกเขาต้องค้นหาช่วงเวลาสำคัญ (The Moments That Matter) หมายถึงต้องเข้าใจมุมมองของผู้อื่นเพื่อตอบสนองความต้องการของภาคประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

รัฐบาลต้องใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกเพื่อคาดการณ์การมีส่วนร่วมที่เหมาะสมที่สุดและรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังต้องมองหาการพัฒนาระบบนิเวศของพันธมิตรที่เน้นผลลัพธ์ร่วมกัน

เปิดใจรับฟังเสียงและความคิดของผู้อื่น

เราจะเข้าถึงหัวใจสำคัญที่แท้จริงของแต่ละบุคคลที่เกี่ยวข้องได้อย่างไร? นอกจากการให้บริการดิจิทัลหรือการมีส่วนร่วมทางธุรกรรม คำตอบคือ การพัฒนาความสามารถในการเข้าใจมุมมองของผู้อื่น สร้างความเข้าใจครบถ้วนและแม่นยำยิ่งขึ้นในหมู่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นอกจากนี้ยังต้องเข้าใจช่วงเวลาสำคัญที่กำลังจะสร้างความต่างและวิธีการที่รัฐบาลได้รับผลกระทบต่อสิ่งเหล่านั้น

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ รัฐบาลจะต้องระบุผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งทางตรงและทางอ้อม และเข้าใจ Journey ที่พวกเขากำลังประสบระหว่างการทำธุรกรรมหรือการมีส่วนร่วมโดยเฉพาะ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการทำความเข้าใจกระแสทางธุรกรรม โดยจะช่วยให้พวกเขาจัดทำแผนผังว่าความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีการเปลี่ยนแปลงในจุดต่าง ๆ อย่างไรและอะไรทำให้เกิดความคับข้องใจ ไม่ไว้วางใจ ไม่สบายใจ หรือมีส่วนร่วม

แนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยความต้องการ (Need-Driven Approach) จะต้องดำเนินการสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและตอบสนองความต้องการเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งแนวทางนี้ช่วยให้สามารถระบุช่วงเวลาสำคัญ เพิ่มประสิทธิภาพการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และให้ความรู้ว่าเมื่อใดควรปรับเป็นเชิงรับหรือเชิงรุก

การออกแบบที่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human-Centered Design หรือ HCD) เป็นแนวทางสรุปสิ่งนี้ โดยเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาโดยใช้ความเข้าใจเป็นรากฐานสำคัญ โดยให้ประชาชนเป็นหัวใจของการแก้ปัญหา

ดึงศักยภาพข้อมูลเชิงลึกมาปรับใช้

เพื่อขับเคลื่อนประสบการณ์ไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด รัฐบาลหลังยุคดิจิทัลต้องนำเสนอบริการเฉพาะบุคคลขั้นสูง (Hyper-Personalized Services) ที่รวมข้อมูลเชิงลึกด้านความเข้าใจผนวกเข้ากับข้อมูลเชิงลึกการปฏิบัติงานแบบเรียลไทม์และนำไปปฏิบัติได้ในระหว่างกระบวนการตัดสินใจ การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2567 กว่า 60% ของการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการวิเคราะห์ข้อมูลขององค์กรภาครัฐฯ จะใช้เพื่อการตัดสินใจและสร้างผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ 

การสำรวจของการ์ทเนอร์ ช่วงเดือน เมษายน-พฤษภาคม 2566 จากองค์กรภาครัฐทั่วโลก 161 แห่ง แสดงให้เห็นว่า ในอีก 3 ปีข้างหน้านี้ 70% ขององค์กรภาครัฐฯ จะนำ Generative AI ไปปรับใช้ หรือ อยู่ในขั้นวางแผนนำไปใช้ 

การนำ AI มาปรับใช้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการสร้างช่องทางข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ ซึ่งรัฐบาลกำลังใช้ AI เพื่อรวบรวมข้อมูลที่เกิดขึ้นใหม่และเพิ่มคุณค่าให้กับข้อมูลเดิมที่มีอยู่ แต่เพื่อให้เกิดผลกระทบอย่างแท้จริง ข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ใหม่จะต้องนำไปปฏิบัติเป็นแนวทางการทำงาน

ภาครัฐฯ จะต้องสามารถจัดทำผังการไหลเวียนของข้อมูล เปลี่ยนข้อมูลนั้นให้เป็นข้อมูลเชิงลึก ต้องเข้าใจว่าข้อมูลเชิงลึกนั้นส่งผลต่อการตัดสินใจอย่างไร และเปลี่ยนสิ่งนั้นให้เป็นการกระทำที่จับต้องได้

จัดระบบนิเวศใหม่

รัฐบาลดำเนินการในระบบนิเวศรูปแบบหนึ่งมาโดยตลอด ซึ่งมักจะจัดทำขึ้นรอบ ๆ แผนกหรือหน่วยงาน แต่ระบบนิเวศดิจิทัลกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของสังคมและเปลี่ยนความคาดหวังของประชาชน โดยระบบนิเวศที่จัดทำขึ้นเพื่อคำนึงถึงปัญหาหรือผลลัพธ์ร่วมกัน มีแนวโน้มสร้างสรรค์นวัตกรรมและส่งมอบผลลัพธ์ภารกิจที่ยั่งยืนตามที่รัฐบาลทุกแห่งต้องการ

ในการเชื่อมระบบนิเวศเหล่านี้เข้าด้วยกันจำเป็นต้องมีการประเมินคุณค่าและสิ่งจูงใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบคอบ ซึ่งอาจเป็นได้ตั้งแต่การสร้างแพลตฟอร์มใช้ร่วมกัน เพิ่มการเข้าถึงชุดข้อมูลย่อยของรัฐบาล การช่วยให้มีส่วนร่วมอย่างครอบคลุมกับภาคประชาชนที่เกี่ยวข้อง หรือการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกและทรัพยากรร่วมกัน

ไม่ว่าจะเป็นความสามารถใหม่หรือความสามารถเดิมที่ได้รับการพัฒนาเพิ่มขึ้น เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่รัฐบาลหลังยุคดิจิทัล จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีสนับสนุนใหม่ ๆ ที่จะต้องรวมอยู่ในแผนงานด้านเทคโนโลยีขององค์กรภาครัฐฯ ในอนาคต โดยรัฐบาลจะไม่ลงทุนเพียงเพราะมันเป็นไอเดียที่ดี ดังนั้นผู้บริหารต้องสามารถเชื่อมโยงแผนงานเทคโนโลยีเข้ากับผลลัพธ์ภารกิจที่มุ่งเน้นในยุคหลังดิจิทัลให้ได้

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. ส่งดาวเทียมแนคแซท 2 แก่สถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) พร้อมปล่อยเข้าสู่วงโคจร ปี’67

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) จัดแถลงข่าวดาวเทียมแนคแซท 2 (KNACKSAT-2) ที่ได้พัฒนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยจะนำส่งมอบแก่องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (JAXA) เพื่อส่งที่สถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) พร้อมส่งดาวเทียมแนคแซทขึ้นสู่วงโคจรภายในปีต้นปี 2567 

.ดร.สมฤกษ์ จันทรอัมพร รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เป็นประธานงานแถลงข่าวพิธีส่งดาวเทียมแนคแซท 2 (KNACKSAT-2)  ผศ.ปรีชา  อ่องอารี ผู้อำนวยการอุทยานเทคโนโลยี พร้อมด้วยหน่วยงานร่วมวิจัยของเพย์โหลด (Mission Payload) 7 แห่ง  คณะผู้บริหาร คณาจารย์ นักศึกษา และ อาจารย์ ดร.พงศธร สายสุจริต รักษาการผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีอวกาศนานาชาติเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และหัวหน้าโครงการ รายงานความเป็นมาการดำเนินโครงดาวเทียมแนคแซท 2 (KNACKSAT-2) สร้างโดย ทีมวิจัย อาจารย์ มจพ. ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากห้วงอวกาศ สามารถเข้าถึงง่ายใช้ทรัพยากรที่จำกัดอย่างมีประสิทธิภาพ  แถลงข่าววันพุธที่ 11 ตุลาคม  2566  เวลา 12.00 – 13.00 .    ห้องประชุมชั้น  3  อาคารบัณฑิตวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์นานาชาติสิรินธร ไทยเยอรมัน มจพ.

KNACKSAT-2 เป็นโครงการดาวเทียม CubeSat ขนาด 3U (30 x 10 x 10 ซม.) พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ซึ่งเป็นดาวเทียมที่มีรูปแบบเป็น Ride Sharing Platform Satellite บรรจุเพย์โหลด (Mission Payload) หรืออุปกรณ์เพื่อพันธกิจทั้งหมด 7 ระบบ โดยแต่ละเพย์โหลดเป็นโครงการความร่วมมือระหว่าง มจพ. กับหน่วยงานภายนอก 7 แห่ง  ได้แก่ 1. บริษัท แอดวานซ์ จำกัด (มหาชน ) 2. สถาบันวิจัยดาราศาตร์แห่งชาติ (องค์กรมหาชน) 3. มหาวิทยาลัยพะเยา  4. มหาวิทยาลัย Universiti Teknologi MARA (UiTM)  ประเทศมาเลเซีย 5. มหาวิทยาลัย University of Perpetual Help System Dalta (UPHSD) ประเทศฟิลิปินส์ 6. โรงเรียนเตรียมวิศวกรรมศาสตร์  มจพ. และ 7. ศูนย์วิจัยระบบราง มจพ.  ทั้งนี้เพย์โหลดที่พัฒนาเพื่อวัตถุประสงค์ ดังนี้  การสาธิตการทำงาน IoT Gateway และภารกิจ Store and Forword  การสาธิตการติดตามตำแหน่งและความเร็วรถไฟทางดาวเทียม การทดสอบการถ่ายภาพความละเอียดสูงของอวกาศ การทดสอบเทคโนโลยีการป้องกันรังสีจากอวกาศที่ผลกระทบต่อระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการทดสอบวัสดุและอุปกรณ์ Commercial off-the-shelf 

ขวัญฤทัย ข่าว/สมเกษ ถ่ายภาพ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

สุดปัง! วิจัย มข.”แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนจากแกลบ-ขยะโซลาร์เซลล์” คว้ารางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2566

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น คว้ารางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2566 ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ประเภทหน่วยงานภาครัฐจากผลงงานแบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออนจากแกลบและขยะโซลาร์เซลล์ จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) พร้อมจัดพิธีมอบรางวัล ในวันที่ 5 ตุลาคม 2566 ณ รอยัลพารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน กรุงเทพฯ  มหาวิทยาลัยขอนแก่น นำโดย ศ.ดร.ธิดารัตน์ บุญมาศ รองอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรม และวิสาหกิจ พร้อมด้วย รศ.ดร.นงลักษณ์ มีทอง ประธานหลักสูตรวิทยาศาสตร์แบตเตอรี่และพลังงานใหม่ เข้ารับรางวัลชนะเลิศ  โดยมี รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลครั้งนี้ 

รศ.ดร.นงลักษณ์ มีทอง ประธานหลักสูตร กล่าวถึงผลงานว่า “แบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออนจากแกลบและขยะโซลาร์เซลล์” เป็นการนำแกลบและขยะโซลาร์เซลล์มาผลิตเป็นวัสดุที่ชื่อว่า วัสดุนาโนซิลิกอน ซึ่งวัสดุนาโนซิลิกอนดังกล่าวนี้สามารถใช้เป็นขั้วไฟฟ้าในแบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออนได้ รวมถึงแบตเตอรี่ชนิดอื่น ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศ โดยเซลล์แบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออนที่ผลิตได้มีความจุไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 15% ทำให้ยานยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ชนิดนี้มีระยะการขับเคลื่อนได้ไกลขึ้น มีความปลอดภัยสูงขึ้น และรองรับการชาร์จเร็วกว่าเดิม 4 เท่า ส่งผลให้เกิดการนำเอาสิ่งของที่มีอยู่ภายในประเทศมาใช้ในการผลิตแบตเตอรี่เพื่อยานยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน

นอกจากนี้ ยังช่วยลดการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการผลักดันให้เกิดห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่สมัยใหม่ได้อย่างครบวงจร ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแกลบและขยะโซลาร์เซลล์ ซึ่งเป็นของที่มีมูลค่าต่ำให้มีมูลค่าสูงขึ้น โดยที่มูลค่าเหล่านั้นจะต้องสามารถสร้างประโยชน์และสร้างรายได้เพิ่มให้กับชาวนา จากการเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ รวมถึงสามารถลดการทำเหมืองในรูปแบบเดิม ลดผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม และหยุดการฝังกลบแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งจะนำไปสู่การรีไซเคิลขยะโซลาร์เซลล์ที่เหมาะสม และสามารถใช้พลังงานสะอาดได้อย่างยั่งยืนรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ

สำหรับพิธีมอบรางวัล ในงาน “วันนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2566” จัดขึ้นเพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณและเชิดชูเกียรติแก่คนไทยที่ริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานอันเป็นนวัตกรรมที่โดดเด่น และเกิดคุณค่าที่ชัดเจนต่อประเทศชาติในหลากหลายด้าน หรือหน่วยงานองค์กรที่มีการบริหารจัดการโดยใช้ความรู้ เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์มาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดการสร้างคุณค่าทั้งในเชิงพาณิชย์และเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กรตั้งแต่ระดับยุทธศาสตร์ หรือกระบวนการ ไปจนถึงระดับโครงสร้าง ส่งเสริมให้เกิดการตื่นตัวด้านนวัตกรรมขึ้นในทุกภาคส่วนของสังคมไทย สร้างให้เกิดความภาคภูมิใจในศักยภาพนวัตกรรมจากฝีมือคนไทย และสร้างให้เกิดภาพลักษณ์สู่การเป็นประเทศแห่งนวัตกรรม

ข่าว  ผานิต  ฆาตนาค
ข้อมูลภาพ  ฝ่ายนวัตกรรมและวิสาหกิจ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค แนะนำยูพีเอสสายพันธุ์พิฆาตคาร์บอน ให้ประสิทธิภาพสูงสุด ขับเคลื่อนความยั่งยืนเหนือชั้น ด้วยโหมด eConversion

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค แนะนำผลิตภัณฑ์เครื่องสำรองไฟ (UPS) แบบ 3 เฟส โดยเป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับโครงสร้างพื้นฐานที่ จำเป็นต่อการดำเนินงาน เช่น ศูนย์ข้อมูล เฮลธ์แคร์ และการดำเนินงานที่ต้องการความเที่ยงตรง รวมถึงการผลิตที่ต้องอาศัยความต่อเนื่อง โดยมีความจุพลังงานให้เลือกตั้งแต่ 5 กิโลโวลต์แอมป์ ไปจนถึงเมกะวัตต์

หน้าที่สำคัญของ UPS 3 เฟส คือการให้คุณภาพไฟฟ้าที่เสถียรแก่อุปกรณ์ และเป็นพลังงานสำรองในกรณีที่ไฟฟ้าขัดข้อง ซึ่งการมีแหล่งพลังงานที่เชื่อถือได้ จะยิ่งเป็นการเพิ่มคุณภาพและความเสถียรของพลังงาน ซึ่งอุปกรณ์จะใช้พลังงานจำนวนมากในระหว่างการแปลงพลังงาน โดยปกติอุปกรณ์จะทำงาน 24 ชั่วโมง ตลอด 365 วัน ดังนั้นการสูญเสียพลังงานจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องระหว่างที่เครื่องทำงาน

โหมด Double Conversion สำหรับ UPS 3 เฟส เป็นที่รู้จักกันมานานกว่า 20 ปี ในแง่การป้องกันแบบ ‘normal’ โดยมีประสิทธิภาพเฉลี่ยประมาณ 96% แม้ว่าตัวเลขประสิทธิภาพจะดูสูงก็ตาม แต่หมายความว่า 4% ของไฟฟ้าทั้งหมดสูญเสียไปกับการกระจายความร้อนเพื่อให้ UPS ทำงานด้วยเช่นกัน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอเทคโนโลยีและโซลูชันที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูงสุดในการดำเนินงานต่างๆ จึงลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้าง UPS ที่นอกจากจะให้ประสิทธิภาพสูงสุดในโลกแล้ว ยังให้คุณภาพของไฟฟ้าที่ดีที่สุดอีกด้วย

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้คิดค้นโหมด eConversion ซึ่งจดสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อย ความโดดเด่นคือช่วยลดการสูญเสียไฟฟ้าได้มากจากความร้อนที่เกิดขึ้นระหว่างที่ UPS ทำงาน จึงช่วยลูกค้าประหยัดเงินและลดการปล่อยคาร์บอนได้ ซึ่งการช่วยให้โลกน่าอยู่ขึ้นอีกทั้งประหยัดเงิน คือแรงจูงใจที่ดี

หลักการทำงาน

eConversion เป็นโหมดสำหรับ UPS แบบ 3 เฟส ที่เป็นสิทธิบัตรของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่ช่วยให้เวลาในการสลับโหมดการทำงานเป็นศูนย์ จึงให้ประสิทธิภาพสูงสุดถึง 99% โดยสถาปัตยกรรมดังกล่าวจะทำการตรวจสอบคุณภาพของพลังงานที่จ่ายจากกริดในแบบไดนามิก

หากคุณภาพไฟฟ้าเพียงพอ ก็จะจ่ายไฟให้กับโหลดโดยตรง (ผ่าน static switch) แต่อินเวอร์เตอร์จะยังคงทำงานควบคู่ไปพร้อมกับการชาร์จแบตเตอรี่ การแก้ไขตัวประกอบกำลัง และการชดเชยฮาร์มอนิกส์ (harmonics) ตามรายละเอียดในหมายเหตุการณ์ใช้งาน

ซึ่งหากคุณภาพของกริดไม่เพียงพอ UPS จะเปิดโหมด Double Conversion โดยอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเงื่อนไขทุกอย่างเป็นไปตามต้องการ ก็จะกลับสู่ eConversion ในทำนองเดียวกัน ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์กับกริด (เช่น ไฟดับ ไฟฟ้าลัดวงจร) UPS จะปรับไปสู่การทำงานด้วยแบตเตอรี่ในทันทีโดยไม่เกิดการหยุดชะงัก ไม่มีการสะดุดเมื่อเปลี่ยนโหมด

เทคโนโลยีนี้ได้รับการจดสิทธิบัตรและได้รับการรับรองจาก UL (Underwriter Laboratories) ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่ช่วยยกระดับการป้องกันในมาตรฐาน IEC 62040-3 คลาส 1 (หมวดหมู่สูงสุด) ซึ่งได้รับการพิสูจน์ด้านประสิทธิภาพเช่นเดียวกับ Double Conversion

เทคโนโลยีนี้คล้ายคลึงกับเทคโนโลยี Start-stop ของอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ประสบความสำเร็จในการลด CO2 ลงได้อย่างมากโดยที่ยังคงความความปลอดภัย และให้ความสะดวกสบาย ด้วยการออกแบบที่ชาญฉลาดของการทำงานแบบ Start-Stop ของรถยนต์ คือเครื่องยนต์จะหยุดทำงานเมื่อรถไม่ได้ทำงาน อย่างช่วงติดไฟแดงหรือการจราจรหนาแน่น โดยการทำงานของเครื่องยนต์จะหยุดโดยอัตโนมัติ เมื่อรถไม่มีการเคลื่อนที่

การปรับปรุงประสิทธิภาพ 2-3% ช่วยได้มากแค่ไหน

ในกรณีที่ระบบเหล่านี้ทำงานตลอด 24/365 เรื่องนี้นับเป็นเรื่องสำคัญมาก การทำงานในโหมด eConversion ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ข้อมูลหรือโรงงานผลิต สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าต่อปีได้มากเท่ากับการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อป 30 หลังคาเรือน (กำลังการผลิต 3kWc ต่อแห่ง) นั่นคือปริมาณไฟฟ้าที่ต้องใช้ในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 50 คันทุกปี (อ้างอิงจาก Tesla model 3)

การปรับปรุงต้นทุนในการเป็นเจ้าของ หรือ TCO (Total Cost of Ownership) ก็มีความสำคัญเช่นกัน ช่วยประหยัดไฟฟ้าต่อปีอยู่ที่ 13.5k€  โดยภายในเวลา 10 ปี จะช่วยประหยัดเงินประมาณ 3 เท่า จากที่ลงทุนไปกับ UPS

นอกจากจะประหยัดเงินแล้ว ลูกค้ายังสามารถลดการปล่อย CO2 ได้อย่างมากเช่นกัน

ดังนั้นมีหลายวิธีที่พิสูจน์ให้เห็นว่าการตัดสินใจที่ดีที่สุดที่บริษัทสามารถทำได้คือ การลงทุนในเทคโนโลยีและโซลูชันประหยัดพลังงานในโหมด eConversion ซึ่งเป็นสิทธิบัตรของชไนเดอร์ อิเล็คทริค โดยเป็นการผสมผสานจุดเด่นไว้ด้วยกัน ทั้งให้การป้องกันสูงสุด และให้ประสิทธิภาพสูงสุดในคราวเดียวกัน เมื่อลูกค้าเริ่มใช้งาน ต่างก็ยืนยันถึงผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนในระยะเวลาอันสั้น จึงช่วยลดต้นทุนการเป็นเจ้าของโดยรวม ในขณะที่สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ในทันที

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ eConversion คลิก ที่นี่


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Roborock Dyad Pro Combo ใหม่! วางจำหน่ายแล้ว พร้อมโปรโมชั่นพิเศษฉลองเปิดตัวรับส่วนลดสูงสุดถึง 60%

Roborock ผู้นำด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและการผลิตหุ่นยนต์ทำความสะอาดและเครื่องดูดฝุ่นระดับโลก โดยมีการจัดจำหน่ายหุ่นยนต์ทำความสะอาดไปแล้วกว่า 10 ล้านเครื่องทั่วโลก ประกาศว่า Dyad Pro Combo รุ่นใหม่พร้อมให้คนไทยได้สั่งซื้อผ่านร้านค้าอย่างเป็นทางการทั้งบน Shopee และ Lazada รวมไปถึงร้านโชว์รูม Roborock ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลแอทเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 4

Roborock Dyad Pro Combo ได้เปิดตัวที่งาน IFA ที่เมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนีเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา Dyad Pro Combo เป็นเครื่องดูดฝุ่นพื้นเปียกและแห้งพร้อมอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมอีก 4 ชิ้นที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปร่าง และปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามสถานการณ์ 

Roborock Dyad Pro Combo มีกำลังดูด 17,000 PA  และสามารถทำความสะอาดได้ชิดถึง 1 มิลลิเมตรจากขอบและมุม นอกจากนี้ยังสามารถปรับกำลังแรงดูด การไหลของน้ำ และการจ่ายน้ำยาทำความสะอาดได้โดยอัตโนมัติ ครอบคลุมพื้นที่การทำความสะอาดได้มากถึง 300 ตร.ม. ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง และยังมีระบบเป่าแห้งอัตโนมัติด้วยลมร้อนถึง 50 องศาเซลเซียสที่ทำให้แปรงโรลเลอร์แห้งสนิทและไม่มีกลิ่นอับหรือกลิ่นไม่พึ่งประสงค์

Roborock Dyad Pro Combo ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 54,990 บาท แต่พิเศษสุดๆสำหรับลูกค้าที่ซื้อ Roborock Dyad Pro Combo ในวันที่ 25 กันยายน 2566 ผ่านทั้ง Shopee และ Lazada รับส่วนลดวันเปิดตัวถึง 60% ให้ลูกค้าได้เป็นเจ้าของ Roborock Dyad Pro Combo ในราคาเพียง 21,999 บาทเท่านั้น

นอกเหนือจากนั้น พิเศษสุดๆสำหรับ Shopee Payday ในวันที่ 25 กันยายน 2566 ลูกค้าจะได้รับส่วนลดเพิ่มเติมโดยสามารถใส่โค้ดส่วนลด 15MALL925 รับส่วนลด 15% เมื่อช้อปขั้นต่ำตั้งแต่ 0 บาทถึง 800 บาท และ Lazada Payday ในวันที่ 25 กันยายน 2566 ลูกค้าจะได้รับส่วนลดเพิ่มเติมโดยสามารถใส่โค้ดส่วนลด ROBOSEP41 รับส่วนลด 10% เมื่อช้อปขั้นต่ำตั้งแต่ 300 บาทถึง 500 บาท

สำหรับท่านใดที่สนใจ Roborock Dyad Pro Combo สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ในวันที่ 25 กันยายน 2566 หรือหากต้องการลองใช้งานจริงก่อน สามารถไปทดลองใช้งานได้ที่ร้านโชว์รูม Roborock ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลแอทเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 4

Roborock เราเป็นบริษัทเชี่ยวชาญในการวิจัย พัฒนา และผลิตหุ่นยนต์ทำความสะอาดบ้านและอุปกรณ์ทำความสะอาดอื่นๆ บริษัทพัฒนาและผลิตหุ่นยนต์ดูดฝุ่นภายใต้แบรนด์ Roborock รวมถึงสร้างหุ่นยนต์ดูดฝุ่นให้กับ Xiaomi หนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของจีน หุ่นยนต์แต่ละตัวที่เราสร้างขึ้นได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์เดียว คือทำให้ผู้คนมีเวลามากขึ้นในสิ่งที่พวกเขารัก ปัจจุบัน Roborock ให้บริการใน 40 ประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย บริษัทดำเนินงานในสี่แห่ง โดยมีสำนักงานในปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น และฮ่องกง สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ https://us.roborock.com 

สามารถติดตามข่าวสารดีๆ รวมถึงโปรโมชันสุดพิเศษจากโรโบร็อคได้ที่เว็บไซต์ www.roborockthailand.com และเพจเฟซบุ๊ก Roborock Thailand หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ LINE Official: @RoborockThailand หรือโทรฯ 02-114-8195 และ 082-388-1688


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

วิทยาลัยนานาชาติ DPU เดินหน้าเปิดสอนหลักสูตรวิชาภาษาตะวันออก หลังจีน-เกาหลี-ญี่ปุ่น แห่ลงทุนไทย คาดอนาคตไทยจะเป็น HUB ที่ชัดเจนมากขึ้น

ผศ.ดร.ศิริเดช คำสุพรหม คณบดีวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU)  เปิดเผยว่า  เมื่อเร็วๆนี้  รัฐบาลได้แถลงถึงความคืบหน้าการลงทุนในประเทศไทย ช่วง 7 เดือน ปี 2566 (ม.ค.-ก.ค.) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจ จำนวน 377 ราย เม็ดเงินลงทุนกว่า 58,950 ล้านบาท โดยประเทศที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. ญี่ปุ่น 2. สหรัฐอเมริกา 3. สิงคโปร์  4. จีน  และ 5. เยอรมนี ส่วนการลงทุนในพื้นที่ EEC มูลค่าการลงทุน 12,348 ล้านบาท ประเทศที่เข้ามาลงทุน 3 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ นอกจากนี้ ยังไฟเขียวเดินหน้าโครงการ “แลนด์บริดจ์” หรือโครงการสะพานเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย -อันดามัน (ชุมพร-ระนอง) ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือใหม่เชื่อมต่อเส้นทางเดินเรือระหว่างมหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิก รวมถึงเป็นศูนย์กลางจุดเปลี่ยนถ่ายสินค้าของสายการเดินเรือทั่วโลก โดยเส้นทางเดินเรือใหม่จะช่วยย่นระยะเวลาเดินทาง ลดเวลาการขนส่งสินค้า ที่สำคัญช่วยลดต้นทุนในการขนส่ง สำหรับมูลค่าการลงทุนสูงถึง 1 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ในอีก 7 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2573) หากโครงการฯนี้เปิดให้บริการ ประเทศไทยจะกลายเป็น Hub หรือจุดศูนย์กลางในด้านต่างๆ ที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะด้าน  Education Hub, Tourism Hub  , Medical Hub, Logistic Hub รวมถึง Hub ด้านอื่น ๆ อีกด้วย

ผศ.ดร.ศิริเดช กล่าวว่า จากข้อมูลข้างต้นหลังจากที่ไทยเป็น Hub ของการขนส่งสินค้า หรือ Hub ในด้านต่าง ๆ ชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวตะวันออกจะเข้ามาลงทุนในไทยเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ความต้องการแรงงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีจำนวนเพิ่มขึ้นเช่นกัน และคาดว่าหลายองค์กรต้องการบุคลากรที่มีความสามารถในการสื่อสารได้หลากหลายภาษา ดังนั้นเพื่อเป็นการติดอาวุธด้านภาษาให้นักศึกษา รวมถึงเป็นการเตรียมผลิตบุคลากรให้ตรงความต้องการของสถานประกอบการ วิทยาลัยนานาชาติ DPU จึงได้เปิดสอนในหลักสูตรวิชาภาษาตะวันออก ประกอบด้วย จีน เกาหลี และญี่ปุ่น เพื่อเป็นการเสริมความแข็งแกร่งใน ทักษะด้านภาษาที่  เนื่องจากภาษาดังกล่าวจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำงานและช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผู้มีความสามารถด้านนี้ อีกทั้งยังเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดแรงงานด้วย 

ต้องยอมรับว่า Soft Power ของจีน เกาหลี และ ญี่ปุ่น ยังมีความนิยมอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้นการเจริญเติบโตของภาษาทางตะวันออกมีความเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ดังนั้น ทางวิทยาลัยฯ จึงเปิดหลักสูตรภาษาตะวันออกขึ้นมา เพราะมองว่าในอนาคตทุกสถานประกอบการมีความต้องการคนที่มี Skill ด้านนี้สูงมาก สุดท้ายนี้การพัฒนาบุคลากรในด้านภาษาจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะหากใครที่มี Skill ดังกล่าวจะมีโอกาสในการทำงานมากกว่าคนอื่น หรืออาจเรียกได้ว่าเรียนภาษาเพื่อให้มีภาษีหรือมูลค่าในตัวเองมากกว่าคนอื่น” คณบดีวิทยาลัยนานาชาติ DPU กล่าวในตอนท้าย

วิทยาลัยนานาชาติ DPU เปิดสอนหลักสูตรพิเศษ 2 โครงการเป็นครั้งแรก ได้แก่ 1.) หลักสูตรวิชาภาษาตะวันออก ประกอบด้วย เกาหลี ญี่ปุ่น (หลักสูตรปริญญาตรี) และควบคู่กับการเปิดหลักสูตรระยะสั้น 15 ชั่วโมงและ 30 ชั่วโมง เพื่อเป็นการกระตุ้นให้บุคคลทั่วไป หรือผู้ที่ทำงานอยู่แล้วได้มีการพัฒนาทักษะทางภาษาเพิ่มขึ้น โดยจะเริ่มเปิดสอนปลายเดือนตุลาคมนี้ 2.) หลักสูตรภาษาจีน (หลักสูตรปริญญาตรี) สำหรับผู้ที่จบการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลาย (เรียนเสาร์-อาทิตย์) สำหรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรี และ ปวส.(เรียนวันอาทิตย์) เริ่มเปิดสอนเดือนมกราคม  ปี 2567 รายละเอียดเพิ่มเติมที่  https://www.dpu.ac.th/   


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

NIA จัดงานวันนวัตกรรมแห่งชาติ พร้อมมอบรางวัลเชิดชูเกียรติสุดยอดนวัตกรรมไทย ปี 2566

วันที่ 5 ตุลาคม 2566 – สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัด “พิธีมอบรางวัลนวัตกรรม ประจำปี 2566” เนื่องใน “วันนวัตกรรมแห่งชาติ” ซึ่งจัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 19 เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ พระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถด้านนวัตกรรม ในฐานะ “พระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย” พร้อมเชิดชูเกียรติและเผยแพร่ผลงานของนักนวัตกรไทยผู้ริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมที่โดดเด่นเป็นประโยชน์ต่อองค์กร สังคม และประเทศ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน

รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ประธานกรรมการ คณะกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติ กล่าวว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นวัตกรรมหลายอย่างถือเป็นจุดเปลี่ยนของโลก ทั้งระบบการผลิต อุตสาหกรรม และเศรษฐกิจการค้าขายของโลก ซึ่งขณะนี้ถือเป็นยุคที่นวัตกรรมมีการเติบโตและพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ตนเชื่ออย่างยิ่งว่าปัญญาประดิษฐ์จะใช้เวลาน้อยมากที่ให้ผู้ใช้งานปรับตัว เพราะจะถูกพัฒนามีความฉลาด เข้าถึง และสามารถถูกนำมาใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น รวมถึงปริมาณของคนรุ่นใหม่ที่มีทักษะของการเขียนโปรแกรมโค้ดดิ้งต่างๆ สามารถต่อยอดจากระบบที่ถูกสร้างไว้ในรูปแบบที่เปิดให้ผู้พัฒนาเข้าไปปรับแต่งโค้ดได้ เกิดการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง สร้างแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจได้รวดเร็ว

“นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์มีนัยยะผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การจ้างงาน และการศึกษาของประเทศ ดังนั้น การจัดพิธีมอบรางวัลสุดยอดนวัตกรรม ให้แก่นักนวัตกรไทยที่ผลิตหรือคิดค้นผลงานนวัตกรรมที่มีคุณค่าเชิงพาณิชย์ ส่งผลดีต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประโยชน์ใช้สอย อันนำไปสู่การใช้ประโยชน์ของนวัตกรรมให้เป็นที่รู้จักและสนใจกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งจะมีผลในการจูงใจให้ทุกภาคส่วนของประเทศไทย เกิดความสนใจที่จะดำเนินงานโดยมีความเป็นนวัตกรรมอยู่ในกระบวนการอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา” รศ.นพ.สรนิต กล่าว

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า ในปี 2566 – 2570 NIA ได้เปลี่ยนบทบาทจากสะพานเชื่อมสู่การเป็น “ผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม (Focal Conductor)” ผ่านการดำเนินงานภายใต้ 7 กลยุทธ์ ได้แก่ 1) สร้างและยกระดับผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม (IBEs) ในอุตสาหกรรมเป้าหมายร่วมกับเครือข่ายตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อพัฒนาและขยายผลโครงการสำคัญใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ 1) Food Tech & Ag Tech 2) Travel Tech 3) Med Tech 4) Climate Tech และ
5) Soft power 2) ส่งเสริมนวัตกรรมแบบเปิดและทำให้ระบบนวัตกรรมไทยเปิดกว้างมากขึ้น โดยเน้นการให้ทุนที่เปิดกว้างและเชื่อมโยงกับแหล่งเงินทุนอื่น 3) ส่งเสริมการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมร่วมกับมหาวิทยาลัยและอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค การพัฒนาย่านนวัตกรรม เมืองนวัตกรรม และระเบียงนวัตกรรมในภูมิภาค 4) เป็นศูนย์กลางการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมที่เอื้อต่อการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เชื่อมโยงการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ 5) ส่งเสริมการตลาดนวัตกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศให้กับผลิตภัณฑ์และบริการของผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมในลักษณะของ Business Brotherhood ให้บริษัทขนาดใหญ่มาสนับสนุนการขยายธุรกิจของ IBEs 6) สร้างความตระหนักและการรับรู้ความสำคัญของนวัตกรรมในทุกภาคส่วน ผ่านโครงการ Innovation Thailand การจัดประกวดรางวัลนวัตกรรม งาน SITE ฯลฯ เพื่อสร้างแนวร่วมในการขับเคลื่อนระบบนวัตกรรมไทย และ 7) พัฒนาองค์กรไปสู่องค์กรที่พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างยั่งยืน เน้นทำงานแบบ Cross Functional ลดขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยากซับซ้อน

สำหรับการจัดประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติในปี 2566 แบ่งออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านเศรษฐกิจ 2) ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม 3) ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ 4) ด้านสื่อและการสื่อสาร และ 5) ด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น โดยในปีนี้มีผู้ที่สนใจส่งผลงานนวัตกรรมเข้าประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ จำนวน 347 ผลงาน และผลงานประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งประเทศไทย (TIA) ระดับเยาวชนจำนวน 453 ผลงาน

สำหรับผลการประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2566 มีดังนี้

1)  รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ด้านเศรษฐกิจ

–  รางวัลชนะเลิศประเภทวิสาหกิจขนาดกลาง ได้แก่ ผลงาน: หม้อแปลง BCG & โลว์คาร์บอน โดย บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด

–  รางวัลชนะเลิศประเภทวิสาหกิจขนาดย่อมและวิสาหกิจรายย่อย ได้แก่ ผลงาน: HY-N นวัตกรรม
ไบโอพอลิเมอร์ ระบบนำส่งสาร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเวชสำอาง ยา วัคซีน โดย บริษัท แนบโซลูท จำกัด

2) รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม

รางวัลชนะเลิศประเภทหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ ผลงาน: แบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออนจากแกลบและขยะโซล่าร์เซลล์ โดย โรงงานแบตเตอรี่และพลังงานยุคใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

–  รางวัลชนะเลิศประเภทหน่วยงานภาคเอกชน ได้แก่ ผลงาน: ระบบบำบัดน้ำเสียวงจรไฟฟ้าชีวภาพ โดย บริษัท อินโน กรีน เทค จำกัด

–  รางวัลชนะเลิศประเภทองค์กรเพื่อสังคมและชุมชน ได้แก่ ผลงาน: เตียงสนามกระดาษ SCGP สำหรับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ โดย มูลนิธิเอสซีจีร่วมกับ SCGP

3) รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ

รางวัลชนะเลิศประเภทการออกแบบผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ผลงาน: ชุดปลูกผักปลอดสารพิษด้วยตัวเองเพื่อคนในเมือง โดย บริษัท ดู๊ดแพลนต์ จำกัด

รางวัลชนะเลิศประเภทการออกแบบบริการ ได้แก่ ผลงาน: แมกซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ คอนเนค โดยแอพพลิเคชั่นวชิระแอทโฮม โดย บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน)

4) รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ด้านสื่อและการสื่อสาร

รางวัลชนะเลิศประเภทผลงานสื่อและการสื่อสาร ได้แก่ ผลงาน: ต่อยอด แสงหลวง วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร เชียงใหม่ โดย คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

รางวัลเชิดชูเกียรติประเภทผู้สื่อสารนวัตกรรม ระดับบุคคลธรรมดา ได้แก่ คุณสรานี สงวนเรือง (เฟื่องลดา)

รางวัลเชิดชูเกียรติประเภทผู้สื่อสารนวัตกรรม ระดับนิติบุคคล ได้แก่ แบไต๋ (Beartai)

5) รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น

รางวัลดีเด่น ประเภทองค์กรภาคเอกชนขนาดใหญ่ ได้แก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน)

รางวัลเกียรติคุณ ประเภทองค์กรภาครัฐ และประชาสังคม ได้แก่ กรมสุขภาพจิต

รางวัลเกียรติคุณ ประเภทองค์กรรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

ผลงานประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งประเทศไทย (TIA) ประจำปี 2566

1) รางวัลระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย – ปวช.

รางวัลชนะเลิศ ผลงานแพลตฟอร์มเพื่อช่วยคัดกรองโรคหัวใจและหลอดเลือดจากกราฟคลื่นไฟฟ้า หัวใจด้วยปัญญาประดิษฐ์ จากโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จำนวน 2 ผลงาน ได้แก่ ผลงาน SVMR ตู้ยาเพื่อแจ้งเตือนและดูแลผู้สูงอายุ จากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน และ ผลงานบรรจุภัณฑ์พลาสติกชีวภาพทนต่อน้ำจากเปลือกทุเรียนและชะลอการเติบโตของแบคทีเรียด้วยสารสกัดจากสมุนไพรไทยพร้อมตัวบ่งชี้การเน่าเสียของอาหารสดจากดอกต้องติ่ง จากโรงเรียนกำเนิดวิทย์

2) รางวัล Best Pitching Awards by Education New Zealand

รางวัลชนะเลิศ ผลงานแพลตฟอร์มเพื่อช่วยคัดกรองโรคหัวใจและหลอดเลือดจากกราฟคลื่นไฟฟ้า หัวใจด้วยปัญญาประดิษฐ์ จากโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ผลงานบรรจุภัณฑ์พลาสติกชีวภาพทนต่อน้ำจากเปลือกทุเรียนและชะลอการเติบโตของแบคทีเรียด้วยสารสกัดจากสมุนไพรไทยพร้อมตัวบ่งชี้การเน่าเสียของอาหารสดจากดอกต้องติ่ง จากโรงเรียนกำเนิดวิทย์

อย่างไรก็ตาม NIA ยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมที่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติ และประชาชนในทุกมิติ ผ่านการผลักดันนโยบายและกิจกรรมต่างๆ และยังคงจะมีการมอบรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติเพื่อเชิดชูเกียรติให้กับผู้พัฒนานวัตกรรมที่ดีเด่นอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นให้สังคมไทยตระหนักถึงความสำคัญของนวัตกรรมและเป็นการยกระดับขีดความสามารถด้านนวัตกรรมของไทยให้พร้อมก้าวสู่การเป็น “ชาตินวัตกรรม” ในอนาคต


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ กรุงเทพมหานคร ลงนามความร่วมมือโครงการ “Don’t Wait. Get Checked.” เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นผ่านนวัตกรรม AI

กรุงเทพฯ – บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร ลงนามความร่วมมือต่อยอดโครงการ “Don’t Wait. Get Checked.” มุ่งขยายการเข้าถึงบริการและการรักษาทางการแพทย์ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดเบื้องต้นด้วยการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั่วกรุงเทพมหานคร โดยมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวเปิดงาน ณ สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร

โรคมะเร็ง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ในประเทศไทย ที่มีอัตราการเสียชีวิตกว่า 80,000 คน[1] ต่อปี โดยมีมะเร็งปอดเป็นสาเหตุอันดับต้นของการเสียชีวิต โรคมะเร็งปอดเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคมะเร็งที่ผู้ป่วยมักตรวจพบในระยะที่ 4 ซึ่งเป็นระยะสุดท้าย ส่งผลให้การรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ดังนั้น การนำเทคโนโลยี AI  มาช่วยพัฒนาการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปอดเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ด้วยเหตุนี้ แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย จึงสานต่อการดำเนินงานภายใต้โครงการ “Don’t Wait. Get Checked.” โดยได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการใช้เทคโนโลยี AI ในการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดเบื้องต้นไปแล้วกว่า 7,000 ราย ในจำนวนดังกล่าว มีผู้ป่วยที่ตรวจพบรอยโรคที่สงสัยก้อนในปอด 586 ราย คิดเป็นร้อยละ 8 และพบรอยโรคที่สงสัยก้อนในปอดที่มีโอกาสความน่าจะเป็นในการเป็นโรคมะเร็งปอดสูง ถึงร้อยละ 0.3 อีกด้วย

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การสร้างสุขภาพที่ดี ระบบสาธารณสุขที่ดี และลดผลกระทบด้านสุขภาพให้กับประชาชนถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่กรุงเทพมหานครให้ความสำคัญ โดยเรามีความตั้งใจที่จะยกระดับบริการด้านสาธารณสุขด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ ซึ่งโครงการ Don’t Wait. Get Checked. จาก  แอสตร้าเซนเนก้า ที่นำเทคโนโลยี AI มาเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดเบื้องต้นได้ตอบโจทย์และส่งผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมในการสนับสนุนนโยบายของ กทม. ภายใต้โครงการ Bangkok Health Zoning ผ่านการทำ Preventive Urban Medicine (การป้องกันโรคสำหรับคนในเขตเมือง) เพื่อส่งเสริม ป้องกัน แก้ไขความเสี่ยงที่เป็นภัยคุกคามทางสุขภาพ และส่งเสริมความรู้ให้ชุมชนในระดับเส้นเลือดฝอย ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำให้ทุกคนสามารถเข้าสู่การรักษาได้อย่างรวดเร็วและเท่าเทียมยิ่งขึ้น ซึ่งผลการศึกษาจากการทำวิจัยในโครงการฯ นี้ ทางกรุงเทพฯ จะนำมาพิจารณาเพื่อนำไปสู่นโยบายสุขภาพของกรุงเทพฯ อีกต่อไปอนาคต”

ความร่วมมือระหว่างแอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และกรุงเทพมหานคร ครั้งนี้ ถือเป็นการสานต่อเป้าหมายในการเพิ่ม ‘อัตราการรอดชีวิตห้าปี’ ของผู้ป่วยให้เป็นสองเท่า ภายในพ.ศ. 2568 ของ Lung Ambition Alliance (LAA) ที่เกิดขึ้นร่วมกันระหว่างภาคีพันธมิตรระดับนานาชาติ 4 องค์กร ได้แก่ แอสตร้าเซนเนก้า Global Lung Cancer Coalition (GLCC) Guardant Health และ International Association for the Study of Lung Cancer (IASLC) มีการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการบรรลุพันธกิจใน 50 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย เพื่อศึกษาทำความเข้าใจถึงวิวัฒนาการของโรค พัฒนาเทคนิคระดับก้าวหน้าในการดูแลรักษาโรคมะเร็งปอด ผ่านการส่งเสริมการตรวจคัดกรองเบื้องต้นสำหรับโรคมะเร็งปอดเพื่อเพิ่มโอกาสในการตรวจพบในระยะเริ่มต้นให้มีประสิทธิภาพด้วยการใช้เทคโนโลยี AI ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยได้มีชีวิตที่ยืนยาวมากขึ้น รวมถึงมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

นายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย กล่าวว่า “แอสตร้าเซนเนก้า มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ผ่านการนำความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มาต่อยอดและพัฒนาการดูแลสุขภาพของประชาชน ชุมชน และโลกอย่างยั่งยืน ซึ่งโรคมะเร็งถือเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคหลักที่เราให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง โดยเราได้ค้นคว้า คิดค้น และสนับสนุนนวัตกรรมที่จะมาช่วยยกระดับประสิทธิภาพการตรวจวินิจฉัยโรคในระยะเริ่มต้นผ่านการใช้เทคโนโลยี AI ซึ่งแนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับเส้นทางสาธารณสุขของประเทศไทยในปัจจุบันที่ต้องการสร้างสรรค์นวัตกรรมและก้าวไปสู่การดูแลสุขภาพแบบดิจิทัล จากความร่วมมือในครั้งนี้ เราตั้งเป้าหมายที่จะทำการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดเบื้องต้นแก่ประชาชนกว่า 500,000 รายให้ได้ภายในปี 2567 เพื่อเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตให้แก่ผู้ป่วยต่อไป”

เทคโนโลยี AI หรือซอฟต์แวร์ “qXR” ที่นำมาติดตั้งในโครงการนี้ ได้รับการพัฒนาโดยบริษัท Qure.ai บริษัทผู้พัฒนาโซลูชัน AI ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรของแอสตร้าเซนเนก้าที่สนับสนุนการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยพัฒนาการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้น  ซึ่งโซลูชันนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เพื่อเป็นเครื่องมือแพทย์ปัญญาประดิษฐ์ ที่นำความสามารถในการเรียนรู้เชิงลึกมาระบุความผิดปกติจากภาพถ่ายเอกซเรย์ปอดได้สูงสุด 29 รายการ รวมไปถึงการระบุขนาดและตำแหน่งของก้อนเนื้อ หรือร่องรอยอาการที่อาจบ่งชี้โรคมะเร็งปอดได้อย่างแม่นยำ

นายปราชานต์ วอร์ริเออร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Qure.ai กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI อันล้ำสมัยของ Qure หรือ “qXR” เพื่อวิเคราะห์ภาพเอกซเรย์ทรวงอก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมคัดกรองเบื้องต้นเพื่อระบุความเสี่ยงมะเร็งปอด โดยจะมีบทบาทสำคัญในการตรวจหาก้อนเนื้อในปอดซึ่งอาจเป็นตัวบ่งชี้มะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นได้ เมื่อมีการระบุก้อนเนื้อที่น่าสงสัยในปอดแล้ว ผู้ป่วยจะได้เข้ารับการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) ทันที เพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติมและวางแผนการรักษาได้อย่างทันท่วงที”

รายละเอียดจุดคัดกรองเคลื่อนที่ และโรงพยาบาลในเครือของกรุงเทพมหานคร

  1. โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
  2. โรงพยาบาลสิรินธร
  3. โรงพยาบาลราชพิพัฒน์
  4. โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร อุทิศ
  5. โรงพยาบาลลาดกระบังกรุงเทพมหานคร
  6. หน่วยตรวจสุขภาพเคลื่อนที่สำนักอนามัย

และอีกหลายโรงพยาบาลภายใต้กรุงเทพมหานครอีกในอนาคต


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ออฟฟิศเมท พลัส บุกงาน Money Expo 2023 จ.อุดรธานี เปิดรับแฟรนไชส์ซีภาคอีสาน พร้อมข้อเสนอพิเศษการลงทุน

ออฟฟิศเมท พลัส แฟรนไชส์ร้านอุปกรณ์สำนักงานและสินค้าเพื่อธุรกิจ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เดินหน้าเปิดรับแฟรนไชส์ซีรุ่นใหม่ไฟแรงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะผู้ประกอบการท้องถิ่นที่มีฐานลูกค้าเอกชนและราชการในจ.อุดรธานี หนองคาย กาฬสินธุ์ ขอนแก่น และจังหวัดใกล้เคียง ให้คุณต่อยอดธุรกิจและเติบโตอย่างมั่นคงไปกับออฟฟิศเมท พลัส แฟรนไชส์ที่สามารถขายสินค้าเพื่อธุรกิจได้กว่าแสนรายการ ผ่านช่องทางการขายที่หลากหลาย พร้อมการันตีกำไร 1 แสนบาท/เดือน* (ตามกำหนด) สามารถรับสิทธิพิเศษการลงทุนได้ที่บูธออฟฟิศเมท พลัส (บูธ P6)ที่งาน Money Expo 2023 มหกรรมการเงินอุดรธานี ครั้งที่ 10  ตั้งแต่ 6 – 8 ต.ค. 2566 อุดรธานี ฮอลล์ ชั้น 4 เซ็นทรัล อุดรธานี สอบถามข้อมูลโทร. 099-128-5000 หรือ Line: @OFM_Plus


 

Exit mobile version