Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ZTE จัดงาน 5G Summit & User Congress 2023 เผยอนาคตดิจิทัลภายใต้ธีม “Embrace the Digital Nexus”

กรุงเทพฯ ประเทศไทย วันที่ 14 พฤศจิกายน 2566 – ZTE Corporation (0763.HK / 000063.SZ) ผู้ให้บริการโซลูชั่นเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารชั้นนำระดับโลก จัดการประชุมสุดยอด The ZTE 5G Summit & User Congress 2023 ภายใต้ธีม “Embrace the Digital Nexus” เป็นการรวมตัวผู้ประกอบธุรกิจ อาทิ หน่วยงานกำกับดูแลด้านโทรคมนาคม พันธมิตรธุรกิจ ผู้ให้บริการ และนักวิเคราะห์จาก GSMA, IMT-2020(5G) PG, IMT-2030(6G) ) PG, CCSA, TMF, ABI, CCS Insight จากทั่วโลก เพื่อมาร่วมแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกอันมีค่า และเรียนรู้กรณีศึกษาในเชิงปฏิบัติ พร้อมสำรวจภาพรวมและทิศทางการเติบโตของเทคโนโลยี 5G ในอนาคต

นาย เสี่ยว หมิง (Mr. Xiao Ming) ประธานฝ่ายต่างประเทศของ ZTE เปิดเผยว่า “ในการจัดงานการประชุม ZTE 5G Summit & User Congress 2023 สะท้อนให้เห็นว่า โลกที่เชื่อมโยงถึงด้วยเทคโนโลยี 5G-A ระหว่างอวกาศและโลกเชื่อมเป็นเครือข่ายที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย อาทิ XR และ Metaverse กำลังสร้างความเป็นจริงที่ไม่เคยมีใครจินตนาการมาก่อน อีกทั้ง ช่วยยกระดับให้กับทุกอุตสาหกรรม โดยขับเคลื่อนวิถีชีวิตของมนุษย์ให้ก้าวสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้ ได้กลายวิวัฒนาการที่ไม่มีที่สิ้นสุดและจะนำไปสู่ศตวรรษแห่งความรุ่งเรือง หรือ intelligent century”

ZTE ได้ทำงานร่วมกับผู้ให้บริการ 5G จำนวนกว่า 110 ราย ในอุตสาหกรรมดิจิทัล โดยตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการทำงานร่วมกัน เพื่อที่จะก้าวไปสู่ดิจิทัลในอนาคต ซึ่งประกอบไปด้วยฟังก์ชันต่างๆ เป็นแบบ Modular ที่สามารถเข้าถึงและปรับแต่งได้ง่าย เน้นเพิ่มปริมาณความจุ ประสิทธิภาพ ฟิวชั่น และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม”

นาย จอห์น ฮอฟฟ์แมน (Mr.John Hoffman) ประธานกรรมการบริหารของ GSMA (Global System for Mobile Communications) กล่าวว่า “เครือข่าย 5G, 5G ในขั้นสูง และเทคโนโลยีต่าง ๆ จะช่วยปฏิวัติโลก โดยผ่านความร่วมมือในการทำงานของทุกๆองค์กร เพื่อที่จะสร้างอนาคตที่ยั่งยืน อันจะนำมาซึ้งผลประโยชน์ให้กับทุก ๆ คนได้อย่างเต็มที่ สำหรับการประชุมสุดยอด ZTE 5G Summit & User Congress 2023 นับว่า เปิดโอกาสที่ดี ในการแบ่งปันความรู้และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับอนาคต ทั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้แลกเปลี่ยนสิ่งดีๆ เช่นนี้กันอีกที่งาน MWC Barcelona 2024!”

นาย รูดอล์ฟ ชเรฟล์ (Mr.Rudolf Schrefl) ประธานกรรมการบริหารของ Hutchison Drei Austria กล่าวว่า “การที่เปิดรับเทคโนโลยี 5G นับเป็นการปฏิวัติและส่งมอบประสบการณ์ให้กับลูกค้า ด้วยการเชื่อมโยงผู้คนและ devices  เข้าด้วยกันด้วย ผ่านความเร็วและความน่าเชื่อถืออย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พร้อมกับเปลี่ยนทุกปฏิสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้อง โดยเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราอย่างราบรื่น อีกทั้ง อำนวยความสะดวกให้การทำงานกับโลกรอบตัวเราได้เป็นอย่างดี”

จากการที่เทคโนโลยีดิจิทัล คือ พลังหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระดับโลก ZTE จึงมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้มีบทบาทในขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล และสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ICT ที่เป็นนวัตกรรมทั่วโลก

ด้วยผลงานที่ครอบคลุมการทำงานด้าน wireless & wireline solutions และการบริการอุปกรณ์ โทรคมนาคมในระดับมืออาชีพอย่างครบวงจร แซดทีอี พร้อมที่จะตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น หน่วยงานภาครัฐ และลูกค้าเครือข่ายองค์กร ที่เป็นผู้ให้บริการทั่วโลก ซึ่งมีความต้องการใช้นวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพสูงและมีความรวดเร็ว
 
ในระหว่างงาน ZTE ยังได้จัดแสดงนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่เป็นโซลูชันใหม่ และการใช้งาน ณ Thailand’s innovation center โดยนำเสนอให้เห็นถึงธรรมชาติของทุกสิ่งที่เชื่อมโยงกัน สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์ดิจิทัลอย่างชัดเจน

ในส่วนของพื้นที่ “Wireless Everything” นั้น ZTE ได้สาธิตการใช้งานในการปรับปรุงเครือข่าย 4G ที่มีอยู่ให้ทันสมัย เพื่อความสำเร็จของ 5G ในอนาคต โดยในงานแสดงสินค้า ยังได้เพิ่มประสบการณ์ 5G และการให้บริการอย่างครอบคลุมทุกด้าน ที่สำคัญคือ เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของเครือข่าย ด้วยเครื่องมือพื้นฐานและโครงสร้างพื้นฐานพลังงาน่สีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ZTE ในฐานะผู้นำด้านเครือข่ายออปติก (optical network) ได้เปิดการใช้งานเครือข่าย ทั้งหมด ผ่านชุดผลิตภัณฑ์แบบครบวงจร อันเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ ZTE ในการพัฒนาเทคโนโลยีเครือข่ายออปติก (optical network) ที่ล้ำหน้า ในการให้บริการพื้นที่จัดเก็บข้อมูล ZTE ยังให้บริการ เซิร์ฟเวอร์ และ โซลูชัน ในการจัดเก็บข้อมูลอย่างเต็มรูปแบบ โดยเหมาะต่อความต้องการที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ZTE Mobile Devices ภายใต้วิสัยทัศน์ “Better for All” ได้นำอุปกรณ์นวัตกรรมอัจฉริยะจำนวนมากมาร่วมงาน อาทิ nubia Pad 3D ซึ่งเป็นแท็บเล็ต 3D ขับเคลื่อนด้วย AI และไม่ต้องใช้แว่นตาเครื่องแรกของโลก nubia Neo 5G สมาร์ทโฟนที่ออกแบบมาสำหรับผู้ที่ชอบเล่นเกมส์ 5G เหมาะกับผู้เริ่มต้นใช้งานทั่วโลก และ Blade V50 Design ดีไซน์เรียบหรู สำหรับผลิตภัณฑ์ ZTE FWA & MBB ครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยมีการนำเสนอ MC888 และผลิตภัณฑ์ 5G FWA & MBB อื่นๆ ในงานอีกด้วย  ยิ่งไปกว่านั้น แซดทีอี ยังมุ่งมั่นที่จะสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภคทั่วโลก ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่แข่งขันได้ทั้ง คุณภาพ ราคา และส่งมอบประสบการณ์ที่ดีกว่าให้กับลูกค้า อีกทั้ง มุ่งมั่นที่จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าให้กับทุกคน อย่างเหนือความคาดหมาย

ZTE ได้ร่วมมือกับผู้ให้บริการและพันธมิตร โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างเครือข่ายอัจฉริยะ เพื่อความสำเร็จร่วมกัน และจะมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว

ในการประชุมสุดยอด ZTE 5G Summit & User Congress 2023 นับเป็นพื้นที่รูปแบบใหม่ สำหรับพันธมิตรทั่วโลกเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและร่วมกันผลักดันการสื่อสารยุคดิจิทัลในอนาคต ทั้งนี้ การประชุมสุดยอด ZTE 5G Summit & User Congress 2023 จัดขึ้นภายใต้ธีม “Embrace the Digital Nexus” เมื่อวันที่ 14 และ 15 พฤศจิกายน ที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย ในโอกาสครบรอบ 10 ปี ของ ZTE Global User Congress สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม https://www.zte.com.cn/global/about/exhibition/5g_summit_2023.html


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มข. เดินหน้าระดมสมองวางกลยุทธ์ “Education Transformation” ร่วมกับศาสตราจารย์ระดับโลก สู่มหาวิทยาลัยชั้นนำในยุคดิจิทัล

มหาวิทยาลัยขอนแก่นจัดโครงการ  “Education Transformation” เพื่อขับเคลื่อนการปรับเปลี่ยนการจัดการศึกษา (Education Transformation) ทันต่อความต้องการของสังคม โดยมี ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี  นายกสภามหาวิทยาลัย  รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น กรรมการสภามหาวิทยาลัย คณะผู้บริหาร คณบดี  รองคณบดี คณาจารย์มหาวิทยาลัยขอนแก่นเข้าร่วม ณ โรงแรม  The Salil Hotel Riverside กรุงเทพมหานคร  เมื่อเร็วๆนี้

รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า เนื่องในโอกาสพิเศษกับการเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี มหาวิทยาลัยขอนแก่นมีความมุ่งมั่นที่จะปฏิวัติการศึกษาเพื่อผลิตบัณฑิตคุณภาพให้มีทักษะแห่งอนาคต นับเป็นโอกาสอันดีที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากสหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และฟินแลนด์ที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ความคิดสร้างสรรค์เป็นสะพานไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาของมหาวิทยาลัยขอนแก่นในด้านต่าง ๆ ทั้งวิทยาศาสตร์สุขภาพ, วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ตลอดจนมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ต่อไปในอนาคต

 ในการนี้ ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี นายกสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ให้เกียรติบรรยายผ่านมุมมองของเศรษฐศาสตร์ว่า หากมองด้วยวิธีคิดทางเศรษฐศาสตร์ ตลาดสำหรับมหาวิทยาลัยจะมี 2 ส่วนที่สำคัญ คือ การมอบใบปริญญาให้แก่ผู้เรียนและการผลิตสร้างองค์ความรู้จากงานวิจัย ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ 3 ประการ คือ เพื่อสร้างความมั่นใจ แสดงถึงการยอมรับ  และการนำไปใช้งานได้จริง อย่างไรก็ตาม หากมองผ่านกลไกอุปสงค์และอุปทาน แต่ละมหาวิทยาลัยจะมีลักษณะความเป็นสินค้าที่แตกต่างกัน เช่น University of Helsinki, Harvard University, Nanyang Technological University ดังนั้น บทบาทของมหาวิทยาลัยจึงจำเป็นจะต้องพัฒนาให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของบริบททางสังคม ความต้องการของผู้เรียน และฉากทัศน์ของอนาคต  เช่นเดียวกันกับมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่จะร่วมเรียนรู้กันในงานสัมนาวันนี้

ต่อมา ภายในงานยังมีการเสวนาในหัวข้อ Education Transformation: challenges and opportunities is a rapidly changing world โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรชั้นนำระดับโลก ทั้ง Dr. Edward Hundert, Dean for Medical Education, Harvard Medical School  ประเทศสหรัฐอเมริกา, Dr. Preman Rajalingam, Director, Centre for Teaching, Learning and Pedagogy (CTLP), Institute of Pedagogical Innovation, Research and Excellence (InsPIRE), Nanyang Technological University ประเทศสิงคโปร์ และ Dr. Hannele Niemi, Research Director, University of Helsinki ประเทศฟินแลนด์

ขณะเดียวกัน วิทยากรแต่ละท่านยังให้เกียรติบรรยายในหัวข้อต่าง ๆ โดย Dr. Edward Hundert บรรยายในหัวข้อ “New Paradigms in Health Sciences Education” ตามด้วย Dr. Preman Rajalingam บรรยายในหัวข้อ “Introducing and Sustaining Collaborative Learning on a Large-Scale” และปิดท้ายด้วย Dr. Hannele Niemi บรรยายในหัวข้อ Active and meaningful learning for the future global world – The mission of Humanities and Social Sciences

ภายหลังจบการบรรยายในวันแรก รศ.ดร.อิศรา ก้านจักร คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการ กล่าวว่า วันนี้ได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญถึง 3 ทวีป ซึ่งแต่ละที่ต่างก็มีบริบทที่ทำให้เห็นว่าจะสามารถ Transform และจัดการการศึกษาอย่างไร ตั้งแต่ด้านปรัญชาและทักษะแห่งอนาคต รวมถึงการเชื่อมโยงระหว่างวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ ซึ่งสอดคล้องกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น

“คณะศึกษาศาสตร์เรา ในฐานะที่มีบทบาทสนับสนุนการศึกษาของประเทศ พร้อมที่จะขับเคลื่อน Education Transformation ตอนนี้เราต้องกระโดดไปเลย เพราะเราอุ่นเครื่องมานานแล้ว จากสิ่งที่เราได้เรียนรู้ เราก็มีของของ และที่ผ่านมาเราได้เปิดหลักสูตรใหม่เพื่อเตรียมครูในอนาคต เรียกว่า Future of teacher ที่จะทำให้ครูมีจิตวิญญา ควบคู่กับการสนับสนุนให้ใช้เทคโนโลยี โดเฉพาะเอไอ รวมถึงการเดินหน้าบูรณาการการศึกษาร่วมกับคณะอื่น ๆ โดยมองคนเป็นตัวตั้ง เพื่อให้ครูของมหาวิทยาลัยขอนแก่นตอบโจทย์กับโลกของอนาคตได้”

นอกจากนี้ ยังได้มีกิจกรรม Brain storming  เพื่อระดมสมองในการปรับเปลี่ยนการจัดการศึกษา แนวทางการแก้ไขปัญหาแบบ How to  โดยแบ่งการกลุ่มออกเป็นกลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ กลุ่มวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และกลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์  พร้อมกับการแลกเปลี่ยนและรับฟังคำแนะนำจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ

ข่าว  ภาพ  :  ผานิต ฆาตนาค


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

TEEB หนุนไทยนำร่องที่แรกของเอเชีย วิจัยการปลูกข้าวยั่งยืน มอบ มข.ศึกษา

(กรุงเทพมหานคร – 13 พฤศจิกายน 2566 ) –  คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับ United Nations Environment Programme และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดงานประชุมเสวนาพร้อมเผยผลการศึกษา เรื่อง “ข้าวยั่งยืน เพื่อชีวิตและธรรมชาติ” ภายใต้โครงการ The Economics of Ecosystems and Biodiversity (TEEB)  โดยมี นายจิรวัฒน์ ระติสุนทร รองเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมด้วย Prof. Salman Hussain ผู้แทนจาก United Nations Environment Programme แนะนำโครงการ TEEB Agri Food และปาฐกถาเรื่อง แนวโน้มมาตรฐานข้าวโลก สู่ทิศทางมาตรฐานข้าวไทย การผลิตข้าวเพื่อให้เราดูแลโลก โดย นายพิศาล พงศาพิชณ์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ร่วมด้วย การนำเสนอผลการศึกษา “Measuring what matters in sustainable rice production” โดย รศ.ดร.ภูมิสิทธิ์ มหาสุวีระชัย มหาวิทยาลัยขอนแก่นและคณะ  พร้อมทั้งการเสวนาหัวข้อ “ข้าวยั่งยืน จะยั่งยืนได้ต้องทำอย่างไร” โดย ดร.วัลลภ มานะธัญญา อุปนายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ดร.อรรถวิชช์ วัชรพงศ์ชัย ผู้อำนวยการปฎิบัติการโครงการข้าว (GIZ) นายวนัส แต้ไพสิฐพงษ์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) และ นางสวณีย์ โพธิ์รัง ผู้แทนเกษตรกรปลูกข้าวยั่งยืน ร่วมเสวนา ณ ห้องประชุม Le Lotus1 โรงแรม Swissotel Bangkok Ratchada กรุงเทพมหานคร

รศ.ดร.ภูมิสิทธิ์ มหาสุวีระชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) และ หัวหน้าคณะศึกษาโครงการประเมินค่าของระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพในการพัฒนาระบบผลิตข้าวในประเทศไทย กล่าวว่า งานวิจัยดังกล่าว อยู่ภายใต้การขับคลื่อนโครงการ The Economics of Ecosystems and Biodiversity (TEEB) For Agriculture and food หรือ TEEB AgriFood ประเทศไทย  ได้รับทุนสนับสนุนจากองค์กรสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) และ EU Partnership Instrument (EUPI) โดยพิจารณาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และผลกระทบที่มีต่อทุนมนุษย์ละทุนทางสังคม ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่คุณค่าของข้าวไทย โดยอาศัยกรอบการประเมินตามแนวทางของ TEEBAgriFood ซึ่งมีตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับแนวคิดเป้าหมายในการพัฒนาอย่างยั่งยืน และผลการศึกษายังสามารถช่วยเป็นข้อมูลสำหรับการตัดสินใจเชิงนโยบายในการส่งเสริมรูปแบบเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (Bio Circular Green economy model) ซึ่งเป็นกรอบสำคัญในการพัฒนาประเทศ  และเนื่องจากประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตอาหารด้านการเกษตรของโลก จึงได้รับเลือกเป็นประเทศนำร่อง โดยเป็นตัวแทนของทวีปเอเชียในการศึกษาเรื่องดังกล่าว คณะผู้จัดทำคาดหวังผลการศึกษาจะนำไปสู่การผลักดันนโยบายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภาคการผลิตด้านการเกษตร โดยเฉพาะเปลี่ยนจากการผลิตข้าวแบบทั่วไปสู่การผลิตข้าวแบบยั่งยืน

รศ.ดร.ภูมิสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวทางการผลิตข้าวแบบยั่งยืนนั้น ข้าวต้องมีคุณภาพมีความปลอดภัยในอาหาร ปกป้องสุขภาพและคุ้มครองความปลอดภัยของเกษตรกรผู้ปลูก ผู้ปฏิบัติรวมถึงชุมชน และต้องเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน เพิ่มรายได้ จากการใช้เทคโนโลยีการผลิตและการจัดการที่เพิ่มประสิทธิภาพ ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า  ทั้งนี้ ในการศึกษาวิจัย ใช้การสร้างฉากทัศน์จำลองการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนพื้นที่ปลูกข้าวแบบทั่วไปและการปลูกข้าวแบบยั่งยืน ระยะเวลา 28 ปี เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2565 – พ.ศ.2593 โดยจะเพิ่มสัดส่วนพื้นที่ปลูกข้าวแบบยั่งยืน ใน 4 กรณี  คือ  1.) ปกติ  2.)  ปานกลาง  3.) ค่อนข้างสูง  และ 4.) อัตราสูง จากการศึกษาทั้ง 4 กรณีสันนิษฐานได้ว่า ในปี พ.ศ.2593 พื้นที่ผลิตข้าวทั้งหมดของประเทศ จะมีพื้นที่ปลูกข้าวแบบยั่งยืนเพิ่มสูงถึง 4 ล้านไร่  9,600,000 ไร่  29,200,000 ไร่ และ 43,700,000 ไร่ ตามลำดับ

นอกจากนี้ คณะผู้วิจัยได้เลือกสุ่มสำรวจครัวเรือนเกษตรกรในพื้นที่ปลูกข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง เนื่องจากเป็นพื้นที่ปลูกข้าวรวมมากกว่า 80% ของพื้นที่ปลูกข้าวทั้งประเทศ และมีผลผลิตรวมกันมากกว่า 80% โดยเป็นพื้นที่รับน้ำฝนและพื้นที่ในเขตชลประทาน ผลการศึกษาพบว่า การปลูกข้าวแบบยั่งยืน ให้ผลที่ดีกว่าในทุกมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม  ด้านเศรษฐกิจ และผลกระทบที่มีต่อทุนมนุษย์ละทุนทางสังคม ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่คุณค่าของข้าวไทย โดยผลที่คาดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทุนมนุษย์ ได้แก่ การมีสุขภาพดีขึ้น เนื่องจากการใช้สารเคมีทางการเกษตรลดลง ทำให้ต้นทุนลดลงไปด้วย ขณะเดียวกันผลผลิตกลับเพิ่มขึ้น จึงสร้างผลกำไรต่อไร่เพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนั้นการไม่เผาหลังการเก็บเกี่ยวช่วยลด PM2.5 ทำให้ความเสี่ยงด้านสุขภาพของคนไทยลดลงด้วย ส่วนการเปลี่ยนแปลงในทุนธรรมชาติ อาทิ การส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากมลพิษทางอากาศซึ่งเกิดจากการเผาหลังการเก็บเกี่ยว การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำและส่งเสริมคุณภาพน้ำ เป็นต้น

รศ.ดร.ภูมิสิทธิ์ กล่าวในตอนท้ายว่า การปลูกข้าวยั่งยืนไม่เพียงสร้างประโยชน์สาธารณะเป็นหลัก แต่ยังมีส่วนช่วยกระจายผลประโยชน์ในระดับสูงให้กับเกษตรกร โดยหลักๆ ผ่านการปรับปรุงผลผลิตข้าว ลดต้นทุนการเพาะปลูกส่งผลให้มีกำไรมากขึ้น ซึ่งกำไรจากการปลูกข้าวจะเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่อาจจูงใจให้เกษตรหันมาใช้วิธีการปลูกข้าวยั่งยืนได้

“การปลูกข้าวแบบยั่งยืน ยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับเกษตรกรไทย ซึ่งหลังจากนี้ ผลที่ได้จากการวิจัยจะนำไปสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรหันมาปลูกข้าวแบบยั่งยืนมากขึ้น โดยแนวทางจากการรับประกันความเสี่ยงเรื่องรายได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้เร็วขึ้น รวมไปถึงการส่งเสริมเจ้าหน้าที่ให้เข้าไปแนะนำเกษตรกร เราต้องสร้าง ecosystem ให้ดี โดยหน่วยงานรัฐเข้ามาร่วมกันบูรณาการ เช่น กรมการข้าว กรมพัฒนาที่ดิน ธกส. และอื่น ๆ มาร่วมสร้างเป็น prototype

เบื้องต้นในฤดูกาลเพาะปลูกปีหน้า มีแผนจะให้มีการปลูกข้าวแบบยั่งยืน ใน 2 จังหวัด คือ ขอนแก่นและร้อยเอ็ด จังหวัดละ  20 หมู่บ้าน และจะขยายให้ถึง 50 หมู่บ้าน ภายใน 1 ปี พร้อมเพิ่มจำนวนเกษตรกรปลูกข้าวยั่งยืนในแต่ละหมู่บ้านด้วย โดยให้หน่วยงานรัฐสามารถมา Plug-in ได้ เมื่อทุกอย่างสมบูรณ์แล้วเราจะขยายพื้นที่เพาะปลูกข้าวยั่งยืนให้ได้ทั้งจังหวัด ภายใน 5 ปี หลังจากนั้น โมเดลนี้จะสามารถนำไปใช้ได้กับทุกจังหวัดในประเทศไทย โดยปรับเปลี่ยนให้เข้ากับบริบทของแต่ละพื้นที่ ดังนั้น “ถ้าสร้างตรงนี้ให้เห็นได้ชัด มันจะเกิดโมเมนตัมได้เร็วขึ้น” รศ.ดร.ภูมิสิทธิ์ กล่าวในตอนท้าย  ////


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ออฟฟิศเมท ยกกองทัพกระเช้าของขวัญและเครื่องใช้ไฟฟ้า จัดโปรโมชั่นกว่า 1,000 รายการ เตรียมส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่

ออฟฟิศเมท ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ชวนทุกธุรกิจส่งความสุขให้คนสำคัญ เตรียมส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่…จัดเต็มทั้งสินค้าเทศกาลและโปรโมชั่นสุดพิเศษแบบครบจบในที่เดียว ให้ทุกองค์กรเลือกช้อปได้ตามต้องการ ทั้งกระเช้าของขวัญ เครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ดังกว่า 1,000 รายการ และบริการรับผลิตสินค้าพรีเมียมพร้อมสกรีนโลโก้ธุรกิจคุณ ช้อปได้ตลอดทั้งเดือนพ.ย. – ธ.ค. 2566

คุณพฐา รัตนวิศิษฎ์กุล Head of Omni Commercial & Marketing ออฟฟิศเมท    ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า “ช้อปกระเช้าของขวัญแบรนด์ดัง โปรฯดี ต้องช้อปที่ออฟฟิศเมท…มีทั้งกระเช้าของขวัญยอดนิยมจากแบรนด์ออฟฟิศเมทและ Tops, กระเช้าสินค้าพรีเมียมนำเข้า แบรนด์ WISH, กระเช้าแบรนด์ไทย กระเช้าเพื่อสุขภาพ และ Gift Set จากแบรนด์ดอยคำ, ดอยตุง, SCOTCH, BRAND’S, สบายใจ และอีกมากมาย พร้อมด้วยโปรโมชั่นเอาใจ SME และลูกค้าองค์กร เมื่อซื้อตั้งแต่ 2,000 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ สามารถเลือกรับส่วนลดเงินสดสูงสุด 16% หรือบัตรกำนัล Tops สูงสุด 17,000 บาท (ตามยอดสั่งซื้อที่กำหนด) นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นพิเศษจากบัตรเครดิตชั้นนำ” อาทิ
     • รับสิทธิ์ผ่อน 0% นาน 3 เดือน หรือรับเครดิตเงินคืนกับบัตรเครดิตเซ็นทรัล เดอะวัน (ตามกำหนด)
     • แลกคะแนนรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 15% กับบัตรเครดิต CardX และ SCB (ตามกำหนด)
     • รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 12,000 บาท กับบัตรเครดิต ttb (ตามกำหนด)

สำหรับใครที่กำลังมองหาเครื่องใช้ไฟฟ้านานาชนิด ออฟฟิศเมทมีให้เลือกเยอะจุใจ ครบทุกแบบ ทุกสไตล์ พร้อมส่วนลดเพียบ ทั้งแกดเจ็ต เครื่องฟอกอากาศ เครื่องชงกาแฟ กาต้มน้ำ เตาไฟฟ้า กระทะปิ้งย่าง หม้อชาบู และของน่าใช้อีกมากมาย จะซื้อจับฉลาก ซื้อใช้เอง หรือมอบให้ลูกค้าคนสำคัญ ก็ตอบโจทย์ได้ครบ ทั้งคุ้มค่าและดูดีแน่นอน และสำหรับบริษัทหรือองค์กรที่ต้องการสั่งผลิตของพรีเมียมพร้อมสกรีนโลโก้ สร้างการจดจำให้ธุรกิจคุณ ออฟฟิศเมทยินดีบริการเป็นผู้ช่วยจัดซื้อจัดหาให้ตามต้องการ มีสินค้าทันทุกเทรนด์ธุรกิจ

ทั้งหมดนี้ออฟฟิศเมทจัดเต็มราคาพิเศษตามจำนวนสั่งซื้อ ให้ทุกธุรกิจประหยัดได้มากกว่า สามารถตรวจสอบโปรโมชั่นและช้อปได้สะดวกทุกช่องทาง ทั้งที่ร้านออฟฟิศเมท ช้อปออนไลน์ที่เว็บไซต์ ofm.co.th หรือ Line: @OfficeMate และ Contact Center โทร. 1281 ออฟฟิศเมทบริการจัดส่งฟรี (ตามกำหนด)


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์ บทความ บทความพิเศษ

การ์ทเนอร์เผยผลสำรวจ CIO ทั่วโลกกว่า 2,400 ราย ชี้ 45% กำลังเปลี่ยนแปลงบทบาทไปสู่การเป็นเจ้าของร่วม (Co-Ownership) ของความเป็นผู้นำทีมดิจิทัล

โดยซีไอโอและผู้บริหารด้านเทคโนโลยีเห็นตรงกันว่า GenAI เป็นเทคโนโลยีที่มาเปลี่ยนเกม

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 10 พฤศจิกายน 2566 – ผลสำรวจความคิดเห็นประจำปีกับซีไอโอและผู้บริหารด้านเทคโนโลยีทั่วโลกของการ์ทเนอร์ เผยว่า 45% ของ CIO กำลังเริ่มทำงานร่วมกับผู้บริหารระดับ C-Level ต่าง ๆ ในองค์กรเพื่อนำเจ้าหน้าที่ไอทีและทีมฝั่งธุรกิจมารวมกันเพื่อส่งมอบงานดิจิทัลในสเกลระดับองค์กร

แมนดิ บิสชอป รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “CIO ทั้งหลายเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงด้านกระบวนทัศน์และการแบ่งบทบาทความรับผิดชอบในการเป็นผู้นำร่วมกับผู้บริหาร C-Level ท่านอื่น ๆ เพื่อสร้างความสำเร็จทางดิจิทัล ขณะเดียวกันยังต้องรับมือกับแรงกดดันด้านงบประมาณและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และร่วมมือกับฝ่ายบริหารทางธุรกิจเพื่อออกแบบ ส่งมอบ และจัดการความสามารถทางดิจิทัลกับทีมให้อยู่ในจุดที่สร้างมูลค่ามากที่สุด”

นักวิเคราะห์การ์ทเนอร์นำเสนอผลสำรวจที่น่าสนใจระหว่างงาน Gartner IT Symposium/Xpo ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยผลสำรวจ The 2024 Gartner CIO and Technology Executive ได้รวบรวมข้อมูลผู้ตอบแบบสำรวจจากผู้บริหาร CIO จำนวน 2,457 ในอุตสาหกรรมหลัก ๆ จาก 84 ประเทศทั่วโลก ที่มูลค่ารายได้ทั้งในฝั่งภาคเอกชนหรือมีงบประมาณในฝั่งภาครัฐรวมกันประมาณ 12.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเป็นมูลค่าใช้จ่ายไอทีราว 163 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

CIO ยังคงเน้นการส่งมอบบริการดิจิทัลแบบเสรีด้วย GenAI 

ผู้บริหาร CIO วางรากฐานให้กับการส่งมอบทางดิจิทัลอย่างเท่าเทียมกันด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ อาทิ แพลตฟอร์ม Low-Code โดย 64% ของ CIO กล่าวว่าพวกเขาได้นำมาปรับใช้หรือวางแผนจะใช้ในอีก 24 เดือนข้างหน้า ในด้านของ Generative AI (GenAI)  70% ของซีไอโอระบุว่า GenAI คือเทคโนโลยีสำคัญที่จะมาพลิกเกม ที่จะพัฒนาการส่งมอบบริการดิจิทัลให้เป็นไปตามหลักเสรีได้อย่างรวดเร็วนอกเหนือจากฟังก์ชันไอที แม้จะมี CIO เพียง 9% เท่านั้นที่หันมาใช้เทคโนโลยี GenAI แล้ว แต่มากกว่าครึ่ง (55%) บอกว่าพวกเขาจะนำ Generative AI มาใช้ในอีก 24 เดือนข้างหน้านี้

การสำรวจยังเผยประเด็นสำคัญด้านการลงทุนในอนาคตของ CIO ในปีหน้า ที่ประกอบด้วย ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ด้านการวิเคราะห์ข้อมูล และด้านแพลตฟอร์มคลาวด์ (ดูรูปที่ 1)

ภาพที่ 1. คาดการณ์การเปลี่ยนแปลงการลงทุนทางเทคโนโลยีของ CIO ในปี 2567
ที่มา: การ์ทเนอร์ (ตุลาคม 2566) 

จากการสำรวจพบว่า ความเป็นเลิศด้านประสบการณ์ลูกค้าหรือพลเมือง ช่วยเพิ่มผลกำไรจากการดำเนินงานและสร้างรายได้ ซึ่งเป็นผลลัพธ์สำคัญที่สุดจากการลงทุนเทคโนโลยีดิจิทัล (ดูรูปที่ 2)

ภาพที่ 2: ผลลัพธ์ระดับองค์กรที่สำคัญสุดของ CIO มาจากการลงทุนเทคโนโลยีดิจิทัล
ที่มา: การ์ทเนอร์ (ตุลาคม 2566) 

“ปัจจุบัน CIO ตั้งเป้ามากกว่าการส่งมอบบริการและผลิตภัณฑ์ไอที โดย 42% ของ CIO บอกว่าพวกเขาต้องการเติบโตภายในขอบเขตการทำงานในปัจจุบัน และอีก 43% หวังว่าจะขยายความรับผิดชอบของความเป็นผู้นำไปอีก โดย CIO จะต้องอยู่ในตำแหน่งบนสุดของการส่งมอบผลลัพธ์ทางธุรกิจเพื่อก้าวไปอีกระดับ” บิชอปกล่าวเพิ่มเติม

CIO สามารถเสริมศักยภาพและเตรียมทีมงานธุรกิจส่งมอบบริการดิจิทัลด้วยโมเดลแฟรนไชส์

การสำรวจยังเผยรายละเอียดด้านโปรไฟล์ของ CIO ที่แตกต่างกัน 3 แบบ โดยมีเนื้อหาครอบคลุมถึงวิธีการที่ CIO ใช้ในการเร่งความเร็วและปรับขนาดการส่งมอบบริการดิจิทัล: 

  • Operator Mindset มี CIO ประมาณ 55% ที่มีแนวคิดแบบ Operator Mindset โดยรับผิดชอบในด้านดิจิทัลและทำงานร่วมกับผู้บริหาร C-Level อื่น ๆ ในฐานะผู้สนับสนุนโครงการดิจิทัลเชิงธุรกิจ
  • Explorers ประมาณ 33% ของ CIO อยู่ในประเภท Explorers โดย CIO ในโปรไฟล์นี้มีการทำงานร่วมกับผู้บริหาร C-Level อื่น ๆ และทีมงานธุรกิจในกิจกรรมการส่งมอบบริการดิจิทัลแล้ว
  • Franchisers CIO 12% ที่เหลืออยู่ในกลุ่ม Franchisers ซึ่งมีบทบาทเป็นทั้งผู้นำร่วม (Co-Lead) ผู้ส่งมอบร่วม (Co-Deliver) และผู้กำกับดูแลร่วม (Co-Govern) ในโครงการดิจิทัลที่ต้องทำงานคู่ขนานกับผู้บริหารระดับ C-Level อื่น ๆ โดยจะแบ่งความรับผิดชอบของการส่งมอบกับเจ้าหน้าที่ไอทีและทีมงานธุรกิจที่ทำงานสอดประสานกันอยู่ในทีมที่หลอมรวมจากหลากหลายสาขาความเชี่ยวชาญ

Franchiser CIOs มีแนวโน้มตอบสนองหรือจัดการกับความคาดหวังของผลลัพธ์ทางดิจิทัลได้มากกว่า CIO ในกลุ่ม Operator และ Explorer โดย 63% ของโครงการดิจิทัลใหม่ ๆ ขององค์กรจะบรรลุหรือสำเร็จเกินเป้าหมายเมื่อ CIO นำโมเดลการทำงานแบบแฟรนไชส์มาปรับใช้ เทียบกับ 43% หากยังทำงานอยู่ในโมเดล Operator แบบเดิม ๆ นอกจากนี้ Franchiser ยังช่วยให้การทำงานด้านการจัดการไอทีแบบทั่วไปมีประสิทธิภาพดีขึ้นมาก อาทิ การพัฒนาความเป็นผู้นำของผู้บริหาร และกลยุทธ์ธุรกิจดิจิทัล

จาเนล ฮิลล์ รองประธานนักวิเคราะห์หลักของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “การดำเนินงานด้านการส่งมอบดิจิทัลอย่างเท่าเทียมอย่างต่อเนื่องแสดงถึงความพยายามในการขับเคลื่อนนวัตกรรมทางธุรกิจ ความรวดเร็วในการเข้าสู่ตลาด และความคล่องตัว เนื่องจาก CEO มีความคาดหวังว่า CIO จะสามารถจัดการผลลัพธ์ขององค์กรได้ ดังนั้น CIO จึงต้องบูรณาการและปรับแนวความคิดดิจิทัลใหม่ ๆ ที่ได้รับการเสนอมาจากผู้บริหาร C-Level ในองค์กร โดยการทำงานร่วมกันแบบ Co-Ownership ระหว่างผู้บริหาร CIO และ CXO เพื่อส่งมอบบริการดิจิทัลได้กลายเป็นส่วนสำคัญขององค์กรที่จะแยกจากกันไม่ได้ และไม่ใช่แค่การทำงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเป้าหมายความสำเร็จอีกด้วย”

การทำงานในลักษณะแฟรนไชส์ ทั้ง CIO และผู้บริหาร C-Level อื่น ๆ ยังต้องแบ่งความรับผิดชอบในการกำกับดูแลเทคโนโลยีด้วย เกือบครึ่งหนึ่งของ Franchiser CIO (47%) ยอมรับว่าธุรกิจควรแบ่งความรับผิดชอบในการปฏิบัติตามกฎระเบียบและความเสี่ยง เทียบกับประเภท Operator ที่มีเพียง 19%

“Franchisers ที่พัฒนาแนวคิดการกำกับดูแลร่วม หรือ Co-Governance Mindset จะทำงานร่วมกับผู้บริหาร C-Level อื่น เพื่อจัดการความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล แม้ว่าแต่เดิม 2 ประเด็นนี้เคยอยู่ในความรับผิดชอบของ CIO โดยผู้บริหาร C-Level ตระหนักดีว่า CIO มีหน้าที่หลักสร้างมาตรฐานการกำกับดูแล แต่ยังไม่รับรู้ว่าต้องแบ่งความรับผิดชอบในการปฏิบัติตามมาตรฐานเหล่านั้นด้วย” ฮิลล์ กล่าวปิดท้าย

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก นำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่องค์กรสามารถนำไปปฏิบัติใช้ได้จริงและมีความเป็นกลาง ช่วยขับเคลื่อนการตัดสินใจที่ชาญฉลาดและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดลำดับความสำคัญของภารกิจองค์กร สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Cloudflare Study: เผยองค์กรในไทยเสียหายหลายล้านดอลลาร์จากภัยคุกคามความมั่นคงทางไซเบอร์

กรุงเทพฯ 9 พฤศจิกายน 2566  —  Cloudflare, Inc. (NYSE: NET) บริษัทชั้นนำด้าน Connectivity Cloud เปิดเผยผลการศึกษาใหม่ที่เน้นเรื่องความมั่นคงทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ในเอเชียแปซิฟิกในวันนี้ ในรายงานที่มีชื่อว่า “Securing the Future: การสำรวจความพร้อมด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก” เปิดเผยข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการเตรียมพร้อมด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ในภูมิภาคนี้ โดยระบุถึงวิธีการต่าง ๆ ที่องค์กรนำมาใช้เพื่อจัดการกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ที่เพิ่มสูงขึ้น ระดับการเตรียมพร้อมขององค์กรและผลลัพธ์ที่ได้

ผลการศึกษาพบว่า 57% ของผู้ตอบแบบสำรวจจากองค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทยต่างประสบกับภัยคุกคามความมั่นคงทางไซเบอร์มากกว่า 10 ครั้งในปีที่ผ่านมา โดยผู้ตอบแบบสำรวจยังระบุด้วยว่าเป้าหมายหลักของอาชญากรทางไซเบอร์คือการฝังสปายแวร์ รองลงมาคือผลประโยชน์ทางการเงินและแรนซัมแวร์

ถึงแม้อุบัติการณ์ด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ในประเทศไทยจะมีความถี่เพิ่มมากเช่นนี้ แต่มีผู้ตอบแบบสำรวจน้อยกว่าครึ่ง (48%) ที่ระบุว่าตนมีการเตรียมความพร้อมในการป้องกันไว้สูง การขาดความตระหนักในความเสี่ยงที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นในหมู่พนักงาน (52%) คือความท้าทายใหญ่ที่สุดที่ผู้ตอบแบบสำรวจในประเทศไทยเผชิญในแง่ของการเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงทางไซเบอร์

ภัยคุกคามความมั่นคงทางไซเบอร์ทำให้องค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทยสูญเสียจำนวนมหาศาล โดยผู้ตอบแบบสำรวจจำนวนสองในสาม (65%) ยอมรับว่าภัยคุกคามดังกล่าวส่งผลกระทบทางการเงินอย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา องค์กรขนาดกลางได้รับผลกระทบหนักกว่า โดย 76% ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าตนได้รับผลกระทบทางการเงินอย่างน้อย 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเดียวกัน นอกจากสูญเสียทางการเงินแล้ว ผู้ตอบแบบสำรวจยังระบุว่าความเสียหายของชื่อเสียง ข้อมูล/ทรัพย์สินทางปัญญา และการเสียลูกค้าเป็นผลกระทบที่ใหญ่ที่สุดต่อธุรกิจของตน

ผลกระทบต่อเนื่องจากภัยคุกคามด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ยังขยายครอบคลุมไปถึงการดำเนินงานขององค์กร โดย 38% ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าองค์กรของตนตัดสินใจลดหรือจำกัดการทำงานแบบ Hybrid Work ปลดพนักงาน และชะลอแผนการเติบโตขององค์กร  มีผู้ตอบแบบสำรวจเพียง 33% เท่านั้นที่กล่าวว่าองค์กรของตนได้รายงานกรณีการละเมิดไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

Jonathon Dixon รองประธานและกรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ญี่ปุ่น และจีนของ Cloudflare กล่าวว่า “ในปีที่ผ่านมา เราพบเห็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นทั่วทั้งภูมิภาค โดยส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่ธุรกิจในประเทศไทยมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ด้วยเหตุนี้ภาคธุรกิจไทยจึงจำเป็นต้องร่วมมือกันสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ เพื่อรับมือกับความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นของพนักงานที่อยู่อย่างกระจัดกระจาย สิ่งสำคัญคือการเตรียมพร้อม โดยผู้นำธุรกิจจำเป็นต้องมองว่าความมั่นคงทางไซเบอร์คือความจำเป็นเชิงกลยุทธ์สำหรับทุกคนในองค์กร การให้ความรู้แก่พนักงานเพื่อสร้างความตระหนักถึงความเสี่ยงในปัจจุบันเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญเพื่อให้แน่ใจว่า บริษัทจะได้รับการปกป้องอย่างดีจากภัยคุกคามในอนาคต”

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสำรวจความพร้อมด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โปรดดูที่:

ระเบียบวิธีในการสำรวจ

การสำรวจนี้จัดทำโดย Sandpiper Communications ในนามของ Cloudflare โดยสอบถามกับผู้มีอำนาจตัดสินใจและผู้นำด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ทั้งหมด 4,009 คนจากองค์กรขนาดเล็ก (พนักงาน 150 ถึง 999 คน) ขนาดกลาง (พนักงาน 1,000 ถึง 2,500 คน) และองค์กรขนาดใหญ่ (พนักงานมากกว่า 2,500 คน) ผู้ตอบแบบสำรวจได้รับการคัดเลือกมาจากหลากหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ ภาคธุรกิจและบริการ การก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ การศึกษา พลังงาน สาธารณูปโภคและทรัพยากรธรรมชาติ บริการทางการเงิน เกม ภาครัฐ การดูแลสุขภาพ ไอทีและเทคโนโลยี การผลิต สื่อและโทรคมนาคม การค้าปลีก การขนส่ง การเดินทาง การท่องเที่ยวและการโรงแรม กลุ่มผู้ตอบแบบสำรวจอยู่ใน 14 ตลาดทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน เขตปกครองพิเศษฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม (กลุ่มตัวอย่าง 203 ถึง 426 คนต่อประเทศ) และสำรวจแบบออนไลน์และคัดเลือกจากธุรกิจทั่วไป การสำรวจนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับภูมิทัศน์ของภัยคุกคามที่ประธานเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของข้อมูล (Chief Information Security Officers – CISO) และคณะทำงานทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต้องเผชิญ รวมถึงกิจกรรมใด ๆ ที่จะขับเคลื่อนผลลัพธ์และผลเชิงบวก การสำรวจนี้จัดทำขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2566

เกี่ยวกับ Cloudflare

Cloudflare, Inc. (NYSE: NET) เป็นบริษัทชั้นนำด้าน Connectivity Cloud ที่ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานพนักงาน แอปพลิเคชัน และเครือข่ายในทุก ๆ ที่ให้ทำงานได้เร็วขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้น พร้อมทั้งลดความซับซ้อนและต้นทุน ทั้งนี้ Connectivity Cloud ของ Cloudflare เสนอแพลตฟอร์มผลิตภัณฑ์และเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาแบบคลาวด์เนทีฟที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและครบวงจรที่สุด เพื่อให้องค์กรสามารถควบคุมส่วนที่จำเป็นต่อการทำงาน พัฒนา และสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ

Cloudflare ซึ่งขับเคลื่อนโดยหนึ่งในเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดและเชื่อมต่อถึงกันมากที่สุดในโลก ได้ปิดกั้นภัยคุกคามออนไลน์หลายพันล้านรายการของลูกค้าทุกวัน ได้รับความไว้วางใจจากองค์กรหลายล้านแห่ง ตั้งแต่แบรนด์ที่ใหญ่ที่สุดไปจนถึงผู้ประกอบการและธุรกิจขนาดเล็ก ตลอดจนองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร กลุ่มด้านมนุษยธรรม และรัฐบาลทั่วโลก

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Connectivity Cloud ของ Cloudflare ได้ที่ cloudflare.com/connectivity-cloud เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวโน้มและข้อมูลเชิงลึกทางอินเทอร์เน็ตล่าสุดได้ที่ https://radar.cloudflare.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

AMD เปิดตัวชุดเกมบันเดิล Avatar สำหรับผู้ที่ซื้อผลิตภัณฑ์โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen 7000 Series หรือกราฟิกการ์ด AMD Radeon RX 7000 Series

วันนี้ AMD ชุดเกมบันเดิล Avatar: Frontiers of Pandora™ เกมที่เหล่าแฟน ๆ ตั้งตารอคอย ซึ่งจะเปิดให้เล่นพร้อมกันทั่วโลกในวันที่ 7 ธันวาคม 2566 ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน เป็นต้นไป ผู้ที่ซื้อผลิตภัณฑ์โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen 7000 Series และกราฟิกการ์ด AMD Radeon RX 7000 Series รวมไปถึงผลิตภัณฑ์แล็ปท็อปที่ใช้ขุมพลังโปรเซสเซอร์ AMD Ryzen และกราฟิกการ์ด AMD Radeon ในรุ่นที่ร่วมรายการ สามารถแลกรับโค้ดเกม Avatar: Frontiers of Pandora™ ฟรี!!! ไปจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2566

แฟน ๆ เกม Avatar และเกมเมอร์ทั่วโลก จะได้สัมผัสประสบการณ์การเล่นสุดพิเศษภายในเกม Avatar: Frontiers of Pandora ผ่านระบบที่ใช้ขุมพลัง AMD ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ร่วมรายการในโปรโมชั่นชุดเกมบันเดิลนี้ได้ที่ https://www.amd.com/en/gaming/featured-games/avatar-pandora.html#bundle หรือทางแฟนเพจ AMD Redteam Thailand

ข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ www.amd.com/AvatarFrontiers และผู้เล่นสามารถดูข้อกำหนดและเงื่อนไขการแลกรับรหัสเกมได้ที่ https://www.amdrewards.com/


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

DeeMoney จับมือ SCB รุกตลาดเมียนมา เชื่อมประสบการณ์การโอนเงินข้ามพรมแดน โอนง่าย ปลอดภัย รับเงินเร็ว

บริษัท สวัสดีช้อป จำกัด ฟินเทคผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม DeeMoney (ดีมันนี่) แพลตฟอร์มด้านธุรกรรมข้ามพรมแดนสัญชาติไทย รองรับกว่า 26 สกุลเงิน ครอบคลุมกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ผนึกพันธมิตรทางธุรกิจกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB ประกาศความร่วมมือสนับสนุนระบบบริการโอนเงินระหว่างประเทศ (Money Transfer Operators) จากประเทศไทยไปยังประเทศเมียนมา มุ่งเน้นการพัฒนาบริการโอนเงินข้ามประเทศให้เป็นเรื่องง่าย สะดวก รวดเร็ว พร้อมให้อัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่าตลาด เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับแรงงานชาวเมียนมา กว่า 2 ล้านราย รวมไปถึงผู้ประกอบธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) ที่ต้องการโอนเงินไปยังประเทศเมียนมา ตั้งเป้าที่จะเป็นตัวเลือกแรกของชาวเมียนมาโดยมีผู้ใช้งานประจำ (Active user) ไม่น้อยกว่า 150,000 คน และมีมูลค่าการทำธุรกรรมมากกว่า 2 พันล้านบาท ในสิ้นปี 2567

จากการสำรวจของ DeeMoney ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา พบว่า กว่าร้อยละ 94  ของแรงงานชาวเมียนมา มีการโอนเงินกลับประเทศผ่านตัวแทนโอนเงินนอกระบบ (Hundi) โดยบางส่วนนำเงินกลับประเทศด้วยตนเองหรือผ่านคนรู้จัก และมีเพียงส่วนน้อยที่ใช้การโอนเงินผ่านระบบธนาคาร ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างเต็มที่ (Unbanked) รวมไปถึงอัตราแลกเปลี่ยนในระบบการเงินปกติก็มีอัตราที่สูงกว่าบริการนอกระบบ (Hundi)

ผลสำรวจดังกล่าว จึงนำไปสู่การพัฒนาความร่วมมือระหว่างสองยักษ์ใหญ่ DeeMoney และ SCB ในการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนไทยบาทและเมียนมาจ๊าดโดยตรง ส่งผลให้ DeeMoney กลายเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการที่เสนออัตราแลกเปลี่ยนที่ดีที่สุดในการโอนเงินจากประเทศไทยไปยังประเทศเมียนมา โดยความร่วมมือดังกล่าวข้างต้นได้รับอนุญาตจากธนาคารกลางทั้งสองประเทศ กล่าวคือ ธนาคารแห่งประเทศไทย (Bank of Thailand) และธนาคารกลางเมียนมา (Central Bank of Myanmar) อีกด้วย

ในส่วนของประเทศปลายทาง DeeMoney มุ่งมั่นที่จะขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมมากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าสามารถโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารชั้นนำในประเทศเมียนมา อาทิเช่น  A Bank, Aya Bank, CB bank, KBZ bank, Yoma bank และอีกมากกว่า 20 ธนาคาร นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายในการเปิดให้บริการโอนเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) ที่มีกลุ่มผู้ใช้งานจำนวนมาก ได้แก่ WAVEPAY หรือ Wave Money, A+ Wallet และ AYA Pay เป็นต้น โดยที่เป้าหมายบัญชีปลายทางที่จะพร้อมรับเงินนั้น มีมากกว่า 8 ล้านบัญชี อีกทั้งผู้รับเงินยังสามารถเบิกถอนเงินสด (Cash-out)  ได้ที่สาขาของธนาคาร ตู้ ATM และจุดให้บริการต่างๆ กว่า 130,000 จุดทั่วประเทศ

DeeMoney ให้ความมั่นใจว่าเงินที่ลูกค้าโอนจะสามารถถึงมือผู้รับได้ทันที หากเลือกที่จะโอนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) ในขณะที่การโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารก็ใช้เวลาแค่เพียง 1 วันทำการเท่านั้น ทั้งนี้มูลค่าธุรกรรมสูงสุดที่ผู้โอนสามารถทำได้คือ ไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อรายการ

นายอัศวิน พละพงศ์พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง DeeMoney กล่าวว่า DeeMoney และ SCB เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ดีต่อกัน ซึ่งเล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาบริการทางการเงินให้แก่ชาวเมียนมาที่มาพํานักและทํางานในประเทศไทยกว่า 2 ล้านราย ที่มีความต้องการส่งเงินกลับประเทศคิดเป็นมูลค่ากว่า 1.33 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี หรือราว 48,000 ล้านบาทต่อปี ให้สามารถทำการโอนเงินได้ด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชันของ DeeMoney ที่มีความปลอดภัยสูงแทนการโอนเงินแบบพึ่งพานายหน้าอย่างที่ผ่านมา โดยผู้ใช้งานสามารถทำรายการได้ทุกที่ทุกเวลา อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ผ่านแอปพลิเคชัน DeeMoney ด้วยค่าธรรมเนียมคงที่ (Flat Fee) เพียงรายการละ 49 บาท รวมถึงมีแอปพลิเคชัน และคอลเซนเตอร์ให้บริการในภาษาเมียนมาทุกวันอีกด้วย 

ทั้งนี้ ปรากฎการณ์ความร่วมมือระหว่าง DeeMoney และ SCB รวมถึงธนาคารพันธมิตรในประเทศเมียนมา จะนำไปสู่ความร่วมมือในการพัฒนาระบบนิเวศการโอนเงินข้ามประเทศ (Cross-border remittance ecosystem) ที่สำคัญระหว่างประเทศไทยและประเทศเมียนมาในอนาคต”  นายอัศวินกล่าว

เพื่อเป็นการตอกย้ำความร่วมมือในการโอนเงินไปต่างประเทศ DeeMoney ได้จัดกิจกรรมโปรโมชั่นใหญ่ประจําปี กับแคมเปญ “DeeMoney โอนดี แจกฟรี เทสล่า” เปิดโอกาสให้ลูกค้าที่ใช้งานแอปพลิเคชัน DeeMoney ที่โอนเงินไปต่างประเทศตั้งแต่ 1,000 บาท ขึ้นไปต่อครั้ง ลุ้นรับรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า เทสล่าโมเดล 3, มอเตอร์ไซค์ฮอนด้าเวฟ 110i รุ่นใหม่ปี 2022, สมาร์ทโฟน iPhone 14 Pro Max, AirPods Pro Gen2 และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย รวมมูลค่ากว่า 3.5 ล้านบาท ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญ “DeeMoney โอนดี แจกฟรีเทสล่า” ได้ที่เฟซบุ๊กและเว็บไซต์ www.deemoney.com”  

นายธนวัฒน์ กิตติสุวรรณ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Digital Juristic ธนาคาร ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ภาพรวมการโอนเงินระหว่างประเทศของธุรกิจธนาคารในช่วง 9 เดือนแรกปี 2566 มี ทิศทางที่ดีขึ้นแสดงถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าต่างประเทศโดยรวม  ขณะเดียวกันธุรกรรมการเงินในโลกไร้พรมแดนได้ขยายไปยังกลุ่มลูกค้าที่กว้างขวาง และในประเทศใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น จึงทําให้ตลาดมีความต้องการในการโอนเงินในรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะลูกค้าบุคคลธรรมดาและกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนที่คล่องตัว และรวดเร็วกว่าการโอนเงินแบบเดิม

ธนาคารไทยพาณิชย์ซึ่งมุ่งให้บริการไร้รอยต่อในทุกช่องทางด้วยการ นําเสนอโซลูชั่นทางการเงินเพื่อตอบสนองความต้องของลูกค้าในโลกปัจจุบันให้ได้อย่างไร้ขีดจํากัด ได้ ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ DeeMoney ฟินเทคที่มีความเชี่ยวชาญการให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศและครอบคลุมเครือข่ายที่กว้างขวาง นําเสนอบริการการโอนเงินระหว่างประเทศรูปแบบใหม่ผ่าน แอปพลิเคชัน DeeMoney ให้แก่กลุ่มแรงงานและผู้ประกอบธุรกิจเมียนมาในประเทศไทยที่มีบัญชีกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการโอนเงินกลับประเทศที่รวดเร็ว ปลอดภัย และ ค่าธรรมเนียมดีที่สุด”

ปัจจุบันกลุ่มแรงงานและผู้ประกอบธุรกิจเมียนมาในประเทศไทยที่มีบัญชีเงินฝากกับธนาคารไทยพาณิชย์มีจํานวนกว่า 3 แสนบัญชี ซึ่งธนาคารคาดหวังว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยขยายฐานบัญชีและเพิ่มโอกาสในการนําเสนอบริการทางการเงินอื่นๆ ให้แก่ชาวเมียนมาในประเทศไทย นอกจากนี้ความร่วมมือครั้งนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของธนาคารไทยพาณิชย์ในการเป็นศูนย์กลางการโอนเงินในภูมิภาคอาเซียน และแสดงถึงความสําเร็จครั้งสําคัญในกลุ่มฟินเทคและการธนาคาร ซึ่งนําไปสู่ยุคใหม่ของบริการโอนเงินข้ามพรมแดนด้วยการโอนเงินทั่วโลกที่ราบรื่นและขับเคลื่อนการเข้าถึงบริการทางการเงินในประเทศไทย และประเทศในภูมิภาคอาเซียน ทั้งนี้อนาคต ธนาคารมีแผนต่อยอดความร่วมมือดังกล่าวกับ DeeMoney เพื่อให้บริการแก่กลุ่มแรงงานและผู้ประกอบธุรกิจของประเทศเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย” นายธนวัฒน์ กล่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้รับการยกย่องเป็น องค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก จาก TGO

นางอันนา ลอรี ลู เดอเลค เอ็บ เดอ ฟูโกด์  (ขวา) ผู้อำนวยการด้านความยั่งยืน และ พัฒนาธุรกิจ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา รับมอบประกาศนียบัตรเครื่องหมายรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ประจำปี 2566 ในโครงการ Carbon Footprint Organization  (CFO) จาก นายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ (ซ้าย) ผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO ซึ่งการรับมอบในครั้งนี้เป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นในการไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย โดยกระบวนการหลักที่ทำให้บรรลุเป้าหมายได้แก่ การทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล ทั้งด้านอุตสาหกรรมและพลังงาน โดยล่าสุด ได้ติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อป ขนาด 1,395 กิโลวัตต์ ทำให้ลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมหาศาล เมื่อเทียบกับกิจกรรมเชิงธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทย โดยที่ผ่านมาชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทยได้ใช้ประโยชน์จากดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้การรวบรวมตัวเลขที่สำคัญ เช่น เส้นทางของคาร์บอน ทำได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ปัจจุบันชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย จัดเป็น “องค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก” ในลิสต์รายชื่อของ TGO ซึ่งเป็นรายแรกของประเทศไทยในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ซีเมนส์ร่วมมือไมโครซอฟท์ขับเคลื่อนการนำ AI มาใช้ในภาคอุตสาหกรรม

ไมโครซอฟท์ และ ซีเมนส์ ผนึกความร่วมมือต่อเนื่อง นำประสิทธิภาพ Generative AI มาสู่ภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก โดยทั้งสองบริษัทฯ เตรียมเปิดตัว Siemens Industrial Copilot ซึ่งเป็นผู้ช่วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่พัฒนาร่วมกัน มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรในภาคการผลิต นอกจากนี้การผนวกซอฟต์แวร์ Teamcenter ของซีเมนส์ที่ใช้สำหรับการบริหารจัดการวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (หรือ PLM) เข้ากับ Microsoft Teams ยังสนับสนุนการสร้างเมตาเวิร์สในภาคอุตสาหกรรม ลดความซับซ้อนในการทำงานร่วมกันแบบเสมือนจริงให้แก่วิศวกรออกแบบ ผู้ปฏิบัติงานหน้างานและทีมอื่น ๆ ตลอดสายงานธุรกิจ

สัตยา นาเดลลา ประธานและซีอีโอของไมโครซอฟท์ กล่าวว่า “ด้วยศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ยุคใหม่นี้ เรามีโอกาสพิเศษในการเร่งสร้างนวัตกรรมให้กับภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด เรากำลังพัฒนาต่อยอดจากความร่วมมือที่ยาวนานกับซีเมนส์ รวบรวมความก้าวหน้าด้าน AI ใน Microsoft Cloud มาผนวกรวมกับความเชี่ยวชาญทางด้านอุตสาหกรรมของซีเมนส์ เพื่อเสริมศักยภาพให้แก่ผู้ปฏิบัติงานหน้างานและพนักงานที่มีทักษะเฉพาะทาง ด้วยเครื่องมือใหม่ ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังปัญญาประดิษฐ์ โดยเริ่มต้นด้วยโครงการ Siemens Industrial Copilot”

โรแลนด์ บุช ซีอีโอของซีเมนส์ กล่าวว่า “เราและไมโครซอฟท์มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการส่งเสริมศักยภาพของลูกค้าด้วยการนำ Generative AI มาใช้งาน เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพมหาศาลที่จะปฏิวัติวิธีการที่บริษัทต่าง ๆ ใช้ออกแบบ พัฒนา ผลิตและดำเนินการ ด้วยการส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักรที่เชื่อมต่อกันในวงกว้างมากขึ้น ช่วยให้เหล่าวิศวกรสามารถเร่งพัฒนาโค้ด เพิ่มนวัตกรรม และรับมือกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะได้”

ยุคใหม่ของการทำงานร่วมกันของมนุษย์และเครื่องจักร

Siemens Industrial Copilot จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสร้าง เพิ่มประสิทธิภาพ และแก้ไขโค้ดอัตโนมัติที่ซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว พร้อมลดระยะเวลาการจำลองสถานการณ์ลงอย่างมาก ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยลดงานที่ก่อนหน้านี้ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ให้เหลือเป็นหน่วยนาที โดย Copilot จะนำข้อมูลของระบบอัตโนมัติและกระบวนการการจำลองจากแพลตฟอร์ม Siemens Xcelerator ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มธุรกิจดิจิทัลแบบเปิดของซีเมนส์ และเพิ่มประสิทธิภาพด้วย Azure OpenAI Service ของไมโครซอฟท์ โดยลูกค้ายังคงควบคุมข้อมูลตนเองได้ทั้งหมด ระบบจะไม่มีการนำข้อมูลไปใช้กับการฝึกโมเดล AI พื้นฐาน

Siemens Industrial Copilot มีความสามารถเพิ่มผลผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพครบวงจรในอุตสาหกรรม โดยเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงจะได้รับคำแนะนำการซ่อมแซมอย่างละเอียดด้วยภาษาปกติอย่างเป็นธรรมชาติ ขณะที่วิศวกรจะสามารถเข้าถึงเครื่องมือแบบจำลองได้อย่างรวดเร็ว

เปิดวิสัยทัศน์: Copilots สำหรับทุกอุตสาหกรรม

ทั้งซีเมนส์และไมโครซอฟท์ต่างเล็งเห็นว่า AI Copilots มีความสามารถในการช่วยเหลือผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมการผลิต โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการดูแลสุขภาพ โดย Copilot จำนวนมากกำลังถูกวางแผนที่จะนำมาใช้ในภาคการผลิต เช่น ยานยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค และการผลิตเครื่องจักร

Schaeffler AG ซัพพลายเออร์ยานยนต์ชั้นนำเป็นหนึ่งในบริษัทรายแรก ๆ ของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่นำ Generative AI ไปใช้ในงานด้านวิศวกรรม ช่วยให้ทีมวิศวกรสามารถพัฒนาโค้ดที่มีความน่าเชื่อถือสำหรับการโปรแกรมระบบอัตโนมัติในอุตสาหกรรม เช่น หุ่นยนต์ นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมนำ Siemens Industrial Copilot มาใช้ในระบบการดำเนินงาน โดยวางเป้าหมายเพื่อลดการหยุดชะงักของการทำงาน (Downtime) ของเครื่องจักรอย่างมีนัยสำคัญ และเตรียมพัฒนาขั้นต่อไปสำหรับลูกค้าในภายหลัง

เคลาส์ โรเซนเฟลด์ ซีอีโอของกลุ่มแชฟฟ์เลอร์ กล่าวว่า “เรากำลังก้าวสู่ยุคใหม่ของการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและนวัตกรรมในโครงการนำร่องร่วมกันนี้ ซึ่ง Siemens Industrial Copilot จะช่วยให้ทีมงานของเราทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังลดภาระงานซ้ำซ้อน และเพิ่มไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ ๆ เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมมือกับซีเมนส์และไมโครซอฟท์ในโครงการนี้”

Generative AI เพิ่มความสะดวกการทำงานร่วมกันในแบบเสมือน

เพื่อยกระดับการทำงานร่วมกันแบบเสมือนระหว่างทีม ซอฟต์แวร์ Teamcenter ของซีเมนส์ สำหรับ Microsoft Teams พร้อมเปิดให้ใช้งานได้โดยทั่วไปตั้งแต่เดือนธันวาคมปีนี้ โดยแอปพลิเคชันนี้จะใช้ศักยภาพล่าสุดของ Generative AI เชื่อมต่อฟังก์ชั่นการทำงานต่าง ๆ ของวงจรการออกแบบผลิตภัณฑ์และวงจรการผลิต ตั้งแต่ผู้ปฏิบัติงานหน้างานไปจนถึงทีมวิศวกร โดยจะเชื่อมต่อซอฟต์แวร์ Teamcenter ของซีเมนส์ที่ใช้สำหรับการบริหารจัดการวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (หรือ PLM) เข้ากับ Microsoft Teams ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันของไมโครซอฟท์ เพื่อให้พนักงานในโรงงานและพนักงานภาคสนามสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ สิ่งนี้จะช่วยให้พนักงานหลายล้านคนที่เข้าไม่ถึงเครื่องมือ PLM ในปัจจุบันสามารถมีส่วนร่วมในกระบวนการออกแบบและผลิตได้ง่ายยิ่งขึ้นเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของงานประจำวัน

ซีเมนส์จะแบ่งปันรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Siemens Industrial Copilot ที่งาน SPS expo ที่จะจัดขึ้น ณ เมืองนูเรมเบิร์ก ประเทศเยอรมนี ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2566


Exit mobile version