Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

แอดไวซ์มั่นใจอนาคตตลาดไอทีเติบโต นำธุรกิจค้าปลีกไอทีเข้าตลาดหลักทรัพย์ เตรียมเคาะระฆังเทรดปลายเดือนมกราคมนี้

24 มกราคม 2567 – บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) ประกาศพร้อมเข้าตลาดหุ้นต้อนรับปีมังกรทอง มั่นใจการเติบโตในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ เร่งรุกเดินหน้าขยายศักยภาพบริการให้ตอบโจทย์ ให้ความสำคัญลูกค้าทุกกลุ่มทั้งลูกค้าทั่วไป เอสเอ็มอี องค์กรธุรกิจ ภาครัฐ ภาคการศึกษาผ่านเครือข่ายสาขาที่เข้าถึงและเข้าใจตลาดท้องถิ่น ครอบคลุมทั่วประเทศไทยและ สปป. ลาว กว่า 338 สาขา เผยแผนขยายกลุ่มสินค้าแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ มากมาย พร้อมไฮไลท์เพิ่มผลิตภัณฑ์ Apple เข้าพอร์ทสินค้าพรีเมียม

ณัฏฐ์ ณัฐนิธิการัชต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การนำธุรกิจเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นเป้าหมายใหญ่ที่เราใช้เวลาศึกษา วางแผนกันมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง จนวันนี้เราพร้อมมากและเรามุ่งมั่นให้แอดไวซ์ได้ใช้ศักยภาพของการเป็นบริษัทจดทะเบียนที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้ถือหุ้นทุกคนมาสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในทุกมิติของระบบนิเวศธุรกิจของเราตั้งแต่ลูกค้า คู่ค้า พันธมิตร บุคลากร ผลิตภัณฑ์ บริการ และการนำเทคโนโลยีชั้นนำมาพัฒนาใช้งานเพื่อให้ทุกคนได้รับและใช้ประโยชน์จากโอกาสต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างสูงสุด”

“เราจะได้เห็นหุ้น ‘Advice’ อยู่บนกระดานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในไม่ช้า ในขณะเดียวกันกว่า 25 ปีของแอดไวซ์ เรามีเป้าหมายชัดเจนที่จะนำ ‘Advice’ ด้วยความร่วมมืออย่างแนบแน่นกับพันธมิตรผู้ผลิตผู้จัดจำหน่ายของเรา ให้เป็นแบรนด์ร้านค้าปลีกไอทีที่ไว้วางใจได้คู่กับผู้บริโภค ชุมชน สังคมและเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมกับหลักแนวคิดในเรื่องธรรมาภิบาลที่เราให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความยั่งยืนและความโปร่งใส และพร้อมเติบโตไปด้วยกัน”

ปัจจุบันบริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จำหน่ายสินค้าไอทีที่มีสาขาครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศ รวมทั้งสิ้น 338 สาขา* (*ข้อมูล ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566) ประกอบด้วย สาขาที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของจำนวน 110 แห่ง ในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่ ๆ กับสาขาแฟรนไชส์อีก 228 แห่ง กระจายอยู่ในแหล่งชุมชนครอบคลุมอำเภอและจังหวัดต่าง ๆ ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย รวมถึงในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 

โดยบริษัทตั้งเป้าหมายภายในสามปีข้างหน้าจะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อผลักดันยอดขายไปสู่ 20,000 ล้านบาท และเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี เปิดสาขาของบริษัทเพิ่มอีก 35-40 แห่ง และขยายสาขาแฟรนไชส์ 30-50 แห่งโดยคาดว่าจะมีร้าน Advice รวมทั้งสิ้น 420 แห่ง

เกี่ยวกับ Advice 

บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) ผู้นำศูนย์รวมอุปกรณ์ไอทีครบวงจรที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พร้อมเป็นที่ปรึกษาทางด้านไอที “นึกถึงไอที นึกถึงแอดไวซ์ จำหน่ายและซ่อม | ครบ | จบในที่เดียว” สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Facebook, Youtube, Line, IG, Twitter และ Tiktok : AdviceClub, Call Center 02-908-8888 หรือคลิก www.advice.co.th


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์ชี้ยอดขายพีซีทั่วโลกไตรมาสสุดท้าย ปี 2566 พลิกกลับมาโตขึ้นเล็กน้อย 0.3% แต่ทั้งปียังลดลง 14.8%

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 24 มกราคม 2567 – การ์ทเนอร์ อิงค์ เผยยอดขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือพีซีทั่วโลกไตรมาส 4 ปี 2566 มียอดรวม 63.3 ล้านเครื่อง เติบโต 0.3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2565 นับเป็นครั้งแรกที่ยอดขายพีซีรายไตรมาสกลับมาเติบโต หลังจากลดลงต่อเนื่องตลอดแปดไตรมาสที่ผ่านมา โดยในปีนี้มียอดแตะ 241.8 ล้านเครื่อง ลดลง 14.8% เมื่อเทียบกับปี 2565 และนับเป็นครั้งแรกที่ยอดขายต่ำกว่า 250 ล้านเครื่อง จาก 230 ล้านเครื่องในปี 2549

มิคาโกะ คิตากาวะ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ตลาดพีซีมาถึงจุดลดลงต่ำสุดแล้ว หลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยในไตรมาส 4 ปี 2566 สินค้าคงคลังได้รับการปรับให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ หลังเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเป็นเวลาสองปี ซึ่งการเติบโตนี้ยังแสดงให้เห็นว่าอุปสงค์และอุปทานกลับมาสมดุลในที่สุด อย่างไรก็ตามสถานการณ์นี้อาจเปลี่ยนแปลงได้อีกเนื่องจากการขึ้นราคาของส่วนประกอบตามที่คาดการณ์ไว้ในปี 2567 รวมถึงความไม่แน่นอนทางด้านภูมิรัฐศาสตร์และภาวะเศรษฐกิจ”

“ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ผู้ขายพีซีชั้นนำทั้ง 6 รายยังคงรักษาตำแหน่งไว้โดยไม่มีส่วนแบ่งกำไรหรือขาดทุนที่โดดเด่น ซึ่งจากข้อมูลนี้การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าตลาดพีซีจะกลับมาเติบโตอีกครั้งในปี 2567”

ผู้ขายพีซีหกอันดับแรกในไตรมาส 4 ปี 2566 ยังไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามมีผลลัพธ์ที่แตกต่างกันในด้านผลงาน โดย Lenovo, HP, Apple และ Acer มีการเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ขณะที่ Dell และ ASUS มีอัตราการเติบโตลดลง (ดูตารางที่ 1)

ตารางที่ 1 การคาดการณ์ยอดขายต่อยูนิตเบื้องต้นของผู้ขายพีซีทั่วโลก ไตรมาสที่ 4 ปี 2566 (หน่วยพันยูนิต) 

Company 4Q23 Shipments 4Q23 Market Share (%) 4Q22 Shipments 4Q22 Market Share (%) 4Q23-4Q22 Growth (%)
Lenovo 16,213 25.6 15,713 24.9 3.2
HP Inc. 13,954 22.0 13,220 20.9 5.6
Dell 9,983 15.8 10,884 17.2 -8.3
Apple 6,349 10.0 5,925 9.4 7.2
ASUS 4,405 7.0 4,864 7.7 -9.4
Acer 3,987 6.3 3,589 5.7 11.1
Others 8,479 13.4 8,982 14.2 -5.6
Total 63,371 100.0 63,179 100.0 0.3

หมายเหตุ: ข้อมูลนี้รวมพีซีแบบตั้งโต๊ะ, แล็ปท็อปพีซีที่ใช้ระบบปฎิบัติการ Windows, macOS และ ChromeOS ข้อมูลทั้งหมดอยู่บนพื้นฐานของการประมาณการเบื้องต้น การประมาณการขั้นสุดท้ายอาจมีการเปลี่ยนแปลง สถิติจะขึ้นอยู่กับการจัดส่งสินค้าเพื่อจำหน่ายผ่านช่องทางต่าง ๆ ตัวเลขต้องไม่เกินจำนวนที่แสดงเนื่องจากการปัดเศษ 

ที่มา: การ์ทเนอร์ (มกราคม 2567)

เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว Lenovo มีการเติบโตในการจัดส่งพีซีทั่วโลก นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 โดยตลาดพีซีในยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (หรือ EMEA) และอเมริกาเติบโตในระดับเลขสองหลัก ซึ่งชดเชยตลาดเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นที่อ่อนแอ ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำในจีนส่งผลกระทบต่อความต้องการพีซีโดยทั่วไป และยังกระทบรุนแรงต่อ Lenovo เนื่องจากจีนเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด ดังนั้นการเติบโตของแล็ปท็อปในตลาด EMEA และลาตินอเมริกานั้นแข็งแกร่ง สูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคมาก ผู้ขายรายอื่นมีผลลัพธ์ที่หลากหลาย อาทิ HP เติบโตเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกันเมื่อเทียบรายปี และมีการเติบโตตามลำดับในการจัดส่งพีซีทั่วโลก ขณะที่ Dell มีการเติบโตลดลงเป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกันเมื่อเทียบรายปี

ภาพรวมในภูมิภาค

ตลาดพีซีในสหรัฐฯ เติบโตเป็นครั้งแรกแบบรายปี นับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2564 โดยเพิ่มขึ้น 1.8% ในไตรมาส 4 ปี 2566 ซึ่งการเติบโตของแล็ปท็อปช่วยชดเชยการเติบโตที่ลดลงของเดสก์ท็อป

“การเติบโตของพีซีในสหรัฐฯ สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เนื่องจากตลาดมีเสถียรภาพในระหว่างไตรมาส เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งช่วยให้การใช้จ่ายของธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางดีขึ้น ในขณะที่กลุ่มธุรกิจก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทขนาดใหญ่ยังคงระมัดระวังการใช้จ่าย เลื่อนการเปลี่ยนคอมพ์ตั้งโต๊ะไปเป็นปีนี้” คิตากาวะกล่าวเพิ่ม

HP ยังครองตำแหน่งผู้นำตลาดพีซีในสหรัฐฯ โดยมีส่วนแบ่งตลาดที่ 27.7% ตามมาด้วย Dell ที่ 24.2% (ดูตารางที่ 2)

ตารางที่ 2 การคาดการณ์ยอดขายต่อยูนิตเบื้องต้นของผู้ขายพีซีในสหรัฐฯ ไตรมาสที่ 4 ปี 2566 (หน่วยพันยูนิต) 

Company 4Q23 Shipments 4Q23 Market Share (%) 4Q22 Shipments 4Q22 Market Share (%) 4Q23-4Q22 Growth (%)
HP Inc. 4,665 27.7 4,582 27.7 1.8
Dell 3,805 22.6 4,005 24.2 -5.0
Apple 2,716 16.1 2,372 14.3 14.5
Lenovo 2,650 15.7 2,397 14.5 10.6
Acer 826 4.9 729 4.4 13.2
ASUS 733 4.4 954 5.8 -23.1
Others 1,435 8.5 1,630 9.9 -12.0
Total 16,831 100.0 16,540 100.0 1.8

หมายเหตุ: ข้อมูลนี้รวมพีซีแบบตั้งโต๊ะ, แล็ปท็อปพีซีที่ใช้ระบบปฎิบัติการ Windows, macOS และ ChromeOS ข้อมูลทั้งหมดอยู่บนพื้นฐานของการประมาณการเบื้องต้น การประมาณการขั้นสุดท้ายอาจมีการเปลี่ยนแปลง สถิติจะขึ้นอยู่กับการจัดส่งสินค้าเพื่อจำหน่ายผ่านช่องทางต่าง ๆ ตัวเลขต้องไม่เกินจำนวนที่แสดงเนื่องจากการปัดเศษ 

ที่มา: การ์ทเนอร์ (มกราคม 2567)

ตลาดพีซีในยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา และอเมริกาเหนือ มีการเติบโตสูงเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบรายปี โดยเป็นผู้นำการเติบโตทั่วโลก แม้ว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะยังลดลงในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 โดยได้รับแรงกดดันจากยอดที่ตกต่ำในจีน ตลาดพีซีใน EMEA มีการเติบโตสูงสุดที่ 8.7% ซึ่งถือเป็นการกลับมาเติบโตครั้งแรกตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2564 เมื่อเทียบเป็นรายปี

“ตลาด EMEA สะท้อนภาพตลาดโดยรวม ในที่สุดระดับของสินค้าคงคลังก็อยู่ภายใต้การควบคุม อย่างไรก็ตาม อาจเปลี่ยนแปลงได้หากความต้องการลดลง และผู้จัดจำหน่ายจะต้องระมัดระวังในการเพิ่มสต็อกใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น นั่นหมายความว่าการกักเก็บสินค้าคงคลังในขณะนี้มีค่าใช้จ่ายมากขึ้นในช่องทางจัดจำหน่าย” คิตากาวะ กล่าว

ตลาดเอเชียแปซิฟิกลดลง 8% นับเป็นการลดลงติดต่อกัน 7 ไตรมาส โดยแล็ปท็อปและเดสก์ท็อปเป็นอุปกรณ์ไอทีสองชนิดที่เติบโตลดลงในภูมิภาคนี้ ซึ่งเดสก์ท็อปได้รับผลกระทบมากกว่าโดยลดลงอย่างมีนัยสำคัญในประเทศจีน ส่งผลกระทบต่อตลาดเอเชียแปซิฟิกโดยรวม ปรับตัวลดลงระดับเลขสองหลักเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ขณะที่ตลาดหลักในเอเชียแปซิฟิกมีการลดลงเล็กน้อย ส่วนตลาดเกิดใหม่เติบโตขึ้นเพียงเลขหลักเดียว

ภาพรวมประจำปี: ตลาดพีซีล่มสลายหลังการแพร่ระบาดของโควิด

ปี 2566 ถือเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของพีซี โดยภาพรวมลดลง 14.8% และนับเป็นปีที่สองติดต่อกันที่ลดลงในระดับเลขสองหลัก ซึ่งยอดขายพีซีทั่วโลกมีทั้งหมด 241.8 ล้านเครื่อง ลดลงจาก 284 ล้านเครื่องในปี 2565 (ดูตารางที่ 3)

ตารางที่ 3 การคาดการณ์ยอดขายต่อยูนิตเบื้องต้นของผู้ขายพีซีทั่วโลก ในปี 2566 (หน่วยพันยูนิต) 

Company 2023 Shipments 2023 Market Share (%) 2022 Shipments 2022 Market Share (%) 2023-2022 Growth (%)
Lenovo 59,725 24.7 69,047 24.3 -13.5
HP Inc. 52,896 21.9 55,366 19.5 -4.5
Dell 40,238 16.6 50,008 17.6 -19.5
Apple 21,877 9.0 26,825 9.4 -18.4
Asus 17,061 7.1 20,651 7.3 -17.4
Acer 15,887 6.6 18,708 6.6 -15.1
Others 34,206 14.1 43,448 15.3 -21.3
Total 241,891 100.0 284,052 100.0 -14.8

หมายเหตุ: ข้อมูลนี้รวมพีซีแบบตั้งโต๊ะ, แล็ปท็อปพีซีที่ใช้ระบบปฎิบัติการ Windows, macOS และ ChromeOS ข้อมูลทั้งหมดอยู่บนพื้นฐานของการประมาณการเบื้องต้น การประมาณการขั้นสุดท้ายอาจมีการเปลี่ยนแปลง สถิติจะขึ้นอยู่กับการจัดส่งสินค้าเพื่อจำหน่ายผ่านช่องทางต่าง ๆ ตัวเลขต้องไม่เกินจำนวนที่แสดงเนื่องจากการปัดเศษ 

ที่มา: การ์ทเนอร์ (มกราคม 2567)

“ตลาดพีซีมีช่วงการปรับตัวที่สำคัญในช่วงสองปีที่ผ่านมาล่าสุด หลังจากเติบโตอย่างก้าวกระโดดระหว่างปี 2563-2564” คิตากาวะ กล่าวสรุป

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก นำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่องค์กรสามารถนำไปปฏิบัติใช้ได้จริงและมีความเป็นกลาง ช่วยขับเคลื่อนการตัดสินใจที่ชาญฉลาดและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดลำดับความสำคัญของภารกิจองค์กร สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

โรงเรียนเตรียมวิศวะ มจพ.รับสมัคร ปวช. สอบตรง ปี ‘ 2567

โรงเรียนเตรียมวิศวกรรมศาสตร์ ไทยเยอรมัน วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เปิดรับสมัครนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (.3) เข้าศึกษาในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หลักสูตรเตรียมวิศวกรรมศาสตร์ ไทยเยอรมัน (ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ประจำปีการศึกษา 2567 ประเภทสอบตรง ปีการศึกษา 2567 จำนวน 6 สาขา รับสมัครตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 – 28 กุมภาพันธ์ 2567 รายละเอียดดังนี้ สาขาที่เปิดรับ 1) สาขาเตรียมวิศวกรรมเครื่องกล (M) โปรแกรมภาษาไทย 2) สาขาเตรียมวิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (E) โปรแกรมภาษาไทย 3) สาขาเตรียมวิศวกรรมโยธา (C) โปรแกรมภาษาไทย 4) สาขาเตรียมวิศวกรรมเครื่องกล (M-EP) โปรแกรมภาษาอังกฤษ (English Program) 5) สาขาเตรียมวิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (E-EP) โปรแกรมภาษาอังกฤษ (English Program) และ 6) สาขาเตรียมวิศวกรรมโยธา (C-EP) โปรแกรมภาษาอังกฤษ (English Program)

การสมัคร Download ใบสมัครและสมัครที่ http:/www.admission.kmutnb.ac.th/ เท่านั้น โดยการสมัครเลือกได้3 อันดับ รับสมัครตั้งแต่บัดนี้ ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567

รายละเอียดเพิ่มเติมที่ facebook:โรงเรียนเตรียมวิศวกรรมศาสตร์ ไทยเยอรมัน ,เว็บไซต์ www.cit. kmutnb.ac.th และ www.admission.kmutnb.ac.th โทรศัพท์ 02 555-2000 ต่อ 6200


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

PRO-Thailand Network จับมือลุงซาเล้ง ชวนคนไทยสายกรีนใส่ใจคัดแยกขยะ ในโครงการ “คัดแยก ส่งคืน ฟื้นโลก”

กรุงเทพฯ 22 มกราคม 2567 : PRO-Thailand Network หรือเครือข่ายองค์กรความร่วมมือจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน จับมือกับ เพจลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป จัดโครงการ “คัดแยก ส่งคืน ฟื้นโลก” ชวนคนไทยร่วมใส่ใจดูแลสิ่งแวดล้อม เริ่มต้นง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน เพียงคัดแยก และส่งคืนบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว 3 ประเภท คือ ขวดพลาสติก PET กล่องเครื่องดื่มยูเอชที และถุงบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน (MLP) เพื่อช่วยลดปัญหาขยะ และส่งเสริมการรีไซเคิลในวงกว้าง  

โครงการ “คัดแยก ส่งคืน ฟื้นโลก” กับ PRO-Thailand Network เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2567 ประชาชนผู้สนใจสามารถเข้าร่วมโครงการโดยคัดแยกบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว 3 ประเภท ตามวิธีการแยกบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วจากทางโครงการ และลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน Green2Get เลือกกิจกรรม “คัดแยก ส่งคืน ฟื้นโลก” กับ PRO-Thailand Network เพิ่มวัสดุเข้าร่วมโครงการ พร้อมลุ้นรับรางวัล ทั้งนี้ บรรจุภัณฑ์ใช้แล้วที่ส่งมายังโครงการ จะถูกนำไปรีไซเคิลหรือใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม ถือเป็นเป้าหมายหลักของโครงการเพื่อร่วมขับเคลื่อนการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนของประเทศไทย  

ขั้นตอนการเตรียมคัดแยกบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว ก่อนส่งเข้าร่วมโครงการ สามารถทำได้ดังนี้

  • ประเภทขวดพลาสติก PET เพียงดื่มน้ำให้หมด หรือเทน้ำ/ของเหลวที่อยู่ในขวดออกให้หมด หากมีสิ่งสกปรกควรล้างทำความสะอาดและตากให้แห้ง  บีบขวดให้แบนมากที่สุดเพื่อประหยัดพื้นที่ ขวดพลาสติก PET ใช้แล้ว สามารถนำมาผลิตเป็นขวดพลาสติกรีไซเคิล หรือที่เรียกกันว่าขวด “rPET” เพื่อนำกลับมาใช้ได้อีกนับครั้งไม่ถ้วน (Bottle-to-Bottle Recycling) ขวด rPET สะอาด ปลอดภัย และได้มาตรฐาน อย. ไทย ถือเป็นบรรจุภัณฑ์แห่งความยั่งยืนอย่างแท้จริง
  • ประเภทกล่องเครื่องดื่ม UHT ประกอบด้วย 3 วัสดุหลัก คือ เยื่อกระดาษ 75 เปอร์เซ็นต์ และอีก 25 เปอร์เซ็นต์เป็นพลาสติกและอะลูมิเนียมฟอยล์ (PolyAl) ผนึกกันเป็นชั้นๆ ทั้ง 3 วัสดุนี้เมื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์อื่นได้อีก วิธีแยกกล่องเครื่องดื่ม UHT ใช้แล้ว เพื่อร่วมโครงการ เริ่มจากดื่มนม น้ำผลไม้ ให้หมดกล่องหรือใช้กะทิให้หมดกล่อง แล้วแยกกล่องและหลอดออกจากกัน  ฉีกหรือตัดออกให้เป็นแผ่น ล้างให้สะอาด ตากกล่องให้แห้ง หรือถ้าไม่สะดวกตัดก็พับให้แบนๆ ได้เช่นกัน
  • ประเภทถุงขนมกรุบกรอบ ซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซองกาแฟ ซองอาหารสัตว์ หรือบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนหลายชั้น (Multilayer Plastic – MLP) ประกอบด้วยแผ่นฟิล์มพลาสติก แผ่นฟิล์มอะลูมิเนียมฟอยล์ แผ่นพลาสติกไนลอน และแผ่นพลาสติก PE โดยขั้นตอนการคัดแยก นำซองเปล่าหลังกินหรือใช้หมดมาตรวจดูว่าไม่มีสิ่งใดในถุง หรือล้างด้วยน้ำสะอาดแล้วตากให้แห้ง ก่อนทำการพับ แล้วพับถุงเป็นปม หรือม้วนพับให้เป็นระเบียบ ก่อนส่งเข้าร่วมโครงการ นอกจากนี้ โครงการยังพร้อมรับบรรจุภัณฑ์พลาสติกอ่อนอื่นๆ ด้วย เช่น ถุงเติมผลิตภัณฑ์ต่างๆ ถุงพลาสติก ฟิล์มยืด ถุงแกง ที่ทำความสะอาดแล้วและทำตามขั้นตอนด้านบน ก็สามารถส่งมาได้เช่นเดียวกัน  

นางสาวมยุรี อรุณวรานนท์ ในฐานะผู้จัดการโครงการ PRO-Thailand Network กล่าวว่า ในยุคที่ปัญหาขยะ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัดเป็นเรื่องท้าทาย การสร้างความตระหนักรู้และกระตุ้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา พร้อมทั้งช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อมถือได้ว่าสำคัญมาก จึงเป็นที่มาของการจัดโครงการ “คัดแยก ส่งคืน ฟื้นโลก” ขึ้น ซึ่ง PRO-Thailand Network ร่วมมือกับเพจลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อเพิ่มปริมาณการเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลให้มากขึ้น พร้อมกับรณรงค์ให้ประชาชนคนไทยร่วมคัดแยกบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งการรีไซเคิลไม่เพียงแต่จะช่วยลดปริมาณขยะที่เล็ดลอดออกสู่สิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังช่วยประหยัดการใช้ทรัพยากรใหม่ ลดการใช้พลังงาน และช่วยให้ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้น การคัดแยก เก็บกลับบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วเพื่อรีไซเคิลจึงไม่เพียงแต่เป็นกลยุทธ์ในการจัดการขยะเท่านั้น แต่ยังถือเป็นหัวใจของการดูแลสิ่งแวดล้อม และพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป
 
ทั้งนี้ PRO-Thailand Network ดำเนินโครงการนำร่องจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว 3 ประเภท ได้แก่ ขวดพลาสติก PET กล่องเครื่องดื่มยูเอชที (เช่น กล่องนม น้ำผลไม้ กล่องกะทิ) และถุงบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน (เช่น ถุงขนม ถุงเติม ซองกาแฟ) ในระหว่างปี 2563 – 2565 สามารถเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วประเภทขวดพลาสติก PET จำนวน 25,134.15 ตัน ประเภทกล่องเครื่องดื่มยูเอชที จำนวน 180.49 ตัน และประเภทถุงบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนใช้แล้วได้ 78.56 ตัน  

นอกจากนี้ นายเปรม พฤกษ์ทยานนท์ ผู้ก่อตั้งเพจลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป และเจ้าของแอปพลิเคชัน Green2Get ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่นำมาใช้กับกิจกรรมในครั้งนี้ กล่าวว่า การร่วมมือกับ PRO-Thailand Network ในโครงการ “คัดแยก ส่งคืน ฟื้นโลก” ถือเป็นการริเริ่มส่งเสริมการจัดการขยะที่สามารถรีไซเคิลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืนในประเทศไทย การแยกขยะอาจดูเป็นเรื่องไกลตัวและยุ่งยากสำหรับหลายๆ คน ดังนั้น การจัดโครงการ “คัดแยก ส่งคืน ฟื้นโลก” ขึ้นมา ผ่านแอปพลิเคชัน Green2Get จะกระตุ้นทำให้การส่งคืนขยะเป็นเรื่องง่ายขึ้น เหมาะกับผู้บริโภคสายกรีนในปัจจุบัน เพราะทำให้กระบวนการนี้เป็นเรื่องง่ายและเข้าถึงได้มากขึ้น เน้นการให้ความรู้ และจัดการขยะรีไซเคิล นอกจากนี้การร่วมมือกับ PRO-Thailand Network ยังถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยเพิ่มปริมาณบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วเข้าสู่ระบบรีไซเคิล ส่งผลให้การจัดการขยะในประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ วิธีการร่วมโครงการ “คัดแยก ส่งคืน ฟื้นโลก” กับ PRO-Thailand Network ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันGreen2Get โดยดาวน์โหลดได้ที่ iOS: https://apple.co/3NHUQr0 หรือ Android: https://bit.ly/android_G2G แล้วเลือกหมวด “กิจกรรม” เพื่อเข้าไปสู่กิจกรรมรักษ์โลกตามระบบ โดยสามารถสะสมน้ำหนักให้มากที่สุดเพื่อนำไปสู่กระบวนการรีไซเคิล และตรวจสอบจำนวนการส่ง ผ่านแอปพลิเคชัน Green2Get เพื่อลุ้นรับรับรางวัล จากทาง PRO-Thailand Network หรือสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่Facebook: PRO-Thailand Network https://web.facebook.com/prothailandnetwork


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย คว้า “สถานที่ทำงานที่ยอดเยี่ยม ปี 2567” จาก Great Place to Work®

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นด้านการจัดการพลังงาน และระบบออโตเมชั่น ได้รับการรับรองมาตรฐานในการเป็นสถานที่ทำงานที่ยอดเยี่ยม จาก Great Place to Work® อย่างต่อเนื่อง โดยการรับรองดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องในการที่ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ต้องการสร้างองค์กรที่ดีที่สุดเพื่อพนักงาน โดยมีเป้าหมายที่ให้คุณค่าในเรื่องการทำงาน ตลอดจนการสนับสนุนให้เกิดวัฒนธรรมการยอมรับความแตกต่าง และการเพิ่มขีดความสามารถ และเสรีภาพในการทำงานของพนักงาน

นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยว่า “ผมรู้สึกภูมิใจที่เราได้รับการรับรองให้เป็นสถานที่ทำงานที่ยอดเยี่ยม หรือ Great Place to Work ความสำเร็จนี้นับเป็นภาพสะท้อนถึงความพยายามและความมุ่งมั่นในการสร้างสภาพแวดล้อมเชิงบวก ที่ทุกคนสามารถสร้างแรงบันดาลใจที่ดีต่อกันและกัน เจริญเติบโตไปด้วยกัน แบ่งปันองค์ความรู้ซึ่งกันและกัน เรียกได้ว่าเป็นทีมเวิร์กที่ดีที่สุด ทำให้เราสามารถเป็นที่ไว้วางใจแก่ลูกค้า คู่ค้า ตลอดทั้ง Ecosystem ที่เราให้บริการ”

สิ่งที่ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยึดถือเสมอคือการต้องทำให้พนักงานรู้สึกมีคุณค่าและปลอดภัย และสิ่งนี้คือกุญแจสำคัญในการสร้างนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ ประสิทธิภาพ และความคล่องตัวที่มากขึ้น และจะนำพวกเขาไปสู่ความสำเร็จ นอกจากนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังสนับสนุนให้พนักงานมอบสิ่งที่มีคุณค่าสู่สังคม ชุมชน และโลกอีกด้วย

Great Place to Work® เป็นองค์กรระดับโลกที่มุ่งเน้นการวิจัยไปที่วัฒนธรรมองค์กร ที่ผ่านมาได้สำรวจพนักงานมากกว่า 100 ล้านคนทั่วโลก ตั้งแต่ปี 1992 และใช้ข้อมูลเชิงลึกนั้นเพื่อพิจารณาว่าอะไรที่เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยมและได้รับความไว้วางใจ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มิตซูบิชิ อีเล็คทริค กางแผนธุรกิจขานรับปีมังกรทอง ผุดผลิตภัณฑ์ใหม่

มิตซูบิชิ อีเล็คทริค กางแผนธุรกิจขานรับปีมังกรทอง ผุดผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มอินเวอร์เตอร์ XY Series” ที่สุดของเทคโนโลยี “Fast Cooling Plus” ตั้งเป้ารักษาแชมป์ตลาดเครื่องปรับอากาศ พร้อมรุกธุรกิจ B2B ชูโซลูชันครบวงจร  

มิตซูบิชิ อีเล็คทริค กันยงวัฒนา เดินหน้ารักษาแชมป์อันดับ 1 ผู้นำตลาดเครื่องปรับอากาศภายในบ้าน จัดหนักแคมเปญส่งเสริมการตลาด พร้อมขยายฐานผู้บริโภคต่อเนื่อง คว้า นนท์ – ธนนท์ จำเริญ พรีเซนเตอร์ปีที่ 2 สานต่อปรากฏการณ์ความสำเร็จจากปีที่ผ่านมาด้วยกลยุทธ์ Music Marketing เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ตอกย้ำจุดแข็งแบรนด์คุณภาพ พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศกลุ่มอินเวอร์เตอร์รุ่นใหม่ “XY Series” ที่สุดของเทคโนโลยี “Fast Cooling Plus” ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ลงตัว และตู้เย็นกลุ่ม “Premium Series” คุณภาพสูงโดดเด่นด้วยเทคโนโลยีถนอมอาหาร พร้อมเร่งขับเคลื่อนธุรกิจ B2B มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

นายชินจิ คามิยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค กันยงวัฒนา จำกัด เปิดเผยว่า “ปี 2566 ที่ผ่านมา วงการธุรกิจเครื่องปรับอากาศ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ต้องประสบปัญหาการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ล่าช้าไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ แต่อย่างไรก็ตามจากภาวะอากาศที่ร้อนจัดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ส่งผลให้ประมาณการได้ว่า บริษัทฯ จะสามารถสร้างยอดขายโดยรวมทั้งปีงบประมาณ 2566 (เมษายน 2566 – มีนาคม 2567) ได้เติบโตสูงกว่าปีก่อนหน้าที่ 10%”

“ในกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก เช่น เครื่องปรับอากาศภายในบ้าน ปั๊มน้ำ และพัดลมระบายอากาศ เรายังคงสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดได้สูงสุดต่อเนื่องจากปีก่อน รวมทั้งผลการดำเนินกิจกรรมการสร้างแบรนด์ยังได้รับผลตอบรับในความไว้วางใจ โดยนิตยสารทางธุรกิจที่มีชื่อเสียง เช่น นิตยสาร Marketeer และ BrandAge ได้จัดอันดับให้ทั้งผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศภายในบ้านและปั๊มน้ำมิตซูบิชิ อีเล็คทริค เป็นแบรนด์อันดับ 1 ที่ได้รับความเชื่อถือสูงสุดในประเทศไทยต่อเนื่องจากปีก่อนเช่นกัน”

“สำหรับปี 2567 นี้ บริษัทฯ ยังคงยึดมั่นแนวทางหลักในการดำเนินธุรกิจ ผ่านการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและงานบริการ ตามพันธกิจองค์กรที่วางไว้ โดยมุ่งให้ผลิตภัณฑ์และการบริการ รวมทั้งกิจกรรมต่าง ๆ ของบริษัทฯ มอบประโยชน์ด้านการสร้างความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภคชาวไทย รวมทั้งสร้างประโยชน์ต่อการพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางสังคมไทยได้มากยิ่ง ๆ ขึ้น”

“และในปีนี้ บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าหมายรักษาอัตราการเติบโตของยอดขายโดยรวมไว้ให้ได้มากกว่า 10% โดยมุ่งเน้นดำเนินการหลัก ๆ 4 ประการ เพื่อบรรลุเป้าหมาย ได้แก่

  1. กิจกรรมด้านผลิตภัณฑ์ โดยพัฒนาในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้มีฟังก์ชันการทำงานที่โดดเด่นมากยิ่งขึ้น และเพิ่มความหลากหลายหรือเพิ่ม Line Up ในแต่ละตัวผลิตภัณฑ์  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศภายในบ้าน ซึ่งจะพัฒนายกระดับประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงานให้สอดรับกับมาตรฐานประหยัดพลังงานฉบับใหม่ที่ประกาศใช้ในปัจจุบัน 
  2. ในปีนี้ บริษัทฯ ได้เตรียมงบทางการตลาดไว้ ประมาณ 1,200 ล้านบาท โดยมุ่งยกระดับคุณค่าแบรนด์ เพื่อสร้างการจดจำและรับรู้ในแบรนด์ ตลอดจนมุ่งเน้นกิจกรรมการโฆษณาประชาสัมพันธ์ และกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับร้านค้าให้มากยิ่งขึ้น 
  3.  ด้านธุรกิจเชิงพาณิชย์  บริษัทฯ ตระหนักว่าธุรกิจในกลุ่มนี้จะเป็นรากฐานการสร้างความเจริญเติบโตให้บริษัทฯ ในอนาคตได้ ดังนั้นจึงกำหนดการสร้างเสริมระบบงานการตลาดการขายที่มีความพร้อมช่วยสนับสนุนการเจรจาการค้าในส่วนภูมิภาค ควบคู่กับการพัฒนาการนำเสนองาน ให้เป็นที่ยอมรับในการตอบโจทย์ที่ลูกค้าต้องการ หรือโซลูชันในธุรกิจระบบปรับอากาศ ระบบระบายอากาศ ซึ่งเป็นความชำนาญการพิเศษของเรา เพื่อขยายการจัดจำหน่ายในส่วนนี้ให้ได้มากยิ่งขึ้น 
  4.  งานบริการหลังการขาย เน้นการยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า และพัฒนาระบบงานที่จะรับส่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น งานซ่อมจากลูกค้าให้ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งพัฒนาการเพิ่มทักษะฝีมือของช่างบริการ เพื่อให้สามารถส่งมอบงาน  บริการหลังการขายที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้น      

จากกิจกรรมทางธุรกิจที่ได้กล่าวไปนั้น บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าธุรกิจจะยังคงได้รับความไว้วางใจในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ มิตซูบิชิ อีเล็คทริค อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งในปีนี้เราจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาการทำงานให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของเราเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคชาวไทยทุกคนต้องการอย่างแท้จริง”

นายประพนธ์ โพธิวรคุณ กรรมการรองผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค กันยงวัฒนา จำกัด กล่าวว่า “สำหรับกลยุทธ์ด้านบริการหลังการขายในปี 2567 นี้  บริษัทฯ วางแผนลงทุนเพิ่มเติมทรัพยากรที่จำเป็น ได้แก่ การพัฒนาเทคโนโลยีระบบ Online Service เพื่อเพิ่มศักยภาพการบริการ การพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้สามารถรองรับการบริการให้กับลูกค้ามิตซูบิชิ อีเล็คทริค ทั้งกลุ่ม B2C และ B2B ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  รวมถึงการลงทุนในส่วนของเครื่องมือที่ทันสมัยและอุปกรณ์ อาทิ การสำรองชิ้นส่วนอะไหล่สินค้าทั้งในส่วนของสำนักงานใหญ่ และศูนย์จำหน่ายอะไหล่แต่งตั้งที่มีอยู่กว่า 40 แห่ง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าได้ว่ามีอะไหล่พร้อมบริการ พร้อมเสริมความแข็งแกร่งของศูนย์บริการแต่งตั้งที่มีอยู่ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อรองรับการบริการหลังการขายที่ได้มาตรฐานให้กับลูกค้ามิตซูบิชิ อีเล็คทริค ทั่วประเทศ  นอกจากนี้ ยังมีช่องทางที่หลากหลายให้ลูกค้าได้ติดต่อกับทางศูนย์บริการ ไม่ว่าจะเป็น Hot Line 1325 รวมถึง Facebook และ Line Official Account: มิตซูบิชิ อีเล็คทริค เป็นต้น”

“ขณะเดียวกันได้เตรียมแผนพัฒนาบุคลากรช่างเทคนิคให้มีความรู้ความสามารถผ่านการรับรองในสาขาช่างเครื่องปรับอากาศและการพาณิชย์ขนาดเล็ก ระดับ 1 ซึ่งปัจจุบันช่างเทคนิคของศูนย์บริการมิตซูบิชิ อีเล็คทริค สำนักงานใหญ่ ได้ผ่านการทดสอบหลักสูตรดังกล่าวทั้งหมด  และในปีนี้ยังคงเดินหน้ายกระดับความสามารถของ  ช่างเทคนิคศูนย์บริการแต่งตั้งทั่วประเทศให้มีศักยภาพและมาตรฐานเดียวกัน  นอกจากนี้บริษัทฯ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ในการยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศไทยสู่มาตรฐานสากล สานต่อ “โครงการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาไฟฟ้ากำลัง สาขาเครื่องทำความเย็นและปรับอากาศ (ระบบทวิภาคี)” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 ร่วมกับวิทยาลัยเทคนิคชั้นนำต่าง ๆ  โดยมีช่างผู้เชี่ยวชาญของบริษัทฯ เป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านเครื่องทำความเย็นและเครื่องปรับอากาศ ให้กับนักศึกษาของวิทยาลัยเทคนิค ให้มีความรู้และทักษะวิชาชีพ เมื่อจบหลักสูตรแล้วสามารถนำความรู้ไปประกอบวิชาชีพได้ต่อไป  ด้านกลุ่มธุรกิจ B2B เรามีความพร้อมทั้งในด้านผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศและระบบปรับอากาศที่เหมาะสมสำหรับที่อยู่อาศัยและกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่แบบครบวงจร มีทีมงานวิศวกรโครงการและช่างเทคนิคมืออาชีพ รวมถึงสำนักงานสนับสนุนลูกค้าโครงการระบบปรับอากาศซิตี้มัลติ (CMS) เพื่อให้บริการทั้งก่อนและหลังการขายในพื้นที่ต่าง ๆ และพร้อมที่จะทำงานร่วมกับตัวแทนจำหน่าย ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงส่งมอบงาน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จและเติบโตไปด้วยกัน”

นายชิซุโอะ นาคาสึคาสะ กรรมการและผู้จัดการทั่วไปส่วนการตลาดและการขาย บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค กันยงวัฒนา จำกัด เปิดเผยว่า “ด้านยอดขายเครื่องปรับอากาศภายในบ้านของบริษัทฯ ในปีงบประมาณ 2566 เชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้ถึง 30%  สำหรับกลยุทธ์การตลาดในปี 2567 นี้ เรายังคงมุ่งมั่นดำเนินมาตรการต่าง ๆ อย่าง  แข็งขันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการขาย  สำหรับกลุ่ม B2C ได้กำหนดกลยุทธ์การขายเป็นรายผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน โดยกลุ่มเครื่องปรับอากาศภายในบ้าน เน้นเสนอเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนไทย ที่เย็นเร็ว รู้ใจ ประหยัดไฟยิ่งขึ้น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ในกลุ่มตู้เย็นจะเน้นส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์ที่สูงด้วยคุณภาพและเสริมสร้างการรับรู้ ความน่าสนใจในคุณค่าของผลิตภัณฑ์ที่ยกระดับสูงขึ้นในตู้เย็นกลุ่ม “Premium Series”  นอกจากนี้ ในธุรกิจ B2B จะมุ่งเน้นไปที่ระบบงานหลัก ๆ เพื่อให้บรรลุการเติบโตของธุรกิจส่วนนี้ต่อไป ได้แก่ ทำการขยายขอบเขตธุรกิจ (ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์) และเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับยอดขายในช่องทางจัดจำหน่าย CAD (City-Multi Sales Authorized Dealer) โดยบริษัทฯ พร้อมจะสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการนำเสนอโซลูชันต่าง ๆ ที่เหมาะสมให้กับลูกค้าได้ต่อไป”

“ในปีนี้ บริษัทฯ ได้วางแผนสื่อสารการตลาดครบวงจร ทั้งการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ผ่านพรีเซนเตอร์ปีที่ 2 นท์ – ธนนท์ จำเริญ พร้อมสานต่อกลยุทธ์ Music Marketing ที่ประสบความสำเร็จในด้านการสร้างการรับรู้และมีส่วนร่วมกับแบรนด์อย่างมากในปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้ยังคงเน้นทำกิจกรรมกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มเข้าสู่วัยทำงานถึงกลุ่มลูกค้า  ผู้มีรายได้ระดับปานกลางเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ  โดยเฉพาะทางโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเน้นสร้างคอนเทนต์ที่สามารถเข้าถึงลูกค้าในแต่ละกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันได้ทำการสื่อสารผ่านช่องทางทั้ง Offline และ Online Media ควบคู่กันไป พร้อมทั้งเสริมความแข็งแกร่ง

ทางการขายโดยร่วมจัดแคมเปญ กิจกรรมส่งเสริมการขายต่าง ๆ ร่วมกับร้านค้าตัวแทนจำหน่ายควบคู่ต่อเนื่องต่อไปด้วยเช่นกัน”

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมในการพัฒนายกระดับความสุขสบายในการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ผ่านผลิตภัณฑ์ที่สูงด้วยคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ ความทนทาน พร้อมนวัตกรรม และการประหยัดพลังงานได้ตามค่ามาตรฐานใหม่ที่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยกำหนดขึ้น โดยผลิตภัณฑ์หลัก ๆ ที่เปิดตัวในปีนี้ ได้แก่

  • เครื่องปรับอากาศมิตซูบิชิ อีเล็คทริค มิสเตอร์สลิม ระบบอินเวอร์เตอร์ ในรุ่น XY Series ด้วยเทคโนโลยีล่าสุด “Fast Cooling Plus” ที่ทำความเย็นได้อย่างรวดเร็วเมื่อเครื่องปรับอากาศทำงาน มาพร้อมเซนเซอร์ตรวจจับโดยคำนวนจากอุณหภูมิภายในห้องนั้น เพื่อปรับความเย็นและลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับความสบายสูงสุดและเหมาะกับสภาพในขณะนั้นได้อย่างอัตโนมัติ  รวมทั้งรุ่น GY Series ที่ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีดีไซน์หรูหราขึ้น และมีประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานที่สูงมากยิ่งขึ้น  นอกจากนี้ เครื่องปรับอากาศระบบอินเวอร์เตอร์ทุกรุ่น ได้พัฒนาให้คุณภาพอากาศภายในห้องดียิ่งขึ้นด้วยการเพิ่ม

“V-Air Filter” และ “PM2.5 Filter” แผ่นกรองฝุ่นที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเฉพาะ สามารถกำจัดไวรัส แบคทีเรีย และดักจับฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างดี ซึ่งล้วนเป็นฟังก์ชันที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อความใส่ใจในสุขภาพของผู้ใช้เป็นสำคัญ

  • ตู้เย็นมิตซูบิชิ อีเล็คทริค “Premium Series” คุณภาพสูง ทนทาน โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีถนอมอาหารมีให้เลือกถึง 7 รุ่น ใน 5 ซีรีส์ อาทิ ตู้เย็นแบบ 2 ประตูรุ่นใหม่ “HS Series” โดดเด่นด้วยช่องแช่แข็งที่มีขนาดความจุใหญ่ขึ้น และเพิ่มความสะดวกในการใช้งานด้วยการออกแบบให้ช่องแช่อเนกประสงค์พิเศษและช่องแช่ผักอยู่ในตำแหน่งส่วนกลางของตัวตู้เย็น ทำให้ผู้ใช้หยิบจับอาหารในช่องชั้นต่าง ๆ ได้สะดวก นอกจากนี้ ที่ช่องแช่อเนกประสงค์พิเศษในตู้เย็น “Premium Series” ของมิตซูบิชิ อีเล็คทริค ยังออกแบบให้สามารถปรับตั้งค่าอุณหภูมิได้ (โดยเลือกโหมด Chill หรือ Soft Freezing) ซึ่งเป็นฟังก์ชันพิเศษที่สามารถลดเวลาทำละลายเนื้อสัตว์หรือเนื้อปลาได้อย่างมาก สามารถนำออกไปปรุงอาหารได้ในทันที ถือว่าเป็นตู้เย็นที่ถนอมอาหารได้ยาวนานขึ้น

และในตู้เย็นแบบ 4 ประตู ได้เพิ่มสีใหม่ “Glass Dark Silver” ดูหรูหราและสวยงามมากยิ่งขึ้น

  • พัดลมมิตซูบิชิ อีเล็คทริค ตั้งพื้นกึ่งตั้งโต๊ะ รุ่นใหม่ เพิ่มสองสีใหม่ คือ ฟ้าพาสเทล และเขียวพาสเทล พร้อมดีไซน์ตะแกรงหน้าแบบเรียบ สามารถส่งลมได้แรงขึ้น ไกลขึ้น  และพัดลมรุ่น R12-MC มีใบพัดที่ออกแบบใหม่ สามารถถอดและทำความสะอาดได้ง่าย เพียงคลิกเดียว นอกจากนี้ พัดลมมิตซูบิชิ อีเล็คทริค ทุกรุ่น ยังมีความปลอดภัยสูงตามมาตรฐาน Premium Safety พร้อมรับประกันมอเตอร์ 5 ปี
  • ปั๊มน้ำ มิตซูบิชิ อีเล็คทริค ยกระดับความน่าเชื่อถือไปอีกขั้น ด้วยการขยายระยะเวลาการรับประกันมอเตอร์ ถึง 11 ปี พร้อมประสิทธิภาพการกระจายความร้อนสูงด้วยโครงสร้างมอเตอร์อะลูมิเนียมที่ทนทานและมีความปลอดภัยสูงตามมาตรฐาน Premium Safety

“อีกกลยุทธ์หนึ่งที่เรามุ่งเน้น คือ การสร้างการรับรู้ในแบรนด์ มิตซูบิชิ อีเล็คทริค อย่างต่อเนื่อง โดยต่อยอดแนวคิดจากปี 2566 “ไม่หยุดทำ แค่คำว่าดี” โดยในปีนี้ เราจะนำเสนอแนวคิดใหม่ คือ “แอร์ที่ใช่ ใส่ใจทุกรายละเอียด” ซึ่งสะท้อนถึงการให้ความใส่ใจในทุกรายละเอียดและเสริมสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์อย่างต่อเนื่อง จากแนวคิดดังกล่าว บริษัทฯ จึงได้ผลิตภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์ขึ้นใหม่ 3 เรื่อง ผ่านการนำเสนอโดยพรีเซนเตอร์ คุณนนท์ ธนนท์ ที่สื่อให้เห็นถึงเจตนารมย์ของมิตซูบิชิ อีเล็คทริค ที่จะมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง รวมทั้งแนะนำจุดเด่นต่าง ๆ ด้วยเนื้อหาที่ง่ายต่อการจดจำในผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศมิตซูบิชิ อีเล็คทริค มิสเตอร์สลิม ให้แก่ผู้บริโภค”

“จากกลยุทธ์การตลาดต่าง ๆ เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจ และเพิ่มทางเลือกที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ บริษัทฯ มั่นใจว่าจะช่วยสานต่อความสำเร็จในการทำตลาดของมิตซูบิชิ อีเล็คทริค และผลักดันยอดขายให้เติบโตได้ตามเป้าหมาย รวมถึงผลักดันให้ผลิตภัณฑ์มิตซูบิชิ อีเล็คทริค ได้เข้าสู่ตลาดอย่างกว้างขวาง เพื่อนำเสนอให้ผู้บริโภคได้ใช้ชีวิตประจำวันได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่า สิ่งนี้จะยังประโยชน์สู่สังคมโดยรวมในที่สุดได้” นายชิซุโอะ นาคาสึคาสะ กล่าวทิ้งท้าย


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“Solar PPM” ผนึกกำลัง “Central” ร่วมมือพัฒนาโครงการพลังงานสะอาด ต่อยอดความยั่งยืน มุ่งสู่ Net -Zero

บริษัท โซลาร์ พีพีเอ็ม จํากัด ผนึกความร่วมมือกับ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ในการผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ เดินหน้าร่วมกันสู่ความยั่งยืนด้วยการนําเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ในด้านพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์เซลล์ มาติดตั้ง ณ ศูนย์การค้าของเซ็นทรัลพัฒนา จํานวน 8 โครงการ ได้แก่ เซ็นทรัลเชียงใหม่, เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ, เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, เซ็นทรัลพระราม 3, เซ็นทรัลพระราม 9, เซ็นทรัลสมุย, เซ็นทรัลนครสวรรค์ และ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวสต์วิลล์  มีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 9.22 MW

ตามแนวทางการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ลดปริมาณการปล่อยก๊าซ เรือนกระจก เพื่อเดินหน้าสู่การเป็น Low Carbon Mall ตามแผนการเดินหน้าสู่ความยั่งยืน NET Zero 2050 ของเซ็นทรัลพัฒนา 

ภายใต้ความร่วมมือนี้ คุณชำนาญ พรพิไลลักษณ์ ผู้บริหารบริษัทโซลาร์ พีพีเอ็ม จํากัด หรือ “Solar PPM ” เปิดเผยว่า “โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) และติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาอาคารจอดรถ (Solar Carport) ของศูนย์การค้าเซ็นทรัล ใช้พื้นที่ติดตั้งรวมกว่า 44,000 ตารางเมตร และมีกําลังผลิตไฟฟ้ารวม 9.22 เมกะวัตต์ มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 250 ล้านบาท โดยมีการดำเนินการติดตั้งรวมทั้งสิ้น 8 โครงการ ทั้งแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้า PPA (Power Purchase Agreement) ที่ทาง Solar PPM เป็นผู้ลงทุนโครงการให้ทั้งหมด โดยใช้แผงโซล่าเซลล์ SPPM ขนาด 600W ซึ่งเป็นรุ่น Made in Thailand ติดตั้งรวม 6 โครงการ และอีก 2 โครงการ เป็นการดำเนินการแบบ EPC (Engineering Procurement and Construction) หรือแบบลูกค้าเป็นผู้ลงทุนเอง  ซึ่งโครงการดังกล่าวช่วยให้บริษัทของลูกค้าได้ใช้พลังงานสะอาด และลดต้นทุนพลังงานได้กว่า 50 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ยังช่วยองค์กรของลูกค้าสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศได้กว่า 20,700 ตัน คาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายสำคัญในการลดก๊าซเรือนกระจก และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระยะยาว ตามแนวทางการดําเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม”


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะศิลปศาสตร์ประยุกต์ มจพ. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการภาษาอังกฤษเพื่อการทำงานในสำนักงาน (English for Office Use Workshop)

คณะศิลปศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)  จัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการภาษาอังกฤษเพื่อการทำงานในสำนักงาน (English for Office Use Workshop)   โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบริการวิชาการให้กับบุคลากรของมหาวิทยาลัย และบุคคลทั่วไปที่สนใจการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการทำงานในสำนักงาน มีอาจารย์ ดร.ดวงตาใจเพชรอาจารย์ประจำภาคภาษาเป็นวิทยากร

จัดอบรมเชิงปฏิบัติการระหว่างแบบ Onsite (บุคลากร มจพ. กรุงเทพฯ)  และ แบบ Online (บุคลากร มจพ.วิทยาเขตปราจีนบุรี และวิทยาเขตระยอง)  **บุคคลวันที่ 18 เมษายน – 21 พฤษภาคม 2567 (อบรมทุกวันอังคาร และวันพฤหัสบดี ระหว่างเวลา 13.00 – 15.00 ) รูปแบบการอบรมทั่วไปสามารถเลือกรูปแบบการอบรมได้ **

การรับสมัคร ตั้งแต่บัดนี้ถึง30 มีนาคม 2567  ผู้สนใจสมัครได้ที่ https://forms.gle/UNh1UMiYnqGtS51j9

ค่าสมัครคนละ 2,000 บาท  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.02-555-2000 ต่อ 3507, 3534  หรือ 082-5263-566

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เอ็นที จับมือ เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ ร่วมมือให้บริการระบบสื่อสารโทรคมนาคมภายในอาคาร EnCo Terminal

พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT และ นายศิรศักดิ์ จันเทรมะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ จำกัด หรือ EnCo  ร่วมลงนามใน บันทึกความเข้าใจโครงการความร่วมมือเพื่อให้บริการระบบสื่อสารโทรคมนาคมและบริการอื่น ๆ ภายในอาคาร EnCo Terminal หรือ EnTer  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับอาคาร EnTer ให้กลายเป็นอาคารต้นแบบโดยการเพิ่มประสิทธิภาพระบบสื่อสารโทรคมนาคมให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของไลฟ์สไตล์การทำงานคนทำงานรุ่นใหม่ โดยพิธีลงนามดังกล่าวได้ถูกจัดขึ้น ณ ห้องประชุม 9 (Theater) ชั้น 8 อาคาร 3 บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) สำนักงานแจ้งวัฒนะ

  พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT กล่าวว่าความร่วมมือกับบริษัท เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ จำกัด (EnCo) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. นั้น เกิดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะช่วยยกระดับ และเพิ่มศักยภาพในการบริการระบบสื่อสารโทรคมนาคมและบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องภายในอาคาร EnCo Terminal หรือ EnTer ให้มีศักยภาพรองรับการใช้งานเทคโนโลยีสื่อสารแก่ลูกค้าและผู้เช่าพื้นที่สำนักงาน โดยมุ่งตอบสนองความต้องการอันเป็นการยกระดับไลฟ์สไตล์การทำงานในโลกอนาคต โดยระบบเทคโนโลยีสื่อสารที่ NT จะนำไปติดตั้งและให้บริการ อาทิ  ระบบโทรคมนาคมทางสาย IP Phone, SIP Trunk, Cloud PBX, NT Mobile (4G/5G) เป็นต้น  ยิ่งไปกว่านั้นยังจะนำบริการประเภทดิจิทัลอื่น ๆ  ไม่ว่าจะเป็นบริการกล้องวงจรปิด CCTV, บริการ E-Logistic  รวมไปถึงระบบเคเบิลใยแก้ว, ระบบท่อร้อยสาย, ระบบเสาโทรคมนาคม เพื่อเป็นเครื่องมือให้สามารถมุ่งเน้นการพัฒนา Application ต่อยอดและการให้บริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

นายศิรศักดิ์ จันเทรมะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ จำกัด (EnCo)

กล่าวว่า EnCo เป็นบริษัทพัฒนา และบริหารจัดการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ครบวงจร ซึ่งดำเนินธุรกิจหลัก 3 ธุรกิจได้แก่ 1.ธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Property Management) 2.ธุรกิจบริหารจัดการพื้นที่ส่วนกลาง (Facility Management) และ 3.ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Property Development) และเมื่อปลายปี 2566 ที่ผ่านมา EnCo ได้เข้าดำเนินการปรับปรุงอาคารศูนย์ฝึกอบรมหลักสี่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และเปลี่ยนชื่อเป็น EnCo Terminal  หรือ EnTer เพื่อพัฒนาเป็นอาคารสำนักงานล้ำสมัยที่ตอบโจทย์การทำงานของธุรกิจนวัตกรรมกลุ่ม New S-curve ทั้งด้านธุรกิจ Life science  ธุรกิจ EV หรือ Future-Tech  Startup ต่าง ๆ และในส่วนของการจับมือร่วมกับ เอ็นที (NT) ในครั้งนี้นั้น EnCo มีความมั่นใจว่า ด้วยศักยภาพ องค์ความรู้ และความเชี่ยวชาญ ตลอดจนทรัพยากรด้านเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมที่ทันสมัยของ NT จะช่วยยกระดับอาคาร EnCo Terminal หรือ EnTer ให้กลายเป็นอาคารสำนักงานที่พร้อมไปด้วยนวัตกรรมสำนักงานที่ทันสมัยซึ่งจะสามารถรองรับไลฟ์สไตล์การทำงานในยุคดิจิตอลได้อย่างสมบูรณ์แบบ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมดิจิทัล มจพ. รับสมัคร น.ศ. ป.โท และ ป.เอก ภาคการศึกษาที่ 1/67

หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารเครือข่ายดิจิทัลและความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ และหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารเครือข่ายและความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ ภาควิชาการบริหารเครือข่ายดิจิทัลและความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมดิจิทัล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)  โดยมีรายละเอียดในการเปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่ดังต่อไปนี้

หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (ปริญญาโท

1) หลักสูตรในเวลาราชการ แผน 1 แบบวิชาการ แบบ 1   เรียนวันจันทร์ศุกร์ เวลา 09.00 – 16.00 .  ค่าเทอม  คิดตามหน่วยกิตที่ลงทะเบียน โดยประมาณ 20,000 บาทต่อเทอม [CODE : MDNS]  โดยจำแนกเป็น 2 หลักสูตร คือหลักสูตรนอกเวลาราชการ แผน 2 แบบวิชาชีพ เรียนค่ำ เวลา 18.00 – 21.00 . ค่าเทอม เหมาจ่าย 45,000 บาทต่อเทอม [CODE : S-MDNS ค่ำ]

2) หลักสูตรนอกเวลาราชการ แผน 2 แบบวิชาชีพ  เรียนวันเสาร์อาทิตย์ เวลา 09.00 – 16.00 .

ค่าเทอมเหมาจ่าย 45,000 บาทต่อเทอม [CODE : S-MDNS เสาร์อาทิตย์] รายละเอียดหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (ปริญญาโท) : https://www.itd.kmutnb.ac.th/itd-admission/master/MDNS/

หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (ปริญญาเอก)

1) หลักสูตรในเวลาราชการ แผน ก แบบ 2.1 เรียนวันจันทร์ศุกร์ เวลา 09.00 – 16.00 . ค่าเทอม คิดตามหน่วยกิตที่ลงทะเบียน โดยประมาณ 40,000 บาทต่อเทอม [CODE : DDNS]  รายละเอียดหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (ปริญญาเอก) : https://www.itd.kmutnb.ac.th/itd-admission/doctor/DDNS/

การรับสมัคร ช่วงที่ 2  วันที่ 4 มกราคม – 10 มีนาคม 2567 และช่วงที่ 3 วันที่ 11 มีนาคม – 12 พฤษภาคม 2567 สมัครออนไลน์ https://grad.admission.kmutnb.ac.th/   หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากภาควิชาโดยตรง Line : https://lin.ee/SzZvEz9

ขวัญฤทัย ข่าว


Exit mobile version