Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะศิลปศาสตร์ประยุกต์ มจพ. รับสมัครนักศึกษาใหม่สาขาวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเชิงธุรกิจ และอุตสาหกรรม

คณะศิลปศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่ ระดับบัณฑิตศึกษา  หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต  สาขาวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเชิงธุรกิจและอุตสาหกรรม  ภาคพิเศษ (เรียนวันเสาร์วันอาทิตย์)   ประจำภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2567 มีรายละเอียดดังนี้  โดยช่วงที่ 2 กำหนดรับสมัคร ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคมวันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม 2567 

สนใจคลิก https://grad.admission.kmutnb.ac.th/ApplyLogin และช่วงที่ 3 กำหนดรับสมัคร ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 11 มีนาคมวันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม 2567  สนใจสมัครได้ที่  https://grad.admission.kmutnb.ac.th/ApplyLogin

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บัณฑิตวิทยาลัย อาคารนวมินทรราชินี ชั้น 12 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) โทร. 0-2555-2000 ต่อ 2422, 2424 หรือ http://www.grad.kmutnb.ac.th สอบถามข้อมูลหลักสูตร และรูปแบบการเรียนการสอน ได้ที่ : ผศ.ดร.เยาวเรศ  โทร.086-314-4816

Facebook หลักสูตร : https://www.facebook.com/EMBIC

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

AMD ประกาศวางจำหน่ายเดสก์ท็อปโปรเซสเซอร์ AMD Ryzen 8000G Series

AMD เปิดตัว เดสก์ท็อปโปรเซสเซอร์ Ryzen 8000G Series โปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลกที่มาพร้อม AI Engine ปลดล็อคประสิทธิภาพด้านการเล่นเกมและคุณค่าด้านการใช้งานที่เหนือคู่แข่ง!

โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen 8000G  Series มาพร้อมกราฟิกการ์ดภายในที่มีประสิทธิภาพเร็วที่สุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ระดับเดียวกัน เสนอพลังการประมวลผลและการใช้พลังภาพที่ยอดเยี่ยม โดยโปรเซสเซอร์รุ่นเรือธงมาพร้อมฟีเจอร์ Ryzen AI เพิ่มประสิทธิภาพเวิร์คโหลดงานด้าน AI และปลดล็อคประสบการณ์ใหม่ ๆ ในการใช้งาน AI

ฟีเจอร์สำคัญ ประกอบด้วย:

  • AMD Radeon 700M Series Graphics: เพิ่มประสิทธิภาพด้านการแสดงผลได้อย่างยอดเยี่ยมผ่านฟีเจอร์เอ็กซ์คลูซีพ AMD HYPER-RX พร้อมด้วย Fluid Motion Frames ที่การแสดงผลความละเอียด 1080p
  • เทคโนโลยี AMD EXPO: รองรับความถี่แรมสูงขึ้นและไทม์มิ่งขั้นสูง เพื่อปลดล็อคเฟรมเรทได้อย่างลื่นไหล
  • Precision Boost Overdrive (PBO): ช่วยให้การโอเวอร์คล็อกเป็นเรื่องง่ายดายเพียงคลิกเดียว มอบประสิทธิภาพการประมวลผลของโปรเซสเซอร์ที่มากขึ้นผ่านการขยายขีดจำกัดด้านประสิทธิภาพ

โปรเซสเซอร์ Ryzen 8000G Series เป็นโปรเซสเซอร์เดสก์ท็อปแบบ All-in-One ประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มเข้าสู่แพลตฟอร์ม AM5 และเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การเล่นเกมระดับ 1080p ที่ลื่นไหลในปัจจุบัน พร้อมตัวเลือกการอัปเกรดการ์ดจอแยกในภายหลังเพื่อมอบประสิทธิภาพการแสดงผลด้านเกมมิ่งในระดับไฮเอนด์

เดสก์ท็อปโปรเซสเซอร์ AMD Ryzen 8000G Series พร้อมวางจำหน่ายแล้ววันนี้  

  • Ryzen 7 8700G: 12,840 บาท
  • Ryzen 5 8600G: 8,940 บาท
  • Ryzen 5 8500G: 6,970 บาท

 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์เผยคาดการณ์มูลค่าใช้จ่ายไอทีทั่วโลกปี 2567 โตขึ้น 6.8% ขณะที่ประเทศไทยโต 5.8%

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 1 กุมภาพันธ์ 2567 – การ์ทเนอร์ อิงค์ คาดการณ์มูลค่าการใช้จ่ายไอทีทั่วโลกในปีนี้จะเติบโตเพิ่ม 6.8% จากปี 2566 คิดเป็นมูลค่ารวม ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจากไตรมาสก่อนที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโต 8% แม้ Generative AI (GenAI) จะได้รับความนิยมอย่างมากในปี 2566 แต่ระยะสั้นยังไม่ส่งผลต่อการเติบโตของยอดการใช้จ่ายไอทีอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับประเทศไทย การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าในปี 2567 มูลค่าการใช้จ่ายไอทีจะสูงทะลุ ล้านล้านบาท เป็นครั้งแรก เพิ่มขึ้น 5.8% จากปี 2566 โดยกลุ่มซอฟต์แวร์จะมีมูลค่าการใช้จ่ายเติบโตสูงสุด และคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 15.9%

จอห์น-เดวิด เลิฟล็อค รองประธานฝ่ายวิจัย บริษัท การ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ในขณะที่ GenAI จะเปลี่ยนทุกอย่างไป แต่มันจะไม่ส่งผลกระทบไปถึงการใช้จ่ายไอทีอย่างมีนัยสำคัญ เช่นเดียวกับเทคโนโลยี IoT หรือ Blockchain รวมถึงเทรนด์สำคัญอื่น ๆ ที่เราพบมา ซึ่งในปีนี้จะเป็นปีที่องค์กรหันมาลงทุนเพื่อวางแผนและเรียนรู้วิธีใช้ GenAI อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามปริมาณการใช้จ่ายไอทีจะยังเป็นการขับเคลื่อนผ่านปัจจัยเดิมอยู่ อาทิ ความสามารถด้านการทำกำไร ด้านแรงงาน และการถูกรั้งไว้จากความเหนื่อยล้าจากคลื่นการเปลี่ยนแปลงที่ซัดมาไม่หยุด

บริการด้านไอทีกลายเป็นกลุ่มที่มียอดใช้จ่ายสูงสุดในปีนี้

กลุ่มบริการด้านไอทีจะยังเติบโตต่อเนื่องในปี 2567 และมียอดใช้จ่ายสูงที่สุดเป็นครั้งแรก คาดว่าในปี 2567 จะเติบโตขึ้น 8.7% และมีมูลค่าแตะ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ดูตารางที่ 1) สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการที่องค์กรมุ่งลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์กรและในโปรเจกต์ต่าง ๆ ซึ่งการลงทุนลักษณะนี้จะมีความสำคัญยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน 

อัตราการใช้งานของผู้บริโภคในกลุ่มอุปกรณ์และกลุ่มบริการด้านการสื่อสารอยู่ในเกณฑ์ที่สูงมากว่าทศวรรษ โดยยอดการใช้จ่ายของผู้บริโภคได้รับแรงหนุนมาจากการเปลี่ยนแปลงด้านราคาและวงจรการเปลี่ยนเครื่องใหม่เพื่อทดแทนเป็นหลัก ซึ่งไม่เหลือพื้นที่การเติบโต ดังนั้นจึงถูกแซงหน้าด้วยกลุ่มซอฟต์แวร์และบริการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ องค์กรยังคงมุ่งแสวงหาการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ฝ่ายไอทีได้ย้ายจากการทำงานส่วนหลังบ้านมาอยู่ส่วนหน้าขององค์กร และการใช้จ่ายด้านไอทีขององค์กรจะไม่มีวันสิ้นสุด จนกว่าจะถึงขีดจำกัดว่าเทคโนโลยีจะสามารถนำไปใช้ในองค์กรได้อย่างไรและส่วนไหนบ้าง” เลิฟล็อคกล่าวเพิ่ม

ตารางที่ 1. คาดการณ์มูลค่าการใช้จ่ายไอทีทั่วโลก (หน่วย: ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

  มูลค่าการใช้จ่าย ปี 2566 มูลค่าการเติบโต ปี 2566 (%) มูลค่าการใช้จ่าย ปี 2567 มูลค่าการเติบโต ปี 2567 (%)
Data Center Systems 243,063 7.1 261,332 7.5
Devices 699,791 -8.7 732,287 4.6
Software 913,334 12.4 1,029,421 12.7
IT Services 1,381,832 5.8 1,501,365 8.7
Communications Services 1,440,827 1.5 1,473,314 2.3
Overall IT 4,678,847 3.3 4,997,718 6.8

ที่มา: การ์ทเนอร์  (มกราคม 2567)

ความเหนื่อยล้าของ CIO จากบทบาทและเนื้องานเพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายไอที

ภาพรวมการเติบโตของปริมาณการใช้จ่ายไอทีปี 2566 อยู่ที่ 3.3% เพิ่มขึ้นเพียง 0.3% จากปี 2565 สาเหตุหลักมาจากบทบาทและภาระการทำงานที่มากขึ้นของ CIO จนเกิดความเหนื่อยล้า อย่างไรก็ตามคาดว่าโมเมนตัมนี้จะกลับมาฟื้นตัวในปี 2567 โดยเพิ่มขึ้น 6.8%

แม้คาดว่าจะมีแรงหนุนที่ช่วยให้การใช้จ่ายไอทีกลับมาฟื้นตัวในปีนี้ แต่ด้วยสภาพแวดล้อมของการใช้จ่ายที่เปิดกว้างยังมีข้อจำกัดเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดความอ่อนล้า ซึ่งปัจจัยนี้อาจแสดงออกมาเป็นการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง โดย CIO เริ่มลังเลที่จะเซ็นสัญญาใหม่ ๆ หรือให้คำมั่นในโครงการระยะยาว หรือเปิดรับพันธมิตรเทคโนโลยีรายใหม่ สำหรับโครงการใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว บรรดา CIO ทั้งหลายตั้งเป้าลดระดับความเสี่ยงและได้ผลลัพธ์ที่แน่นอนมากขึ้

การคาดการณ์แนวโน้มการใช้จ่ายด้านไอทีของการ์ทเนอร์ ใช้การวิเคราะห์อย่างเข้มข้นของยอดขายจากผู้ค้าและให้บริการหลายพันราย ครอบคลุมผลิตภัณฑ์และบริการด้านไอทีทั้งหมด การ์ทเนอร์ใช้เทคนิคการวิจัยปฐมภูมิ เสริมด้วยแหล่งข้อมูลทุติยภูมิที่เชื่อถือได้ในการสร้างฐานข้อมูลที่ครอบคลุมตามขนาดข้อมูลของตลาดสำหรับเป็นฐานการคาดการณ์

การคาดการณ์มูลค่าการใช้จ่ายด้านไอทีของการ์ทเนอร์รายไตรมาสนำเสนอมุมมองที่แตกต่างครอบคลุมทั้งกลุ่มฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ บริการทางด้านไอทีและกลุ่มการสื่อสารโทรคมนาคม โดยรายงานเหล่านี้ช่วยให้องค์กรธุรกิจตระหนักถึงโอกาสและความท้าทายในตลาด

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com.


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เวลาร์ (Waylar) ทุ่มงบประมาณ 500 ล้านชู IoT ไทย บุกตลาดโลจิสติกส์ กล่องจดหมาย

เวลาร์ คอร์ปอเรชั่น (WAYLAR) บริษัทนวัตกรรมเทคโนโลยี ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มโลจิสติกส์ชั้นนำของประเทศไทยก้าวล้ำกว่าใครด้วยการพัฒนาระบบจัดเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IoT (Internet of Thing) ซึ่งทำให้สามารถบริหารงานจัดการงานขนส่งและโลจิสติกส์ แบบเรียลไทม์ และมีการนำข้อมูลที่เก็บไว้อย่างเป็นระบบ ไปใช้ได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ และฉับไว ตอบรับกับการขยายตัวทางธุรกิจและการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในยุคปัจจุบัน

นายพันชนะ ตันติพิสุทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวลาร์ คอร์ปอเรชั่น (WAYLAR)  จำกัด ได้เปิดเผยว่า “บริษัทของเราได้ดำเนินงานภายใต้แนวคิดในการพัฒนา IoT Platform (Internet of Things) และผลักดันเทคโนโลยีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ให้เข้ามาเป็นตัวช่วยสำคัญในการสนับสนุนภาคธุรกิจ ซึ่งในปี 2567 นี้ เรามีความพร้อมเป็นอย่างมากในการเข้ามาสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมโลจิสติกส์  โดยเฉพาะการสนับสนุนผู้ประกอบการขนส่งที่เป็นลูกค้าของเวลาร์ ให้ได้รับการบริการที่ครบวงจร ทั้งนี้ด้วยประสิทธิภาพและความแข็งแกร่งของทีมงานภายใต้การบริหารของของ เวลาร์ คอร์ปอเรชั่น (WAYLAR)  มั่นใจว่าจะสามารถให้บริการและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมืออาชีพ ควบคู่ไปกับการผลักดันศักยภาพของลูกค้าให้ไปสู่เป้าหมายทางธุรกิจร่วมกัน ซึ่งครั้งนี้เราได้ใช้งบประมาณในการลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท สำหรับการเข้าสู่ตลาดโลจิสติกส์ในครั้งนี้ 

ปัจจุบันการดำเนินธุรกิจของของ เวลาร์ คอร์ปอเรชั่น (WAYLAR) แบ่งออกได้เป็น 4 หน่วยธุรกิจ ประกอบไปด้วย

  • หน่วยธุรกิจด้านอุปกรณ์ IoT – เป็นหน่วยธุรกิจที่จัดการดูแล สรรหา อุปกรณ์ IoT เช่น อุปกรณ์ติดตามรถยนต์ (GPS) กล้องติดรถยนต์ (MDVR) และเซ็นเซอร์ตรวจจับการทำงานต่างๆ สำหรับติดตั้งในยานพาหนะหรือเครื่องจักรของลูกค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในติดตามและการบริหารงาน โลจิสติกส์ พร้อมทั้งชูจุดเด่นในเรื่องการให้บริการหลังการขายที่มุ่งเน้นความรวดเร็ว
  • หน่วยธุรกิจด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ – หน่วยธุรกิจหลักในการพัฒนาซอฟต์แวร์ มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาซอฟต์แวร์ ที่เข้ามาสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมโลจิสติกส์  โดยเฉพาะการสนับสนุนผู้ประกอบการขนส่งที่เป็นลูกค้าของเวลาร์ (Buit to Suit) ที่สามารถเชื่อมโยงกับอุปกรณ์ IoT  และนำข้อมูลเหล่านั้นที่ได้จากชุดอุปกรณ์ที่ติดตั้งไปวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ – ลดต้นทุน สำหรับผู้ประกอบการขนส่งที่เป็นลูกค้าของเวลาร์ ตัวอย่างเช่น

–          WAYLAR CONNECT: เว็บแอปพลิเคชันสำหรับบริหารและติดตามสถานะของยานพาหนะ บุคคล และงาน โดยระบบจะแสดงสถานะข้อมูลที่เป็นปัจจุบันมากที่สุด พร้อมจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ สามารถดึงรายงานย้อนหลังเพื่อนำมาใช้ในการวิเคราะห์วางแผนการดำเนินงานธุรกิจได้

–          WAYLAR WORK: แอปพลิเคชันสำหรับสนับสนุนงานบริหารทรัพยากรบุคคลให้สะดวกมากยิ่งขึ้น สามารถลงเวลาเข้า – ออกงาน มอบหมายงานและตรวจสอบสถานะงานได้แบบเรียลไทม์ ช่วยลดขั้นตอนความยุ่งยากในการจัดการเก็บข้อมูล ทำให้บริหารจัดการทรัพยากรบุคคลได้อย่างคล่องตัว

–          WAYLAR BOOKING:  เว็บแอปพลิเคชันสำหรับลูกค้าของเวลาร์ เพื่อจัดการคำสั่งซื้อ/บริการ รวมทั้งดูสถานะของบริการได้แบบเรียลไทม์ มีการเก็บข้อมูลคำสั่งซื้อสินค้าและบริการในรูปแบบดิจิทัล สามารถดึงรายงานและตรวจสอบย้อนหลังได้

  •  หน่วยธุรกิจด้านแพลตฟอร์มการบริหารงานจัดการงานขนส่งและโลจิสติกส์ – หน่วยธุรกิจที่ดูแลช่วยในการจัดสรรงานขนส่ง ผ่านแพลตฟอร์มซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมความต้องการในการบริหารงานจัดการงานระหว่างผู้ว่าจ้าง ทั้งในกลุ่ม ของ B2B (Business-to-Business)  B2C (Business-to-Customer) และ C2C (Customer-to-Customer)  กับผู้ประกอบการขนส่งที่เป็นลูกค้าของเวลาร์ (WAYLAR) รวมถึงกองรถที่เป็น ฟลีทพันธมิตรทางธุรกิจของเวลาร์ (WAYLAR) เอง       
  • หน่วยธุรกิจด้านบริการสนับสนุนอื่นๆ – หน่วยธุรกิจที่มองถึงการเติบโตอย่าแข็งแกร่งและยั่งยืนระหว่าง เวลาร์ (WAYLAR) และ ผู้ประกอบการขนส่งที่เป็นลูกค้าของเวลาร์ (WAYLAR) รวมถึงกองรถที่เป็นฟลีทพันธมิตรทางธุรกิจของเวลาร์ โดยการบูรณาการชุดข้อมูลจากอุปกรณ์ IoT (IoT Data Integration) เพื่อสร้างความสมบูรณ์ให้แก่ระบบนิเวศขนส่ง (Logistics Ecosystem) เช่น การนำวิธีการเติมน้ำมันแบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ (digital fleet cards) มาใช้เพื่อตรวจสอบการทุจริต การเบิกจ่ายเกินจริง และวางแผนในการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง รวมถึงการบูรณาการ การซ่อมบำรุง การสรรหาบุคลากร การสรรหาประกันภัย แบบ One Stop Service (การให้บริการเบ็ดเสร็จ) กับผู้ประกอบการขนส่งที่เป็นลูกค้าของเวลาร์ (WAYLAR) เพื่อลดภาระงาน รวมถึงต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทางธุรกิจ

สำหรับในปี 2567 นี้ หน่วยธุรกิจด้านแพลตฟอร์มการบริหารงานจัดการงานขนส่งและโลจิสติกส์ จะเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น เนื่องด้วยฐานลูกค้าของเราในอุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์ ในกลุ่ม  B2B (Business-to-Business)  B2C (Business-to-Customer)   C2C (Customer-to-Customer) รวมถึง อีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้มีความต้องการในด้านการสนับสนุนในด้านรถขนส่งประเภทต่างๆ

     โดยแผนที่ได้ดำเนินการไปแล้วนั้นคือการเสริมรถผ่านแพลตฟอร์มการบริหารงานจัดการงานขนส่งและโลจิสติกส์ ของเวลาร์ (WAYLAR) โดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในการจัดหารถบรรทุกใหม่ ทั้ง 4ล้อ 4ล้อจัมโบ้ 6ล้อ และ 10 ล้อ ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในกลุ่มต่างๆ  และยังมีแผนสรรหารถเข้าร่วมเพิ่มเติมอีกทั้งรถใหม่และมือสอง รวมทั้งรถของพันธมิตรที่จะนำมาเข้าร่วมกับบริษัท โดยตั้งเป้าขยายฟลีทรถรวมจำนวน กว่า 900 คัน ผ่านแพลตฟอร์มจัดการงานขนส่งและโลจิสติกส์ ของเวลาร์ (WAYLAR) ภายในปีนี้

ด้วยระบบนิเวศธุรกิจของเวลาร์ ซึ่งมีความสมบูรณ์และครอบคลุมในทุกด้านที่จำเป็นของผู้ประกอบการขนส่ง ซึ่งผสานเข้ากับจุดเด่นของเราคือนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการบริหารและเชื่อมโยงรถ ทรัพยากรคน และกระบวนการทำงานที่มีการบูรณาการอย่างไร้รอยต่อ ยิ่งไปกว่านั้นเวลาร์พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนธุรกิจของคู่ค้าผลักดันนโยบายความยั่งยืนให้เป็นรูปธรรมผ่านการแปลงข้อมูลจากอุปกรณ์ IoT (Internet of Thing) ให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลที่ง่ายและรวดเร็วต่อการเข้าถึง ทดแทนการใช้กระดาษ สะดวกต่อการจัดเก็บและการสืบค้นย้อนหลัง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนด้วยแผนการนำรถบรรทุกไฟฟ้า สมรรถนะสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มาเสริมฟลีทรถของเวลาร์ด้วย

แผนการดำเนินงานของเราไม่เพียงมุ่งหวังเพื่อผลให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดำเนินงานอย่างสูงสุดต่อลูกค้าในระยะสั้นเท่านั้น แต่เวลาร์พร้อมเคียงข้างและขับเคลื่อนธุรกิจคู่ค้าให้เติบโต และมุ่งสู่การประสบความสำเร็จทางธุรกิจในระยะยาวไปพร้อมกัน” นายพันชนะกล่าวทิ้งท้าย


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะศิลปศาสตร์ประยุกต์ มจพ. เปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่ระดับปริญญาโท-เอก

คณะศิลปศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ) เปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่ระดับบัณฑิตศึกษา ระดับปริญญาโท และระดับปริญญาเอก ในสาขาวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ  ภาคเรียนที่ 1/2567 รายละเอียดดังนี้

       1. ปริญญาโท ภาคพิเศษ (เรียนวันเสาร์วันอาทิตย์)

       2. ปริญญาเอก ภาคปกติ (เรียนในเวลาราชการ) และภาคพิเศษ (เรียนวันเสาร์วันอาทิตย์)

โดยช่วงที่ 2 กำหนดรับสมัครตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคมวันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม 2567

สนใจคลิก https://grad.admission.kmutnb.ac.th/ApplyLogin

และช่วงที่ 3 กำหนดรับสมัครตั้งแต่วันจันทร์ที่ 11 มีนาคมวันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม 2567

สนใจคลิก https://grad.admission.kmutnb.ac.th/ApplyLogin

     สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บัณฑิตวิทยาลัย อาคารนวมินทรราชินี ชั้น 12 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ)  โทร. 0-2555-2000 ต่อ 2422, 2424 หรือ http://www.grad.kmutnb.ac.th

หรือติดต่อสอบถามได้ที่ Line official : https://lin.ee/UTe2ZBH และสามารถสอบถามข้อมูล ระดับปริญญาโท ได้ที่ :  .ดร.รติ  โทร. 082-414-9514 และระดับปริญญาเอก ได้ที่ : ผศ.ดร.เบญจวรรณ  โทร.089-832-4271

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มิตซูบิชิ อีเล็คทริค กันยงวัฒนา เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เครื่องปรับอากาศมิตซูบิชิ อีเล็คทริค มิสเตอร์สลิม ระบบอินเวอร์เตอร์ ในรุ่น XY Series

นายชินจิ คามิยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค กันยงวัฒนา จำกัด (ที่ จากขวา) เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เครื่องปรับอากาศมิตซูบิชิ อีเล็คทริค มิสเตอร์สลิม ระบบอินเวอร์เตอร์ ในรุ่น XY Series ที่สุดของเทคโนโลยี Fast Cooling Plus” ตอบโจทย์ความต้องการของคนไทย ที่เย็นเร็ว รู้ใจ ประหยัดไฟยิ่งขึ้น ตู้เย็นกลุ่ม “Premium Series” คุณภาพสูง  โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีถนอมอาหาร และผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอีกหลาย Line Up พร้อมเปิดตัวแคมเปญโฆษณาชุดใหม่ โดยมี นนท์ – ธนนท์ จำเริญ (กลาง) พรีเซนเตอร์ ร่วมตอกย้ำจุดแข็งแบรนด์คุณภาพ และผู้นำตลาดเครื่องปรับอากาศภายในบ้าน ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และบางกอกคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อเร็ว ๆ
Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผลักดันให้เร่งลดคาร์บอน โดยมุ่งเน้นที่พลังงานไฟฟ้าและการเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัลในการประชุม World Economic Forum ณ เมืองดาวอส

กรุงเทพ (ประเทศไทย) วันที่ 29 มกราคม 2567 – ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำระดับโลกด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นด้านการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ เร่งผลักดันความจำเป็นในการนำเทคโนโลยีที่มีอยู่มาปรับใช้มากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นเรื่องลุกลามจนไม่สามารถควบคุมได้

การเร่งแก้ไขเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และราคาพลังงานที่ผันผวน รวมถึงความกดดันจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อให้เร่งจัดการความเสี่ยงเหล่านี้ ล้วนเป็นปัจจัยผลักดันให้ความยั่งยืนทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและความสามารถในการฟื้นฟูพลังงานกลายเป็นวาระสำคัญขององค์กร รวมถึงนโยบายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้กลายเป็นประเด็นหลักในการประชุมประจำปีของ World Economic Forum ที่จัดขึ้น ณ เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 15-19 มกราคม โดยมีผู้บริหารระดับสูงของชไนเดอร์ อิเล็คทริคหลายคนที่ได้เข้าร่วมงานนี้เช่นกัน

“เนื่องจากการใช้พลังงานทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนมากถึง 80% ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานจึงเป็นปัจจัยหลักสำคัญที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน” ปีเตอร์ เฮอร์เวค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “ศักยภาพของ AI กำลังดึงความสนใจของทุกคนอยู่ในขณะนี้ แต่ต้องไม่ลืมว่าเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งการผลิตพลังงานทดแทน เครื่องมือดิจิทัลและการใช้พลังงานไฟฟ้า ช่วยลดความต้องการใช้พลังงานได้ ด้วยการทำให้ไซต์งานและการดำเนินงานมีประสิทธิภาพด้านพลังงานมากขึ้น โดยสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปัจจุบันได้อย่างรวดเร็ว  เพราะโลกไม่มีเวลารอวิธีการแก้ปัญหาของวันพรุ่งนี้ ในเมื่อสิ่งที่เรามีอยู่ในปัจจุบันสามารถทำอะไรได้มากมาย”

การดำเนินการจากภาคเอกชนที่เป็นบริษัทต่างๆ ในทั่วโลก คือหัวใจสำคัญที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงนับเป็นสิ่งที่น่าส่งเสริมให้โลกธุรกิจให้คำมั่นสัญญาต่อความยั่งยืนและการลดคาร์บอนมากขึ้น โดยในเดือนมกราคม 2024 มีบริษัทมากกว่า 4,200 แห่งทั่วโลกได้กำหนดเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งได้รับการตรวจสอบโดยโครงการริเริ่ม Science Based Targets (SBTi) เป็นต้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมเรื่องประสิทธิภาพด้านพลังงานกำลังได้รับการยอมรับมากขึ้น โดยในปีที่ผ่านมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้ร่วมมือกับสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศในการนำพารัฐบาลและผู้นำจากหลายธุรกิจมารวมตัวกันเพื่อการประชุมใหญ่ในหัวข้อดังกล่าว

รายงานใหม่ที่เผยแพร่โดย World Economic Forum เมื่อวันที่ 8 มกราคม พบว่า การดำเนินการด้านการใช้พลังงานด้วยการประหยัดพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน รวมถึงความร่วมมือที่ช่วยสร้างคุณค่าในเรื่องดังกล่าว สามารถช่วยปลดล็อกต้นทุนด้วยการประหยัดเงินให้กับระบบเศรษฐกิจในวงกว้างได้มากถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งยังช่วยหลีกเลี่ยงให้ไม่ต้องมีการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมได้อีก 3,000 แห่ง หากสามารถดำเนินการในเรื่องดังกล่าวได้ก่อนปี 2030

นอกจากนี้ การวิจัยที่ดำเนินการโดย ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เมื่อเร็วๆ นี้ แสดงให้เห็นว่าการติดตั้งโซลูชันบริหารจัดการพลังงานและอาคารด้วยระบบดิจิทัลให้กับอาคารที่มีอยู่ สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในการปฏิบัติงานได้มาก อีกทั้งให้การคืนทุนได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาไม่ถึงสามปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันมหาศาลจากแค่ส่วนนี้เพียงส่วนเดียว

โอกาสและความท้าทายในการจัดการกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 3

ส่วนอื่นๆ ที่ต้องมุ่งเน้น คือการจัดการกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากบริษัทต่างๆ ที่เกิดจากการดำเนินกิจกรรมที่จัดอยู่ใน Scope 3 ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามกระบวนการต่างๆ ในห่วงโซ่คุณค่า หรือ value chain ขององค์กรตั้งแต่กระบวนการก่อนการผลิต เริ่มจากการจัดหาวัตถุดิบ (upstream) ไปจนถึงกระบวนการในการจัดส่งจนสินค้าถึงมือผู้บริโภค (downstream) และนับเป็นกระบวนการที่ปล่อยคาร์บอนมากที่สุดขององค์กร มากกว่า 70% สอดคล้องตามข้อมูลจาก UN Global Compact

การปฏิรูปด้านซัพพลายเชนทั่วโลกในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ช่วยผลักดันให้หัวข้อนี้กลายเป็นวาระสำคัญขององค์กร กว่าสองในสามของผู้นำธุรกิจที่เข้าร่วมการสัมภาษณ์เพื่อจัดทำเป็นรายงาน โดยชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในปีที่ผ่านมา กล่าวว่าความกดดันด้านกฏระเบียบทำให้ผู้บริหารเหล่านี้ต้องเร่งคิดแผนงานในการลดคาร์บอนร่วมกับพันธมิตรด้านซัพพลายเชน บรรดาผู้ที่เข้าร่วมการสำรวจยังกล่าวว่า ตนกำลังเห็นว่าบรรดานักลงทุนและหน่วยงานด้านการเงินทั้งหลายมีความต้องการข้อมูลด้านการลดคาร์บอนในซัพพลายเชนเพิ่มขึ้น

“องค์กรธุรกิจต่างๆ ที่กำลังให้ความสนใจอย่างจริงจังเกี่ยวกับการลดคาร์บอน ต้องมองไปให้ไกลกว่าเรื่องการดำเนินงานในองค์กรของตัวเอง พร้อมกับต้องจัดการเรื่องนี้ใน value chain ทั้งหมด และต้องตระหนักว่า การผลักดันพร้อมให้การช่วยเหลือซัพพลายเชนและพันธมิตรทางธุรกิจอื่นๆ จะช่วยสร้างประสิทธิภาพด้านพลังงานมากขึ้น ด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าและเทคโนโลยีระบบดิจิทัล รวมถึงการจัดซื้อพลังงานที่สะอาดขึ้น เหล่านี้คือประเด็นสำคัญที่ช่วยแก้โจทย์เรื่องนี้” โอลิเวียร์ บลูม รองประธานบริหาร ฝ่ายบริหารจัดการพลังงาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Metro Systems Corporation ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Commvault Premier Solution Provider

บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)บริษัทจดทะเบียนมหาชนด้านไอทีในประเทศไทยที่โดดเด่นมากว่าสามทศวรรษ ได้รับเลือกให้เป็นหุ้นส่วนทางการค้าระดับ Premier และนี่ถือเป็นจุดสำคัญของการเติบโตของธุรกิจในตลาดประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งนี้ได้สอดคล้องกับการประกาศล่าสุดของ Commvault Global บนแพลตฟอร์มใหม่ล่าสุด Commvault Cloud ที่ขับเคลื่อนโดย Metallic AI ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มความยืดหยุ่นทางไซเบอร์ที่สร้างขึ้นสำหรับองค์กรไฮบริด Commvault Cloud มีความยืดหยุ่นทางไซเบอร์บนคลาวด์อย่างแท้จริง ในขณะเดียวกันก็รับประกันการกู้คืนที่เร็วที่สุด ทั้งเป็นอาวุธขั้นสูงสุดในการต่อต้านแรนซัมแวร์ เมื่อใช้ระบบคลาวด์ของ Commvault ลูกค้าไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างงบประมาณที่มีค่าใช้จ่ายสูง และการรักษาความปลอดภัยข้อมูลที่มีช่องโหว่อีกต่อไป 

สามารถป้องกันได้มากกว่า กู้คืนได้เร็วขึ้น พร้อมลดค่าใช้จ่าย เพราะ Metallic AI ทำงานผ่านแพลตฟอร์ม Commvault Cloud เพื่อขับเคลื่อนการเตือนล่วงหน้า การตรวจจับภัยคุกคาม ความพร้อมของเหตุการณ์ การตอบสนองที่รวดเร็ว และการกู้คืนทางไซเบอร์ โดยนำเสนอข้อมูลเชิงลึกด้านความเร็วและความมั่นใจที่คุณต้องการในกรณีที่มีการโจมตี ไม่ว่าคุณจะทำอะไรหรือทำอย่างไร Commvault Cloud มอบการป้องกันที่คุณต้องการ ในแพลตฟอร์มเดียวเพื่อขจัดช่องว่างด้านความปลอดภัย

Commvault มั่นใจในความร่วมมือที่แข็งแกร่งกับ Metro Systems Corporation เพิ่มการเติบโตของตลาดและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้ามากขึ้

Sanjay MirchandaniPresident & CEO, Commvault กล่าว  แม้ว่านวัตกรรมที่ต่อเนื่องของเราจะทำให้เราเป็นผู้นำอุตสาหกรรมแข็งแกร่งขึ้น แต่ระบบนิเวศของพันธมิตรที่แข็งแกร่งของเราก็ช่วยให้เราสามารถตอบสนองลูกค้าบนคลาวด์ได้อย่างรวดเร็ว

เรามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นที่สุดกับพันธมิตร เรามีส่วนร่วมกับลูกค้าและช่องทางของพันธมิตร ซึ่งง่ายในการติดต่อ และแก้ไขปัญหาร่วมกัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

โอยิกะ เปิดตัว OPUS (Oyika Power Up Station) ผู้ให้บริการระบบสลับเเบตเตอรี่ใช้สมาร์ทโฟนแค่เครื่องเดียว!

คุณไลโอเนล ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอยิกะ (ไทยแลนด์) จํากัด นำทัพทีมงานเปิดตัวก้าวสู่การเป็นผู้นำในวงการมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าด้วยการนำแบตเตอรี่ 60v และ 72v ผ่านโปรเจ็ค OPUS (Oyika Power Up Station) ที่มุ่งให้บริการสถานีตู้สลับแบตเตอรี่มากกว่า 300 จุดทั่วประเทศไทย ซึ่งก้าวแรกของโครงการได้เปิดตัวโดยการนำร่องติดตั้งตู้สลับเเบตเตอรี่พื้นที่ 7-Eleven แต่ละสาขาในกรุงเทพมหานคร รวมถึงพื้นที่อื่น ๆ บริเวณใจกลางเมืองมากถึง 80 สถานี และกำลังขยายสถานีเพิ่มเติมเพื่อรองรับการใช้งานในกลุ่ม “ไรเดอร์” ที่ให้บริการเดลิเวอรี่เเละกลุ่มลูกค้าทั่วไปในอนาคต พร้อมทั้งพัฒนาแบตเตอรี่ร่วมกับแบรนด์จักรยานยนต์ไฟฟ้าหลากหลายแบรนด์มากถึง 95% ในตลาด ทั้งระบบสลับแบตเตอรี่และระบบชาร์จไฟฟ้า

โดยมีแนวคิด Platform as a Service เข้ามาแนะนำสู่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายด้วยระบบ Eco System ครบวงจร ที่ทำให้การใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถทำได้ และการเปลี่ยนแบตเตอรี่เป็นเรื่องง่ายเพียงแค่ปลายนิ้ว

OPUS หรือสถานีสลับแบตเตอรี่ของโอยิกะ เป็นทางเลือกการใช้งานมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่ประหยัดเวลาและให้ความสะดวกสบายสูงสุด โดยผู้ใช้งานสามารถสลับแบตเตอรี่ได้โดยไม่ต้องชาร์จในเวลานาน ซึ่งตรงกับความต้องการของลูกค้ากลุ่มเดลิเวอรี่ที่ต้องให้บริการอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน

สำหรับวิธีการใช้งานสามารถทำได้ผ่านขั้นตอนง่าย ๆ เพียงแค่ใช้สมาร์ทโฟนด้วยการเปิดเข้าแอปพลิเคชันของโอยิกะเพื่อสแกน QR Code บนตู้สลับเเบตเตอรี่และทำการเปลี่ยนเเบตเตอรี่ เพียงเท่านี้ก็สามารถเดินทางต่อได้โดยใช้เวลาเพียงเเค่ 2 – 3 นาทีเท่านั้น

นอกจากนี้ เรายังเปิดให้ผู้ใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ารับบริการสลับแบตเตอรี่แบบให้เช่า (Battery-as-a-Service : BaaS) และระบบชาร์จไฟฟ้า เพื่อรับบริการสลับแบตเตอรี่และสัมผัสเทคโนโลยีที่พัฒนาผ่านระบบที่บริษัทคิดค้น  ทําให้แบตเตอรี่ของโอยิกะสามารถรองรับการใช้งานมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าได้หลากหลายแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น TAILG, OKLA, Yadea และ NIU ซึ่งขณะนี้มีให้เลือกมากถึง รุ่นด้วยกัน ได้แก่Warrior, Es-1 เเละ MX Plus

ในปัจจุบันโอยิกะรุกขยายธุรกิจในประเทศไทย เพื่อรองรับการขยายบริการ และเจาะกลุ่มตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ ยังเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจโดยจับมือกับ บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด ผู้ให้บริการโซลูชันพลังงานสะอาดชั้นนําในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งได้เข้ามาร่วมลงทุนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของโอยิกะในการขยายบริการในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อยกระดับตลาดยานยนต์ไฟฟ้า และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด  มุ่งสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน และร่วมขับเคลื่อนสังคมไร้คาร์บอนให้เกิดขึ้นจริง

คุณไลโอเนล ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอยิกะ (ไทยแลนด์) จํากัด กล่าวว่า เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบ้านปูและได้ร่วมมือกับบ้านปู เน็กซ์ ในการขยายตลาดในประเทศไทยและก้าวสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงแรกเริ่มเราจะให้บริการกลุ่มธุรกิจขนส่งเป็นหลัก โดยหวังว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนการใช้โซลูชันพลังงานสะอาดในภาคการเดินทางและขนส่งให้แพร่หลายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ทุกองค์กรบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมลดค่าใช้จ่ายไปพร้อมกัน

นอกจากนี้ โอยิกะยังเปิดตัวพรีเซนเตอร์คนเเรกของประเทศไทย คือ คุณเเป้ง – อรจิรา เเหลมวิไล” เพื่อรองรับกลุ่มตลาดต่าง ๆ ที่จะเติบโตในอนาคต โดยเน้นกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่ใช้งานมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน ทำให้การใช้งานมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ากลายเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

การพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานในรูปแบบดังกล่าว ถือเป็นการกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของวงการขนส่งและการใช้พลังงานครั้งสำคัญของประเทศไทย ทำให้ผู้คนสามารถทดลองใช้งานมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าได้สะดวกสบาย และส่งเสริมให้คนใช้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในธุรกิจการเดินทางและขนส่ง รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่ใช้โดยสารทั่วไป อีกทั้งสนับสนุนให้ผู้ใช้ได้มีส่วนร่วมขับเคลื่อนสังคมไร้คาร์บอน     โอยิกะจึงก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมพลังงานและมีแนวคิดที่จะเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการของการใช้พลังงานในประเทศไทย

โอยิกะเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีโซลูชัน มุ่งเน้นการพัฒนาแบตเตอรี่สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าทั่วทั้งภูมิภาคที่ถูกก่อตั้งจากประเทศสิงคโปร์มาตั้งแต่ปี 2018 ซึ่ง ณ ปัจจุบันทาง Oyika ได้รับการยอมรับและขยายไปในหลายประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ ไทย กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย และในอนาคตอันใกล้คือ เวียดนามและฟิลิปปินส์ โดยมุ่งเน้นเป้าหมายเดียวกันเพื่อให้โลกเป็นโลกที่น่าอยู่ขึ้น

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถนัดหมายเพื่อเข้าทดลองเทคโนโลยีสลับแบตเตอรี่สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าได้ที่ Oyika Experience Center ตั้งอยู่ที่ห้างสรรพสินค้า Bravo เลขที่ 99/6-9 ถนน จตุรทิศ แขวง บางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310. หรือ Official Account: @oyikathailand / Tel: 093-918-7805


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นนำในประเทศไทย ผนึกกำลังร่วมกันจัดตั้ง ‘สมาคมดาต้าเซ็นเตอร์แห่งประเทศไทย’

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – 25 มกราคม 2567 – ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นนำร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) จัดตั้งสมาคมดาต้าเซ็นเตอร์แห่งประเทศไทย (Thailand Data Centre Council หรือ TDCC) อย่างเป็นทางการ ซึ่ง TDCC จะเป็นเครือข่ายพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กลุ่มแรกสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์มุ่งมั่นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศให้เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

สมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งสมาคมดาต้าเซ็นเตอร์แห่งประเทศไทยเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ ประกอบด้วย บริษัท เอมส์ ดาต้า เซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท อีโวลูชั่น ดีซี (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัท เอ็นทีที โกลบอล ดาต้า เซ็นเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด, เอสที เทเลมีเดีย โกล บอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) และบริษัท เทเลเฮ้าส์ (ประเทศไทย) จำกัด

ทั้งนี้สมาคมดาต้าเซ็นเตอร์แห่งประเทศไทยก่อตั้งขึ้น ภายใต้วัตถุประสงค์พื้นฐาน 6 ประการ ได้แก่:

  1. เป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์: โดยร่วมมือในการผลักดันการแข่งขันในอุตสาหกรรมหรือภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
  2. ให้คำปรึกษาและสนับสนุนด้านกฎระเบียบ: ให้คำแนะนำ ระบุความท้าทายและเสนอแนวทางต่าง ๆ ด้านกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมกับหน่วยงานสาธารณะอย่างเหมาะสม
  3. ขยายธุรกิจระหว่างประเทศ: สนับสนุนและส่งเสริมสมาชิกในการขยายศักยภาพธุรกิจ พร้อมยกระดับการแข่งขันไปสู่เวทีระดับโลก
  4. พัฒนาด้านวิชาชีพ: ส่งเสริมการเติบโตทางวิชาชีพของผู้ประกอบการดาต้าเซ็นเตอร์และบุคลากรในอุตสาหกรรมดิจิทัลให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
  5. ให้คำปรึกษาและสนับสนุนหลักปฏิบัติด้านจริยธรรม: ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรมสำหรับอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ของไทย โดยนำเสนอแนวปฏิบัติให้มีความสอดคล้องกับบรรทัดฐานระดับสากล
  6. พัฒนาอุตสาหกรรม: ดำเนินกิจกรรมเสริมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ของประเทศไทย หรือดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง

การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของการจัดตั้งสมาคมดาต้าเซ็นเตอร์แห่งประเทศไทย เป้าหมายหลักคือการยกระดับอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ให้เป็นอุตสาหกรรมหลักสำคัญของประเทศ และสร้างเครือข่ายผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลขึ้นในประเทศไทย ภายใต้วิสัยทัศน์ร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่การเป็นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้งและนโยบายสนับสนุนด้านดิจิทัลของประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยเป็นหมุดหมายสำคัญของการลงทุนจากผู้ให้บริการดิจิทัลและดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลก สอดคล้องกับข้อมูลของ Statista เผยรายได้ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ปี 2566 คาดว่าสูงแตะ 2.06 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.83 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอีก 5 ปี เป็นปัจจัยกระตุ้นตลาดนี้ให้กลายเป็น Critical Industry ของประเทศ

วิสัยทัศน์ TDCC กับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย

TDCC ตั้งเป้าสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยระยะยาว รวมถึงการสร้างและการขยายเครือข่ายการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนในวงกว้าง และยึดมั่นในมาตรฐานระดับโลก ซึ่ง TDCC พร้อมเปิดรับพันธมิตรจากหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ ผู้ให้บริการเชื่อมต่อ หรือในภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง สมาคมฯ มุ่งมั่นสนับสนุนและส่งเสริมสมาชิกในการเพิ่มศักยภาพธุรกิจเพื่อแข่งขันในระดับนานาชาติ

นอกจากนี้ TDCC จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาทักษะวิชาชีพให้แก่ผู้ประกอบการและบุคลากรในอุตสาหกรรมอย่างจริงจังเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล พร้อมร่วมมือและประสานงานกับหน่วยงานของทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรมตามหลักสากล

TDCC เปิดโอกาสให้สมาชิกสามารถให้ข้อเสนอแนะ ระบุความท้าทาย และเสนอแนวทางแก้ปัญหาด้านกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ไปยังหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง


Exit mobile version