Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ITED Open house 2024 ภายใต้แนวคิด “เปิดโลกสื่อการเรียนการสอนยุคดิจิทัลสู่การเรียนรู้วิถีใหม่”

สำนักพัฒนาเทคนิคศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) จัดงาน ITED Open house 2024 ภายใต้แนวคิด เปิดโลกสื่อการเรียนการสอนยุคดิจิทัลสู่การเรียนรู้วิถีใหม่ระหว่างวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 10.00 – 15.00 . ณ สำนักพัฒนาเทคนิคศึกษา (อาคาร 76) มจพ. พร้อมเปิดบ้านให้เข้าศึกษา/ดูงานด้านการออกแบบและพัฒนาสื่อการเรียนการสอน  การบรรยายพิเศษ/การอบรมเชิงปฏิบัติการ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ  รวมถึง Workshop อินเทอร์เน็ตเพื่อสรรพสิ่งสำหรับระบบนิวเมติกส์อัตโนมัติ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ครบ 65 ปี (19 กุมภาพันธ์ 2567) กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย

1. กิจกรรมเปิดให้เข้าศึกษา/ดูงาน ด้านการออกแบบและพัฒนาสื่อการเรียนการสอน

2. การบรรยายพิเศษ/การอบรมเชิงปฏิบัติการ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ ในหัวข้อที่น่าสนใจ ดังนี้

(1) แนวโน้มการศึกษายุคดิจิทัลสู่การเรียนรู้วิถีใหม่
(2) การรับรองมาตรฐานอาชีพเพิ่มศักยภาพ ยกระดับสมรรถนะแรงงานและระบบ EWE Platform
(3)
คุณลักษณะบัณฑิตที่พึงประสงค์สำหรับอุตสาหกรรมอัตโนมัติและการประยุกต์ใช้ IIOT กรณีศึกษา SMC
(4)
กรณีศึกษาการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการวางแผนพัฒนาโครงข่าย
(5) สารทำความเย็นพันธุ์ใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

3. Workshop อินเทอร์เน็ตเพื่อสรรพสิ่งสำหรับระบบนิวเมติกส์อัตโนมัติ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 10.00-15.00 . ณ ห้องประชุมอินทนิล (301) ชั้น 3  สำนักพัฒนาเทคนิคศึกษา มจพ. (อาคาร 76) โดยมีหัวข้อการฝึกอบรม ดังนี้

(1) แนะนำนวัตกรรมอุปกรณ์ระบบนิวเมติกส์อัตโนมัติสมัยใหม่
(2) สาธิตหลักการควบคุมอัตโนมัติและแสดงผลแบบไร้สายระยะไกล
(3) ระบบเครือข่ายและวิธีการติดต่อสื่อสารข้อมูลกับอุปกรณ์ IoT
(4)
ประโยชน์และแนวทางการประยุกต์ใช้ IoT กับระบบนิวเมติกส์อัตโนมัติ
(5) ตัวอย่างการนำข้อมูลไปวิเคราะห์เพื่อการบริหารจัดการด้านพลังงานและวางแผนซ่อมบำรุง

พิเศษ  รับ e-Certificate ทันทีหลังจบการฝึกอบรม ตลอดจนเล่นเกมตอบคำถามชิงรางวัล/รับของที่ระลึก กิจกรรมฟรี  ไม่มีค่าใช้จ่าย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณชนกนันท์ โทร. 06 3589 0951 / คุณภัทรพร โทร. 08 1984 5839 ลงทะเบียนร่วมงาน  https://forms.office.com/r/ZZf53ppqQE  แผนที่สำนักพัฒนาเทคนิคศึกษา (อาคาร 76) มจพ. https://maps.app.goo.gl/aQwjzan6mJxgxTGj9

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

AI ยกระดับการวางแผนสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

ผลจากการทดลองใช้ AI เพื่อระบุตำแหน่งของทำเลที่ตั้งเพื่อประเมินการสร้างจุดชาร์จ EV เพิ่มเติม ที่เมือง Macarthur ประเทศออสเตรเลีย 

ในขณะนี้ โลกกำลังอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นการเดินทางสัญจรอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืน จากความต้องการโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จ EV ที่ขยายตัวขึ้น ได้ทำให้คู่แข่งในธุรกิจ EV เพิ่มจำนวนขึ้นตามไปด้วย และส่งผลให้การแข่งขันเพื่อช่วงชิงทำเลที่ดี ทวีความดุเดือดขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตาม การระบุตำแหน่งและประเมินสถานที่สร้างจุดชาร์จในอนาคตนั้น ต้องใช้ทั้งระยะเวลาและกำลังคน ซึ่งนับเป็นความท้าทาย นอกจากนี้ ยังต้องใช้เงินลงทุนสูงและการลงทุนในระยะยาว ทั้งสำหรับการก่อสร้างและการดำเนินงานในสถานีชาร์จ ซึ่งหากการวางแผนและจัดสรรการลงทุนไม่ถูกต้อง ก็อาจส่งผลให้มีการสร้างจุดชาร์จในตำแหน่งที่ตั้งที่ไม่เหมาะสมได้ 

Thoughtworks บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีระดับโลก จึงได้พัฒนาแนวทางการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยในการวางแผนการสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จ EV รวมถึงยกระดับกระบวนการทำงานและปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้งานมากที่สุด ขณะที่ยังคงสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในระดับสูงสุด (ROI)

ภารกิจหาจุดชาร์จที่ยากในทุกมิติ

ในปัจจุบัน การระบุตำแหน่งและการคัดกรองจุดเหมาะสมสำหรับการสร้างจุดชาร์จ EV มีความซับซ้อนและต้องใช้ทรัพยากรบุคคลจำนวนมาก โดยการประเมินตำแหน่งที่ตั้งหนึ่งแห่ง อาจใช้ระยะเวลานานถึง 1 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติงาน และที่ตั้งของโครงการ และหากเป็นในทวีปยุโรป จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 20,000 – 50,000 ยูโร (ราว 770,000 – 1,925,000 บาท) ด้วยปัจจัยหลายอย่าง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดำเนินการให้ได้ตรงตามเป้าหมาย

การใช้ประโยชน์จาก AI ในการสร้างเครือข่ายชาร์จ EV

Ian Murdoch – Principal Advisory Consultant ของ Thoughtworks เปิดเผยว่า ในการพลิกแนวทางสร้างเครือข่ายชาร์จ EV นั้น ทาง Thoughtworks ได้ทดลองนำ AI มาใช้พัฒนาโครงการทดสอบความเป็นไปได้ (Proof of Concept) ซึ่งช่วยให้การประเมินสถานที่ตั้งทำได้รวดเร็วขึ้น จึงลดเวลาของขั้นตอนการทำงานที่นานถึงหนึ่งสัปดาห์ให้เหลือเพียงไม่กี่นาที

Ian Murdoch อธิบายเพิ่มว่ากระบวนการใหม่นี้ ทำผ่านแอปพลิเคชันแบบเรียลไทม์ ที่ผู้ใช้งานสามารถวาดตำแหน่งที่ต้องการสร้างจุดชาร์จลงไปบนแผนที่ เพื่อออกแบบเครือข่ายสถานีชาร์จ ซึ่งจะสร้าง Data Layer หรือตัวกลางส่งผ่านข้อมูลประกอบด้วยตำแหน่งที่น่าสนใจ (Points of Interest: POI) จุดชาร์จที่มีอยู่แล้ว และตำแหน่งที่เหมาะกับสร้างจุดชาร์จแห่งใหม่ภายในภูมิภาค และด้วยความสามารถในการเลือกสรรแนวทางแก้ไขปัญหาได้หลากหลายรูปแบบ ทำให้แอปพลิเคชันสามารถแนะนำการใช้งานที่เหมาะสมที่สุดตามความต้องการที่เฉพาะเจาะจงในด้านต่างๆ เช่น งบประมาณ ความหนาแน่นของจุดชาร์จ ความหนาแน่นของประชากร และความครอบคลุม POI

ทั้งนี้ เครืองมือที่ขับเคลื่อนด้วยพลัง AI ช่วยให้กระบวนการออกแบบและสร้างเครือข่ายจุดชาร์จ EV รวดเร็วยิ่งขึ้นและลดความซับซ้อนลง อีกทั้งยังมีข้อดีหลายประการ ได้แก่

  • ปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม (Customization)

โดยอ้างอิงตามบริการที่ธุรกิจต้องการส่งมอบให้ลูกค้า เช่น การให้ความสำคัญกับตำแหน่งจุดชาร์จที่อยู่ใกล้ร้านคาเฟ่สำหรับครอบครัว หรือตำแหน่งจุดแวะพักสำหรับนักเดินทางระยะไกล 

  • ดำเนินการแบบอัตโนมัติ (Automation)

ขั้นตอนหลายอย่างในกระบวนการวางแผน ที่รวมถึงการสร้างแผนภาพ CAD คือการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยออกแบบ สำหรับการขอใบอนุญาต ซึ่งสามารถทำได้ผ่านระบบอัตโนมัติ ช่วยลดระยะเวลาและต้นทุนการดำเนินงานลงได้อย่างมาก

  • ประเมินความสามารถทำกำไร (Profitability assessment)

โซลูชัน AI สามารถใช้ประเมินความสามารถทำกำไรของจุดชาร์จได้อย่างละเอียด โดยนำตัวแปรต่างๆ มาคำนวณ ช่วยให้ขั้นตอนการตัดสินใจทางธุรกิจทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

  • ปรับขยายขอบเขตการดำเนินงานได้ (Scalability)

ขณะที่ความต้องการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับชาร์จ EV ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง AI สามารถช่วยขยายกระบวนการวางแผนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เข้าถึงตำแหน่งที่สามารถสร้างจุดชาร์จได้หลายล้านแห่งทั่วโลก

  • อัปเดตแบบเรียลไทม์ (Real-time updates)

AI สามารถปรับใช้กับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ช่วยให้ธุรกิจและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถตัดสินใจโดยอ้างอิงกับข้อมูลและแนวโน้มตลาดล่าสุดได้

  • สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable growth)

AI ยังช่วยให้การสร้างเครือข่ายจุดชาร์จ EV ขยายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพและอย่างยั่งยืน โดยพิจารณาปัจจัยต่างๆร่วมด้วย เช่น รูปแบบการสัญจรและจุดอิ่มตัวของเครือข่าย ซึ่งสร้างความมั่นใจได้ว่าสถานีชาร์จใหม่ๆ จะช่วยเสริมประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่

เร่งเครื่องขุมพลัง AI สู่เครือข่ายชาร์จ EV

การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ส่งผลให้การมีเครือข่ายจุดชาร์จ EV ที่มีประสิทธิภาพคือสิ่งสำคัญยิ่ง แนวทางการวางแผนแบบเดิมนั้นมีความล่าช้า ใช้กำลังคนจำนวนมาก และมีต้นทุนสูง แต่การใช้โซลูชัน AI ช่วยให้กระบวนการวางแผน เป็นไปได้แบบอัตโนมัติ มีประสิทธิภาพ และขับเคลื่อนด้วยข้อมูล จึงสามารถยกระดับประสบการณ์ใช้งานของผู้ใช้ และเตรียมพร้อมสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคต


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัวเบรกเกอร์สายพันธุ์ฮีโร่ GoPact ซีรีย์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัวใหม่ เบรกเกอร์ GoPact MCCB พันธุ์แกร่ง พันธุ์ Go! สายพันธุ์ฮีโร่ ในราคาสุดคุ้ม สำหรับโครงการขนาดย่อม เล็งเจาะกลุ่ม  คอนโดมิเนียม ที่พักอาศัย อพาร์ทเมนต์ อาคารทั่วไป โรงงานขนาดย่อม คลังสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ด้วยการใช้งานที่ง่าย และให้ความยืดหยุ่น โดยมีถึง 5 ขนาดให้เลือก มาพร้อมความกะทัดรัด และให้ความสะดวกสำหรับการเลือกใช้ในแต่ละโครงการ ส่วนของทริปยูนิตมีให้เลือกตั้งแต่ 16 แอมป์ ไปจนถึง 800 แอมป์ และในแต่ละขนาดยังสามารถปรับขยายทริปยูนิตได้ ทำให้เมื่อมีโหลดที่เพิ่มขึ้นหน้างานสามารถปรับตั้งค่าได้ทันที พร้อมให้ค่า กระแสลัดวงจรสูงสุด (Breaking Capacity) ที่ทนทานกระแสได้ตั้งแต่ 15 กิโลแอมป์ ถึง 70 KA เลยทีเดียว ขณะที่เบรกเกอร์รุ่นราคาเทียบเท่ากัน ทนกระแสเริ่มที่เพียง 5 KA นอกจากนี้ ยังมีอายุการใช้งานทางกลยาวนานสูงสุดถึง 30,000 ครั้ง ที่อุณหภูมิ 55 องศา

นายเผดิมศักดิ์ รัตนเรืองศักดิ์ รองประธานฝ่ายธุรกิจ เพาเวอร์ โพรดักส์ ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ไทย ลาว และเมียนมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยว่า “สินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เบรกเกอร์ ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค สำหรับกลุ่มอาคาร มีให้เลือกหลายรุ่นตามความต้องการของโครงการต่างๆ สำหรับติดตั้งในตู้เมนดิสตริบิวชั่นบอร์ด (Main Distribution Board) ซับดิสตริบิวชั่นบอร์ด (Sub Distribution Board) ดิสตริบิวชั่นบอร์ด (Distribution Board) มีตั้งแต่รุ่นที่เชื่อมต่อกันได้ในแบบ IoT เพื่อมอนิเตอร์ข้อมูลการใช้พลังงานสำหรับอาคารขนาดใหญ่ และที่ต้องการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลแบบเต็มรูปแบบ อาทิ MasterPact ซีรีย์, Compact ซีรีย์ ขณะที่เบรกเกอร์ GoPact เป็นรุ่นใหม่ล่าสุด มุ่งเน้นที่อาคารขนาดย่อม ที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนด้านการมอนิเตอร์พลังงานแบบเต็มรูปแบบ GoPact จึงถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานง่าย ทนทาน แต่มีความยืดหยุ่นในการใช้งานสำหรับผู้รับเหมาโครงการ และผู้ประกอบการโรงตู้ รวมไปถึงการที่ติดตั้งและการปรับใช้งานที่ง่ายสำหรับช่างไฟ ไม่มีความซับซ้อนในการติดตั้ง และช่วยให้งานเสร็จเร็ว และบำรุงรักษาง่าย ขณะที่ราคาคุ้มค่า”

โดย GoPact ซีรีย์ ใหม่จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีให้เลือก 5 ขนาด ตามความต้องการของแต่ละโครงการ ตั้งแต่รุ่น GoPact 125 ขนาด 15 KA, 30 KA, GoPact 200 ขนาด 25 KA, 36 KA, GoPact 250 ขนาด 25 KA, 36 KA, GoPact 400 ขนาด 36 KA, 50 KA, GoPact 800 ขนาด 50 KA, 70 KA ทุกรุ่นผลิตจากเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีทริปยูนิตในตัว ผลิตจากวัสดุคุณภาพเยี่ยม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้รับมาตรฐาน IEC60947-2 และได้รับฉลากอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กรีนพรีเมี่ยม (Green Premium) ที่ให้ความปลอดภัย ทั้งเรา และทั้งโลก ทำให้มั่นใจได้ว่ารองรับโครงการที่มีนโยบายอาคารสีเขียวอีกด้วย

Go Pact ซีรีย์ ให้ความคุ้มค่าทั้ง ประสิทธิภาพ ฟังก์ชั่น และราคาที่พร้อม Go!!! สามารถหาซื้อได้ผ่านร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าชั้นนำทั่วประเทศและช่องทางช้อปออนไลน์ต่างๆ ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม แอดไลน์ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่นี่ https://lin.ee/XukMLED หรือ ID @se-th


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

หลักสูตรเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ประยุกต์และนวัตกรรม มจพ. (หลักสูตรใหม่) เปิดรับสมัครนักศึกษา ป.โท ภาคการศึกษาที่ 1/2567

คณะศิลปศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เปิดรับสมัครนักศึกษา ป.โท รุ่นที่ 1 ภาคการศึกษาที่ 1/2567 ในหลักสูตรเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ประยุกต์และนวัตกรรม M. Econ (Applied and Innovative Economics) (หลักสูตรใหม่ ปี 2567) ภาคปกติ (MAIE) แผนวิชาการแบบ 1 (เรียนคอร์สเวิร์คและทำวิทยานิพนธ์รวม 36 หน่วยกิต) เรียนแบบ Block Course ในวันจันทร์ศุกร์ เวลา 9.00 – 16.00 . (สัปดาห์ละ 2 วัน) ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ 18,000 – 20,000 บาท/เทอม ค่าสมัคร 500 บาท ภาคพิเศษ (S-MAIE) แผนวิชาการแบบ 1 (เรียนคอร์สเวิร์คและทำวิทยานิพนธ์รวม 36 หน่วยกิต)

เรียนแบบ Block Course ในวันเสาร์อาทิตย์ เวลา 9.00 – 16.00 . ค่าเทอมเหมาจ่าย 35,000 บาท/เทอม  ค่าสมัคร

1,000 บาทเปิดรับสำหรับผู้จบปริญญาตรี ทุกสาขา มีการสอนปรับพื้นฐานเศรษฐศาสตร์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายรับสมัคร วันนี้ ถึงวันที่ 12 พฤษภาคม 2567

รายละเอียดหลักสูตร

https://drive.google.com/drive/u/1/folders/1vE4CEgF0rrjL2YHEUHaJeP509O8wA-xv

สมัครออนไลน์ทางเว็ปไซต์ของบัณฑิตวิทยาลัย https://grad.admission.kmutnb.ac.th/ApplyLogin

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร 080-5645419 ผศ.ดร.กมลนัทธ์ มีถาวร หรือที่ Facebook : หลักสูตรปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ประยุกต์และนวัตกรรม มจพ. และที่ Email: mecon@arts.kmutnb.ac.th

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

โตชิบา ทะยานสู่ปีที่ 55 พร้อมดึง ‘หมาก ปริญ’ ร่วมแคมเปญใหญ่

ทีมผู้บริหารบริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด นำโดย นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร (กลางประธานกรรมการบริหาร บริษัท กนิษฐ์ เมืองกระจ่าง (ที่ 2 จากขวาประธานบริษัท และ มร.อเล็กซ์ มา (ที่ 2 จากซ้ายรองประธานบริษัท ร่วมแถลงความสำเร็จ สร้างสถิติโตสองดิจิตต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงโควิด พร้อมเร่งเครื่องเข้าสู่ปีครบรอบ 55 ปีของการทำธุรกิจใน ด้วยการเปิดตัวทัพสินค้าใหม่ 52 รุ่นจาก 16 หมวด และแคมเปญใหญ่เพื่อรุกชิงส่วนแบ่งเพิ่มในตลาดระดับ Mid to High โดยดึงศิลปินชื่อดัง หมาก ปริญ ร่วมเป็นแบรนด์พรีเซนเตอร์ ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์คาดอีกสองปี องค์กร 30% จะมองว่าการใช้โซลูชันการยืนยันและพิสูจน์ตัวตนแบบเอกเทศ จะไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไป

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 7 กุมภาพันธ์ 2567 — การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าในปี 2569 การโจมตีแบบ Deepfakes ที่สร้างโดยปัญญาประดิษฐ์กับเทคโนโลยีระบุตัวตนบนใบหน้าหรือ Face Biometrics เป็นเหตุให้องค์กรประมาณ 30% มองว่าโซลูชันการยืนยันและพิสูจน์ตัวตนจะไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไปหากนำมาใช้แบบเอกเทศ 

มร. อากิฟ ข่าน รองประธานฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีจุดเปลี่ยนสำคัญด้าน AI เกิดขึ้นหลายประการ นั่นทำให้เกิดการสร้างภาพสังเคราะห์ขึ้นได้ โดยภาพใบหน้าคนจริง ๆ ที่สร้างขึ้นปลอม ๆ เหล่านี้ หรือที่เรียกว่า Deepfakes นั้น เปิดโอกาสให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถนำมาใช้เพื่อทำลายระบบการพิสูจน์ทราบตัวตนด้วยไบโอเมตริกซ์หรือทำให้ระบบใช้การได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ผลที่ตามมาก็คือ องค์กรต่าง ๆ อาจเริ่มตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของโซลูชันการยืนยันและพิสูจน์ตัวตน เนื่องจากไม่สามารถบอกได้ว่าใบหน้าบุคคลที่ได้รับการยืนยันนั้นเป็นบุคคลที่มีชีวิตจริงหรือเป็นของปลอมกันแน่

กระบวนการยืนยันและพิสูจน์ตัวตนโดยใช้เทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์บนใบหน้าในวันนี้อาศัยการตรวจจับการโจมตีหลอก หรือ Presentation Attack Detection (PAD) เพื่อประเมินการมีชีวิตอยู่จริงของผู้ใช้ “มาตรฐานและกระบวนการทดสอบในปัจจุบันเพื่อกำหนดและประเมินกลไกของการตรวจจับการโจมตีหลอกนั้นไม่ครอบคลุมการโจมตีผ่านดิจิทัลหรือ Digital Injection Attacks ที่มาจาก Deepfakes ที่สร้างโดย AI ที่สามารถพัฒนาขึ้นได้แล้ววันนี้” มร. ข่าน กล่าวเพิ่มเติม

ผลการวิจัยการ์ทเนอร์ชี้ว่าการโจมตีแบบ Presentation Attack ที่เป็นการปลอมแปลงข้อมูลอัตลักษณ์ทางกายภาพของบุคคลเป็นการโจมตีที่พบบ่อยที่สุด ทว่าการโจมตีแบบ Injection Attack ที่เป็นการแทรกโค้ดลงในโปรแกรมหรือแบบสอบถาม หรือมัลแวร์ในคอมพิวเตอร์เพื่อควบคุมคำสั่งผ่านระยะไกล ในปี 2566 มีอัตราเพิ่มขึ้นถึง 200% ดังนั้นเพื่อป้องกันการโจมตีดังกล่าวองค์กรจะต้องใช้การตรวจจับการโจมตีแบบ Injection Attack Detection (IAD) และการตรวจสอบภาพ หรือ Image Inspection ร่วมด้วย

ใช้การตรวจจับแบบ IAD และเครื่องมือตรวจสอบรูปภาพร่วมกันเพื่อลดภัยคุกคามจาก Deepfake

เพื่อช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถปกป้องตนเองจากภัยคุกคาม Deepfakes ที่พัฒนาขึ้นโดย AI และมีความสามารถเหนือกว่าเทคโนโลยีที่ใช้ในการระบุตัวตนบนใบหน้า ผู้บริหาร CISO และผู้นำจัดการความเสี่ยงต้องเลือกผู้ขายที่สามารถแสดงให้เห็นได้ว่าพวกเขามีความสามารถ มีแผนการจัดการที่เหนือกว่าคุณภาพมาตรฐาน รวมถึงมีระบบมอนิเตอร์ จัดหมวด และกำหนดปริมาณของภัยคุกคามเกิดใหม่นี้

องค์กรควรเริ่มกำหนดบรรทัดฐานการควบคุมขั้นต่ำด้วยการทำงานร่วมกับผู้ขายที่มีการลงทุนโดยเฉพาะในด้านการลดผลกระทบจากภัยคุกคาม Deepfake ล่าสุด โดยใช้การตรวจจับการโจมตีแบบ Injection Attack Detection (IAD) ควบคู่ไปกับระบบการตรวจสอบภาพ Image Inspection” มร. ข่าน กล่าวเพิ่มเติม 

เมื่อกำหนดกลยุทธ์และบรรทัดฐานการควบคุมพื้นฐานแล้ว ผู้บริหาร CISO และผู้นำทีมการจัดการความเสี่ยงจะต้องรวบรวมความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นเพิ่มเติมและตระหนักถึงสัญญาณที่เป็นภัย อาทิ การระบุการใช้งานอุปกรณ์และการวิเคราะห์พฤติกรรม เพื่อเพิ่มโอกาสการตรวจจับการโจมตีในกระบวนการยืนยันตัวตน

นอกจากนี้ ผู้นำด้านความปลอดภัยและการบริหารความเสี่ยงยังมีบทบาทรับผิดชอบในด้านข้อมูลส่วนบุคคลและการจัดการการเข้าถึงควรมีขั้นตอนดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงการโจมตีแบบ Deepfake ที่ขับเคลื่อนจาก AI โดยเลือกเทคโนโลยีที่สามารถพิสูจน์ความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงได้หรือนำมาตรการเพิ่มเติมมาใช้เพื่อป้องกันการเข้ายึดบัญชีใช้งาน 


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เอเซอร์เปิดตัว Acer Swift Go series ใหม่ล่าสุด เปิดประสบการณ์ Unlock AI on The Go

กรุงเทพฯ, 7 กุมภาพันธ์ 2567 – บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด ตอบโจทย์ยุค AI PC ยกระดับประสบการณ์ให้ทุกการใช้งาน เปิดตัวโน้ตบุ๊ก Acer Swift Series รุ่นล่าสุด Acer Swift Go 14 และ Acer Swift Go 16 นำเสนอคุณสมบัติของ AI ที่ล้ำสมัย ขับเคลื่อนด้วยโปรเซสเซอร์ Intel® Core™ Ultra ที่มี Intel® AI Boost (NPU) หน่วยประมวลผล AI และกราฟิก Intel® Arc™ ในตัว ปลดล็อกศักยภาพ AI ที่เหนือชั้นด้วย AcerSenseTM, Acer PurifiedViewTM, Acer PurifiedVoiceTM และ Acer LiveArt ฟีเจอร์ AI จากเอเซอร์ช่วยยกระดับประสบการณ์การใช้งานที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในปัจจุบัน

คุณกชกร เทพเฉลิม ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์คอมซูมเมอร์โน้ตบุ๊ก บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวว่า “ความก้าวหน้าของ AI มีส่วนช่วยผลักดันให้ธุรกิจและอุตสาหกรรมเกิดการเปลี่ยนแปลงและยังเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการทำงานและไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวันของผู้คนในปัจจุบัน ทำให้ผู้ใช้งานมองหาอุปกรณ์ที่สามารถตอบโจทย์ตรงนี้ได้ ซึ่งเอเซอร์ พร้อม คิดค้น พัฒนา และผสมผสานนวัตกรรมเทคโนโลยีจากทาง Intel และ Microsoft ไว้ใน Acer Swift Go 14 อย่างลงตัว.

Acer Swift Go ผสานประสิทธิภาพที่ทรงพลังจากโปรเซสเซอร์ Intel® Core™ Ultra ที่มีกราฟิก Intel® Arc™ ในตัวมอบประสิทธิภาพด้านกราฟิก การทำงานแบบมัลติทาสก์ งานที่ต้องใช้การประมวลผลสูง รวมถึงประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานที่ดีขึ้น, และ NPU ที่มี Intel® AI Boost (NPU) ช่วยจัดการเวิร์คโหลด AI และใช้พลังงานต่ำเพื่อให้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น Acer Swift Go ยังมี Acer AI Zone ที่รวบรวมความสามารถของ AI ไว้ในฟีเจอร์ AI ที่เอเซอร์ได้พัฒนาขึ้น เช่น

–   AcerSenseTM : ช่วยควบคุมและรักษาระบบของโน้ตบุ๊ก เช่น เปลี่ยนโหมดการใช้งาน ตรวจสอบประสิทธิภาพและสถานะแบตเตอรี่, ตรวจสอบสถานะปัจจุบันของระบบ, ปรับปรุงการใช้งานแบตเตอรี่และพื้นที่หน่วยความจำ 

–   Acer PurifiedVoice™ 2.0 : เทคโนโลยี beamforming และ AI noise reduction ช่วยตัดเสียงรบกวนรอบข้างทั้งของผู้ใช้และคู่สนทนาเพื่อการสนทนาที่ชัดเจน

–   Acer PurifiedView™ : Intel® AI Boost ช่วยจัดการแอปพลิเคชั่นด้วย AI ช่วยปรับการใช้พลังงานโดยไม่ลดประสิทธิภาพ เพิ่มประสิทธิและจัดการภาพวิดีโอทั้งพื้นหลังกันเบลอ การจัดเฟรมอัตโนมัติ สำหรับการประชุมออนไลน์ สตรีมสด

–   Acer LiveArt : ช่วยลบพื้นหลังของภาพ สามารถแก้ไขและวางไว้ได้ทุกที่ โดยเมื่อถ่ายภาพด้วย Windows Photo Viewer หน้าต่างป๊อปอัพของ Acer LiveArt จะแสดงบนหน้าจอโดยอัตโนมัติ

นอกจากนี้ยังมีปุ่ม Copilot ใหม่บนคีย์บอร์ดช่วยเรียกใช้งาน AI เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสร้างสรรค์บน Windows ได้สะดวกยิ่งขึ้น และด้วย Intel Unison พีซี Windows 11 ยังสามารถจับคู่กับอุปกรณ์ Android หรือ iOS เพื่อประสบการณ์การเชื่อมต่อที่ราบรื่น ด้วยการจัดการอุปกรณ์บนหน้าจอเดียว​

Acer Swift Go 14  โน๊ตบุ๊กหน้าจอสัมผัสขนาด 14” บอดี้อลูมิเนียมช่วยให้พกพาสะดวกด้วยน้ำหนักเพียง 1.3 กก. จอกางได้ถึง 180° จอแสดงผลที่สามารถเลือกใช้ได้ทั้ง IPS 2.2K รีเฟรชเรท 60Hz [ในรุ่น Acer Swift Go 14 (SFG14-72)] และ OLED 2.8K ให้สัดส่วนการแสดงผล 16:10 รีเฟรชเรท 90Hz มาตรฐานช่วงสีระดับ 100% DCI-P3 ความสว่างสูงสุด 500 nits ได้รับการรับรอง VESA DisplayHDR™ True Black 500 และ TÜV Rheinland Eyesafe®, รองรับหน่วยความจำ LPDDR5X สูงสุด 16 GB และ SSD PCIe Gen 4 สูงสุด 1TB รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7 ให้ทุกการเชื่อมต่อและการถ่ายโอนไฟล์ที่เร็วยิ่งขึ้น ทัชแพด Corning Gorilla® GlassTM Multi-Control ขนาดใหญ่ขึ้น 44% รองรับการใช้งานแบบไฮบริดที่สามารถใช้งาน multi-control เป็นตัวควบคุมปรับระดังเสียง คลิ๊กย่อ-ขยายหน้าจอ   ถอยหลัง, เดินหน้า เล่นหรือหยุดวิดีโอหรือเพลง พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C 2, Thunderbolt™ 4, USB Type-A, HDMI 2.1 และ ช่องอ่าน microSD กล้องเว็บแคม 1440P QHD ความละเอียดสูงให้ภาพคมชัด แบตเตอรี่ใช้งานยาวนานถึง 12.30 ชม. พร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 11 Home 64-bit และ Microsoft Office Home & Student  

–   Acer Swift Go 14 (SFG14-72) จอ IPS 2.2K 14” โปรเซสเซอร์ Intel® Core™ Ultra 5-125H, SSD PCIe Gen4 1TB จำหน่ายในราคา 29,990 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) รับประกัน 2 ปี (ฟรีค่าแรงและอะไหล่)

–   Acer Swift Go 14 (SFG14-73) จอ OLED 2.8K 14”,

  • โปรเซสเซอร์ Intel® Core™ Ultra 5-125H, SSD PCIe Gen4 512 GB พร้อมจำหน่ายในราคา 31,990 บาท พร้อมรับประกัน 2 ปี (ฟรีค่าแรงและอะไหล่)
  • โปรเซสเซอร์ Intel® Core™ Ultra 7-155H, SSD PCIe Gen4 512 GB วางจำหน่ายในปลายเดือนกุมภาพันธ์ในราคา 35,990 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) รับประกัน 3 ปี (ฟรีค่าแรงและอะไหล่ พร้อมบริการรับเครื่องซ่อมถึงที่ฟรี 1 ปี)

Acer Swift Go 16 โน๊ตบุ๊กหน้าจอสัมผัสขนาด 16” ดีไซน์สะดุดตาด้วยบอดี้อลูมิเนียมที่บางเบามีน้ำหนักเพียง 1.6 กก. เปิดใช้งานเครื่องได้ด้วยมือเดียวอย่างง่ายดาย ให้มุมมองการทำงานที่กว้างขึ้นด้วยหน้าจอสัมผัสขนาด 16” OLED 3.2K (3200×2000) ให้สีสันสดใสสมจริง สัดส่วนการแสดงภาพ 16:10 ค่าความคมชัด 1,000,000:1 อัตรารีเฟรชที่ 120 Hz. เวลาตอบสนองน้อยกว่า 0.2ms รองรับขอบเขตสี DCI-P3 100% ความสว่างสูงสุด 500 nits ได้รับมาตรฐานด้านการแสดงผลและปลอดภัยต่อด้วยสายตาด้วย VESA DisplayHDR™ True Black 500 และ TÜV Rheinland Eyesafe®, หน่วยความจำ LPDDR5X 32 GB และ SSD PCIe Gen 4 1TB ทัชแพด Corning Gorilla® GlassTM Multi-Control ช่วยควบคุมการปรับระดังเสียง คลิ๊กย่อ-ขยายหน้าจอ ถอยหลัง, เดินหน้า หรือหยุดวิดีโอหรือเพลงที่กำลังเล่นหรือเปิดใช้งาน กล้องเว็บแคมความละเอียดสูง 1440P QHD คุณภาพเสียงไร้สายคมชัดด้วย Bluetooth LE Audio พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C 2, Thunderbolt™ 4, USB Type-A HDMI 2.1, ช่องอ่าน microSD และเชื่อมต่อระหว่างโน้ตบุ๊กกับอุปกรณ์ Android หรือ iOS รวดเร็วและง่ายดายด้วย ด้วยโซลูชัน Intel® Unison™ แบตเตอรี่ใช้งานยาวนานถึง 10.30 ชม. รองรับการเชื่อมต่อ KillerTM Wi-Fi 7 ที่รวดเร็วและเสถียร พร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 11 Home 64-bit และ Microsoft Office Home & Student 

Acer Swift Go 16 (SFG16-72) จอแสดงผล 16” OLED 3.2 K 120Hz มีโปรเซสเซอร์ Intel® Core™ Ultra 5-125H และ Intel® Core™ Ultra 7-155H ให้เลือกใช้งาน พร้อมวางจำหน่ายปลายเดือนมีนาคม 

สนใจผลิตภัณฑ์สอบถามได้ที่ตัวแทนจำหน่ายเอเซอร์ทั่วประเทศ และช่องทางออนไลน์ที่ Acer Online Store : https://acer.link/3vSP5AK

ติดตามรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมผลิตภัณฑ์ได้เว็บไซต์ Acer และช่องทางโซเชียล Facebook: Acer Thailand Facebook, Instagram: AcerThailand,


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. จัดงานวันรวมน้ำใจชาว มจพ. “65 ปี มจพ. พลิกโฉม พลิกความคิด สู่ความยั่งยืน”

เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือครบ 65 ปี (วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.. 2567)  เพื่อเป็นการรำลึกถึงการก่อตั้งมหาวิทยาลัย ส่งเสริมความสามัคคีระหว่างคณาจารย์ ศิษย์เก่า และบุคลากร  ตลอดจนเผยแพร่ชื่อเสียง และเกียรติภูมิของมหาวิทยาลัย  พร้อมกับประกาศเกียรติคุณศิษย์เก่า ดีเด่น และผู้ปฏิบัติงานดีเด่นของมหาวิทยาลัย รวมทั้งผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่มหาวิทยาลัยด้านต่าง ๆ 

มหาวิทยาลัยร่วมกับสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ในพระบรมราชูปถัมภ์ 

จัดงานวันรวมน้ำใจชาว มจพ. “65 ปี มจพ. พลิกโฉม  พลิกความคิด สู่ความยั่งยืน  ในวันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567  เวลา 07.15-21.30 . ณ มจพ.

กิจกรรมมีทั้ง ภาคเช้าบ่ายค่ำ

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ขอเชิญนักธุรกิจอุตสาหกรรม ช่างอุตสาหกรรม นักเรียน นักศึกษา ศิษย์เก่า และประชาชนทั่วไป ชมนิทรรศการ 65 ปี มจพ. พลิกโฉม พลิกความคิด สู่ความยั่งยืน (Reinventing Reinventhink Towards Sustainability) ได้แก่

1.เทคโนโลยีดาวเทียม (Satellite Technology)

2.หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Robotic & Automation)

3.ยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Electric Vehicle)

4.พลังงานเพื่อความยั่งยืน (Energy for Sustainability)

5.เทคโนโลยีอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร (Agricultural and Food Industry Technology)

6.ผลงานระดับนานาชาติ (International Awards and Honors)

จัดขึ้นวันที่ 19-21 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 9.00-16.00 .  ณ ลานอเนกประสงค์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

ในโอกาสนี้ได้รับเกียรติพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี ประธานในพิธี มอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่ศิษย์เก่าดีเด่น ผู้ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพและสร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัย  พร้อมด้วย ดร. แอ็นสท์ ว็อล์ฟกัง ไรเชิล (Dr. Ernst Reichel) เอกอัครราชทูตเยอรมันประจำประเทศไทย ประธานในพิธีกล่าวเปิดงาน “65 ปี มจพ. พลิกโฉม  พลิกความคิด สู่ความยั่งยืนและมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ ให้แก่ บุคคลเกียรติยศ มจพ. ประจำปี 2567

รายละเอียดกิจกรรมภายในวันงานสามารถชมผ่าน ONLINE ได้ที่ https://together.kmutnb.ac.th/

หรือสอบถามได้ที่  โทร.0-2555-2000 ต่อ 1121,1166,1175, 2091 หรือที่เว็บไซต์มหาวิทยาลัย www.kmutnb.ac.th

หรือสอบถามรายละเอียดการจองโต๊ะจีน สามารถติดต่อได้ที่ สมาคมศิษย์เก่า มจพ. โทร. 092-956-3672, 0-2587-7412 โทรสาร 0-2587-8187

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เตรียมความพร้อมองค์กรเข้าสู่ยุค AI Transformation TMA ร่วมกับ depa (ดีป้า) จัดงาน Digital Dialogue 2024

กรุงเทพฯ/ 6 กุมภาพันธ์ 2567 – ถ้าปีที่ผ่านมาคือปีที่องค์กรต่าง ๆ เข้าสู่การเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล  ปีนี้คือช่วงเวลาเตรียมความพร้อมการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค AI   เพื่อตอบโจทย์ที่สำคัญยิ่งนี้ สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) โดยกลุ่ม Digital Technology Management Group ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ได้จัดงาน Digital Dialogue 2024 – AI Mastery, The Implementation for Business and Smart City นำเสนอดิจิทัลเทคโนโลยี และ AI ในเชิงกว้างและลึกในเรื่องสำคัญ ๆ ที่ผู้บริหารต้องรู้ โดยโฟกัสที่เทคโนโลยี AI ที่กำลังมีบทบาทสำคัญในหลากหลายธุรกิจ พร้อมกระตุ้นให้องค์กรทั้งภาคเอกชนและภาครัฐเริ่มก้าวแรก ในการนำ AI ไปร่วมกระบวนการทำงาน ให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งใช้สร้างสรรค์สินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการของตลาด และเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตผู้คนให้ดีขึ้น

AI Frontier: ขอบเขต AI กับการใช้งานหลากหลายมิติ

ปัจจุบัน เทคโนโลยี AI มีการนำไปประยุกต์ใช้งานกันอย่างแพร่หลายและพัฒนาเติบโตอย่างรวดเร็ว อย่าง Chat GPT ที่เป็น Gen AI ที่ถือว่ามีการเติบโตเร็วที่สุด และกลายมาเป็น Game Changer ที่สร้างประโยชน์ในเชิงธุรกิจมากมาย ในด้านการตลาด AirBNB ใช้ Gen AI ทำ Hyper-personalized campaigns เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละรายได้เร็วขึ้น 5-10 เท่า ด้านโลจิสติกส์และขนส่ง ช่วยประสานงานการสื่อสาร คาดการณ์ความต้องการของซัพพลายเชน วางแผนเส้นทางการเดินให้หุ่นยนต์ในคลังสินค้า ด้านทรัพยากรบุคคล เป็น virtual recruiter ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ SIEMENS ใช้เครื่องมือ Gen AI ช่วยมอนิเตอร์ปัญหาและซ่อมบำรุงอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ ทั่วโลก AI Therapeutics ใช้ Gen AI ปฏิรูปการค้นคว้าหรือพัฒนายา หรือ P&G นำมาช่วยเร่งกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นต้น

มร. ฮานโน สเตกมานน์ (Mr. Hanno Stegmann) กรรมการผู้จัดการและพันธมิตร BCG X. Venture เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่าเทคโนโลยี AI ไม่ได้มาแทนที่ความอัจฉริยะของมนุษย์ แต่เป็นเครื่องมือที่จะช่วยเพิ่มความสร้างสรรค์และความฉลาดของมนุษย์ องค์กรควรให้ความสำคัญกับการนำ AI มาใช้ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาด โดยไม่ถูกดิสรัป ซึ่งบริษัทที่มีการนำ AI มาใช้ จะสามารถสร้างธุรกิจใหม่ๆ และเติบโตได้ดีกว่า และพนักงานสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ดี AI ก็มาพร้อมกับโอกาสและความเสี่ยง ดังนั้นองค์กรจึงต้องเรียนรู้ และใช้ AI อย่างระมัดระวัง

ดังนั้น ผู้นำองค์กรจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของ AI โดย 1. หาความรู้ในการนำ Gen AI มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างถูกต้อง 2. “ผสาน AI เข้ากับกลยุทธ์ขององค์กร 3. “ประเมินความพร้อมและปลดล็อกอุปสรรคต่างๆในการนำเทคโนโลยีมาใช้ 4. มองหาการใช้งานที่มีคุณค่าสูงสุดสำหรับธุรกิจ และความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น พร้อมเตรียมแผนรองรับ  5. กำหนดจริยธรรมและแนวทางการใช้งาน AI ที่มีความชัดเจนและมีความรับผิดชอบ 6. “เตรียมองค์กรและบุคลากรสำหรับนำ Gen AI มาใช้ และเสริมทักษะด้าน AI ให้แก่พนักงาน และ 7. วางแผนการออกแบบขั้นตอนการทำงาน จนถึงการนำ Gen AI ไปใช้งานให้ประสบผลสำเร็จ

AI Governance: ศักยภาพมหาศาลมี กรอบการควบคุมต้องมา

เหรียญมีสองด้านเสมอ ด้านคุณประโยชน์มีมากมาย แต่ AI ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงหลายประการ หนึ่งในประเด็นที่พูดถึงทั่วโลกอย่างกว้างขวางในขณะนี้จึงเป็นเรื่อง AI Governance หรือการควบคุมผลกระทบจากการใช้ และการสร้างธรรมาภิบาลในการใช้ AI

ความเสี่ยงหลัก ๆ 4 ประการในการใช้งาน AI  คือ 1. อาจนำไปสู่การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและลิขสิทธิ์ต่าง ๆ (Intellectual property and copyright infringement) 2. ผลการประมวลข้อมูลมีอคติ (Biased outputs) 3. ความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Cybersecurity and data privacy) และ 4. การประมวลคำตอบที่ออกมาไม่ถูกต้อง (Hallucination/ Confidently wrong answers)

ดร. ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาอาวุโส สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ได้ให้ภาพรวมของการใช้ AI อย่างมีธรรมาภิบาล (AI Governance) นั้น มีการกำกับด้วยนโยบาย ขั้นตอนการปฏิบัติการ และเครื่องมือ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า มีการนำ AI มาใช้อย่างถูกต้องและมีความรับผิดชอบ ซึ่งองค์ประกอบสำคัญของการประยุกต์ใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible AI) 4 ประการ คือ 1. บรรลุจุดประสงค์ทางธุรกิจ 2. ปฏิบัติตามหลักจริยธรรมด้าน AI 3. ปฏิบัติตามข้อกฎหมายและข้อกำกับที่เกี่ยวข้อง และ 4. บริหารความเสี่ยงภายในขอบเขตที่ยอมรับได้

ในส่วนขององค์กร กรอบการทำงานเพื่อสนับสนุนให้เกิดธรรมาภิบาลในการประยุกต์ใช้ AI (AI Governance Guideline) ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1. กำหนดโครงสร้างการกำกับดูแล (AI Governance Structure) เพื่อเตรียมองค์กรให้พร้อม 2. วางกลยุทธ์การใช้งาน AI อย่างมีธรรมาภิบาล (AI Strategy) รวมถึงการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และ 3. การดำเนินงานด้าน AI (AI Operation) เพื่อกำกับการปฏิบัติงานและการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับ AI

The Humanoid Workforce: แรงงานสมองกล

การเสวนาเรื่อง “The Humanoid Workforce: Competency & Collaboration” คุณเชาวลิต รัตนกรไกรศรี Chief Technology Officer บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “AI เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เพราะวันนี้ทุกองค์กรพยายามสรรค์สร้างนวัตกรรม ทำน้อยแต่ได้มาก หรือ Do more with less ซึ่งวันนี้ AI โดยเฉพาะ Generative AI จะเข้ามามีบทบาทอย่างมากภายในองค์กร ทำให้พนักงานสามารถเอาเวลาไปสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เป็น value added ให้กับองค์กร หรือให้บริการแก่ลูกค้าขององค์กรได้ดีขึ้น ยุค Generative AI เป็นเหมือนกับจุดเปลี่ยนเหมือนในอดีตที่เรามีอินเทอร์เน็ต, Mobile หรือ smartphone เป็นครั้งแรก  Generative AI ที่เกิดขึ้นมาก็จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญเช่นกัน  วันนี้ เราอาจกำลังก้าวจากการทำ Digital Transformation ไปสู่การทำ AI Transformation สิ่งที่สำคัญที่อยากฝากให้ทุกองค์กรได้มอง คือ เรื่องของ AI Transformation หรือ AI-First company มันไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของคน เรื่องของ Process และเรื่องของเทคโนโลยี ที่ต้องมองไปพร้อม ๆ กัน  เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว แต่สิ่งที่เราต้องไม่ลืมในฐานะผู้นำองค์กรคือ เราจะทำอย่างไรที่จะสรรค์สร้างวัฒนธรรมองค์กรให้พนักงานของเรามี growth mindset สามารถปรับตัว เรียนรู้ กับเทคโนโลยี แล้วนำความรู้เหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ในงานของตัวเอง ในองค์กร เพื่อให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลดีขึ้น สิ่งที่สำคัญคือ เทคโนโลยีต้องมาพร้อมกับ People และวัฒนธรรมองค์กร ที่ก้าวอย่างต่อเนื่องไปพร้อม ๆ กัน

นอกจากนี้ ในงาน Digital Dialogue 2024 วันแรก ยังมีการแบ่งปันแนวคิดและการใช้งาน AI ในด้านต่าง ๆ อาทิ AI-Driven Innovation for Longevity นวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อชีวิตที่ยืนยาว, AI-Powered Marketing: Flipping the World การใช้ AI พลิกโฉมการตลาด และตัวอย่างการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จจากองค์กรชั้นนำต่าง ๆ ที่เพิ่งได้รับรางวัล Digital Transformation Excellence Awards เมื่อปลายปีที่ผ่านมา อย่าง บริษัท ยูนิลิเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน

AI for Smart City, Smart Living AI กับการยกระดับเมือง และคุณภาพชีวิต

ในส่วนของวันที่สอง ที่จัดขึ้นภายใต้ธีม AI Mastery: Harnessing Digital Technology for Smart City Development” โดยเน้นในเรื่องการนำเทคโนโลยี AI ไปใช้ในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนที่อาศัยในเมืองใหญ่ โดยในวันนี้มีผู้บริหารจากองค์กรธุรกิจชั้นนำอย่าง หัวเว่ย บีเอ็มดับเบิ้ลยู และกูเกิ้ล คลาวด์ มาร่วมแบ่งปันข้อมูล

ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ กลุ่มงานส่งเสริมระบบนิเวศเศรษฐกิจดิจิทัล สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) กล่าวว่าดีป้า มีบทบาทหลักในด้านการส่งเสริมเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ปัจจุบันมีเมืองที่ได้รับการประกาศเป็นเมืองอัจฉริยะจำนวน 36 เมือง และเมืองที่เป็นเขตส่งเสริมจำนวน 117 เมือง นอกจากนี้ depa ยังพยายามผลักดันเรื่อง City Data Platform หรือฐานข้อมูลเมือง เพื่อให้ทุกเมืองมีข้อมูลบริหารจัดการเมืองในมิติที่ตัวเองต้องการ และสามารถสร้างโซลูชั่นใหม่สำหรับตอบโจทย์ความต้องการจริง ๆ ของผู้อาศัยอยู่ในเมือง รวมถึงส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยง ระหว่างผู้ประกอบการ ภาครัฐและภาคเอกชน และการทำงานร่วมกันผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น บัญชีบริการดิจิทัล ที่รวบรวม Digital Solution เพื่อให้ภาคส่วนต่าง ๆ สามารถเลือกใช้สินค้าและบริการด้านดิจิทัล ที่ทาง depa ให้การรับรองไว้ด้วยกัน

สำหรับงาน Digital Dialogue ในวันนี้ ก็มี Startup ที่ให้บริการด้านเทคโนโลยีมา Pitching นำเสนอโซลูชั่นที่จะสามารถช่วยให้เมืองสมาร์ทมากขึ้น ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของการสร้าง Ecosystem ให้เมืองอัจฉริยะมีทั้งผู้ให้บริการ ผู้รับบริการ แล้วก็เจ้าของเมืองที่จะใช้ข้อมูลในการตัดสินใจและพัฒนาให้เป็นเมืองอัจฉริยะจริง ๆ ตามจุดประสงค์ที่เราต้องการขับเคลื่อนให้กลายเป็นเมืองที่สามารถเอาเทคโนโลยีมาใช้ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นดร.ชินาวุธ กล่าวเสริม

คุณสุรศักดิ์ วนิชเวทย์พิบูล หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี แผนกธุรกิจคลาวด์ ประเทศไทย บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวถึงบทบาทของ AI ที่มีต่อการพัฒนาเมืองอัจฉริยะว่าในปัจจุบัน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI เพื่อต่อยอดให้เกิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ถือว่ามีส่วนสำคัญมากต่อการช่วยยกระดับความสะดวกสบายและมาตรฐาน

คุณภาพชีวิตให้คนไทย ทั้งนี้ องค์ประกอบหลักที่จะทำให้เกิดเมืองอัจฉริยะขึ้นได้นั้น ขึ้นอยู่กับการให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยีที่มีความเชื่อมโยงถึงกัน โดยการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจะช่วยทำให้เกิดประโยชน์ที่แท้จริงแก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองได้

เขายังกล่าวเสริมว่าการพัฒนาเทคโนโลยีคลาวด์ของเมืองให้รวมศูนย์เป็นหนึ่งเดียว ยกระดับการบริหารจัดการข้อมูลให้มีความต่อเนื่อง เหมาะสมกับสถานการณ์ตรงหน้า รวมทั้งมีการส่งต่อข้อมูลเพื่อใช้วิเคราะห์และปรับปรุงการให้บริการสาธารณะต่างๆ จากระบบเซ็นเซอร์อัจฉริยะ, การเชื่อมต่ออัจฉริยะ, ระบบโครงสร้างพื้นฐานและแพลตฟอร์มอัจฉริยะ, ระบบวิเคราะห์ข้อมูล AI, แอปพลิเคชันอัจฉริยะ รวมไปถึงระบบ IoT แบบครบวงจร ซึ่งเป็นดั่งสมองและกระดูกสันหลังของเมือง จะช่วยให้เราสามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองได้อย่างครอบคลุมและเรียลไทม์ นอกจากนี้ การเพิ่มขีดความสามารถในการประมวลผลข้อมูล ก็จะช่วยให้เราสามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองคือการขับเคลื่อนไปสู่การสร้างเมืองอัจฉริยะได้อย่างแท้จริง

ในงานยังได้มีการจัดแสดงและนำเสนอผลงานของผู้ประกอบการธุรกิจ Startups ที่นำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในด้านต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเมืองอัจฉริยะจำนวน 14 ราย ที่ได้ร่วม Pitching ภายในงาน อาทิ  IQuan, Wake Up Waste, Innolab, iCreative Systems, Unizorn, Go Mamma, Recycle Day, Graffity, Planet C, Nova โดยผู้คว้ารางวัลชนะเลิศ คือ Etran สตาร์ทอัพผู้พัฒนามอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าและผู้ให้บริการด้านการขนส่ง (Fleet-as-a-Service)

งาน Digital Dialogue 2024 – AI Mastery, The Implementation for Business and Smart City ได้รับการสนับสนุนการจัดงานจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) – กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี  บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาขน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)  ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)  บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน)  บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และเอสซีจี


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จับมือ วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) รุกตลาดไทย ขยายโอกาสทางดิจิทัลให้ครอบคลุมทั่วประเทศ

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จับมือ วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จัดทัพโซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีแบบพร้อมใช้ ชูโซลูชั่นไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ พร้อมเทคโนโลยี UPS แบบแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (Lithium-ion) และซอฟต์แวร์อัจฉริยะ เพื่อเสริมแกร่งด้านโครงสร้างพื้นฐานไอทีให้กับภาคธุรกิจเป้าหมาย โดยความร่วมมือนี้ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของทั้งสองบริษัท ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านโครงสร้างพื้นฐานอินฟราสตรัคเจอร์ที่ครบวงจร และนวัตกรรมใหม่จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค ให้ผสานกับผลิตภัณฑ์ในพอร์ตโฟลิโอของ วีเอสที อีซีเอส ตั้งแต่อุปกรณ์ UPS สำหรับธุรกิจตั้งแต่ เฟส ไปจนถึง 3 เฟส โดยโฟกัสรุ่นที่ใช้นวัตกรรมลิเธียมไอออน ครอบคลุมถึงโซลูชั่นไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ พร้อมกับโซลูชั่นซอฟต์แวร์อัจฉริยะจากชไนเดอร์ อิเล็คทริค เพื่อให้เป็น End to End โซลูชั่นด้านไอที ที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการในแต่ละอุตสาหกรรม

นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลประเทศไทย ลาวและเมียนมา เผยว่า “ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เราเป็นผู้นำระดับโลกด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการบริหารจัดการพลังงาน และระบบออโตเมชั่น เพื่อความยั่งยืน โดยมีความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ ที่อยู่อาศัย อาคาร ไอที โรงงานอุตสาหกรรม โครงข่ายไฟฟ้า ซึ่งความร่วมมือกับทาง วีเอสที อีซีเอส เรามุ่งเน้นไปที่การเพิ่มช่องทางขยายผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นในกลุ่มธุรกิจไอทีและดิจิทัล และขยายให้ครอบคลุมทุกหัวเมืองหลักในประเทศไทย เพื่อเป็นการช่วยต่อยอดเพื่อให้ภาคธุรกิจเข้าถึงโซลูชั่นด้านโครงสร้างพื้นฐานไอทีได้ง่ายขึ้น ทั้งในส่วนของตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ โคโลเคชั่น (Colocation) และตลาดในภาคอุตสาหกรรม 4.0  ที่ต้องใช้การประมวลผลด้านไอทีและการสำรองไฟเข้ามาเกี่ยวข้อง พวกเราจะทำงานร่วมกันในการนำเสนอโซลูชั่นและบริการด้านไอทีแบบครบวงจรให้กับลูกค้าในภาคธุรกิจทั่วประเทศ”

คุณสมศักดิ์ เพ็ชรทวีพรเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า “วีเอสที อีซีเอส เป็นผู้แทนการจัดจำหน่ายสินค้าและโซลูชั่นไอทีของไทยมานานกว่า 35 ปี ปัจจุบันเราเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ชั้นนำระดับโลกกว่า 70 แบรนด์ การร่วมมือกับทางชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในครั้งนี้ วีเอสที อีซีเอส ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ APC อย่างเป็นทางการ โดยถือสินค้าทุกหมวดหมู่และยังมุ่งเน้นที่เทคโนโลยีล่าสุดอย่าง APC Smart-UPS Lithium-ion และโซลูชั่นซอฟต์แวร์อัจฉริยะ ซึ่งทางวีเอสทีได้มีโอกาสได้ใช้สินค้าเหล่านี้จริงในสาขาทั่วประเทศและจะสามารถเข้ามาช่วยเติมเต็มความต้องการของลูกค้าให้สามารถทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์มได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น บริษัทมีความพร้อมด้านบุคลากรการตลาด การขายเอ็นจิเนียร์ รวมถึงระบบการทำงานภายในที่มีประสิทธิภาพ และมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 6,000 ราย ที่สำคัญคือ เรามีสำนักงานสาขา ซึ่งเป็น Sales Office กระจายอยู่ใน 11 จังหวัดทั่วไทย ที่มีสินค้ารุ่น Exclusive พร้อมอำนวยความสะดวกให้ตัวแทนจำหน่ายได้สัมผัสสินค้าจริงทั้งในเมืองหลักและเมืองรองและยังสามารถติดต่อประสานงานกับทีมขายและ Engineer Team ได้อย่างใกล้ชิดเต็มที่ ผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศเชื่อมั่นได้เลยว่าด้วยศักยภาพทั้งหมดของเราจะช่วยต่อยอดขายผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยให้ยอดขายลูกค้าในภาคธุรกิจทั่วประเทศให้เติบโตได้อย่างแน่นอน”

คุณอาทิตยา สูรพันธุ์ รองประธานกลุ่มธุรกิจ Secure Power ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา ระบุว่า ”โดยความร่วมมือในครั้งนี้ ทาง VST ECS จะมุ่งเน้นทำการตลาดสำหรับกลุ่มโซลูชั่นด้านไอที ครอบคลุม ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม UPS แบบแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ รวมไปถึง ซอฟต์แวร์ EcoStruxure IT ซึ่งโซลูชั่นเหล่านี้จะช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถลดค่าใช้จ่ายในการลงทุน (CAPEX) และ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ในระยะยาวได้ ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพด้านไอที ลดการเกิดดาวน์ไทม์ และการชัตดาวน์ที่ไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า

เทคโนโลยี UPS แบบลิเธียมไอออนครบไลน์ ให้ขนาดที่บางลง อายุการใช้งานนานกว่า 3 เท่า ชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วขึ้น 2 เท่า อายุการใช้งานราว 10 ปี เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีเดิม ช่วยลดต้นทุนตลอดอายุการใช้งาน นอกจากนี้ UPS ยังมาพร้อมระบบอัจฉริยะอาทิ  eConversion เป็นโหมดสำหรับ UPS แบบ 3 เฟส ที่เป็นสิทธิบัตรของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยให้เวลาในการสลับโหมดการทำงานเป็นศูนย์ จึงให้ประสิทธิภาพสูงสุดถึง 99%

โซลูชั่นไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ หรือ MDC (Micro Data Center) มาพร้อมเทคโนโลยีโซลูชั่นที่ครบครัน ในตู้เดียว อาทิ UPS ระบบปรับอากาศ ระบบเซ็นเซอร์ ระบบตรวจจับอุณหภูมิ ความชื้น ระบบ PDU ระบบการมอนิเตอร์ และระบบการทำงานระยะไกล เป็นต้น ซึ่งมีให้เลือกหลายแบบหลายขนาด สำหรับสภาพแวดล้อมด้านไอทีและการใช้งานที่แตกต่างกัน เช่น ในสำนักงาน โรงงานอุตสาหกรรม หรือพื้นที่ไอทีในอาคารทั่วไป

ซอฟต์แวร์อัจฉริยะ เครื่องมือที่ช่วยเปลี่ยนวิถีการทำงานแบบดั้งเดิม ให้ไปสู่ชีวิตการทำงานแบบดิจิทัล และมีความแม่นยำมากขึ้น ช่วยในการควบคุม สั่งงาน มอนิเตอร์ระยะไกล เพื่อการตัดสินใจในกรณีที่คาดไม่ถึง โดยไม่ต้องเข้าไปที่ไซต์งาน อาทิ Network Management Card for Easy UPS, EcoStruxure IT Expert ช่วยให้ง่ายในการแก้ปัญหา และคาดการแนวโน้มการใช้พลังงานได้ ให้ความยืดหยุ่นสำหรับสภาพแวดล้อมไอที และอุตสาหกรรมในยุค 4.0

วีเอสที อีซีเอส และชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีวิสัยทัศน์ร่วมกันและเล็งเห็นถึงหัวใจสำคัญที่องค์กรต่างๆ จะนำพาธุรกิจให้เติบโตได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น นั่นคือการทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัล  ด้วยระบบไอทีที่มีประสิทธิภาพ ใช้งานง่าย และระบบสำรองไฟเชื่อถือได้ และเสริมให้ธุรกิจไปสู่ความเติบโตแบบยั่งยืนในอนาคต ความร่วมมือในครั้งนี้นับว่าเป็นก้าวสำคัญในการขยายตลาด และเพื่อให้องค์กรธุรกิจที่กำลังมองหาระบบโครงสร้างไอทีที่มีประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงาน และมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม


Exit mobile version