Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์ สิ่งประดิษฐ์ในประเทศ

วว. พัฒนา “เครื่องทับกล้วยแผ่นบางสำหรับ SMEs” ช่วยประหยัดพลังงาน เพิ่มอัตราการผลิต

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) โดย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมอาหารสุขภาพ (ศนอ.) ประสบผลสำเร็จในการวิจัยและพัฒนา เครื่องทับกล้วยแผ่นบางสำหรับผู้ประกอบการ SMEs  โดยพัฒนาต่อยอดจากเครื่องทับกล้วยแบบกึ่งอัตโนมัติ รุ่นที่ 1”

หลักการทำงาน  เครื่องทับกล้วยแผ่นบาง เป็นนวัตกรรมที่สามารถทดแทนการใช้แรงงานคนในขั้นตอนการกดทับกล้วย ช่วยลดความเมื่อยล้า ช่วยเพิ่มอัตราการผลิต นอกจากนี้ยังได้ชิ้นกล้วยที่มีขนาดความบางสม่ำเสมอเท่ากันทุกแผ่น และสามารถปรับตั้งความหนาบาง ของชิ้นกล้วยได้บางสุดถึง 1 มิลลิเมตร โดย วว. พัฒนา  เครื่องทับกล้วยแผ่นบางสำหรับให้เลือกใช้งานจำนวน 2 รุ่น ดังนี้

รุ่นเล็กแบบตั้งโต๊ะ

1) สำหรับทับกล้วย ครั้งละ 1-2 แผ่น อัตราการทำงาน 30-50 แผ่น/ชั่วโมง

2) ระบบแผ่นกดทับกล้วย แบบหมุนทับชิ้นงาน ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์แบบแกนชักเดี่ยว

3) ใช้พลังงานไฟฟ้า 50 W 220 V แรงกดสูงสุด 200 กิโลกรัม

4) ติดตั้งระบบ Safety Switch แบบปุ่มกดคู่ ป้องกันมือกดโดยไม่ตั้งใจ

รุ่นกลางแบบมีขาตั้ง

1) สำหรับทับกล้วย ครั้งละ 2-4 แผ่น อัตราการทำงาน 100-200 แผ่น/ชั่วโมง

2) ระบบแผ่นกดทับกล้วย แบบเคลื่อนที่ขึ้นทับชิ้นงาน ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์แบบแกนชักคู่

3) ใช้พลังงานไฟฟ้า 120 W 220 V แรงกดสูงสุด 500 กิโลกรัม

4) ติดตั้งระบบ Safety Switch แบบปุ่มกดคู่ ป้องกันมือกดโดยไม่ตั้งใจ

วว. โดย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมอาหารสุขภาพ มุ่งเน้นวิจัยและพัฒนา บริการ วิเคราะห์ ทดสอบ และให้คำปรึกษาด้านอาหารและเครื่องดื่มฟังก์ชั่น   ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และสารสำคัญจากธรรมชาติในอาหาร โดยมีทีมนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา มีเครือข่ายความร่วมมือจากภายในประเทศและต่างประเทศ มุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลงานด้านผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ  เสริมสร้างให้ผู้ประกอบการไทยนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์และต่อยอดในเชิงพาณิชย์ สามารถแข่งขันได้ทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดโลก

วว. พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเครื่องทับกล้วยแผ่นบางสู่เชิงพาณิชย์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call center  โทร. 0 2577 9000  หรือที่  0 2577 9133  (วีรยุทธ  พรหมจันทร์)


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. เปิดศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการ “TFII-Schneider Electric Center of Excellence” แห่งแรกในประเทศไทย

.ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภามหาวิทยาลัย  .ดร.สุชาติ เซี่ยงฉิน อธิการบดี  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เป็นประธานกล่าวเปิดศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการ“TFII-Schneider Electric Center of Excellence” และได้รับเกียรติ H.E. Ambassador Jean-Claude Poimbœuf เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย พร้อมด้วย ผศ.ดร.พรศักดิ์ ศรีสังสิทธิสันติ ผู้อำนวยการสถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยีไทยฝรั่งเศส  นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธานคลัสเตอร์ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย เมียนมาร์ และลาว ดร.ยศศิริ อาริยะกุล ผู้แทนมูลนิธิชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทยและลาว Mr. Arumugaraj Davitdurai Pandian ผู้อำนวยการ ASSIST ดร.นิรุตต์ บุตรแสนลี ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวแสดงความยินดีถึงความร่วมมือของศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการ ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ชั้น 9  อาคารสำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มจพ.

ภายหลังจากร่วมตัดริบบิ้นเปิดศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการด้านอุตสาหกรรมไฟฟ้า/ อิเล็กทรอนิกส์/  ระบบควบคุมอัตโนมัติและพลังงานทดแทนสมัยใหม่ “TFII-Schneider Electric Center of Excellence” อย่างเป็นทางการ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเดินหน้าสู่ความเป็นเลิศด้านอุตสาหกรรม และเป็นแห่งแรกในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันพัฒนานักศึกษา คณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา สถาบันการอาชีวศึกษา ทั้งของรัฐและเอกชน และบุคลากรในภาคอุตสาหกรรม เพื่อผลิตกำลังคนให้มีความเชี่ยวชาญในระบบ ควบคุมอัตโนมัติในงานอุตสาหกรรม ระบบการควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้า ระบบการจัดการพลังงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ   จากนั้นคณะผู้บริหาร มจพ. ได้นำชมการสาธิต การบรรยาย ถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมหลากหลายสำหรับอุตสาหกรรมในยุคดิจิทัล เช่น  IOT Smart Control  Panel และ COBOT ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ผู้ช่วยในการทำงานที่เปี่ยมประสิทธิภาพ เป็นต้น รวมถึงการดำเนินงานสถาบันนวัตกรรมไทยฝรั่งเศสและสำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการ ด้านอุตสาหกรรมไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์/ระบบควบคุมอัตโนมัติ และพลังงานทดแทนสมัยใหม่” (TFII-Schneider Electric Center of Excellence) เกิดขึ้นด้วยร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และบริษัท ชไนเดอร์ (ไทยแลนด์)  โดยจะเป็นหน่วยงานของสถาบันนวัตกรรมไทยฝรั่งเศส ในระยะแรกของการดำเนินงาน TFII-Schneider Electric Center of Excellence จัดฝึกอบรมให้กับคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และฝึกอบรมหลักสูตรวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ให้กับวิทยาลัยเทคนิค และวิทยาลัยการอาชีพ ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำนวน 13 แห่งทั่วประเทศ

ขวัญฤทัย : ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เดลล์ เทคโนโลยีส์ เปิดประสบการณ์ AI ใหม่ สร้างเวิร์กเพลสสุดทันสมัยเพื่อองค์กรธุรกิจ

เดลล์ เทคโนโลยีส์ เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์คอมเมอร์เชียล AI แล็ปท็อป และโมบาย เวิร์กสเตชัน เพื่อการใช้งานในองค์กรธุรกิจ ได้รับการออกแบบมาเพื่อนำพาทั้งองค์กรและประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานก้าวเข้าสู่ยุค AI

“เน็กซ์เจนพีซีเกิดขึ้นในช่วงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญนี้ ด้วยการปรับปรุงครั้งใหม่และความสามารถใหม่ของพีซีที่จะสร้างแรงกระเพื่อมที่กำลังจะมาถึง” แพทริค มัวร์เฮด ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Moor Insights & Strategy กล่าว “คอมเมอร์เชียล AI พีซีและเวิร์กสเตชันของเดลล์ มาพร้อมกับระบบนิเวศของทั้งอุปกรณ์เสริม ซอฟต์แวร์ และบริการของตัวเอง เพื่อให้การใช้งาน AI ที่ต่อเนื่องที่ได้รับออกแบบมาเพื่อเสริมประสิทธิภาพสูงสุดให้กับประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ และสร้างรากฐานการนำองค์กรธุรกิจไปสู่ความสําเร็จในอนาคต”

“ทุกบริษัทที่ต้องการคงไว้ซึ่งความสามารถในการแข่งขัน ต่างพิจารณาที่จะนำ AI มาใช้งาน และ AI พีซี จะกลายเป็นศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวนี้” แซม เบิร์ด ประธานกลุ่ม Client Solutions Group เดลล์ เทคโนโลยีส์ กล่าว “เริ่มตั้งแต่เวิร์กโหลด AI ที่ซับซ้อนบนเวิร์กสเตชัน ไปจนถึงการใช้แอปพลิเคชันที่ขับเคลื่อนด้วยพลัง AI ที่ใช้เป็นประจำบนแล็ปท็อป AI PC จึงถือเป็นการลงทุนที่สําคัญที่ให้ผลตอบแทนทั้งในด้านประสิทธิภาพการทำงาน และการปูทางไปสู่อนาคตที่ชาญฉลาดกว่าเดิม ข้อได้เปรียบของเดลล์เริ่มต้นด้วยการนำเสนอ AI PC ที่ครบถ้วนทั่วทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์คอมเมอร์เชียลตั้งแต่วันแรก ช่วยให้ลูกค้ามีความสามารถในการเตรียมความพร้อมสําหรับ AI สำหรับอนาคตได้ในทันที”

AI PCs เพื่อการทำงานแบบไฮบริด

หน่วยประมวลผล Neural Processing Unit (NPU) ที่ติดตั้งอยู่ใน AI PC จะมีการเติบโตจากจำนวนประมาณ 50 ล้านยูนิตในปี 2024 เป็นจำนวนที่มากกว่า 167 ล้านยูนิตในปี 2027 คิดเป็น 60% ของปริมาณการจัดส่ง (Shipments) พีซีทั่วโลก ทั้งนี้ NPU เสริม AI acceleration engine เพื่อตอบโจทย์การทำงานของ AI ที่มีความจำเพาะมากขึ้นได้ ช่วยลดปริมาณงานให้ CPU และ GPU สามารถทำงานในส่วนอื่นได้ ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ตอบสนองมากขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย อายุการใช้งานแบตเตอรี่ และผลิตภาพเพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ สายผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Latitude และ Precision โมบาย เวิร์กสเตชันของเดลล์ นำเสนอตัวเลือกคอมเมอร์เชียล AI PC ที่กว้างขวาง เพื่อการใช้งานเชิงธุรกิจให้กับลูกค้า โดยเริ่มตั้งแต่แล็ปท็อปและเวิร์กสเตชันในระดับเอนทรี ไปจนถึงระดับอัลตร้า-พรีเมียม ด้วยสายผลิตภัณฑ์ Latitude แล็ปท็อป และ Precision โมบาย เวิร์กสเตชันใหม่ ด้วยพลังของ Intel Core Ultra processors with Intel vPro® เดลล์คอมเมอร์เชียลพีซีเหมาะสมสำหรับการขับเคลื่อน AI เวิร์กโหลด และปลดล็อกการสร้างผลิตภาพและประสิทธิภาพในระดับใหม่ ยกตัวอย่าง คนทำงานสามารถที่จะ

  • ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการผสานประโยชน์ของ NPU เพื่อปลดปล่อยขีดความสามารถในการ การกำหนดกรอบอัตโนมัติ (Auto-framing) การทำให้พื้นหลังเบลอ ตลอดจนการติดตามสายตา (Eye-tracking) พร้อมพลังการทำงานอันเปี่ยมประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์ Intel Core Ultra ที่มอบพลังงานแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นถึง 38% ให้กับพนักงาน รวมถึงเวลาทำงานที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละวันที่เต็มไปด้วยการประชุมผ่าน Zoom
  • สร้างสรรค์คอนเทนต์ได้เร็วยิ่งขึ้น โดยการแจกจ่ายการประมวลผล AI ไปยัง CPU GPU และทั้ง NPU โดยถ้วนทั่ว ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์ภาพ AI ได้เร็วขึ้นถึง 5 เท่าด้วย Stable Diffusion โมเดลแปลงข้อความเป็นภาพ (Text-to-Image)
  • ทำงานด้วยความปลอดภัยที่เพิ่มมากขึ้นในสภาพแวดล้อมการทำงานแบบไฮบริด ผู้จําหน่ายซอฟต์แวร์อิสระจำนวนมากขึ้นจะหันมาสร้างแอปพลิเคชันสำหรับ AI PC ยกตัวอย่าง เดลล์กำลังทำงานร่วมกับ CrowdStrike และ Intel เพื่อโอนย้ายฟังก์ชันด้านความปลอดภัยไปประมวลผลบนอุปกรณ์ผ่าน NPU ซึ่งให้การตรวจจับภัยคุกคามที่ครอบคลุมมากขึ้น ช่วยให้ลูกค้าตรวจพบเว็บไซต์และช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่มีความร้ายแรงได้อย่างรวดเร็ว ให้ความล่าช้าที่ลดลงเมื่อเทียบกับโซลูชันบนคลาวด์
  • รักษาการทำงานให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้มาพร้อมฟีเจอร์ Windows 11 และปุ่ม Copilot เพื่อทําให้การทำงานเป็นไปง่ายขึ้นและจดจ่ออยู่กับงานได้ ด้วยการกดปุ่ม ผู้ใช้สามารถเข้าถึง AI เป็นผู้ช่วยในชีวิตประจำวันได้เร็วยิ่งขึ้น

บริการอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI

ต่อยอดบนความเป็นผู้นำอุตสาหกรรมอันยาวนานด้านการทำงานเชิงรุกและคาดการณ์ล่วงหน้าโดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งคำชี้แนะจากผู้เชี่ยวชาญ ความสามารถใหม่ของบริการ Dell Services ช่วยให้ลูกค้า

  • เพิ่ม PC Uptime สูงสุด พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานด้วยความสามารถใหม่ในการซ่อมแซมตัวเอง (Self-healing) ผ่าน ProSupport Suite for PC โดยลูกค้าที่เชื่อมต่อกับเทคโนโลยี SupportAssist ของเดลล์สามารถยกระดับการรวบรวมข้อมูลและ AI เพื่อแก้ไขปัญหาพีซีได้ไม่ต้องใช้การสนับสนุนจากมนุษย์ ซึ่งทำให้ IT สามารถเปิดใช้สคริปต์ที่เดลล์สร้างขึ้นเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดจอฟ้า (Blue Screen Errors) โดยอัตโนมัติ รวมไปถึงปัญหาระบบความร้อน และอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของพีซี
  • ใช้งาน และเพิ่มมูลค่าสูงสุดให้กับการลงทุน GenAI ด้วย Digital Employee Experience Services for Gen AI โดยบริการเหล่านี้ให้ทั้งเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ปรับแต่งอย่างเหมาะสมกับหลากรูปแบบการทำงานของพนักงาน

ไฮไลต์ผลิตภัณฑ์

  • กลุ่มผลิตภัณฑ์ Latitude ใหม่ของ Dell รวมถึง Latitude 7350 Detachable มอบอิสระให้กับมืออาชีพเพื่อการทำงานด้วยการเชื่อมต่ออุปกรณ์พร้อมใช้งานที่โต๊ะทำงานอย่างเต็มรูปแบบ หรือการใช้งานขณะเดินทางด้วยแท็บเล็ตหรือแล็ปท็อป มาพร้อมกล้อง 8MP HDR เพื่อภาพถ่ายคุณภาพสูงในสภาพแสงที่ท้าทาย กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ปรับปรุงใหม่ทั้งหมดนี้มาพร้อมการอัพเดทในรุ่น 5000 ซีรีส์ 7000 ซีรีส์ และ 9000 ซีรีส์ รวมถึง Latitude 7350/7450 Ultralights
  • Precision เวิร์กสเตชันทั้งแบบโมบายและตั้งโต๊ะใหม่ของเดลล์ ตอบโจทย์ความต้องการด้านประสิทธิภาพของผู้ใช้งานระดับมืออาชีพ นักพัฒนา และอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ ด้วยฐานะของความเป็นผู้นำเวิร์กสเตชันระดับโลก Precision มอบพลังการประมวลผลสำหรับ AI เวิร์กโหลดที่ซับซ้อนที่ให้ทั้งความปลอดภัยและความประหยัดบนพีซี นอกจากนี้ การบูรณาการ NVIDIA RTX™ 500 และ 1000 Ada Generation Laptop GPUs เข้ากับ Precision mobile workstations ช่วยส่งมอบความสามารถ AI และความน่าเชื่อถือในระดับองค์กรเพื่อการทำงานได้ในจากทุกที่ ในขณะที่ Precision 3280 Compact Form Factor (CFF) คือฟอร์มแฟคเตอร์เพื่อการประหยัดพื้นที่ใหม่ที่สร้างขึ้นเพื่อสำหรับการพัฒนา AI และแอปพลิเคชันสร้างสรรค์แบบเบาๆ
  • ชุดหูฟัง รุ่นใหม่จากเดลล์ โดย Dell Premier Wireless ANC Headset (WL7024) มาพร้อมไมโครโฟนปิดเสียงรบกวนอัตโนมัติด้วย AI ซึ่งจำแนกสัญญาณเสียงพูดของมนุษย์ออกจากเสียงรบกวนพื้นหลังทั้งของผู้ใช้และผู้ฟัง และปรับระดับการปิดเสียงรบกวนตามสภาพแวดล้อม ระบบแอดวานซ์เซ็นเซอร์ทำงานในแบบอัจฉริยะ เช่น ปิด/เปิดไมค์ ทำงาน/หยุดทำงาน ตราบเท่าที่หูฟังข้างหนึ่งถูกยกขึ้น พร้อมทั้งการควบคุมด้วยการสัมผัสที่สามารถปรับปรุงประสบการณ์เสียงที่เหมาะกับผู้ใช้ได้

การเร่งเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ให้เร็วขึ้น

ในฐานะผู้นำด้านการออกแบบแบบหมุนเวียน (Circular Design) เดลล์จัดการแบบครบวงจร ตั้งแต่เพิ่มการใช้วัสดุและแร่ธาตุที่รีไซเคิลในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อทำให้อุปกรณ์ง่ายต่อการซ่อมบำรุง และนำกลับมาใช้ใหม่ด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

  • อุปกรณ์ Latitude ใหม่ นำเอาโคบอลที่มีการรีไซเคิลมาใช้ในแบตเตอรี่
  • ด้วยแรงบันดาลใจจาก Concept Luna  เครื่อง Latitude 7350 Detachable มาพร้อมหน้าจอที่สามารถซ่อมบำรุงได้ ซึ่งทำให้ง่ายต่อการซ่อมและยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ได้นานขึ้น
  • ในขณะที่องค์กรอัพเกรดอุปกรณ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) บริการกู้คืนและรีไซเคิลของ เดลล์ช่วยให้ลูกค้าเกษียณอุปกรณ์ไอทีได้อย่างถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงการส่งขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปยังบ่อขยะ ด้วยการทำให้ผลิตภัณฑ์และวัสดุอยู่ในการหมุนเวียนนานขึ้น

ความพร้อมในการวางตลาด

  • Latitude 7350 Detachable พร้อมวางจำหน่ายในไตรมาสที่ 2
  • Precision 3280 CFF (Compact Form Factor) จะวางจำหน่ายช่วงปลายเดือนมีนาคม
  • Precision โมบาย เวิร์กสเตชัน พร้อมวางจำหน่ายช่วงเดือนมีนาคม
  • Dell Premier Wireless ANC Headset (WL7024) จะวางจำหน่ายในเดือนเมษายน
  • ProSupport Suite สําหรับ PC ที่มีความสามารถในการซ่อมแซมตัวเอง จะวางจำหน่ายทั่วโลกภายในสิ้นเดือนเมษายน
  • Digital Employee Experience Services สําหรับ GenAI มีให้บริการแล้วทั่วโลก

เกี่ยวกับเดลล์ เทคโนโลยีส์

เดลล์ เทคโนโลยีส์ ช่วยให้องค์กรธุรกิจและปัจเจกบุคคลสามารถสร้างอนาคตทางดิจิทัล พร้อมทั้งช่วยในการปฏิรูปทั้งรูปแบบการทำงาน การดำเนินชีวิต และการพักผ่อน เดลล์ เทคโนโลยีส์ให้การดูแลสนับสนุนลูกค้าด้วยสายผลิตผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีและการบริการที่กว้างที่สุด และมีความเป็นนวัตกรรมอย่างสูงสุดในยุคของข้อมูล


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

MSC ส่งมอบปฏิทินจากโครงการปฏิทินเก่าเราขอ ครั้งที่ 8 ประจำปี 2567

คุณกมลวรรณ สารพานิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MS เป็นตัวแทนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการเข้าถึงการศึกษาในกลุ่มผู้พิการทางสายตา ผ่านโครงการ “ปฏิทินเก่าเราขอ” ที่ได้ดำเนินกิจกรรมติดต่อกันเป็นปีที่ 8 โดยรับบริจาคปฏิทินตั้งโต๊ะปีเก่าที่ไม่ใช้แล้วจากพนักงานภายในองค์กร รวบรวมส่งต่อให้กับ ศูนย์เทคโนโลยีการศึกษาเพื่อคนตาบอด มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ เพื่อผลิตเป็นปฏิทินอักษรเบรลล์ให้กับผู้พิการทางสายตา เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ: คุณธนัฐดา บัวขาว โทร: 74940 อีเมล์ : tanutbau@metrosystems.co.th Website: https://www.metrosystems.co.th/


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

AI ช่วยโลกได้อย่างไร

ปีเตอร์ เฮอร์เว็ค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เมื่อตอนที่ฉันเป็นนักเรียนในปี 1988 ฉันเขียนวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ และฉันแย้งว่า AI สามารถตรวจจับรูปแบบได้ดีกว่าการตรวจด้วยตา

ในช่วง 30 ปีต่อจากนั้น หัวข้อนี้แทบจะไม่ได้รับความสนใจจากคนทั่วไป ยกเว้นในโลกของวิศวกรด้านซอฟต์แวร์ จนเมื่อปีกว่ามานี่เอง ที่ AI ปรากฏตัวบนเวทีสาธารณะ และมาพร้อมกับเครื่องมือ AI เจนเนอเรชั่นใหม่ ที่สามารถใช้สร้างเนื้อหาที่เป็นลายลักษณ์อักษร ภาพ และเนื้อหาอื่นๆ ได้อย่างฉลาด

ที่จริงแล้ว AI อยู่รอบๆ เรามาระยะหนึ่งแล้ว การค้นหาเว็บแบบง่ายๆ ก็มีความเกี่ยวข้องกับ AI หรือการใช้แชทบอท นั่นก็คือ AI แต่เราจะเห็นการเติบโตแบบทวีคูณ ก็ต่อเมื่อมีการนำ AI มาใช้เพิ่มขึ้น และการใช้งานเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณจะกำหนดรูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตที่เป็นพื้นฐานของเรา นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบมากกับความท้าทายใหญ่ที่สุดที่มนุษยชาติต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิธีที่เราผลิตและใช้พลังงาน

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ไม่ได้ รอ AI

ถ้าจะกล่าวให้ชัดเจนก็คือ แม้ในปีที่ผ่านมาจะมีเรื่องน่าตื่นเต้นเกี่ยวกับ AI อยู่มากมายก็ตาม แต่ AI ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง และก็ไม่ใช่ตัวช่วยที่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างฉับพลันกับการจำกัดภาวะโลกร้อนให้หยุดอยู่ที่ไม่เกิน 1.5°C เหมือนช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม

ดังนั้น การเกิดขึ้นของ AI จะต้องไม่เบี่ยงเบนความสนใจของเราจากการใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ เช่น พลังงานทดแทน ยานพาหนะไฟฟ้าและปั๊มความร้อน ตลอดจนซอฟต์แวร์ระบบอัตโนมัติและการจัดการอาคารที่ช่วยปรับปรุงกระบวนการและการใช้พลังงานในอาคาร โรงงานอุตสาหกรรม และโครงสร้างพื้นฐานให้ใช้งานได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

หากมองถึงอาคารและอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ซึ่งคิดเป็นประมาณ 37% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตและพลังงานทั่วโลก ตามรายงานล่าสุดจากโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ

อาคารใหม่ทุกหลังที่สร้างขึ้นในปัจจุบันสามารถเป็น Net Zero ได้จริง โดยใช้การผสมผสานพลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่แล้วในท้องถิ่น (เช่น พลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา) รวมถึงเซ็นเซอร์และซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกิจกรรมการใช้พลังงานได้สูงสุด นี่ไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์ที่ต้องพึ่งพาการพัฒนา AI ในอนาคต แต่เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ที่เรานำมาใช้ในอาคาร IntenCity ของเราในเมืองเกรอน็อบล์ ประเทศฝรั่งเศส และเรายังช่วยให้อีกหลายๆ อาคารนำแนวทางนี้มาปรับใช้ด้วยเช่นกัน

ในทำนองเดียวกัน เราจำเป็นต้องเร่งนำเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานและให้คาร์บอนต่ำ มาปรับใช้กับบรรดาอาคารที่มีอยู่ในการติดตั้งเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดทั้งต้นทุน รวมถึงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากและเร็วกว่าที่หลายคนเคยรับรู้ โดยไม่จำเป็นต้องรอเครื่องมือ AI ใหม่ เพราะเรื่องเหล่านี้สามารถทำได้ทันที

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและ AI ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนด้วยพลังเทอร์โบ

ความตื่นเต้นมากมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ AI เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เนื่องจากเมื่อจับคู่เทคโนโลยีดังกล่าว เข้ากับ AR (augmented reality) VR (virtual reality) รวมถึง digital twins และ IoT จะยิ่งทำให้  AI ช่วยให้เราเข้าถึงประสิทธิภาพได้มากขึ้น รวดเร็วยิ่งขึ้น และเมื่อเป็นเรื่องของพลังงาน การที่ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นย่อมหมายถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่ลดลง

ตัวอย่างเช่น ไมโครกริดเป็นเครือข่ายไฟฟ้าแบบครบวงจรที่จ่ายไฟให้กับบ้าน ธุรกิจ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ โดยใช้เครื่องกำเนิดพลังงานส่วนตัว (ตามหลักการเป็นพลังงานหมุนเวียน) และการกักเก็บพลังงานในรูปของแบตเตอรี่ โดยซอฟต์แวร์อัจฉริยะสามารถเชื่อมต่อองค์ประกอบต่างๆ เข้ากับระบบสายส่ง (Utility grids) ได้ ทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและต้นทุนของพลังงาน อีกทั้งช่วยคาดการณ์ เพื่อให้สามารถใช้พลังงานอย่างเหมาะสมได้แบบอัตโนมัติ ทั้งเรื่องการผลิต การกักเก็บและนำมาใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่าย ถึงเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่าย รวมถึงจำนวนไฟฟ้าที่ผลิตได้ ตลอดจนการปล่อย CO2

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กับ AI และศูนย์ข้อมูล

เราจำเป็นต้องมองเพื่อให้เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของ AI และศูนย์ข้อมูลที่เป็นขุมพลังนั้น จำเป็นต้องอาศัยน้ำและพลังงาน รวมถึงมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างไรบ้าง เราคาดการณ์ว่าในขณะที่โลกเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นประมาณสองเท่าภายในปี 2571 และสัดส่วนในการใช้งานที่มาจาก AI จะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดในเวลานั้น โดยเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์

สิ่งสำคัญก็คือ การใช้ AI จะต้องไม่นำไปสู่ปัญหาด้านพลังงานหรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น การเพิ่มประสิทธิภาพซอฟต์แวร์การประมวลผลอย่างต่อเนื่อง จะช่วยจัดการกับความท้าทายนี้ โดยการปรับเปลี่ยนการออกแบบและการบริหารจัดการศูนย์ข้อมูล เช่น การเปลี่ยนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบเครื่องยนต์ดีเซลให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำความสะอาดสตอเรจ และใช้การระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นพิเศษ เป็นต้น

เร่งดำเนินการด้านสภาพอากาศด้วย AI (และที่ไม่ใช้ AI)

บางคนชอบ AI ในขณะที่บางคนกลัว AI แต่ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม พลังการเปลี่ยนแปลงของ AI นั้นยิ่งใหญ่กว่าการถือกำเนิดของอินเทอร์เน็ตในทศวรรษ 1990 เสียอีก และ AI ก็เหมือนกับอินเทอร์เน็ต นั่นคือ จะทำงานได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อถูกนำมาใช้งานอย่างมีจรรยาบรรณและรับผิดชอบ โดยให้ขุมพลังที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และถูกใช้เป็นเครื่องมือที่ให้ความคล่องตัวในการทำงาน มากกว่าที่จะเป็นเป้าหมายปลายทางของผลลัพธ์ เป็นตัวช่วยมากกว่าการนำมาทดแทนผลลัพธ์จากมนุษย์ที่จำเป็นจะต้องผ่านการรับรองคุณภาพสูงสุด

นอกจากนี้ ยังไม่ควรให้ AI มาเบี่ยงเบนเราจากการใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วในตอนนี้ เพราะไม่ว่าจะมีหรือไม่มี AI ก็ตาม เราก็ยังสามารถติดตั้งฟาร์มกังหันลมและสถานีชาร์จ EV ได้มากขึ้น และใช้เครื่องมือดิจิทัลที่มีอยู่ปรับปรุงวิธีการออกแบบ สร้างและดำเนินการด้านอาคารและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ มากมาย รวมถึงการบำรุงรักษา

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการใช้งาน AI อย่างเหมาะสม AI จะเป็นตัวเร่งที่จำเป็นและให้ขุมพลังแก่เทคโนโลยีที่มีอยู่ ช่วยเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ ช่วยสนับสนุนความมุ่งมั่นพยายามของเราในการควบคุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

#Schneider Electric


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. ทดสอบยานยนต์ ผ่านกิจกรรม Save Live#Safe Bike ชีวีปลอดภัย : #รถสองล้อปลอดภัย

ผศ.พีระศักดิ์  เสรีกุล รองอธิการบดีประจำวิทยาเขต  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) วิทยาเขตปราจีนบุรี  ประธานโครงการ Save Lives: #Safe Bikes ชีวีปลอดภัย : #รถสองล้อปลอดภัย พร้อมด้วย นายวุฒิชัย ประเสริฐสุข  ผู้อำนวยการกองงาน มจพ. วิทยาเขตปราจีนบุรี โดย มจพ. เป็นตัวแทนประเทศไทย จัดกิจกรรมโครงการจำลองสถานการณ์ที่ท้องถนนซึ่งเสี่ยงต่ออุบัติเหตุทั้งในภาคทฤษฎี โดยได้รับการถอดบทเรียน และ ภาคสนามซึ่งเป็นประสบการณ์ตรง โดยมี  รศ.ดร.สายประสิทธิ์  เกิดนิยม หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการทดสอบยานยนต์ อุทยานเทคโนโลยี มจพ. กล่าวรายงาน โดยมี พล.. สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2  พล... สุรจิต ชิงนวรรณ์ รอง ผบช. 2 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมงาน เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์  2567  ณ ศูนย์ปฏิบัติการทดสอบยานยนต์  อุทยานเทคโนโลยี มจพ.วิทยาเขตปราจีนบุรี

การจัดโครงการดังกล่าว เป็นการจำลองปัจจัยจากการขับขี่ การใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ และความเสี่ยงยานพาหนะ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้รับองค์ความรู้ ประสบการณ์โดยตรงในสนามทดสอบ ในสถานีต่อไปนี้ คือ

สถานีที่ 1 : ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ชั้นสูงในรถยนต์เพื่อตรวจจับรถสองล้อ (Advanced Driver Assistance Systems, ADAS)

สถานีที่ 2 : ระยะหยุดรถสองล้อและเทคโนโลยีการห้ามล้อต่าง ๆ (Braking Distance, BD)

สถานีที่ 3 : ทักษะและเทคโนโลยีการห้ามล้อในขณะเข้าโค้ง (Cornering Brake Control, CBC)

สถานีที่ 4 : สมรรถนะขนาดยางล้อกับมุมเอียงของรถสองล้อ (Tie Wiath – Lean Angle, TW LA)

สถานีที่ 5 : ความเสี่ยงจากการชนท้ายของรถสองล้อ (Rear-end Collision, RTC)

 

ขวัญฤทัย ข่าว /สมเกษ ถ่ายภาพ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

AMD ประกาศวางจำหน่ายกราฟิกการ์ด AMD Radeon RX 7900 GRE

วันนี้ AMD ประกาศวางจำหน่ายการ์ดจอภาพ AMD Radeon RX 7900 GRE ทั่วโลก กราฟิกการ์ดนี้ออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การเล่นเกมและสตรีมมิ่งที่ยอดเยี่ยม ด้วยอัตราการรีเฟรชภาพสูง 1440p มาพร้อมกับหน่วยความจำ GDDR6 ความเร็วสูง 16GB ช่วยให้ผู้เล่นสามารถก้าวไปสู่การเล่นเกมในระดับ 4K

AMD Radeon RX 7900 GRE คาดว่าจะวางจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกออนไลน์และร้านค้าปลีกชั้นนำทั่วโลก ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 ในราคาเริ่มต้น $549 USD

ฟีเจอร์ของกราฟิกการ์ด RX 7900 GRE ที่นำเสนอ ประกอบด้วย:

  • ประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม – กราฟิกการ์ด Radeon RX 7900 GRE มาพร้อมหน่วยประมวลผล 80 คอร์ และฟีเจอร์ ray accelerators, GDDR6 VRAM ขนาด 16GB ที่การโอเวอร์คล็อก 18Gbps, AI accelerators จำนวน 160 ชุด, AMD Infinity Cache รุ่นที่สอง ขนาด 64MB และมี TBP ที่ 260W เสนอประสิทธิภาพการเล่นเกมที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นในการเล่นเกมชั้นนำในปัจจุบัน ด้วย FPS/$ เฉลี่ยที่สูงขึ้นถึง 14% เมื่อเปรียบเทียบกับ GeForce RTX 4070
  • FPS ที่เพิ่มขึ้นในเกมชั้นนำต่าง ๆ – เทคโนโลยีการสร้างเฟรม AMD Fluid Motion Frames ผ่านไดรเวอร์ ที่เข้ามาช่วยเพิ่ม FPS และยกระดับด้านการพัฒนาประสิทธิภาพการประมวลผลและเกมต่าง ๆ มากมาย
  • การเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างง่ายดาย – เทคโนโลยี AMD HYPR-RX ช่วยลดความยุ่งยากและจัดการการทำงานร่วมกันของ AMD Fluid Motion Frames, AMD Radeon Super Resolution (RSR), AMD Radeon Boost และเทคโนโลยี AMD Anti-Lag เพื่อช่วยให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการเล่นเกมเป็นเรื่องง่ายขี้นสำหรับผู้เล่น
  • รองรับเทคโนโลยีล้ำสมัย – กราฟิกการ์ด AMD Radeon RX 7000 Series รองรับเทคโนโลยีรุ่นถัดไปเช่น DisplayPort 2.1 และเสนอ VRAM ที่มากกว่ากราฟิกการ์ดของคู่แข่ง เหมาะสำหรับการเล่นเกมที่ต้องการทรัพยากรสูงและการแสดงผลที่ยอดเยี่ยมในวันนี้และอนาคต

กราฟิกการ์ด AMD Radeon RX 7900 GRE คาดว่าจะพร้อมวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ผ่านแบรนด์ Acer, ASRock, ASUS, Gigabyte, PowerColor, Sapphire และ XFX

นอกจากนี้ ผู้เล่นยังจะได้รับข้อเสนอกราฟิกการ์ด AMD Radeon RX 7700 XT ในราคาสุดพิเศษ ตั้งแต่วันนี้ ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 419 เหรียญสหรัฐฯ หรือลดจากเดิม 30 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ตอนนี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับเกมเมอร์ที่กำลังตัดสินใจซื้อกราฟิกการ์ด AMD ตัวต่อไป

ศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์กราฟิกการ์ด AMD Radeon RX 7900 GRE เพิ่มเติม คลิก


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

สมาคมดาต้าเซ็นเตอร์แห่งประเทศไทยแต่งตั้งประธานคนแรกเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายเป็น Data Center Hub ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 22 กุมภาพันธ์ 2567 – สมาคมดาต้าเซ็นเตอร์แห่งประเทศไทย (หรือ TDCC) ประกาศแต่งตั้งนายทศพล เพ็งส้ม ดำรงตำแหน่งประธานสมาคมฯ คนแรก เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใน 3 ปี

จากข้อมูลการคาดการณ์ของ Structure Research ระบุว่า ในปี 2566 ตลาดโคโลเคชั่นดาต้าเซ็นเตอร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) มีกำลังไฟมากถึง 10,233 เมกะวัตต์ คิดเป็นประมาณ 40% ของตลาดทั่วโลก และในปี 2571 กำลังไฟจะเพิ่มขึ้นเป็น 19,069 เมกะวัตต์ แม้ประเทศไทยจะมีขนาด GDP ใหญ่เป็นอันดับสองของอาเซียน แต่กลับเป็นมาเลเซียและอินโดนีเซียที่มีการเติบโตอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งในด้านของนโยบายและกฎระเบียบ ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเดินหน้าไปสู่ยุค AI Economy ที่กำลังขยายตัว

AI เป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจ และมีอิทธิพลต่ออุปสงค์และอุปทานในตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ให้บริการในอุตสาหกรรมหลัก อย่าง Nvidia ที่เป็นอุปทานสำคัญและมูลค่าตลาดสูงถึง 1.83 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเทคโนโลยีของพวกเขายังเป็นเครื่องมือให้กับผู้ให้บริการคลาวด์และคอนเท้นต์แพลตฟอร์ม ซึ่งผู้ให้บริการเหล่านี้กำลังมองหาศูนย์ข้อมูลเพื่อจัดตั้งฐานปฏิบัติการ โดยการจัดตั้งสมาคมดาต้าเซ็นเตอร์แห่งประเทศไทยได้ตอกย้ำถึงเป้าหมายของการทำงานร่วมกับภาครัฐ ผู้ให้บริการคลาวด์ และผู้ให้บริการคอนเท้นต์แพลตฟอร์มอย่างบูรณาการ เพื่อปรับเปลี่ยนนโยบาย พร้อมส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นการสร้างความเชื่อมั่นในหมู่นักลงทุนต่างชาติ

นายทศพล เพ็งส้ม ประธานสมาคมดาต้าเซ็นเตอร์แห่งประเทศไทย มีประสบการณ์กว้างขวาง และเคยดํารงตําแหน่งสําคัญมากมาย อาทิ เคยเป็นอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติงานในกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, และเคยเป็นอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติงานในกระทรวงพลังงาน นอกจากนี้ยังเคยดำรงตำแหน่งประธานคณะทำงานจัดตั้งสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่แห่งชาติ (National Big Data Institute: NBDi)

นายทศพล กล่าวว่า “ขณะนี้มีผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่อย่าง Alibaba Cloud, Huawei Cloud, Tencent Cloud, Amazon Web Services และ Google Cloud Platform เข้ามาในประเทศไทย ดังนั้นการส่งเสริมและสนับสนุนสภาพแวดล้อมเพื่อกระตุ้นการขยายตัวของดาต้าเซ็นเตอร์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง”

กรอบยุทธศาสตร์การดำเนินงานของ TDCC ประกอบด้วย

  • ปรับปรุงนโยบาย: ส่งเสริมและสร้างความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ โดยให้เร่งแก้ไขกฎระเบียบและใบอนุญาตที่ขัดขวาง เพื่อลดเวลาการเข้าสู่ตลาดและขจัดต้นทุนที่ไม่จำเป็น ด้วยการร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อสร้างแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน และสนับสนุนผู้ให้บริการคลาวด์, ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ทั้งรายปัจจุบันและรายใหม่ที่กำลังจะเข้ามาเพิ่ม และส่งเสริมความเชื่อมั่นให้กับอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์พร้อมเพิ่มโอกาสการเติบโตจาก AI
  • ความยั่งยืนและพลังงานทดแทน: การร่วมมือกับภาคพลังงานเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านพลังงานหมุนเวียน ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตของอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ที่ขับเคลื่อนโดยการให้บริการโฮสต์ GPU แก่ผู้ให้บริการคลาวด์และผู้ให้บริการคอนเท้นต์แพลตฟอร์ม และยังให้ความสำคัญกับแนวทางปฏิบัติที่เน้นความยั่งยืน
  • การพัฒนาบุคลากร: บ่มเพาะและฝึกอบรมบุคลากรในทุกระดับ ขยายและพัฒนาหลักสูตรการศึกษาดาต้าเซ็นเตอร์ แผนการฝึกอบรมและแผนฝึกงานทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยร่วมเจรจากับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาบุคลากรในระบบนิเวศ
  • เป็นตัวกลางพูดคุยและให้คำปรึกษา: TDCC ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการแก้ไขปัญหาหรือความท้าทาย โดยทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ โดยเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างประโยชน์ให้กับประเทศและคนไทย

ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าในปี 2567 เศรษฐกิจไทยจะเติบโต 3.8% ซึ่งรัฐบาลกำลังดำเนินโครงการใหม่ ๆ ที่มุ่งเน้นการลงทุนเชิงรุก แคมเปญซอฟต์พาวเวอร์ระยะสั้นไปจนถึงโครงการระยะยาวอย่างเเลนด์บริดจ์ (LandBridge) ในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งจุดมุ่งเน้นสำคัญของความพยายามเหล่านี้คือการดึงดูดการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศไทย

สมาคมดาต้าเซ็นเตอร์แห่งประเทศไทย (TDCC) ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนมกราคม 2567 โดยการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง 5 ราย มีเป้าหมายเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ให้เป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด (Critical Industry) สำหรับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทย

เกี่ยวกับสมาคมดาต้าเซ็นเตอร์แห่งประเทศไทย

สมาคมดาต้าเซ็นเตอร์แห่งประเทศไทย (TDCC) เป็นเครือข่ายพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของผู้ให้บริการ ดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นนำในประเทศไทยซึ่งมุ่งมั่นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศ สมาคมฯ มีเป้าหมายเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ และช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย การส่งเสริมความร่วมมือ ความคิดริเริ่ม และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้เติบโต


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“65 ปี มจพ. พลิกโฉม พลิกความคิด สู่ความยั่งยืน” จัดงานครั้งยิ่งใหญ่วันรวมน้ำใจชาว มจพ. ประจำปี 2567

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ร่วมกับ สมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า

พระนครเหนือ ในพระบรมราชูปถัมภ์  จัดงานวันรวมน้ำใจชาว  มจพ. “65 ปี มจพ. พลิกโฉม  พลิกความคิด สู่ความยั่งยืน  ในวันที่  19 กุมภาพันธ์ 2567 เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือครบ 65 ปี  เพื่อเป็นการรำลึกถึงการก่อตั้งมหาวิทยาลัย ส่งเสริมความสามัคคีระหว่างคณาจารย์ ศิษย์เก่า และบุคลากร  ตลอดจนเผยแพร่ชื่อเสียง และเกียรติภูมิของมหาวิทยาลัย  พร้อมกับประกาศเกียรติคุณ ศิษย์เก่า ดีเด่น และผู้ปฏิบัติงานดีเด่นของมหาวิทยาลัย รวมทั้งผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่มหาวิทยาลัยด้านต่าง ๆ 

กิจกรรมภาคเช้าสาย  พิธีทำบุญตักบาตรอาหารแห้งพระสงฆ์ 19 รูป พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ ณ ลานเฉลิมพระเกียรติ ศ.ดร.สุชาติ เซี่ยงฉิน อธิการบดี พร้อมด้วย ศ.ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กล่าวระลึกถึงทวาปูชนียจารย์ พิธีวางพวงมาลารูปปั้น โดยมี รศ.ดร. ณัฐพงศ์ มกระธัช ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายพัฒนาสิ่งแวดล้อมและกายภาพ กล่าวรายงาน  จากนั้น อดีตอธิการบดี และครอบครัวใจจงกิจ วางพวงมาลารำลึกถึงอาจาริยคุณ ผู้แทนคณะผู้บริหารและบุคลากรของส่วนงาน  ร่วมวางดอกไม้รำลึกเพื่อแสดงความเคารพและระลึกถึงอาจาริยคุณทวาปูชนียาจารย์ .ดร.บุญญศักดิ์ ใจจงกิจ และ Dip. Ing. Karl Stützle ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและผู้บุกเบิกมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 

กิจกรรมภาคบ่ายพลอากาศเอก  จอม   รุ่งสว่าง  องคมนตรี  เป็นประธานมอลโล่รางวัลพิธีประกาศเกียรติคุณ ให้แก่ศิษย์เก่าดีเด่น    ผู้ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพและสร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัย ศ.ดร. สุชาติ  เซี่ยงฉิน อธิการบดี มจพ. กล่าวต้อนรับ และ ศ.ดร. เสาวณิต สุขภารังสี รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ กล่าว รายงาน ณ หอประชุมประดู่แดง  จากนั้นองคมนตรีเป็นประธานเปิดนิทรรศการ และเยี่ยม ชมบูธนิทรรศการต่าง ๆ  ได้แก่ บูธนิทรรศการเทคโนโลยีดาวเทียม เทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เทคโนโลยี ระบบรางและยานยนต์สมัยใหม่ เทคโนโลยีพลังงานและพลังงานทดแทน เทคโนโลยีอุตสาหกรรม เกษตรและ อาหาร เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน และผลงานวิจัยและนวัตกรรม  ที่ได้รับรางวัลระดับชาติและนานาชาติ  อาทิ ดาวเทียม KNACKSAT  หุ่นยนต์กู้ภัยหุ่นยนต์กู้ภัย Rescue Robot แชมป์หุ่นยนต์ 9 สมัย เครื่องดื่ม ผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นก ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสัตว์เลี้ยงไบโอแคลเซียมอัดเม็ดจากเปลือกหอยแมลงภู่  ระบบขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้า Electric Vehicles (EVs) ระบบรางและยานยนต์สมัยใหม่   และเทคโนโลยี พลังงานและพลังงานทดแทน ณ ลานอาคารอเนกประสงค์ ชั้น 1

กิจกรรมภาคค่ำ  ดร. แอ็นสท์ ว็อล์ฟกัง ไรเชิล (Dr. Ernst Reichel) เอกอัครราชทูตเยอรมันประจำประเทศไทย ประธานในพิธีกล่าวเปิดงาน “65 ปี มจพ. พลิกโฉม  พลิกความคิด สู่ความยั่งยืนด้วยการบูรณาการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นไฮไลท์ในพิธีเปิด และประธานมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ ให้แก่ บุคคลเกียรติยศ มจพ. ประจำปี 2567 จากนั้น ศ.ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภามหาวิทยาลัย มอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่ ศาสตราจารย์ที่ได้รับโปรดเกล้า ฯ  ลำดับต่อมา ศ.ดร.สุชาติ เซี่ยงฉิน อธิการบดี มอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่ บุคลากร นักศึกษาที่มีผลงานดีเด่นสร้างชื่อเสียงในระดับนานาชาติ /บุคลากรดีเด่น/ผู้ปฏิบัติงานดีเด่นระดับมหาวิทยาลัย  และผู้ให้การสนับสนุน มีคณาจารย์ บุคลากร ศิษย์เก่า และศิษย์ปัจจุบันเข้าร่วมงานจำนวนมาก

สามารถชมผ่านกิจกรรมย้อนหลังได้ที่ https://together.kmutnb.ac.th/ หรือที่เว็บไซต์มหาวิทยาลัย www.kmutnb.ac.th

ขวัญฤทัย ข่าว/สมเกษ ถ่ายถาพ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

สสว. บูรณาการ 8 แพลตฟอร์ม เน้นสร้างเนื้อหาอย่างสร้างสรรค์ สร้างการรับรู้ใหม่ในวงกว้าง

นายวรพจน์ ประสานพานิช ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ได้เปิดเผยว่า สำหรับการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ สสว. มีเป้าหมายในการที่จะบูรณาการ แพลตฟอร์มทั้ง 8 แพลตฟอร์ม ของ สสว. ให้มีความทันสมัยให้มากขึ้น รวมไปถึงสร้างการรับรู้ออกไปให้เพิ่มมากขึ้นด้วย

นายวรพจน์ กล่าวอีกว่า การบูรณาการ 8 แพลตฟอร์ม จะช่วยให้ สสว.ได้ประเมินถึงจุดดีจุดด้อยในแต่ละแพลตฟอร์มเพื่อที่จะนำมาพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นพร้อมที่จะประชาสัมพันธ์เผยแพร่ออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและมองหาจุดเด่นจุดด้อยของแพลตฟอร์มต่างๆ

สำหรับ 8 แพลตฟอร์มของ สสว. ประกอบไปด้วย

 (1) SME COACH : เป็นแพลตฟอร์มที่มีจุดเด่นในด้านการให้คำปรึกษาด้านเอสเอ็มอี ฟรี โดยมีผู้เชี่ยวชาญถึง 14 ด้าน สามารถให้คำปรึกษาออนไลน์ สามารถคุยกับโค้ชผ่านระบบแชทออนไลน์ พร้อมทั้งมีทีมช่วยเหลือ อีกทั้งสามารถติดตามสถานะได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านระบบหรือผ่าน Line OA ของ SME COACH โดย สสว. มุ่งหวังจากการบูณาการในครั้งนี้ให้แพลตฟอร์ม SME COACH เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ไม่ต่ำกว่า 100 คน

(2) BDS : เป็นแพลตฟอร์มที่เน้นสนับสนุนเอสเอ็มอีให้ได้รับโอกาสในการเข้าถึงการบริการสนับสนุน

ด้านการพัฒนาธุรกิจในรูปแบบใหม่ ที่ผู้ประกอบการจะสามารถเลือกรับการบริการ หรือรับการพัฒนากับผู้ให้บริการทางธุรกิจ (Business Development Service Provider : BDSP) ในด้านที่ตรงกับความต้องการของธุรกิจของตน โดย สสว. จะอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการพัฒนาให้แก่ผู้ประกอบการแบบร่วมจ่าย (co-payment) ในสัดส่วนร้อยละ 50–80 ตามขนาดของธุรกิจ ซึ่งการบูรณาการจะช่วยให้แพลตฟอร์ม BDS มีการอนุมัติการยื่นข้อเสนอให้เร็วมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยเหลือทางด้านงบประมาณให้ได้อย่างรวดเร็ว

(3) SME ONE : คือ Web Portal ที่ให้บริการผ่าน www.smeone.info Platform ที่รวบรวมข้อมูลข่าวสารในแวดวงเอสเอ็มอี การจัดกิจกรรมอบรมสัมมนา หรือเวิร์คชอปสำหรับผู้ประกอบการจากทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน พร้อมทั้งมอบข้อมูลให้กับผู้ประกอบการในทุก ๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลด้านการเงิน การตลาด เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ คลิปวิดีโอสร้างแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจจากผู้ประกอบการตัวจริงเสียงจริง และคลิปวิดีโอแนะนำการให้บริการเพื่อสนับสนุนเอสเอ็มอีจากหน่วยงานต่างๆ มากมาย นอกจากนี้ SME ONE ยังให้บริการผ่านโซเซียลมีเดีย ช่องทางต่างๆ ได้แก่ Facebook Fan Page : SMEONE  Tiktok : smeone.info และ Line OA @smeone

(4) SME CONNEXT : Mobile Application เพื่อผู้ประกอบการไทย ที่รวบรวมทุกอย่างที่เกี่ยวกับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น บทความ การจับคู่ธุรกิจ หรือกิจกรรมอบรม เสวนาทางธุรกิจ รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ พร้อมทั้งเป็นแหล่งรวบรวมทุกเรื่องที่เป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการอย่างครบถ้วน ส่งตรงทุกข่าวสารและกิจกรรมผ่านมือถือ และเป็นช่องทางการเชื่อมต่อบริการไปยังแพลตฟอร์มให้บริการต่างๆ เพื่อย่อโลกการให้บริการแบบอัดแน่นไว้ในมือถือเป็น แอพพลิเคชันคู่ใจสำหรับผู้ประกอบการ

(5) Thai SME GP (ระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ) : เป็นแพลตฟอร์ม ที่เพิ่มโอกาสการเป็นคู่ค้ากับหน่วยงานภาครัฐผ่านการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ ซึ่งพัฒนาระบบสนับสนุนให้เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ คือ www.thaismegp.com หรือ THAI SME-GP โดยผู้ประกอบการที่สนใจสามารถขึ้นทะเบียนรายชื่อและรายการสินค้าและบริการในระบบ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าและธุรกิจให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

(6) ระบบการส่งต่อเพื่อรับบริการภาครัฐ : เป็นแพลตฟอร์มเพื่อประสานความร่วมมือร่วมกับส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานสนับสนุน MSME ในการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จในจุดเดียว โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือการให้บริการแบบเครือข่ายระหว่างหน่วยงาน เพื่อส่งต่อการให้บริการระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงการรับบริการต่างๆได้ไวขึ้น และสามารถติดตามขั้นตอนในการให้บริการได้

(7) SME ONE ID : หรือ หนึ่งรหัส หนึ่งผู้ประกอบการ (One Identification : SME One ID ) ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารงาน และให้บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยผู้ประกอบการสามารถใช้หมายเลข ID เดียวในการเข้าถึงบริการของภาครัฐทุกหน่วยงาน มุ่งเน้นการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ และลดความยุ่งยากในการจัดเตรียมเอกสารซึ่งเป็นต้นทุนและอุปสรรคในการขอรับอนุญาตและการส่งเสริมจากหน่วยงานของรัฐหลายหน่วย โดยโครงการหนึ่งรหัส หนึ่งผู้ประกอบการ จัดทำขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการที่มีมากกว่า 3 ล้านราย ซึ่งหลังจากการบูรณาการจะทำให้เพิ่มการเข้าถึงผู้สมัครให้มากขึ้น ต้องการให้ข้อมูลของ SME One ID น่าเชื่อถือมากขึ้นเปรียบเสมือนบัตรประชาชน และสามารถขยายกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น

(8) SME ACADEMY 365 : E-learning Platform ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้ได้มีแหล่งเรียนรู้ พัฒนาตนเอง และเพิ่มทักษะการทำธุรกิจอย่างเป็นระบบ โดยมีสาระน่ารู้ และเทรนด์ใหม่ ๆ อัปเดตอยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงเป็นแหล่งเรียนรู้ที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งปี เพื่อพัฒนาให้ผู้ประกอบการสามารถเข้ามาหาความรู้ได้ เข้าถึงได้ เข้าถึงง่าย ไม่ต้องรอ ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีบทความจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ ที่มีเฉพาะใน SME ACADEMY 365 เท่านั้น การบูรณาการในครั้งนี้ สสว. คาดหวังว่าต้องการให้ได้รับความนิยม ทั้งผู้ที่เป็นเอสเอ็มอีและ ผู้ที่อยากเป็นเอสเอ็มอีรุ่นใหม่ เข้ามาหาข้อมูล ตามข่าวสาร พร้อมทั้งมุ่งเน้นไปยังกลุ่มธุรกิจ Soft Power ให้มากเพิ่มยิ่งขึ้น

จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่าการจัดกิจกรรมบูรณาการในครั้งนี้ ที่ สสว. มุ่งเน้นในการหาจุดแข็งและจุดที่ต้องปรับปรุง เพื่อที่จะนำมาพัฒนาทั้ง 8 แพลตฟอร์มให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น อีกทั้งต้องการที่จะสร้างกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นต่อไป และนอกจาก 8 แพลตฟอร์มที่กล่าวมานี้ สสว. ยังมีอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่จะรองรับข้อมูลจากทั้ง 8 แพลตฟอร์มมาเพื่อเก็บเป็น Data ในการที่จะปรับปรุงแพลตฟอร์มต่างๆให้ดียิ่งขึ้นนั่นก็คือ SME Profile โดยแพลตฟอร์มนี้จะรวบรวมข้อมูลต่างๆ นำมาพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น เพื่อสร้างความน่าสนใจและสร้างบริการที่รองรับความต้องการของผู้ประกอบการต่อไปนายวรพจน์ กล่าวทิ้งท้ายทั้งนี้ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเข้ารับบริการได้ที่ Line OA @smeconnext


Exit mobile version