Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์คาดการณ์ตลาด EV ในยุคถัดไป

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย., 21 มีนาคม 2567 — การ์ทเนอร์เผยในปีนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ค่ายต่าง ๆ จะยังต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจากบทบาทที่เพิ่มขึ้นของทั้งซอฟต์แวร์และการใช้พลังงานไฟฟ้า ที่เป็นปัจจัยกำหนดยุคถัดไปของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า

เปโดร ปาเชโก รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ผู้นำตลาด OEM รายใหม่ต้องการกำหนดนิยามที่ชัดเจนให้กับสถานะที่เป็นอยู่ในวงการยานยนต์ โดยนำนวัตกรรมที่ช่วยทำให้ต้นทุนการผลิตง่ายขึ้นมาใช้ อาทิ สถาปัตยกรรมยานพาหนะแบบรวมศูนย์ (Centralized Vehicle Architecture) หรือ การนำ Gigacasting มาใช้ ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตและระยะเวลาในการประกอบ ที่ผู้ผลิตรถยนต์รายเดิมไม่มีทางเลือกที่จะนำมาใช้เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดได้”

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ในปี 2570 รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEVs) รุ่นใหม่ ๆ จะมีต้นทุนการผลิตโดยเฉลี่ยถูกกว่ารถยนต์เครื่องสันดาปภายใน (ICE) ในเซกเมนต์เดียวกัน ในขณะที่ผู้ผลิต OEM เดินหน้าพลิกโฉมงานด้านการผลิตควบคู่ไปกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้ในปีถัด ๆ ไปนี้ เราจะเห็นต้นทุนการผลิตรถ BEV ลดลงเร็วกว่าต้นทุนแบตเตอรี่อย่างมาก

“นั่นหมายความว่า BEV จะมาถึงจุดที่มีต้นทุนการผลิตเท่ากับ ICE ได้รวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรกอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็จะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายการซ่อมแซม BEV บางส่วนมีราคาสูง” ปาเชโก กล่าวเพิ่มเติม

เทคโนโลยีใหม่ทำให้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม EV สูงขึ้น

การ์ทเนอร์คาดว่า ในปี 2570 ต้นทุนเฉลี่ยของการซ่อมแซมตัวถังรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่จากอุบัติเหตุรุนแรงจะเพิ่มขึ้น 30% ส่งผลให้ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุและเสียหายนั้นมีแนวโน้มที่จะ Write-Off มากกว่าซ่อมแซม เนื่องจากค่าซ่อมแซมอาจมีราคาสูงกว่ามูลค่าคงเหลือของรถ ในทำนองเดียวกัน การซ่อมแซมการชนที่มีราคาสูงกว่าอาจทำให้ค่าเบี้ยประกันแพงขึ้น หรือแม้แต่การปฏิเสธที่จะให้ความคุ้มครองรถยนต์รุ่นใดรุ่นหนึ่งโดยเฉพาะของบริษัทประกันภัย

การ์ทเนอร์ยังเผยว่าการลดต้นทุนการผลิต BEV อย่างรวดเร็วนั้นไม่ควรเกิดขึ้นพร้อมกับค่าซ่อมที่สูงขึ้น เนื่องจากอาจส่งผลย้อนกลับมายังผู้บริโภคได้ในระยะยาว โดยวิธีการใหม่ ๆ ของการผลิตรถยนต์ BEV นั้นจะต้องนำมาใช้ร่วมกับกระบวนการต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าต้นทุนการซ่อมแซมต่ำลงด้วย

การรวมตัวกันของ EV สตาร์ทอัพ 

“ด้วยมุมมองต่อผลกำไรที่ง่าย ทำให้สตาร์ทอัพในอุตสาหกรรม EV จำนวนมากหันมาผนึกกำลังร่วมกัน ตั้งแต่ผู้ผลิตยานยนต์ไปจนถึงเครื่องชาร์จ EV และบางส่วนยังต้องพึ่งพาเงินทุนจากภายนอกอย่างมาก ทำให้พวกเขาเผชิญความท้าทายทางการตลาดเฉพาะกลุ่ม นอกจากนี้ มาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศต่าง ๆ ที่กำลังทยอยสิ้นสุดลง ทำให้ผู้นำในตลาดขณะนี้เจอกับความท้าทายมากขึ้นตามไปด้วย” ปาเชโก กล่าวเพิ่ม

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ในปี 2570 15% ของบริษัท EV ที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาจะถูกซื้อกิจการหรือล้มละลาย “นั่นไม่ได้หมายความว่าอุตสาหกรรม EV กำลังล่มสลาย แต่เป็นการเข้าสู่ยุคใหม่ที่บริษัทที่มีผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดจะเป็นผู้ชนะในตลาดที่เหลือ” ปาเชโก กล่าวสรุป

ในปี 2567 ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะยังเติบโตต่อเนื่อง โดยการ์ทเนอร์คาดการณ์ปีนี้จะมียอดจัดส่งรถยนต์ไฟฟ้าสูงถึง 18.4 ล้านคัน และเพิ่มเป็น 20.6 ล้านคันในปี 2568 อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมนี้กำลังพัฒนาจาก ‘ยุคตื่นทอง’ ไปสู่ ‘ยุคผู้เหมาะสมที่สุดเท่านั้นจึงอยู่รอด’ ซึ่งหมายความว่าความสำเร็จของบริษัทต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมนี้ ณ ปัจจุบัน ถูกจำกัดความสามารถอย่างหนักในการตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ EV ในยุคแรก ๆ

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

แชฟฟ์เลอร์ เปิดตัวศูนย์ฝึกอบรมเทคนิคเคลื่อนที่ครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แผนกอะไหล่ทดแทนของแชฟฟ์เลอร์ (Schaeffler Automotive Aftermarket) ผู้นำด้านการคิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีการขับเคลื่อน พร้อมเปิดตัวศูนย์ฝึกอบรมเทคนิคเคลื่อนที่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ โดยจะเริ่มออกเดินสายครั้งแรกในประเทศไทย โครงการนำร่องนี้จะให้ความช่วยเหลือด้านข้อมูลและองค์ความรู้งานซ่อมระดับ (OEM) ชั้นยอดแก่อู่ซ่อมรถอิสระที่นับวันจะมีแต่ความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

นายชัชวาล  ส้มจีน ผู้อำนวยการ แผนกอะไหล่ทดแทน แชฟฟ์เลอร์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “ศูนย์ฝึกอบรมเทคนิคเคลื่อนที่ เร็พ เอ็กซ์เพิร์ด (REPXPERT) จะเดินสายนำเอาองค์ความรู้ขั้นสูงและทักษะงานซ่อมระดับหน้างานจริงของระบบส่งกำลัง (Transmission) ของแบรนด์ ลุค (LuK) ระบบเครื่องยนต์ (Engine) ของแบรนด์ อีน่า (INA) และระบบช่วงล่าง (Chassis) ของแบรนด์เอฟเอจี (FAG) ส่งถึงหน้าประตูของอู่ซ่อมรถอิสระมากกว่า 4,000 ราย ครอบคลุม 40 เส้นทางหลักตลอดทั่วทั้งประเทศไทย”

ศูนย์ฝึกอบรมเทคนิคเคลื่อนที่ เร็พ เอ็กซ์เพิร์ด ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างประสบการณ์เรียนรู้ร่วมกันระหว่างแชฟฟ์เลอร์และช่างอู่ซ่อมรถ โดยช่างอู่ซ่อมรถที่เข้าร่วมการฝึกอบรมเทคนิคในครั้งนี้จะได้รับประสบการณ์โซลูชันซ่อมแบบครบวงจรของแชฟฟ์เลอร์ภายใต้แบรนด์ลุค  อีน่า และเอฟเอจี ได้เรียนรู้จากช่างพี่เลี้ยงที่มีคุณวุฒิ อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างชุมชนอู่ซ่อมรถเพื่อให้ไม่พลาดข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เพื่อให้สามารถก้าวไปสู่ความเป็นผู้เชี่ยวชาญและสร้างความไว้วางใจกับลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น

แผนกอะไหล่ทดแทนของแชฟฟ์เลอร์ (Schaeffler Automotive Aftermarket) มีความมุ่งมั่นที่จะใช้โครงการ       นำร่องนี้เพื่อเตรียมตัวช่างซ่อมให้สามารถรับมือกับพัฒนาการทางเทคโนโลยีในโลกแห่งอนาคตได้ นอกจากโครงการศูนย์ฝึกอบรมเทคนิคเคลื่อนที่เร็พ เอ็กซ์เพิร์ดแล้ว ยังมีระบบพอร์ทัล เร็พ เอ็กซ์เพิร์ดสำหรับอู่ซ่อมรถ (Garage portal REPXPERT) ที่ผ่านการออกแบบมาเพื่ออู่ซ่อมรถอิสระที่จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางให้ข้อมูลและบริการต่าง ๆ ของแบรนด์ ลุค อีน่า และเอฟเอจี ของแชฟฟ์เลอร์ทั้งหมด ในรูปแบบเว็บไซต์และแอปพลิเคชันมือถือ เพื่อการเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็น         ได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว และเป็นมิตรต่อผู้ใช้ สามารถดาวโหลดแอปพลิเคชัน REPXPERT ฟรีได้ทั้ง iOS และ แอนดรอยด์  โดยสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://aftermarket.schaeffler.co.th/th/repxpert-garage-portal

โดยในงานเปิดตัวศูนย์ฝึกอบรมเทคนิคเคลื่อนที่ เร็พ เอ็กซ์เพิร์ด อย่างเป็นทางการ ได้รับเกียรติจากผู้บริหารแชฟฟ์เลอร์เข้าร่วมงานดังนี้  นายกอราฟ มิชรา ผู้จัดการบริหารส่วนงานวางแผน พัฒนา และจัดวางกลยุทธ์ธุรกิจ        แผนกอะไหล่ทดแทนประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นายไมก้า เชฟพาร์ด ประธานบริหารแผนกอะไหล่ทดแทน ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และประธานบริหารประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นายชัชวาล  ส้มจีน ผู้อำนวยการ แผนกอะไหล่ทดแทน ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นางสาวศิลัดดา ทับปิ่นทอง ผู้จัดการบริหารส่วนงานธุรกิจออนไลน์และการตลาด แผนกอะไหล่ทดแทนประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และนางสาวมณธิญา ถนอมทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายขาย แผนกอะไหล่ทดแทนประจำประเทศไทย

แชฟฟ์เลอร์ กรุ๊ป – We pioneer motion

แชฟฟ์เลอร์ กรุ๊ป เป็นผู้สร้างแรงผลักดันในการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีการขับเคลื่อน (Groundbreaking) มาตลอด 75 ปี เพียบพร้อมทั้งด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ และบริการระบบยานยนต์ไฟฟ้า (Electric mobility) ระบบขับเคลื่อนปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ (COefficient drives) โซลูชันสำหรับระบบช่วงล่าง อุตสาหกรรม 4.0 การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (Digitalization) และพลังงานสะอาด ทำให้เราเป็นหนึ่งในคู่ค้าที่มีความน่าเชื่อถือในการพัฒนาระบบการขับเคลื่อนให้มีประสิทธิภาพ      มีความชาญฉลาด และมีความยั่งยืนตลอดทั้งอายุการใช้งาน เราขับเคลื่อนเทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนและระบบที่มีความแม่นยำสูงสำหรับระบบขับเคลื่อน (drive train) และระบบช่วงล่าง (แชสซี) รวมถึง ตลับลูกปืนหลายชนิด เหมาะสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท ในปี พ.ศ. 2566  แชฟฟ์เลอร์ กรุ๊ป ทำยอดขายได้ 16,300 ล้านยูโร โดยมีพนักงานมากถึง 83,400 คน  แชฟฟ์เลอร์เป็นหนึ่งในบริษัทดำเนินธุรกิจแบบครอบครัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีนวัตกรรมมากที่สุดในเยอรมนี

แผนกอะไหล่ทดแทนเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนธุรกิจอะไหล่ระดับโลกของแชฟฟ์เลอร์ นอกจากนี้ ยังเป็นผู้รับผิดชอบส่งมอบชิ้นส่วนและคิดค้นโซลูชันการซ่อมที่ครอบคลุมสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถแทรกเตอร์ รวมถึงรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็กและขนาดใหญ่ (Light and heavy commercial vehicle)  แชฟฟ์เลอร์มีความเข้าใจและเชี่ยวชาญในระบบส่งกำลัง (Transmission system)  ระบบเครื่องยนต์ (Engine system) และระบบช่วงล่าง (Chassis system) ทำให้แชฟฟ์เลอร์เป็นที่รู้จักและยอมรับในงานด้านเทคนิค       โซลูชันอัจฉริยะ และงานบริการที่ไม่เป็นรองใคร ในปี พ.ศ. 2565  แผนกอะไหล่ทดแทนของแชฟฟ์เลอร์มียอดขายมากกว่า 2 พันล้านยูโร โดยมีพนักงานมากกว่า 1,700 คน มีคู่ค้าประมาณ 11,500 ราย และมีสำนักงานขายและสำนักงานตัวแทนมากกว่า 70 แห่ง ทั่วโลก ทำให้มั่นใจว่าเราจะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

MSC คว้า 3 รางวัลใหญ่จากงาน IBM Executive Partner Connect 2024

บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MSC คว้า 3 รางวัลใหญ่ ได้แก่ รางวัล 2023 Software Partner of the Year”, “2023 Top Data and AI Solution Partner” และ “2023 Top Hybrid Cloud Modernization Partner” จากงาน IBM Executive Partner Connect 2024 ภายใต้ธีม Transformative Chapter” จัดขึ้นโดย บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด เพื่อประกาศวิสัยทัศน์ และแนวทางการทำธุรกิจในปี 2024 ของ IBM พร้อมกับมอบรางวัลให้แก่ Business Partner ที่มีผลงานดีเด่นด้านต่างๆ ในปี 2023 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันพุธที่ 6 มีนาคม 2567 ณ วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ

บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นำโดย คุณสุชาดา ปิ่นทองพันธ์ รองกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจซอฟต์แวร์โซลูชั่น ขึ้นรับรางวัล 2023 Software Partner of the Year” คุณมีลาภ โสขุมา ผู้ช่วยรองกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจซอฟต์แวร์โซลูชั่น ขึ้นรับรางวัล “2023 Top Data and AI Solution Partner” และ คุณปุณณดา จึงไพศาล รองกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจดิจิตอลโซลูชั่น ขึ้นรับรางวัล 2023 Top Hybrid Cloud Modernization Partner” รับมอบรางวัลจาก คุณอโณทัย เวทยากร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัดMs. Catherine Lian General Manager, IBM AseanMr. Chee Kin Ng Vice President, Technology Sales & Ecosystems Leader, IBM Asean และ Mr. Rodney Regalado Storage Leader, IBM Technology Group, IBM ASEAN

บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2529 เป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษ บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ “ไอบีเอ็ม” และเป็นคู่ค้ารายแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ “เราจะให้บริการอย่างเป็นเลิศแก่ลูกค้าด้วยโซลูชั่นไอทีที่ดีที่สุด” พร้อมมุ่งมั่นร่วมมือในการนำเสนอโซลูชั่นที่ดีที่สุดจาก “ไอบีเอ็ม” เข้าสนับสนุนการทำธุรกิจแก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเลือกใช้เทคโนโลยีที่หลากหลาย อาทิ IBM Hybrid-Cloud, Big Data, AI และ IBM Infrastructure Solution เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ยุคดิจิทัล พร้อมมีส่วนร่วมในความสำเร็จ และความเติบโตทางธุรกิจของลูกค้าต่อไป

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กลุ่มธุรกิจซอฟต์แวร์โซลูชั่น คุณสุภาพรรณ ถ้วนกำจร โทร.02-089-4938 E-mail: supapthu@metrosystems.co.th และกลุ่มธุรกิจดิจิตอลโซลูชั่น คุณชนิดา รัตนพงศ์อำไพ โทร: 02-089-4466 E-mail: chanirat@metrosystems.co.th Website: https://www.metrosystems.co.th/


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผูแทนราษฎร ศึกษาดูงาน มจพ.

.ดร.สุชาติ เซี่ยงฉิน อธิการบดี  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)  กล่าวต้อนรับ นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผูแทนราษฎร และคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรมและคณะ เข้าศึกษาดูงานเกี่ยวกับ การปฏิบัติการเทคโนโลยี ผลงานวิจัย และนวัตกรรมอุตสาหกรรม โดยมี รศ.ดร.ณัฐพงศ์ มกระธัช ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายพัฒนาสิ่งแวดล้อมและกายภาพ มจพ. และที่ปรึกษาประธานประจำคณะกรรมาธิการ กล่าวรายงาน เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2567  ณ ห้องประชุมราชพฤกษ์  ชั้น 1 อาคารนวมินทรราชินี เพื่อศึกษาดูงานด้านงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรม ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ  ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อสร้างองค์วามรู้และแนวคิดจากผลงานต่าง ๆ ไปพัฒนา หรือให้การช่วยเหลือ และสนับสนุนผู้ประกอบการ SME  ทั้งนี้ ได้เข้าเยี่ยมชมอุทยานเทคโนโลยี   ศูนย์ปฎิบัติการเทคโนโลยีและนวัตกรรมระบบราง ศูนย์ปฏิบัติการระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ สถาบันเทคโนโลยีอวกาศนานาชาติเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์อัจริยะและนวัตกรรมดิจิทัล ศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และสำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เดินหน้าปลดล็อกองค์กรไทยสู่ความยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ผนึกซอฟต์แวร์ และ AI

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการจัดการพลังงาน ระบบออโตเมชั่น และความยั่งยืน เผยผลประกอบการปี 2566 ทั่วโลกรายได้ 35,902 ล้านยูโร โตขึ้น ราว 13 เปอร์เซ็นต์ (Organic) และด้วยโซลูชั่นด้านความยั่งยืน ช่วยให้ลูกค้าทั่วโลกลดการปล่อยคาร์บอนในปี 2566 เพียงปีเดียว ได้ถึง 112 ล้านตัน พร้อมปักหมุดเดินหน้าสนับสนุนองค์กรในไทย จากผลการสำรวจ Green Action Gap

นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ประเทศไทย ลาว และเมียนมา เผยว่า ปีที่ผ่านมา รายได้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ทั่วโลก มีความเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาจากหลายๆ องค์กรที่เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสร้างความยั่งยืน และได้นำเทคโนโลยีมาปรับใช้ ซึ่งผลประกอบการปี 2566 ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ทั่วโลกมีรายได้ 35,902 ล้านยูโร โตขึ้น 13 เปอร์เซ็นต์ โซลูชั่นของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นโซลูชั่นที่ช่วยให้องค์กรสร้างความยั่งยืน เราสามารถช่วยให้ลูกค้าทั่วโลกลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 112 ล้านตันในปี 2566 ภายในเพียงปีเดียว เทียบเท่ากับการดูดซับคาร์บอนของต้นไม้ประมาณ 11,200 ล้านต้น หรือมากกว่า

ปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศนับเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ต้องอาศัยความร่วมมือกันในทุกระดับและทุกองค์กร เพื่อให้สามารถไปสู่ความยั่งยืนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จึงได้ทำการสำรวจเป้าหมายด้านความยั่งยืนโดยได้มีการพูดคุยกับผู้นำองค์กรจำนวน 4,500 ราย ใน 9 ประเทศ และ 500 องค์กร ในประเทศไทย เพื่อรวบรวมมุมมองของผู้นำธุรกิจในภูมิภาคเอเชียเกี่ยวกับความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม โดยได้มีการดำเนินการสำรวจร่วมกับ Milieu Insight ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์และวิจัยข้อมูล ด้วยการให้ผู้บริหารระดับกลางถึงระดับสูงในภาคเอกชนเข้าร่วมการสำรวจตอบคำถาม 30 ข้อ เกี่ยวกับความยั่งยืน รวมถึงผลกระทบต่อธุรกิจของตนในประเทศต่างๆ ได้แก่ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน เวียดนาม และประเทศไทย

นายมงคล เผยว่า “จากการสำรวจกลุ่มองค์กรในประเทศไทย พบว่ามีข้อมูลและตัวเลขที่น่าสนใจ โดยเกือบทุกบริษัทหรือมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ตระหนักดีว่า การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญของความยั่งยืน รวมถึงหลายองค์กรให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพการใช้พลังงานเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของแผนความยั่งยืน”

นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่ออุปทานหรืออุปสงค์ด้านพลังงาน ถึง 44เปอร์เซ็นต์ และความสามารถในการฟื้นตัว จำนวน 41 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการเบื้องต้นหรือเทคโนโลยีที่บริษัทต่างๆ ใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านพลังงาน ได้แก่ มาตรการด้านพลังงานและประสิทธิภาพของทรัพยากร จำนวน 51 เปอร์เซ็นต์และพลังงานหมุนเวียนในโรงงาน และการแปลงระบบและการดำเนินงานให้เป็นดิจิทัล ถึง 43 เปอร์เซ็นต์

หลายองค์กรมองว่า ความยั่งยืนสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ถึง 44 เปอร์เซ็นต์ ช่วยสร้างนวัตกรรมและความสามารถในการแข่งขัน ถึง 42 เปอร์เซ็นต์ และช่วยลดต้นทุน ช่วยให้ประหยัด และผลประโยชน์ทางการเงิน ถึง 38 เปอร์เซ็นต์

อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทย  จำนวนถึง 98 เปอร์เซ็นต์ เผยว่าบริษัทมีแผนและมีเป้าหมายด้านความยั่งยืน ขณะที่มีเพียง 53 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น ที่ได้นำกลยุทธ์ความยั่งยืนที่ครอบคลุมไปปรับใช้อย่างชัดเจน ทำให้เกิด ช่องว่างสีเขียว หรือ Green Gap ที่ยังไม่ได้ถูกนำไปปฏิบัติ ถึง 45 เปอร์เซ็นต์ เลยทีเดียว

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ตอกย้ำและมุ่งมั่นนำเสนอนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนด้านความยั่งยืน และได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เสริมพอร์ตโฟลิโอด้านซอฟต์แวร์ นอกเหนือจาก EcoStruxure เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและประสิทธิภาพที่จะนำลูกค้าไปสู่ความยั่งยืนได้อย่างครบวงจรยิ่งขึ้น อาทิ AVEVA, IGE+XAO และ ETAP สำหรับลูกค้าที่ใช้ระบบไฟฟ้าเป็นหลัก และซอฟต์แวร์ RIB, Planon สำหรับอาคาร เป็นต้น เพื่อมอบประสบการณ์ที่ครบวงจรให้กับลูกค้าในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องการเดินทางไปสู่ความยั่งยืน

นายมงคลกล่าวว่า “ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีทิศทางที่ชัดเจน พร้อมเป็นเทคคอมพานี (Tech Company) นำเสนอโซลูชั่นและซอฟต์แวร์ตอบโจทย์ให้กับภาคธุรกิจในทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่การเริ่มต้นในการวางแผน การสร้าง ไปจนถึงกระบวนการดำเนินงานอย่างไรให้ยั่งยืน นอกจากนี้ ยังได้มีการลงทุนกับเทคโนโลยี AI และแมชชีนเลิร์นนิ่ง มาช่วยลูกค้าในการให้คำปรึกษาเพื่อนำเสนอบริการด้านพลังงานและความยั่งยืน ที่ให้มุมมองเชิงลึกและการวิเคราะห์ในส่วนของพอร์ตด้านพลังงานและความยั่งยืนของบริษัท”

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในประเทศไทย เป็นองค์กรที่มุ่งมั่นในการถ่ายทอดองค์ความรู้ และเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนอย่างจริงจัง โดยในปี 2565 ยังได้ริเริ่มโครงการ Green Heroes for life เป็นโครงการด้านความยั่งยืน มีเป้าหมายเพื่อช่วยผลักดันชุมชนของพลเมือง ธุรกิจ และสถาบันที่มีความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ให้มีกิจกรรมร่วมกัน

โดยล่าสุด ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้ออกแคมเปญ Impact Maker ที่มุ่งสนับสนุนให้องค์กรต่างๆ ร่วมและลุกขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงและสร้างโลกที่ยั่งยืนขึ้น ผลักดันเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้วยการดำเนินการปฏิบัติ ลด Green Gap ที่ยังคงมีอยู่ เพราะเรื่องความยั่งยืน เราไม่สามารถสร้างได้โดยเพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย และต้องนำเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วจริง นำมาปรับใช้และช่วยสร้างความยั่งยืน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อีตั้น อิเล็คทริค (Eaton) ขยายโอกาสในตลาดพลังงานไฟฟ้า จับมือพันธมิตรใหม่เซ็นสัญญาทางธุรกิจ

บริษัท อีตั้น อิเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด โดยคุณสุภัทรา รามสูต ผู้จัดการประจำประเทศไทย(ที่สามจากซ้าย) พร้อมด้วยคุณรัฐกร รักยุติธรรม – ผู้จัดการฝ่ายขายอาวุโสกลุ่มผลิตภัณฑ์ Circuit Protection and Control Business (ขวาสุด) เซ็นสัญญาแต่งตั้งพันธมิตรใหม่ พร้อมคุณเอกพิศิษฏ์ เจียรนัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิติสส์ จำกัด และ บริษัท เอวีร่า จำกัด (ที่สามจากขวา) เป็นตัวแทนจากทั้งสองบริษัท

ซึ่งในการแต่งตั้งตั้วแทนจำหน่ายในครั้งนี้ บริษัท ยูนิติสส์ จำกัด จะเป็นผู้จัดจำหน่ายหลักกลุ่มผลิตภัณฑ์ตู้เซฟตี้ สวิซต์ แบรนด์ Eaton ซึ่งนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา มีความคงทน ปลอดภัยและมาตรฐานสูง  ในส่วนบริษัท บริษัท เอวีร่า จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่ายหลักกลุ่มผลิตภัณฑ์เบรคเกอร์ แอร์เซอร์กิต เบรคเกอร์ และแมคเนติก คอนแทคเตอร์ แบรนด์ Eaton โดยมี คุณจีรทีปต์ นิ่มวุ่น ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เอวีร่า จำกัด (ที่สองจากซ้าย) และคุณนฤมล เมี้ยนเงิน ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ยูนิติสส์ จำกัด (ที่สองจากขวา) ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามเซ็นสัญญา ณ ห้องประชุมของบริษัท ยูนิติสส์ จำกัด ถนนพระรามสาม เมื่อเร็วๆนี้


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์เผย 6 แนวโน้มความมั่นคงไซเบอร์ที่สำคัญในปี 2567

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 13 มีนาคม 2567 – การ์ทเนอร์เผย Generative AI, พฤติกรรมพนักงานที่ไม่ปลอดภัย, ความเสี่ยงจากบุคคลที่สาม, ภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง, ช่องว่างการสื่อสารในทีมบริหาร และแนวทางการรักษาความปลอดภัยที่ยึดการยืนยันตัวตนเป็นหลัก ล้วนเป็นปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังและคอยขับเคลื่อนแนวโน้มความมั่นคงไซเบอร์ที่สำคัญ ๆ ในปีนี้

มร.ริชาร์ด แอดดิสคอตต์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “GenAI กำลังสร้างความกังวลใจให้กับผู้บริหารด้านความปลอดภัยในฐานะที่เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ต้องจัดการ อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีนี้ได้มอบโอกาสการควบคุมขีดความสามารถเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในระดับปฏิบัติการ แม้ Gen AI จะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าผู้บริหารยังต้องต่อสู้กับปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมที่ไม่อาจมองข้ามในปีนี้”

ปีนี้เราจะเห็นว่าผู้บริหารด้านความปลอดภัยตอบสนองต่อผลกระทบเหล่านี้ โดยนำแนวทางปฏิบัติ ความสามารถเชิงเทคนิค และการปฏิรูปโครงสร้างมาใช้ภายในโปรแกรมความปลอดภัยของตน โดยมีจุดประสงค์เพื่อปรับปรุงความยืดหยุ่นขององค์กรและเพิ่มประสิทธิภาพฟังก์ชันความปลอดภัยทางไซเบอร์

6 เทรนด์ต่อไปนี้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในหลากหลายด้าน:

เทรนด์ที่ 1: Generative AI – ระยะสั้นยังกังขา แต่ระยะยาวคือความหวัง

ผู้บริหารจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วของ GenAI เนื่องจากแอปพลิเคชันโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) เช่น ChatGPT และ Gemini นั้นยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการดิสรัปต์เท่านั้น ขณะเดียวกันผู้บริหารต่างมีเป้าหมายที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดช่องว่างด้านทักษะ และมอบประโยชน์ใหม่อื่น ๆ สำหรับความมั่นคงทางไซเบอร์ การ์ทเนอร์แนะนำว่าการใช้ GenAI นั้นควรเกิดขึ้นผ่านความร่วมมือเชิงรุกกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทางธุรกิจ เพื่อสนับสนุนการใช้ Disruptive Technology นี้อย่างมีจริยธรรมและตั้งอยู่บนพื้นฐานความปลอดภัย

“สิ่งสำคัญคือเราต้องเข้าใจว่าตอนนี้วิวัฒนาการ GenAI ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น จากการสาธิตหลากหลายที่เราได้เห็นในด้านการดำเนินการความปลอดภัยและในแอปพลิเคชันความปลอดภัยที่เผยให้เห็นคำมั่นสัญญาที่แท้จริง ทำให้ในระยะยาวยังมีความหวังรออยู่สำหรับเทคโนโลยีนี้ แต่ในเวลานี้มีแนวโน้มที่จะเจอกับความอ่อนเปลี้ยของผลผลิตมากกว่าการเติบโตในระดับเลขสองหลัก หลายสิ่งจะได้รับการปรับปรุงยิ่งขึ้น ดังนั้นต้องสนับสนุนการทดลองและจัดการความคาดหวัง โดยเฉพาะภายนอกทีมงานด้านความปลอดภัย”

เทรนด์ 2: มาตรวัดที่ขับเคลื่อนด้วยผลลัพธ์ความมั่นคงไซเบอร์: เชื่อมช่องว่างการสื่อสารในทีมบริหาร

ความถี่และผลกระทบเชิงลบของเหตุความมั่นคงทางไซเบอร์ที่กระทบต่อองค์กรยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของกลยุทธ์ความมั่นคงทางไซเบอร์ของคณะกรรมการและทีมบริหาร โดยมาตรวัดที่ขับเคลื่อนด้วยผลลัพธ์ หรือ Outcome-Driven Metrics (ODMs) ได้ถูกนำมาใช้มากขึ้นเพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถขีดเส้นแบ่งการลงทุนด้านความมั่นคงไซเบอร์และมอบระดับการป้องกันที่ถูกสร้างขึ้น

การ์ทเนอร์ ระบุว่า ODMs เป็นศูนย์กลางในการสร้างกลยุทธ์การลงทุนด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ที่สามารถป้องกันได้ สะท้อนถึงระดับการป้องกันที่ผสมผสานคุณสมบัติที่มีประสิทธิภาพสูง และสามารถสื่อสารในภาษาที่เข้าใจได้ง่าย ๆ ที่ไม่ใช่ฝ่ายไอทีก็สามารถอธิบายได้ สิ่งนี้เป็นการแสดงออกถึงความเสี่ยงที่น่าเชื่อถือและป้องกันได้ ซึ่งสนับสนุนการลงทุนเพื่อเปลี่ยนแปลงระดับการป้องกันโดยตรง

เทรนด์ที่ 3: โปรแกรมวิเคราะห์พฤติกรรมและวัฒนธรรมความปลอดภัยกำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดจากมนุษย์

ผู้บริหารด้านความปลอดภัยตระหนักดีว่าการเปลี่ยนโฟกัสจากการเพิ่มความตระหนักรู้ไปสู่การส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจะช่วยลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ในปี 2570 ครึ่งนึง (50%) ของ CISO ในองค์กรขนาดใหญ่จะนำแนวทางการออกแบบการรักษาความปลอดภัยที่คำนึงถึงผู้ใช้เป็นหลักมาใช้เพื่อลดความขัดแย้งที่เกิดจากความมั่นคงไซเบอร์ และเพิ่มการควบคุมมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยโปรแกรมวิเคราะห์พฤติกรรมและวัฒนธรรมด้านความปลอดภัย หรือ Security Behavior and Culture Programs (SBCPs) สามารถใช้วิเคราะห์และสรุปแนวทางทั่วทั้งองค์กรเพื่อลดเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมพนักงาน

“องค์กรธุรกิจที่ใช้ SBCPs จะได้รับประสบการณ์การยอมรับการควบคุมความปลอดภัยของพนักงานดีขึ้น ลดพฤติกรรมที่ไม่ปลอดภัย เพิ่มความรวดเร็วและความคล่องตัว และนำไปสู่การใช้ทรัพยากรความมั่นคงทางไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากพนักงานมีความสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับความเสี่ยงทางไซเบอร์อย่างอิสระ” แอดดิสคอตต์ กล่าวเพิ่ม

เทรนด์ที่ 4: การจัดการความเสี่ยงของบุคคลที่สามที่ขับเคลื่อนด้วยความยืดหยุ่นและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

เหตุการณ์ความมั่นคงไซเบอร์จากบุคคลที่สามเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และกำลังสร้างแรงกดดันให้ผู้บริหารหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และเลิกใช้แนวปฏิบัติสำหรับการตรวจสอบโดยละเอียดในด้านการลงทุน หรือ Front-Loaded Due Diligence การ์ทเนอร์แนะนำให้ผู้บริหารปรับปรุงการบริหารความเสี่ยงในบริการของบุคคลที่สาม และสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันกับพันธมิตรภายนอก เพื่อให้มั่นใจว่าทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของพวกเขาได้รับการปกป้องอย่างต่อเนื่อง

“เริ่มด้วยการเสริมความแข็งแกร่งให้กับแผนฉุกเฉินสำหรับการมีส่วนร่วมของบุคคลที่สามที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางไซเบอร์สูงสุด หรือสร้าง Playbooks สำหรับเหตุการณ์เฉพาะบุคคลที่สามพร้อมดำเนินการฝึกซ้อม และกำหนดกลยุทธ์ชัดเจนที่เกี่ยวข้องกับการเพิกถอนสิทธิ์ในการเข้าถึงและทำลายข้อมูลอย่างทันที” แอดดิสคอตต์ กล่าวเพิ่ม

เทรนด์ที่ 5: ใช้โปรแกรมจัดการความเสี่ยงจากภัยคุกคามต่อเนื่อง

Continuous Threat Exposure Management (CTEM) เป็นแนวทางปฏิบัติอย่างมีระบบที่องค์กรธุรกิจสามารถใช้ประเมินการเข้าถึง เปิดเผย และใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ดิจิทัลและสินทรัพย์ทางกายภาพอย่างต่อเนื่อง การจัดขอบเขตการประเมินและการแก้ไขให้สอดคล้องกับภัยคุกคามหรือโครงการทางธุรกิจในแบบเฉพาะ แทนที่จะเป็นองค์ประกอบโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเน้นย้ำถึงช่องโหว่และภัยคุกคามที่ไม่สามารถแก้ไขได้

ภายในปี 2569 การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านความปลอดภัยตามพื้นฐานของโปรแกรม CTEM จะพบการละเมิดลดลงถึงสองในสาม โดยผู้บริหารจะต้องตรวจสอบสภาพแวดล้อมดิจิทัลแบบไฮบริดอย่างต่อเนื่อง เพื่อสามารถระบุตัวตนได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และจัดลำดับความสำคัญของช่องโหว่ได้อย่างเหมาะสมที่สุด ช่วยรักษาพื้นผิวการโจมตีให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น 

เทรนด์ที่ 6: การขยายบทบาทการจัดการการเข้าถึงและระบุตัวตน (Identity & Access Management หรือ IAM) เพื่อปรับปรุงผลลัพธ์ความมั่นคงทางไซเบอร์

เมื่อองค์กรหันมาใช้แนวทางการรักษาความปลอดภัยที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลระบุตัวตนเป็นหลักมากขึ้น การมุ่งเน้นจะเปลี่ยนจากการรักษาความปลอดภัยเครือข่ายและการควบคุมแบบดั้งเดิมอื่น ๆ ไปสู่ Identity & Access Management (IAM) ทำให้มีความสำคัญต่อความมั่นคงทางไซเบอร์และผลลัพธ์ทางธุรกิจ ขณะที่การ์ทเนอร์เห็นบทบาทที่เพิ่มขึ้นสำหรับ IAM ในโปรแกรมความปลอดภัย แนวทางปฏิบัติจะต้องพัฒนาเพื่อมุ่งเน้นไปที่ความปลอดภัยขั้นพื้นฐานและเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบเพื่อปรับปรุงความยืดหยุ่น

การ์ทเนอร์แนะนำให้ผู้บริหารมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความแข็งแกร่งและใช้ประโยชน์จากโครงสร้างของข้อมูลระบุตัวตน และใช้ประโยชน์ของการตรวจจับภัยคุกคามรวมถึงการตอบสนอง เพื่อให้แน่ใจว่าความสามารถของ IAM อยู่ในจุดที่ดีที่สุด เพื่อรับมือกับขอบเขตการป้องกันของโปรแกรมความปลอดภัยโดยรวม

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com.


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อีกก้าวความสำเร็จ พีทีที แอลเอ็นจี คว้ารางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจำปี 2566 บทพิสูจน์คุณภาพและมาตรฐานระดับโลก

ในวันที่ 6 มีนาคม 2567 สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ สถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะสำนักงานรางวัลคุณภาพแห่งชาติ จัดงานพิธีมอบรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 22 ประจำปี 2566 ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เพื่อประกาศเกียรติคุณให้แก่ 10 องค์กรไทยที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพ นำโดย กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด ผู้คว้ารางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand  Quality Award) ตามด้วยองค์กรจากหลายภาคส่วน ที่ได้รับรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่น (Thailand Quality Class Plus) และรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Quality Class)

โดยมีนางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เกียรติเป็นประธานในการมอบรางวัล พร้อมด้วย ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานคณะกรรมการรางวัลคุณภาพแห่งชาติ และนายสุวรรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยการสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ร่วมเป็นเกียรติและแสดงความยินดี

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวแสดงความยินดี และเผยถึงความสำคัญของรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมชูศักยภาพทางการแข่งขันขององค์กรไทยในระดับโลก

“กระทรวงอุตสาหกรรมได้กำหนดนโยบายในการส่งเสริมและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมไทย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศสู่ความยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการสร้างความสำเร็จอย่างสมดุลใน 4 มิติ ทั้งด้านความสามารถในการแข่งขัน การได้รับการยอมรับจากชุมชนและสังคม การตอบโจทย์กติกาสากลด้านสิ่งแวดล้อม และการกระจายรายได้สู่ชุมชน ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

รางวัลคุณภาพแห่งชาติ ถือได้ว่าเป็นกลไกที่ช่วยส่งเสริมสนับสนุน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยมาตรฐานของเกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติที่เป็นที่ยอมรับในเวทีโลก จึงเป็นส่วนสำคัญในการช่วยผลักดันและยกระดับผลิตภาพและเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้งยังส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรไทย ภารกิจสำคัญนี้ต้องอาศัยการผนึกกำลังกันทุกภาคส่วน เพื่อช่วยยกระดับสังคมไทยให้พร้อมเดินหน้าสู่ความยั่งยืน สามารถต่อสู้กับทุกความท้าทาย กล้าเผชิญความเปลี่ยนแปลง พร้อมมุ่งสู่เป้าหมายความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ไปด้วยกัน”

ตามด้วยการกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดให้มีพิธีมอบรางวัลคุณภาพแห่งชาติ โดย นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

“กระทรวงอุตสาหกรรม  และคณะกรรมการรางวัลคุณภาพแห่งชาติ สนับสนุนให้มีการจัดพิธีมอบรางวัลคุณภาพแห่งชาติอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อประกาศเกียรติคุณให้แก่องค์กรที่ได้รับรางวัลคุณภาพแห่งชาติ และรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ โดยองค์กรเหล่านี้จะเป็นแบบอย่างที่ดีแก่องค์กรไทยในการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานจัดการองค์กรที่ทั่วโลกยอมรับ

ปีนี้ นับเป็นปีแรกที่มีการมอบรางวัล TQA Leadership Excellence Award แก่ผู้บริหารสูงสุด ขององค์กรที่เคยได้รับรางวัล TQA หรือ TQC Plus จำนวน 21 องค์กร เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติแก่ผู้บริหารองค์กรที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันและกระตุ้นให้องค์กรทุกภาคส่วนในประเทศไทย ด้วยการเผยแพร่ความรู้ในฐานะองค์กรต้นแบบที่เป็นเลิศ ส่งผลให้เกิดการขยายองค์ความรู้ไปสู่ภาคส่วนต่างๆ

นอกจากนี้ยังเป็นที่น่าภูมิใจ ที่องค์กรไทยได้รับรางวัลในระดับนานาชาติ ได้แก่ รางวัล Global Performance Excellence Award (GPEA) ในระดับ World Class ซึ่งแสดงถึงความเป็นผู้นำทางธุรกิจและเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ จำนวน 2 องค์กร ได้แก่ กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน (TQA winner 2022) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด (TQA winner 2021)”

นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานคณะกรรมการรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ได้ประกาศรายชื่อ 10 องค์กรที่ได้รับรางวัล ซึ่งในปีนี้มีองค์กรที่ได้รับรางวัลคุณภาพแห่งชาติ (TQA) 1 องค์กร รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่น (TQC Plus) 3 องค์กร และรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (TQC) 6 องค์กร รวมทั้งสิ้น 10 องค์กร ดังนี้

รางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award)                                                                

  • บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด

รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่น ด้านการปฏิบัติการ (Thailand Quality Class Plus : Operation)       

  • คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่น ด้านนวัตกรรม (Thailand Quality Class Plus: Innovation)            

  • มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่น ด้านการสร้างประโยชน์ให้สังคม (TQC Plus: Societal Contribution)  

  • ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 

รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Quality Class)

  • คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
  • คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
  • คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
  • บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด

 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Advice เปิดกลยุทธ์ Advice Mega Campaign ประเดิมปูพรมจัดงาน Advice IT Expo ทั่วประเทศ

6 มีนาคม 2567 – บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) เปิดแผนปี 2567 ตั้งเป้าเติบโตขึ้น 10% ต่อยอดความสำเร็จจากปีที่ผ่านมาที่ภาพรวมการดำเนินธุรกิจอยู่ในทิศทางบวก กางแผนขับเคลื่อนกลยุทธ์การตลาดปี 2567 ผ่าน “Advice Mega Campaign” ตอบรับความสำเร็จจากการระดมทุนไอพีโอ พร้อมยกระดับงาน Advice IT Expo ใช้ความได้เปรียบทั้งออฟไลน์และออนไลน์ลดช่องว่างทางเทคโนโลยีให้กับผู้บริโภคทุกกลุ่มทั่วประเทศ ด้วยขบวนสินค้า โปรโมชั่น และกิจกรรมพิเศษตลอดเดือนมีนาคม 

ภาพรวมปีที่ผ่านมาแอดไวซ์ได้ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยมิติที่หลากหลาย ทั้งการเพิ่มไลน์สินค้าด้วยผลิตภัณฑ์จาก Apple ภายในร้านสาขาของแอดไวซ์ ที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีทั้งจากหน้าร้านสาขาของแอดไวซ์รวมถึงช่องทางออนไลน์ และนำเสนอประสบการณ์ Hi-End ให้กับผู้ชื่นชอบเสียงเพลงด้วยการจำหน่ายลำโพงไฮเอนด์หลากหลายแบรนด์ ในด้านของบริการหลังการขาย แอดไวซ์ได้รับการแต่งตั้งเป็น Authorized Service Center จาก 7 แบรนด์ชั้นนำ ให้บริการด้วยช่างผู้ชำนาญกว่า 500 คนทั่วประเทศ ในฝั่งลูกค้าองค์กรธุรกิจแอดไวซ์ได้เพิ่มกลยุทธ์ด้านการเข้าถึงและบริการที่ครอบคลุมความต้องการของกลุ่มธุรกิจองค์กรมากยิ่งขึ้น รวมถึงบริการก่อนและหลังการขายแบบครบวงจร 

Advice Mega Campaign เป็นกลยุทธ์หลักของปีที่แอดไวซ์วางแผนนำเสนอให้กับผู้บริโภคผ่านกิจกรรม แคมเปญ ข้อเสนอโปรโมชั่นสุดพิเศษต่าง ๆ ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์ เพื่อเสนอโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี รวมถึงการยกระดับบริการหลังการขายของแอดไวซ์แบบมืออาชีพ ที่พร้อมดูแลลูกค้าตั้งแต่การแนะนำ สอนวิธีใช้สินค้า ตลอดจนช่วยซ่อมแซมสินค้าให้กับลูกค้า โดยทีมผู้ชำนาญงานที่ได้รับการอบรมและรับรองมาตรฐานบริการงานซ่อมบำรุงจากแบรนด์ชั้นนำ

Advice IT Expo เป็นหนึ่งในกิจกรรมใหญ่ของ Advice Mega Campaign ในไตรมาสแรกของปีที่ยกระดับจากเดิมที่จัดเฉพาะในช่องทางออนไลน์ มาเป็นการปูพรมทั้งออนไลน์และออฟไลน์จากสาขาต่าง ๆ กว่า 154 สาขาทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์และเลือกซื้อสินค้าจากสาขาใกล้บ้านโดยไม่ต้องเดินทาง ด้วยสินค้าที่หลากหลายจากแบรนด์ชั้นนำกว่า 16,000 รายการ เสิร์ฟครบทุกความต้องการด้วยสินค้าไอทีการันตีราคาดีที่สุดด้วยส่วนลดสูงสุด 80% พร้อมส่วนลดเพิ่มจาก Shopee สูงสุด 5,000 บาท และโปรโมชั่นพิเศษต่าง ๆ เช่น ผ่อน 0% นานสูงสุด 48 เดือน, ผลิตภัณฑ์ Apple ลดสูงสุด 7,000 บาท พบมหกรรม “หูได้ใจ” เมื่อช้อปสินค้าครบ 10,000 บาท สามารถแลกซื้อลำโพง Hi-end ราคาต่ำกว่าทุนลดสูงสุด 5,000 บาท นอกจากขบวนสินค้าแล้วในงานนี้แอดไวซ์ได้จัดบริการ ซ่อมฟรีไม่มีค่าแรง พร้อมรับส่วนลด Advice Care 50% และรับคูปองส่วนลดค่าบริการ 200 บาท ตลอดทั้งงาน

ทั้งนี้แอดไวซ์ตระหนักถึงการเติบโตของเทคโนโลยีที่ก้าวไปอย่างรวดเร็วจากเทคโนโลยี AI ที่เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในอุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ ส่งผลให้มีความต้องการอุปกรณ์ไอทีที่มากขึ้น งาน Advice IT Expo จะเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการอุปกรณ์ไอทีหรือเทคโนโลยีที่เหมาะกับการใช้งานหรือไลฟ์สไตล์ซึ่งจะมีผลิตภัณฑ์ทั้งในกลุ่ม Performance ที่ช่วยการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือกลุ่ม Value ที่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป รวมถึงกลุ่ม Indulge ที่ตอบโจทย์ไลฟ์ไตล์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการอุปกรณ์เพื่อความสุนทรีย์ในการใช้ชีวิต ด้วยขบวนสินค้าจากแบรนด์ชั้นนำ พร้อมสิทธิประโยชน์ โปรโมชั่นและข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าหน้าร้านสาขาและช่องทางออนไลน์

คุณณัฎฐ์ ณัฐนิธิการัชต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปี 2567 จะเป็นปีของการขับเคลื่อนธุรกิจแบบติดปีกของแอดไวซ์ ทั้งจากการตอบรับเป็นอย่างดีของนักลงทุนหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงการต่อยอดธุรกิจออกไปในสินค้าหรือบริการใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น Apple, Samsung และแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ มากมายที่ให้ความเชื่อมั่นว่าการจับมือกับแอดไวซ์จะเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะยกระดับการดำเนินธุรกิจได้ Advice Mega Campaign ในปี 2567 เป็นภาพใหญ่ที่เราตั้งใจจะมอบให้กับผู้บริโภคทุกกลุ่มทั่วประเทศ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการส่งมอบโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมล่าสุด ซึ่งเป็นเรื่องที่แอดไวซ์ให้ความสำคัญและดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง”

กิจกรรม Advice IT Expo แบ่งจัดกิจกรรมเป็น 4 เฟส ตั้งแต่วันที่ 6 – 31 มีนาคม 2567 ในสาขาแอดไวซ์ที่ร่วมรายการ 160 สาขาทั่วประเทศและบนออนไลน์ที่ https://itexpo.advice.co.th/ ตั้งแต่วันที่ 7 – 10 มีนาคม 2567


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

MSC จัดงาน TRISM Empower Your Infrastructure

บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด จัดงานสัมมนา TRISM: Empower Your Infrastructure” ในวันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 ณ Renaissance Bangkok Ratchaprasong Hotel นำเสนอข้อมูลใหม่ๆ ทางด้านเทคโนโลยี ที่หลากหลายของสินค้า และบริการของเรา รวมถึงการเยี่ยมชมบูธสาธิตโซลูชั่นต่างๆ จากหลากหลายแบรนด์ อาทิ เช่น Commvault, Fortinet, Red Hat, VMware เพื่อเพิ่มศักยภาพรอบด้าน และขยายขีดความสามารถในการดูแลระบบ IT Infrastructure ให้กับองค์กรต่างๆ ผ่านหลักการ TRISM

Transformation   |   Resilience   |   Intelligent   |   Security   |   Management

  • Transformation – ปรับปรุงกระบวนการให้คล่องตัว รวดเร็ว มีมาตรฐานสามารถตรวจได้ ผ่าน Automation Process
  • Resilience – การทำให้ระบบภายในองค์กรมีความยืดหยุ่นต่อภัยคุกคามทางโลกไซเบอร์ จะถูกตรวจจับ สามารถป้องกันหยุดการโจมตีการแหล่งที่มา พร้อมการกู้สภาพข้อมูลของคุณกลับมาให้สามารถใช้งานได้
  • Intelligent – การนำเทคโนโลยี AI มาใช้งานร่วมกับกระบวนการทำงานต่างๆ เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และคาดการถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่องค์กร
  • Security – การยกระดับความปลอดภัยในทุกระดับตั้งแต่ Network Layer ไปจนถึง Application Data Layer ผ่านทาง Next Generation Technology
  • Management – การจัดการทรัพยากรให้รองรับ Workload การทำงานที่หลากหลาย ผ่านฟังก์ชันการทำงานที่ครบถ้วนและมุมมองการ Monitor ที่ครอบคลุมการทำงานได้ทุกภาคส่วน

จากแข่งขันในภาคธุรกิจทุกวันนี้ แต่ละองค์กรจำเป็นต้องการปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับโจทย์ทางธุรกิจที่เกิดในแต่ละวัน IT Infrastructure จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างมั่นคง   จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีเครื่องมือ และกระบวนการที่จะมาช่วยเหลือ เพื่อให้ทีมงานผู้ดูแลสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว และมีระบบที่ปลอดภัย 

Metro Systems Corporation Public Co., Ltd. ความสำเร็จของลูกค้าคือธุรกิจของเรา


Exit mobile version