Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับเมดโทรนิค เปิดศูนย์ฝึกอบรมการผ่าตัดโรคทางด้านกระดูกสันหลัง

วันนี้ (1 เมษายน 2567) ภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับบริษัท เมดโทรนิค (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เปิดตัว “ศูนย์ฝึกอบรมการผ่าตัดโรคทางด้านกระดูกสันหลัง” บ่มเพาะเป็นสถานที่ฝึกอบรมและให้ความรู้เฉพาะทางแก่แพทย์ พยาบาล และบุคลากรการแพทย์จากประเทศไทยและภาคพื้นอาเซียน โดยพิธีลงนามจัดขึ้น ณ ห้องประชุม 1201 โซน ชั้น 12 อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แบบ ซึ่งสอดคล้องกับในหลายประเทศทั่วโลกที่มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น สวนทางกับอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกันกับประเทศไทยที่มีจำนวนเด็กเกิดใหม่ค่อนข้างต่ำ เพียง 600,000 กว่าคนต่อปีเท่านั้น ทำให้ 3 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงวัยอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งโรคที่พบบ่อยในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป และเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพของผู้สูงอายุที่ต้องเผชิญคือ ภาวะโรคกระดูกและข้อ ที่ส่งผลให้ผู้ป่วยสูงวัยมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี นอกจากนี้สถานการณ์โรคที่เกี่ยวข้องกับ “กระดูกสันหลัง” และ “ระบบประสาท” ในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในกลุ่ม “มนุษย์ออฟฟิศ” ที่ต้องเร่งรีบในการทำงาน หรือนั่งทำงานเป็นเวลานาน โดยไม่มีการเปลี่ยนอิริยาบถ พบสูงสุดในกลุ่มอาชีพรับจ้างทั่วไปพนักงานเอกชน รองลงมาคือ กลุ่มทำงานภาคเกษตรกรรม โดยพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ช่วงอายุที่พบมากคือ 45-54 ปี รองลงมาช่วงอายุ 55-64 ปี ดังนั้นการรักษาโรคทางด้านกระดูกสันหลัง จึงเป็นสาขาทางการแพทย์ที่มีความต้องการบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญมากขึ้น เพื่อให้บริการที่มีคุณภาพแก่ผู้ป่วยในประเทศไทยและภาคพื้นอาเซียน จึงนำมาซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้เพื่อพัฒนาศูนย์ฝึกอบรมที่มุ่งเน้นการรักษาโรคทางด้านกระดูกสันหลังและเสริมสร้างสุขภาพของประชาชน

รศ.นพ.ฉันชาย กล่าวว่า โรคทางด้านกระดูกสันหลัง ถือเป็นปัญหาสาธารณสุขและมีผลต่อภาระทางเศรษฐกิจและสังคมอื่นๆ ตามมา ดังนั้นในฐานะที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เป็นโรงเรียนแพทย์ที่มีองค์ความรู้และความสามารถในการเรียนการสอน ผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีนโยบายสนับสนุนการเปิดศูนย์การอบรมทางวิชาการต่างๆ เพื่อให้แพทย์ที่สำเร็จการศึกษาไปแล้วได้กลับเข้ามารับความรู้ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องผ่านหลากหลายช่องทางการเรียนรู้ที่พัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้นับว่าเป็นโอกาสอันดีอย่างยิ่งที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และบริษัท เมดโทรนิค (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมมือในการพัฒนา “ศูนย์ฝึกอบรมการผ่าตัดโรคทางด้านกระดูกสันหลัง” เพื่อเพิ่มศักยภาพและประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ในการรักษาโรคทางด้านกระดูกสันหลังเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และมีเป้าหมายร่วมกันที่จะเป็นสถาบันต้นแบบทางการแพทย์ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ทั้งในและต่างประเทศที่ได้มาตรฐานในระดับสากล

ด้าน รศ.นพ.วิชาญ ยิ่งศักดิ์มงคล หัวหน้าภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ในยุคที่สังคมกำลังเผชิญกับผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น เราทุ่มเทในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านออร์โธปิดิกส์ที่เน้นการรักษาที่มีประสิทธิภาพและยกระดับการให้บริการที่มีคุณภาพ เพื่อรองรับกับการที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัวในอนาคต ทางภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ได้ให้ความสำคัญในการเตรียมความพร้อมในการดูแลรักษาโรคทางด้านกระดูกสันหลัง เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนานิสิตแพทย์ให้มีความรู้ทางทฤษฎีและปฏิบัติที่ตรงกับมาตรฐานทางวิชาชีพโดยให้ความสำคัญกับการประยุกต์ใช้ความรู้ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง รวมถึงการให้บริการที่มีคุณภาพและเน้นความมีส่วนร่วมของผู้ป่วย เราพยายามอย่างไม่หยุดยั้งในการพัฒนาและเป็นผู้นำทางด้านการรักษาโรคด้านกระดูกสันหลังเพื่อการรักษาที่มีคุณภาพและมาตรฐานระดับสากล ด้วยความพร้อมของภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ทั้งในด้านความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในการรักษาที่ทันสมัย การเปิดตัว “ศูนย์ฝึกอบรมการผ่าตัดโรคทางด้านกระดูกสันหลัง” นั้น จึงเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าสำคัญของภาควิชาในการนำองค์ความรู้ที่มีมาพัฒนาแพทย์ในประเทศไทยและภาคพื้นอาเซียน ตามวิสัยทัศน์ “เพื่อการเป็นผู้นำด้านออร์โธปิดิกส์ชั้นนำของประเทศที่ให้ความรู้ด้านทฤษฎีและภาคปฏิบัติแก่นิสิตแพทย์ บัณฑิตแพทย์ และแพทย์ประจำบ้านอย่างมีประสิทธิผล โดยมุ่งให้บริการ ด้วยคุณธรรมและจริยธรรมตามมาตรฐานวิชาชีพและสร้างงานวิจัยที่ตอบสนองความต้องการของสังคม”

ในขณะที่ รศ.นพ.วรวรรธน์ ลิ้มทองกุล หัวหน้าหน่วยศัลยกรรมกระดูกสันหลัง และผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านชีวกลศาสตร์และนวัตกรรมการผ่าตัดกระดูกสันหลัง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า จากความร่วมมือในการจัดตั้ง ศูนย์ฝึกอบรมการผ่าตัดโรคทางด้านกระดูกสันหลัง” คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และบริษัทเมดโทรนิค มุ่งเน้นพัฒนาหลักสูตรองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีและการรักษาที่ทันสมัยเพื่อให้บริการรักษาโรคทางด้านกระดูกสันหลังที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยในประเทศไทยและภาคพื้นอาเซียน เพื่อเตรียมความพร้อมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลังให้กับโรงพยาบาลต่างๆ ช่วยให้แพทย์ที่มารับการฝึกอบรม ได้พัฒนาองค์ความรู้ความสามารถในการรักษาและให้บริการที่ทันสมัย สามารถกลับไปทำหัตถการ ได้ตามแนวทางมาตรฐานสากล ปัจจุบัน ทางภาควิชาออโธปิดิกส์ และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กำลังค้นคว้าวิจัย การนำเทคโนโลยีระบบหุ่นยนต์ช่วยนำทาง มาช่วยในการรักษาโรคทางกระดูกสันหลังด้วยการผ่าตัดแผลเล็ก เพื่อศึกษาถึงประโยชน์และความปลอดภัยในการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการรักษาผู้ป่วย และหากการศึกษาวิจัยครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ก็จะช่วยยกระดับการรักษาโรคทางกระดูกสันหลังของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนได้ดียิ่งขึ้น

 การร่วมมือครั้งนี้เป็นความภูมิใจที่จะนำเสนอการเรียนรู้ ที่ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ สามารถได้รับองค์ความรู้ พัฒนาทักษะการทำหัตถการและการใช้เครื่องมือที่มีเทคโนโลยีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงและทันสมัย ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด มอบประสบการณ์ในการเรียนรู้ และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการอบรมที่มีคุณภาพของคณาจารย์จากภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับบริษัทเมดโทรนิค ที่เป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์ ในการเพิ่มจำนวนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านให้มากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต่อยอดไปยังการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงให้กับผู้ป่วยให้มากยิ่งขึ้นด้วย

ทางด้าน Mr. Paul Verhulst Vice President, Mainland Southeast Asia, Medtronic PLC. กล่าวว่า ในฐานะที่เมดโทรนิคเป็นผู้นำเทคโนโลยีด้านการดูแลสุขภาพและมีศักยภาพในการสนับสนุนอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน เรามีความมุ่งมั่นในการแก้ไขความท้าทายทางด้านสุขภาพ ในการบรรเทาความเจ็บปวดจากโรคภัยต่างๆ ส่งเสริมให้ประชากรทุกคนมีสุขภาพที่ดีและมีชีวิตที่ยืนยาว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544

กว่า 23 ปีที่เมดโทรนิคได้ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับภาครัฐและผู้ให้บริการด้านสุขภาพในทุกภาคส่วน ผ่านหลากหลายโครงการความร่วมมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำทางการแพทย์และสาธารณสุข ในด้านการส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี การอบรมบุคลากรที่มีคุณภาพในการทำหัตถการที่มีความซับซ้อน เพิ่มบุคลากรที่มีความรู้และทักษะไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ เพิ่มการเข้าถึงการรักษาที่ทันสมัยให้กับประชาชน ขับเคลื่อนนวัตกรรมผ่านงานวิจัย ยกระดับศูนย์ฝึกอบรมการผ่าตัดในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค  ซึ่งล้วนถือเป็นการขับเคลื่อนการพัฒนาของระบบสาธารณสุขของประเทศไทยให้อยู่ในระดับสากล และในปี พ.ศ. 2567 นี้ เมดโทรนิค ประเทศไทย จึงมีเป้าหมายที่จะร่วมมือกับภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ในการร่วมกันจัดตั้ง“ศูนย์ฝึกอบรมการผ่าตัดโรคทางด้านกระดูกสันหลัง”ขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการเข้าถึงการเรียนรู้สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ทั้งในและต่างประเทศ” Mr. Paul Verhulst กล่าว

“ทั้งนี้ทางบริษัทฯ มีความยินดี และพร้อมจะสนับสนุนโครงการความร่วมมือ ในการพัฒนาองค์ความรู้ลักษณะนี้กับทุกสถาบัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย ทั้งทางด้านการศึกษา การแพทย์ และสังคมไทย และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยอย่างยั่งยืน และเพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยีสุขภาพของประชาชนไทยได้มากขึ้นในอนาคต” Mr. Paul Verhulst กล่าวทิ้งท้าย

นอกจากนี้ คุณสุชาดา ธนาวิบูลเศรฐ, Senior Country Director บริษัท เมดโทรนิค (ประเทศไทยจำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเมดโทรนิค ให้ความสำคัญกับคนไข้เป็นอันดับแรก โดยมุ่งเน้นในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อใช้ในการผ่าตัดได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย ยกระดับศักยภาพในการผ่าตัดของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพสูงสุด

นอกจากการพัฒนาทักษะของบุคลากรทางการแพทย์ที่เราให้ความสำคัญแล้ว เมดโทรนิคยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์ เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรคที่แม่นยำมากขึ้นและเพิ่มความปลอดภัยในการผ่าตัดให้ดียิ่งขึ้น เรามีการนำระบบหุ่นยนต์ช่วยนำทาง(Robotic Guidance System) และเครื่องช่วยผ่าตัดนำวิถี (O-arm Navigation) ซึ่งเป็นเครื่องสแกนกระดูกสันหลังในขณะผ่าตัด และสร้างภาพกระดูกสันหลังเป็นภาพทั้ง 2 มิติและ 3 มิติ ที่จะช่วยระบุบพิกัดบนภาพสแกนอวัยวะของผู้ป่วยเพื่อประกอบการตัดสินใจของแพทย์ที่จะนำไปสู่การรักษาที่ปลอดภัยมากขึ้น การแสดงผลภาพที่ชัดเจน จะทำให้แพทย์สามารถระบุตำแหน่งของเครื่องมือที่ใส่ ระยะใกล้ไกลเส้นประสาทหรือไขกระดูกสันหลังได้อย่างแม่นยำ สามารถเอ็กซ์เรย์ในห้องผ่าตัดได้โดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายคนไข้ ช่วยยกระดับการรักษาโรคทางกระดูกสันหลังด้วยการผ่าตัดแผลเล็ก (Minimally Invasive Surgery) ทำให้คนไข้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

ความร่วมมือจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมการผ่าตัดกระดูกสันหลังในครั้งนี้ได้ช่วยส่งเสริมการพัฒนาทักษะทางด้านผ่าตัดกระดูกสันหลังที่มีความซับซ้อน ให้มีผลลัพธ์ทางการรักษาที่ดีแก่ผู้ป่วย ผ่านการถ่ายทอดความรู้ให้กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และบุคลากรทางด้านสาธารณสุขทั้งในประเทศและภูมิภาคอาเซียน ให้มีทักษะการผ่าตัดที่ก้าวหน้าเพิ่มขีดความสามารถของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้พร้อมรับมือกับโรคกระดูกสันหลังที่มีความทาทายยิ่งขึ้น เพิ่มจำนวนบุคลากรมีความเชี่ยวชาญในภูมิภาค ลดการพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ พัฒนาระบบการดูแลสุขภาพในประเทศ เพิ่มการเข้าถึงการรักษาได้ทันท่วงที การทำงานร่วมกันเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบเชิงบวกอย่างมากต่อการรักษาโรคกระดูกสันหลังทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

PetPaw ฉลองเปิดแฟล็กชิพสโตร์ที่แรก! ย่านเลียบด่วนรามอินทรา

PetPaw (เพ็ทพอว์ร้านจำหน่ายสินค้าเพื่อสัตว์เลี้ยง ฉลองเปิดแฟล็กชิพสโตร์ (Flagship Store) แห่งแรก ภายใต้แนวคิด  เพ็ทพอว์เพื่อนซี้มีได้ทุกสายพันธุ์ ” เอาใจเหล่าทาสและเจ้านายกับพื้นที่เพ็ทช็อปที่กว้างใหญ่กว่าที่เคย สัมผัสประสบการณ์ช้อปแบบเต็มรูปแบบ พร้อมพบกับบริการใหม่ล่าสุด  เพ็ทพอว์กรูมมิ่ง ” เป็นที่แรกที่สาขาเลียบด่วนรามอินทรา เริ่มให้บริการ เมษายนนี้ เป็นต้นไป โอกาสนี้ได้จัดงานเพื่อฉลองเปิดสาขาใหม่ในธีมงาน  PetPaw Grand Opening รวมพลโฮ่ง&เมี้ยว ” ให้ได้ร่วมสนุกกับกิจกรรมสุดพิเศษลุ้นรับของรางวัลสำหรับน้องหมา น้องแมว และช้อปเพลินกับแบรนด์สินค้าสัตว์เลี้ยงมากกว่า 15 แบรนด์

คุณตฤณสิษฐ์ จารุรังสีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฟร์พอส์ จำกัด เผยว่า  เทรนด์การดูแลสัตว์เลี้ยงในไทยที่เติบโตอย่างต่อเนื่องนั้น ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าและบริการเพื่อสุขภาพสัตว์เลี้ยงมียอดขายสูงถึง หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8 – 10 ต่อปี โดยเฉพาะช่วงที่ผ่านมา กลุ่มคนโสด เพศทางเลือก หรือแม้กระทั่งกลุ่มผู้สูงอายุ ให้ความสนใจเลี้ยงสัตว์เลี้ยงสูงขึ้น โดยเฉพาะสัตว์เล็ก Exotic ที่ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ 

PetPaw มีจุดมุ่งหมายคือการให้บริการและจัดจำหน่ายสินค้าประเภทอาหาร และผลิตภัณฑ์ดูแลสัตว์เลี้ยงที่มีคุณภาพ ในราคาที่เหมาะสม นอกจากนั้นยังเอาใจกลุ่มผู้เล่นโซเชียลด้วยการเปิดตัวแอพพลิเคชั่นสำหรับสัตว์เลี้ยงที่เหมาะกับคนเลี้ยงสัตว์ คนรักสัตว์ ได้มาแบ่งปันความน่ารักของเหล่าสัตว์เลี้ยงผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย หรือจะสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์จากบ้านก็ได้เช่นกั

ในเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมา PetPaw ได้เปิดให้บริการร้านเพ็ทช็อปโดยประเดิมสาขาแรกที่ ปตท.พระราม กล้วยน้ำไท เพื่อจำหน่ายสินค้าที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น อาหาร ของใช้ ของเล่น ในราคาที่สามารถช้อปปิ้งได้ทุกวัน รวมถึงสินค้าพรีเมี่ยมนำเข้าจากหลากหลายประเทศ เน้นสร้างประสบการณ์ที่ดีด้วยการจัดเรียงสินค้าตามหมวดหมู่ ใส่ใจในการให้บริการ คอยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้เพลิดเพลินไปกับการเลือกซื้อสินค้า ดูแลมาตรฐานการต้อนรับของพนักงานภายในร้าน แนะนำโปรโมชั่นส่วนลดในแต่ละเดือน อีกทั้งมี  Loyalty Program “Paw Member” ให้ลูกค้าได้ซื้อสินค้าในราคาสมาชิกพร้อมสะสมยอดซื้อเพื่อแลกรับส่วนลดในครั้งต่อไป

ปัจจุบัน ร้าน PetPaw มีให้บริการแล้ว 11 สาขาในกรุงเทพ ปริมณฑล ภาคเหนือ ภาคใต้ และล่าสุดได้เปิดตัวร้านเพ็ทช็อปแห่งใหม่ สาขาเลียบด่วนรามอินทรา ซึ่งมีขนาดพื้นที่กว้างที่สุด ให้ลูกค้าได้สัมผัสกับประสบการณ์การช้อปที่มากยิ่งขึ้น และพบกับบริการใหม่ เพ็ทพอว์กรูมมิ่ง” บริการอาบน้ำตัดขน ด้วยมาตรฐานระดับสากลจาก Thonglor Groomer Academy ที่จะเริ่มให้บริการ เมษายนนี้ เป็นต้นไป

ในโอกาสฉลองเปิดสาขาใหม่ PetPaw ได้จัดงานภายในธีม “PetPaw Grand Opening รวมพลโฮ่ง&เมี้ยว” ให้เหล่าทาสและเจ้านายร่วมสนุกกับกิจกรรมสุดพิเศษ พร้อมลุ้นรับของรางวัลสำหรับน้องหมา น้องแมว อาทิ กิจกรรม Walk Rally ตะลุยด่านเก็บแต้มเพื่อรับรางวัลตรวจสุขภาพเบื้องต้นโดยสัตวแพทย์โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อบริการอาบน้ำแห้งจากแบรนด์ Nano Series, Workshop ปลอกคอสัตว์เลี้ยงเพื่อเป็นที่ระลึกเกมแข่งกินเร็ว จากแบรนด์ Pramy, เกมใครล่ะะอดใจไหว จากแบรนด์ Prama, เกมตักไข่สุ่มลุ้นรับรางวัลใหญ่ จากแบรนด์ Petidea พร้อมทั้งบูธสินค้าสัตว์เลี้ยงมากกว่า 15 บรนด์ รวมถึงหาสมาชิกเพิ่มได้จากมูลนิธิหมากระสอบ และ OCD Pet Lovers Club

นอกจากนี้ ได้เชิญเหล่าสัตว์เลี้ยงเซเลบ Influencer ชื่อดัง อย่าง สตีฟจิ๊บ Steve Jibs – เด้นติสต์ชีวิตติดเที่ยว, Million Travel Dlogger, หมาสองใบ, Chico Dog reviews, แม่แมวขอรีวิวกลุ่มแต่งบ้านให้แมวอยู่,กลุ่ม Cat Review ร่วมพบปะกับเหล่าคนรักสัตว์และสร้างความสนุกสนานภายในงานด้วย

คุณตฤณสิษฐ์ ได้กล่าวปิดท้ายว่า  PetPaw ตั้งเป้าปี 67 เร่งติดปีกขยายสาขาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพิ่มเป็น 20 – 30 สาขา โดยเน้นขยายการบริการแบบครบวงจร ประกอบด้วยสินค้าที่หลากหลาย ตอบโจทย์กลุ่มคนเลี้ยงสัตว์เลี้ยง บริการอาบน้ำตัดขน และด้านสุขภาพสำหรับสัตว์เลี้ยงในอนาคต รวมถึงมองหาโอกาสและพันธมิตรทางกลยุทธ์เพื่อขยายฐานสู่ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อไป ”


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ผลการศึกษาของซิสโก้ชี้ มี “องค์กรเพียงไม่กี่แห่ง” ในไทยที่พร้อมรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน

กรุงเทพฯ, 29 มีนาคม 2567 — มีองค์กรในไทยเพียง 9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มี ‘ความพร้อมเต็มที่’ (Mature) ในการรับมือกับความเสี่ยงด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ยุคใหม่ ตามที่ระบุไว้ในรายงานดัชนี “ความพร้อมด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ (Cybersecurity Readiness Index) ประจำปี 2567” ของซิสโก้

รายงานดัชนี “ความพร้อมด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ประจำปี 2567” ของซิสโก้ ได้รับการจัดทำขึ้นในยุคที่มีการเชื่อมต่อถึงกันอย่างหลากหลาย (hyperconnectivity) และสถานการณ์ภัยคุกคามมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว  ทุกวันนี้ บริษัทต่างๆ ยังคงตกเป็นเป้าหมายการโจมตีด้วยเทคนิคที่แตกต่างมากมาย ตั้งแต่ฟิชชิ่งและแรนซัมแวร์ ไปจนถึงการโจมตีจากซัพพลายเชนและโซเชียล เอนจิเนียริ่ง ถึงแม้ว่าองค์กรต่างๆ จะมีการติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันการโจมตีเหล่านี้ แต่ก็ยังคงประสบปัญหาในการป้องกันภัยคุกคามอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมาตรการรักษาความปลอดภัยที่มีความซับซ้อนมากจนเกินไป เนื่องจากมีการติดตั้งโซลูชั่นเฉพาะจุดจำนวนมาก ก็ส่งผลให้องค์กรประสบความยากลำบาก

ปัญหาท้าทายเหล่านี้เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมการทำงานแบบกระจายในปัจจุบัน ซึ่งข้อมูลสามารถแพร่กระจายไปยังการให้บริการ อุปกรณ์ แอปพลิเคชั่น และผู้ใช้จำนวนมากอย่างไม่จำกัด  อย่างไรก็ตาม 89% ของบริษัทที่ตอบแบบสอบถามยังคงรู้สึกมั่นใจใน ‘ระดับปานกลางถึงระดับสูงมาก’ เกี่ยวกับความสามารถในการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ในปัจจุบัน  ความแตกต่างระหว่าง ‘ความเชื่อมั่น’ และ ‘ความพร้อม’ นี้ชี้ให้เห็นว่าบริษัทต่างๆ อาจมีความมั่นใจที่ผิดเกี่ยวกับความสามารถของตนเองในการรับมือกับภัยคุกคาม และอาจไม่สามารถประเมินความรุนแรงที่แท้จริงของปัญหาท้าทายกำลังเผชิญอยู่ได้อย่างถูกต้อง

รายงานดัชนี “ความพร้อมด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ประจำปี 2567” ของซิสโก้: บริษัทที่ ‘ไม่เตรียมพร้อมและมีความมั่นใจมากเกินไป’ ต้องเผชิญและรับมือกับภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

รายงานดัชนีนี้ประเมินความพร้อมของบริษัทใน 5 ด้านที่สำคัญ ได้แก่ ระบบอัจฉริยะด้านข้อมูลบุคคล, ความยืดหยุ่นของเครือข่าย, ความน่าเชื่อถือของแมชชีน, ความแข็งแกร่งของคลาวด์ และการเสริมกำลังด้วย AI  ซึ่งประกอบด้วยโซลูชั่นและฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้อง 31 รายการ โดยอิงจากการสำรวจความคิดเห็นแบบปกปิดสองทาง (Double-Blind) ของผู้บริหารฝ่ายรักษาความปลอดภัยและฝ่ายธุรกิจขององค์กรเอกชนมากกว่า 8,000 คนใน 30 ประเทศทั่วโลก โดยการสำรวจความคิดเห็นครั้งนี้ดำเนินการโดยองค์กรอิสระ  ผู้ตอบแบบสอบถามถูกขอให้ระบุว่ามีโซลูชั่นและฟีเจอร์ใดบ้างที่พวกเขาได้ติดตั้งใช้งาน รวมถึงระดับของการใช้งาน จากนั้นบริษัทต่างๆ ถูกแบ่งกลุ่มตามระดับความพร้อม 4 ระดับ ได้แก่ ระดับ Beginner (ระดับเริ่มต้น), Formative (ระดับสร้างฐานความพร้อม), Progressive (ระดับก้าวหน้า) และ Mature (ระดับพร้อมเต็มที่)

จีทู พาเทล, รองประธานบริหารและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายระบบรักษาความปลอดภัยและการทำงานร่วมกันของซิสโก้ กล่าวว่า “เราไม่ควรละเลยความเสี่ยงจากภัยคุกคามที่เกิดจากความมั่นใจเกินไปของเรา องค์กรในปัจจุบันจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการลงทุนในแพลตฟอร์มแบบครบวงจร และนำ AI มาใช้เพื่อการดำเนินการของแมชชีน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะช่วยให้องค์กรมีความได้เปรียบในการป้องกันมากขึ้น”

ข้อมูลที่พบจากผลการศึกษา

โดยรวมแล้ว จากผลการศึกษาพบว่า บริษัทในไทยมีเพียง 9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่พร้อมรับมือกับภัยคุกคามในปัจจุบัน โดยองค์กรมากกว่าครึ่งหนึ่ง (54%) มีความพร้อมในระดับเริ่มต้น หรือระดับสร้างฐานของความพร้อม ขณะที่บริษัทต่างๆ ทั่วโลก 3% มีระดับความพร้อมเต็มที่ นอกจากนั้น:

  • เหตุการณ์ทางไซเบอร์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต: 65% ของผู้ตอบแบบสอบถาม คาดการณ์ว่า เหตุการณ์ด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้จะทำให้ธุรกิจของพวกเขาหยุดชะงักใน 12 ถึง 24 เดือนข้างหน้า  การที่องค์กรขาดความพร้อมอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายที่มีมูลค่าสูงมาก โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 51% กล่าวว่าพวกเขาประสบกับเหตุการณ์ด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และ 69% ขององค์กรที่ได้รับผลกระทบระบุว่าปัญหาที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายอย่างน้อย 300,000 ดอลลาร์
  • การติดตั้งโซลูชั่นเฉพาะจุดมากเกินไป: แนวทางแบบเดิมๆ ในการติดตั้งโซลูชั่นเฉพาะจุดจำนวนมากสำหรับการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ โดย 92% ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่าการมีโซลูชั่นเฉพาะจุดจำนวนมากส่งผลให้ทีมทำงานได้ช้าลงในการตรวจจับการโจมตี การตอบสนอง และการกู้คืนระบบ ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลใจเป็นอย่างมาก โดย 75% ขององค์กรกล่าวว่าพวกเขาได้ติดตั้งโซลูชั่นด้านการรักษาความปลอดภัยแบบเฉพาะจุด 10 โซลูชั่นขึ้นไป ขณะที่ 35% มีอย่างน้อย 30 โซลูชั่น
  • อุปกรณ์ที่ ‘ไม่ปลอดภัย’ และ ‘ไม่มีการจัดการ’ สร้างความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น: 94% ของบริษัทกล่าวว่าพนักงานของตนเข้าถึงแพลตฟอร์มของบริษัทจากอุปกรณ์ที่ไม่มีการจัดการ และ 42% ของบริษัทเหล่านั้นใช้เวลาหนึ่งในห้า (20%) ในการล็อกออนเข้าสู่ระบบเครือข่ายของบริษัทจากอุปกรณ์ที่ไม่มีการจัดการ  นอกจากนี้ 26% รายงานว่าพนักงานมีการสลับไปมาระหว่างเครือข่ายต่างๆ อย่างน้อยหกเครือข่ายในหนึ่งสัปดาห์
  • การขาดแคลนบุคลากรทางไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง: องค์กรต่างๆ ไม่สามารถพัฒนาด้านความปลอดภัยอย่างเต็มศักยภาพเนื่องจากขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถ โดยบริษัท 91% เน้นย้ำว่าปัญหานี้นับเป็นเรื่องสำคัญ  และที่จริงแล้ว บริษัท 43% พบว่าพวกเขายังคงขาดแคลนบุคลากรในตำแหน่งงานที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์มากกว่า 10 อัตราในช่วงที่มีการสำรวจความคิดเห็น
  • การลงทุนด้านไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต: บริษัทต่างๆ ตระหนักถึงปัญหาท้าทายดังกล่าว และกำลังดำเนินการเพื่อยกระดับการป้องกัน โดย 65% มีแผนที่จะอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีครั้งใหญ่ใน 12 ถึง 24 เดือนข้างหน้า  ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจาก 47% ที่วางแผนจะทำเช่นนั้นในปีที่แล้ว โดยองค์กรต่างๆ วางแผนที่จะอัปเกรดโซลูชั่นที่มีอยู่ (70%) ปรับใช้โซลูชั่นใหม่ (53%) และลงทุนในเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI (61%)  นอกจากนี้ เกือบทั้งหมด (99%) ของบริษัทที่ตอบแบบสอบถามคาดว่าจะเพิ่มงบประมาณด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ใน 12 เดือนข้างหน้า และ 94% กล่าวว่างบประมาณของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10%

เพื่อเอาชนะปัญหาท้าทายเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยคุกคามในปัจจุบัน บริษัทต่างๆ ต้องเร่งดำเนินการลงทุนที่สำคัญในระบบรักษาความปลอดภัย รวมถึงการใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่เป็นนวัตกรรมใหม่, การปรับใช้แนวทางแพลตฟอร์มการรักษาความปลอดภัย, การเสริมความยืดหยุ่นของเครือข่าย, การใช้งาน Gen AI อย่างเหมาะสม และเพิ่มบุคลากรที่มีความสามารถเพื่อลดช่องว่างของทักษะด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้

วีระ อารีรัตนศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ ซิสโก้ ประเทศไทย และเมียนมาร์ กล่าวว่า “สถานการณ์ภัยคุกคามในปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้น ขณะที่บริษัทต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย ยังไม่มีการเตรียมความพร้อมอย่างเพียงพอ รายงานดัชนีความพร้อมด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ล่าสุดของเราเปิดเผยว่า บริษัทในไทยเพียง 9% เท่านั้นที่มี ‘ความพร้อมอย่างเต็มที่’ ในการรับมือกับความเสี่ยงด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ยุคใหม่ ซึ่งลดลงจากปี 2566 ที่องค์กรมีความพร้อมอยู่ที่ 27%  องค์กรธุรกิจในไทยจึงจำเป็นที่จะต้องปรับใช้แนวทางแพลตฟอร์มแบบหลายทาง (multi-pronged platform approach) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ตั้งแต่การลงทุนในมาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ไปจนถึงการใช้ประโยชน์จาก Gen AI เพื่อปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัย ลดช่องว่างด้านบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ และวางรากฐานสำหรับการเตรียมความพร้อมในทุกๆ ส่วนทั่วทั้งองค์กร”

ข้อมูลเพิ่มเติม:

 

เกี่ยวกับ ซิสโก้ (Cisco)

Cisco (NASDAQ: CSCO) เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่เชื่อมต่อทุกสิ่งอย่างปลอดภัยเพื่อให้ทุกสิ่งเป็นไปได้ เป้าหมายของซิสโก้คือขับเคลื่อนอนาคตสำหรับทุกคนโดยช่วยลูกค้าคิดใหม่ (reimagine) เกี่ยวกับแอปพลิเคชัน ขับเคลื่อนการทำงานแบบไฮบริด รักษาความปลอดภัยให้กับองค์กร ทรานส์ฟอร์มโครงสร้างพื้นฐาน และบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน เปิดประสบการณ์กับซิสโก้ที่ห้องข่าว The Newsroom และติดตามข่าวสารของซิสโก้บน X ที่ @Cisco.


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ครั้งแรก! ใน SEA “ห้างเซ็นทรัล” จับมือ “TikTok Shop” มอบประสบการณ์ช้อปปิ้งไร้ขีดจำกัด ผ่านอีเว้นท์สุดชิคใจกลางกรุง

ห้างเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ของเมืองไทย ผนึกกำลังร่วมกับ TikTok Shop ผู้นำเทรนด์ Shoppertainment ประเดิมความสนุกรับเทศกาลช้อปช่วงซัมเมอร์ 2024 จัดเอ็กซ์คลูซีฟ อีเว้นท์ครั้งแรกใน Southeast Asia กับ “TikTok Shop I Central Exclusive Launch Only on Mall” ภายใต้คอนเซ็ปต์ จะอยู่ไหน ก็ช้อปมั่นใจเหมือนอยู่ห้าง ย้ำศักยภาพผู้นำห้างออมนิชาแนลที่เชื่อมระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์ให้ลูกค้าได้รับความสนุกอย่างสมบูรณ์แบบ

นางสาว รวิศรา จิราธิวัฒน์ ประธานบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เล่าถึงการผนึกกำลังในครั้งนี้ว่า “ห้างเซ็นทรัลเล็งเห็นความสำคัญของการสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อมาโดยตลอด เราจึงเป็นรีเทลแรกที่สร้างแพลตฟอร์มออมนิชาแนลจนแข็งแกร่ง และคำนึงถึงการพัฒนารูปแบบของแคมเปญให้ตอบโจทย์กับทุก Touch Point ของกลุ่มลูกค้าของห้าง รวมถึงมุ่งขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ ในฐานะ No.1 Shopping Destination เพราะอยากให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายมากที่สุดในทุกการช้อป และในครั้งนี้เราร่วมกับ TikTok Shop จัดเอ็กซ์คลูซีฟอีเว้นท์ TikTok Shop I Central Exclusive Launch Only on Mall” บริเวณชั้น 1  ห้างเซ็นทรัล แอท เซ็นทรัลเวิล์ด รวมตัวสายช้อป และเหล่าครีเอเตอร์ชื่อดังมาเอนจอยความสนุกด้วยกันในครั้งนี้ และเชื่อว่าด้วยศักยภาพของห้างเซ็นทรัลที่มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง การันตีความน่าเชื่อถือจากลูกค้าทั่วประเทศมากว่า 77 ปี มีหน้าร้าน มีสาขาทั่วประเทศ จะหนุนให้ลูกค้าช้อปมั่นใจยิ่งขึ้นบน Central TikTok Shop Mall เสริมให้ลูกค้าของเราทั้ง 2 แบรนด์ได้สัมผัส O2O Experience (Online-to-Offline) หรือประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อเชื่อมระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์ได้อย่างแท้จริง และยังได้รับสิทธิพิเศษทั้งบน Central App และบน Central TikTok Shop ซึ่งเราคาดว่าความพิเศษในครั้งนี้จะสร้างยอดขายได้มากกว่า X5 เท่าเมื่อเทียบกับวันปกติ

ด้าน นางสาว กรณิการ์ นิวัติศัยวงศ์, Head of FMCG, E-Commerce – TikTok Shop Thailand กล่าวเสริมว่า “เรายินดีที่ได้จับมือกับห้างเซ็นทรัลในการมอบประสบการณ์ Shoppertainment อีกขั้นของการช้อปปิ้งที่ผสานรวมเข้ากับความบันเทิงแก่นักช้อปไทยผ่าน TikTok Shop Mall แหล่งซื้อสินค้าคุณภาพ การันตีของแท้จากแบรนด์ชั้นนำที่เพิ่งเปิดตัวล่าสุด รวมถึงความสนุกของกิจกรรมภายใต้อีเว้นท์ TikTok Shop I Central Exclusive Launch Only on Mall’ ตั้งแต่วันนี้ – 31 มี.ค. 2567 ที่ชวนเหล่าครีเอเตอร์ชื่อดังมาทำ Live Commerce และนำเสนอคอนเท้นต์การช้อปที่สนุกสนานในธีมต่าง ๆ ช่วงตลอดระยะเวลาของแคมเปญและยังมีกิจกรรมสุดพิเศษ ให้เหล่านักช้อปได้ใกล้ชิดกับศิลปินชื่อดัง โดยลูกค้าที่ช้อปผ่าน Mall ของ Central ใน TikTok Shop Mall จะได้รับสิทธิฟรีค่าจัดส่ง คืนสินค้าและรับเงินคืนภายใน 15 วัน พร้อมมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งที่สะดวกสบายและมั่นใจได้เหมือนช้อปที่ห้าง” 

โดยไฮไลท์ครั้งนี้ ห้างเซ็นทรัล และ TikTok Shop ขอเชิญลูกค้าทุกท่านร่วมสนุกกับประสบการณ์ช้อปปิ้งสุดเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมทริคการสร้างสรรค์คอนเทนต์ของกองทัพเหล่าครีเอเตอร์แถวหน้าของเมืองไทย อาทิ จันจิ จันจิรา จันทร์พิทักษ์ชัย, ตือ สมบัษร ถิระสาโรช, นัท นิสามณี เลิศวรพงศ์, มายด์ ณภศศิ สุรวรรณ และ ครีเอเตอร์คนดังอื่น ๆ อีกมากมาย ที่มาร่วมทำไลฟ์สตรีมมิ่ง พร้อมกิจกรรมให้เหล่าช้อปเปอร์ได้ Meet & Greet กับศิลปินชื่อดัง อาทิ  ต้า นันคุณ ภัคภัทรพรพบ, บาร์โค้ด ตฤณสิษฐ์ อิสระพงศ์พร และ ฟิล์ม ธนภัทร กาวิละ เป็นต้น ที่ ห้างเซ็นทรัล แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 1 Event Arena ตั้งแต่วันนี้ – 31 มีนาคม 2567


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Acer ชูความเป็นผู้นำนวัตกรรมไอที คว้า 2 รางวัล สุดยอดแบรนด์ 2024 Thailand’s Most Admired Brand

บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด รับรางวัล 2024 Thailand’s Most Admired Brand และ 2023-2024 Thailand’s Most Admired Company จากนิตยสารแบรนด์เอจ โดยในปีนี้ เอเซอร์ ยังครองอันดับหนึ่งในการเป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือที่สุดในกลุ่มธุรกิจไอที และแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค ในหมวดผลิตภัณฑ์ IT และดิจิทัล กลุ่มคอมพิวเตอร์พกพา

นายนิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด เป็นตัวแทนเข้ารับรางวัลในครั้งนี้ โดยกล่าวว่า ทั้ง 2 รางวัลที่ได้รับถือเป็นการยืนยันความสำเร็จที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการจนได้รับความเชื่อถือและความไว้วางใจจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยรางวัล 2024 Thailand’s Most Admired Brand ได้รับติดต่อกันเป็นปีที่ 14 และรางวัล 2023-2024 Thailand’s Most Admired Company ได้รับติดต่อกันเป็นปีที่ 5 เอเซอร์ขอขอบคุณผู้บริโภคที่มอบความเชื่อมั่นและไว้วางใจด้วยดีตลอดมา เอเซอร์ยังคงมุ่งมั่นในการนำเสนอนวัตกรรม พัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดเพื่อตอบสนองความต้องการและเพื่อให้ผู้บริโภคได้มั่นใจในผลิตภัณฑ์และบริการของเอเซอร์ต่อไป


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

HIS MSC ร่วมงาน THAIFEX HOREC ASIA 2024

บริษัท เอชไอเอส เอ็มเอสซี จำกัด หรือ HIS MSC ร่วมงาน “THAIFEX HOREC ASIA 2024” ในวันที่ 6-8 มีนาคม 67 ณ อาคาร 9-12 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งภายในงานเป็นการรวมโซลูชั่นธุรกิจครบวงจร ทั้งกลุ่มธุรกิจสำหรับโรงแรม ร้านอาหาร และการจัดเลี้ยง

HIS MSC Company Limited” ร่วมกับ UBIQ GLOBAL และ Singapore Pavilion ร่วมออกบูธเพื่อแสดงโซลูชั่นซอฟท์แวร์ของบริษัท ทั้ง The SuperApp ERP Hotel Accounting, The SuperApp Sales Management, HMS Property Management Systems, MYRA Self Check in Kiosk ซึ่งในงานได้มีผู้ประกอบการในกลุ่ม Hotel Chains เข้าเยี่ยมชมงานมากมาย

“HIS MSC นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพสูงด้วยความเป็นมืออาชีพที่เหนือกว่า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเติบโตของลูกค้าด้วยความสำเร็จอย่างยั่งยืน มายาวนานกว่า 30 ปี”


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เอปสันโชว์นวัตกรรมการพิมพ์ล่าสุด ในงาน LFP Innovation Day ครั้งแรกในกรุงเทพฯ

กรุงเทพฯ27 มีนาคม 2024 – เอปสัน ผู้นำด้านการพิมพ์ระดับมืออาชีพ จัดงาน LFP Innovation Day เป็นครั้งแรก ณ กรุงเทพฯ ประเทศไทย โดยงานนี้จัดแสดงเทคโนโลยีการพิมพ์ระดับนวัตกรรมล่าสุดสำหรับวงการสิ่งทอและค้าปลีก ครบเครื่องด้วยแอปพลิเคชั่นที่ใช้ในการจับคู่โปรไฟล์สี และการพิมพ์สำเนาภาพถ่ายของช่างภาพมืออาชีพ

งาน LFP Innovation Day 2024 จัดขึ้นในรูปแบบโซลูชั่นให้ผู้ร่วมงานเดินชมผลงานพิมพ์และการสาธิตเครื่อง เพื่อ ให้เข้าใจกระบวนการทำงานของเครื่องพิมพ์และแอปพลิเคชั่นที่ได้การปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานทางธุรกิจได้ ด้วยประสิทธิภาพต้นทุนที่เหมาะสมและสามารถลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมผ่านระบบการพิมพ์ผ้าแบบดิจิทัล

“ในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องพิมพ์หน้ากว้างสำหรับการพิมพ์ผ้า รูป และป้ายโฆษณา เอปสันมุ่งมั่นที่จะสร้างอนาคตโลกการพิมพ์ด้วยนวัตกรรม งาน LFP Innovation Day ถือเป็นโอกาสของเราในการนำเสนอโซลูชั่นการพิมพ์ที่ล้ำสมัยพร้อมรองรับองค์กรธุรกิจทุกขนาด โดยที่เราได้มีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับทั้งลูกค้าและพันธมิตร เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเทคโนโลยีของเราจะช่วยให้องค์กรธุรกิจต่างๆ ลดขั้นตอนการทำงานและทำงานได้ง่ายขึ้น” นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

LFP Innovation Day มีการสาธิตผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม โดยแบ่งออกเป็นโซนต่างๆ อาทิ:

  • นวัตกรรมเครื่องพิมพ์ป้ายโฆษณา – โซลูชั่นนี้มาพร้อม Auto Color Chart Reading Portable Table รุ่นใหม่ และเครื่องวัดความทึบแสง SD-10 Spectrophotometer ของเอปสัน ช่วยลดเวลาจัดการงานสี โดยการสาธิตใช้งานโซลูชั่นจะแสดงการปรับแต่งค่าสี และยืนยันค่าสีของเครื่องพิมพ์ ที่เป็นตัวช่วยให้งานพิมพ์มีสีที่สม่ำเสมอและแม่นยำ
  • นวัตกรรมเครื่องพิมพ์ผ้าระบบดิจิทัล – การสาธิตแสดงความสามารถในการขยายธุรกิจ หรือการปรับ แต่งงานตามความต้องการด้วยเครื่องพิมพ์ระบบ Dye Sublimation ของเอปสัน ครอบคลุมทุกขั้นตอนการพิมพ์รวมถึงขั้นตอนที่เกี่ยวกับการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมจากพันธมิตรต่างๆ  อาทิ Cricut
  • นวัตกรรมเครื่องพิมพ์ผลิตภัณฑ์สำหรับธุรกิจร้านค้า – โซลูชั่น Epson Craft Studio ที่ช่วยให้ผู้ใช้อัปโหลดรูปเพื่อสั่งพิมพ์บนวัสดุหลากหลายชนิดผ่านเครื่องพิมพ์หน้ากว้างของเอปสัน โซลูชั่นนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถเริ่มต้นการเสนอสินค้าและบริการได้โดยไม่ยุ่งยากซับซ้อน โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเข้าสู่วงการผลิตสินค้าของที่ระลึก Epson Craft Studio จะเปิดให้ใช้ในรูปแบบสมาชิกรายเดือน ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนการทำงานภายในร้าน นับตั้งแต่ขั้นตอนสั่งโปสเตอร์และสินค้า ขั้นตอนพิมพ์ หรือขั้นตอนจัดส่ง โดยเอปสันจะเริ่มให้บริการนี้ตั้งแต่ปลายปี 2567 เป็นต้นไป
  • นวัตกรรมเครื่องพิมพ์ภาพถ่ายระดับมืออาชีพ – การสาธิตครอบคลุมตั้งแต่การถ่ายภาพไปถึงขั้นตอนการพิมพ์ เพื่อให้ผู้ชมได้เห็นงานพิมพ์มีคุณภาพและความแม่นยำสูง เมื่อมี Epson SureColor SC-P6530D เป็นตัวช่วย นอกจากนี้ยังมีโซลูชั่น Minilab มาในรูปแบบสตูดิโอถ่ายรูปและพิมพ์รูปด้วยตนเอง โดยใช้เครื่องพิมพ์ Epson SureLab SL-D530 และ SL-D1030 เพื่องานพิมพ์คุณภาพสูง

ในงาน LFP Innovation Day 2024 เอปสันยังเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นล่าสุด อาทิ Epson SureColor SC-V1030 เครื่องพิมพ์หมึกยูวี สำหรับงานพิมพ์ขนาด A4 เหมาะกับการผลิตสินค้ารูปแบบใหม่และของขวัญ รวมถึง Epson SureColor SC-F1030 ซึ่งเป็นเครื่องพิมพ์ผ้าที่มีขนาดเล็กที่สุดของเอปสัน

  • เทคโนโลยีล้ำสมัยที่มาพร้อมรุ่น SC-V103 ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้กระบวนการพิมพ์ง่ายดายยิ่งขึ้น แต่ยังให้งานพิมพ์คุณภาพสูงไม่ว่าจะพิมพ์กับวัสดุชนิดใด ทั้งสิ่งทอ ผ้า ไม้ และอะคริลิค ช่วยสร้างความเป็นไปได้มากมายในเชิงธุรกิจ ส่งผลให้ผู้ใช้งานมีมุมมองที่กว้างขวางยิ่งขึ้นและนำเสนอสินค้าและบริการใหม่ๆ ให้แก่ลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้น
  • นอกจากนี้แล้ว พรินเตอร์ระดับนวัตกรรมรุ่นใหม่อย่าง SC-F1030 ยังพร้อมแปลงโฉมร้านขายของขวัญและสินค้าแปลกใหม่เข้าสู่ยุคที่สินค้าและบริการสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ พร้อมด้วยฟีเจอร์อินเตอร์แอคทีฟ พรินเตอร์รุ่นนี้สามารถพิมพ์ลงผ้าได้โดยตรง (เหมาะกับพิมพ์ของชิ้นใหญ่) รวมทั้งสามารถ พิมพ์ลงแผ่นฟิล์มโดยตรงด้วย (เหมาะกับพิมพ์โลโก้ขนาดเล็ก) เจ้าของเครื่องจึงมีความยืดหยุ่นในการสร้าง สรรค์งานให้ลูกค้าพร้อมเติมเต็มความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้แล้ว งาน LFP Innovation Day 2024 ยังจัดแฟชั่นโชว์เพื่อนำเสนอผลงานจากคอลเล็กชันพิเศษเฉพาะที่เอปสันได้ร่วมมือกับ 7 ดีไซเนอร์จากกลุ่ม ASEAN Fashion Designers Showcase (AFDS)  ในการสร้างคอลเล็กชันที่มีชื่อว่า “Sustainability in Asia” ซึ่งออกแบบสะท้อนความมุ่งมั่นทุ่มเทต่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ สัตว์ป่า และสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น โดยเครื่องแต่งกายทุกชิ้นในคอลเล็กชันดังกล่าว พิมพ์ด้วยพรินเตอร์ระบบ Dye Sublimation ของเอปสัน อาทิ SureColor SC-F6430, SureColor SC-F9430H และ SureColor SC-F10030     

สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ LFP Innovation Day 2024 ได้ที่ https://www.epson.co.th/innovationday


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“TikTok Shop Mall” นำเสนอ Seamless Shopping Experiences ขั้นสุดแก่นักช้อปไทย

TikTok Shop โซลูชั่นอีคอมเมิร์ซเพื่อช้อปปิ้งและขายสินค้าชั้นนำในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดตัว  TikTok Shop Mall พร้อมแล้วสำหรับนักช้อปไทยที่มองหาแหล่งซื้อสินค้าคุณภาพจากแบรนด์ชั้นนำ สร้างความมั่นใจให้นักช้อป ด้วยแบรนด์ ร้านค้า และผู้ขายสินค้าแบรนด์ชั้นนำมากมายบน TikTok Shop Mall  พร้อมเติมเต็มประสบการณ์ Shoppertainment ที่มีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น โดยผู้ซื้อสามารถค้นหาและซื้อสินค้าได้โดยตรงกับร้านค้าชั้นนำในประเทศไทย สอดคล้องกับข้อมูลของ TikTok Shop ที่พบว่าผู้บริโภคต้องการซื้อสินค้ากับร้านค้าที่ได้รับการรับรอง (Certified Store)

TikTok Shop ยังมุ่งมั่นสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบ Infinity Loop โดยทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นตั้งแต่การค้นพบไปจนถึงการพิจารณา การซื้อ และการรีวิว แล้วกลับไปสู่การค้นพบอีกครั้งซึ่งมีส่วนช่วยทำให้เศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศเติบโต Statista คาดการณ์การเติบโตตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยปี 2567 ที่ประมาณ 11,630 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน Euromonitor คาดว่า Retail E-commerce ของไทยจะเติบโตเฉลี่ย 15.4% ในช่วงปี 2567-2570  ดังนั้นการตลาดออนไลน์และการสนับสนุนลูกค้าจึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซ

ผลการศึกษาของ TikTok Shop ยังพบว่าผู้บริโภคยินดีจ่ายเพื่อความสบายใจและมั่นใจว่าได้ซื้อสินค้าจากแบรนด์โดยตรง สิ่งนี้สะท้อนถึงภาพรวมและพฤติกรรมความเชื่อมั่นในการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ผู้บริโภคต่างมองหาสินค้าแท้ที่มีคุณภาพ TikTok Shop Mall ได้ทดลองให้บริการมาตั้งแต่ต้นปี 2567  โดยวันนี้แบรนด์ ร้านค้าบน TikTok Shop Mall ที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นร้านค้าใน Mall มีมากกว่าพันราย และมีสินค้าแบรนด์แท้ 100% ครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์ยอดนิยมได้แก่แฟชั่นและเครื่องประดับ (Fashion & Accessories), เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล (Beauty & Personal Care), อาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverages), เครื่องใช้ไฟฟ้า (Electronic Devices) และเครื่องใช้ในครัวเรือน (Household Items)

สัญลักษณ์ Mall” ของ TikTok Shop Mall  คือเครื่องหมายแสดงความมั่นใจกับประสบการณ์บนแพลตฟอร์มสำหรับนักช้อปว่าสินค้าและผลิตภัณฑ์เป็นของแท้ จากร้านค้าที่ได้รับการรับรอง รวมถึงสามารถคัดกรองและรู้ตัวตนผู้ขายที่น่าเชื่อถือได้อย่างง่ายดาย ด้วยสัญลักษณ์ Mall” ผู้บริโภคสามารถค้นพบแบรนด์ที่ตรงตามความต้องการได้ง่ายขึ้นพร้อมคำแนะนำที่เพิ่มขึ้น และไฮไลท์สำคัญสำหรับผู้ซื้อคือ เมื่อซื้อสินค้าภายใน TikTok Shop Mall และหากไม่พอใจในสินค้าผู้ซื้อสามารถคืนสินค้าและรับเงินคืนภายใน 15 วัน ในขณะที่ผู้ค้าหรือแบรนด์จะได้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นจากการเพิ่มการมองเห็นของผู้ซื้อ ตั้งแต่ Shoptab, Banner, Mall Entrance ฟรีค่าบริการจัดส่งไปจนถึง Landing Page นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมส่งเสริมการขายสำหรับร้านค้าใน Mall โดยเฉพาะ เช่น Brand Canival, Brand Zone และที่สำคัญสำหรับร้านค้าใน Mall จะได้รับคูปองจัดส่งฟรีเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษอีกด้วย

คุณกรณิการ์ นิวัติศัยวงศ์, Head of FMCG, E-Commerce – TikTok Shop Thailand กล่าวว่า “TikTok Shop ได้รับการจัดอันดับจาก Priceza Insight ให้เป็นผู้เล่นหลักของ Ecommerce Channel ในหมวด Marketplace TikTok Shop Mall เป็นมาร์เก็ตเพลสที่จะช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างโอกาสในการเข้าถึงสินค้าและบริการให้กับผู้ซื้อได้โดยตรง ในทางกลับกันผู้ซื้อก็สามารถได้รับความมั่นใจว่าการใช้จ่ายของเขาต่อสินค้าและบริการได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าและตรงกับความต้องการ  และด้วยระบบนิเวศของเราในฐานะแพลตฟอร์มเอนเตอร์เทนเมนท์ที่น่าเชื่อถือสำหรับทุกคน ทั้งครีเอเตอร์ไทย ธุรกิจทุกขนาด และคอมมูนิตี้ผู้ใช้ในประเทศไทย เรามั่นใจว่า TikTok Shop Mall จะช่วยเติมเต็มเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย”

“TikTok Shop Mall เป็นมากกว่าบริการอีคอมเมิร์ซแต่ยังตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเราที่ต้องการช่วยยกระดับธุรกิจท้องถิ่น ด้วยการนำเสนอแพลตฟอร์มอีคอมเมิรซ์สำหรับ SMB ในการนำธุรกิจและขายสินค้าบนโลกออนไลน์ไปสู่อีกขั้นหนึ่งให้เติบโตควบคู่ไปกับแบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับในตลาด” คุณกรณิการ์ กล่าวเพิ่มเติม


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“HMC Polymers” ชูแนวคิด “PP ENDLESS SOLUTIONS FOR MORE” มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน เผยปี 2566 กวาดรายได้ 2.5 หมื่นล้านบาท

บริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ จำกัด หรือ HMC Polymers  ผู้นำด้านการผลิตและจำหน่ายเม็ดพลาสติก โพลีโพรพิลีน หรือ PP รายแรกและใหญ่ที่สุดของประเทศไทยและชั้นแนวหน้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แถลงข่าวเดินหน้าผลักดันธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมชูแนวคิด “ENDLESS SOLUTIONS FOR MORE” หรือ “ยิ่งสร้างสรรค์ ยิ่งล้ำหน้า ยิ่งใช้งาน ยิ่งยั่งยืน…ไม่รู้จบ” ภายใต้การนำทัพของ Mr. Corso Uzielli (คอร์โซ อูซีลลี่) ตอกย้ำความเป็นผู้นำการผลิตและจำหน่ายเม็ดพลาสติก PP เกรดพรีเมียมแตกต่างจากผู้ผลิตอื่น ๆ ในตลาด ผ่านกลยุทธ์ความยั่งยืนทั้ง 3 Pillars ประกอบด้วย Circularity, Carbon Neutrality และ Connectivity   ด้วยเทคโนโลยีระดับโลกที่ทันสมัยหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้ไม่สิ้นสุด ช่วยลดการใช้ทรัพยากรโลกปล่อยก๊าซคาร์บอนให้น้อยลง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อชีวิตที่สะดวกสบายในวันนี้ เพื่อโลกยุคใหม่ที่ยั่งยืนถึงวันหน้า ทั้งนี้ HMC Polymers เผยผลประกอบการปี 2566 รายได้รวม 2.5 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าปี 2567  กวาดรายได้มากกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท

นายคอร์โซ อูซีลลี่ ประธานบริษัท HMC Polymers เผยถึงแนวคิดในการดำเนินธุรกิจว่า “การก้าวสู่ปีที่ 41 HMC Polymers ยังคงเดินหน้าคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ พัฒนาสู่ความเป็นเลิศทั้งในด้านฐานการผลิตและการดำเนินธุรกิจทุก ๆ มิติอย่างต่อเนื่อง มุ่งผลักดันให้สายการผลิตที่ 4 ของโรงงานโพลีโพรพิลีน (PP4) ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปลายปี 2565 ดำเนินการผลิตสูงสุดเต็มศักยภาพ  พร้อมนำเทคโนโลยี Spherizone อันทันสมัยที่สุดในการผลิตเม็ดพลาสติก PP จากบริษัท LyondellBasell ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของ HMC Polymers สู่การผลิตเม็ดพลาสติก PP เกรดพิเศษ (Specialty) และเกรดคุณภาพสูง (Differentiated) เพื่อการนำไปใช้งานที่หลากหลายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มการแพทย์และสุขอนามัย กลุ่มบรรจุภัณฑ์ทั้งแบบแข็งและแบบยืดหยุ่น และกลุ่มชิ้นส่วนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่” นายคอร์โซ กล่าวทิ้งท้าย

นายพรชัย พิชิตวุฒิกร รองประธานอาวุโส สายงานกลยุทธ์ นวัตกรรม และพาณิชยกิจ กล่าวถึงกลยุทธ์ในมุมการผลักดันผลิตภัณฑ์สู่ความยั่งยืน โดยเริ่มจาก Circularity Pillar ว่า นอกจากการรักษามาตรฐานของเม็ดพลาสติก PP เกรดพิเศษ (Specialty) และเกรดคุณภาพสูง (Differentiated) ให้เหนือกว่าคู่แข่งเสมอ  เรายังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน (Sustainable Products) ซึ่งแบ่งได้ตามคุณสมบัติเด่นทั้ง 3 ประเภท คือ

  • Reduce เม็ดพลาสติก PP ชนิด Bio-based ที่ผลิตจากวัตถุดิบที่ใช้แล้ว เช่น น้ำมันพืชที่ใช้แล้ว เป็นต้น ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในการกระบวนผลิต โดยเม็ดพลาสติก PP ชนิด Bio-based ได้รับการรับรอง ISCC PLUS จากหน่วยงาน International Sustainability and Carbon Certification ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล ที่ให้การรับรองผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน / เม็ดพลาสติก PP แบบ Downgauging ที่มีความแข็งแรงและประสิทธิภาพการใช้งานสูงมาก จึงสามารถลดเนื้อพลาสติกในการขึ้นรูปชิ้นงานได้  แต่ยังใช้งานได้ดีดังเดิม
  • Recycle : เม็ดพลาสติก PP รีไซเคิลเชิงเคมี (Chemical Recycling PP) คือ การนำพลาสติกที่ใช้แล้วมาผ่านกระบวนการทางเคมีที่เรียกว่า Pyrolysis ก่อนนำมาเป็นวัตถุดิบผลิตเม็ดพลาสติก PP อีกครั้ง โดยเม็ดพลาสติก PP รีไซเคิลเชิงเคมี ได้รับการรับรอง ISCC PLUS เช่นกัน /  เม็ดพลาสติก PP รีไซเคิลเชิงกล (Mechanical Recycling PP) คือ เม็ดพลาสติก PP รีไซเคิล ที่ผลิตจากพลาสติก PP ที่ผ่านการใช้งานจากผู้บริโภคแล้ว (Post-Consumer Recycled, PCR) หรือพลาสติก PP จากการทิ้งหรือไม่ตรงตามความต้องการระหว่างกระบวนการผลิตภาคอุตสาหกรรม (Post-Industrial Recycled, PIR)  โดยเม็ดพลาสติก PP รีไซเคิลเชิงกล ได้รับการรับรองมาตรฐาน GRS (Global Recycled Standard) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล ที่ให้การรับรองผลิตภัณฑ์รีไซเคิล
  • Redesign & Replace : เม็ดพลาสติก PP Monomaterial เม็ดพลาสติก PP สำหรับทดแทน Aluminum Foil ส่งผลให้บรรจุภัณฑ์ฟิล์มเป็นพลาสติกเนื้อเดี่ยว หรือ Monomaterial นำไปรีไซเคิลได้ง่ายขึ้น เพราะไม่มีวัตถุดิบชนิดอื่นปะปน

ในส่วน Carbon Neutrality Pillar นั้น  ณ ปัจจุบันเราได้เตรียมตัวเพื่อก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ  โดยการจัดทำข้อมูลฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint Products – CFPs) สำหรับผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ จำนวน 29 ผลิตภัณฑ์ในปี 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อรวมกับปี 2565 ทำให้มีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองรวมแล้ว 60 ผลิตภัณฑ์   นอกจากนี้  HMC Polymers ได้ก่อสร้างหอเผาระดับพื้น (Ground Flare) เพื่อลดมลพิษจากการเผาไหม้ที่หอเผาสูง (Elevated Flare) ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ควบคุมควันดำได้เป็นอย่างดี  รวมถึงลดเสียงและแสง  โดยเป้าหมายต่อไปของเรา คือ “Zero Flare” ลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศโลก    

             

กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนเสาสุดท้ายได้แก่ Connectivity Pillar คือ การนำองค์ความรู้ นวัตกรรม เทคโนโลยีของบริษัทฯ เชื่อมโยงและสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในสังคม อาทิ การจัดทำ แพลตฟอร์ม PP Reborn ชุบชีวิต PP กับ HMC Polymers เพื่อให้ภาคประชาชนได้ส่งพลาสติก PP ใช้แล้วกลับเข้าสู่ระบบผลิตอีกครั้งตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยล่าสุดพลาสติก PP ใช้แล้วที่ได้จากแพลตฟอร์มฯ ยังได้รับการนำไปอัพไซเคิลเป็น Bed Pan หรือ หม้อนอนสำหรับผู้ป่วย ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับมูลนิธิอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมถึงกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.)

นางสาวอังคณี สุนทรสวัสดิ์ รองประธาน สายการเงิน บัญชีและงานสนับสนุนองค์กร ได้กล่าวปิดท้ายงานแถลงข่าวถึงภาพรวมและแผนกลยุทธ์การเงินของ HMC Polymers ว่า “แม้การเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกในปี 2566 จะชะลอตัวจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังขาดปัจจัยสนับสนุนตั้งแต่ช่วงต้นปี 2566 และแม้สาธารณรัฐประชาชนจีนจะกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลังเปิดประเทศ แต่ยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวมากนัก ทั้งนี้ ธุรกิจปิโตรเคมีโดยรวมยังคงอยู่ในภาวะอ่อนตัวจากปัจจัยอุปสงค์ยังคงชะลอตัวจากสภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นและอุปทานส่วนเกิน ซึ่งเกิดจากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาในระหว่างปี ส่งผลให้การเติบโตของความต้องการผลิตภัณฑ์ PP ชะลอตัวและราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้รับปัจจัยเชิงบวกจากการมุ่งเน้นในผลิตภัณฑ์ PP เกรดพิเศษ (Specialty) และเกรดคุณภาพสูง (Differentiated) ซึ่งมีการแข่งขันน้อยกว่าและมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่า ในส่วนของการขายนั้น บริษัทฯ กระจายรายได้ไปยังอุตสาหกรรมปลายทางและจำหน่ายในหลายประเทศ (Market Diversification) ผ่านช่องทางการจำหน่ายที่มีอยู่ทั่วโลก ทำให้ปี 2566 HMC Polymers มีรายได้รวมประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้าเกรดพิเศษ SPDP (Specialty-Differentiated) กว่า 53% ของรายได้รวม ภาพรวมฐานะการเงินมีความแข็งแกร่งด้วยสินทรัพย์รวมมากกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท กระแสเงินสดมีสภาพคล่องในระดับเพียงพอ ด้วยฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง การเป็นผู้นำในธุรกิจ PP ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงการเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้ HMC Polymers ได้รับการจัดอันดับเครดิตโดย บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด อยู่ในระดับ ‘A-(tha)’ นอกจากนี้ บริษัทฯขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีให้ โดยในเดือนตุลาคม 2566 บริษัทฯ จำหน่ายหุ้นกู้เต็มวงเงิน 3,800 ล้านบาท เกินจากเป้าที่ตั้งไว้ คือ 3,000  ล้านบาท ช่วยตอกย้ำความพร้อมในการดำเนินธุรกิจไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและแข็งแกร่งบนรากฐานของความอย่างยั่งยืน”

ทั้งนี้ HMC Polymers  ยังคงเดินหน้าคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ พัฒนาสู่ความเป็นเลิศทั้งในด้านฐานการผลิต และการดำเนินธุรกิจทุก ๆ มิติอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค  ควบคู่ไปกับการบริหารงานสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

กองกลาง มจพ. เชิญชวน ปิดไฟเป็นเวลา 1 ชั่วโมง (60+ Earth Hour 2024)

กองกลาง สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)  เชิญชวนทุกท่านเป็นหนึ่งร่วมรณรงค์ลดโลกร้อน ด้วยการปิดไฟเป็นเวลา 1 ชั่วโมง (60+ Earth Hour 2024) พร้อมกันทั่วโลกในวันเสาร์ที่ 23 มีนาคม 2567 เวลา 20.30 – 21.30 . เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าอย่างรู้คุณค่า ถอดปลั๊ก ปิดไฟ ปิดแอร์ ปิดพัดลม และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ที่ไม่ได้ใช้งาน  การร่วมปิดไฟ 1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน (60+ Earth Hour 2024) อีกครั้งในปีนี้ปิดไฟไปพร้อมกับเมืองใหญ่ทั่วโลกนับเป็นการรวมพลังกันปิดไฟและงดใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเพื่อช่วยประหยัดพลังงานอีกทั้งกระตุ้นให้ให้ทุกๆคนร่วมกันแก้ไขและบรรเทาปัญหาโลกร้อนไปด้วยกันซึ่งปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งกิจกรรมที่อยู่กับประชาชนและคนไทยทั้งประเทศไปแล้ว

การร่วมกิจกรรมปิดไฟ 1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน (60+ Earth Hour 2024) ของกองกลาง มจพ. เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมเข้าไปในกระบวนการทำงาน โดยกิจกรรมดังกล่าวยังสามารถดำเนินงานคู่ขนานไปกับการดำเนินงานสำนักงานสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  (Green Office)ที่มีความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี พ.. 2561 – 2580

ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (.. 2566-2570) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และยังสอดรับกับกรอบนโยบาย 4 มิติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในมิติที่ 2 : สร้างและพัฒนาองค์ความรู้ และผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว

สำหรับกิจกรรมร่วมปิดไฟ 1 ชั่วโมงเพื่อลดโลกร้อน หรือ 60+ Earth Hour 2024  เป็นการรณรงค์ลดภาวะโลกร้อนและประหยัดพลังงานที่สื่อสารไปในระดับนานาชาติ โดยมีองค์กรต่าง ๆ ที่ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดกิจกรรมปิดไฟลดโลกร้อน กระตุ้นให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงการรักษ์สิ่งแวดล้อมกันอย่างต่อเนื่อง กิจกรรมร่วมปิดไฟ  1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน (60+ Earth Hour 2024) ในส่วนของกองกลาง  มจพ. ได้จัดกิจกรรมนี้ขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ขอเชิญชวนพร้อมร่วมกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์โดยพร้อมเพียงกัน ลดการใช้พลังงานและปิดไฟที่ไม่จำเป็น เช่น ไฟประดับ  ไฟอาคาร การถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช้งาน ลดการใช้เครื่องปรับอากาศ ในอาคารบ้านเรือน เป็นเวลา 1 ชั่วโมง

ขวัญฤทัย ข่าว


Exit mobile version