Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ลงนามความร่วมมือวิจัยและพัฒนายานวัตกรรมและวัคซีน

กรุงเทพฯประเทศไทย 29 เมษายน 2567 –  บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด (บริษัทในเครือของ บริษัท เมอร์ค แอนด์ คัมปานี อินคอร์ปอเรท (Merck & Co.) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองราย์เวย์ มลรัฐนิวเจอร์ซี ประเทศสหรัฐอเมริกา) ได้ลงนามสัญญาความร่วมมือ กับ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ผ่านโครงการ “ความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนายานวัตกรรมและวัคซีน” ในประเทศไทย โดยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 8 ความร่วมมือของไซต์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการศึกษาวิจัย ทั้งยาและวัคซีนนวัตกรรม และยกระดับมาตรฐานการวิจัยทางคลินิก (Clinical Research) เพื่อให้เกิดการพัฒนางานด้านค้นคว้าวิจัยยาและวัคซีนใหม่ในการป้องกันโรค ที่สอดคล้องกับแนวโน้มการเกิดโรคในปัจจุบัน

นายดีเรก ซีเกอร์ หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติด้านการวิจัยทางคลินิกระดับโลก ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท เอ็มเอสดี จำกัด กล่าวว่า “เอ็มเอสดี ในฐานะผู้ค้นคว้า วิจัยและพัฒนายาและวัคซีนที่เป็นนวัตกรรมเพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการป้องกันและรักษาโรค  ปัจจุบันในโครงการนี้เราได้ดำเนินการพัฒนาความร่วมมือกับหน่วยงานด้านการวิจัย 31 แห่งในกว่า 18 ประเทศทั่วโลก และ 8 แห่งในประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อพัฒนาความร่วมมือในการศึกษาวิจัยและพัฒนายาและวัคซีน  ที่สามารถนำมาใช้สนับสนุนการป้องกันและรักษาโรคต่างๆ ที่เป็นปัญหาด้านสาธารณสุข อาทิ โรคมะเร็ง โรคติดเชื้อ และโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน สำหรับการลงนามสัญญาความร่วมมือ กับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ถือเป็นการตอกย้ำความตั้งใจ ความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่ให้ความสำคัญในการวิจัยทางคลินิก นอกจากนี้ ยังแสดงถึงศักยภาพของบุคลากรด้านการวิจัยค้นคว้าของเรา ที่มีความพร้อมในการประสานงานกับหน่วยงานด้านการวิจัยทั่วโลก รวมไปถึงในประเทศไทย ซึ่งเราได้ทำงานด้านการวิจัยทางคลินิกกับหน่วยวิจัยต่างๆ หลายแห่งทั่วประเทศมากกว่า 30 ปีอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งสัญญาความร่วมมือ กับทางคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลนี้ เปรียบเสมือนการยกระดับการวิจัยและการพัฒนานวัตกรรมทางด้านยาและวัคซีนควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพนักวิจัยของประเทศ ในระยะยาว พร้อมเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยเข้าถึงยานวัตกรรมในโครงการฯ เพื่อรักษาโรค  อันจะส่งผลดีกับการพัฒนาสุขภาวะของประชาชนไทยในอนาคต”

รองศาสตราจารย์ นายแพทย์วินัย รัตนสุวรรณ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นเป็นสถาบันที่ส่งเสริมการวิจัยด้านคลินิกแนวหน้าในระดับภูมิภาคเอชีย เพื่อพัฒนาและส่งเสริมระบบสุขภาพ รวมทั้งคุณภาพการดูแลรักษาผู้ป่วยผ่านนวัตกรรมการวิจัยขั้นสูงที่ได้มาตรฐานระดับสากล โดยทีมแพทย์ผู้วิจัยและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งความร่วมมือกับ บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด ผ่านโครงการวิจัยและพัฒนายานวัตกรรมและวัคซีนในครั้งนี้ ถือเป็นความมุ่งมั่นของทั้ง 2 ฝ่ายในการช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยในประเทศไทยเข้าถึงยาและวัคซีนใหม่ได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยยกระดับสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย” 

ดร. แมรี่ เสรฐภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า “เอ็มเอสดี ประเทศไทย มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการประสานให้เกิดความร่วมมือระหว่าง ฝ่ายปฏิบัติด้านการวิจัยทางคลินิกระดับโลก ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ตลอดระยะเวลากว่า 70 ปีที่ยาและวัคซีนของเอ็มเอสดี ได้เข้ามามีส่วนให้แพทย์ใช้ในการรักษาโรคให้กับผู้ป่วยและป้องกันโรคในประเทศไทย เราได้ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงหน่วยงานด้านสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการนำยาและวัคซีนที่ผ่านการวิจัยมาตรฐานในระดับโลกเข้ามาในประเทศไทย เพื่อตอบสนองต่อแนวโน้มการเจ็บป่วยที่ต้องการการป้องกันและรักษาด้วยวัคซีนและยานวัตกรรมมากยิ่งขึ้น และจะดำเนินการต่อไปซึ่งนั่นคือพันธกิจของเรา ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพในการวิจัยทางคลินิกเพื่อการพัฒนายาและวัคซีน ด้วยมีความพร้อมในทุกด้าน ทั้งด้านศักยภาพของบุคลากรทางการแพทย์ มีแพทย์นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาของโรค  และมีมาตรฐานด้านการวิจัยทางคลินิกในระดับสากล หากเรามีจำนวนโครงการวิจัยทางคลินิกมากเท่าไร ไม่เพียงแต่จะเกิดประโยชน์ด้านสาธารณสุข แต่ยังจะกระตุ้นให้เกิดประโยชน์ด้านเศรษฐกิจอีกด้วย”

จากการศึกษาผลกระทบจากการวิจัยทางคลินิกของดีลอยท์ในประเทศไทย[1]  (Deloitte’s clinical research impact study in Thailand) เผยว่า เงินทุกบาทที่ลงทุนสำหรับการวิจัยทางคลินิกสามารถสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจได้ถึง 3 เท่า ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่เล็งเห็นความสำคัญของกลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพและเล็งเห็นว่าจะมีบทบาทสำคัญด้านเศรษฐกิจในอนาคต และยังตอบโจทย์ความเชื่อที่ว่า “Health is Wealth” ถ้าประชากรมีสุขภาพที่ดี ประเทศก็สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ดี โดยเฉพาะการลงทุนในการวิจัยพัฒนาที่จะมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ดียิ่งขึ้น


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค นำเสนอโซลูชั่นดิจิทัลลุยตลาดอาคารอัจฉริยะเพื่อความยั่งยืน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ด้านการจัดการพลังงาน และระบบอัตโนมัติ เตรียมเปิดตัวเทคโนโลยีและโซลูชั่นซอฟต์แวร์ใหม่ๆ ด้านอาคารในงาน Future Energy Asia และFuture Mobility Asia พร้อมยกทัพระบบการบริหารจัดการพลังงาน สำหรับอาคาร ช่วยยกระดับธุรกิจในประเทศไทย ให้มีความมั่นคงด้านพลังงาน ประสิทธิภาพ และความยั่งยืน

สำหรับองค์กรที่ต้องการยกระดับอาคารไปสู่ความยั่งยืน ทั้งอาคารเก่า หรืออาคารที่กำลังดำเนินการสร้าง สามารถเยี่ยมชมนวัตกรรมไฮไลท์ ได้ที่บูธของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ซึ่งจะมีโซลูชั่นทั้งซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ โดยครอบคลุมทั้ง อาคารให้เช่า และอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงพยาบาล และคอนโดมิเนียม ช่วยให้ผู้บริหารสามารถบริหารจัดการอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ

  • อาคารสำนักงาน: โซลูชั่นในการบริหารจัดการพลังงานในอาคาร และระบบอัตโนมัติ ด้วยสถาปัตยกรรมที่ปลอดภัย ให้ศักยภาพด้าน IoT มีความยืดหยุ่น ให้ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์พลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้อย่างครบวงจรในหนึ่งเดียว ช่วยลดต้นทุนด้านการใช้พลังงาน ที่สำคัญช่วยลดคาร์บอนให้โลกของเราอีกด้วย
  • โรงแรม: โซลูชั่นห้องพักเชื่อมต่อ EcoStruxure สามารถช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าที่เข้าพัก ด้วยประสบการณ์ห้องพักส่วนตัวที่เชื่อมต่อกับความต้องการของลูกค้าอย่างสมบูรณ์ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ใช้งานง่าย และยังช่วยเจ้าหน้าที่ สามารถบริหารจัดการห้องพัก และสิ่งอำนวยความสะดวกได้อย่างราบรื่น ทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการห้อง โซนต่างๆ  ส่งผลต่อความสะดวกสบายแก่ผู้เข้าพัก เช่น การปรับแต่งซีน ความสว่าง ให้เหมาะกับผู้เข้าพัก หรือกิจกรรมตามโซนต่างๆ ของโรงแรม หรือห้องพักได้อีกด้วย โซลูชั่นของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ไม่ได้มีความสามารถในการบริหารจัดการเพียงโรงแรมเดียว แต่ยังสามารถช่วยในการบริหารจัดการโรงแรมในเครือได้ทั่วโลก
  • เฮลธ์แคร์: ความปลอดภัย มีความมั่นใจ และความผ่อนคลายเป็นสิ่งสำคัญ  ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จึงออกแบบโซลูชั่นที่เหมาะสมกับสถานพยาบาลโดยเฉพาะ อาทิ ห้องปฏิบัติการ ห้องผ่าตัด ห้องพักผู้ป่วย โซนไอโซเลชั่น ซึ่ง EcoStruxuture for Healthcare ช่วยให้ผู้ดูแลสามารถวิเคราะห์ และควบคุมในแต่ละโซน แต่ละห้องได้ตามความต้องการ และตามความจำเป็นตามเงื่อนไขทางสุขภาพของคนไข้ และยังสนับสนุนนโยบายเส้นทางสายกรีนที่ยั่งยืนอีกด้วย

นอกจากนี้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังมีการจัดแสดงเทคโนโลยีใหม่ ด้านอาคาร ไม่ว่าจะเป็น

PowerLogic™ P7 Protection Relay แพลตฟอร์มการป้องกันและควบคุม ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ใช้งานง่ายขึ้นเพียงสัมผัส และปรับค่าที่ดีที่สุดให้โดยอัตโนมัติ ได้รับการออกแบบมาเพื่อความยืดหยุ่นที่เหนือชั้นและการใช้งานง่าย ทำให้มั่นใจในความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของระบบไฟฟ้ากำลัง โดดเด่นด้วยการเชื่อมต่อแบบโมดูลาร์ขั้นสูง และความสามารถในการตรวจสอบสถานะในรูปแบบออนไซต์และออนไลน์ ทั้งยังมอบความปลอดภัยสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ดูแล ตลอดจนสินทรัพย์ ขณะเดียวกันก็เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านไฟฟ้าอีกด้วย

PowerTag Energy เซ็นเซอร์อัจฉริยะ ช่วยตรวจวัดกระแสไฟฟ้า รวมถึงแรงดัน กำลังไฟฟ้า ค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า และค่าพลังงานไฟฟ้า โดยข้อมูลจากการตรวจจับจะถูกส่งให้กับระบบบริหารจัดการพลังงาน โดยผู้ดูแลสามารถดูผ่านหน้าเว็บเพจ หรือให้สามารถแจ้งเตือนไปยังผู้ดูแลระบบไฟฟ้าเมื่อระบบไฟฟ้ามีปัญหา พร้อมสามารถตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าได้จากระยะไกล สามารถติดตั้งและใช้งานได้อย่างง่ายดายในทันที

นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมใหม่สำหรับอาคารอาทิ ซอฟต์แวร์สำหรับการบริหารจัดการอาคาร เพาเวอร์มิเตอร์ดิจิทัลรุ่นใหม่ให้ค่าที่ละเอียดอีกด้วย

ธุรกิจอาคาร โรงงาน หรือผู้วางระบบอาคาร ที่ต้องการอัปเดตเทคโนโลยีสำหรับอาคารที่ยั่งยืน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้ ใน วันที่ 15 – 17 พฤษภาคม 2567 ณ บูธ EG02 ฮอลล์ 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อรับของรางวัลในงานได้ที่นี่


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

งานวิจัย มจพ. ชี้ เครื่องดื่มผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นก ผลิตภัณฑ์สุขภาพแนวใหม่ ต้นทุนต่

ผลงานวิจัยผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นกเป็นงานวิจัยที่นำเอามะระขี้นกแห้งจำนวนมากที่เหลือจากการจำหน่ายของวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรบ้านคลองสิบสาม จังหวัดสระแก้ว มาแปรรูปเป็นเครื่องดื่มผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นกแห้งด้วยกระบวนการผลิตแบบตู้อบลมร้อนที่มีต้นทุนต่ำและไม่มีขั้นตอนซับซ้อน   ผงพร้อมชงก็ละลายและพร้อมดื่ม ไม่มีการใส่น้ำตาล และเลือกใช้หญ้าหวานเป็นสารให้ความหวานแทน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงเกินไป  และสารสกัดมะระขี้นก มีสารชาแรนติน (Charantin) ที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และสารโฟลีฟีนอล (Polyphenol) ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ยผงพร้อมชงมะระขี้นก มี 3 รส คือ รสดั้งเดิมเฉพาะมะระขี้นก รสกลิ่นใบเตย เสริมความหอมจากใบเตย และ รสกลิ่นมะลิเสริมความหอมจากมะลิ ซองบรรจุภัณฑ์เสริมอัตลักษณ์ของชุมชน ช่วยเพิ่มมูลค่ามะระขี้นกแห้งให้มีราคาเพิ่มสูงขึ้นถึง 2,500 – 3,000 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้เกษตรกรที่อยู่ในวิสาหกิจชุมชนมีรายได้ต่อครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งการการสร้างช่องทางในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งรูปแบบ On-line และ On-site    ได้การพัฒนาสูตรและออกแบบบรรจุภัณฑ์สินค้าให้เหมาะสมกับผู้บริโภคใช้งบประมาณ  จำนวน 500,000 บาท ใช้ระยะการในการดำเนินการโครงการ 1 ปี ตั้งแต่ 3 เมษายน 2566 ถึง 3 เมษายน 2567

ทีมวิจัยประกอบด้วยอาจารย์ดร.เปรมศักดิ์ พวงพลอย  หัวหน้าโครงการ  ผศ.ดร.เกตินันท์ กิตติพงศ์พิทยาอาจารย์ ดร.โกศล น่วมบาง อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมเกษตรและการจัดการ คณะอุตสาหกรรมเกษตรดิจิทัล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขต ปราจีนบุรี และ อาจารย์ สัญญา โพธิ์วงษ์  อาจารย์แผนกวิชาช่างอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยเทคนิคนครนายก  จังหวัดนครนายก

อาจารย์ดร.เปรมศักดิ์ เล่าให้ฟังว่า ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นกที่นำมาแปรรูปเป็นผลผลิตที่มีการวางจำหน่ายของเกษตรกรในวิสาหกิจชุมชนเป็นการจำหน่ายมะระขี้นกแห้งเพียงอย่างเดียว และไม่มีการแปรรูปมะระขี้นกเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพแต่อย่างใด โดยเกษตรกรจะจำหน่ายมะระขี้นกแห้งในราคาประมาณ 450 บาทต่อกิโลกรัม ส่งขายให้กับหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน เช่น มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เป็นต้น

จุดเด่นของผลิตภัณฑ์

1. เครื่องดื่มผงพร้อมชงมะระขี้นกขมน้อย พกพาง่าย เพียงฉีกซองแล้วเทลงในแก้วที่มีน้ำร้อนหรือน้ำเย็น

คนเพียงเล็กน้อย ผงพร้อมชงก็ละลายและพร้อมดื่ม ส่วนผสมของผงพร้อมชงไม่มีการใส่น้ำตาลและเลือกใช้หญ้าหวานเป็นสารให้ความหวานแทน ทำให้เครื่องดื่มผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นกเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงเกินไป เนื่องจากในเครื่องผงพร้อมชงมะระขี้นกมีสารชาแรนติน (Charantin) ที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และสารโฟลีฟีนอล (Polyphenol) ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น

2. ผลิตภัณฑ์มีการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่โดดเด่นและน่าสนใจได้แก่

2.1 ซองบรรจุผงพร้อมชงมีอัตลักษณ์ของชุมชนโดยใส่ภาพเขาฉกรรจ์ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ที่ตั้งวิสาหกิจชุมชนลงไปที่ซองบรรจุผงพร้อมชงเพื่อให้ผู้ที่เลือกซื้อได้กลิ่นความเป็นธรรมชาติและความเป็นเกษตรอินทรีย์

2.2 มีตัวเลือกสูตรของผงพร้อมชงมะระขี้นกที่หลากหลายตามความพึงพอใจชองผู้บริโภค โดยมีจำนวน 3 สูตร ได้แก่ 1) สูตรออริจินอล (Original) เป็นรสชาติดั้งเดิมของมะระขี้นก 2) สูตรกลิ่นมะลิ เป็นรสชาติมะระขี้นกผสมความหอมจากกลิ่นมะลิ และ3) สูตรกลิ่นใบเตยเป็นรสชาติมะระขี้นกผสมความหอมจากกลิ่นใบเตย

2.3 มีขนาดบรรจุซองให้เลือกหลายขนาดสำหรับผู้ใช้ ได้แก่ ซองกลาง มี 4 ซองเล็ก ซองละ 10 กรัม (ราคาซองกลาง ซองละ 100 บาท) และซองใหญ่ มี 10 ซองเล็ก ซองละ 10 กรัม (ราคาซองฬหญ่ ซองละ 250 บาท)

เครื่องดื่มผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นกได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยและนวัตกรรม ภายใต้แผนการจัดการความรู้การวิจัยและถ่ายทอดเพื่อการใช้ประโยชน์ (KM) ประจำปี 2566 ด้านการใช้ประโยชน์เชิงชุมชนสังคม จากสำนักวิจัยแห่งชาติ (วช.) สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ภายใต้ชื่อโครงการการเพิ่มมูลค่ามะระขี้นกแห้งด้วยการแปรรูปในรูปแบบเครื่องดื่มผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นกสำหรับวิสาหกิจชุมชนขนาดเล็กโดยมีวัตถุประสงค์ของโครงการเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตและแปรรูปเครื่องดื่มผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นกด้วยตู้อบลมร้อน  ให้มีมาตรฐานและเป็นผลิตภัณฑ์ที่พร้อมจำหน่ายออกสู่ท้องตลาด ซึ่งทีมนักวิจัยหวังว่าผลประโยชน์ที่ได้รับจากงานวิจัยนี้จะทำให้เกษตรกรสามารถนำมะระขี้นกสร้างเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพแนวใหม่ที่มีคุณภาพ และสามารถสร้างรายได้เพิ่มให้กับเกษตรผู้ปลูกมะระขี้นก

อย่างไรก็ตามเป้าหมายของโครงการคือการพัฒนาและถ่ายทอดองค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยให้กับเกษตรกรในวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรบ้านคลองสิบสามอำเภอเขาฉกรรจ์จังหวัดสระแก้วซึ่งวิสาหกิจชุมชนแห่งนี้ถือเป็นวิสาหกิจชุมชนหนึ่งในจังหวัดสระแก้ว  มีความพร้อมด้านการเพาะปลูก และแปรรูปสมุนไพรเพื่อส่งออกและจัดจำหน่ายเป็นอย่างมาก และได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ SDGs&PGS จากสมาพันธ์เกษตรกรรมยั่งยืนสระแก้ว โดยวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรบ้านคลองสิบสาม มีพื้นที่ทั้งหมดของสมาชิกครอบคลุม 198 ไร่ มีสมาชิกจำนวน 110 รายทั่วจังหวัดสระแก้ว กลุ่มวิสาหกิจชุมชนมีวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งเพื่อผลิตและจำหน่ายสมุนไพรท้องถิ่นในจังหวัดสระแก้วและใกล้เคียง เช่น ขมิ้นชัน มะระขี้นก ฟ้าทะลายโจร ลูกกระดอม และ หนุมานประกาย เป็นต้น โดยมีจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรให้กับหน่วยงานของรัฐและมีบริษัทเอกชนทั่วประเทศ ทำให้วิสาหกิจชุมชนแห่งนี้มีมูลค่าการจำหน่ายวัตถุดิบสมุนไพรปีละหลายล้านบาท โดยเฉพาะมะระขี้นกแห้งซึ่งกลุ่มเกษตรกรปลูกมากที่สุดมีมูลค่าการจำหน่ายประมาณ 1 ล้านบาทต่อปี  และด้วยโครงงานวิจัยนี้เน้นการสร้างงานวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าทางการเกษตรจำพวกมะระขี้นกแห้งให้สามารถแปรรูปเป็นเครื่องดื่มผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นกแห้งนั้นภายในโครงการได้มีการจัดการการถ่ายทอดความรู้ด้านการผลิตผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นกด้วยการใช้ตู้อบลมร้อนการสร้างคู่มือการผลิตผงพร้อมชงสำหรับวิสาหกิจชุมชนขนาดเล็กการพัฒนาสูตรและการออกแบบบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มผงพร้อมชงที่เหมาะสมกับผู้บริโภค

สำหรับการต่อยอดหรือสร้างองค์ความรู้ตัวเกษตรกรที่ได้รับการอบรมจากโครงการสามารถต่อยอดและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากพืชสมุนไพรที่มีในชุมชนให้เป็นเครื่องดื่มจากพืชสมุนไพรชนิดต่างๆได้ทำให้เกิดการสร้างผลิตภัณฑ์จากพืชสมุนไพรทางเลือกที่หลากหลายได้ในอนาคต  การแข่งขันการตลาดมีทิศทางที่ดีตอบโจทย์เทรนด์ธุรกิจแนวใหม่ เมื่อคนหันมาใส่ใจสุขภาพทั้งแนวโน้มทางการตลาด พฤติกรรมของคน และการสนับสนุนจากภาครัฐ ทำให้ประชาชนหันมาใส่ใจด้านสุขภาพมากขึ้น ทั้งด้านการออกกำลังกายและด้านการบริโภคอาหารที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้บริโภค โดยที่คำนึงถึงสุขภาพจากการบริโภค และเลือกบริโภคแต่ที่ดีต่อร่างกาย เป็นต้น  โอกาสของมูลค่าทางการตลาดเรื่องสุขภาพมีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว เพื่อตอบสนองต่อวิถีชีวิตของผู้คนที่รักสุขภาพทำให้ผลิตภัณฑ์น่าจะเป็นต้องการของตลาดได้  ตัวผงพร้อมชงที่บรรจุในซองซึ่งพกพาง่าย และสามารถละลายได้ทั้งละลายได้ทั้งน้ำร้อนและเย็น ทำให้ผลิตภัณฑ์มีความสะดวกในการรับประทาน เหมาะกับกลุ่มผู้ที่ต้องการรับประทานสินค้าที่ต้องการความรวดเร็ว  และลงทุนเริ่มต้นไม่สูงมาก เป็นช่องทางสำหรับวิสาหกิจชุมชนในการพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ด้วยตนเอง

ผลงานวิจัยผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นกสามารถติดต่อ หรือสนใจสินค้าวิสาหกิจชุมชน ติดต่อได้ที่  คุณธนวรรณ  กันกาญจนะ  ประธานวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรบ้านคลองสิบสาม (ฟาร์มจ่าทูล) เลขที่ 55/1 ตำบลเขาสามสิบ อำเภอเขาฉกรรจ์  จังหวัดสระแก้ว 27000  Line: ipetty.chic, Facebook: ฟาร์มจ่าทูลสมุนไพร โทรศัพท์: 090-2929059, 080-9657157 หรือติดต่อโดยตรง  อาจารย์ ดร.เปรมศักดิ์ พวงพลอย คณะอุตสาหกรรมเกษตรดิจิทัล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ โทรศัพท์ 063-0541379

ขวัญฤทัย  ข่าวภาพ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

แนวทางสร้างสมดุลระหว่าง “อันตรายต่อสิ่งแวดล้อม” และ “คำมั่นสัญญาของ Generative AI”

บทความโดย คริสติน โมเยอร์ รองประธานฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ 

การนำ ChatGPT มาใช้อย่างรวดเร็วได้ยกระดับผลกระทบเชิงลบด้านสิ่งแวดล้อมในหลายมิติ จากที่ Generative AI เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม ได้กลายเป็นความกังวลขององค์กรทันที เมื่อยูสเคสที่เหมือนจะดูดีและถูกขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีเกิดใหม่นี้กลับสร้างผลเสียมากกว่าผลดีในแง่ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) และปริมาณการใช้ไฟฟ้าและน้ำ

อย่างไรก็ตามหากใช้อย่างถูกวิธีและอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของมนุษย์ Generative AI ยังสามารถเร่งให้เกิดความยั่งยืนเชิงบวกพร้อมสร้างผลลัพธ์ทางการเงินได้ โดยเทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้บริษัทลดความเสี่ยงด้านความยั่งยืน ปรับต้นทุนให้เหมาะสม และขับเคลื่อนการเติบโตได้

เพื่อสร้างสมดุลระหว่างอันตรายและประโยชน์ของเทคโนโลยีนี้ องค์กรจำเป็นต้องดำเนินการ 2 ประการ ประการแรก คือ สร้างการรับรู้และลดการปล่อยพลังงานของ Generative AI เพื่อให้มันเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จากนั้นระบุ ประเมินและจัดลำดับความสำคัญยูสเคสที่เกี่ยวกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม

ตระหนักถึงปัญหาด้านการบริโภคพลังงานของ Generative AI

Generative AI นั้นพึ่งพาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่ได้รับการเทรนจากข้อมูลมหาศาล ซึ่งต้องระบายความร้อนด้วยน้ำหล่อเย็นและใช้พลังงานไฟฟ้า หรืออาจใช้พลังงานทั้งสองจำนวนมหาศาล แม้ในระยะยาวการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าจะลดลงเมื่อมีการใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ซึ่งโมเดล Generative AI ที่ทรงพลังยิ่งขึ้นจะต้องการความสามารถในการประมวลผลมากขึ้นตามไปด้วย

ปัญหาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับพลังงานไฟฟ้าและน้ำนั้นมีมากกว่าของ Generative AI การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2568 ผู้บริหาร 75% จะเผชิญกับข้อจำกัดของเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับพลังงานไฟฟ้า เนื่องจากความต้องการเทคโนโลยีและการแข่งขันกันทางด้านสังคมจะทวีความดุเดือดมากขึ้น ดังนั้นผู้บริหาร CIO จึงไม่ต้องการที่จะติดอยู่ในศึกการแย่งชิงทรัพยากรที่มีจำกัดกับชุมชนท้องถิ่น

มุ่งมั่นลดการปล่อยพลังงาน Generative AI

Generative AI จะต้องมีประสิทธิภาพการทำงานเทียบเท่ากับสมองมนุษย์ เพื่อให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สาเหตุหนึ่งที่ทำให้สมองประหยัดพลังงานมากก็คือ สมองสามารถจัดระเบียบความรู้ในโครงสร้างเครือข่ายได้ โดยแนวทางที่ใกล้เคียงที่สุดคือ Composite AI คือการรวมโมเดล AI หลายแบบเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและความแม่นยำที่ดีขึ้น ซึ่งใช้โครงสร้างเครือข่ายและเทคนิคคล้ายกันเพื่อเสริมกำลังมหาศาลด้วยวิธีการเรียนรู้เชิงลึกในปัจจุบัน

Generative AI ยังบริโภคพลังงานไฟฟ้าและน้ำเป็นหลัก ดังนั้นการหยุดเทรน AI ในทันทีหรือการเก็บข้อมูลการเทรนโมเดล การนำโมเดลที่ได้รับการเทรนแล้วกลับมาใช้ใหม่ และการใช้ฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์เครือข่ายที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น จะสามารถสร้างสมดุลแนวทางปริมาณงานในดาต้าเซ็นเตอร์แบบ “ตามสถานการณ์และความเป็นจริง – Follow The Sun” ซึ่งดีกว่าสำหรับการผลิตพลังงานสะอาด กับการใช้แนวทาง “แยกเดินออกมา Unfollow The Sun” สำหรับประสิทธิภาพการใช้น้ำที่ดีกว่า

อีกวิธีหนึ่งในการทำให้ Generative AI มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น คือการใช้งานในสถานที่ที่ใช่ ในเวลาที่เหมาะสม โดยความเข้มข้นของคาร์บอนจากแหล่งพลังงานในท้องถิ่นจะแตกต่างกันไปตามปัจจัยหลายประการ แนวปฏิบัติที่ดีที่สุดคือการใช้การจัดตารางเวลางานที่คำนึงถึงพลังงาน ควบคู่ไปกับบริการการติดตามและการคาดการณ์คาร์บอนเพื่อลดการปล่อยก๊าซที่เกี่ยวข้อง

พร้อมตั้งเป้าซื้อแหล่งพลังงานสะอาดใหม่ตามที่วางแผนไว้สำหรับนำมาใช้ The Greenhouse Gas Protocol ที่กำลังกำหนดให้บริษัทต่าง ๆ จัดทำการวิเคราะห์พลังงานสะอาดอย่างละเอียดเพิ่มเติมตามแหล่งสถานที่ ช่วงเวลาของวัน หรือทั้งสองอย่าง

ระบุยูสเคสความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมที่มีศักยภาพ

มี 3 กรอบการดำเนินงานกว้าง ๆ ที่ยูสเคส Generative AI สามารถเร่งความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การลดความเสี่ยง การเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุน และใช้ขับเคลื่อนการเติบโต 

การปฏิบัติตามกฎระเบียบเป็นวิธีการนึงที่ Generative AI สามารถช่วยองค์กรลดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมโดยการระบุและตีความตัวบทกฎหมาย มาตรฐาน คำสั่ง และข้อกำหนดการรายงานความยั่งยืน รวมถึงการอัปเดตอยู่ตลอดเวลา ที่สามารถพัฒนาแผนปฏิบัติการเพื่อให้บรรลุตามข้อกำหนดและเป็นเครื่องมือฝึกอบรมเพื่อให้ความรู้แก่พนักงานด้านกฎระเบียบเฉพาะ

จากมุมมองของการเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุน Generative AI สามารถช่วยสนับสนุนการตัดสินใจได้ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลความยั่งยืนภายใน และระบุรูปแบบ แนวโน้ม พื้นที่การปรับปรุง ความเป็นไปได้ ความเสี่ยง และเกณฑ์มาตรฐาน โดยสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกว่าการตัดสินใจขององค์กรจะส่งผลต่อความยั่งยืนอย่างไร และคาดการณ์ประสิทธิภาพในอนาคตที่อาจเกิดขึ้น องค์กรสามารถวางแผนและเลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุดเพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

Generative AI ยังสามารถใช้ขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืนโดยนำมาใช้เพื่อค้นหาแหล่งทรัพยากรและวัสดุทางเลือก สามารถให้คำแนะนำสิ่งทดแทนปัจจัยการผลิตแบบเดิมไปสู่ความยั่งยืน เช่น ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับนวัตกรรมทางเทคโนโลยีอย่างวัสดุนาโน และข้อมูลเกี่ยวกับความพร้อม ประสิทธิภาพ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

เมื่อพิจารณายูสเคส Generative AI เพื่อเป้าหมายความยั่งยืน การประเมินผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบเป็นสิ่งสำคัญ ผู้บริหารต้องเข้าใจมูลค่าธุรกิจเชิงบวกทั้งในแง่ของผลประโยชน์ทางการเงินและความยั่งยืน ตลอดจนความเป็นไปได้ และผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการวัดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงานไฟฟ้าและน้ำ 

จากนั้นจัดลำดับความสำคัญการลงทุนเป็น 3 ระดับ ได้แก่ 1.ลงทุนทันที 2.ลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงและลดการใช้พลังงานเป็นสำคัญ หรือ 3.ไม่ลงทุนเลย ด้วยวิธีการนี้ คุณจะใช้ Generative AI เร่งผลลัพธ์ด้านความยั่งยืนเชิงบวกขององค์กร โดยใช้ประโยชน์จากเคสการใช้งานที่สร้างมูลค่ามากกว่าทำลายเพียงอย่างเดียว 

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ซิสโก้พลิกโฉมระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์และคลาวด์ในยุค AI

กรุงเทพฯ, 19 เมษายน 2567 – ซิสโก้ (NASDAQ: CSCO) ผู้นำด้านระบบรักษาความปลอดภัยและเครือข่าย เผยโฉมแนวทางที่แปลกใหม่สำหรับการรักษาความปลอดภัยดาต้าเซ็นเตอร์และระบบคลาวด์ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากการปฏิวัติด้าน AI ที่มีผลต่อโครงสร้างพื้นฐานไอที ซิสโก้กำลังปรับสถาปัตยกรรมใหม่ในการใช้ประโยชน์และปกป้อง AI รวมไปถึงเวิร์กโหลดสมัยใหม่อื่นๆ ด้วย Cisco Hypershield ซึ่งเป็นนวัตกรรมแรกในอุตสาหกรรม (industry-first) นับเป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการรักษาความปลอดภัยให้แก่องค์กรต่างๆ โดยต่อยอดจากการประกาศแผนการล่าสุดของซิสโก้ในการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI โดยอาศัยผลิตภัณฑ์อีเธอร์เน็ตสวิตช์ ซิลิคอน และระบบประมวลผลของซิสโก้

Cisco Hypershield ปกป้องแอปพลิเคชัน อุปกรณ์ และข้อมูลทั้งหมดในดาต้าเซ็นเตอร์ทั้งแบบพับลิคและไพรเวท รวมถึงสถานที่ตั้งทางกายภาพในทุกที่ที่ลูกค้าต้องการ ซึ่ง Cisco Hypershield ได้รับการออกแบบและสร้างขึ้นโดยคำนึงถึง AI ตั้งแต่เริ่มต้น จึงช่วยให้องค์กรต่างๆ บรรลุเป้าหมายด้านการรักษาความปลอดภัยในขอบเขตที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง

ชัค ร็อบบินส์, ประธานและซีอีโอของซิสโก้ กล่าวว่า “Cisco Hypershield เป็นหนึ่งในนวัตกรรมด้านความปลอดภัยที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา ด้วยความได้เปรียบด้านข้อมูลและจุดแข็งในด้านความปลอดภัย โครงสร้างพื้นฐาน และแพลตฟอร์มการสังเกตการณ์ ซิสโก้จึงมีสถานะที่โดดเด่นในการช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถใช้ประโยชน์จากพลังของ AI”

Hypershield คือสถาปัตยกรรมการรักษาความปลอดภัยแบบใหม่ที่นับเป็นการปฏิวัติวงการ สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่เดิมพัฒนาขึ้นสำหรับระบบคลาวด์สาธารณะในระดับไฮเปอร์สเกล และตอนนี้พร้อมใช้งานสำหรับทีมงานฝ่ายไอทีภายในองค์กรทุกขนาด  Hypershield มีลักษณะเป็นแฟบริค (Fabric) มากกว่าที่จะเป็นรั้วกั้น จึงทำให้สามารถวางระบบรักษาความปลอดภัยได้ทุกที่ที่ต้องการ ครอบคลุมทุกบริการแอปพลิเคชันในดาต้าเซ็นเตอร์ ทุกคลัสเตอร์ Kubernetes ในระบบคลาวด์สาธารณะ รวมไปถึงคอนเทนเนอร์และเวอร์ชวลแมชชีน (VM) ทั้งหมด  นอกจากนี้ยังสามารถเปลี่ยนพอร์ตเครือข่ายทุกพอร์ตให้เป็นจุดควบคุมความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพสูง โดยนำความสามารถด้านการรักษาความปลอดภัยใหม่ๆ มาใช้ ไม่เพียงแต่บนคลาวด์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงดาต้าเซ็นเตอร์ พื้นที่ภายในโรงงาน หรือห้องถ่ายภาพทางการแพทย์ในโรงพยาบาล  เทคโนโลยีใหม่นี้สามารถสกัดกั้นการโจมตีช่องโหว่ของแอปพลิเคชันได้ภายในไม่กี่นาที และหยุดการเข้าถึงส่วนอื่นๆ ของเครือข่ายอย่างอิสระทั้งหมด

จีทู พาเทล, รองประธานบริหารและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายระบบรักษาความปลอดภัยและการทำงานร่วมกันของซิสโก้ กล่าวว่า “AI ช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับประชากร 8,000 ล้านคนทั่วโลก ให้สามารถสร้างผลกระทบได้มากขึ้นราวกับว่ามีประชากรมากถึง 80,000 ล้านคน ด้วยศักยภาพดังกล่าว เราจึงจำเป็นต้องพลิกโฉมบทบาทของดาต้าเซ็นเตอร์ รวมไปถึงวิธีการเชื่อมต่อดาต้าเซ็นเตอร์ การรักษาความปลอดภัย การดำเนินการ และการปรับขนาด  ข้อได้เปรียบของ Cisco Hypershield คือสามารถรักษาความปลอดภัยได้ทุกที่ที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็นในซอฟต์แวร์ ในเซิร์ฟเวอร์ หรือแม้กระทั่งในสวิตช์เครือข่ายในอนาคต  เมื่อคุณมีระบบแบบกระจายที่ประกอบด้วยจุดควบคุมหลายแสนจุด การจัดการที่เรียบง่ายจึงถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับการดำเนินงาน และเราจำเป็นต้องมีระบบที่สามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติและเป็นอิสระมากขึ้น โดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยลง”

การรักษาความปลอดภัยด้วย Hypershield เกิดขึ้นใน 3 เลเยอร์ที่แตกต่างกัน นั่นคือ ในซอฟต์แวร์ ในเวอร์ชวลแมชชีน และในเซิร์ฟเวอร์ประมวลผลบนเครือข่าย และอุปกรณ์ โดยใช้ประโยชน์จากตัวเร่งฮาร์ดแวร์อันทรงพลังแบบเดียวกับที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในระบบประมวลผลประสิทธิภาพสูงและระบบคลาวด์สาธารณะในแบบไฮเปอร์สเกล

Hypershield ถูกสร้างขึ้นด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่:

  • AI-Native: Hypershield ได้รับการออกแบบและสร้างขึ้นเพื่อทำงานได้อย่างเป็นอิสระและมีความสามารถในการคาดการณ์ เมื่อได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้งานแล้ว ระบบจะสามารถจัดการตัวเองได้ โดยรองรับแนวทางการรักษาความปลอดภัยที่มีการกระจายในวงกว้าง (Hyper-Distributed)
  • Cloud-Native: Hypershield สร้างขึ้นบนโอเพ่นซอร์ส eBPF ซึ่งเป็นกลไกเริ่มต้นสำหรับการเชื่อมต่อและปกป้องเวิร์กโหลดแบบคลาวด์เนทีฟในระบบคลาวด์แบบไฮเปอร์สเกล ในต้นเดือนที่ผ่านมา ซิสโก้ได้ซื้อกิจการ Isovalent ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ eBPF ชั้นนำสำหรับองค์กรธุรกิจ
  • Hyper-Distributed: ซิสโก้พลิกโฉมวิธีการรักษาความปลอดภัยเครือข่ายแบบเดิมๆ อย่างสมบูรณ์ โดยฝังระบบควบคุมการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงไว้ในเซิร์ฟเวอร์และโครงสร้างเครือข่ายโดยตรง Hypershield ครอบคลุมคลาวด์ทั้งหมดและใช้ประโยชน์จากการเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์ เช่น หน่วยประมวลผลข้อมูล (DPU) เพื่อวิเคราะห์และตอบสนองต่อความผิดปกติในการทำงานของแอปพลิเคชันและเครือข่าย โดยจะย้ายระบบรักษาความปลอดภัยให้อยู่ใกล้กับเวิร์กโหลดที่ต้องการการปกป้องมากขึ้น

ซิสโก้ ด้วยความเชี่ยวชาญชั้นนำในอุตสาหกรรมด้านระบบเครือข่าย ความปลอดภัย และพาร์ทเนอร์อีโคซิสเต็มที่กว้างขวาง ร่วมกับ NVIDIA มุ่งมั่นในการสร้างและปรับแต่งโซลูชันความปลอดภัยที่เป็น AI-native เพื่อปกป้องและขยายดาต้าเซ็นเตอร์แห่งอนาคต ความร่วมมือนี้รวมถึงการใช้ประโยชน์จาก NVIDIA Morpheus cybersecurity AI framework ในการตรวจจับความผิดปกติของเครือข่ายที่เร็วขึ้น ตลอดจน NVIDIA NIM microservices เพื่อขับเคลื่อนผู้ช่วยด้าน security AI ที่กำหนดเองสำหรับองค์กร ตระกูลตัวเร่งประมวลผลแบบรวมศูนย์ (converged accelerators) ของ NVIDIA ผสานพลังของการประมวลผล GPU และ DPU เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Cisco Hypershield ด้วยความปลอดภัยที่ทรงพลังจากคลาวด์สู่เอดจ์

เควิน ไดเออร์ลิง, รองประธานอาวุโสฝ่ายเครือข่ายของ NVIDIA กล่าวว่า “องค์กรในทุกอุตสาหกรรมกำลังมองหาระบบรักษาความปลอดภัยที่สามารถปกป้องพวกเขาจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ขยายวงกว้างอยู่ตลอดเวลา ซิสโก้และ NVIDIA กำลังใช้ประโยชน์จากพลังของ AI เพื่อมอบโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ที่ทรงพลังและปลอดภัยอย่างเหนือชั้น ซึ่งจะทำให้องค์กรสามารถทรานส์ฟอร์มธุรกิจของตน และลูกค้าได้ประโยชน์ในทุกที่”

Hypershield คือสถาปัตยกรรมการรักษาความปลอดภัยแบบใหม่ที่ปฏิวัติวงการ โดยแก้ไขปัญหาท้าทายหลัก 3 ประการของลูกค้าสำหรับการปกป้ององค์กรให้รอดพ้นจากภัยคุกคามที่ซับซ้อนในปัจจุบัน:

  • การป้องกันช่องโหว่แบบกระจาย: ผู้โจมตีมีความเชี่ยวชาญในการสร้างอาวุธเพื่อโจมตีช่องโหว่ที่เพิ่งพบเจอได้รวดเร็วกว่าที่ฝ่ายป้องกันจะสามารถพัฒนาและติดตั้งแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่นั้นๆ  จากข้อมูลของ Cisco Talos Threat Intelligence พบว่าองค์กรต่างๆ พบเจอช่องโหว่ใหม่เกือบ 100 รายการในแต่ละวัน ซึ่งอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายได้  Hypershield มอบการปกป้องได้อย่างฉับไวภายในเวลาไม่กี่นาที ด้วยการทดสอบและปรับใช้ระบบควบคุมการชดเชยโดยอัตโนมัติภายใน distributed fabric ของจุดควบคุมต่างๆ
  • การแบ่งส่วนเครือข่ายอัตโนมัติ: เมื่อผู้โจมตีเข้ามาในเครือข่าย การแบ่งส่วนเครือข่ายถือเป็นกุญแจสำคัญในการหยุดการเข้าถึงส่วนอื่นๆ ของเครือข่ายอย่างอิสระได้ทั้งหมด  Hypershield จะสังเกต ค้นหาสาเหตุโดยอัตโนมัติ และประเมินนโยบายที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อแบ่งส่วนเครือข่ายโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ในสภาพแวดล้อมขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนอย่างมาก
  • การอัปเกรดตรงตามข้อกำหนด: Hypershield ทำให้กระบวนการทดสอบและติดตั้งอัปเกรดที่ต้องใช้แรงงานและเวลาอย่างมากสามารถดำเนินการโดยอัตโนมัติทันทีที่อัปเกรดพร้อมใช้งาน โดยใช้ประโยชน์จาก Dual Data Plane  สถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์แบบใหม่นี้ช่วยให้สามารถติดตั้งซอฟต์แวร์อัปเกรดและการเปลี่ยนแปลงนโยบายไว้ใน Digital Twin ที่รองรับการทดสอบอัปเดตต่างๆ โดยใช้การผสมผสานที่เฉพาะเจาะจงของลูกค้า ทั้งในส่วนของแทรฟฟิก นโยบาย และฟีเจอร์ต่างๆ  จากนั้นก็นำอัปเดตดังกล่าวไปติดตั้งบนระบบที่ใช้งานจริง โดยที่ระบบยังคงทำงานได้อย่างต่อเนื่อง

Hypershield ของซิสโก้ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มความปลอดภัย Security Cloud ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มความปลอดภัย cross-domain แบบรวมศูนย์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดยคาดว่าจะเปิดให้ใช้งานทั่วไปในเดือนสิงหาคม 2567 ด้วยการที่ซิสโก้เข้าซื้อกิจการของ Splunk เมื่อไม่นานมานี้ ลูกค้าจะได้รับความสามารถในมองเห็นและข้อมูลเชิงลึกที่เหนือกว่า ครอบคลุม digital footprint ทั้งหมดขององค์กร และช่วยยกระดับการรักษาความปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ฟรังค์ ดิคสัน, รองประธานกลุ่มด้าน Security & Trust ที่ IDC กล่าวว่า “”AI ไม่ได้เป็นเพียงพลังที่ดีเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่เลวร้ายอีกด้วย ทำให้แฮกเกอร์สามารถย้อนรอยแพตช์และสร้างการโจมตีได้อย่างรวดเร็ว ซิสโก้มุ่งแก้ไขปัญหาที่เกิดจาก AI ด้วยโซลูชัน AI โดย Hypershield ของซิสโก้มีเป้าหมายในการเปลี่ยนสถานการณ์ให้กลับมาเป็นประโยชน์ต่อผู้ปกป้องระบบ ด้วยการปกป้องช่องโหว่ใหม่ๆ จากการถูกโจมตีภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที แทนที่จะต้องรอเป็นวัน เป็นสัปดาห์ หรือแม้กระทั่งเป็นเดือน กว่าที่แพตช์จะถูกติดตั้งและแก้ไขปัญหาได้จริง”

“ด้วยจำนวนช่องโหว่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเวลาที่แฮกเกอร์ใช้ในการโจมตีด้วยช่องโหว่เหล่านั้นลดลงเรื่อยๆ เป็นที่ชัดเจนว่าการอุดช่องโหว่ด้วยแพตช์เพียงอย่างเดียวไม่สามารถตามทันได้อีกต่อไป เครื่องมืออย่าง Hypershield จึงมีความจำเป็นในการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายทางไซเบอร์ที่ฉลาดและซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ”

ซีอุส เคอราวารา, ผู้ก่อตั้งและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ของ ZK Research กล่าวว่า “Cisco Hypershield มุ่งแก้ปัญหาความท้าทายด้านความปลอดภัยที่ซับซ้อนของศูนย์ข้อมูลสมัยใหม่ในยุค AI  วิสัยทัศน์ของซิสโก้เกี่ยวกับโครงสร้างแบบจัดการตัวเองที่ผสานรวมเครือข่ายไปจนถึงจุดปลายทางอย่างราบรื่น จะช่วยกำหนดนิยามใหม่สำหรับการรักษาความปลอดภัยในวงกว้าง ตัวอย่างเช่น ระดับการมองเห็นและการควบคุมสภาพแวดล้อมแบบ hyper-distributed สามารถป้องกันการเข้าถึงส่วนอื่นๆ ของเครือข่ายอย่างอิสระของผู้โจมตี ผ่านแนวทางการแบ่งส่วนเครือข่ายอัติโนมัติที่เป็นอิสระและมีประสิทธิภาพสูง แม้สิ่งนี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่เวลานี้ได้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อความก้าวหน้าล่าสุดของ AI รวมกับความสมบูรณ์ของเทคโนโลยีคลาวด์เนทีฟอย่าง eBPF”

สตีเวน เอลโล, หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสารสนเทศภาคสนามของ AHEAD กล่าวว่า “ที่ AHEAD เราเชื่อว่าความปลอดภัยทางไซเบอร์ควรถูกรวมเข้าไปในทุกสิ่งที่เราทำ การใช้ระบบรักษาความปลอดภัยแบบแยกส่วนนั้นมีต้นทุนสูงและได้ผลน้อยกว่า Cisco Hypershield ทำให้มั่นใจว่ามาตรการป้องกันภัยไซเบอร์ถูกรวมเข้าไปในแฟบริกขององค์กร ระบบป้องกันการโจมตีแบบกระจาย (Distributed Exploit laProtection) จะเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่สำหรับฝ่ายป้องกัน การใช้แพตช์เสริมความปลอดภัยแบบเดิมนั้นจำกัดอยู่แค่อุปกรณ์ชั้นนอก (edge devices) ซึ่งยังเปิดช่องให้ผู้โจมตีเคลื่อนไหวสู่ส่วนอื่นๆ ได้อย่างอิสระเมื่อเจาะผ่านพื้นที่ชั้นนอกมาแล้ว วันนี้จึงเป็นวันที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ปกป้องความปลอดภัยไซเบอร์ที่จะมีเครื่องมือที่ดีกว่าในการป้องกันภัยคุกคามอย่างแท้จริง”

ซิสโก้ปกป้องบริษัทชั้นนำระดับโลกทั้งหมดที่ติดอันดับ Fortune 100  หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม คลิกไปที่ cisco.com/go/security

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

เกี่ยวกับ ซิสโก้ (Cisco)

Cisco (NASDAQ: CSCO) เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่เชื่อมต่อทุกสิ่งอย่างปลอดภัยเพื่อให้ทุกสิ่งเป็นไปได้ เป้าหมายของซิสโก้คือขับเคลื่อนอนาคตสำหรับทุกคนโดยช่วยลูกค้าคิดใหม่ (reimagine) เกี่ยวกับแอปพลิเคชัน ขับเคลื่อนการทำงานแบบไฮบริด รักษาความปลอดภัยให้กับองค์กร ทรานส์ฟอร์มโครงสร้างพื้นฐาน และบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน เปิดประสบการณ์กับซิสโก้ที่ห้องข่าว The Newsroom และติดตามข่าวสารของซิสโก้บน X ที่ @Cisco.


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. จัดประชุมสามัญ สออ.ประเทศไทย ประชุมสามัญ ทปอ.และสมาคม ทปอ . ประจำปี 2567

.ดร.สุชาติ เซี่ยงฉิน อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) กล่าวต้อนรับ ศ.ดร.นพ.พงษ์รักษ์  ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประธานสมาคมสถาบันการศึกษาขั้นอุดมแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำประเทศไทย (สออ.) ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) และอธิการบดีมหาวิทยาลัยสมาชิก  ร่วมการประชุมสามัญที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย และการประชุมสามัญสมาคมที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ครั้งที่ 2/2567  และการประชุมสามัญสมาคมสถาบันการศึกษาขั้นอุดมแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประจำประเทศไทย (สออ. ประเทศไทย) ครั้งที่ 1/2567  ในวันอาทิตย์ที่  21  เมษายน  2567  ณ ห้องราชพฤกษ์ อาคารนวมินทรราชินี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ   .ดร.เสาวณิต สุขภารังษี  รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ ผศ.ดร.กฤษชัย ศรีบุญมา รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนากิจการมหาวิทยาลัยเพื่อความยั่งยืน  กล่าวรายงาน ผลการดำเนินคณะกรรมการพันธกิจสากล เครือข่ายมหาวิทยาลัยยั่งยืนแห่งประเทศไทย (Sustainable University Network Thailand, Sun Thailand) การดำเนินงานคณะกรรมการวิชาการและพัฒนาคุณภาพการศึกษาและ ผลการดำเนินงานคณะกรรมการพัฒนาศักยภาพนิสิต นักศึกษา  พร้อมด้วยการนำเสนอ เรื่องความร่วมมือส่งเสริมธรรมาภิบาลต่อต้านคอร์รัปชันในระดับอุดมศึกษาโดยคุณวิเชียร  พงศธร ประธานกรรมการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย ต่อด้วยการบรรยายพิเศษ   เรื่อง  “Paper  คือหนึ่งในแสนยานุภาพเชิงวิชาการและวิจัยของประเทศนั้นๆ  โดย ศ.ดร.ผดุงศักดิ์ รัตนเดโช กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และนายกสมาคมวิศวกรเครื่องกลไทย (TSME)  จากนั้นเยี่ยมชมนิทรรศการ “65 ปี มจพ. พลิกโฉม พลิกความคิด สู่ความยั่งยืนและการมอบรางวัลผลงานด้านความยั่งยืนดีเด่น  ประเภทบทความวิชาการ และโปสเตอร์ ในงานประชุมวิซาการ SUN Thailand ครั้งที่ 8 ณมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

‘มข.’ ส่งนวัตกรรมเพื่อสังคม ‘เตียงอัจฉริยะ’ ยกระดับคุณภาพชีวิตสูงวัยป่วย สร้างรอยยิ้ม สร้างรายได้ชุมชน

มหาวิทยาลัยขอนแก่น สร้างนวัตกรรมเพื่อสังคม ส่งเตียงอัจฉริยะ ช่วยพลิกตัวลดแผลกดทับ ‘สูงวัยป่วยติดเตียง’  2 ชุมชนนำร่อง ตำบลบ้านโต้น และตำบลหนองแวง อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น เตรียมอัพเกรดเวอร์ชั่นใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากขึ้น รับเทรนด์สังคมสูงวัยในไทยพุ่ง 13 ล้านคน คาดผู้ป่วยติดเตียงมี 1.3% หรือ 1.7 แสนคน เตรียมจัดตั้งสู่วิสาหกิจชุมชน ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตผู้ป่วย ผู้ดูแล และ สร้างงาน สร้างรายได้เข้าชุมชน

ศ.ดร.วิชัย อึงพินิจพงศ์ อาจารย์คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบสมบูรณ์ คิดเป็นสัดส่วน 20% ของประชากรทั้งประเทศ โดยเฉพาะใน จังหวัดขอนแก่น ผู้สูงอายุที่ติดเตียงถึง 20,000 คน ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนา โครงการพัฒนาส่งเสริมการผลิตเตียงพลิกตัวต้นทุนต่ำสำหรับผู้ป่วยติดเตียงโดยชุมชน” ที่ร่วมกันระหว่างคณะเศรษฐศาสตร์ คณะเทคนิคการแพทย์ และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งดำเนินการภายใต้โครงการ CIGUS (C – community, I – industry, G – government, U – university, S – society) ที่มีความตั้งใจให้ผู้ป่วยในพื้นที่นำร่องใน 2 ชุมชน ได้แก่ ตำบลบ้านโต้นและตำบลหนองแวง อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น ได้มีเตียงที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานสามารถพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยและลดการเกิดแผลกดทับ อีกทั้งยังช่วยลดภาระผู้ดูแลผู้ป่วย และสร้างงานสร้างรายได้ให้กับช่างในชุมชน

ทั้งนี้การพัฒนาเตียงอัจฉริยะได้เข้าสู่เวอร์ชัน 3  โดยเตียงจะใช้วัสดุทำจากไม้และโลหะบางส่วน ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ผู้ป่วยและผู้ดูแลทำการกดสวิตช์ควบคุมเพื่อให้เตียงทำการพลิกตัว ส่วนงบประมาณในการจัดทำนั้นจะอยู่ที่ 10,000-15,000 บาทต่อเตียง ซึ่งเป็นราคาที่ผู้สูงอายุในชุมชนสามารถเข้าถึงได้

ด้านนายชัยชาญ เพชรสีเขียว  ตัวแทนกลุ่มผู้ผลิตเตียงในชุมชน กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มีโอกาสแนะนำผู้สูงอายุที่ป่วยติดเตียงในชุมชน อายุ 91 ปี และผู้ดูแลถึงการใช้งานของเตียงที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยมีปุ่มกดให้สามารถลุกนั่ง เอนซ้าย เอียงขวา เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดการเคลื่อนไหวร่างกายและช่วยให้อากาศถ่ายเทได้ โดยที่ไม่เกิดแผลกดทับ

ในส่วนของการต่อยอดเตียงอัจฉริยะไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้ให้ชุมชนนั้น ขณะนี้ทางชุมชนได้รับมอบแบบและวิธีการต่อเตียงมาเป็นที่เรียบร้อยและอยู่ระหว่างการพูดคุยกับช่างไม้ภายในชุมชนที่น่าจะมีจำนวนที่มากพอในการทำงานนี้    อย่างไรก็ดี คงต้องรอความคืบหน้าเพราะยังเป็นช่วงเริ่มต้นเท่านั้น และยังไม่ได้จดทะเบียนวิสาหกิจชุมชน หากทุกอย่างเริ่มลงตัว ทั้งแบบที่กำลังปรับให้สอดรับกับการใช้งานมากขึ้น และวัสดุที่นำมาใช้สร้างเตียง ซึ่งยังมีความเห็นที่หลากหลาย ทั้งไม้เต็ง ไม้เนื้อแข็ง ไม้สนนอก ที่มีน้ำหนักเบาและหาได้ง่าย รวมถึงนำเหล็กมาต่อเป็นเตียงเพื่อให้ถอดประกอบได้ ในส่วนของขนาดเตียงก็ปรับให้สามารถขนย้ายเข้าบ้านของผู้ป่วยได้ง่ายขึ้น

ผศ.ดร.สุรกานต์ รวยสูงเนิน อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า การพัฒนาเตียงเพื่อผู้สูงวัยที่ป่วยติดเตียง เป็นโครงการที่เกิดประโยชน์ได้หลายทาง ทั้งในมิติในสังคม และเศรษฐกิจ ในอนาคตหากสามารถต่อยอดไปสู่วิสาหกิจชุมชนได้จะเป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก เพราะวิธีการผลิตที่ง่าย ทักษะช่างไม้ที่มีอยู่ในชุมชนสามารถดำเนินการได้เลยตามแบบและคู่มือการประกอบที่เตรียมจัดทำขึ้น ขณะที่อุปกรณ์มอเตอร์ไฟฟ้าก็หาได้ง่ายจากร้านค้าชุมชน ถ้าเป็นการผลิตในปริมาณที่มากขึ้นในอนาคตจะยิ่งเป็นการลดต้นทุนลงมาอยู่ที่ประมาณ 10,000 บาทต่อเตียง ซึ่งเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน รวมถึงเพิ่มโอกาสการเข้าถึงเตียงในกลุ่มของผู้ป่วยที่มีรายได้น้อย

นอกจากในมิติของการสร้างงานและสร้างรายได้เข้าชุมชนแล้ว ส่วนของคุณภาพชีวิตและการดูแลผู้ป่วยก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน

รศ.ดร.อัมพรพรรณ ธีรานุตร คณบดี คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า ทักษะของคนดูแลผู้ป่วย โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจวัตรประจำวันพื้นฐาน เช่นการทำความสะอาดร่างกาย การขับถ่าย การรับประทานอาหารที่มีทั้งผู้ป่วยพอทานเองได้ และการให้อาหารทางสายยาง รวมถึงการเคลื่อนไหวของร่างกาย ผู้ป่วยบางรายไม่สามารถนั่งได้ ทำให้ต้องนอนเพียงอย่างเดียว ดังนั้นการพลิกตัวผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมงจึงมีความสำคัญมาก เพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ

ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวร่างกาย ส่วนของข้อไหล่ ข้อศอก ข้อสะโพก ข้อเข่า มีความสำคัญ หากการพัฒนาเตียงที่มีฟังก์ชันเปลี่ยนท่าทาง เคลื่อนไหวผู้ป่วยได้จะช่วยให้ข้อต่อต่าง ๆ ในร่างกายไม่ติดล็อคและทำให้เกิดการผิดรูปขึ้นได้ นอกจากดูแลด้านร่างกายแล้ว ผู้ดูแลควรหมั่นสังเกตอาการที่ผิดปกติของผู้ป่วย และดูแลจิตใจด้วยการให้กำลังใจและให้ความหวังในการใช้ชีวิต  โดยคณะฯ มีหลักสูตรอบรม 70 ชั่วโมง แบ่งเป็นทฤษฎี 40 ชั่วโมง และลงมือปฏิบัติอีก30 ชั่วโมง รับรองโดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข การดูแลผู้ป่วยติดเตียงในชุมชน ทำโดย Caregiver และ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และญาติผู้ป่วย

ขณะที่ นายอานนท์ ดิษฐเนตร เจ้าพนักงานทันตสาธารณสุขชำนาญการงาน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านโต้น จังหวัดขอนแก่น (รพ.สต.บ้านโต้น) กล่าวว่า จำนวนผู้สูงอายุที่ป่วยติดเตียงในหมู่บ้านส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป ซึ่งคนดูแลหลักจะเป็นญาติ เนื่องจากคนในชุมชนไม่มีกำลังมากพอสำหรับการจัดหาว่าจ้างผู้ดูแลภายนอก โดยแต่ละวันญาติจะช่วยผู้ป่วยอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกาย และทำความสะอาดแผลก่อนที่ก่อนเจ้าหน้าที่จะเข้าไปติดตามอาการ ตรวจร่างกาย และติดตามความคืบหน้าของอาการว่าเป็นอย่างไร รวมถึงมีภาวะแทรกซ้อนหรือไม่

ที่ผ่านมา ทางชุมชนได้รับมอบเตียงอัจฉริยะจากทาง ม.ขอนแก่น ให้ผู้สูงอายุที่ป่วยติดเตียงทดลองใช้งาน ซึ่งก็พบว่า เตียงที่สามารถพลิกตะแคงตัวผู้ป่วย ช่วยลดการเกิดแผลกดทับได้ ทำให้คนดูแลมีเวลาไปทำอย่างอื่นได้ อย่างไรก็ดี เพื่อให้เกิดใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่เห็นว่าควรการปรับในบางส่วน เช่น ขนาดเตียง ความสูงของเตียง ถ้าสูงเกินไปจะไม่สะดวกนักสำหรับผู้ดูแล รวมถึงความแข็งแรงของเตียง และการเคลื่อนย้ายเตียงด้วยการติดล้อ เป็นต้น     

ทั้งนี้ ข้อมูลจากหอผู้ป่วยเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พบผู้ป่วยที่เป็นแผลกดทับ มีค่าใช้จ่ายในการรักษาเฉลี่ย 48,000-55,000 บาทต่อคน ส่วนผู้ป่วยกลุ่มเปราะบาง มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 3,000-5,000 บาทต่อคนต่อเดือน การพัฒนาเตียงอัจฉริยะ พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตเตียงให้ชุมชนสามารถผลิตใช้งานเองและนำไปต่อยอดสร้างรายได้ให้กับชุมชน และอนาคตหากสามารถส่งต่อไปยังกลุ่มเป้าหมายในหลายจังหวัดทั่วประเทศ จะเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยติดเตียงและผู้ดูแลให้ดีขึ้นด้วย


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. เปิดรับสมัครนักศึกษา สอบตรง สำหรับผู้เรียนดี เพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี (ต่อเนื่อง) 2 – 3 ปี

อุทยานเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ร่วมกับ ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมทรัพยากรมนุษย์เพื่ออุตสาหกรรม สำนักงานอธิการบดี มจพ.  จังหวัดระยอง เปิดรับสมัครนักศึกษาเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี (ต่อเนื่อง) 2 – 3 ปีจัดการเรียนการสอน ณ ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมทรัพยากรมนุษย์เพื่ออุตสาหกรรม ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง มีรายละเอียดในการรับนักศึกษา ดังนี้

เป็นโครงการคัดเลือกตรงเพื่อกระจายโอกาสสำหรับผู้เรียนดี วุฒิ ปวช. และ ปวส. ประจำปีการศึกษา 2567 หลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิต (ทล..) สาขาวิชาเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่และระบบอัตโนมัติ สำหรับรอบเรียนในเวลาราชการ และ รอบเรียนนอกเวลาราชการ 

คุณสมบัติเฉพาะของผู้สมัคร  สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ในสาขาวิชาช่างยนต์ ช่างกล  ช่างกลโรงงาน  ช่างแมคคาทรอนิกส์  ช่างไฟฟ้า  ช่างอิเล็กทรอนิกส์  ช่างเทคโนโลยีอุตสาหกรรม  ช่างเครื่องมือวัดช่างไฟฟ้าอุตสาหกรรมและช่างเทคนิคปิโตรเลียมหรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง

เปิดรับสมัครโครงการคัดเลือกตรงเพื่อกระจายโอกาส  ตั้งแตในวันที่ 1 เมษายน . 2567 ถึง วันที่ 20 พฤษภาคม 2567

สมัครได้ที่ลิงก์  https://stdadmis2.kmutnb.ac.th/ApplyStart?ReturnUrl=%2f 

ประกาศผู้มีสิทธิ์สอบ วันที่ 22 พฤษภาคม  2567

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมทรัพยากรมนุษย์เพื่ออุตสาหกรรม

โทร. 038-627-000 ต่อ 5606 ติดตามข่าวสารได้ที่ Line@ NAAT หรือ facebook : NAAT KMUTNB

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ลุยตลาดดิจิทัลเซอร์วิส เสนอความล้ำในงาน Future Energy Asia

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ด้านการจัดการพลังงาน และระบบอัตโนมัติ นำเสนอเทคโนโลยีการบริการยุคใหม่ ด้วยดิจิทัล หรือ ดิจิทัลเซอร์วิส ล้ำหน้าด้วยการยกระดับการจัดการระบบไฟฟ้าให้เป็นดิจิทัล ช่วยแก้ปัญหาระบบไฟฟ้าแบบเชิงรุก ให้สามารถคาดการณ์แนวโน้มการซ่อมบำรุงได้ ลดปัญหาการดาวน์ไทม์ของระบบไฟฟ้าแบบฉับพลัน รวมไปถึงการตรวจสอบการเสื่อมของอุปกรณ์ที่มีอยู่ หรือจากปัจจัยสภาวะแวดล้อมต่างๆ

การยกระดับระบบไฟฟ้าอยู่ในรูปแบบดิจิทัล ทำให้สามารถเข้าถึงและมองเห็นภาพรวมทั้งหมดของระบบไฟฟ้า รวมถึงประสิทธิภาพ ในแบบเรียลไทม์ และดูข้อมูลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเชิงป้องกัน วิเคราะห์สถานการณ์ย้อนหลัง และคาดการณ์แนวโน้มของระบบในอนาคตได้อย่างมั่นใจ พร้อมทั้งช่วยลดตุ้นทุนในการซ่อมบำรุง ลดความเสี่ยงและการชัตดาวน์ของระบบ

พบกับนวัตกรรมด้านการบริการและบำรุงรักษาในแบบดิจิทัลสุดล้ำ ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในงาน Future Energy Asia และFuture Mobility Asia ทุกธุรกิจไม่ว่าจะเป็นอาคาร โรงงาน ห้างสรรพสินค้า หรือธุรกิจที่มีระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่ ที่ทุกความล้มเหลวของระบบนับเป็นต้นทุน มาอัปเดตเทคโนโลยีดิจิทัลเซอร์วิสได้ ใน วันที่ 15 – 17 พฤษภาคม 2567 ณ บูธ EG02 ฮอลล์ 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พร้อมลงทะเบียนล่วงหน้าที่ได้ที่นี่

งานนี้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยกทัพผู้เชี่ยวชาญมาพร้อมนำเสนอนวัตกรรมไฮไลท์ อาทิ

  • EcoStruxure Service Plans การบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าด้วยบริการดิจิทัลตลอดอายุสัญญา มาพร้อมการจัดหาอุปกรณ์จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค รวมถึงอุปกรณ์ IoT และปรับปรุงอุปกรณ์เดิมที่ลูกค้ามีอยู่ ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการทรานส์ฟอร์มระบบไฟฟ้ารูปแบบใหม่ด้วยซอฟต์แวร์ ระบบวิเคราะห์ และอุปกรณ์เชื่อมต่อกับดิจิทัล ช่วยลดความเสี่ยงจากกระแสไฟฟ้าขัดข้อง ลดกิจกรรมด้านการบํารุงรักษา ลดค่าใช้จ่ายในการดําเนินการ ช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์และสินทรัพย์
  • EcoStruxure Asset Advisor ช่วยเสนอแนวทางในการจ่ายไฟฟ้าและการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้า ประเมินผลข้อมูลแบบเรียลไทม์จากอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เชื่อมต่อ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ขั้นสูง สามารถระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ทำให้สามารถวางแผนป้องกัน และหาแนวทางแก้ไขไว้ล่วงหน้า ให้ความปลอดภัย หลีกเลี่ยงการหยุดทำงานโดยไม่ได้วางแผน ซึ่งลูกค้าหรือผู้ใช้งานสามารถดำเนินการด้วยตนเอง อีกทั้งยังสามารถใช้บริการ Service Bureau ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญจาก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่คอยดูแลและให้บริการตลอด 24×7
  • EcoConsult

o   Power Quality Audit บริการออดิตแบบดิจิทัล แบบเรียลไทม์ โดยวิศวกรที่ชำนาญเฉพาะทางด้าน Power Quality มาพร้อมรายงานการปฏิบัติตามข้อกำหนด พร้อมคำแนะนำในการแก้ปัญหา ช่วยในการวางแผนการป้องกันการเกิด Downtime โดยไม่ได้วางแผนล่วงหน้าอย่างตรงจุด และยังทำให้ระบบไฟฟ้าทันสมัยอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย

o   Advanced Audit for Power เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานด้วยการตรวจสอบคุณภาพกำลังไฟฟ้า ช่วยตรวจสอบคุณภาพกำลังไฟฟ้าและประเมินเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดเวลาหยุดทำงาน ยืดอายุการใช้งานอุปกรณ์ และลดการปล่อยคาร์บอน

ผู้ที่สนใจพบกันใน วันที่ 15 – 17 พฤษภาคม 2567 ณ บูธ EG02 ฮอลล์ 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ผู้ดูแลระบบไฟฟ้า และผู้ประกอบการสามารถรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญจากชไนเดอร์ อิเล็คทริค ฟรี!!! ทุกเรื่องของพลังงานมีทางออกเสมอ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เอปสันโชว์เหนือ คว้าสุดยอดองค์กรธุรกิจไทย และแบรนด์พรินเตอร์ที่ 1 ในใจผู้บริโภค

18 เมษายน 2567 – เอปสัน ประเทศไทย คว้า 2 รางวัลใหญ่ ตอกย้ำองค์กรที่มีการดำเนินธุรกิจโดดเด่นเป็นที่ยอมรับ ทั้งในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการใช้งานและคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรวมถึงเป็นแบรนด์พรินเตอร์ที่ครองใจผู้บริโภคเป็นปีที่ 3 ต่อเนื่อง

นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด รับรางวัลสุดยอดองค์กรธุรกิจไทย Thailand Top Company Award 2024 ประเภทรางวัลความเป็นเลิศ Best Innovative Technology Award จากศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ที่ให้เกียรติมอบรางวัล สำหรับรางวัลดังกล่าวใช้หลักเกณฑ์พิจารณาจากองค์กรที่ดำเนินงานธุรกิจที่มีความโดดเด่นและรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

รางวัล Thailand Top Company Award 2024 จัดขึ้นโดย นิตยสาร BUSINESS+ โดย บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เพื่อมอบให้แก่องค์กรไทยที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของประเทศ มีผลการดำเนินงานยอดเยี่ยม และมีความเป็นเลิศในแต่ละด้าน โดยครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด The Future of AI – Enabled Enterprises : ก้าวสู่อนาคตขององค์กรด้วยปัญญาประดิษฐ์

นอกจากนี้พรินเตอร์ เอปสัน ยังได้รับรางวัล 2024 Thailand’s Most Admired Brand ในฐานะแบรนด์พรินเตอร์อันดับหนึ่งในใจของผู้บริโภคต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 รางวัลดังกล่าว จัดโดยนิตยสารแบรนด์เอจ ร่วมกับคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 25 ซึ่งเป็นการสำรวจความพึงพอใจของผู้บริโภคจากทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยกลุ่มตัวอย่างต้องเป็นผู้ตัดสินใจซื้อสินค้า และเป็นผู้บริโภคสินค้าหรือบริการนั้นๆ เพื่อให้ได้คำตอบที่สะท้อนความคิดผู้บริโภคอย่างแท้จริง รางวัลนี้สามารถสะท้อนถึงการรับรู้ของแบรนด์ ความเชื่อมั่นและความนิยมของแบรนด์ในสายตาของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

นายยรรยง กล่าวว่า “เอปสันมุ่งมั่นสร้างสรรค์เทคโนโลยีที่เปี่ยมประสิทธิภาพ ขนาดกะทัดรัด และแม่นยำ ที่ช่วยลดการใช้ทรัพยากร เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของทุกคน หรือ “Engineered for Good ” ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมความยั่งยืนและมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง อาทิ Heat-Free เทคโนโลยีการพิมพ์ที่ไม่ใช้ความร้อนลิขสิทธิ์เฉพาะของเอปสัน  ซึ่งเมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์แล้ว จะประหยัดพลังงานได้มากกว่าถึง 85% ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงถึง 85% พร้อมประสิทธิภาพการพิมพ์ที่ดี คุ้มค่าการลงทุน สำหรับทั้งสองรางวัลที่
เอปสันได้รับ นับเป็นรางวัลแห่งความภาคภูมิใจของทีมงานเอปสันทุกคน รวมถึงเป็นเครื่องหมายสะท้อนว่าเอปสันเป็นองค์กรที่พร้อมส่งต่อนวัตกรรมบนแกนหลักของความยั่งยืน ที่มีคุณค่าแตกต่างทั้งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสนับสนุนแนวทางการพัฒนาความยั่งยืนในองค์กรของลูกค้า ผ่านเทคโนโลยีของเอปสัน”


Exit mobile version