Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เมโทรซิสเต็มส์ฯ เปิดตัวเครื่องพิมพ์ 3 มิติรุ่นใหม่ UltiMaker Factor 4 ครั้งแรกในอาเซียน

บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MSC ผู้นำในธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศครบวงจร โดย กลุ่มธุรกิจซอฟต์แวร์โซลูชั่น แผนก Design & Engineering Solutions (DES) ผู้จัดจำหน่ายเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากแบรนด์ UltiMaker จัดงานเปิดตัว “Open House UltiMaker Factor 4 in Thailand” ครั้งแรกในประเทศไทยพร้อมเปิดตัวเครื่องพิมพ์ 3 มิติ รุ่นใหม่ล่าสุด จากประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อวันพุธที่ 15 พฤษภาคม 2567 ณ อาคาร SM Tower ชั้น 16 ห้องประชุม BPC (BTS สนามเป้า) และร่วมรับชมผ่านทาง Facebook LIVE  Metro-3D Printer & 3D Scanner 

งาน “Open House UltiMaker Factor 4 in Thailand” จัดขึ้นเพื่อนำเสนอเทคโนโลยีที่น่าสนใจจากแบรนด์ UltiMaker ผู้นำด้านเทคโนโลยีและโซลูชันการพิมพ์ 3 มิติ แบบ Desktop จากประเทศเนเธอร์แลนด์  ภายในงานได้รับเกียรติจาก คุณณัฐพล เนตรมุกดา, Assistant Vice President of Design & Engineering Solution บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ Mr. Chevy Kok, Vice President, Asia – Pacific จาก UltiMaker ร่วมนำเสนอโซลูชันเทรนด์การพิมพ์ 3 มิติยุคใหม่ พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ “UltiMaker Factor 4” เครื่องพิมพ์ 3 มิติรุ่นใหม่ล่าสุดสำหรับภาคอุตสาหกรรม โดย คุณจักรพงศ์ เชื้อทองคำ Additive Manufacturing Manager บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมนำเสนอฟังกชันการใช้งานแบบเจาะลึก โดยมี คุณอารยะ สงบพันธ์ Marketing Manager บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินรายการ

“UltiMaker Factor 4” เครื่องพิมพ์ 3 มิติรุ่นใหม่ล่าสุดสำหรับภาคอุตสาหกรรม มาพร้อมกับ HT Print Core แบบใหม่ที่รองรับการใช้งานอุณหภูมิที่สูงขึ้นถึง 340°C ช่วยให้สามารถพิมพ์วัสดุคุณภาพสูงได้มากยิ่งขึ้น เช่น วัสดุใหม่ อย่าง PPS Carbon Fiber วัสดุทนความร้อนที่ให้คุณภาพเทียบเท่ากับเหล็กหรืออะลูมิเนียม ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้งานที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นในอุตสาหกรรม 

ด้วยนวัตกรรมล่าสุดของ 3D Printer รุ่นใหม่ UltiMaker Factor 4 เครื่องพิมพ์รุ่นนี้รองรับการพิมพ์ขนาดใหญ่ในขนาด 330 มม. x 240 มม. x 300 มม. โดยการผสมผสานเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติระดับอุตสาหกรรมของ UltiMaker ที่ตอบรับความต้องการของ Industry 4.0 เพิ่มความคล่องตัวในการพิมพ์ ลดขั้นตอนในการทำงาน และสามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง รองรับการพิมพ์ด้วยวัสดุทางวิศวกรรมที่มากกว่า มาพร้อมกับระบบฉีดเส้นแบบ Direct Drive Dual Extrusion อีกทั้งยังมีระบบรายงานการพิมพ์ และนวัตกรรมอื่นๆ อีกมากมายด้วยเช่นกัน

UltiMaker Factor 4 ช่วยยกระดับการทำงานในกระบวนการผลิต เหมาะสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม มีระบบเปลี่ยนวัสดุอัตโนมัติ รักษาคุณภาพของเส้นวัสดุ ด้วยการออกแบบให้มีการควบคุมอุณหภูมิทำให้มั่นใจในผลลัพธ์ที่ต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นชิ้นงานที่ซับซ้อนและยากขนาดไหนก็ตาม รวมถึงมีระบบอัตโนมัติในการเปลี่ยนวัสดุไม่ว่าจะ Load หรือ Unload (ใส่ได้ 6 ม้วน)

ด้วยหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ระยะไกล และ UltiMaker Factor 4 ใช้ระบบแกนขับเคลื่อนแบบ  H-Bridge พร้อมระบบหัวฉีดแบบ Direct Drive  ช่วยให้พิมพ์สองวัสดุได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้ง Factor 4 ยังสามารถพิมพ์ได้ที่อุณหภูมิสูงสุดถึง 340°C, รักษาอุณภูมิภายใน 70°C และเพิ่มอุณหภูมิ Build Plate ได้มากสุดถึง 120°C และนั้นเป็นเพียง Feature บางส่วนของ UltiMaker Factor 4

3D Printing ถือเป็นหนึ่งในโซลูชั่นที่สำคัญในการพัฒนา และยกระดับอุตสาหกรรมในประเทศให้เป็น Smart Factory ด้วยนวัตกรรมที่ทำให้การผลิตชิ้นงานที่มีความซับซ้อนได้ง่าย พร้อมลดต้นทุนในการผลิต UltiMaker Factor 4 จึงสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าด้านงานพิมพ์ 3 มิติคุณภาพสูงได้อย่างครบวงจร ทั้งบริการให้คำปรึกษาการใช้งาน และการบำรุงรักษา โดย บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียวที่มีเครื่องจริงให้ทดลองใช้ได้แล้ววันนี้

สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมโปรดติดต่อได้ที่ โทร.02-0894145 Email: sales-des@metrosystems.co.th Line: @metrodes


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. อันดับ 3 ด้านคุณภาพงานวิจัย อันดับ 5 มหาวิทยาลัยไทย และเป็นอันดับที่ 401-500 ของเอเชีย

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ( มจพ.) ได้รับการจัดอันดับจาก THE Asia University Rankings 2024 Times Higher Education หรือ THE ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกชื่อดังจากประเทศอังกฤษดังนี้

อันดับ 3 ด้านคุณภาพงานวิจัย (Research Quality) ซึ่งนับเป็นอันดับ 3 ของประเทศ
อันดับ 5 มหาวิทยาลัยไทย และเป็นอันดับ 401-500 ของเอเชีย

ทั้งสองอันดับนี้ได้พุ่งทะยาน แบบก้าวกระโดด 100 อันดับ จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งเอเชีย ซึ่งมีมหาวิทยาลัยจากทั่วเอเชียเข้าร่วมการจัดอันดับครั้งนี้รวม 739 มหาวิทยาลัย จาก 31 ประเทศ

สามารถดูข้อมูลการจัดอันดับได้ที่ เว็บไซต์ https://bit.ly/KMUTNBTHEAsia2024

ขวัยฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

AMD จับมือการไฟฟ้านครหลวง (MEA) เปิดโครงการ MEA WISE ปีที่ 2 พร้อมสนับสนุนและผลักดันให้เกิด Startup ใหม่

AMD ประเทศไทย ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีการประมวลผลประสิทธิภาพสูง จับมือ การไฟฟ้านครหลวง (MEA), ธนาคารกสิกรไทย และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดตัวโครงการ MEA WISE ปีที่ 2 มุ่งเน้นส่งเสริมนวัตกรรมและโมเดลธุรกิจใหม่ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของ MEA ให้สอดคล้องกับบริบทการแข่งขันและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ภายใต้แนวคิด Energy Transformation โดยมีเป้าหมายพัฒนาโครงการให้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่สามารถก่อให้เกิดรายได้ 

ความร่วมมือในครั้งนี้ AMD ผู้ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการประมวลผลประสิทธิภาพสูง และเทคโนโลยี AI ชั้นนำระดับโลก จะเข้ามามีส่วนร่วมผ่านการให้คำแนะนำเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI PC บนกลุ่มผลิตภัณฑ์ล่าสุดโดยผู้เชี่ยวชาญของ AMD เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการมีความเข้าใจและสามารถนำเทคโนโลยีไปใช้ในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถเชื่อมโยงโปรเจ็คต่าง ๆ ของผู้เข้าร่วมประกวดเข้ากับพันธมิตรชั้นนำมากมายของ AMD ไม่ว่าจะเป็นทั้งด้านฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ เพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดได้ในอนาคต


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์เผยคาดการณ์ 8 ไซเบอร์ซีเคียวริตี้แห่งปี 2567

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 8 พฤษภาคม 2567 – การ์ทเนอร์เผย 8 คาดการณ์สำคัญของความปลอดภัยทางไซเบอร์ในปี 2567 และในอนาคต พบว่าการใช้ Generative AI จะช่วยลดช่องว่างทักษะและลดเหตุความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เกิดโดยพนักงาน โดยที่ 2 ใน 3 ขององค์กร 100 แห่งทั่วโลกจะขยายการประกันภัย D&O ให้กับผู้นำด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ตามกฎหมายการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล และการรับมือกับข้อมูลที่บิดเบือนจะสร้างต้นทุนแก่องค์กรมากกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ดีปตี โกปาล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย การ์ทเนอร์ กล่าวว่า “Gen AI ทำให้เราก้าวข้ามขีดจำกัดความเป็นไปไม่ได้ และมอบโอกาสที่ดีในการแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ยืดเยื้อมายาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องของการขาดแคลนทักษะและพฤติกรรมเสี่ยงของมนุษย์ การคาดการณ์ในปีนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของเทคโนโลยีเท่านั้น เนื่องจากองค์ประกอบของ “มนุษย์” ได้รับความสนใจมากขึ้น โดยผู้บริหาร CISO ใดก็ตามที่ต้องการสร้างโปรแกรมความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน จะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้”

การ์ทเนอร์แนะนำให้ผู้บริหารความปลอดภัยทางไซเบอร์สร้างสมมติฐานต่าง ๆ ต่อไปนี้ขึ้นมาเพื่อวางแผนและใส่ไว้ในกลยุทธ์ด้านความปลอดภัยในอีกสองปีข้างหน้า ในปี 2571 การนำ GenAI มาใช้จะช่วยลดช่องว่างด้านทักษะ โดยขจัดความจำเป็นในด้านการศึกษาเฉพาะทางจาก 50% ของตำแหน่งงานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ในระดับเริ่มต้น

การนำ GenAI มาใช้ จะเปลี่ยนแนวทางการว่าจ้างขององค์กรและการสอนให้พนักงานรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่กำลังมองหาความถนัดเช่นเดียวกันกับการศึกษาที่มีความเหมาะสม แพลตฟอร์มเมนสตรีมต่าง ๆ เสนอบริการการสนทนาเพิ่มเติมอยู่แล้ว แต่จะมีการพัฒนายิ่งขึ้น การ์ทเนอร์แนะนำให้ทีมไซเบอร์ซีเคียวริตี้มุ่งเน้นไปที่เคสการใช้งานภายในที่สนับสนุนการทำงานของผู้ใช้ การประสานงานกับพันธมิตรด้านทรัพยากรบุคคล และการหาตัวพนักงานที่มีทักษะความสามารถใกล้เคียงกันเพื่อเพิ่มบทบาทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นทักษะสำคัญ

ในปี 2569 องค์กรที่รวม GenAI เข้ากับสถาปัตยกรรมบนแพลตฟอร์มบูรณาการใน Security Behavior and Culture Programs หรือ SBCP จะพบเหตุการณ์ความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เกิดโดยพนักงานน้อยลง 40%

องค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมส่วนบุคคลมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของ SBCP ที่มีประสิทธิผล GenAI มีศักยภาพในการสร้างเนื้อหาและใช้เป็นเครื่องมือในการฝึกอบรมที่มีความเป็นส่วนตัวสูง โดยคำนึงถึงบริบทของคุณลักษณะเฉพาะของพนักงาน จากข้อมูลของการ์ทเนอร์ การให้ความสำคัญนี้จะเพิ่มโอกาสที่พนักงานจะใช้พฤติกรรมที่ปลอดภัยมากขึ้นในการทำงานแต่ละวัน ส่งผลให้เหตุการณ์ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ลดน้อยลงไปด้วย 

“องค์กรที่ยังไม่ยอมรับความสามารถของ GenAI ควรประเมินความเชี่ยวชาญของพันธมิตรด้านความปลอดภัยภายนอกในปัจจุบัน เพื่อทำความเข้าใจว่าจะใช้ประโยชน์จาก GenAI เป็นส่วนหนึ่งในแผนงานด้านโซลูชันได้อย่างไร” โกปาล กล่าวเพิ่ม

75% ขององค์กรจะคัดระบบที่ไม่มีการจัดการ ระบบเก่า และระบบทางกายภาพด้านไซเบอร์ออกไปจากกลยุทธ์ Zero Trust จนถึงปี 2569

ภายใต้กลยุทธ์ Zero Trust ผู้ใช้ปลายทางจะได้สิทธิการเข้าถึงเฉพาะที่จำเป็นในการทำงานเท่านั้น และถูกตรวจสอบจำแนกตามภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในสภาพแวดล้อมการผลิตหรือสภาพแวดล้อมที่มีความสำคัญต่อภารกิจ แนวคิดเหล่านี้ไม่ได้แปลเป็นภาษาสากลสำหรับใช้อุปกรณ์ที่ไม่มีการจัดการ แอปพลิเคชันรุ่นเก่า และระบบทางกายภาพทางไซเบอร์ (CPS) ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อปฏิบัติงานเฉพาะในสภาพแวดล้อมด้านความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ภายในปี 2570 สองในสามขององค์กร 100 แห่งทั่วโลกจะขยายการประกันภัย D&O ให้กับผู้นำด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ตามกฎหมายการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

กฎหมายและข้อบังคับใหม่ เช่น กฎการเปิดเผยและการรายงานความปลอดภัยทางไซเบอร์ของ SEC ทำให้ผู้บริหารด้านไซเบอร์ต้องรับผิดชอบต่อข้อมูลส่วนบุคคล บทบาทและความรับผิดชอบของผู้บริหาร CISO จำเป็นต้องได้รับการอัปเดตสำหรับการรายงานและการเปิดเผยที่เกี่ยวข้อง การ์ทเนอร์แนะนำให้องค์กรต่าง ๆ สำรวจประโยชน์ของการครอบคลุมบทบาทนี้ด้วยการขยายประกันภัย D&O รวมถึงการประกันภัยและค่าตอบแทนอื่น ๆ เพื่อบรรเทาความรับผิดส่วนบุคคล ความเสี่ยงทางวิชาชีพ และค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย

ในปี 2571 การใช้จ่ายขององค์กรเพื่อต่อสู้กับข้อมูลบิดเบือนจะสูงถึง 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งไปตัดงบการตลาดและความปลอดภัยทางไซเบอร์ถึง 50%

การผสมผสานระหว่าง AI, การวิเคราะห์, พฤติกรรมศาสตร์, โซเชียลมีเดีย, Internet of Things และเทคโนโลยีอื่น ๆ ทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถสร้างและเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง (หรือข้อมูลที่ผิด) ประสิทธิภาพสูงและปรับแต่งเฉพาะตัวบุคคลได้เป็นจำนวนมาก การ์ทเนอร์แนะนำให้ผู้บริหารกำหนดความรับผิดชอบในการกำกับดูแล คิดค้น และดำเนินโปรแกรมต่อต้านข้อมูลที่บิดเบือนเหล่านั้นทั่วทั้งองค์กร โดยลงทุนในเครื่องมือและเทคนิคที่ต่อกรปัญหาโดยใช้ Chaos Engineering เพื่อทดสอบความยืดหยุ่น

ปี 2569 40% ของผู้นำด้านการจัดการอัตลักษณ์และการเข้าถึง Identity And Access Management (IAM) จะรับผิดชอบในการตรวจจับและตอบสนองต่อการละเมิดที่เกี่ยวข้องกับ IAM เป็นหลัก 

ผู้บริหาร IAM มักจะพยายามระบุความปลอดภัยและมูลค่าทางธุรกิจเพื่อขับเคลื่อนการลงทุนที่แม่นยำ และไม่เกี่ยวข้องกับการอภิปรายเรื่องการจัดหาทรัพยากรด้านความปลอดภัยและการกำหนดงบประมาณ ในขณะที่ผู้บริหาร IAM ยังคงมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยแต่ละคนจะพัฒนาไปในทิศทางที่แตกต่างกัน ทั้งความรับผิดชอบ การมองเห็น และอิทธิพลต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น การ์ทเนอร์แนะนำให้ผู้บริหาร CISO เลิกทำงานด้านไอทีแบบไซโลและความปลอดภัยแบบเดิม ๆ โดยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเห็นบทบาทของ IAM โดยปรับให้สอดรับกับโปรแกรม IAM และโครงการด้านความปลอดภัย 

ในปี 2570 70% ขององค์กรจะรวมการป้องกันข้อมูลสูญหายและการบริหารความเสี่ยงจากภายในเข้ากับบริบท IAM เพื่อระบุพฤติกรรมที่น่าสงสัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ความสนใจที่เพิ่มขึ้นในการควบคุมแบบรวมได้กระตุ้นให้ผู้จำหน่ายพัฒนาความสามารถที่แสดงถึงการทับซ้อนกันระหว่างการควบคุมที่เน้นพฤติกรรมผู้ใช้และการป้องกันข้อมูลสูญหาย สิ่งนี้แนะนำชุดความสามารถที่ครอบคลุมมากขึ้นสำหรับทีมรักษาความปลอดภัยเพื่อสร้างนโยบายเดียวสำหรับการใช้งานแบบคู่ในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและการลดความเสี่ยงจากภายใน การ์ทเนอร์แนะนำให้องค์กรต่าง ๆ ระบุความเสี่ยงของข้อมูลและความเสี่ยงด้านข้อมูลส่วนบุคคล และใช้ความเสี่ยงเหล่านี้เป็นแนวทางหลักสำหรับเป็นกลยุทธ์รักษาความปลอดภัยของข้อมูล

ในปี 2570 30% ของฟังก์ชันไซเบอร์ซิเคียวริตี้จะออกแบบแอปพลิเคชันความปลอดภัยใหม่ เพื่อให้ผู้ที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์หรือเป็นเจ้าของแอปพลิเคชันก็สามารถใช้งานได้ 

ปริมาณ ความหลากหลาย และบริบทของแอปพลิเคชันที่นักเทคโนโลยีธุรกิจและทีมงานแจกจ่ายจัดส่งสร้างขึ้น หมายถึงศักยภาพในการเปิดเผยข้อมูล นอกเหนือจากที่ทีมรักษาความปลอดภัยแอปพลิเคชันเฉพาะจะจัดการได้

“เพื่อลดช่องว่าง หน่วยงานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์จะต้องสร้างความเชี่ยวชาญที่มีประสิทธิภาพขั้นต่ำในทีมเหล่านี้ โดยผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและการฝึกอบรม เพื่อสร้างความสามารถมากเท่าที่จำเป็นสำหรับการตัดสินใจ โดยอาศัยข้อมูลช่วยตัดสินใจความเสี่ยงทางไซเบอร์แบบอัตโนมัติ” โกปาลกล่าว

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัวซอฟต์แวร์สำหรับการบริหารจัดการพลังงาน เพื่อความยั่งยืน ในงาน Future Energy Asia

พลังงานสะอาดปัจจุบัน มีอิทธิพลต่อภาคธุรกิจในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลก เพราะนอกจากจะช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานในระยะยาวแล้ว ยังเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักที่จะนำพาองค์กรไปสู่ความยั่งยืน และช่วยโลกในการแก้ปัญหาความรุนแรงด้านสภาพภูมิอากาศอีกด้วย ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จึงยกทัพโซลูชั่นดิจิทัลสุดล้ำมาเปิดตัวเพื่อสร้างปรากฏการณ์ด้านความยั่งยืน ในงาน Future Energy Asia 2024 เพื่อร่วมกันสร้างโลกที่ยั่งยืนด้วยกัน

โดยผลิตภัณฑ์สุดล้ำหน้าด้านพลังงานทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ อาทิ

Micro Grid Advisor เทคโนโลยีที่มุ่งเน้นด้านการวิเคราะห์พลังงาน การผลิตพลังงาน และแบตเตอรี่ สำหรับองค์กรที่มีเป้าหมายด้านการใช้พลังงานสะอาดโดยมีการติดตั้งแหล่งผลิตพลังงานทดแทนสำหรับการใช้พลังงานภายในพื้นที่ และลดต้นทุนทางด้านพลังงาน โดยสามารถวิเคราะห์คาดการณ์ได้ถึงแนวโน้มในการใช้พลังงาน  และการผลิตพลังงานที่จะเกิดขึ้น รวมไปถึงต้นทุนการใช้พลังงาน และปริมาณการปลดปล่อยคาร์บอน ในแบบเรียลไทม์ พร้อมทั้งสามารถรองรับซอฟต์แวร์การควบคุม HVAC และ EV ได้อย่างไร้รอยต่ออีกด้วย ช่วยให้สามารถควบคุมทรัพยากรพลังงานและโหลดได้แบบไดนามิก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานจากความสามารถในการผลิตพลังงานจากแหล่งผลิตพลังงานภายในพื้นที่ให้ได้มากที่สุด เพิ่มประสิทธิภาพ รวมถึงเวลาที่จะใช้ผลิตและจัดเก็บพลังงานให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีอินเทอร์เฟซสำหรับใช้งานบนเว็บช่วยให้เข้าใจข้อมูลการประหยัดรายได้ และการปล่อย CO2 แบบเรียลไทม์ได้อย่างง่ายดาย

Unified Operation Center จาก AVEVA หรือศูนย์การดำเนินงานแบบบูรณาการ ช่วยให้สามารถเห็นมุมมองในภาพรวมของการใช้พลังงานและทรัพยากรได้ทุกที่หรือทุกไซต์งาน ทำให้สามารถกำหนดมาตรฐานของอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์ รวมถึงการใช้งานได้อย่างเหมาะสมเต็มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินงานในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น น้ำมันและก๊าซ โครงสร้างพื้นฐานและเมืองอัจฉริยะ ศูนย์ข้อมูล การเดินเรือ พลังงาน และเหมืองแร่ ได้ในแบบเรียลไทม์ และมอบข้อมูลทำงานเพื่อให้บริการตามเป้าหมายขององค์กรและเป็นแนวทางการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ของคุณแบบ end to end

EcoStruxure™ Resource Advisor ซอฟต์แวร์โซลูชั่นที่ใช้สำหรับจัดการพลังงานและความยั่งยืน โดยแพลตฟอร์มนี้ช่วยให้บริษัทต่างๆ รวบรวม วิเคราะห์ และจัดแสดงข้อมูลด้านความยั่งยืน เพื่อเป็นการช่วยในการตัดสินใจและส่งเสริมการจัดการการทำกลยุทธ์ด้านพลังงานและความยั่งยืนแบบเฉพาะสำหรับแต่ละองค์กร เพื่อให้แต่ละองค์กรสามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมมุ่งเป้าสร้างองค์กรตามแนวทางพัฒนาอย่างยั่งยืนตามมาตรฐานสากลระดับโลกพร้อมด้วย ฟีเจอร์ AI Co-Pilot  ที่ใช้ช่วยในการใช้งานซอฟต์แวร์ให้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

RM AirSeT มาพร้อมเซ็นเซอร์อัจฉริยะเหนือระดับด้วยเทคโนโลยี IoT สามารถมอนิเตอร์ข้อมูลไฟฟ้า และควบคุมการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการตรวจสอบประสิทธิภาพของแอปพลิเคชั่น การจ่ายไฟฟ้า ได้ในแบบเรียลไทม์ และจะช่วยให้สามารถบำรุงรักษาเชิงป้องกัน และพยากรณ์การซ่อมบำรุงได้ ผู้ดูแลสามารถตรวจสอบการทำงานทั้งหมดได้จากระยะไกล เพื่อการดำเนินการที่รวดเร็ว ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์คือไม่ใช้ก๊าซ SF6 ในตู้และอุปกรณ์ย่อยภายในเพื่อเป็นฉนวนอีกต่อไป แต่ใช้อากาศบริสุทธิ์แทน เมื่ออุปกรณ์รั่วซึม หรือหมดอายุ จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการปรับเปลี่ยนที่จะส่งผลต่อสภาวะโลกร้อน

ผู้ที่สนใจลงทะเบียนล่วงหน้า เพื่อเข้าร่วมงาน วันที่ 15 – 17 พฤษภาคม 2567 ณ บูธ EG02 ฮอลล์ 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ผู้ดูแลระบบไฟฟ้า และผู้ประกอบการสามารถรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญจากชไนเดอร์ อิเล็คทริค ฟรี!!! ทุกเรื่องของพลังงานมีทางออกเสมอ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะอุตสาหกรรมเกษตรดิจิทัล มจพ. วิทยาเขตปราจีนบุรี รับสมัครศึกษา ป.โท ปี’67 ช่วงที่ 3

คณะอุตสาหกรรมเกษตรดิจิทัล  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตปราจีนบุรี รับสมัครศึกษาใหม่ ระดับบัณฑิตศึกษา  ภาคการศึกษา 1/2567 ประจำปีการศึกษา 2567 ช่วงที่ 3 รับสมัครวันที่ 11 มีนาคม – 12  พฤษภาคม 2567 หลักสูตร ปริญญาโท (วท..) สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมอาหาร (MFSI)

สมัครออนไลน์ที่ http://grad.admission.kmutnb.ac.th/ApplyLog

รายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์  www.agro.kmutnb.ac.th/ Line : https://lin.ee/rZNXf  หรือฝ่ายประชาสัมพันธ์ งานวิชาการ คณะอุตสาหกรรมเกษตรดิจิทัล มจพ. วิทยาเขตปราจีนบุรี โทรศัพท์ มือถือ 084-352-4447   โทรศัพท์ (037) 217-300 ต่อ 7900 

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ฟอร์ติเน็ต ร่วมมือ สกมช. คัดเลือก-ฝึกอบรมเสริมทักษะบุคลากรคลาวด์ เล็งเพิ่มทรัพยากรบุคคล เสริมความมั่นคงปลอดภัยบนคลาวด์ทุกรูปแบบ

ฟอร์ติเน็ต ประเทศไทย ผนึกสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ขยายขอบเขตความร่วมมือ เปิด Security Workshop ในหัวข้อการออกแบบ และใช้คลาวด์อย่างปลอดภัยตามมาตรฐานสากล เพื่อให้ความรู้และฝึกอบรมบุคคลทั่วไปที่ต้องการ Upskill/Re-Skill เพื่อเสริมทักษะทางด้านคลาวด์ ให้สามารถประยุกต์ใช้ระบบอัตโนมัติ และแพลตฟอร์มการทำงานของฟอร์ติเน็ตเพื่อการจัดการโครงสร้างความมั่นคงปลอดภัยของฟอร์ติเน็ตเข้าสู่สภาพแวดล้อมคลาวด์ทุกประเภทให้เป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
 
ในการทำงานร่วมกัน ฟอร์ติเน็ตและสกมช. ได้ดำเนินการคัดเลือกผู้ผ่านเกณฑ์การทำแบบทดสอบจำนวน 30 ท่านจากผู้ให้ความสนใจเข้าร่วม Webinar กว่า 380 ท่าน ก่อนเข้าสู่การทำ Workshop เพื่อให้เข้าใจและได้ลงมือปฏิบัติจริง ทั้งนี้ การมุ่งพัฒนาบุคลากรทางด้านคลาวด์ในครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายการใช้คลาวด์เป็นหลัก หรือ Cloud First Policy ของภาครัฐ โดยมุ่งเน้นที่การพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการใช้งานและบริหารจัดการระบบคลาวด์ และที่สำคัญ การฝึกอบรมที่เกิดขึ้นยังมีเป้าหมายเพื่อช่วย Up-Skill/Re-Skill ให้กับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนสายงาน หรือผู้ว่างงานที่มีพื้นฐานที่ต้องการเข้าสู่สายงาน เพื่อช่วยเพิ่มจำนวนผู้มีทักษะด้านคลาวด์และด้านความปลอดภัยบนไซเบอร์ไปพร้อมกัน ซึ่งทั้งหมดสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปต่อยอดเพื่อการออกแบบระบบและการทำงานด้านคลาวด์ที่มาพร้อมซีเคียวริตี้อย่างมีประสิทธิภาพ
Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค รุกตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ ด้วยนวัตกรรมไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ และ Easy UPS แบบโมดูลาร์ 3 เฟส

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ด้านการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ จัดทัพนวัตกรรมสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ยุคใหม่ ในงาน Future Energy Asia 2024  ด้วย EcoStruxure™ Micro Data Center R-Series มาพร้อมมาตรฐาน IP และ NEMA สำหรับสภาพแวดล้อมแบบเอดจ์ (Edge) ในโรงงาน ครบครันด้วยระบบปรับอากาศในตัว ตอบโจทย์ความต้องการในอุตสาหกรรม 4.0 ด้วยการทำให้ระบบไอทีในโรงงานมีความเสถียรมากขึ้น ถูกออกแบบเพื่อการใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ ให้ความปลอดภัย ช่วยบูรณาการระบบ IT และ OT เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างศักยภาพการใช้งาน IIoT เพื่อทำให้ระบบไอทีในโรงงานมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับระบบอัตโนมัติทุกรูปแบบ

EcoStruxure™ Micro Data Center R-Series ใช้งานง่าย ช่วยในการบริหารจัดการระบบโครงสร้าง เอดจ์ คอมพิวติ้ง เป็นระบบห้องดาต้าเซนเตอร์พร้อมใช้ในขนาดหนึ่งตู้แร็คแบบปิด ที่ประกอบมาล่วงหน้า สามารถตั้งค่าการทำงานได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังงาน ระบบทำความเย็น ระบบรักษาความปลอดภัย รวมถึงการบริหารจัดการ มีโมเดลใหม่ให้เลือก 4 แบบทั้งในรุ่นขนาด 15U ขนาด 24U และ 42U สามารถทำความเย็นได้ตั้งแต่ 500 ถึง 2000 วัตต์

ไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังมาพร้อม EcoStruxure IT Expert ซึ่งเป็นคลาวด์ซอฟต์แวร์ (cloud-based software) ที่ใช้ในการมอร์นิเตอร์และบริหารจัดการสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์โดยเฉพาะ สามารถมอร์นิเตอร์ ดูข้อมูลได้จากทุกที่ (remote monitoring)  แบบเรียลไทม์  มี mobile application ทำให้สามารถดูข้อมูลได้อย่างสะดวก รวดเร็วและไม่พลาดทุกการแจ้งเตือนผ่านสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต แม้ไม่ได้อยู่ที่ไซต์งาน ช่วยให้ง่ายต่อการแก้ปัญหา และด้วยฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ร่วมกับความสมารถของ AI มาช่วยคาดการณ์แนวโน้มและความเสี่ยงของการใช้งานพร้อมให้คำแนะนำในการป้องกันแก้ไขปัญหา ทำให้สามารถลดความเสี่ยงของเหตุขัดข้องอันไม่พึงประสงค์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ให้ความยืดหยุ่นสำหรับสภาพแวดล้อมไอที เพื่อรองรับเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมในยุค 4.0

นอกจากนี้ในงาน ยังพบกับเทคโนโลยี Easy UPS แบบโมดูลาร์ 3 เฟส มาพร้อมระบบอัจฉริยะอาทิ Scalablepower module เป็นสิทธิบัตรของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยให้เวลาในการสลับโหมดการทำงานเป็นศูนย์ ยกระดับความมั่นใจด้วยเทคโนโลยี Live Swap ออกแบบเพื่อการซ่อมบำรุงได้อย่างปลอดภัย ช่วยปกป้องพนักงาน และเสริมความต่อเนื่องให้กับธุรกิจมากขึ้น สามารถถอดเปลี่ยนได้โดยไม่ต้องกำหนดเวลาหยุดทำงาน จึงให้ประสิทธิภาพสูงสุดถึง 99 เปอร์เซ็นต์ รองรับการเพิ่มขนาดใช้งานได้ตั้งแต่ 50-250 กิโลวัตต์

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีอัจฉริยะสำหรับไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ และ Easy UPS แบบโมดูลาร์ 3 เฟส ลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อร่วมงาน Future Energy Asia 2024 วันที่ 15 – 17 พฤษภาคม 2567 ณ บูธ EG02 ฮอลล์ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ผู้ประกอบการ และผู้ที่สนใจ สามารถรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญจากชไนเดอร์ อิเล็คทริค ฟรี!!! เพราะทุกเรื่องของพลังงานมีทางออกเสมอ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

สยาม ซีเพลน ร่วมมือ โอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ เตรียมความพร้อมสำหรับจุดขึ้นและลงจอดเครื่องบินทะเล ณ โอเชียน มาริน่า จอมเทียน

พัทยา ประเทศไทยสยามซีเพลน ผู้ให้บริการเครื่องบินทะเล ระดับพรีเมี่ยมของประเทศไทย มีความยินดีที่จะประกาศความร่วมมือกับโอเชี่ยน มารีน่า จอมเทียน ภายใต้การบริหารจัดการของโอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้, รวมถึงผู้ดำเนินกิจการท่าเรือและโรงแรมชั้นนำต่างๆ  ภายใต้ความร่วมมือในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะแนะนำจุดขึ้นและลงจอดเครื่องบินทะเล ที่โอเชี่ยน มารีน่า จอมเทียน อันป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงของพัทยา ซึ่งจะช่วยยกระดับประสบการณ์การเดินทางในภาคตะวันออกของประเทศไทยไปอีกขั้น

สยามซีเพลน ได้รับการยกย่องในเรื่องของการให้บริการเครื่องบินเช่าเหมาลำระดับพรีเมี่ยมที่ราคาสามารถเข้าถึงได้ และกำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงในธุรกิจการบินในฐานะผู้ประกอบการเครื่องบินทะเลรายแรกของประเทศไทย ทั้งนี้ความร่วมมือกับ โอเชี่ยนมารีน่า จอมเทียน ที่ล่าสุดได้รับรางวัลท่าเทียบเรือที่ดีที่สุดของประเทศไทยปี 2567 อีกทั้งยังเป็นที่รู้จักในการดำเนินกิจการท่าเรือขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  รวมถึงการให้บริการเช่าเรือยอร์ต และโรงแรมหรุในเครือทั่วประเทศ ทำให้การร่วมมือในครั้งนี้สามารถยกระดับมาตรฐานการเดินทางรูปแบบใหม่ในประเทศไทยได้

ตามบันทึกความเข้าใจที่จัดทำขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้ทั้งสองบริษัทพร้อมที่จะบรรลุวิสัยทัศน์ในการสร้างศูนย์กลางสำหรับเครื่องบินทะเลระดับชั้นนำที่โอเชียน มารีน่า จอมเทียน โครงการนี้ริเริ่มโดยมีจุดมุ่งหมายไม่เพียงแต่เพิ่มความน่าดึงดูดด้านการท่องเที่ยวของจอมเทียนและพัทยาเท่านั้น แต่ยังเป็นประตูสู่การท่องเที่ยวให้กับทะเลตะวันออกของประเทศไทย

ใจความสำคัญในการร่วมมือ

กำหนดการเปิดการให้บริการ: ในปี 2567 มีกำหนดการให้ โอเชี่ยน มารีน่า จอมเทียน เป็นสถานที่นำร่องในการขึ้นและลงจอดเครื่องบินทางน้ำโดยเฉพาะ เพื่อรองรับและอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าที่ต้องการใช้บริการเรือยอชท์ หรือ เข้าพักโรงแรมโอเชี่ยนมารีน่า หรือ ลูกค้าที่ต้องการเข้าถึงการเดินทางแบบเร่งด่วนภายในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและอื่นๆ

เครือข่ายการบินที่คลอบคลุม:  เที่ยวบินที่คลอบคลุมและทั่วถึง: สยาม ซีเพลน จะมีการให้บริการทั้งเที่ยวบินชมวิวภูมิประเทศและเส้นทางการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกันอย่างกว้างขวาง โดยเริ่มจากเส้นทางหลักอย่าง จอมเทียน เพื่อไปยังจุดหมายต่างๆ เช่น กรุงเทพ, หัวหิน, ระยอง, เกาะช้าง, เกาะสมุย, และภูเก็ต อีกทั้ง นักเดินทางยังสามารถเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพของวิวทิวทัศน์ที่น่าทึ่งของ เกาะล้าน, หมู่เกาะต่างๆในชลบุรี และวิวท้องฟ้าอันงดงามของพัทยา

การยกระดับการบริการลูกค้า: โอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ให้คำมั่นใจว่าจะอำนวยความสะดวกสบายและบริการที่เหนือชั้นสำหรับแขกทุกท่านที่มาใช้บริการตั้งแต่มาถึงจนออกเดินทางเดิน ด้วยทีมงานมืออาชีพภาคพื้นดินที่ได้รับการฝึกอบรมจากสยามซีเพลนและปฏิบัติตามมาตรฐานกฎระเบียบ อีกทั้งความร่วมมือนี้ยังรวมถึงบริการรับส่งทางเรือไปยังรีสอร์ทโดยโรงแรมพันธมิตร เช่น เรเนซองส์ อินเตอร์คอนติเนนตัล และเมสัน

การบริการเครื่องบินเช่าเหมาลำ: ก่อนการเปิดตัวเครื่องบินทะเล ทาง Ocean Property ร่วมกับ Siam Scenic ซึ่งเป็นแบรนด์ในเครือ Siam Seaplane นำเสนอบริการเครื่องบินเช่าเหมาลำภาคพื้นดินสำหรับเที่ยวบินชมทัศนียภาพ โดยเที่ยวบินเหล่านี้จะเชื่อมต่อสนามบินอู่ตะเภากับสนามบินภายในประเทศที่สำคัญ เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง สนามบินหัวหิน และสนามบินสมุย นอกจากนั้นยังมีสนามบินส่วนตัวอย่าง Best Ocean Airpark และคลอง 11 อีกทั้งยังมีการเดินทางสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัยสามารถเดินทางไประยองเพื่อทำกิจกรรมอย่างสกายไดฟ์ที่ Skydive Dropzone Thailand หรือบินลงสนามบินส่วนตัวของ แรนโช ชาญวีร์ รีสอร์ท ที่เขาใหญ่สำหรับเล่นกอฟล์ นอกจากนี้ ความร่วมมือนี้ยังขยายไปสู่การรวมโรงแรมและรีสอร์ทในเครือของ Ocean Property ทั้งในหัวหิน เกาะสมุย ภูเก็ต และกรุงเทพฯ เข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มการเชื่อมต่อและเพิ่มประสบการณ์การเดินทางสำหรับแขกทุกท่าน

ในการร่วมมือกันในครั้งนี้ถือก้าวสำคัญและเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาการเดินทางท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องบินทะเลที่สามารถเดินทางได้ทั้งทางบกและทางน้ำ

เกี่ยวกับบริษัท สยาม ซีเพลน

บริษัท สยาม ซีเพลน จำกัด ก่อตั้งขึ้นในปี 2562 โดยแบรนด์ สยาม ซีเพลน ที่ให้บริการขนส่งด้วยเครื่องบินทะเลสะเทินน้ำสะเทินบก และแบรนด์ สยาม ซีนิค ที่ให้บริการเครื่องบินเช่าเหมาลำทางบกสำหรับเที่ยวบินชมทิวทัศน์

ความมุ่งมั่นของสยาม ซีเพลน คือการมอบประสบการณ์ระดับพรีเมียมให้กับแขกทุกท่านที่เดินทางกับเรา ในขณะที่พาทุกท่านไปยังจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย พร้อมกับการเดินทางที่ประหยัดเวลาแต่สร้างความทรงจำอันน่าจดจำตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวขึ้นเครื่องบิน โดยทุกท่านจะได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญและการบริการที่เหนือระดับตลอดการเดินทาง

เกี่ยวกับบริษัทโอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด

บริษัท โอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ก่อตั้งขึ้นในปี 2532 เป็นบริษัทในเครือของโอเชี่ยน กรุ๊ปที่มีผู้บริหารงานหลักคือกลุ่มตระกูลอัสสกุลซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาธุรกิจและได้แตกแขนงธุรกิจจนได้รับการยอมรับ ในแวดวงธุรกิจมาอย่างยาวนานกว่า 75 ปี ได้แก่ บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท โอเชี่ยน กลาส จำกัด (มหาชน) กลุ่มโรงแรมบันดารา รีสอร์ท แอนด์ สปา, โรงเรียนนานาชาติ เซนต์ สตีเฟ่นส์ กรุงเทพและเขาใหญ่, โรงเรียนนานาชาติไบรตัน คอลเลจ กรุงเทพกรีฑา อาคารสำนักงาน โอเชี่ยน ทาวเวอร์ 1 และ 2, โครงการซาน มารีโน่ คอนโดมิเนียม และ โอเชี่ยน พอร์โตฟีโน่ คอนโดมิเนียม พัทยา, โครงการโอทู คอนโดมิเนียม เพลินจิต, โครงการโอเชี่ยน เรสซิเดนซ์ คอนโดมิเนียม และ โอเชี่ยน แกรนด์ เรสซิเดนซ์ คอนโดมิเนียมขอนแก่น, โอเชี่ยน มารีน่า จอมเทียน (รีแบรนด์จากโอเชี่ยน มารีน่า ยอช์ทคลับ), โรงแรมโอเชี่ยน มารีน่า รีสอร์ท พัทยา จอมเทียน, และ โรงแรมเมอเวนพิค อัสสรา รีสอร์ท แอนด์ สปา หัวหิน เป็นต้น อีกทั้งยังเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบที่เชี่ยวชาญทั้งในโครงการที่อยู่อาศัย อาคารพาณิชย์ และการบริการคุณภาพสูง โดยมีเป้าหมายที่จะสร้ามความเชื่อมั่นให้เกินความคาดหวังขงลูกค้าผ่านนวัตกรรมการทำงานร่วมกันที่มีประสิทธิภาพ และคุณภาพ ซึ่งส่งเสริมการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดประวัติศาสตร์ของโอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ซีเมนส์และเมอร์เซเดส-เบนซ์พลิกโฉมอนาคตการวางแผนโรงงานอย่างยั่งยืนด้วย Digital Energy Twin

นวัตกรรม Digital Energy Twin ถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนเป้าหมายของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่จะใช้พลังงานหมุนเวียนในโรงงานที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของทั่วโลกได้ 100% ภายในปี 2582 โดย Digital Energy Twin ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความซับซ้อนและเร่งกระบวนการวางแผนพลังงานขั้นต้นในโรงงานทั้งที่มีอยู่ที่เดิมและโรงงานใหม่ ซึ่งช่วยลดระยะเวลาในการวางแผนได้อย่างมีนัยสำคัญ

ความร่วมมือดังกล่าวผสานองค์ความรู้ด้านการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และ Digital Energy Twin ของซีเมนส์เข้ากับความชำนาญด้านยานยนต์ของพันธมิตรระดับโลกของเรา เพื่อสร้างเครื่องมือที่สามารถปรับขยายได้สำหรับสภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยซีเมนส์จะให้การฝึกอบรมและการสนับสนุน รวมทั้งการบำรุงรักษาและพัฒนา Digital Energy Twin อย่างต่อเนื่องตามแผนการนำไปใช้ที่ครอบคลุมเครือข่ายการผลิตระดับโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ 

Digital Energy Twin ได้รับการออกแบบและทดสอบที่ ‘Factory 56’ ในโรงงานเมอร์เซเดส-เบนซ์เมืองซินเดลฟินเกน ประเทศเยอรมนี โดยใช้แบบจำลองพฤติกรรมของการใช้อาคาร อุปกรณ์ทางเทคนิค และการผลิตพลังงาน

Digital Energy Twin เชื่อมต่อข้อมูล เช่น สภาพอากาศ การจำลองการใช้พลังงานไฟฟ้า สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในอาคารรวมถึงขนาดและมิติ เพื่อจำลองระบบพลังงานและอุปกรณ์ไฟฟ้า ทำให้เห็นภาพการใช้พลังงานในสถานการณ์ต่าง ๆ และให้คำแนะนำการเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อบรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการ ซึ่งรวมถึงการประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่อง ตลอดจนการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

“ด้วยการจำลองสถานการณ์การปฏิบัติงานและการใช้พลังงานอย่างแม่นยำ Digital Energy Twin ช่วยให้สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและโปร่งใสมากขึ้นตั้งแต่ช่วงแรกของขั้นตอนการวางแผน” มัทเธียส รีเบลเลียส สมาชิกคณะกรรมการบริหารของซีเมนส์ เอจี และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะกล่าว “สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงวิธีที่ซีเมนส์ผสานโลกจริงและโลกดิจิทัล เข้าด้วยกันเพื่อขับเคลื่อนความก้าวหน้าอย่างยั่งยืนพร้อมขยายขอบเขตไปยังอุตสาหกรรมต่าง ๆ นับเป็นก้าวแรกที่น่าตื่นเต้นซึ่งนำไปสู่กระบวนการที่บูรณาการการวางแผน การปฎิบัติการอาคาร และการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด”

Digital Energy Twin แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ Siemens Xcelerator ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มธุรกิจดิจิทัลแบบเปิดที่เร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และเปิดโอกาสให้ลูกค้าและพันธมิตรร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันตามความต้องการสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซีเมนส์และเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้จัดตั้งความร่วมมือทางกลยุทธ์ในปี 2564 สำหรับการผลิตยานยนต์ที่ยั่งยืน ทำให้เกิดความร่วมมือผลักดันการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับวิธีการผลิตที่ยั่งยืน

“Digital Energy Twin เป็นคำตอบของเราในการนำเสนอแบบทำให้เห็นภาพ วิเคราะห์ และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการประหยัดพลังงานของอาคารอย่างยั่งยืน ด้วยนวัตกรรมนี้ เราได้รับประโยชน์จากความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับอาคารโรงงานที่มีอยู่และเปลี่ยนโฉมสู่อาคารอัจฉริยะ เราสามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพของอาคารได้อย่างเต็มที่ และวางมาตรฐานการใช้อาคารที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานและความยั่งยืนในเครือข่ายการผลิตระดับโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์” อาร์โน ฟาน เดอร์ แมร์เวอ รองประธานฝ่ายวางแผนการผลิต เมอร์เซเดส-เบนซ์คาร์ กล่าว

Digital Energy Twin มีความสำคัญอย่างมากในพอร์ตโฟลิโอโซลูชันของซีเมนส์สำหรับการสนับสนุนลูกค้าอุตสาหกรรมในการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนและการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซีเมนส์ประกาศเมื่อไม่นานมานี้ว่ากำลังทำงานร่วมกับพันธมิตรระดับนานาชาติอีกรายหนึ่ง เพื่อไปสู่การวางแผนการผลิตที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในระดับโลก ด้วยการใช้ Digital Energy Twin จำลองการใช้พลังงานและระบุความสามารถในการประหยัดพลังงานจากโรงงานผลิตเบียร์ 15 แห่งทั่วโลก จากการประมาณการของซีเมนส์ แต่ละโรงงานจะสามารถประหยัดพลังงานได้ระหว่าง 15-20 เปอร์เซ็นต์ โดยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เฉลี่ย 50 เปอร์เซ็นต์ต่อแห่ง

เกี่ยวกับซีเมนส์

ซีเมนส์ เอจี (เบอร์ลินและมิวนิค) เป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ทางด้านอุตสาหกรรม โครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคมขนส่ง และการดูแลสุขภาพ ธุรกิจของบริษัทฯ ครอบคลุมตั้งแต่การจัดการทรัพยากรในโรงงาน การบริหารห่วงโซ่อุปทาน ระบบอาคารอัจฉริยะและระบบโครงข่ายไฟฟ้า ไปจนถึงการขนส่งที่ใช้พลังงานสะอาด และการดูแลสุขภาพขั้นสูง บริษัทฯ พัฒนาเทคโนโลยีด้วยวัตถุประสงค์เพื่อมอบคุณค่าที่แท้จริงแก่ลูกค้า ซีเมนส์ช่วยให้ลูกค้าเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมและตลาด เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตของคนนับพันล้านโดยผสานโลกความจริงและโลกดิจิทัลเข้าไว้ด้วยกัน ซีเมนส์เป็นผู้ถือหุ้นหลักในซีเมนส์ เฮลทิเนียร์ส ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีการแพทย์และบริการดูแลสุขภาพดิจิทัล นอกเหนือจากนั้น ซีเมนส์ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยใน ซีเมนส์ เอนเนอร์ยี่ ผู้นำระดับโลกในด้านการผลิตและนำส่งพลังงานไฟฟ้า

ในปีงบประมาณ 2566 ซึ่งสิ้นสุดเมื่อ 30 กันยายน 2566 ซีเมนส์มีพนักงาน 320,000 คนทั่วโลก กลุ่มธุรกิจของซีเมนส์สร้างรายได้ 77.8 พันล้านยูโร และมีผลกำไร 8.5 พันล้านยูโร ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.siemens.com

เกี่ยวกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี

เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี เป็นส่วนหนึ่งของบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป เอจี ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบธุรกิจทั่วโลกของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และรถตู้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ด้วยจำนวนพนักงานกว่า 166,000 คนทั่วโลก โดยมี โอล่า คัลเลนเนียส เป็นประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนา ผลิต และจำหน่ายรถยนต์ รถตู้ และบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ นอกจากนั้น ยังมีเจตนารมณ์ในการเป็นผู้นำของโลกในด้านยานยนต์ไฟฟ้าและซอฟต์แวร์รถยนต์ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกอบด้วยแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และแบรนด์ย่อย เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี เมอร์เซเดส-มายบัค จี-คลาส และแบรนด์สมาร์ท โดยมีแบรนด์ Mercedes me ที่นำเสนอการเข้าถึงบริการด้านดิจิทัลจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทั้งนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์โดยสารระดับลักชัวรีรายใหญ่ที่สุดของโลก 

ในปี 2566 บริษัทฯ จำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลราว 2 ล้านคัน และรถตู้เกือบ 447,800 คัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ขยายเครือข่ายการผลิตใน 2 กลุ่มธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยมีฐานการผลิตมากกว่า 30 แห่งใน 4 ทวีป ควบคู่ไปกับแนวทางการพัฒนาที่ตอบสนองความต้องการในด้านยานยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกัน บริษัทได้พัฒนาเครือข่ายการผลิตแบตเตอรี่ของตัวเองทั่วโลกใน 3 ทวีป การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนล้วนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งทั้งต่อกลยุทธ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์และต่อบริษัท

สำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ความยั่งยืนหมายถึงการสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายในระยะยาว ทั้งลูกค้า พนักงาน นักลงทุน พันธมิตรทางธุรกิจ และสังคมโดยรวม โดยอาศัยพื้นฐานของกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของกลุ่ม เมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป ซึ่งมุ่งรับผิดชอบต่อผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม และสังคม จากกิจกรรมทางธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัท และให้ความสำคัญต่อห่วงโซ่คุณค่าโดยรวม


Exit mobile version