Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ออฟฟิศเมท ฉลองโฉมใหม่ สาขายูไนเต็ดเซ็นเตอร์ จัด แฟลชม็อบ กลางกรุงบนถนนสีลม

ออฟฟิศเมท ผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์สำนักงาน ไอที เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้เพื่อการดำเนินธุรกิจ ยกทัพหนุ่มสาวออฟฟิศขาแดนซ์ จัดแฟลชม็อบ (Flash mob) กลางกรุงบนถนนสีลม ฉลองออฟฟิศเมท โฉมใหม่ สาขายูไนเต็ดเซ็นเตอร์ พร้อมย้ายจากชั้น 9 มาชั้น B1 ช้อปง่าย สะดวกกว่าเดิม ปลุกแรงบรรดาลใจให้กับชาวออฟฟิศ จัดซื้อบริษัท และเจ้าของธุรกิจเล็กใหญ่ย่านสีลม ได้ฟินเวอร์ และเลือกซื้อสินค้าได้เพลิดเพลินมากขึ้น อีกทั้งยังมีบริการ e-Ordering @Store

ให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้ากว่า 20,000 รายการ กับพนักงานโดยผ่านช่องทางออนไลน์ภายในร้านโดยบริการจัดส่งฟรีถึงออฟฟิศหรือธุรกิจคุณ เพียงช้อปครบ 499 บาท (ตามเงื่อนไขที่กำหนด) ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการความสะดวก แบบไม่ต้องนำสินค้ากลับเอง พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษที่ออฟฟิศเมทคิดมาเพื่อเอาใจชาวออฟฟิศและผู้ประกอบการโดยเฉพาะ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ผู้เชี่ยวชาญชี้อาเซียนเปิดรับ 5G ของหัวเว่ย

กรุงเทพฯ ประเทศไทย/ 19 สิงหาคม 2562 – สำนักข่าว ไชน่า เดลี่ รายงานผู้เชี่ยวชาญต่างมองว่าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มองว่าการเชื่อมต่อ 5G จะช่วยกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตรวดเร็วขึ้นนั้น ล้วนเปิดโอกาสให้บริษัทโทรคมนาคมจากประเทศจีนอย่างหัวเว่ย และบริษัทอื่น ๆ เข้ามาลงทุนในประเทศของตน

มิสอมาลินา อาเนอร์ นักวิเคราะห์จากศูนย์การศึกษาพหุภาคี (Centre for Multilateralism Studies) แห่งสถาบันการศึกษาระหว่างประเทศ เอส ราชารัตนัม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีหนานหยาง ประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่า แผนงานด้านเศรษฐกิจและองค์ประกอบด้านนโยบายต่างประเทศเป็นเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ประเทศในอาเซียนเปิดรับการทำธุรกิจกับหัวเว่ย

“เทคโนโลยี 5G ของหัวเว่ยขึ้นชื่อว่าเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงและมีราคาจับต้องได้เมื่อเทียบกับผู้ให้บริการในระดับเดียวกัน” มิสอาเนอร์กล่าว พร้อมทั้งกล่าวเสริมอีกว่า “การเลือกใช้บริการจากเวนเดอร์หลายรายและการเลี่ยงการกีดกันหัวเว่ยไม่ให้เข้ามาทำธุรกิจในประเทศถือเป็นตัวเลือกทางนโยบายที่มีความสมดุลกว่า เพราะประเทศสมาชิกอาเซียนไม่จำเป็นต้องเลือกว่าจะอยู่ฝ่ายใด”

บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ จำกัด เป็นผู้ให้บริการอุปกรณ์โทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดในโลกและผู้จัดจำหน่ายสมาร์ทโฟนอันดับสองของโลก สหรัฐอเมริกาได้กล่าวหาหัวเว่ยในข้อหาจารกรรมข้อมูล แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานใด ๆ มารองรับ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ซึ่งหัวเว่ยก็ได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

มร. เจค ซอนเดอส์ รองประธานด้านบริการให้คำปรึกษาในเอเชีย-แปซิฟิก ของเอบีไอ รีเสิร์ช บริษัทข่าวกรองด้านการตลาด กล่าวว่า “จริง ๆ แล้ว ผมไม่เห็นว่าจะมีหลักฐานใด (ในข้อกล่าวหาการสอดแนมข้อมูล) ในเรื่องของความปลอดภัย ถ้าอยากให้การสื่อสารปลอดภัยยิ่งขึ้น แต่ละบริษัทก็ติดตั้งระบบการเข้ารหัสลับของตนเองได้ เพื่อให้การรับส่งข้อมูลมีความปลอดภัย”

เทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายรุ่นที่ 5 จะทำให้เกิดการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยความเร็วระดับกิกะบิต โดยล็อบบี้ยิสต์ด้านโทรคมนาคมอย่าง GSMA คาดการณ์ว่า การเชื่อมต่อแบบไร้สายทั้งโลกจะเปลี่ยนเป็น 5G ถึงร้อยละ 15 ภายในปี 2568 โดยเอเชีย-แปซิฟิกจะเป็นภูมิภาคที่ใช้ 5G ที่ใหญ่ที่สุด

มิสฟาร์ลินา ซาอิด นักวิเคราะห์จากหลักสูตรการศึกษานโยบายและความปลอดภัยต่างประเทศ สถาบันการศึกษาด้านกลยุทธ์และการต่างประเทศ ในมาเลเซีย กล่าวว่า “การทดลองหาโอกาสในการใช้งาน 5G สำหรับอนาคต ได้กลายเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปแล้ว” โดย 5G จะเป็นดั่งตัวเร่งให้อาเซียนสร้างเครือข่ายสมาร์ทซิตี้ เพราะเป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์ต่อการจัดการภัยพิบัติ การเข้าถึงการศึกษา และความยั่งยืนของสังคม

กลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่อันดับ 6 ของโลก เป็นตลาดสำคัญสำหรับธุรกิจระดับโลกมาโดยตลอด และหัวเว่ยได้เข้ามามีบทบาทในภูมิภาคนี้มานานกว่า 20 ปี ในงานประชุมเมื่อต้นปี มร. เจมส์ อู๋ ประธานบริหาร ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของหัวเว่ย ได้คาดการณ์ว่า 5G จะสร้างโอกาสทางอุตสาหกรรมแก่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีมูลค่าสูงถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีจำนวนผู้ใช้ 5G ถึง 80 ล้าน

สำหรับประเทศไทยได้มีการทดสอบเครือข่าย 5G ของหัวเว่ยในจังหวัดชลบุรีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

หลังจากที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการไปรษณีย์และโทรคมนาคมแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ได้ลงนามข้อตกลงการพัฒนา 5G ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัท สมาร์ท เอเซียตา ของกัมพูชา ได้ประกาศความร่วมมือกับหัวเว่ยในการพัฒนาเครือข่าย 5G ในประเทศ

และเมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา หัวเว่ยได้ประกาศว่า บริษัทมีสัญญา 5G เชิงพาณิชย์แล้วจำนวน 50 ฉบับ และได้จัดส่งสถานีฐาน 5G ให้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลกไปแล้วกว่า 150,000 สถานี

มร. ซอนเดอส์ จากบริษัท เอบีไอ รีเสิร์ช กล่าวว่า “เทคโนโลยีของหัวเว่ยนั้นถือว่าล้ำสมัยสุดๆ แล้ว พวกเขาคอยคิดค้นสิ่งใหม่ๆ และแข่งขันด้วยราคา สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลว่าทำไมหัวเว่ยจึงเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นมากๆ” พร้อมกล่าวอีกว่า “หลักๆ แล้ว ประเทศอาเซียนต้องการตัวเลือก นี่เป็นที่สิ่งสำคัญสำหรับพวกเขามากๆ”

มิสอาเนอร์ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีหนานหยาง เสริมว่า “การเข้าถึง 5G อย่างเต็มรูปแบบต้องอาศัยนโยบายที่ให้ความสำคัญกับทั้งความต้องการด้านความปลอดภัยและการพัฒนา”

และเธอยังกล่าวอีกว่า “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเลือกผู้ให้บริการโซลูชั่น 5G ที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขามากที่สุด และอาเซียนก็ไม่มุ่งหวังที่จะฝักใฝ่ฝ่ายใด”


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. เจ้าภาพจัดการประชุม ทปอ. และ สออ. ประเทศไทย

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ได้รับเกียรติจากที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสามัญที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ครั้งที่ 4/2562 และการประชุมสามัญสมาคมสถาบันการศึกษาขั้นอุดมศึกษาแห่งภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ประจำ ประเทศไทย (สออ. ประเทศไทย) ครั้งที่ 2/2562 ในวันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2562 เวลา 08.00 – 12.00 น. ณ หอประชุมเบญจรัตน์ อาคารนวมินทรราชินี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

การนี้ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มอบนโยบาย “การบริหารงานอุดมศึกษา ภายใต้การกำกับดูแลของ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” พร้อมด้วยรองศาสตราจารย์ นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม บรรยายสรุปการขับเคลื่อนกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติ่มได้ที่ กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กองกลาง สำนักงานอธิการบดี โทรศัพท์ 0-2555-2000 ต่อ 1121, 1161, 1175, 2091 หรือ www.kmutnb.ac.th


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

หัวเว่ยตั้งเป้าประสบความสำเร็จด้านเทคโนโลยี AI

กรุงเทพฯ ประเทศไทย/ 16 สิงหาคม 2562 – มร. เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติจีน กล่าวว่า หัวเว่ยหวังที่จะพัฒนาไปไกลกว่า 5G และเล็งที่อุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI)

มร. เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของหัวเว่ย กล่าวในระหว่างการประชุมภายในว่า “5G เป็นแค่เครื่องเคียง ส่วน AI เป็นอาหารจานหลัก และ AI จะอยู่ในแผนการพัฒนาเชิงกลยุทธ์หลักของหัวเว่ย”

 

ในเดือนสิงหาคมนี้ หัวเว่ยได้เปิดศูนย์วิจัยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จังหวัดซูโจว มณฑลเจียงซูในภาคตะวันออกของจีน ศูนย์วิจัยแห่งใหม่นี้จะมุ่งเน้นการทดสอบการนำ AI ไปใช้เพื่อสร้างสมาร์ทชิตี้และพัฒนาอุตสาหกรรมอัจฉริยะ

เครือข่าย 5G เป็นเครือข่ายที่มีแบนด์วิดท์สูง ค่าความหน่วงเวลาต่ำ (Low latency) และพร้อมรองรับงานวิจัยและพัฒนา AI มร. เหริน กล่าวโดยเปรียบเทียบว่า 5G เป็นดั่งไขควงและ AI ก็เป็นรถยนต์ แล้วกล่าวว่า “ไขควงนั้นมีไว้ใช้ประกอบรถยนต์ แต่มันก็ไม่ใช่รถยนต์”

ตอนนี้เราได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการพัฒนาเทคโนโลยี AI แล้ว ในอีก 10 ถึง 15 ปีข้างหน้า AI จะมีความฉลาดในระดับเท่า ๆ กับความฉลาดของมนุษย์ โดยเฉลี่ย และในอีก 2-3 ปี การใช้ AI จะมีความแพร่หลายมากขึ้น

มร. เหริน กล่าวว่า “การพัฒนา AI ต้องได้รับการสนับสนุนจากซุปเปอร์คอมพิวติ้ง ที่จัดเก็บข้อมูลความจุสูงพิเศษ และการเชื่อมต่อที่มีความเร็วระดับซุปเปอร์สปีด สหรัฐอเมริกาเองมีซุปเปอร์คอมพิวเตอร์และที่จัดเก็บข้อมูลความจุสูงแล้ว แต่ไม่มีการเชื่อมต่อระดับซุปเปอร์สปีด เพราะมีเครือข่ายไฟเบอร์ออปติกไม่เพียงพอ นี่เป็นสาเหตุให้สหรัฐฯ ยังล้าหลังในวงการอุตสาหกรรม AI”

มร. เหรินประกาศกับพนักงานหัวเว่ยว่า บริษัทมีความมั่นใจว่าจะฝ่าฟันและรอดพ้นการโจมตีจากรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ “เราเจ็บปวดจากบาดแผล แต่เราต้องเข้าเส้นชัย” และกล่าวอีกว่า “เหล็กกล้าถูกหลอมขึ้นมาด้วยความร้อน และพนักงานของเราจะเป็นดั่งเหล็กกล้า เราต้องอดทนต่อแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกา เราจะไม่เพียงอยู่รอด แต่เราต้องชนะ”

มร. เหริน ให้สัญญาว่า ในอีกห้าปีข้างหน้า หัวเว่ยจะสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถมาเข้าร่วมทีมวิจัยและพัฒนาให้มากขึ้น โดยทีมดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าเคย

ยกตัวอย่างเช่น หัวเว่ยให้เงินรางวัลมูลค่า 229,800 ดอลลาร์สหรัฐ แก่นักศึกษาระดับปริญญาตรี 3 คน ที่ชนะการแข่งขัน ASC Student Supercomputer Challenge ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และยังให้ค่าจ้างรายปีมูลค่าถึง 2 ล้านหยวน หรือประมาณ 290,000 ดอลลาร์สหรัฐ แก่ผู้จบการศึกษาระดับปริญญาเอกและพนักงานผู้เชี่ยวชาญรวม 8 คน ทั้งจากประเทศจีนและต่างประเทศ

นอกจากการหาคนเก่งๆ มาร่วมทีมแล้ว หัวเว่ยยังจะเพิ่มเงินเดือนให้แก่ทีมนักวิทยาศาสตร์จำนวน ปัจจุบัน หัวเว่ยมีพนักงานเป็นนักคณิตศาสตร์มากกว่า 700 คน นักฟิสิกส์ 800 คน และนักเคมี 120 คน นอกจากนี้ยังมีทีมนักวิจัยมากประสบการณ์อีก 15,000 คนอีกด้วย

มร. เหริน ให้สัมภาษณ์ว่า “AI จะพัฒนาในวงกว้างมากขึ้น และเราต้องหานักคณิตศาสตร์ชั้นนำจำนวนมากขึ้นมาร่วมงานกับเรา”

เกี่ยวกับหัวเว่ย
หัวเว่ย ผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและสมาร์ทดีไวซ์ ด้วยโซลูชั่นที่ผสมผสานในสี่กลุ่มหลัก คือ เครือข่ายโทรคมนาคม, ไอที, สมาร์ทดีไวซ์ และบริการคลาวด์ บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสู่การใช้งานทุกระดับเพื่อทุกผู้คน ทุกครัวเรือน และทุกองค์กร เพื่อขับเคลื่อนโลกอัจฉริยะที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างเต็มรูปแบบ ผลิตภัณฑ์ โซลูชั่นและบริการที่ครบวงจรของหัวเว่ยเปี่ยมด้วยศักยภาพด้านการแข่งขันและเชื่อถือได้ จากการทำงานร่วมกับพันธมิตรในระบบนิเวศแบบเปิด หัวเว่ยสามารถสร้างมูลค่าระยะยาวให้กับลูกค้า เสริมสมรรถนะของผู้คน ช่วยให้การใช้ชีวิตที่บ้านมีความสะดวกสบาย และสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดนวัตกรรมในองค์กรทุกรูปแบบและทุกขนาด นวัตกรรมของหัวเว่ยเน้นตอบสนองตามความต้องการของลูกค้า เราทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาลในด้านการวิจัย เน้นค้นหานวัตกรรมด้านเทคนิคใหม่ ๆ ที่จะช่วยขับเคลื่อนโลกของเราให้ก้าวไปข้างหน้า เรามีพนักงานกว่า 180,000 คน ดำเนินธุรกิจในกว่า 170 ประเทศทั่วโลก หัวเว่ยก่อตั้งขึ้นในปี 2530 และเป็นบริษัทเอกชนที่มีพนักงานเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของหัวเว่ย ได้ที่ www.huawei.com


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. สร้างบัณฑิตพันธุ์ใหม่ เน้นสมรรถนะขั้นสูง ตอบโจทย์นโยบายการปฏิรูปอุดมศึกษาไทย

รศ.ดร.เสาวณิต สุขภารังษี รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เปิดเผยว่า ตามที่มหาวิทยาลัยได้เข้าประชุมเพื่อรับฟังการชี้แจงโครงการสร้างบัณฑิตพันธุ์ใหม่และกำลังคนที่มีสมรรถนะเพื่อตอบโจทย์ภาคการผลิตตามนโยบายการปฎิรูปอุดมศึกษาไทย ตั้งแต่ปี 2561 นั้น มจพ. มีความพร้อมและมีศักยภาพที่จะพัฒนาหลักสูตรเพื่อเป็นต้นแบบในการพัฒนาหลักสูตรในระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา ในสาขาที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ และสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ทั้งหลักสูตรปริญญา (Degree) และหลักสูตรประกาศนียบัตร (non-degree) เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนนั้นบรรลุวัตถุประสงค์และเป็นไปตามความต้องการของสถานประกอบการ ส่วนการดำเนินการจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อสร้างบัณฑิตพันธุ์ใหม่และกำลังคนที่มีสมรรถนะเพื่อตอบโจทย์ภาคการผลิตตามนโยบายการปฎิรูปอุดมศึกษาไทยสู่ New S-Curve นั้น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือมีหลักสูตรที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่ เพื่อสร้างกำลังคนที่มีสมรรถนะสูง สำหรับอุตสาหกรรม New growth engine ตามนโยบาย Thailand 4.0 และการปฏิรูปการอุดมศึกษาไทย ปี พ.ศ. 2561 โดยได้รับการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนจากกระทรวงกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเป็นจำนวนกว่า 23 ล้านบาท ในระยะที่ 1 ซึ่งทุกหลักสูตรนั้นตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศและมีความร่วมมือกับผู้ประกอบการ ทั้งนี้มีบางหลักสูตรดำเนินการนำร่องจัดการเรียนการสอนใน ปีการศึกษา 2561 ไปแล้ว ได้แก่ หลักสูตรการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกล ชิ้นส่วนยานยนต์ และอากาศยานเพื่ออุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่ EEC

สำหรับการดำเนินการของมหาวิทยาลัยที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการสร้างบัณฑิตพันธุ์ใหม่และกำลังคนที่มีสมรรถนะเพื่อตอบโจทย์ภาคการผลิตตามนโยบายการปฎิรูปอุดมศึกษา มจพ.ได้ดำเนินการจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อสร้างบัณฑิตพันธุ์ใหม่และกำลังคนที่มีสมรรถนะและศักยภาพสูงสำหรับการทำงานในอุตสาหกรรมใหม่สู่ New S-Curve และเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (New Growth Engines) ของประเทศต่อสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และได้รับการคัดเลือก ดังนี้ หลักสูตรประเภทประกาศนียบัตร (Non-degree) จำนวน 7 หลักสูตร และหลักสูตรประเภทปริญญา (Degree) จำนวน 9 หลักสูตร

โดยหลักสูตรประเภทปริญญา (Degree) จำนวน 9 หลักสูตร ที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการสร้างบัณฑิตพันธุ์ใหม่ ฯ มีการจัดการเรียนการสอนแล้ว ดังนี้
1.หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมยานพาหนะและโครงสร้างพื้นฐานระบบราง
2. หลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า
3. หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมไมโครอิเล็กทรอนิกส์
4. หลักสูตรอุตสาหกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีแมคคาทรอนิกส์
5. หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมวัสดุ
6. หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีวิศวกรรมอุตสาหการและโลจิสติกส์
7. หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมเคมี
8. หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีวิศวกรรมกระบวนการเคมี
9. หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงสถิติ

ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ตอบโจทย์ในโครงการสร้างบัณฑิตพันธุ์ใหม่นั้น ทาง มจพ. ได้ จัดการเรียนการสอนที่สอดรับกับนโยบายการปฎิรูปอุดมศึกษา ดังนี้
1. เป็นหลักสูตรสาขาวิชาที่มีความพร้อมที่จะต่อยอดเพื่อพัฒนาสมรรถนะคุณภาพอาจารย์และนักศึกษา การเรียนการสอน และสาขาวิชาที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติ และสอดคล้องกับอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัย
2. ลักษณะหลักสูตรที่บูรณาการหลายศาสตร์ และมีการจัดการเรียนการสอนร่วมกับสถานประกอบการและหน่วยงานภายนอก รวมถึงมหาวิทยาลัยอื่น ๆ
3. มีการกำหนดเป้าหมายการผลิตที่มุ่งสู่การยกระดับการผลิตบัณฑิตและคนในวัยทำงาน ให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพพร้อมทำงาน โดยมีทักษะและสมรรถนะ และ สร้างการเปลี่ยนแปลงและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ
4. ลักษณะการจัดการเรียนการสอนต้องสนับสนุน เทคโนโลยีที่ทันสมัย สอดคล้องกับลักษณะสาขาวิชาและสภาพปัจจุบันของโลก มีความร่วมมือกับต่างประเทศ การจัดการศึกษาเชิงบูรณาการกับการทำงาน (Work-Integrated Learning : WiL) โดยมีความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม ภาคเอกชน ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนและการฝึกงาน/ทำงานในสถานประกอบการ ตลอดจนทักษะเฉพาะที่สัมพันธ์กับวิชาชีพเมื่อสำเร็จการศึกษาสามารถทำงานได้ทันทีและมีคุณภาพ การยกระดับการจัดการเรียนการสอน การเสริมสร้างความรู้ความชำนาญให้กับผู้เรียนเพื่อสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพ ตรงตามเป้าหมายที่กำหนดในหลักสูตร นโยบายรัฐบาล และยุทธศาสตร์ของชาติ รวมถึงจัดแนวทางการวัดและประเมินผลด้านต่าง ๆ อย่างครบถ้วน เพื่อให้มั่นใจว่าบัณฑิตมีคุณภาพตามที่กำหนดไว้
อย่างไรก็ตามทางกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอขออนุมัติงบประมาณดำเนินโครงการบัณฑิตพันธุ์ใหม่ ปีการศึกษา 2561-2562 โดยอนุมัติงบประมาณกลาง ปีงบประมาณ 2562 จำนวน 857.6 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนโครงการที่ดำเนินการโครงการดังกล่าว ประมาณ 200 หลักสูตร แบ่งเป็น หลักสูตรระดับปริญญา 100 หลักสูตร ระดับประกาศนียบัตร 100 หลักสูตร โดยในปีการศึกษา 2561 มีมหาวิทยาลัยรัฐที่เข้าร่วมโครงการประมาณ 20 แห่ง และมหาวิทยาลัยเอกชน 3 แห่ง นอกจากนี้ ได้อนุมัติให้จัดตั้งงบประมาณปี 2563 ไว้ในงบปกติเพื่อให้การดำเนินโครงการต่อเนื่องอีกประมาณ 1,600 ล้านบาท ซึ่งทาง มจพ. ก็เดินหน้าเต็มที่ เมื่อปี 2561 ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการศึกษาธิการ ได้ตรวจเยี่ยมการจัดการเรียนการสอนใน “โครงการสร้างบัณฑิตพันธุ์ใหม่และกำลังคนที่มีสมรรถนะเพื่อตอบโจทย์ภาคการผลิต ตามนโยบายการปฎิรูปอุดมศึกษา” ได้ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าของหลักสูตรที่ มจพ. ได้รับการคัดเลือกโครงการที่สอดรับกับประเทศมีความต้องการกำลังคนระดับช่างเทคนิคและนักเทคโนโลยีจำนวนมาก เพื่อเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม ตามโครงการสร้างบัณฑิตพันธ์ใหม่และกำลังคนที่มีสมรรถนะเพื่อตอบโจทย์ภาคการผลิต ตามนโยบายการปฎิรูปอุดมศึกษา สอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0 ซึ่ง มจพ.เห็นความสำคัญและมีความพร้อมที่จะผลิตกำลังคนที่มีสมรรถนะสอดคล้องกับความต้องการของภาคการผลิตและบริการ พร้อมต้องการจะยกระดับการศึกษาสายอาชีพของไทยให้มีคุณภาพดีขึ้น รศ. ดร.เสาวณิต กล่าวท้ายที่สุด
สำหรับปีการศึกษา 2562 ทาง มจพ. ได้ดำเนินการส่งหลักสูตรประเภทประกาศนียบัตร (Non-degree) จำนวน 1 หลักสูตร และหลักสูตรประเภทหลักสูตร (Degree) จำนวน 3 หลักสูตร ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ทั้งนี้โครงการที่ผ่านการคัดเลือกในปีงบประมาณ 2561 ได้รับการจัดสรรเงินงบประมาณมายังมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในส่วนของการจัดการเรียนการสอนนั้นได้เริ่มดำเนินการในบางส่วนแล้ว
การพัฒนาหลักสูตร Non-degree และ Degree เพื่อผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่และสร้างกำลังคนที่มีสมรรถนะสูงตามนโยบายการปฏิรูปอุดมศึกษาไทยของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ที่ได้ต่อยอดขยายผลทางการศึกษาอย่างรอบด้านนับว่าเป็นการสร้างบัณฑิตพันธ์ใหม่ที่มีศักยภาพและความสามารถเข้าสู่กลุ่มอุตสาหกรรมในภาคการผลิตได้ตามนโยบายการปฎิรูปอุดมศึกษาไทย โอกาสดีสำหรับผู้ที่ต้องเข้าร่วมเพื่อคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ “ผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่” สามารถสอบถามรายะเอียดได้ที่กองบริการการศึกษา มหามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

ขวัญฤทัย/ข่าว-ภาพ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มอบทุนการศึกษาแก่ทีมหุ่นยนต์ มจพ. คว้ารางวัลรองแชมป์โลกอันดับ 1 จากการแข่งขัน World RoboCup Rescue 2019

เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2562 ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ เซี่ยงฉิน อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) จัดงานเลี้ยงแสดงความยินดีแก่ ทีมหุ่นยนต์กู้ภัย iRAP Sechzig (ไอราฟ เซคซิก) มอบทุนการศึกษา และมอบเสื้อสามารถให้กับนักศึกษาและอาจารย์ที่ปรึกษาทีมหุ่นยนต์กู้ภัย iRAP Sechzig คว้ารองแชมป์โลกหุ่นยนต์กู้ภัยได้อย่างสมศักดิ์ศรี โดยนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันหุ่นยนต์ จากการแข่งขันหุ่นยนต์กู้ภัยระดับโลก ประจำปี พ.ศ. 2562 (World RoboCup Rescue 2019) ระหว่างวันที่ 2-8 กรกฎาคม 2562 ณ เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ที่ผ่านมา

ทีมนักศึกษาหุ่นยนต์กู้ภัย iRAP Sechzig ของ มจพ. คว้า 2 รางวัลยิ่งใหญ่ รางวัลรองแชมป์โลกอันดับ 1 และรางวัลชนะเลิศ (Best in Class Mobility) นวัตกรรมสมรรถนะการขับเคลื่อนหุ่นยนต์ยอดเยี่ยม จากการแข่งขันหุ่นยนต์กู้ภัยระดับโลก โดยชนะทีมหุ่นยนต์กู้ภัยจากประเทศซึ่งมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นสูงที่เข้าร่วมการแข่งขันทั้งสิ้น 14 ทีม จาก 8 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ อเมริกา เยอรมัน ญี่ปุ่น แคนาดา จีน อิหร่าน เม็กซิโก และไทย สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกและแห่งเดียวในโลกที่เป็นแชมป์โลกหุ่นยนต์กู้ภัยมากที่สุดอีกด้วย

การที่เยาวชนไทยได้เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ เป็นโอกาสได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นบรรยากาศการแข่งขันหุ่นยนต์บนเวทีโลกในแต่ละปีที่นับว่าเข้มข้นมากขึ้น ทีมหุ่นยนต์จากประเทศต่างๆ ก็ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีให้สูงขึ้น มีการใช้กลยุทธ์และการนำเอาเทคนิคต่างๆ มาปรับใช้ในการแข่งขัน ซึ่งทีมหุ่นยนต์สามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี และสามารถนำไปต่อยอดเรียนรู้ทดลองสิ่งใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของเยาวชนไทยในการพัฒนานวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างประโยชน์แก่ประเทศชาติ อันควรได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไป


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อิตัลไทยวิศวกรรมเข้าร่วมพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะในโครงการพัฒนาวังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง

นายสกล เหล่าสุวรรณ (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิตัลไทยวิศวกรรม จำกัด พร้อมด้วยฝ่ายบริหารและพนักงานบริษัทฯ เข้าร่วมพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะ (Intelligent Operation Center – IOC) ของโครงการพัฒนาวังจันทร์วัลเลย์ เพื่อเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi)

เพื่อเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคที่บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจให้รับผิดชอบงานก่อสร้างในโครงการนี้ โดยมีนายวิทวัส สวัสดิ์-ชูโต (ที่ 5 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยีและวิศวกรรม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธีฯ ณ บริเวณพื้นที่ก่อสร้างโครงการพัฒนาวังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

บุญถาวร ตั้งเป้ายอดขายกว่า 2,000 ล้านบาท อัดแคมเปญ “KNB EXPO 2019” ลดจัดเต็ม แจกทองจัดหนัก ปีที่2

บุญถาวร เซรามิค อัดแคมเปญ “KNB EXPO 2019″ ปีที่ 2 ลดจัดเต็ม แจกทองจัดหนัก สูงสุดถึง 5 บาท ตามคำเรียกร้อง กับสินค้ากระเบื้อง ห้องน้ำ ห้องครัว รวมถึงสินค้า DIY และมอบสิทธิพิเศษอื่นๆ เพิ่มเติมอีกมากมาย พร้อมบริการติดตั้งสุขภัณฑ์ฟรี เพื่อเป็นการคืนกำไรให้ลูกค้า หวังดันยอดขายกว่า 2,000 ล้านบาท ที่บุญถาวรทุกสาขา หรือช้อปออนไลน์ได้ส่วนลดเพิ่มสูงสุด 2,200 บาท ที่ www.boonthavorn.com ตลอด 24 ชม. และจัดส่งถึงที่ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม 2562

คุณสรรพสิทธิ์ ลีลาศรชัย ผู้จัดการทั่วไปกลุ่มธุรกิจครัว กล่าวว่า “กับแคมเปญ “บุญถาวร KNB EXPO 2019” ลดจัดเต็ม แจกทองจัดหนัก ที่ทางเราได้ตั้งใจนำกลับมาจัดอีกครั้งเป็นปีที่ 2 หลังจากที่ได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากเมื่อปีที่แล้ว จากยอดขายที่พุ่งขึ้นเกินเป้า ซึ่งความพิเศษของแคมเปญในปีนี้ ทางเราได้นำรูปแบบเทรนด์และดีไซน์ของสินค้าห้องครัว รวมถึงครัวสำเร็จรูปมาให้ลูกค้าเลือกหลายแนวหลายสไตล์ พร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับห้องครัว มาให้ลูกค้าได้เลือกช้อปกันมากมายกับแบรนด์ชั้นนำ อาทิเช่น อิเล็กโทรลักซ์ (Electrolux), เตก้า (Teka), แฟรงเก้ (Franke), สเมก (Smeg) และ บ๊อช (Bosch) ที่ได้จัดโปรโมชั่นสุดพิเศษมาเพื่อคืนกำไรให้ลูกค้ากับแคมเปญนี้โดยเฉพาะ พร้อมโปรโมชั่น ผ่อน 0%* นาน 10 เดือน เมื่อมาช้อปสินค้าที่สาขา และชำระเงินด้วยบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ”

คุณรัศมี เทอดผดุงชัย ผู้จัดการทั่วไปกลุ่มธุรกิจกระเบื้องและห้องน้ำ กล่าวว่า “จากความต้องการของลูกค้าที่อยากจะทำห้องน้ำตามแนวสไตล์ของบ้านและของแต่ละคนที่มีมากยิ่งขึ้น เราจึงได้มีการจัดแคมเปญนี้ขึ้นมาครั้งแรกเมื่อปีที่แล้วเพื่อให้ลูกค้าได้เลือกช้อปสินค้าหลากหลายแบบหลากหลายสไตล์ในราคาโปรโมชั่นที่พิเศษสุด ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ทำให้ยอดขายในส่วนของกระเบื้องและห้องน้ำได้ยอดเพิ่มขึ้นถึง 18% ทางเราจึงได้ตั้งใจนำแคมเปญนี้กลับมาจัดอีกครั้งเป็นปีที่ 2 ตามคำเรียกร้อง และเพื่อเป็นการคืนกำไรให้กับลูกค้า เราขอมอบสิทธิพิเศษเพิ่มมากกว่าเดิมจากปีที่แล้ว ซึ่งความพิเศษสำหรับปีนี้ เราได้มีการคัดสรรสินค้าสุขภัณฑ์จากแบรนด์ชั้นนำในราคาพิเศษสุด อาทิเช่น แบรนด์ คอตโต้ (Cotto), อเมริกัน สแตนดาร์ด (American Standard), โคห์เล่อร์ (Kohler) และ โตโต้ (Toto) รวมถึงกระเบื้องที่มีคุณภาพนำเข้าจากต่างประเทศ ครบทุกความต้องการสำหรับลูกค้าในการตกแต่งห้องน้ำทุกสไตล์ โดยลูกค้าที่ช้อปสินค้าครบตามเงื่อนไขที่กำหนด จะได้ รับฟรีสร้อยคอทองคำหนัก มูลค่าสูงสุด 5 บาท* ยิ่งซื้อเยอะยิ่งได้รับทองเยอะ ที่พิเศษไปยิ่งกว่าสำหรับปีนี้ ทางเรายังมีบริการติดตั้งสุขภัณฑ์ให้ลูกค้าฟรี โดยทีมงานช่างมืออาชีพจาก บุญถาวร โซลูชั่น เมื่อช้อปสุขภัณฑ์ตามเงื่อนไขที่กำหนดในช่วงระยะเวลาของแคมเปญนี้ จากโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษที่มีเพิ่มมากกว่าเดิมจากปีที่แล้ว ทางเราจึงเชื่อว่าจะสามารถผลักดันยอดขายจากแคมเปญนี้ได้เพิ่มขึ้นอีกในปีนี้”

คุณชนัส ชูชาติ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายดิจิตอล บิสซิเนส กล่าวปิดท้ายว่า “สำหรับลูกค้าที่ไม่สะดวกมาช้อปที่สาขา บุญถาวรจึงได้เอื้ออำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกค้า โดยลูกค้าสามารถเลือกช้อปสินค้าได้ทางออนไลน์ที่ www.boonthavorn.com ตลอด 24 ชม. พร้อมมีบริการจัดส่งถึงที่ทั่วประเทศ* สำหรับแคมเปญนี้ที่ได้นำกลับมาจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 จากที่ได้กระแสการตอบรับเป็นอย่างดีและตามคำเรียกร้องที่อยากให้นำมาจัดขึ้นอีกครั้ง ปีนี้ทางเราจึงได้จัดโปรโมชั่นพิเศษให้กับลูกค้าที่ช้อปสินค้าออนไลน์ เมื่อช้อปครบตามเงื่อนไขที่กำหนดจะได้รับ ส่วนลดเพิ่มสูงสุด 2,200 บาท* หรือถ้าชำระด้วยบัตรเครดิต กรุงศรี, เคทีซี, ธนชาต, ซิตี้แบงค์, ไทยพาณิชย์ และ กรุงเทพ เมื่อช้อปออนไลน์ครบ 10,000 บาทขึ้นไป จะได้รับสิทธิ์ส่วนลด 1,000 บาท พร้อมรับเครดิตเงินคืนสูงสุดถึง 15% เฉพาะกับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ และยังสามารถนำใบเสร็จมารับทองได้ที่สาขาใกล้บ้านเมื่อช้อปตามเงื่อนไขที่กำหนด ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม 2562”

มาร่วมช้อปรับทองและสิทธิพิเศษเพิ่มเติมอื่นๆ อีกมากมายกับแคมเปญ “บุญถาวร KNB EXPO 2019″ ลดจัดเต็ม แจกทองจัดหนัก ปีที่ 2 ได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม 2562 ที่บุญถาวรทุกสาขาใกล้บ้านคุณ หรือเลือกช้อปออนไลน์ที่ www.boonthavorn.com ตลอด 24 ชม. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและติดตามโปรโมชั่นดีๆ ได้ที่ เฟซบุ๊ก : บุญถาวร Boonthavorn หรือ Line : @boonthavorn หรือ โทร. 02-657-1111


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

สนช. จับมือ โคเวสโตร (ประเทศไทย) เปิดตัว Innovation Design Contest 2019 ชวนเด็กมหาวิทยาลัยและอาชีวศึกษา โชว์กึ๋นประกวดออกแบบนวัตกรรมสื่อการเรียนการสอน

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) จับมือ โคเวสโตร ผู้ผลิตวัสดุโพลิเมอร์ชั้นนำระดับโลก สนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ด้านนวัตกรรม เปิดตัวโครงการ Covestro Innovation Design Contest 2019 หรือ IDC เชิญชวนนักศึกษามหาวิทยาลัยและอาชีวศึกษาจากทั่วประเทศแสดงพลังความคิดสร้างสรรค์ ร่วมประกวดออกแบบนวัตกรรมสื่อการเรียนการสอนเชิงบูรณาการ ในหัวข้อ “Fun Lesson” เพื่อชิงถ้วยรางวัลและทุนการศึกษารวมกว่า 300,000 บาท และโอกาสร่วมเดินทางไปศึกษาดูงานที่ศูนย์นวัตกรรมโคเวสโตรเอเชียแปซิฟิก (Covestro Innovation Center APAC) ณ เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เปิดรับสมัครและส่งผลงานได้ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม – 16 กันยายน 2562

ดร. เยอร์เกน มายน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท โคเวสโตร (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “การส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่นำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมมีความสำคัญอย่างมาก และกำลังอยู่ในความสนใจของหลายประเทศทั่วโลก ด้วยความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งการพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างความยั่งยืน โคเวสโตร เล็งเห็นว่าการส่งเสริมแนวคิดดังกล่าวให้กับภาคการศึกษาจะสามารถเป็นจุดเริ่มต้นที่เข้มแข็งในการผลักดันให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อย่างเป็นรูปธรรมได้ในอนาคต สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN Sustainable Development Goals) ในการยกระดับคุณภาพการศึกษาด้วยนวัตกรรม อันจะนำไปสู่การสร้างประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนทั้งการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของคนในสังคมได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว”

เพื่อตอบรับแนวทางดังกล่าว บริษัท โคเวสโตร (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมมือกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) หน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในการผลักดันและสนับสนุนการเรียนการสอนตามแนวคิด STEAM จัดโครงการ Covestro Innovation Design Contest 2019 หรือ IDC ในหัวข้อ Fun Lesson เชิญชวนนักศึกษามหาวิทยาลัยและอาชีวศึกษาที่กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีและปวส. ร่วมประกวดออกแบบผลงานนวัตกรรมสื่อการเรียนการสอนเชิงบูรณาการที่มีความน่าสนใจตามแนวคิด STEAM เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะและจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ให้กับเยาวชน
ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อํานวยการ สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ องค์การมหาชน (สนช.) กล่าวว่า “เราจะเห็นว่าโลกในยุคปัจจุบันนั้นถูกขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยนวัตกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง หนึ่งในพันธกิจหลักของ สนช. คือการขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทยสู่ Innovation Nation ตลอดจนปลูกฝังเยาวชนไทยให้มีกระบวนการคิดเชิงนวัตกรรม ด้วยการใช้หลักพื้นฐานของ STEAM หรือ องค์ความรู้ที่สำคัญทั้ง 5 สาขา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) ศิลปศาสตร์ (Arts) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) ซึ่งจะเป็นการช่วยสนับสนุนให้เยาวชนในทุกระดับเติบโตในสายอาชีพด้านนวัตกรรมได้อย่างแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น”

“ดังนั้น สนช. มีความยินดีอย่างยิ่งที่โคเวสโตรเห็นความสำคัญในการปลูกฝัง และส่งเสริมกระบวนการคิดเชิงนวัตกรรมให้แก่เยาวชน และหวังว่าความร่วมมือในการจัดโครงการประกวดออกแบบนวัตกรรมในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสอันดีในการสร้างเครือข่ายพันธมิตรที่จะช่วยขับเคลื่อนการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนานวัตกรรมสื่อการเรียนการสอนเชิงบูรณาการในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการศึกษาของประเทศไทยอย่างยั่งยืนต่อไป” ดร.พันธุ์อาจ กล่าว

โครงการ Covestro Innovation Design Contest 2019 – Fun Lesson เปิดรับสมัครให้ผู้สนใจ ส่งไอเดียทางช่องทางออนไลน์ที่ www.covestro.co.th/idc ได้ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม – 16 กันยายน 2562 และจะมีกำหนดจัดโรดโชว์เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการไปยังมหาวิทยาลัยชั้นนำ 10 แห่ง ทั่วประเทศ โดยผู้เข้ารอบ 6 ทีมสุดท้ายจะได้เข้าร่วมไอเดียแคมป์และนำเสนอผลงานต่อคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ พร้อมประกาศผลการแข่งขันทีมชนะเลิศในวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายนนี้ ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

นางสาวกวิสรา วรรธนะพิศิษฐ์ หัวหน้าฝ่ายสื่อสารองค์กรประจำภูมิภาคอาเซียน บริษัท โคเวสโตร (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า “โครงการ Covestro Innovation Design Contest 2019 ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ มีความน่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าร่วมการแข่งขันเป็นอย่างมาก เพราะจะได้เรียนรู้และได้รับประสบการณ์จริงแบบ 360 องศา ตั้งแต่การวางแนวคิด ไปจนถึงการเข้าร่วมไอเดียแคมป์กับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเตรียมความพร้อมในการลงมือปฏิบัติจริง โดยทีมที่ชนะเลิศจะมีโอกาสร่วมเดินทางไปศึกษาดูงานที่ศูนย์นวัตกรรมโคเวสโตรเอเชียแปซิฟิก (Covestro Innovation Center APAC) ณ เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน นับว่าเป็นการเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่มีความสนุกสนาน เพื่อการสร้างนักออกแบบนวัตกรรมรุ่นใหม่ นำไปสู่การสร้างสังคมที่ยั่งยืนในอนาคตได้อีกด้วย”

สำหรับนักศึกษาที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถติดตามกำหนดการและ รายละเอียดต่างๆ ของโครงการได้ที่เว็บไซต์โครงการและ Facebook : Covestro Thailand หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ผู้ประสานงานโครงการที่เบอร์โทรศัพท์ 096-9639498 ได้ในเวลาราชการ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯร่วมกับสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย เผย “ความก้าวหน้าการรักษา HIV ในปัจจุบัน”ลดลง

ราชวิทยาลัยอายุแพทย์แห่งประเทศไทยร่วมกับสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันเผยถึง “ความก้าวหน้าการรักษา HIV ในปัจจุบัน”ตั้งเป้าหมายผู้ป่วยเอดส์จากแม่สู่ลูกลดลงให้เหลือ 1 เปอร์เซ็นต์ ในปี พศ. 2563 และจะต้องลดลงให้เหลือ 0 เปอร์เซ็นต์ให้ได้ หากประชาชนต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับ HIV สามารถติดต่อได้ที่ 1663

ศ.นพ.สมชาย เอี่ยมอ่อง ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยกล่าวว่า จากสถานการณ์โรคเอดส์ในประเทศไทยในปัจจุบัน มีสัญญาณเตือนที่ดีในการแพร่ระบาด ซึ่งอยู่ในสัดส่วนผู้ป่วยโรคเอดส์โดยรวมทั่วประเทศลดลง ดังนั้นราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย จึงร่วมกับสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย กรมควบคุมโรค คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล และศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย จึงออกมาเปิดเผยถึง “ความก้าวหน้าการรักษา HIV ในปัจจุบัน” ในประเด็นเรื่องของสถานการณ์เอดส์และความก้าวหน้าการรักษา มาตรฐานการดูแลรักษาผู้ป่วย HIV ประเทศไทย รวมถึงมาตรฐานและความก้าวหน้าการป้องกันการติดเชื้อ HIV จากแม่สู่ลูกในประเทศไทย

รศ.นพ.วินัย รัตนสุวรรณ นายกสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทยกล่าวถึงสถานการณ์เอดส์และความก้าวหน้าการรักษาว่า สถานการณ์การติดเชื้อ HIV ทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อ HIV นับตั้งแต่มีการระบาด 38 ปี ล่าสุดจำนวน 77.3 ล้านคน และ 35.4 ล้านคนเสียชีวิต นับตั้งแต่มีการระบาด และมีจำนวน 36.9 ล้านคน ติดเชื้อ HIV ที่ยังมีชีวิตในปี 2560 และมีผู้ผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ใหม่ในปี 2560 อีกจำนวน 1.8 ล้านคน สำหรับในประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อมากกว่า1 ล้านคนในเวลา 35 ปี และมีผู้ติดเชื้อประมาณ6 แสนคนเสียชีวิต นับตั้งแต่มีการระบาด และผู้ติดเชื้อประมาณ 6 แสนคนติดเชื้อ HIV ที่ยังมีชีวิตในปี 2560 (ประมาณ 2% ของทั้งโลก) และมีผู้ติดเชื้อใหม่ประมาณ 6,000 คน เฉลี่ยวันละ 17 คน (ประมาณ 0.3 % ของทั้งโลก) ทั้งนั้การวิวัฒนาการการรักษา HIV เริ่มตั้งแต่ปี 2524-2538 ไม่มียาต้านไวรัสที่ได้ผล ทำได้เพียงรักษาโรคติดเชื้อแทรกซ้อน ผู้ติดเชื้อ HIV อายุสั้น ต่อมา ปี 2538 จนถึงปัจจุบัน มียาต้านไวรัสที่ได้ผล ผู้ป่วยกลับมามีภูมิต้านทาน ปกติ แข็งแรงทำงานได้ปกติ
การพยากรณ์โรคผู้ติดเชื้อ HIVก่อนยุคยาต้านไวรัส HIV ผู้ป่วยที่เริ่มมีโรคติดเชื้อแทรกซ้อน สภาพไม่ต่างกับมะเร็งระยะสุดท้าย แต่ตั้งแต่ ปี 2538 เป็นต้นมา ผู้ติดเชื้อ HIV มีชีวิตยืนยาวได้ใกล้เคียง คนปกติ หากได้รับการวินิจฉัย การรักษาอย่างถูกต้อง และผู้ป่วยปฏิบัติตัวดี รับประทานยายาครบถ้วน ตรงเวลา และไม่ไปรับเชื้อใหม่ U=U udetectable=untransmittable คือการอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อ HIV ซึ่งผู้ติดเชื้อ HIV สามารถพักอาศัย ทำงานร่วมกับคนปกติได้โดยไม่มีอันตราย ไม่ต้องตรวจ HIV ก่อนเข้าเรียน ก่อนเข้าทำงาน ก่อนบวช การติดต่อรHIV ติดต่อ 3 ทางที่สำคัญคือ 1.การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน 2.การใช้ของมีคมร่วมกัน และ3. การติดเชื้อจากแม่สู่ลูก ซึ่งกล่าวโดยสรุปคือ ยังมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ทุกปี, การป้องกันการติดเชื้อดีที่สุด, ผู้ติดเชื้อ HIV ที่ได้รับยาต้านไวรัส HIV อย่างถูกต้อง จะมีชีวิตยืนยาวได้ใกล้เคียงคนปกติ, U=U (Undetectable=Untransmittable)สามารถมีชีวิตร่วมกับคนอื่นได้ตามปกติ เพราะทางติดต่อไม่ได้เกิดในวิถีชีวิตประจำวันตามปกติ, รับยาต้านไวรัส HIV ฟรีทุกสิทธิรักษาพยาบาลเช

“ความก้าวหน้าในการป้องกันการติดเชื้อ เอชไอวี จากแม่สู่ลูก”
ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า ในวันที่ 8 มิถุนายน 2559 ประเทศไทยได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก ที่สามารถบรรลุเป้าหมายในการกำจัดการติดเชื้อเอชไอวีในทารก คือเหลือการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกน้อยกว่า 2% ได้ นับเป็นประเทศที่ 2 ในโลก และเป้าหมายถัดไปคือลดให้เหลือ 1% ในปี พศ. 2563 ซึ่งก็คือในปีหน้านั่นเอง ดังนั้นการป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกนั้นจะต้องทำ 4 เรื่องหลัก คือ 1.การป้องกันไม่ให้ผู้หญิงเชื้อ ซึ่งต้องใช้วิธีการหลายๆ รูปแบบ ที่สำคัญคือ ต้องพยายามวินิจฉัยผู้ที่ติดเชื้อให้พบ และให้การรักษาเร็วที่สุด เพื่อที่ไม่ให้ไปแพร่เชื้อกับคู่ของตน และรักเดียวใจเดียวไม่มีคู่นอนหลายคน 2.การป้องกันไม่ให้หญิงที่ติดเชื้อตั้งครรภ์โดยไม่วางแผนล่วงหน้า ส่งเสริมตรวจการติดเชื้อทั้งสามีและภรรยาก่อนตั้งครรภ์ หากพบว่าติดเชื้อเอชไอวีสามารถมีบุตรได้โดยอย่างปลอดภัย โดยมีการวางแผนการตั้งครรภ์อย่างเหมาะสม หากพบว่าสามีติดเชื้อฝ่ายเดียวแต่ฝ่ายหญิงไม่ติดเชื้อ ก็สามารถวางแผนตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัยจากการติดเชื้อ
3.การป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก จะต้องมีการตรวจเอชไอวีในหญิงตั้งครรภ์ทุกคนโดยเร็วที่สุด หากพบว่า หญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อเอชไอวี จะต้องรีบให้ยาต้านไวรัสโดยเร็วที่สุดเพื่อไม่ให้แพร่เชื้อไปสู่ทารกในครรภ์ และจะต้องกินยาให้สม่ำเสมอระหว่างตั้งครรภ์ เพราะการติดเชื้อสู่ทารกนั้น เกิดได้ตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะช่วงท้องแก่และระหว่างคลอด ในระหว่างคลอด แพทย์จะมีการให้ยาเพิ่มและให้ยาป้องกันในทารกหลังคลอดด้วย นอกจากนี้ จะต้องให้ทารกงดนมแม่อย่างเด็ดขาด เพราะการติดเชื้อจะผ่านทางน้ำนมได้ หากปฏิบัติได้ครบถ้วน ทารกจะมีโอกาสติดเชื้อน้อยกว่า 1% เมื่อเทียบกับไม่ให้การป้องกันใด ๆ เลย ทารกจะมีโอกาสติดเชื้อสูงถึง 25% ถ้าไม่ได้ให้ยาต้านไวรัสในระหว่างตั้งครรภ์เลย หรือกรณีไม่มาฝากท้องเลย จะมีการตรวจเอชไอวีแบบด่วนในห้องคลอด และถ้าบวกจะให้ยาในระหว่างคลอดไปก่อน ซึ่งอาจได้ผลไม่ดีเท่าการให้ตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ ที่สำคัญคือ จะต้องพาสามีมาตรวจเลือด เพื่อจะได้รักษาถ้าพบว่าติดเชื้อ จะได้ไม่แพร่เชื้อต่อ โดยเฉพาะกรณีที่หญิงตั้งครรภ์ยังไม่ติดเชื้อด้วยแต่สามีติดฝ่ายเดียว และหญิงตั้งครรภ์จะได้ป้องกันการติดเชื้อด้วยการกินยาเพร็พ และการตรวจเลือดสามียังจะได้ตรวจคัดกรองโรคต่าง ๆ ที่ถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูกด้วย เช่น ตับอักเสบบี ซิฟิลิส ธาลัสซีเมีย และ4.การดูแลแม่และครอบครัวหลังคลอด คุณแม่ควรที่จะได้รับการติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สุขภาพดี และจะต้องมีการตรวจติดตามทารกและสามีด้วย รวมทั้งมีการวางแผนครอบครัวอย่างเหมาะสม
ปัญหาในขณะนี้คือ แม่ไม่มาฝากครรภ์แต่เนิ่น ๆ ไม่พาสามีมาตรวจ ทำให้ไม่ทราบว่ามีความเสี่ยงที่จะติดเชื้ออยู่ ดังนั้นสิ่งที่จะต้องเน้นย้ำคือ การหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ในขณะที่ไม่พร้อม หรือไม่ได้วางแผน การมาฝากท้องเร็ว การพาคู่มาตรวจขณะไปฝากครรภ์ด้วย หากพบว่าติดเชื้อไม่ต้องตกใจ ให้รีบกินยาอย่างสม่ำเสมอ และนำทารกมาตรวจติดตามหลังคลอด พร้อมกับกินยารักษาตนเองและสามีอย่างต่อเนื่องหลังคลอด และวางแผนครอบครัวอย่างเหมาะสม หากทำทุกอย่างได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ทารกก็จะปลอดภัยไม่ติดเชื้อ และครอบครัวก็จะแข็งแรงมีความสุข

มาตรฐานการดูแลรักษาผู้ป่วย HIV ในประเทศไทย

พญ.เสาวนีย์ วิบุลสันติ นายแพทย์เชี่ยวชาญ/รองผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่ กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะยุติปัญหาเอดส์ ในปี พ.ศ. 2573 คือ ไม่มีเด็กติดเชื้อเอชไอวีเมื่อแรกเกิด การติดเชื้อรายใหม่น้อยกว่าปีละ 1,000 คน ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อทุกคนเข้าถึงบริการยาต้านไวรัสเอชไอวี และไม่มีการตีตรารังเกียจและเลือกปฏิบัติต่อผู้อยู่ร่วมกับเชื้อและประชากรหลักที่มีภาวะเปราะบางต่อการติดเชื้อ การที่จะบรรลุเป้าหมายได้ ต้องมีการทำงานที่บูรณาการด้านป้องกันและรักษาอย่างต่อเนื่องและเชื่อมโยงกันตั้งแต่การป้องกันการติดเชื้อ การออกเชิงรุกเข้าหาประชากรเป้าหมาย การให้การปรึกษาและตรวจหาการติดเชื้อ การส่งต่อเพื่อเข้าสู่บริการดูแลรักษาด้วยยาต้านไวรัส การติดตามการรักษาและกินยาอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ในรูปแบบการมีส่วนร่วม ทั้งจากผู้ให้บริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ภาคประชาสังคม และเครือข่ายผู้ติดเชื้อ
การดำเนินงานจะมุ่งเน้นความต่อเนื่องของการเข้าถึง-การเข้าสู่บริการ-การตรวจเอชไอวี-การรักษา-การคงอยู่ในระบบ (Reach-Recruit-Test-Treat-Retain : RRTTR) โดย “การเข้าถึง” ต้องเข้าถึงกลุ่มประชากรเป้าหมายที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เพื่อสร้างความต้องการตรวจเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ “การเข้าสู่บริการ” ต้องทำให้กลุ่มเป้าหมายมีความต้องการตรวจเอชไอวีและเข้าสู่บริการป้องกันและดูแลรักษา “การตรวจเอชไอวี” มีการให้บริการตรวจเอชไอวีที่เข้าถึงได้ มีบริการตรวจเอชไอวีที่สามารถทราบผลได้ภายในวันเดียว โดยประชาชนไทยสามารถตรวจฟรีปีละ 2 ครั้ง ทั่วประเทศ ทุก รพ.ที่ให้บริการภายใต้หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นอกจากนี้ยังมีการกระจายบริการตรวจเอชไอวีลงสู่ระดับชุมชน มีการจัดบริการตรวจเอชไอวีเชิงรุก “การรักษา” ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี สามารถเริ่มยาต้านไวรัสฯ ได้ทุกระดับ CD4 และเริ่มยาต้านไวรัสได้แต่เนิ่น ๆ ตามแนวทางของประเทศ และ “การคงอยู่ในระบบ” จะต้องทำให้กลุ่มเป้าหมายยังคงป้องกัน หรือรักษาอย่างต่อเนื่อง เป็นการมุ่งเน้นให้ผู้ที่ผลการตรวจเอชไอวีเป็นลบ ยังคงป้องกันและตรวจเอชไอวีโดยสม่ำเสมอ ส่วนผู้ที่ติดเชื้อฯ เมื่อเข้าสู่การรักษาด้วยยาต้านไวรัสฯ แล้วต้องกินยาสม่ำเสมอ หรือหากยังไม่เริ่มยาต้านไวรัส ต้องติดตามให้เริ่มรักษาด้วยยาต้านไวรัสฯ ให้เร็วที่สุด
นอกจากการดำเนินงานดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมควบคุมโรคร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พัฒนาศักยภาพบุคลากรและสนับสนุนวิชาการ โดยจัดทำแนวทางการตรวจรักษาและป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ประเทศไทย ผลักดันนโยบายต่าง ๆ ที่มีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อผู้ติดเชื้อและผู้ป่วย รวมถึงการพัฒนาคุณภาพบริการดูแลรักษาเอชไอวีในหน่วยบริการสุขภาพให้มีมาตรฐานและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

การวิจัยและการรักษา

นพ.ยูจีน ครูน (Dr. Eugene Kroon) ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า เอชไอวี คือเชื้อไวรัสชนิดอาร์เอ็นเอ จัดอยู่ในกลุ่มรีโทรไวรัส (Retrovirus) เอชไอวีเปลี่ยนอาร์เอ็นเอของไวรัสเป็นดีเอ็นเอ และทำการแทรกดีเอ็นเอของมันเข้าไปในดีเอ็นเอของมนุษย์ เซลล์ส่วนมากที่มีดีเอ็นเอของไวรัสอยู่จะสามารถสร้างอนุภาคใหม่ของไวรัสออกมา และเซลล์นั้นจะตายไปจากภาวะเหนื่อยล้าหรือถูกกำจัดด้วยภูมิคุ้มกันของร่างกาย อย่างไรก็ตาม บางเซลล์ที่มีดีเอ็นเอไวรัสอยู่ เรียกว่า “เซลล์ในภาวะแฝง” ซึ่งเซลล์นี้อาจจะถูกกระตุ้นและผลิตไวรัสได้อีกในภายหลัง ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะไม่เห็นว่าเซลล์ที่มีเชื้อหลบซ่อนอยู่นี้จัดเป็นเซลล์ผิดปกติ ทำให้ไม่ถูกกำจัดและคงอยู่ในร่างกายได้เหมือนเซลล์ปกติอื่น ๆ ความสามารถในการหลบซ่อนของเชื้อ HIV หรือแหล่งสะสมของเชื้อเอชไอวี เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ในการกำจัดเชื้อให้หมดไปจากร่างกาย เพราะการรักษาด้วยยาต้านไวรัสจะไม่สามารถกำจัดเชื้อที่ซ่อนอยู่ในเซลล์เหล่านี้ ได้ เมื่อผู้ป่วยได้รับยาต้านไวรัส มักจะมีแหล่งสะสมเชื้อขนาดใหญ่อยู่แล้ว และจะลดลงด้วยอัตราครึ่งชีวิตที่ 44 เดือน ผู้ที่เริ่มยาต้านไวรัสเอชไอวีในระยะติดเชื้อเฉียบพลัน (ผู้ติดเชื้อในระยะเฉียบพลัน คือผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีอยู่ในร่างกายหรือตรวจพบว่ามี viral load แต่ยังไม่สามารถตรวจหาแอนติเจนของเชื้อและแอนติบอดี้ต่อเชื้อได้) จะมีขนาดของแหล่งสะสมเชื้อเอชไอวีน้อยกว่าคนที่ได้รับยาต้านเมื่อติดเชื้อมานาน โอกาสที่จะพบคนที่ติดเชื้อในระยะเฉียบพลันนี้ได้ค่อนข้างยาก อย่างไรก็ตามตั้งแต่ปี 2009-2019 เราสามารถตรวจหาผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีในระยะเฉียบพลันจำนวน 777 รายจาก 333,713 รายของผู้ที่เข้ามารับการตรวจที่คลีนิคนิรนาม ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย

มีเพียง 2 รายในโลกที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ 100% ทั้ง 2 รายนี้ได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โดยทำการปลูกถ่ายด้วยเซลล์จากผู้บริจาคที่ดื้อหรือต้านทานต่อเชื้อเอชไอวี (พบประมาณ 1% ของชาวยุโรป) การรักษานี้อันตราย (อัตราการตายสูง) กระบวนการรักษาทำได้ยาก ราคาแพงและยังไม่เป็นที่แพร่หลาย ส่วนเทคโนโลยีการรักษาให้หายขาดอื่น ๆ ยังอยู่ในขั้นทดสอบในสัตว์ทดลอง การศึกษานี้ได้ถูกตีพิมพ์ในวารสารต่างประเทศ “เนเจอร์ คอมมูนิเคชั่น (Nature Communication)” เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน พบว่าการใช้เทคโนโลยีคริสเปอร์ (อังกฤษ: CRISPR) (กระบวนการหรือเทคนิคการแก้ไขดัดแปลงพันธุกรรมหรือยีน โดยการตัดแล้วต่อส่วนของสารพันธุกรรมที่รู้จักกันดีว่า ดีเอ็นเอ) ร่วมกับการใช้ยาต้านเอชไอวีนั้นสามารถกำจัดเชื้อเอชไอวีในหนูได้ ถ้าเทคโนโลยีนี้สามารถพัฒนาต่อได้และอาจจะนำมาใช้ในคน การวิจัยเพื่อพัฒนาให้การรักษานี้มีความปลอดภัย และทำให้ราคาไม่แพงจะเป็นความท้าทายอย่างมากและอาจต้องใช้เวลานาน
อย่างไรก็ตาม เรารู้ว่าบางคนที่ได้รับยาต้านไวรัสเร็วตั้งแต่ติดเชื้อเอชไอวีระยะเฉียบพลัน สามารถควบคุมเชื้อเอชไอวีได้นานหลายปีหลังหยุดยาต้านไวรัส การควบคุม หมายถึง ตรวจไม่พบปริมาณเชื้อไวรัสในเลือดด้วยการตรวจวิธีปกติ (routine test) นอกจากนี้อาจจะมีปริมาณไวรัสในเลือดเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย และปริมาณเม็ดเลือดขาวซีดีสี่ปกติ (แสดงถึงสภาวะภูมิคุ้มกัน) บุคคลกลุ่มนี้ก็เหมือนกับบุคคลอื่น ๆ ที่ยังกินยาต้านไวรัส คือเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีแต่มีสุขภาพดี เรารู้ว่าอาจเกิดจากปริมาณของเชื้อที่หลบซ่อนอยู่น้อยมากร่วมกับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันทำให้สามารถควบคุมเชื้อได้ ปัจจุบันพวกเราได้พยายามช่วยการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในอาสาสมัคร 67 รายที่เริ่มการรักษาในระยะติดเชื้อเฉียบพลัน อย่างเช่น การให้วัคซีน และแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวีและหยุดยาต้านไวรัส เพื่อดูประสิทธิภาพของการรักษาด้วยวัคซีนหรือแอนติบอดี้ เราพบว่าหลังการหยุดยาต้าน พบปริมาณเชื้อไวรัสกลับมาเพิ่มขึ้นในเลือด และอาสาสมัครทั้ง 67 รายเมื่อเมื่อตรวจพบปริมาณเชื้อไวรัสเพิ่มขึ้น จะกลับมาเริ่มยาต้านไวรัสและพบว่าสามารถควบคุมเชื้อไวรัสในเลือดได้ ปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่การรักษาด้วยหลายวิธีร่วมกัน พบว่าการรักษาด้วยหลายวิธีร่วมกันนี้ในลิงที่ติดเชื้อเอชไอวี สามารถควบคุมเชื้อไวรัสในลิงได้ดี

ผลที่ตามมาของการรักษาเอชไอวีก่อนที่ภูมิคุ้มกันต่อเอชไอวีจะพัฒนาอย่างสมบูรณ์ คือ การตรวจแอนติเจน/แอนติบอดีของเอชไอวีตามวิธีปกติแล้วผลยังคงเป็นลบ หรือ ไม่สามารถสรุปผลได้ และการทดสอบเดียวเท่านั้นที่จะใช้ตรวจสอบ คือการตรวจสอบไวรัสโหลด (viral load) ซึ่งจะให้ผลเป็นบวกอย่างชัดเจนในช่วงที่ติดเชื้อในระยะเฉียบพลัน เมื่อบุคคลที่มีผลการตรวจเป็นบวกพร้อมกับได้เริ่มยาต้านไวรัสเอชไอวีเร็วในระยะติดเชื้อเฉียบพลัน อาจทำให้เกิดการลดระดับของระบบภูมิคุ้มกันต่อเชื้อเอชไอวี และทำให้การตรวจแอนติเจน/แอนติบอดีที่เป็นผลบวกนั้นอาจจะกลายเป็นผลลบได้อีก ยาต้านไวรัสเอชไอวีจะทำให้ปริมาณไวรัสลดลงจนไม่สามารถวัดได้ในเลือด


 

Exit mobile version