Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดโครงการ Paw it forward ระดมทุนและอุปกรณ์ของใช้ช่วยเหลือ ศูนย์พักพิงสุนัขจรจัดนครชัยบุรินทร์ ในพระอุปถัมภ์

ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จัดกิจกรรมออกบูธ โครงการ “Paw it forward เพื่อศูนย์พักพิงสุนัขจรจัดนครชัยบุรินทร์” ในงาน “มหกรรมคนรักสัตว์เลี้ยง Dog’s Ville 2019”

เพื่อประชาสัมพันธ์ และหารายได้สมทบทุนสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์พักพิงฯ ตลอดจนสร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงสุนัขอย่างถูกวิธี ภายในงานมีบริการตรวจสุขภาพ และฉีดวัคซีนสำหรับสัตว์เลี้ยงฟรีจากสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลสัตว์ทิพย์พิมาน ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาค จะได้รับเสื้อยืด กระเป๋าผ้า หรือกระดาษโน๊ตจากโครงการฯ เป็นที่ระลึก

โดยมีนางสาวพิณรัตน์ กิติเวชกุล ผู้จัดการทั่วไปศูนย์การค้า เซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์ (คนที่ ๔ จากซ้าย) และคุณแอมป์ พีรวัศ กุลนันท์วัฒน์ ดารา นักแสดง (คนที่ ๗ จากซ้าย) เข้าร่วมชมกิจกรรม ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์ เมื่อเร็วๆ นี้


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ขอเชิญร่วมงานฟู้ดอินกรีเดียนท์ เอเชีย 2019

อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ จัดงานฟู้ดอินกรีเดียนท์ เอเชีย 2019 หรือ Fi Asia 2019 งานแสดงสินค้า เทคโนโลยีและนวัตกรรม ส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย ในวันที่ 11 – 13 กันยายน 2562 ณ ไบเทคบางนา ฮอลล์ 101-104

ภายในงานพบกับผู้ประกอบการด้านส่วนผสมอาหารมาจัดแสดงสินค้าส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่มในงานกว่า 750 บริษัท จาก 50 ประเทศทั่วโลก พาวิเลี่ยนนานาชาติ จาก 9 ประเทศ และยังมีกิจกรรมที่เสริมสร้างไอเดีย และให้ความรู้ด้านนวัตกรรมแก่ผู้เข้าชมงานอีกมากมาย ทั้ง Innovation Zone, Sensory Box, Innovation Tour, Beverage Theatre และส่วนจัดแสดงสินค้าท้องถิ่นของไทยที่เพิ่มการแปรรูป

รวมไปถึงกิจกรรมสัมมนาและการประชุมในหัวข้อ Opportunity in ASEAN Food Industry, Opportunity in Indonesia and Halal Requirements, Unlock your health with snack เป็นต้น

สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ www.fiasia.com หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 097-0288000


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

รับสร้างบ้านไตรมาส 3 ยังแข็งแกร่ง บ้านระดับกลาง – บนยังไม่กระทบ คาดดันยอดโตตามเป้า

รับสร้างบ้านไตรมาส 3 ยังแข็งแกร่ง บ้านระดับกลาง – บนยังไม่กระทบ คาดดันยอดโตตามเป้า

ตลาดรับสร้างบ้านไตรมาสที่ 3 ยังมีทิศทางที่ดี หลังยอดขายในงานรับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2019 เป็นที่น่าพอใจ ทำยอดขายได้ 2,640 ล้านบาท น้อยกว่าประมาณการ 12% เผยยังมั่นใจกำลังซื้อโดยเฉพาะตลาดบ้านระดับกลางบนยังไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ส่วนตลาดภูธรยังขยายตัวสูง ด้านความต้องการปลูกสร้างบ้านในปีนี้ถืงต้นปีหน้ายังมีต่อเนื่อง มั่นใจมูลค่าตลาดรวมโตตามเป้าที่12,500 – 13,000 ล้านบาท

นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า การจัดงานรับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2019 ระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม – 1 กันยายน 2562 ณ อาคาร 6 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพค เมืองทองธานี ถือว่าได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นที่น่าพอใจ โดยสามารถทำยอดขายภายในงานได้รวม 2,640 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขทีน้อยกว่าประมาณการที่ตั้งไว้ที่ 3,000 ล้านบาท หรือต่ำกว่าเป้าหมายราว 12% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มมีการชะลอการตัดสินใจออกไป อย่างไรก็ดีตลาดรับสร้างบ้านยังคงส่งสัญญาณที่ดีขึ้น เนื่องจากยอดขายภายในงานในปีนี้มีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากเดิมมาอยู่ในอัตราส่วน 65% ต่อยอดขายก่อนงานที่ 35% ขณะที่ปีก่อนหน้า ยอดขายในงานมีสัดส่วนอยู่ที่ 50% เท่านั้น

“การนับยอดขายภายในงานทางสมาคมฯ จะให้ผู้เข้าแสดงงานสามารถส่งยอดขายตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 28 สิงหาคม 2562 เข้ามารวมด้วยได้เพื่อเก็บตัวเลขยอดขายในไตรมาสที่ 2 ซึ่งในปีนี้ยอดขายก่อนงานถือว่ามีเกณฑ์ที่ลดลง ซึ่งคงเป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 2 แต่เมื่อมีการจัดงานและมีการจัดโปรโมชันรูปแบบต่าง ๆ ผู้บริโภคก็เร่งกลับเข้ามาซื้ออีกครั้งซึ่งคาดว่าตัวเลขในไตรมาสที่ 3 น่าจะมีทิศทางที่ดี เนื่องจากยังมียอดขายที่จะตามหลังงานอีกไม่น่าจะต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท” นางศิริพร กล่าว

นางศิริพร กล่าวต่อไปว่า จากการเก็บตัวเลขยอดขายภายในงานโดยใช้มูลค่ารวมของการขายเป็นเกณฑ์ พบว่าในปีนี้ บ้านระดับราคา 2.51 – 5 ล้านบาท มีสัดส่วนสูงที่สุดคือ 40.1% รองลงมาคือบ้านระดับราคา 5.01 – 10 ล้านบาท ที่ 29.9% บ้านระดับราคา 10.01 – 20 ล้านบาท ที่ 13.2% ส่วนบ้านระดับราคาไม่เกิน 2.5 ล้านบาท มีสัดส่วน 12.7% และ บ้านระดับราคา 20.01 ล้านบาทขึ้นไปมีสัดส่วน 4.1% โดยตัวเลขดังกล่าวค่อนข้างแสดงให้เห็นว่าบ้านระดับกลางถึงบน มีกำลังซื้อที่หนาแน่นสุด เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ไม่มากนัก ขณะเดียวกันเมื่อดูถึงแนวโน้มความต้องการปลูกสร้างบ้าน ซึ่งเป็นการสำรวจผู้บริโภคที่เข้าชมงานพบว่า ส่วนใหญ่ต้องการปลูกสร้างบ้านภายใน 3-6 เดือนซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านด้วยเช่นกัน

สำหรับการจัดงานในปีนี้ ยังพบข้อมูลสำคัญที่น่าสนใจเพิ่มขึ้น คือตัวเลขของผู้ที่ต้องการสร้างบ้านในต่างจังหวัดมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งน่าจะมาจากความต้องการในตลาดต่างจังหวัดเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับเริ่มมีบริษัทรับสร้างบ้านมีการเปิดสาขาในต่างจังหวัด และ มีบริษัทรับสร้างบ้านท้องถิ่นที่พัฒนาขึ้นมาเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ผู้บริโภคในต่างจังหวัดยังมีการเปลี่ยนพฤติกรรมจากการใช้ผู้รับเหมาทั่วไป มาว่าจ้างบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น ซึ่งในส่วนนี้ถือเป็นผลมาจากการที่สมาคมฯ พยายามพัฒนาผู้ประกอบการท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตร Home Builder Expert หรือ HBEX ซึ่งกำลังจะเปิดอบรมในรุ่นที่ 2 เร็ว ๆ นี้ ซึ่งคาดว่าตลาดในต่างจังหวัดยังมีทิศทางที่จะขยายตัวได้อย่างมากในอนาคต

ด้านมูลค่าตลาดรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านในปีนี้ จากตัวเลขภายในงานที่ยอดขายในไตรมาสที่ 3 มีทิศทางการปรับตัวที่ดีขึ้น สมาคมฯ คาดว่ามูลค่าตลาดรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านน่าจะยังเติบโตตามที่ประมาณการไว้ที่ประมาณ 5-8% คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 12,500 – 13,000 ล้านบาท


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ออเนอร์ กรุ๊ป ผุด ONCE PATTAYA โครงการ MIXED USE แห่งใหม่ ใจกลางพัทยา ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทั้งคนไทยและต่างชาติ

“ออเนอร์ กรุ๊ป” เชื่อตลาดอสังหาฯ พัทยาไปต่อไม่หยุด

ผุด ONCE PATTAYA โครงการ MIXED USE แห่งใหม่ ใจกลางพัทยา ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทั้งคนไทยและต่างชาติ

“พัทยา” ได้ชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงธุรกิจอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ประกอบกับ “กำลังซื้อ” ที่มีโครงสร้างผสมผสานทั้งจากนักท่องเที่ยวที่เป็นคนไทย และความหลากหลายของชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองพัทยา ที่ไม่ได้พึ่งพานักท่องเที่ยวจากชาติใด หรือจากประเทศใดประเทศหนึ่งนั้น มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สามารถท่องเที่ยวได้ตลอด 24 ชม. และครอบคลุมทุกอายุ ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวในเมืองพัทยาค่อนข้างคึกคัก ประกอบกับศักยภาพของพัทยา เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นไข่แดงภาคตะวันออก หรือ “อีอีซี” ที่ภาครัฐได้เพิ่มแรงขับเคลื่อนด้วยการทุ่มเม็ดเงินมหาศาลลงทุนโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ อาทิ เช่น

โครงการมอเตอร์เวย์สายใหม่, โครงการขยายสนามบินอู่ตะเภา, โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน คือ สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินอู่ตะเภา รวมถึง เมืองพัทยาเองที่ได้เตรียมศึกษาออกแบบโครงการรถไฟรางเบาชลบุรี-พัทยา ระบบขนส่งมวลชนขนาดรองเพื่อรองรับรถไฟความเร็วสูงในพื้นที่โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีซีซี เป็นต้น
สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ นอกจากจะช่วยให้นักท่องเที่ยวเดินทางมายังเมืองพัทยาได้ง่ายและรวดเร็วขึ้นแล้ว ยังส่งผลดีต่อภาคธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ให้ตลาดเดินหน้าได้

ออเนอร์ กรุ๊ป (Honour Group) หนึ่งในผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในเมืองพัทยา และเป็นเจ้าของโรงแรม เดอะไซมีส พัทยา (The Siamese Hotel ), โรงแรม ที พัทยา (T Pattaya Hotel), โรงแรม เอ็กซ์คิว พัทยา (XQ Pattaya Hotel) และโรงแรม สวีท เซนส์ จอมเทียน
(Sweet Sense Jomtien Hotel) ที่ล่าสุดบริษัทในเครือ ออเนอร์ กรุ๊ป ได้ทุ่มเงินลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท สำหรับพัฒนาโครงการ ONCE PATTAYA (วันส์ พัทยา) คอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมืองพัทยาสาย 3 (พัทยาเหนือ) ใกล้ห้าง Terminal 21 Pattaya โดยพัฒนาภายใต้ชื่อบริษัท ออเนอร์ วันส์ จำกัด มีทุนจดทะเบียน 152 ล้านบาท (ชำระแล้วเต็มจำนวน)

“โครงการ ONCE PATTAYA สร้างขึ้นเพื่อตอบสนอง Life Style การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่แบบเหนือระดับ โครงการมิกซ์ยูส (Mixed-use) ที่พร้อมด้วย Branded Hotel ชื่อดัง International chain ที่แรกในพัทยาพร้อมบริการอาหาร และเครื่องดื่ม โดยลูกบ้านโครงการ ONCE PATTAYA ทุกคนสามารถใช้บริการได้ตลอด” นางสาวธิดา เชิดสุริยา ประธานคณะกรรมการบริหารบริษัท
ออเนอร์ เอสเตท จำกัด กล่าวถึง จุดเริ่มต้นของโครงการ ONCE PATTAYA ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมโครงการแรกที่บริษัทฯ ได้ลงทุน จากเดิมอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นโรงแรม เป็นหลัก และธุรกิจร้านทองภายใต้ชื่อ ห้างทองทองสุกเยาวราช พัทยา

โครงการ ONCE PATTAYA ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 2 ไร่ (จากทั้งหมดกว่า 4 ไร่) บนถนนพัทยาสาย 3 โซนพัทยาเหนือ พัฒนาเป็นอาคารสูง 32 ชั้น 1 อาคาร จำนวนห้องพัก 427 ยูนิต พัฒนาภายใต้
คอนเซ็ปต์ “Lifestyle Mixed Use” ที่ครบวงจรที่สุดในพัทยา มีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 28.00-59.80 ตารางเมตร (ตร.ม.) ราคาขายเริ่มที่ 2.85-22 ล้านบาท กำหนดเงินดาวน์ 20% สำหรับลูกค้าคนไทย ส่วนลูกค้าชาวต่างชาติกำหนดเงินดาวน์ 50% โดยเริ่มการก่อสร้างไตรมาสที่ 4 ปี 2562 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่2 ปี 2565 มีประเภทห้องให้เลือก 4 แบบ ด้วยการออกแบบฟังก์ชั่นใช้สอยพื้นที่ได้อย่างเต็มที่ รวมถึงพื้นที่ส่วนกลางที่สวยงาม รองรับการอยู่อาศัยทั้งระยะสั้น และระยะยาว ดังนี้

· ห้องแบบ Studio ขนาด 28.00-28.60 ตร.ม.

· ห้องแบบ 1 Bedroom + 1 Bathroom ขนาด 34.00-34.80 ตร.ม.

· ห้องแบบ 2 Bedroom + 1 Bathroom ขนาด 51.80 ตร.ม.

· ห้องแบบ 2 Bedroom + 2 Bathroom ขนาด 58.50-59.80 ตร.ม

สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวก (Facilities) แบบจัดเต็มครบทั้งโครงการ อาทิ INFINITY EDGE SWIMMING POOL + JACUZZI + KIDS POOL/KIDS PLAY ROOM/SKY FITNESS WITH FLYING YOGA/SKY BAR & LOUNGE/SKY GARDEN & BBQ AREA/SERENE GARDEN-WELLNESS GARDEN & TRAIL/PLAYSCAPE/SHUTTLE BUS ระบบรักษาความปลอดดภัยตลอด 24 ชั่วโมง

นางสาวธิดา กล่าวด้วยว่า ที่ตั้งโครงการ ONCE PATTAYA เรียกได้ว่าเป็นทำเลไข่แดงของพัทยา บนถนนเฉลิมพระเกียรติ พัทยาสาย 3 โซนพัทยาเหนือ แวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลายทั้งในด้านอุปโภคและบริโภค อีกทั้งยังเป็นย่านของนักท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติได้แวะเวียนมาเที่ยวอยู่ตลอดเวลาทั้งช่วง High Season และ Low Season โดยโครงการได้รับการดูแลทั้งในเรื่องของการดีไซน์และออกแบบจากสถาปนิกมืออาชีพ เพื่อให้ได้มาตรฐานและสมบูรณ์แบบที่สุด โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งจากชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่ซื้ออยู่อาศัยหรือเป็นบ้านหลังที่สอง รวมทั้งกลุ่มนักลงทุน โดยเฉพาะจากคนไทยที่หันมาลงทุนโครงการคอนโดมิเนียมในพัทยา ซึ่งทางบริษัทฯ ก็พร้อมที่จะรับบริหารปล่อยเช่า สร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (Yield) ให้กับลูกค้า

นอกจากนี้ จุดเด่นของพัทยาสาย 3 นั้นในอนาคตเขตทางจะขยายความกว้างเป็น 30 เมตรจากปัจจุบันกว้าง 20 เมตร เป็นเส้นในข่ายพิจารณา แนวการรถไฟรางเบาชลบุรี-พัทยา ที่จะเชื่อมรถไฟความเร็วสูง ซึ่งที่ตั้งโครงการ ONCE PATTAYA ยังอยู่ใกล้กับสถานีของโครงการรถไฟความเร็วสูง อีกทั้งสามารถเดินทางเข้าออกได้สะดวกเพราะใกล้กับมอเตอร์เวย์ และจากที่ดินกว่า 4 ไร่นั้นบริเวณด้านหน้าโครงการบริษัทฯ ได้ทุ่มงบประมาณ 70 ล้านบาท สำหรับก่อสร้างอาคาร Sale Office ถาวร 5 ชั้น ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จ และพร้อมเปิดให้ชมห้องตัวอย่าง สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://www.honourthailand.com หรือเบอร์โทร : 061-653-6599 และในอนาคตมีแผนที่จะลงทุนก่อสร้างโรงแรมในพื้นที่ที่เหลือด้วยเช่นกัน

“บริเวณพัทยาเหนือ เจ้าของที่ดินส่วนใหญ่มักให้เช่า มากกว่าขาย ทำให้ supply คอนโดฯ ย่านนี้มีจำกัด โดยเฉพาะโครงการที่ติดริมถนนใหญ่ ซึ่งเราก็มั่นใจว่าโครงการ ONCE PATTAYA จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า” นางสาวธิดากล่าวในตอนท้าย


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

หัวเว่ยคว้าสัญญา 5G กว่า 50 ฉบับ พร้อมส่งมอบสถานีฐาน 5G กว่า 200,000 ชุดแล้ว

เฉิงตู ประเทศจีน/ 3 กันยายน 2562 – วันนี้ งานหัวเว่ย เอเชีย-แปซิฟิก อินโนเวชั่น เดย์ ครั้งที่ 5 ได้เริ่มขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการที่เมืองเฉิงตู ประเทศจีน โดยธีมการจัดงานในปีนี้คือ Innovation Enables Asia-Pacific Digitalization (นวัตกรรมรังสรรค์เอเชียแปซิฟิกให้เป็นดิจิทัล) มีตัวแทนจากหน่วยงานรัฐบาล อุตสาหกรรม และนักวิชาการในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและภูมิภาคอื่นๆ เข้าร่วมงานกว่า 200 คน เพื่ออภิปรายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในเรื่องเทคโนโลยีและการใช้งาน 5G ใหม่ๆ การพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมไปถึงเทคโนโลยี มนุษยชาติ และธรรมชาติ

5G ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่กำลังขยายการให้บริการไปทั่วโลก คือรากฐานของโลกอัจฉริยะ ซึ่งทุกสิ่งอย่างเชื่อมต่อกัน ปัจจุบัน เราเริ่มก้าวสู่ยุคของ 5G และยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ เพื่อนำดิจิทัลไปสู่อุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วทั้งโลก การพัฒนาด้านอุตสาหกรรมได้ก้าวจากยุคของเครื่องจักรและอิเล็กทรอนิกส์ ไปสู่ยุคของระบบอัตโนมัติและดิจิทัล มร. วิลเลียม สวี กรรมการบริษัทหัวเว่ย และประธานบริหารของสถาบันแห่งการวิจัยยุทธศาสตร์ กล่าวในงานว่า “5G มาถึงในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ เทคโนโลยี 5G มีความครอบคลุมกว้าง แบนด์วิดท์สูง และความหน่วงต่ำ เมื่อเทียบกับการเชื่อมต่อแบบเก่า และยังสามารถจัดหา slicing สำหรับการใช้งานในรูปแบบต่างๆ ด้วย คุณสมบัติใหม่นี้ทำให้ 5G สามารถปรับใช้ได้กับการใช้งานในอุตสาหกรรมที่ซับซ้อนหลากหลาย ด้วยความก้าวหน้าของ 5G จะมีแอปพลิเคชั่นที่ขับเคลื่อนด้วย 5G หลายอย่างที่จะเปลี่ยนโลกของเรา ในขณะเดียวกัน 5G, AI, IoT และคลาวด์ ก็ได้ทำให้ชีวิตในทุกๆ วัน และสิ่งแวดล้อมของเราดีขึ้น อีกทั้งยังทำให้โลกของเราน่าอยู่ขึ้นอีกด้วย”


วิลเลียม สวี กรรมการบริษัทหัวเว่ย และประธานบริหาร สถาบันแห่งการวิจัยยุทธศาสตร์

หัวเว่ยช่วยผู้ประกอบการโทรคมนาคมทั่วเอเชียแปซิฟิกเปิดให้บริการ 5G ได้เร็วขึ้น

เอเชียแปซิฟิกกลายเป็นภูมิภาคชั้นนำของโลกในด้านการเปิดให้บริการ 5G โดยมีเกาหลีใต้เป็นประเทศแรกในโลกที่เปิดให้บริการ 5G เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ และตั้งแต่เริ่มเปิดให้บริการ 5G เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายน จำนวนผู้สมัครใช้บริการเทคโนโลยี 5G ได้เพิ่มสูงเกิน 2 ล้านรายแล้ว ประเทศเกาหลีใต้ได้กลายเป็นมาตรฐานของโลกสำหรับการเปิดให้บริการ 5G เชิงพาณิชย์ ในขณะที่ประเทศจีนได้มีการสร้างเครือข่าย 5G ขนาดใหญ่สำหรับการทดลองให้บริการเชิงพาณิชย์ ผู้ประกอบการด้านโทรคมนาคมรายใหญ่ทั้ง 3 ราย ก็ได้ติดตั้งเครือข่าย 5G ในเมืองหลักๆ รวมถึงปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว เซิ่นเจิ้น และเฉิงตู ซึ่งมีอัตราความเร็วของการดาวน์โหลดสูงถึง 1 Gbps หรือเทียบได้กับการดาวน์โหลดภาพยนตร์ HD ความละเอียดสูงระดับ 1080P เรื่องหนึ่งได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที

เทคโนโลยี 5G กลายเป็นความจริงแล้ว ขณะนี้ ผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคม 35 รายใน 20 ประเทศทั่วโลกได้เปิดให้บริการ 5G แล้ว และอีก 33 ประเทศได้มีการจัดสรรคลื่น 5G แล้ว

หัวเว่ยได้เซ็นสัญญา 5G เชิงพาณิชย์แล้วกว่า 50 ฉบับทั่วโลก และได้ส่งมอบ Massive MIMO AUU ไปแล้วกว่า 200,000 หน่วย หัวเว่ยคร่ำหวอดในธุรกิจการติดตั้ง 5G เชิงพาณิชย์และยังคอยศึกษาวิจัยรูปแบบการใช้งานใหม่ๆ อยู่เสมอ บริษัทมุ่งมั่นที่จะมอบผลิตภัณฑ์ โซลูชัน ตลอดจนสถานการณ์การใช้งานเทคโนโลยี 5G ที่ล้ำสมัยและปลอดภัยที่สุด บริษัทปรารถนาที่จะร่วมมือกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมในเอเชียแปซิฟิกเพื่อเร่งการติดตั้ง 5G พร้อมใช้เทคโนโลยีดังกล่าวให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป้าหมายของเราคือการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม เพิ่มประสิทธิภาพของสังคม และเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของอุตสาหกรรม

การเปิดตัวเครือข่าย 5G แบบ Stereo-Coverage ทำให้เกิดการใช้งานในรูปแบบสร้างสรรค์ ซึ่งขับเคลื่อนด้วย 5G มากขึ้น

ในงาน ไชน่า โมบาย เสฉวน และหัวเว่ยได้เปิดตัวเครือข่าย 5G แบบ Stereo-Coverage ซึ่งประกอบไปด้วยเลเยอร์ Basic Coverage เลเยอร์ Capacity Experience และการครอบคลุมภายในอาคารสำหรับรูปแบบการใช้งานแบบ High–Value เพื่อให้เกิดการครอบคลุมของ 5G แบบไร้รอยต่อ นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้จับมือกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมและบริษัทพันธมิตรอื่นๆ อีกหลายราย เพื่อสาธิตแอปพลิเคชันการใช้งานเชิงอุตสาหกรรมใหม่ๆ มากมาย รวมถึง 5G+VR, วิดีโอ 5G+8K, 5G+โดรน, การแพทย์ทางไกล 5G และรถพยาบาลฉุกเฉิน 5G ทั้งหมดนี้ได้ชี้ให้เห็นว่าการใช้เทคโนโลยี 5G ในเชิงพาณิชย์นำไปปรับใช้ได้กับอุตสาหกรรมที่หลากหลาย

ผู้เข้าร่วมงานจากหน่วยงานรัฐบาล อุตสาหกรรม และนักวิชาการ ได้กล่าวสุนทรพจน์ในมุมมองต่างๆ อาทิ การวางนโยบาย การกำกับ และการพัฒนาอุตสาหกรรมให้เป็นดิจิทัล เป็นต้น โดยพวกเขาได้กล่าวถึงการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆ สามารถสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมการเรียนรู้และการป้องกันระบบนิเวศทางธรรมชาติ พร้อมแบ่งปันกรณีศึกษาเรื่องการเสริมสมรรถนะให้แก่อุตสาหกรรมต่างๆ ด้วยเทคโนโลยี 5G และ AI

เทคโนโลยีเพื่อสิ่งดีๆ – การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเปิดโลกอัจฉริยะที่ดีกว่าเดิม

StorySign คือแอปพลิเคชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่ใช้เทคโนโลยีการจดจำภาพและการจดจำลักษณะของสายตา เพื่อแปลหนังสือเด็กให้เป็นภาษามือ ช่วยให้เด็กที่พิการทางการพูดและการได้ยินสามารถเรียนรู้วิธีอ่านได้

ในประเทศคอสตาริก้า บริษัทชื่อ เรนฟลอเรสต์ คอนเนกชั่น ได้ติดตั้งอุปกรณ์เฝ้าระวังพลังงานแสงอาทิตย์ในป่าฝนขนาด 2,500 ตารางกิโลเมตร ด้วยศักยภาพการวิเคราะห์อันชาญฉลาดและดาต้าสตอเรจขนาดยักษ์ของหัวเว่ย คลาวด์ อุปกรณ์เฝ้าระวังนี้สามารถที่จะประมวลเสียงที่ซับซ้อนในป่าได้แบบเรียลไทม์ และระบุเสียงของเลื่อยยนต์และรถบรรทุกได้อย่างถูกต้อง เพื่อเป็นการป้องกันการลักลอบตัดไม้อย่างผิดกฎหมาย

การช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส การดูแลรักษาโลก และการพัฒนาการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติอย่างกลมกลืน เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคนในสังคม เทคโนโลยีใหม่ๆ อาทิ 5G, คลาวด์, IoT และ AI จะช่วยพลิกโฉมโลก ที่ซึ่งทุกสิ่งจะรับรู้ถึงกัน เชื่อมโยงกัน และมีความอัจฉริยะ โลกอัจฉริยะกำลังมาถึงทุกคน ทุกองค์กร และทุกอุตสาหกรรม เทคโนโลยีกำลังทำให้โลกของเราน่าอยู่มากขึ้น

ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา งานหัวเว่ย อินโนเวชั่น เดย์ จัดเวียนไปในเมืองต่างๆ ทั้งลอนดอน มิลาน มิวนิก ปารีส สิงคโปร์ ซิดนีย์ กัวลาลัมเปอร์ กรุงเทพฯ ดูไบ และเซาเปาโล หัวเว่ยยึดมั่นในหลักการเรื่องการเปิดกว้าง นวัตกรรม ความร่วมมือ และความสำเร็จร่วมกัน และมีความมุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสู่ทุกคน ทุกบ้าน และทุกองค์กร เพื่อสร้างโลกอัจฉริยะที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างเต็มรูปแบบ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมทรัพยากรมนุษย์เพื่ออุตสาหกรรม มจพ. วิทยาเขตระยอง จัดอบรมหลักสูตร พัฒนาศักยภาพตนเองสู่ความสำเร็จ

ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมทรัพยากรมนุษย์เพื่ออุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
วิทยาเขตระยอง เปิดอบรมหลักสูตร “การค้นหาตัวตนเพื่อพัฒนาศักยภาพพนักงานในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต”
เนื้อหาการฝึกอบรมนี้เกี่ยวกับการแนะนำผู้เข้าอบรมให้เตรียมตัวเข้าสู่พื้นฐานการพัฒนาศักยภาพความเป็นมนุษย์ และเทคนิคการค้นหาตัวตนเพื่อนำความสามารถของตนเองมาใช้งานได้อย่างเต็มที่ โดยการใช้เทคนิคการพัฒนาศักยภาพ 6 ด้าน หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับพนักงานทุกคนทุกระดับ เพื่อตรวจสอบศักยภาพในตัวตนและดึงออกมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด คุณสมบัติผู้เข้าอบรม 1. พนักงาน หรือ บุคคลทั่วไปที่สนใจค้นหาตัวตนและพัฒนาศักยภาพตนเองสู่ความสำเร็จ และ 2. ผู้บริหารที่ต้องการเพิ่มศักยภาพผู้นำสู่ความเป็นเลิศ ระยะเวลาอบรม 1 วัน รับผู้เข้าอบรม รุ่นละ 20 คน สถานที่จัดอบรม : ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมทรัพยากรมนุษย์เพื่ออุตสาหกรรม ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง รายละเอียดวัน – เวลาการอบรม

รุ่นที่ 1 วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม 2562 เวลา 09.00 – 16.00 น.
รุ่นที่ 2 วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม 2562 เวลา 09.00 – 16.00 น.
รุ่นที่ 3 วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2562 เวลา 09.00 – 16.00 น.
รุ่นที่ 4 วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2562 เวลา 09.00 – 16.00 น.
รุ่นที่ 5 วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2562 เวลา 09.00 – 16.00 น.
วิทยากรได้รับเกียรติจาก อาจารย์ ดร.รินทร์ฤดี พลายเพ็ชร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาศักยภาพมนุษย์

สนใจสมัครออนไลน์ได้ที่  หรือ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ โทรศัพท์ 038-627-000 ต่อ 5601 มือถือ 081-611-6445

ขวัญฤทัย ข่าว -ภาพ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

กำหนดการขึ้นทะเบียนบัณฑิต มจพ. เพื่อเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ประจำปีการศึกษา 2561

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) กำหนดการขึ้นทะเบียนบัณฑิต เพื่อเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ประจำปีการศึกษา 2561 ระหว่างวันที่ 2 – 20 กันยายน 2562 สามารถขึ้นทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์ http://ceremony.kmutnb.ac.th
สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับงานพระราชทานปริญญาบัตร เพิ่มเติมที่เว็บไซต์ กลุ่มงานทะเบียนและสถิตินักศึกษา http://acdserv.kmutnb.ac.th ตั้งแต่กันยายน 2562 เป็นต้นไป โดยมีค่าใช้จ่ายสำหรับการขึ้นทะเบียนบัณฑิต 1,600 บาท สามารถชำระทางธนาคารกรุงเทพ ผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร, ATM, mBanking, iBanking โดยระบุ ServiceCode เป็น KMTNBALU

►บัณฑิตที่มีปัญหาในการกรอก เลขประจำตัวนักศึกษา และเลขประจำตัวประชาชน ไม่ผ่าน
ติดต่อ กลุ่มงานทะเบียนและสถิตินักศึกษา โทรศัพท์ 0-2555-2000 ต่อ 1628-1635 หรือโทรศัพท์สายตรง 0-2587-4341

►บัณฑิตที่มีปัญหาในการกรอกข้อมูลในแบบสอบถาม ติดต่อ กองแผนงาน โทรศัพท์ 0-2555-2000 ต่อ 1655-1656 หรือโทรศัพท์สายตรง 0-2586-9011


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

INTERMAT ASEAN และ CONCRETE ASIA 2019 งานแสดงสินค้าด้านการก่อสร้างระดับภูมิภาค

บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเมนท์ จำกัด จับมือ สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และพันธมิตรร่วมจัดงาน INTERMAT ASEAN และงาน CONCRETE ASIA 2019 งานแสดงสินค้า เครื่องจักร นวัตกรรม เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน และคอนกรีต พร้อมด้วยสัมมนาวิชาการจากผู้เชี่ยวชาญ และการเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยและผู้ซื้อจากทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย

เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมก่อสร้างของประเทศไทย ที่มุ่งเน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศโดยเฉพาะแผนเชื่อมโยงระบบคมนาคมขนส่งทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อสร้างรากฐานความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม เสริมสร้างความปลอดภัยในการเดินทางและขนส่ง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จึงรวบรวมผู้ประกอบการจากทั่วโลกมาจัดแสดงสินค้ากว่า 300 แบรนด์ ในระหว่างวันที่ 5-7 กันยายน 2562 ณ อาคาร 9-10 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี คาดว่าจะมีบุคคลากรทางอุตสาหกรรมก่อสร้างเข้าร่วมงานกว่า 5,000 ราย
INTERMAT ASEAN และ CONCRETE ASIA 2019 ยังมีกิจกรรมภายในงานฯ อาทิ อินโนเวชั่น โซน และสัมมนาดังนี้

• จัดแสดง Thailand Green Road “โครงการบล็อกปูถนนรีไซเคิล” ในความดูแลของ ผศ. ดร.เวชสวรรค์ หล้ากาศ ที่นำขยะถุงพลาสติกมาผลิตบล็อกปูถนนรีไซเคิล ที่มีค่าความแข็งแรงของยางมะตอยสูงกว่ามาตรฐาน 300 เปอร์เซ็นต์
• จัดแสดงขีดความสามารถและอุปกรณ์ด้านการทดสอบวัสดุ Building Code ผลงานการออกแบบบ้านสำเร็จรูป เพื่อผู้ประสบภัย และมาตรฐานทางด้านกฎหมายเพื่อป้องกันฝุ่น PM 2.5 โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง
• จัดแสดงนวัตกรรมรถหัวลากขนาดใหญ่ 10 ล้อ 420 แรงม้า ยูโร 4 เกียร์ 12 สปีด สำหรับรุ่นเส้นทางขนส่งระยะไกล
• จัดแสดงนวัตกรรมการขึ้นรูปวัสดุเซรามิกส์ด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ
• สาธิตเพ้นท์พื้นเป็นลาย 3 มิติ โดยผู้เชี่ยวชาญชั้นนำระดับโลก
• สาธิตการติดตั้งนั่งร้านและระบบนั่งร้าน
• สัมมนาเรื่อง การนำ Digital และ BIM มาใช้ในการออกแบบงานทาง
• เทคนิคการดัดแปลงโครงสร้างอาคาร
• หลักสูตรสำหรับผู้ควบคุมการทำงานบนที่สูง (หลักสูตรประกาศนียบัตร)
• เทคนิคการออกแบบแก้ไขฐานรากเยื้องศูนย์
• หลักสูตรการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน CPR& AED ภาคประชาชน
• กรณีศึกษานวัตกรรม BIM กับการออกแบบการก่อสร้างระบบชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูป
• วิวัฒนาการ-อนาคต การรถไฟและระบบขนส่งทางรางของประเทศไทย โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย กรมการขนส่งทางราง และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
• วิเคราะห์แนวโน้มราคาคอนกรีตจาก BIG DATA โดย BUILK ONE Group

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ โทร 02-833-5315 อีเมล์ info@concrete-asia.com , info@asean.intermatconstruction.com หรือเว็บไซต์ www.concrata-asia.com , https://asean.intermatconstruction.com

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

แชฟฟ์เลอร์จับมือมิตซูบิชิ อีเล็คทริค ผนึกกำลังดันโซลูชั่น e – F@ctory

บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค คอร์เปอเรชั่นและบริษัท แชฟฟ์เลอร์ เทคโนโลยี AG และ KG จำกัด ผู้จำหน่ายสินค้าด้านยานยนต์และอุตสาหกรรมระดับโลก ประกาศความร่วมมือด้านยุทธศาสตร์ระดับโลกอย่างเป็นทางการในฐานะเครือข่ายพันธมิตร (e-F@ctory Alliance Network) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด e-F@ctory ของมิตซูบิชิ อีเล็คทริค คอร์เปอเรชั่นที่สนับสนุนบริษัทที่มีมาตรการในการปรับเปลี่ยนการทำงานไปสู่ระบบดิจิทัล

ดร.สเตฟาน สปินด์เลอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายอุตสาหกรรม บริษัท แชฟฟ์เลอร์ AG กล่าวว่า “การนำเสนอโซลูชั่นอุตสาหกรรม 4.0 ที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าได้นั้น จะต้องอาศัยความร่วมมือจากบริษัทต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน เราเชื่อมั่นว่าด้วยความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและความรู้ด้านระบบของแชฟฟ์เลอร์และมิตซูบิชิ อีเล็คทริค ที่ร่วมเป็นพันธมิตรด้านยุทธศาสตร์ในครั้งนี้ จะทำให้แชฟฟ์เลอร์นำเสนอโซลูชั่นที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าและตลาดชิ้นส่วนยานยนต์และอุตสาหกรรม อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต สามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิ้นส่วนที่ครบวงจรได้”

ภาพจำลองของอุตสาหกรรม 4.0 นั้นโดดเด่นด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ และมีความยืดหยุ่นในการผลิตสูง พร้อมด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย และระบบอุตสาหกรรม 4.0 ที่ประกอบด้วยส่วนประกอบและเครื่องจักรที่ทำงานเชื่อมต่อกันด้วยระบบดิจิทัล เช่น การรวมการทำงานเครื่องจักรและข้อมูลโรงงานเข้ากับระบบการผลิต (MES-Manufacturing Execution Systems) และระบบวางแผนทรัพยากรการผลิตในองค์กร (ERP-Enterprise Resource Planning Systems)

ด้านนายโนริยูกิ ชิมิซุ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานโรงงานอัตโนมัติ บริษัท มิตซูบิชิ
อีเล็คทริค คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเราประสบความสำเร็จในการดำเนินโครงการร่วมกันในหลายประเทศ ทั้งในยุโรปและเอเชีย ตอนนี้เราพร้อมที่จะขยายความร่วมมือในระดับโลกร่วมกับแชฟฟ์เลอร์”

ทั้งนี้บริษัท แชฟฟ์เลอร์ และมิตซูบิชิ อีเล็คทริค จะทำงานร่วมกันเพื่อสร้างโซลูชั่นของอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งจะช่วยลดการหยุดทำงานของเครื่องจักรและช่วยเพิ่มผลผลิตให้กับลูกค้า เช่น เครื่อง SLMP โปรโตคอล ซึ่งเป็นระบบตรวจสอบสภาพที่ใช้ในแชฟฟ์เลอร์ โดยมีเซนเซอร์สื่อสารกับโปรแกรมควบคุมของมิตซูบิชิ อีเล็คทริค ที่ส่งสัญญาณกำหนดค่าคุณลักษณะได้ จากนั้นโปรแกรมควบคุมระบบ (PLC) จะประมวลผลข้อมูลในรูปแบบข้อความธรรมดาและแสดงขึ้นบนหน้าจอ ในส่วนของการรวมข้อมูลที่เพิ่มเติมนั้นจะช่วยให้ระบบตรวจสอบสภาพเชื่อมต่อกับโปรแกรมควบคุมระบบ (PLC) ของโรงงานที่เกี่ยวข้องได้ โดยผ่านเครือข่ายสายเคเบิลและโปรโตคอล Modbus

นอกจากนี้บริษัทแชฟฟ์เลอร์ ได้มีส่วนช่วยสร้างแนวคิดการรวมผลิตภัณฑ์เมคคาทรอนิกส์ ระบบตรวจสอบสภาพการทำงานและบริการดิจิทัลเพื่อสร้างแอพพลิเคชั่นโซลูชั่น 4.0 เข้าไว้ด้วยกัน สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานในการสร้างผลิตภัณฑ์ และบริการที่สามารถกำหนดได้เอง โดยมุ่งเน้นให้เกิดประสิทธิภาพของระบบโดยรวมทั้งหมด บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค คอร์เปอเรชั่นจะเน้นนำเสนอระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีการประมวลผลที่หลากหลาย รวมถึงโปรแกรมควบคุมระบบ (PLC) อินเวอร์เตอร์ หุ่นยนต์ เซอร์โวไดรฟ์ และเอชเอ็มไอ ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลผลิตและคุณภาพให้กับโรงงานได้


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

กสอ. ผนึกสถาบันอาหาร ติวเข้ม SMEs ชูนวัตกรรมและเทคโนโลยีแปรรูป ผุด 20 ผลิตภัณฑ์ต้นแบบออกสู่ตลาดปลายปีนี้

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม(กสอ.) ร่วมกับสถาบันอาหาร หน่วยงานเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ “โครงการยกระดับศักยภาพ SMEs อุตสาหกรรมอาหารแปรรูปด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีการแปรรูป ภายใต้กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ปีงบประมาณ 2562” ผลักดัน SMEs จำนวน 120 ราย จาก 50 กิจการ ให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมอาหารแปรรูป เรียนรู้และทดลองใช้เครื่องจักรสมัยใหม่ ณ ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมด้านอาหารแปรรูป (ITC – Mie Thailand Innovation Center) ตั้งเป้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์อาหารแปรรูปต้นแบบให้ได้ 20 ผลิตภัณฑ์

นางอริยาพร อำนรรฆสรเดช นักวิเคราะห์นโยบายและแผนเชี่ยวชาญ กองพัฒนาขีดความสามารถธุรกิจอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม(กสอ.) กล่าวว่า “โครงการยกระดับศักยภาพ SMEs อุตสาหกรรมอาหารแปรรูปด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีการแปรรูป” เป็นโครงการที่ได้รับงบประมาณจาก กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ปีงบประมาณ 2562 ซึ่งกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยกองพัฒนาขีดความสามารถธุรกิจอุตสาหกรรม ได้ริเริ่มดำเนินการเพื่อมุ่งแก้ไขปัญหาและยกระดับภาคอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปของไทยให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น โดยการพัฒนาองค์ความรู้ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีการแปรรูปให้แก่บุคลากรในอุตสาหกรรมการผลิต และพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีการแปรรูป

“มั่นใจว่าผลจากการดำเนินงานครั้งนี้ จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมอาหารแปรรูปตลอดห่วงโซ่การผลิต โดยเฉพาะกลุ่มแปรรูปที่ใช้วัตถุดิบจากข้าว ธัญพืช ผัก และผลไม้ เพราะหากกลุ่มผู้ประกอบการอาหารในอุตสาหกรรมกลางน้ำได้รับการพัฒนาศักยภาพในเชิงทักษะการผลิต รวมทั้งองค์ความรู้ในการพัฒนาสินค้านวัตกรรม ก็จะสามารถขยายผลไปยังเกษตรกรต้นน้ำที่จะได้รับประโยชน์จากความต้องการวัตถุดิบการผลิตที่เพิ่มขึ้น และสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการปลายน้ำ เช่น ร้านค้า ผู้บริโภค ก็จะมีสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานเพื่อเป็นทางเลือกมากขึ้น”

นางอรวรรณ แก้วประกายแสงกูล ผู้ทรงคุณวุฒิสถาบันอาหาร หน่วยงานเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า สถาบันอาหาร ได้รับมอบหมายจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ให้เป็นผู้ดำเนินกิจกรรมครั้งนี้ ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม โดยกิจกรรมแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1) กิจกรรมการอบรมทั้งภาคทฤษฎัและปฏิบัติเน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ในหัวข้อ “เทคนิคการผลิตผลิตภัณฑ์ในภาชนะบรรจุปิดสนิทในสภาวะที่มีความเป็นกรดต่ำและปรับกรด” และ “เทคนิคการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารอบแห้ง” จำนวน 50 กิจการ 2) กิจกรรมการพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ต้นแบบ เปิดให้

ทดลองใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรแปรรูป จำนวน 20 กิจการ โดยดำเนินการ ณ ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมด้านอาหารแปรรูป (ITC – Mie Thailand Innovation Center) ซึ่งตั้งอยู่ภายในที่ทำการสถาบันอาหาร โดยผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการมีการทดลองใช้เครื่อง Freeze dry, Tray Dryer, Spray Dryer, และ Vacuum Dryer เป็นต้น ทั้งนี้ได้เริ่มจัดอบรมไปแล้วเมื่อวันที่ 16 – 17 ส.ค. ที่ผ่านมา และแบ่งผู้อบรมออกเป็น 5 รุ่น เพื่อรับการอบรมภาคปฏิบัติให้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย.นี้


 

Exit mobile version