Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ยิปซัมตราช้างส่งนวัตกรรมใหม่ ซอฟฟิทบล็อค แผ่นฝ้าชายคา ลงตลาด ชูคุณสมบัติเด่นกันน้ำ งานไว ไร้รอยต่อ มั่นใจยอดขายฉลุย

ยิปซัมตราช้าง ส่งนวัตกรรมใหม่ “ซอฟฟิทบล็อค” (SoffitBlocTM) แผ่นฝ้าชายคารุ่นใหม่ลงตลาด ให้เป็นอีกทางเลือกสำหรับเจ้าของบ้าน เจ้าของโครงการ ตลอดจนช่างและผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยชูความโดดเด่นด้วยคุณสมบัติกันน้ำ ช่วยให้งานเสร็จไว และสวยเรียบเนียนไร้ร้อยต่อ

นายจรุง กาญจนภูมิ ผู้จัดการทั่วไปบริษัท สยามอุตสาหกรรม ยิปซัม (สระบุรี) จำกัด หรือยิปซัมตราช้าง เปิดเผยว่า “ จากปัจจุบันที่วงการก่อสร้างได้หันมาให้ความสำคัญ กับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ทั้งในบ้านและอาคารต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ทำให้มีการพิจารณาเลือกวัสดุและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการก่อสร้างอย่างละเอียดพิถีพิถัน โดยหันมาเน้นวัสดุภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้พักอาศัย ทางบริษัทฯ ตระหนักถึงเรื่องดังกล่าว จึงคิดค้นผลิตภัณฑ์แผ่นฝ้าชายรุ่นใหม่ “ซอฟฟิทบล็อค ตราช้าง” (SoffitBlocTM) ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นในเรื่องของ การกันน้ำและคราบน้ำซึม อีกทั้งเน้นความสวยงามที่เกิดจากความเรียบเนียน ของตัวผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดเวลาการติดตั้ง ให้งานเสร็จไว และที่สำคัญเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและผู้พักอาศัย เนื่องจากไม่มีส่วนประกอบของแร่ใยหิน

จากปัญหาที่พบเห็นอยู่เสมอ ทั้งก่อนและหลังการก่อสร้าง หากเลือกวัสดุผิดประเภทการใช้งาน หรือเลือกใช้ฝ้าเพดานที่ไม่ได้มาตรฐาน จะทำให้มีการแก้งาน รื้องาน และติดตั้งใหม่ เนื่องจากความไม่เรียบเนียนของฝ้าเพดาน มีผลให้งานไม่เสร็จตามกำหนด และงบประมาณฯบานปลาย นอกจากนี้เรามักจะพบว่าการเลือกใช้ฝ้าชายคาแบบเดิมๆ ที่ไม่กันน้ำ มักจะทำให้เกิดปัญหากับเจ้าของบ้านหลังจากอยู่อาศัยไปสักพักอีกด้วย” นายจรุงกล่าว

ซอฟฟิทบล็อค หรือแผ่นฝ้าชายคารุ่นใหม่จากยิปซัมตราช้าง จึงเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว ด้วยคุณสมบัติกันน้ำ ที่ใช้วัสดุปิดผิวชนิดพิเศษด้านหลังแผ่น สามารถป้องกันการซึมผ่านของน้ำหลังแผ่น อีกทั้งเนื้อแผ่นยังช่วยลดการดูดซึมน้ำ ทำให้ไม่เกิดคราบน้ำ นอกจากนี้ด้วยการติดตั้งแบบเดียวกับระบบฝ้าเพดานยิปซัมฉาบเรียบ ทำให้การติดตั้งเป็นเรื่องง่าย ทำได้รวดเร็ว และออกมาสวยเรียบเนียนไร้รอยต่อ ช่างไม่ต้องเสียเวลาเก็บงาน เมื่อการทำงานสามารถทำไปได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องเสียเวลากลับมาแก้ไข ทำให้งานเสร็จได้ไวตามเวลาที่กำหนด และยังควบคุมงบประมาณฯได้อีกด้วย

ซอฟฟิทบล็อค ตราช้าง นวัตกรรมใหม่ของแผ่นฝ้าชายคาที่มีความแตกต่างไปจากแผ่นฝ้าชายคาแบบเดิมๆ เหมาะกับพื้นที่ใช้สอยหลายประเภท ได้แก่ ฝ้าชายคาของบ้านและอาคารทั่วไป ฝ้าโรงจอดรถ และฝ้าทางเดินระหว่างอาคาร โดยมีให้เลือกหลายรูปแบบทั้ง รุ่นแบบเรียบ และรุ่นรูระบายอากาศ ขนาด 1200x2400x9 มม. เพื่อความสวยงามในการออกแบบและตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลาย มาพร้อมกับมาตรฐาน มอก. 219-2552 และ ASTM C1396 ที่สามารถติดตั้งร่วมกับโครงคร่าวโลหะฝ้าเพดานฉาบเรียบ โปร-ลายน์ ตราช้าง

“ทางบริษัทฯ คาดว่า ซอฟฟิทบล็อค ตราช้าง จะได้รับความนิยมจากเจ้าของบ้านและโครงการก่อสร้างต่างๆ เพิ่มมากขึ้น โดยจะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในตลาดฝ้าชายคาในราคาที่จับต้องได้ ทั้งนี้บริษัทฯ ได้คาดการว่า ภายในสิ้นปี 2563 นี้ จะมีส่วนแบ่งการตลา ของฝ้าชายคา คิดเป็นร้อยละ 50” นายจรุง กล่าวปิดท้าย

ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปชมรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติมได้ทาง www.siamgypsum.com


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

หัวเว่ยรั้งอันดับ 5 บริษัททุ่มงบด้านวิจัยและพัฒนาสูงที่สุดของโลก

กรุงเทพฯ/ 2 มีนาคม 2563 – บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ส์ จำกัด ผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของโลก ครองอันดับ 5 ของบริษัทที่ทุ่มงบประมาณในด้านการวิจัยและพัฒนามากที่สุดของโลก ตามข้อมูลของ 2019 EU Industrial R&D Investment Scoreboard ต่อเนื่องกันเป็นปีที่สอง ซึ่งการศึกษานี้จัดทำโดยคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) เพื่อจัดลำดับ 2,500 บริษัทที่มีการลงทุนในด้าน R&D มากที่สุดในโลก โดยหัวเว่ยและอาลีบาบา กรุ๊ป (ติดลำดับที่ 28) เป็นบริษัทสัญชาติจีนเพียง 2 รายที่มีชื่อติดอยู่ใน 50 อันดับแรก

หัวเว่ยมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในฐานะบริษัทที่ทุ่มเทเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมมาอย่างต่อเนื่อง ในแต่ละปีบริษัทจะทุ่มรายได้จากยอดขายราวร้อยละ 10 – 15 ไปกับงานด้าน R&D โดยเฉพาะ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทได้ใช้งบราว 70,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (หรือราว 2.2 ล้านล้านบาท) ไปในด้านวิจัยและพัฒนา และได้เริ่มดำเนินการวิจัยเทคโนโลยี 5G ตั้งแต่ปี 2552 ด้วยการลงทุนงบกว่า 4,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ราว 12.7 หมื่นล้านบาท) ไปกับการศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ 5G ทำให้ปัจจุบันหัวเว่ยได้เป็นเจ้าของสิทธิบัตร 5G มากที่สุดในโลกถึง 3,325 ฉบับ นอกจากนี้ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หัวเว่ยยังเป็นบริษัทที่เข้าไปมีส่วนร่วมมากที่สุดในการกำหนดมาตรฐานสากลของการใช้งาน 5G ทั่วโลกอีกด้วย ตามข้อมูลจากบริษัท Iplytics ผู้วิจัยข้อมูลทางการตลาด

ในขณะที่ทั่วโลกเริ่มเปิดให้บริการ 5G เชิงพาณิชย์ มร. เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของหัวเว่ย ได้เปิดเผยเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า บริษัทได้เริ่มศึกษาพัฒนาเทคโนโลยี 6G แล้ว ซึ่งจะมอบความเร็วที่สูงกว่า 5G ถึง 100 เท่า “ความจริงแล้วเราพัฒนา 5G และ 6G ไปพร้อม ๆ กัน โดยเราเริ่มงานวิจัย ด้าน 6G มานานแล้ว” มร. เหริน กล่าว “แต่ตอนนี้ยังเป็นแค่เฟสแรก ๆ และเราก็คิดว่าการใช้งาน 6G เชิงพาณิชย์ยังต้องรอไปอีกประมาณ 10 ปี” เขาอธิบาย

ปัจจุบันหัวเว่ยเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยี 5G ร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายทั่วโลกเพื่อมอบบริการที่ครอบคลุมและครบวงจรมากขึ้น บริษัทเปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าได้ลงนามในสัญญา 5G เชิงพาณิชย์ไปแล้วกว่า 90 ฉบับทั่วโลก


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ก้าวสู่เกษตรอัจฉริยะกับ CAT เพาะพันธุ์ดี นำ IoT ส่งเสริมเยาวชน ณ โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณปริสุทฺโธ

ความยั่งยืนในวิถีเกษตรเป็นสิ่งที่หลายคนโดยเฉพาะเกษตรกรมุ่งหวังว่าจะช่วยให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาขึ้น โอกาสจึงไม่เกินเอื้อม
‘CAT เพาะพันธุ์ดี’ เป็นโครงการของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT เลือกนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาสร้าง Smart Farm หรือ‘พื้นที่เกษตรอัจฉริยะ’ เพื่อช่วยลดต้นทุน ลดระยะเวลา เพิ่มความสะดวก และเพิ่มผลผลิตให้กับเกษตรกรกลุ่มต่าง ๆ โดยช่วงเริ่มต้นเน้นไปที่โรงเรียนเพราะสามารถต่อยอดสู่การเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของชุมชน โดยอาจารย์และนักเรียนจะได้รับประสบการณ์จริงจากการทดลองทดสอบร่วมกัน

หนึ่งในโรงเรียนต้นแบบที่ CAT พิจารณาเลือกจัดทำโครงการคือ ‘โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณปริสุทฺโธ’ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดกลาง ที่มุ่งให้ความรู้ทางด้านวิชาการควบคู่ไปกับการสร้างโอกาสแห่งการเรียนรู้ที่หลากหลายเพื่อให้นักเรียนสามารถพัฒนาตนเองได้ตามความสนใจ โดยโครงการด้านเกษตรกรรมได้รับการจัดสรรพื้นที่ส่วนหนึ่งของโรงเรียนไว้สำหรับส่งเสริมการเรียนรู้และฝึกให้ทำงานร่วมกัน
เมื่อโครงการ ‘CAT เพาะพันธุ์ดี’ ก้าวเข้ามาเยี่ยมเยือน อาจารย์และนักเรียนที่นี่จึงพากันเปิดใจเรียนรู้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่าง IoT หรือ Internet of Things ว่าจะมาช่วยเติมความหวังและเปิดโอกาสให้กับพวกเขาได้อย่างไรบ้าง
การดำเนินงานเริ่มต้นขึ้นเมื่อทีมงาน CAT ลงสำรวจสภาพพื้นที่เพื่อพิจารณาการนำเทคโนโลยี IoT เข้ามาปรับใช้ในการพัฒนา Smart Farm จากสิ่งที่โรงเรียนมีอยู่เดิม จากนั้นร่วมกันพัฒนาและติดตั้งอุปกรณ์พร้อมทั้งเชื่อมโยงระบบต่าง ๆ ได้แก่ ระบบรดน้ำอัตโนมัติ ระบบควบคุมอุณหภูมิ/ความชื้นในดินและอากาศ ให้กับแปลงเกษตรที่ใช้ปลูกผักสำหรับนำมาทำอาหารกลางวันให้นักเรียน แล้วจึงจัดทำแอปพลิเคชันสำหรับควบคุมและสั่งการระบบต่าง ๆ ที่ได้ติดตั้งไว้ รวมถึงทดลองใช้งานโดยมีการจัดเก็บข้อมูลเพื่อนำผลมาวิเคราะห์ความเหมาะสมในการปลูกพืชแต่ละชนิด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงและควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ ที่จะช่วยเพิ่มทั้งคุณภาพและปริมาณของผลผลิต

“อาจารย์และนักเรียนตื่นเต้นที่ได้มีโอกาสใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยและสนใจอยากเรียนรู้ โดยเฉพาะระบบรดน้ำอัตโนมัติที่มาช่วยควบคุมทำให้ไม่เปลืองน้ำและรดได้ตรงจุดที่ต้องการเพราะเป็นพื้นที่แห้งแล้ง เด็ก ๆ จึงเก็บเกี่ยวผลผลิตได้มากขึ้น ซึ่งนอกเหนือจากความภูมิใจที่ได้รับประทานผลผลิตจากฝีมือตัวเองแล้ว ยังสามารถนำไปขายและมีรายได้เพิ่ม ได้เรียนรู้การทำงานเป็นทีมอีกด้วย โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีมากนักสำหรับโรงเรียน เพราะอาจารย์เองก็ไม่มีความเชี่ยวชาญเทคโนโลยีในด้านนี้ แต่เราอยากให้นักเรียนของเราได้เรียนรู้ เพราะสิ่งเหล่านี้คืออนาคตที่จะเข้ามาช่วยพวกเขาได้” นางสาววาสนา พรศิวกุลวงศ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ เล่าถึงความรู้สึกและผลที่ได้รับต่อการเข้าร่วมโครงการ CAT เพาะพันธุ์ดี

ขณะที่ ด.ช.ณัฐวัตร เทินสะเกช น้องโอม นักเรียนชั้น ม.2/2 และ น.ส.สุนิสา ทิขุนทด น้องเนย นักเรียนชั้น ม.4/1 ช่วยกันเล่าถึงการเข้าร่วมโครงการ CAT เพาะพันธุ์ดีว่า “ได้ลองใช้งานอุปกรณ์ IoT แล้วคิดว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์มาก ใช้งานได้ง่ายมาก เมื่อใช้ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ ช่วยให้กำหนดการทำงานได้เป็นระบบตามที่ต้องการ ไม่ต้องเดินรดน้ำหลายรอบเหมือนการดูแลแปลงผักแบบเดิม ผลผลิตมีคุณภาพดีกว่า ดีใจมากที่ได้เรียนรู้ อยากให้เกษตรกรทุก ๆ คน ได้เข้ามาเรียนรู้กันเยอะๆ เพราะมีประโยชน์จริง ๆ หากมีโอกาสก็อยากร่วมถ่ายทอดและแบ่งปันความรู้ด้านเกษตรอัจฉริยะ ให้ขยายออกไปอีก”

ในการส่งมอบเทคโนโลยี ‘เกษตรอัจฉริยะ’ ในโครงการ CAT เพาะพันธุ์ดี ให้กับโรงเรียนแห่งนี้ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ร้อยตรีหญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ผศ. อภิเนตร อูนากูล ประธานคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสังคมและ พันเอก สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ CAT นำคณะผู้บริหารในสังกัดของทั้งสองหน่วยงานเข้าร่วม แสดงถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจในการนำเทคโนโลยี IoT และองค์ความรู้สู่โรงเรียนในโครงการฯ
ร้อยตรีหญิง ระนองรักษ์ฯ กล่าวขอบคุณ CAT ที่เลือกโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรในพื้นที่
“นครราชสีมาเป็นจังหวัดใหญ่ มีประชาชนประกอบอาชีพเกษตรกรจำนวนมาก การมีต้นแบบให้ได้เรียนรู้ภายในพื้นที่จะสะดวกต่อการขยายผลให้ทั้งในชุมชนเอง บริเวณพื้นที่ใกล้เคียง เด็กนักเรียนก็จะนำไปบอกผู้ปกครองให้ทราบด้วย อยากให้ CAT ขยายเพิ่มเติมไปยังโรงเรียนอีก 8-10 โรงเรียนตามที่เราแบ่งไว้เป็น 6 กลุ่ม เพื่อเป็นตัวอย่างให้โรงเรียนทั้ง 58 แห่งได้ศึกษาเรียนรู้ เพราะได้เห็นแล้วว่าการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้อย่างเหมาะสมนั้นช่วยให้ประชาชนสะดวกขึ้น ลดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องจ้างแรงงาน เราสามารถควบคุมการรดน้ำ การให้ปุ๋ย พืชผลที่ออกมามีคุณภาพดีขึ้นชัดเจน ซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มรายได้และจะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้”

ส่วนพันเอก สรรพชัยฯ กล่าวถึงเจตนารมณ์ในการจัดทำ Smart Farm โดยใช้โครงข่าย LoRaWAN ในโครงการ CAT เพาะพันธุ์ดี ว่า CAT ดำเนินโครงการดังกล่าวในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ดูแลและให้บริการด้านสื่อสารโทรคมนาคมและดิจิทัลของประเทศ
“วัตถุประสงค์หลักของ CAT คือให้นักเรียนได้ใกล้ชิดและเข้าใจเทคโนโลยีในการนำมาใช้กับ Smart Farm เพราะบทบาทสำคัญของ CAT ประการหนึ่งก็คือการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศและช่วยให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีมากขึ้น การนำความรู้เข้าสู่โรงเรียนจะช่วยขยายผลถ่ายทอดต่อไปยังชุมชนได้อีกทางหนึ่ง โดยโครงการนี้ได้ดำเนินการให้แก่โรงเรียนต้นแบบในทุกภาครวมจำนวน 7 แห่งตั้งแต่ปี 2562 และ CAT จะขยายต่อไปอีก เรื่อย ๆ รวมทั้งวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ต่าง ๆ ขณะเดียวกันเราก็ยังคอยกลับมาดูแลโรงเรียนที่ดำเนินการไปแล้วให้สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง ในอนาคต CAT ตั้งใจว่าจะพัฒนาให้เป็นระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบที่ไม่ต้องใช้คนดูแล เพียงเราระบุชนิดของพืชที่ปลูก ระบบก็สามารถควบคุมและสั่งการในการดูแลอย่างเหมาะสมได้เองเลย และหวังว่าโครงการ CAT เพาะพันธุ์ดี จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคการเกษตรของประเทศมีความก้าวหน้าและยั่งยืนด้วยเทคโนโลยี IoT”
การดำเนินโครงการ ‘CAT เพาะพันธุ์ดี’ จึงไม่เพียงก่อให้เกิดประโยชน์ในการเรียนรู้ แต่ยังสัมผัสได้ถึงการนำมาซึ่งความหวังทั้งของอาจารย์และนักเรียนในโรงเรียนต้นแบบที่เข้าโครงการ โดยขอเอาใจช่วยให้โครงการดี ๆ เช่นนี้เดินหน้าและกระจายโอกาสสู่พื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างทั่วถึงตามที่ CAT ตั้งเป้าหมายไว้


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

หัวเว่ยเปิดตัวโซลูชัน HiCampus ยกระดับเครือข่ายองค์กร

ลอนดอน สหราชอาณาจักร/ 28 กุมภาพันธ์ 2563 – หัวเว่ย เปิดตัวโซลูชัน HiCampus ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีแถวหน้าอย่าง 5G, Optical Transmission และ AI ของหัวเว่ย ช่วยให้องค์กรสามารถเข้าถึงระบบเครือข่ายแบบไร้สาย เชื่อมโยงผ่านใยแก้วนำแสง และให้บริการเชิงอัจฉริยะครอบคลุมทุกเครือข่ายได้เต็มรูปแบบ ออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรสร้างเครือข่ายสำหรับอนาคต พร้อมมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้น ใช้พลังงานน้อยลง และรองรับนวัตกรรมที่ทำให้บริการต่าง ๆ รวดเร็วกว่าที่เคย

มร. ชิว เหิง ประธานฝ่ายการตลาด กลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ของหัวเว่ย กล่าวว่า “หัวเว่ยได้เปิดตัวโซลูชัน HiCampus เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานเครือข่ายองค์กรให้ดียิ่งขึ้น ผ่านนวัตกรรมที่หลากหลาย รวมถึง AirEngine Wi-Fi 6 ที่เสริมสมรรถนะด้วยเทคโนโลยี 5G ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงเครือข่ายขององค์กรได้แบบไร้สายอย่างเต็มรูปแบบ และโซลูชัน Campus OptiX ที่มอบการเชื่อมโยงเครือข่ายผ่านใยแก้วนำแสงได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตลอดจนเทคโนโลยี AI และ Horizon Digital Platform ที่ทำให้บริการต่าง ๆ รวมไปถึงการดำเนินการและดูแลรักษา (O&M) เครือข่ายได้แบบอัจฉริยะครบวงจร โซลูชัน HiCampus ตอกย้ำถึงเห็นข้อได้เปรียบอันยอดเยี่ยมของหัวเว่ยในด้านเทคโนโลยี 5G, Optical Transmission และ AI โซลูชันนี้ทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้เครือข่ายไร้สายด้วยความเร็วระดับ 100 Mbps ที่เชื่อมต่อได้เต็มประสิทธิภาพทั่วทุกพื้นที่ในองค์กร (Always-on) ทั้งยังลดการใช้พลังงานของเครือข่ายโดยรวมลงได้ราวร้อยละ 30 ในขณะเดียวกันก็เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกันได้ถึงร้อยละ 30 ซึ่งจะเร่งการทรานสฟอร์มเครือข่ายองค์กรสู่ระบบดิจิทัลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น”

เข้าถึงเครือข่ายแบบไร้สายเต็มรูปแบบ: ผลิตภัณฑ์ซีรีส์ AirEngine Wi-Fi 6 ที่เสริมสมรรถนะด้วยเทคโนโลยี 5G ของหัวเว่ย มอบอัตราการส่งข้อมูลด้วยความเร็วระดับ 10 กิกะบิต/วินาที ค่าความหน่วงต่ำเพียง 10 ms และให้รัศมีครอบคลุมที่กว้างขึ้นกว่ามาตรฐานในอุตสาหกรรมถึงร้อยละ 20 ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงเครือข่ายไร้สายคุณภาพสูงได้อย่างเต็มรูปแบบทั่วทั้งองค์กร

พร้อมกันนี้ หัวเว่ยยังได้เปิดตัว Access Point Wi-Fi 6 ใหม่อีก 10 รุ่น แบ่งเป็น 3 ซีรีส์ คือ AirEngine 8700, AirEngine 6700 และ AirEngine 5700 ครอบคลุมการใช้งานที่หลากหลายทั้งภายในและภายนอกอาคาร โดยผลิตภัณฑ์รุ่นเรือธง AirEngine 8760 ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเสาส่งสัญญาณ 5G แบบ 16T16R และความกว้างช่องสัญญาณแบนด์วิดท์ 160 MHz เพื่อเพิ่มอัตราการส่งข้อมูลสูงสุดถึง 10.75 กิกะบิต/วินาที สูงกว่ามาตรฐานประสิทธิภาพในอุตสาหกรรมถึง 2 เท่า นอกจากนี้ เสาอากาศอัจฉริยะ (Smart Antenna) ที่เสริมทัพด้วยเทคโนโลยี 5G ยังทำให้ AirEngine Wi-Fi 6 ของหัวเว่ย มีรัศมีการครอบคลุมของสัญญาณกว้างขึ้นถึงร้อยละ 20 และให้สัญญาณที่แรงขึ้นเท่าตัว (ในพื้นที่เดียวกัน) เมื่อเทียบกับมาตรฐานที่มีอยู่ในอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบที่สำคัญที่สุดขององค์กรจะเข้าถึงเครือข่าย Wi-Fi ได้ ผลิตภัณฑ์ AirEngine Wi-Fi 6 ของหัวเว่ย ใช้เทคโนโลยี SmartRadio ช่วยเพิ่มความเร็วและความแรงของสัญญาณ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งส่วนประกอบสำคัญที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ 5G ของหัวเว่ย และเป็นเทคโนโลยีที่มีความหน่วงเวลาต่ำระดับ Ultra-Low ซึ่งต่ำกว่า 10 มิลลิวินาที และน้อยกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรมถึงร้อยละ 50 ช่วยรับประกันประสบการณ์การใช้งานเครือข่ายที่ดีที่สุดสำหรับภารกิจที่สำคัญมากที่สุดขององค์กร ยิ่งไปกว่านั้น การใช้เทคโนโลยี Lossless Roaming ที่มีอยู่ใน SmartRadio ทำให้รับประกันได้ว่าจะไม่มีการสูญหายของข้อมูล (Zero Packet Loss) ในระหว่างการโรมมิ่งจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง พร้อมอัตราความสำเร็จของการโรมมิ่งที่ร้อยละ 100 เพื่อป้องกันการหยุดชะงักของการส่งข้อมูล

การผสานเทคโนโลยี 5G เข้ามาทำให้ผลิตภัณฑ์ AirEngine Wi-Fi 6 ของหัวเว่ย ไม่ได้เป็นแค่อุปกรณ์กระจายสัญญาณ (Access Point) เพราะสามารถรับประกันความต่อเนื่องในการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 ในระดับการใช้งานที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ผู้ใช้งานได้รับประโยชน์จากเครือข่ายไร้สายความเร็วระดับ 100 Mbps ได้ตลอดเวลาแบบ Always-on จากทุกพื้นที่ภายในองค์กร

เครือข่ายออปติคัลเต็มรูปแบบ: โซลูชัน Campus OptiX ช่วยลดความซับซ้อนของสถาปัตยกรรมเครือข่าย เพื่อประหยัดพื้นที่ในการติดตั้งอุปกรณ์และลดการใช้พลังงาน ช่วยให้ลูกค้าสร้างเครือข่ายองค์กรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ด้วยประสบการณ์และการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี Optical Transmission ในอุตสาหกรรมมานานกว่าทศวรรษ หัวเว่ยมีเป้าหมายที่จะช่วยจัดหาเครือข่ายองค์กรที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านบริการของลูกค้า ด้วยเหตุนี้ หัวเว่ยจึงได้รับรางวัล Gartner Peer Insights Customers’ Choice ในฐานะผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานระบบเครือข่ายทั้งแบบมีสายและแบบไร้สาย ประจำเดือนมกราคม ปี 2563 โซลูชันเครือข่าย Campus OptiX ช่วยให้เครือข่ายองค์กรกลายเป็นเครือข่ายออปติกอย่างเต็มรูปแบบ ติดตั้งใช้งานง่าย พัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง และมีระบบบริหารจัดการที่ชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ สถาบันการศึกษา โรงแรม สนามบิน และอื่น ๆ โซลูชันนี้ยังช่วยให้ลูกค้าสามารถนำเทคโนโลยีการเข้าถึงแบบออปติกชั้นนำระดับโลกของหัวเว่ยไปใช้งานในสถาปัตยกรรมเครือข่ายองค์กรได้ หรืออาจรวมไปถึงบริการคลาวด์และอุปกรณ์อัจฉริยะต่าง ๆ ได้ด้วย

โซลูชันเครือข่าย Campus OptiX ของหัวเว่ย ผนวกรวมข้อดีของสถาปัตยกรรมออปติคัลแบบเต็มรูปแบบและเครือข่าย IP เข้าไว้ด้วยกัน อาทิ IP Switch ที่มีประสิทธิภาพระดับ Ultra-Large และผลิตภัณฑ์ AirEngine Wi-Fi 6 (ที่ใช้พอร์ตออปติคัล) เพื่อรองรับช่องสัญญาณ (Bearer) ระดับ Ultra-Broadband Capability และตอบโจทย์ความต้องการใช้งานขององค์กรในช่วง 3 ทศวรรษข้างหน้าซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในอุตสาหกรรม สถาปัตยกรรมเครือข่ายแบบออปติคัลเต็มรูปแบบนี้จะช่วยลดพื้นที่การวางอุปกรณ์ อีกทั้งยังลดการใช้พลังงานของเครือข่ายโดยรวมลงได้อีกราวร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับเครือข่ายองค์กรแบบเก่าที่ต้องมี Aggregation Layer ขณะที่ Switching Capacity ของผลิตภัณฑ์ Core Switch รุ่นเรือธงของหัวเว่ยนั้น มีประสิทธิภาพสูงกว่าอุปกรณ์ประเภทเดียวกันในอุตสาหกรรมถึง 6 เท่า อีกทั้งยังสามารถขยายเพิ่มได้ตามต้องการ ตอบรับกับความต้องการขององค์กรในอนาคตอันใกล้ และปกป้องผลตอบแทนจากการลงทุนด้วย

นอกจากนี้ โซลูชันนี้ยังใช้ใยแก้วนำแสง หรือ Optical Fiber เป็นตัวกลางของเครือข่าย โดยไฟเบอร์ซึ่งทำจากซิลิคอนไดออกไซด์ จะมีอายุการใช้งานได้นานกว่าและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าสายเคเบิลทองแดง

บริการอัจฉริยะเต็มรูปแบบ: การบริหารจัดการเครือข่ายที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพิ่มประสิทธิภาพงานด้าน O&M โดยใช้เจ้าหน้าที่เพียงหนึ่งคนในการดูแลเครือข่ายทั้งหมดขององค์กร โดย Horizon Digital Platform จะช่วยให้การอัปเกรดการใช้งานเครือข่ายอัจฉริยะทำได้จากจุดเดียว (Single-scenario Campus Intelligence) ไปยังเครือข่ายรวม (Overall Campus Intelligence) ที่ให้การออกแอปพลิเคชันใหม่ ๆ และปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินการโดยรวมทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โซลูชัน HiCampus ใช้ eSight ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อดำเนินงานและบำรุงรักษาอุปกรณ์ดีไวซ์ต่าง ๆ ในเครือข่าย และปรับปรุงประสิทธิภาพ Wireless Radio Frequencies (RFs) ให้ดีขึ้นโดยอัตโนมัติตามการวิเคราะห์พฤติกรรมเครือข่ายในอดีตและโมเดลการเรียนรู้ ด้วยการใช้ eSight ลูกค้าจึงสามารถตรวจหาตำแหน่งความผิดพลาดได้มากกว่าร้อยละ 85 ภายใน 10 นาที ซึ่งช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพด้าน O&M ได้ถึงร้อยละ 80

เพื่อลดการหยุดชะงักของเครือข่าย ผลิตภัณฑ์ AirEngine Wi-Fi 6 ของหัวเว่ย ยังได้ใช้เสาสัญญาณสำหรับตรวจสอบแยกอิสระ ที่สามารถตรวจจับสัญญาณข้อมูลสภาพแวดล้อมได้อย่างแม่นยำ และระบบ iMaster NCE เพื่อยกระดับงานด้าน O&M ให้ขับเคลื่อนด้วย AI และกลายเป็นระบบอัจฉริยะทั่วทั้งเครือข่าย ซึ่งจะทำให้ตรวจสอบคุณภาพเครือข่ายได้แบบเรียลไทม์และปรับปรุงการทำงานของเครือข่ายได้โดยอัตโนมัติ เพื่อลดอัตราการผิดพลาดของเครือข่าย ด้วยวิธีนี้ เจ้าหน้าที่เพียงคนเดียวจึงสามารถดูแลจัดการเครือข่ายทั้งหมดขององค์กรได้

นอกจากนี้ เพื่อรองรับรูปแบบการใช้งานอื่น ๆ ของเครือข่ายในอนาคต เทคโนโลยีอย่างเช่น การจดจำเสียง การจดจำใบหน้า การจดจำภาพ การขับขี่อัตโนมัติ ตลอดจน Big Data Mining และ Knowledge Graph จะถูกนำมารวมเข้ากับระบบการดำเนินการและการจัดการเครือข่ายองค์กร ซึ่งจำเป็นต้องมีการผนวกรวมข้อมูล (Data Convergence), การผนวกรวมระบบ IT-OT (IT-OT System Convergence), การผนวกรวมบริการ และการสร้างบริการใหม่ ๆ ตามต้องการ (On-demand Service Innovation Enablement) ด้วยเหตุนี้ Horizon Digital Platform สำหรับองค์กร จึงได้รวม 10 เทคโนโลยีใหม่เข้าด้วยกัน ซึ่งรวมทั้ง AI, Big Data, และ IoT พร้อมให้บริการนับร้อยรายการ ครอบคลุมถึงสินทรัพย์ทางธุรกิจและสินทรัพย์ที่เป็นข้อมูลซึ่งรวบรวมจากแนวทางการให้บริการลูกค้าที่ประสบความสำเร็จ สิ่งนี้จะช่วยปรับปรุงความเร็วในการสร้างสรรค์บริการและประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กรได้เป็นอย่างมาก Horizon Digital Platform ซึ่งเป็นโซลูชันที่ผ่านการทดสอบการใช้งานมาเป็นอย่างดี จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันได้ถึงร้อยละ 30 เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการได้อีกร้อยละ 30 และลดการใช้พลังงานโดยรวมได้ถึงร้อยละ 10

จากข้อมูลวิจัยตลาดโดยกลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ของหัวเว่ย พบว่า กว่าร้อยละ 80 ของ GDP ทั่วโลก และกว่าร้อยละ 90 ของนวัตกรรมเกิดขึ้นบนเครือข่ายองค์กร ทำให้เครือข่ายกลายเป็นหลักสำคัญของโลกดิจิทัล โดยหัวเว่ยจะทำงานร่วมกับพันธมิตรในอีโคซิสเต็ม เพื่อช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด มีการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, O&M ที่มีประสิทธิภาพ และสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ยืดหยุ่นและคล่องตัวสูง ผ่านการใช้โซลูชัน HiCampus


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

DITP จับมือแพลตฟอร์มพันธมิตรชั้นนำ จัดกิจกรรม “Cross-Border e-Commerce Solutions & Business Matching” ณ กรุงเทพฯ

DITP จับมือแพลตฟอร์มพันธมิตรเร่งผลักดันผู้ประกอบการไทยขึ้นขายในร้าน TOPTHAI
บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำในต่างประเทศ

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์จับมือพันธมิตรออนไลน์ชั้นนำ ได้แก่ Kha-leang (ตลาด CLMV), Tmall Global Partner (ตลาดจีน), BigBasket (ตลาดอินเดีย) และ Amazon (ตลาดอเมริกา) จัดกิจกรรม “Cross-Border e-Commerce Solutions & Business Matching” ณ กรุงเทพฯ เพื่อต่อยอดการส่งเสริมผู้ประกอบการให้สามารถขายสินค้าสู่ตลาดต่างประเทศ ผ่านร้าน TOPTHAI บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าการจัดโครงการจับคู่เจรจาธุรกิจและส่งเสริมการขยายตลาดผ่านการค้าออนไลน์ข้ามพรมแดนหรือ Cross-Border e-Commerce Solutions & Business Matching มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถขยายธุรกิจระหว่างประเทศผ่านช่องทางออนไลน์ได้ ซึ่งปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 3 จึงมีความพิเศษคือจะเป็นการต่อยอดเพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพที่เข้าร่วมโครงการสามารถขึ้นขายสินค้าบนร้าน TOPTHAI ในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในตลาดเป้าหมาย อาทิ Kha-leang (ตลาด CLMV), Tmall Global Partner (ตลาดจีน), BigBasket (ตลาดอินเดีย) และ Amazon (ตลาดอเมริกา)

จุดแข็งของ TOPTHAI คือ ร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าท๊อปๆ จากไทยซึ่งผ่านการคัดสรรจากหน่วยงานของรัฐบาลทำให้เชื่อมั่นได้ว่า สินค้าจาก TOPTHAI จะเป็นสินค้าเกรดพรีเมี่ยมคุณภาพที่ดีจากไทย “สำหรับกลุ่มสินค้าจาก TOPTHAI มีหมวดสินค้าที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้ซื้อที่หลากหลาย อาทิ กลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภค กลุ่มสินแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ กลุ่มสินค้าสุขภาพและความงาม รวมทั้งสินค้าของใช้และของตกแต่งบ้านอีกด้วย ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลักดันผู้ประกอบการไทยในการทดลองตลาดออนไลน์ใหม่ๆ ในประเทศศักยภาพ อีกทั้งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการลงทุน ขณะเดียวกันยังสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้เห็นภาพรวมของตลาด e-Commerce เพื่อนำไอเดียและความต้องการของผู้บริโภคมาพัฒนาสินค้าของตนและนำไปจำหน่ายในอนาคต”

ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมีแผนในการรวบรวมสินค้าเพื่อจำหน่ายบนร้าน TOPTHAI ผ่านการดำเนินโครงการ Cross – Border e-Commerce Solutions & Business Matching
ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยการจัดงานในกรุงเทพมหานครจะมีขึ้นในวันอังคารที่ 3 มีนาคม 2563 ณ ห้องวิภาวดีบอลรูม C โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ ลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนสำรองที่นั่งล่วงหน้าได้ที่ www.pynx.net/ditp/ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
02 507 7858 หรือ 085 502 5391


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

CIBA_มธบ. ผนึก นิติ-เศรษฐศาสตร์ บูรณาการข้ามศาสตร์ บ่มเพาะทักษะผู้ประกอบการแบบครบเครื่อง ปั้นนักศึกษาสตาร์ทอัพรู้รอบด้าน

ผศ.ดร.ศิริเดช คำสุพรหม คณบดีวิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี (College of Innovative Business and Accountancy: CIBA) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) เปิดเผยว่า จากผลความสำเร็จของโครงการCIBA Mini Capstoneที่ได้ปลูกฝังแนวคิดและจิตวิญญาณความเป็นสตาร์ทอัพตั้งแต่ปีแรกและเข้มข้นขึ้นในทุกปีของการศึกษา ส่งผลให้ทีมนักศึกษาของธุรกิจบัณฑิตย์คว้ารางวัลระดับประเทศจากการแข่งขันในหลายรายการ อาทิ รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง จากโครงการประกวดนวัตกรรมข้อมูลเปิดภาครัฐ ปี 2562 (Thailand Data Innovation Awards 2019,DIA by DGA) ด้วยผลงานแอพพลิเคชั่น “J-Elder” ซึ่งช่วยผู้สูงอายุหางานได้ตรงตามคุณสมบัติ ตอกย้ำความสำเร็จของโครงการให้ขยายการดำเนินงานมากยิ่งขึ้น

สำหรับปีที่ 2 แนวทางการเสริมสร้างทักษะผู้ประกอบการให้กับนักศึกษามีเข้มข้นมากกว่าเดิม โดยโครงการ “CIBA Mini Capstone 2020 : Startup Teams & the Coach”ในปีนี้ จะเน้นพัฒนาทักษะเชิงบูรณาเพื่อการเป็นผู้ประกอบการสตาร์ทอัพแบบครบเครื่อง โดยนำศาสตร์สำคัญที่สตาร์ทอัพจำเป็นต้องรู้มาถ่ายทอดให้กับนักศึกษาผ่านทีมโค้ชผู้เชี่ยวชาญ ทั้งศาสตร์ด้านการจัดการ การบัญชี เศรษฐศาสตร์ และกฎหมาย (จากคณะนิติศาสตร์ปรีดีพนมยงค์) เพื่อให้นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ได้นำความรู้ทั้งหมดภายใต้รายวิชาแกนที่เกี่ยวข้องมาพัฒนาเป็นโครงงานธุรกิจฉบับมินิขึ้น ภายใต้โจทย์ผลิตภัณฑ์เพื่อไลฟ์สไตล์ประชากรยุค Thailand 4.0 โดยโครงงานของนักศึกษาที่เป็นดาวเด่นจะได้รับคัดเลือกจากโค้ชขึ้นประกวด “Prototype Pitching” บนเวที ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 3 มีนาคม 2563 เวลา 08.00-13.30 น. ณ ห้องประชุมปรีดีพนมยงค์ อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 6 ม.ธุรกิจบัณฑิตย์

โดยงานนี้มีผลงานแบบจำลองธุรกิจของนักศึกษาที่น่าสนใจมานำเสนอจำนวนไม่น้อย อาทิ

– ทีม Snowflake : Batique พริ๊นเตอร์ไฮเทค แถมหมึกลบได้ด้วย

– ทีม Let it go : Immer Spin กระจกอัจฉริยะสำหรับคนชอบส่องบนชีวิตเร่งรีบ

– ทีม Olaf : Supervise Watch นาฬิกาผู้ช่วยคนสูงวัย ปลอดภัย วางใจได้

– ทีม Wonder : Old Staff ไม้เท้าแสนรู้สุดไฮเทคคู่ใจผู้สูงอายุ

– ทีม Seven Swords (นศ.จีนหลักสูตร Bilingual): Parcel Locker ล๊อคเกอร์คู่บ้านรับของนำส่งแบบโล่งใจแม้ไม่อยู่บ้าน

“ปีนี้จะมีการบูรณาการร่วมกันกับหลักสูตรอื่นด้วยทั้งเศรษฐศาสตร์และนิติศาสตร์ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแบบองค์รวมของสตาร์ทอัพ เพราะการเป็นผู้ประกอบการ จะมีความรู้ด้านการบริหารจัดการ การตลาด การบัญชี เพียงเท่านี้ไม่ได้ ต้องรู้ครอบคลุมไปถึงกฎหมายหรือเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวกับธุรกิจด้วย ไม่ว่าจะเป็น การจัดตั้งบริษัท กฏหมายภาษี กฎหมายการจดสิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ การแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างผู้ร่วมทุน หรือมีกฎหมายอะไรบ้างที่เกี่ยวกับธุรกิจสตาร์ทอัพ ทางด้านเศรษฐศาสตร์ การเป็นสตาร์ทอัพก็ต้องรู้เรื่องของ Demand และ Supply ตรงจุดไหนที่ธุรกิจจะคุ้มทุน ความรู้เหล่านี้ก็ต้องมีด้วยเช่นกัน” ผศ.ดร.ศิริเดช กล่าว

ผศ.ดร.ศิริเดช กล่าวในตอนท้ายว่า มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ยืนหนึ่งเรื่องธุรกิจ โครงการ CIBA Mini Capstone จึงมุ่งหวังให้นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของ CIBA ได้ฝึกฝนการคิดเชิงวิเคราะห์ การออกแบบธุรกิจ การกำหนดกลยุทธ์ การประเมินความเป็นไปได้ทางธุรกิจ การบัญชีเบื้องต้น การวิเคราะห์เชิงเศรษฐศาสตร์ และการเตรียมตัวด้านกฎหมายเพื่อการจัดตั้งธุรกิจ ซึ่งต่างๆเหล่านี้ทางมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์พยายามปลูกฝังเข้าไปในตัวนักศึกษาเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการเป็นต้นแบบสตาร์ทอัพยูนิเวอร์ซิตี้


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

JST Group : บริษัทผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ บริการทางด้านเทคนิค เครื่องมือพิเศษ โดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ให้กับอุตสาหกรรมน้ำมัน ก๊าซ ปิโตรเคมี

JST Group : Innovation and Excellence ก่อตั้งมามากกว่า 40 ปี เพื่อให้บริการธุรกิจทางด้านการขุดเจาะในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซในประเทศไทย และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่ออุตสาหกรรมน้ำมันในภูมิภาคได้พัฒนาและเติบโตขึ้น JST ก้าวตามทันด้วยการสร้างองค์กรที่มีความยืดหยุ่น เพื่อการให้บริการทางด้านงานวิศวกรรม และตอบรับความต้องการของลูกค้าที่มีความต้องการเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายของบริษัท ทีมงานมืออาชีพ และผู้เชี่ยวชาญจึงได้ถูกเชิญเข้ามาร่วมทีมกับทางบริษัท ปัจจัยหลักที่ทำให้ JST ประสบความสำเร็จ คือ นโยบายในการพัฒนาผู้ที่มีความสามารถในท้องถิ่นให้มีความสามารถมากกว่ามาตรฐานสากล และสร้างเกณฑ์มาตรฐานใหม่แห่งความเป็นเลิศ ดังนั้น JST จึงสามารถให้บริการจัดหาผู้เชี่ยวชาญแก่ลูกค้าสากลด้วยราคาที่ประหยัด และสามารถเพิ่มมูลค่าให้แก่ลูกค้าได้ ปัจจุบัน JST ยังคงพัฒนาความแข็งแกร่งด้วยการเปิดสาขาทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้บริการอุปกรณ์พิเศษ และการบริการจัดหาคน (ทั้งคนท้องถิ่น และคนต่างชาติ) ให้กับอุตสาหกรรมน้ำมัน ก๊าซ และปิโตรเคมีทั่วโลก

JST สามารถให้บริการทางด้านต่างๆได้ ดังนี้;
JST Group was founded over 40 years ago to service the drilling sector of the oil & gas industry in Thailand and South-East-Asia. As the regional industry developed and grew, JST kept pace – building a flexible organization structure to provide key engineering services to support the increased sophistication of customer requirements. In order to pursue its goals, a team of professional and highly qualified experts was brought on board to manage the core activities of the company.A key factor in JST’s success has been its policy of cultivating local technical talents to reach and surpass international standards, setting new benchmarks for excellence. Consequently, JST is able to provide specialist technical services to international clients at low-cost and value-added rates. Now established as a major supplier of technical services, JST continues to go from strength to strength, with branch offices across South-East Asia providing specialist equipment and manpower services (both local and expatriate) to the oil, gas and petrochemical industries worldwide.
As a major supplier of technical products & services, including specialist equipment and services to the oil and gas, petrochemical and other industries across the region, JST provides;

1.Asset Integrity Services and Supply :
-Cathodic Protection Systems and Services / AC Mitigation systems and services / Asset Integrity Services and Supply
2.HR & Manpower Supply Services
3.Coating Services and Supply
4.HEAT Treatment Services
5.CAD Services
6.Industrial Sales and Services
7.Sub-Sea Abrasive Cutting Services
8.Inspection Services
9.Solid-liquid and liquid-liquid hydro-cyclone separators
10.Positive Displacement Pumps
11.Engineered Industrial Pipe Hangers and Supports
12. Marine equipments (อุปกรณ์ทางทะเล)
13. Aerial / Sub-Sea Survey (งานสำรวจทางอากาศและงานสำรวจใต้น้ำ)

JST GROUP : สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ Tel. 02-0228000 / E-Mail : jst@jst-group.com / Website : www.jst-group.com / https://www.facebook.com/JSTGroups/


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

กระหึ่มแน่นอน..! งานซับคอนไทยแลนด์ 2020

กระหึ่มแน่นอน..! งานซับคอนไทยแลนด์ 2020 เนื้อหอม นักธุรกิจญี่ปุ่นในกลุ่ม FACTORY NETWORK ASIA ระดมทัพบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนจากญี่ปุ่นทุกอุตสาหกรรมกว่า 150 ราย เข้าร่วมงาน คาดยอดจับคู่ธุรกิจและผู้ร่วมงานปีนี้เติบโตก้าวกระโดด

ซับคอนไทยแลนด์ งานแสดงชิ้นส่วนอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตเพื่อการจัดซื้อชิ้นส่วนและจับคู่ธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในภูมิ ภาคอาเซียนที่ได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายอันดับต้นๆ ที่เหมาะแก่การเป็นคู่ค้าในภาคอุตสาหกรรมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยนโยบายที่ชัดเจนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ให้การส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่มุ่งเน้นการส่งเสริม ด้านงานวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรมใหม่ รวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร ภาคการบริการ และการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พร้อมด้วยการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (New S-Curve) ที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการสนับสนุนการเติบโตด้านการลงทุนในไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสนับสนุนหรืออุตสาหกรรมรับช่วงการผลิต

นางสาวซ่อนกลิ่น พลอยมี ผู้อำนวยการกองพัฒนาและเชื่อมโยงการลงทุน (กพช.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยว่า การจัดงานซับคอนไทยแลนด์ในปีนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมสนับสนุนในประเทศไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมทั้งจัดกิจกรรมเชื่อมโยงและจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยกับคู่ค้าระดับโลก เพื่อให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย โดยปีนี้งานซับคอนไทยแลนด์ได้มีพันธมิตรใหม่ ได้แก่ กลุ่ม FACTORY NETWORK ASIA ได้เชิญบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนชาวญี่ปุ่นทั้งบริษัทผู้ซื้อและผู้ขายชาว เข้าร่วมงานจำนวน 150 ราย จากหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายในการพัฒนาของไทย (New S-Curve) อาทิ อุตสาหกรรมการบิน อุตสาหกรรมยานยนต์เพื่ออนาคต อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติ เป็นต้น เข้ามาร่วมสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในการจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) เป็นปีแรก
“การผนึกกำลังครั้งนี้จึงเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับทั้งสองประเทศ และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับกลุ่มผู้ซื้อที่มีจากหลายประเทศทั่วโลกที่ได้รับคำเชิญจากบีโอไอ คาดการณ์ว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะสามารถเพิ่มยอดการจับคู่ทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทย และผู้ซื้อจากประเทศต่างๆ ได้ไม่น้อยกว่า 10 ถึง 15%” นางสาวซ่อนกลิ่นกล่าว
ทั้งนี้ การจัดงานซับคอนไทยแลนด์ ในปี 2019 ที่ผ่านมา มียอดการจัดคู่ธุรกิจทั้งสิ้น 8,029 คู่ คิดเป็นมูลค่า 14,098 ล้านบาท มั่นใจว่าหลังจากสิ้นสุดการจัดงานซับคอนไทยแลนด์ 2020 ประเทศไทยจะก้าวสู่การเป็นผู้นำศูนย์กลางการจัดซื้อชิ้นส่วนอุตสาหกรรมระดับโลก (Global sourcing destination) คาดว่าจะเกิดการจับคู่ธุรกิจภายในงานถึง 9,000 คู่ มีมูลค่าการเชื่อมโยงมากกว่า 16,000 ล้านบาท
มร.โยอิจิ อินุอิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แฟคทอรี เน็ตเวิร์ค เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า Factory Network Asia เป็นกลุ่มบริษัทธุรกิจด้านการบริการจับคู่ธุรกิจผ่านช่องทางต่าง ๆ อาทิ เว็บไซต์ นิตยสาร FNA U-Machine และงานจับคู่ธุรกิจ ซึ่งในปีนี้มีกว่า 150 บริษัทในเครือข่ายมาเข้าร่วม โดยการเข้าร่วมงานซับคอนไทยแลนด์ในปีนี้มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของ บริษัทอินฟอร์มาฯ ที่มีความเชี่ยวชาญ และมีการทำงานอย่างมืออาชีพ อีกทั้งเรามองเห็นความสำเร็จอย่างต่อเนื่องจากงานซับคอนไทยแลนด์ ที่มีผลงานการจับคู่ทางธุรกิจระหว่างผู้ผลิต และ ผู้ซื้อ เติบโตก้าวกระโดดทุกปีด้วยศักยภาพในการเชิญบริษัทผู้ผลิตจากประเทศต่างๆมาร่วมงาน โดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการในกลุ่มของเรา FACTORY NETWORK ASIA ได้พบปะกับผู้ประกอบการชาวไทย และได้มีโอกาสจับคู่ธุรกิจกันเองภายในงานอีกด้วย มั่นใจว่าการเข้าร่วมงานซับคอนไทยแลนด์ของกลุ่ม จะสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในการจัดงานแสดงอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตเพื่อการจัดซื้อชิ้นส่วนอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ ที่ก่อให้เกิดสายสัมพันธ์ทางธุรกิจที่แน่นแฟ้น และยั่งยืน ระหว่างไทยกับ ญี่ปุ่น อย่างแน่นอน
นางสุกัญญา อมรนุรัตน์กุล ผู้จัดการฝ่ายบริหารโครงการอาวุโส อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เปิดเผยว่า การจัดงาน อินเตอร์แมค – เอ็มทีเอ เอเชีย 2020 ครั้งที่ 37 ซึ่งเป็นการจัดงานคู่ขนานไปกับงานซับคอนไทยแลนด์ ปีนี้ผู้มาร่วมงานจะได้มีโอกาสอัพเดทเทรนด์การผลิตด้วยระบบอัจฉริยะควบคู่ไปด้วย ซึ่งไฮไลท์สำคัญในปีนี้ คือ โซน iAR – Industrial Automation and Robotic show 2020 พื้นที่จัดแสดงสายการผลิตหลากหลายมิติที่ก้าวหน้าด้วยระบบอัตโนมัติ พร้อมระบบสั่งการอัจฉริยะที่โชว์การผลิตแบบเรียลไทม์ จำลองสถานการณ์จากโรงงานผู้ผลิตจริง ในโซน SMART Manufacturing Technology และ(Ro)Bot Hub จากบริษัทผู้เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้าของเมืองไทย รวมไปถึงการแสดงเทคโนโลยีเครื่องจักร ระบบอัตโนมัติ ซอฟท์แวร์ หุ่นยนต์แขนกล จากบริษัทชั้นนำ ทั่วโลก คาดการณ์ว่าปีนี้ จะมีเครื่องจักรร่วมงานกว่า 1,200 แบรนด์ จาก 45 ประเทศ 800 บริษัท บนพื้นที่กว่า 38,000 ตารางเมตร คาดว่าจะมีผู้ประกอบการทั้งในไทยและต่างประเทศเข้าร่วมงานกว่า 45,000 ราย
นางสาวซ่อนกลิ่น กล่าวทิ้งท้ายว่า งานซับคอนไทยแลนด์ปีนี้ นอกจากกิจกรรมจับคู่ธุรกิจซึ่งเป็นกิจกรรมหลักแล้ว ในปีนี้ยังมีบริษัทชั้นนำระดับโลกกว่า 100 บริษัท จากหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมตอบรับเข้าร่วมงาน อีกทั้งยังมีโซนจัดแสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อแสดงศักยภาพของคนไทยในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และการจัดสัมมนาที่เน้นการยกระดับขีดความสามารถผู้ประกอบการไทยต่างๆ อีกมากมาย

งานซับคอนไทยแลนด์ 2020 งานแสดงอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตเพื่อการจัดซื้อชิ้นส่วนอุตสาหกรรมและงานจับคู่ธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน เป็นการร่วมจัดโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย และ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เป็นงานจัดคู่ขนานไปกับ งานอินเตอร์แมค-เอ็มทีเอ 2020 จะจัดขึ้นในวันพุธที่ 13 ถึง เสาร์ที่ 16 พฤษภาคม 2563 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา สนใจติดต่อจองพื้นที่จัดงาน และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.subconthailand.com


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

รุกจัดงานรับสร้างบ้าน Focus 2020 ดึงบริษัทรับสร้างบ้านกว่า 30 บริษัท อัดโปรโมชั่นกระตุ้นตลาด

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน รุกจัดงานรับสร้างบ้าน Focus 2020 พบมืออาชีพของการสร้างบ้าน ดึงบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำกว่า 30 บริษัทร่วมแสดงงาน พบแบบบ้านให้เลือกกว่า 1,000 แบบ และบ้านทุกระดับราคา 1 – 100 ล้านบาท มั่นใจแม้เศรษฐกิจจะยังไม่ดี แต่ไม่กระทบผู้บริโภคมากนัก เชื่อกำลังซื้อยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง คาดยอดขายในงานไม่ต่ำกว่า 1,200 ล้านบาท

นายวรวุฒิ กาญจนกูล นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการกระตุ้นตลาดรับสร้างบ้านในไตรมาสที่ 1 ของปี 2563 สมาคมฯ เตรียมจัดงาน รับสร้างบ้าน Focus 2020 ขึ้นในระหว่างวันที่ 12-15 มีนาคม 2563 ณ ศูนย์แสดงสินค้า อิมแพค ฮอลล์ 7 เมืองทองธานี โดยภายในงานจะเป็นการแสดงงานของ บริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำที่เป็นสมาชิกสมาคม จำนวนกว่า 30 บริษัท ซึ่งคาดว่าในปีนี้แต่ละบริษัทจะเตรียมจัดโปรโมชั่นกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงต้นปีกันอย่างคึกคักแน่นอน หลังจากที่ในช่วงไตรมาสที่ 3 – 4 ตลาดรับสร้างบ้านเริ่มมีกำลังซื้อเข้ามาเพิ่มขึ้น ทำให้คาดว่าในช่วงต้นปียังคงมีกำลังซื้อที่รอการตัดสินใจอยู่เป็นจำนวนมาก ถึงแม้ว่าในช่วงนี้จะมีข่าวที่กระทบต่อกำลังซื้อเข้ามามากก็ตาม

“ตลาดรับสร้างบ้านได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจเหมือนภาคธุรกิจอื่น ๆ เช่นกัน แต่กำลังซื้อในตลาดนี้ โดยเฉพาะบ้านตลาดกลางและบน ได้รับผลกระทบไม่มากนัก กลุ่มผู้บริโภคกลุ่มนี้มีเงินออมสูง จึงทำไห้ตลาดโดยรวมยังคงพอจะขยายตัวได้ การจัดงานในครั้งนี้เชื่อว่ายังมีผู้บริโภคที่มีความสนใจจะเข้ามาชมงานเป็นจำนวนมากเช่นเคย” นายวรวุฒิ กล่าว

นายวรวุฒิ กล่าวต่อไปว่า สำหรับงานรับสร้างบ้าน Focus ในปีนี้มาด้วย Theme Concept “พบมืออาชีพของการสร้างบ้าน” โดย ไฮไลท์หลักของงานคงเป็นเรื่องของ แบบบ้าน ที่แต่ละบริษัท มีการออกแบบใหม่ และคัดสรรแบบบ้านสวย ๆ หลากสไตล์ตามความต้องการของผู้บริโภค มากกว่า 1,000 แบบ มาจัดแสดง พร้อมด้วยบริการระดับมืออาชีพที่จะให้บริการตั้งแต่การออกแบบบ้าน การก่อสร้างที่ได้มาตรฐานที่ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่า สร้างบ้านแล้วต้องได้บ้าน พร้อมการรับประกันและให้บริการหลังการขาย ซึ่งถือเป็นโอกาสดีของผู้บริโภคที่จะได้พบกับกับบริษัทรับสร้างบ้านระดับคุณภาพพร้อมกันภายในงานเดียว

นอกจากแบบบ้านที่มีให้เลือกจำนวนมากแล้วภายในงานยังมีบ้านระดับราคาต่าง ๆ ให้เลือกตั้งแต่ 1 – 100 ล้านบาท พร้อมด้วยโปรโมชั่นสุดพิเศษของแต่ละบริษัทภายในงาน นอกจากนี้ผู้ที่จองปลูกสร้างบ้านภายในงานยังมีโอกาสในการลุ้นรับทองคำมูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท อีกด้วย โดยงานรับสร้างบ้าน Focus 2020 ในปีนี้ สมาคมฯ ตั้งเป้ายอดขายภายในงานไว้ 1,200 ล้านบาท และคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานไม่น้อยกว่า 10,000 คน ถึงแม้ว่าในช่วงนี้เศรษฐกิจโดยภาพรวมอาจจะถือว่าไม่ดีนัก แต่ทางสมาคมฯ ยังคาดว่ากำลังซื้อในตลาดรับสร้างบ้านคงไม่ลดลงมากนัก และคาดว่าเป้าหมายการเติบโตของมูลค่าตลาดรวมในปีนี้น่าจะยังคงเป็นไปได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 12,000 – 12,300 ล้านบาท


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์” จับมือ “โรงแรมรอยัลซิตี้” ร่วมลงนาม MOU ติดตั้งลิฟต์โดยสารมิตซูบิชิ

มร.มุเนะฮิซะ โอกะโมะโตะ กรรมการผู้จัดการ และ นายสุพัตถ์ จารุศร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำในธุรกิจลิฟต์และบันไดเลื่อน ร่วมลงนามในสัญญากับ นางสาวนลินธร สกุลชัยวาณิขย์ กรรมการบริหาร และ นางวิลาวัลย์ กุลวงศ์วรพัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการ โรงแรมรอยัลซิตี้ เพื่อติดตั้งลิฟต์โดยสาร “มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ ภายใน โรงแรมรอยัลซิตี้ จำนวน 7 เครื่อง ณ ห้องลิฟวิ่งรูม

สำหรับ โรงแรมรอยัลซิตี้ อยู่ในศูนย์กลางธุรกิจของ กรุงเทพฯ และ ฝั่งธนบุรี ห้องพักเห็นทิวทัศน์สวยงามรอบกรุงเทพฯ อีกทั้ง ยังอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ หลายแห่ง อาทิ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร, พิพิธภัณฑ์เรือพระราชพิธี, พระบรมมหาราชวัง, วัดโพธิ์, วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นต้น ตลอดทั้งปี มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและชาวไทย เข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ มั่นใจในลิฟต์โดยสาร “มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์” เพื่ออำนวยความสะดวกและยกระดับมาตรฐานในการบริการในระดับสากล


 

Exit mobile version