Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

หัวเว่ยเผยผลประกอบการประจำปี 2562

เซิ่นเจิ้น ประเทศจีน/ 31 มีนาคม 2563 – หัวเว่ย เผยผลประกอบการประจำปี 2562 ด้วยผลการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยมีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 858.8 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 19.1% จากปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิแตะ 62.7 พันล้านหยวน พร้อมเงินสดจากการดำเนินงานสูงถึง 91.4 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 22.4% จากปีก่อนหน้า ในฐานะส่วนหนึ่งของแผนการลงทุนด้านนวัตกรรมและการวิจัยเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องในระยะยาว หัวเว่ยใช้เงินลงทุน 15.3% ของรายได้ตลอดปี 2562 หรือ 131.7พันล้านหยวน ในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) โดยงบด้าน R&D ที่ลงทุนไปแล้วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้นมากกว่า 600 พันล้านหยวน

“ปี 2562 เป็นปีที่พิเศษสำหรับหัวเว่ย” มร. อีริค สวี ประธานบริษัท หมุนเวียนตามวาระ ของหัวเว่ย กล่าว “แม้จะมีแรงกดดันมหาศาลจากภายนอก ทีมของเราก็ยังก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวคือเพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้าของเรา เราทำงานกันอย่างหนักเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากลูกค้า และจากพันธมิตรทั่วโลก ธุรกิจของเรายังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง”

ในปี 2562 ธุรกิจโทรคมนาคมของหัวเว่ยเป็นผู้นำในการติดตั้งเครือข่าย 5G เชิงพาณิชย์ และเพื่อให้เกิดความแพร่หลายของการใช้งานเชิงพาณิชย์และส่งเสริมนวัตกรรมใหม่ ๆ จากการใช้ 5G บริษัทได้ก่อตั้งศูนย์นวัตกรรมความร่วมมือด้าน 5G ร่วมกับผู้ประกอบการด้านโทรคมนาคมทั่วโลก โซลูชันสถานีฐาน RuralStar ของหัวเว่ย สามารถแก้ปัญหาการครอบคลุมของสัญญาณในพื้นที่ห่างไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการใช้งานในกว่า 50 ประเทศ ช่วยให้ประชากรในถิ่นทุรกันดารกว่า 40 ล้านคนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้จากโทรศัพท์มือถือ ในปี 2562 รายได้จากการขายในกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมของหัวเว่ยพุ่งสูงถึง 296.7 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 3.8% จากปีก่อนหน้า

ธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ของหัวเว่ยยังคงสนับสนุนการทรานสฟอร์มด้านดิจิทัลของลูกค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไปพร้อมกับการช่วยวางรากฐานสำหรับโลกดิจิทัล ทั่วโลกมีเมืองกว่า 700 แห่ง และบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ชั้นนำ 228 รายในทำเนียบ Fortune Global 500 ได้เลือกหัวเว่ยเป็นพันธมิตรในการทรานสฟอร์มด้านดิจิทัลขององค์กร ในปี 2562 หัวเว่ยได้ประกาศกลยุทธ์คอมพิวติ้ง ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมหน้าดินสำหรับการปลูกเมล็ดพันธ์แห่งโลกอัจฉริยะให้เติบโต ภายใต้กลยุทธ์ดังกล่าว บริษัทได้เปิดตัว Ascend 910 โปรเซสเซอร์ AI ที่เร็วที่สุดในโลก และคลัสเตอร์สำหรับการเทรน AI ชื่อ Atlas 900 ในปี 2562 รายได้ยอดขายของกลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ของหัวเว่ยแตะ 89.7 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 8.6% จากปีก่อนหน้า

ในส่วนธุรกิจคอนซูเมอร์ หัวเว่ยยังคงเห็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยยอดส่งมอบสมาร์ทโฟนทั้งสิ้น 240 ล้านเครื่องตลอดปี บริษัทได้รายงานความก้าวหน้าต่อเนื่องของการพัฒนาอีโคซิสเต็มชีวิต AI แบบไร้รอยต่อ (Seamless AI Life) ครอบคลุมทุกสถานการณ์การใช้งานและอุปกรณ์ รวมทั้งคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล แท็บเล็ต อุปกรณ์สวมใส่ และสมาร์ทสกรีนต่าง ๆ ในปี 2562 รายได้ยอดขายจากธุรกิจคอนซูเมอร์พุ่งสูงแตะ 467.3 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 34% จากปีก่อนหน้า

“ในอนาคตข้างหน้า ปัจจัยภายนอกจะมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นไปอีก” มร. อีริค สวี กล่าวเตือน “เราต้องพัฒนาความได้เปรียบของผลิตภัณฑ์และบริการของเราให้ล้ำไปข้างหน้า ส่งเสริมนวัตกรรมแบบเปิด และสร้างคุณค่าให้ลูกค้าและสังคมโดยรวมของเราให้มากยิ่งขึ้น นี่เป็นเหตุผลเดียวที่เราจะฉวยโอกาสแห่งประวัติศาสตร์ครั้งนี้ อันเกิดขึ้นจากการทรานสฟอร์มสู่ดิจิทัลและความเป็นอัจฉริยะของอุตสาหกรรมต่าง ๆ และรักษาการเติบโตอันแข็งแกร่งนี้ไว้ในระยะยาว”

งบการเงินในรายงานประจำปี 2562 ได้รับการตรวจสอบโดย KPMG ซึ่งเป็นบริษัทด้านการบัญชีรายใหญ่ระดับบิ๊กโฟร์ (Big Four) หากต้องการดาวน์โหลดรายงานประจำปี 2562 โปรดคลิกที่ www.huawei.com/en/press-events/annual-report/2019


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

OfficeMateFreeDelivery สนับสนุน Social Distancing พร้อมเคียงข้างเพื่อนในยามที่ห่างออฟฟิศ

‘OfficeMate’ ชื่อของเราประกอบไปด้วย ‘Office’ และ ‘Mate’
เราอยู่คู่กับธุรกิจไทยมา 25 ปี ตั้งใจเป็น ‘เพื่อน’ ที่ไว้ใจได้เสมอของทุก ‘ออฟฟิศ’
ในทุกช่วงเวลาและทุกสถานการณ์ แม้ในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19
ที่ ‘เพื่อนๆ ของเรา’ ห่างจาก ‘ออฟฟิศ’
#คุณห่างออฟฟิศแต่ออฟฟิศเมทขอเคียงข้างคุณ

ออฟฟิศเมทขออาสาเคียงข้างทุกธุรกิจสู้วิกฤตการณ์ไวรัสโควิด-19 พร้อมสนับสนุน Social Distancing ด้วยโซลูชั่น #OfficeMateDelivery ส่งฟรีถึงบ้าน* แบบไม่มีขั้นต่ำการสั่งซื้อ ระหว่างวันที่ 23 มี.ค. 63 – 12 เม.ย. 63 (ตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด) ให้ทุกคน Work From Home ได้อย่างสบายใจ ขาดเหลืออะไรก็ไม่ต้องกังวล…เพราะเราพร้อมส่งสินค้าที่จำเป็นสำหรับการทำงานและการอยู่ติดบ้านอย่างปลอดภัยและมีความสุข โดยที่ลูกค้าไม่ต้องเสี่ยงเดินทาง ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 

ให้คุณหนีโควิด…ไปพิชิตงานที่บ้าน!!! ด้วยไอเท็มที่ต้องเตรียมให้ครบ เพื่อ “Work From Home” ให้เวิร์คและมีประสิทธิภาพ ออฟฟิศเมทมีครบและครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้า ทั้งเฟอร์นิเจอร์ โต๊ะและเก้าอี้สำหรับเซตมุมทำงาน อุปกรณ์ไอที โน้ตบุค ปริ้นเตอร์ หมึกพิมพ์ เม้าส์ ปลั๊กไฟ Wireless Router, External Harddisk หูฟังพร้อมไมค์ และไอทีแกดเจ็ทอื่นๆ ให้พร้อมทั้งทำงานและประชุมออนไลน์ อีกทั้งยังมีเครื่องเขียนเครื่องใช้ต่างๆ เช่น กระดาษ สมุด ปากกา แฟ้ม เครื่องเย็บ ซองเอกสาร และสินค้าจำเป็นอื่นๆ แบบครบชนิด

ให้คุณ “สุขติดบ้าน” ด้วยของกินของใช้มากมาย ที่ช่วยให้ลูกค้าอยู่บ้านอย่างมีความสุขและปลอดภัย (Safe at Home) ตามคอนเซ็ปต์ “ทำงานที่ไหนก็ได้…แต่ห้องจะหิวไม่ได้!!!”
•  ของกิน: น้ำดื่ม น้ำผลไม้ น้ำชง ชากาแฟ โกโก้ นม เครื่องดื่มสมุนไพร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และขนมขนบเคี้ยว ลูกอม และช็อกโacกแลต
•  ของใช้: เครื่องชงกาแฟ เครื่องปั่น หม้อหุงข้าว เครื่องปิ้งขนมปัง อุปกรณ์ทำความสะอาด น้ำยาฆ่าเชื้อ กระดาษทิชชู่ และอื่นๆ อีกมากมาย


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

สสส. หนุน “ทต.พุเตย” ผนึกกำลังทุกหน่วยงาน ตั้งศูนย์ “โควิด-19” บล็อกไม่ให้โควิด-19 เข้าสู่ชุมชน เคร่งครัดสวมหน้ากาก ล้างมือ กักตัว 14 วัน

นางจินตนา ทองใจสด นายกเทศมนตรีตำบลพุเตย อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ 1 ใน 55 ศูนย์จัดการเครือข่ายสุขภาวะชุมชน (ศจค.) ภายใต้การสนับสนุนของสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สำนัก 3) สำนักงานกองทุนสนับสุนการสร้างเสริมสขภาพ (สสส.) กล่าวถึงแผนรับมือกับโควิด-19 ในพื้นที่ว่า หลังทราบถึงการแพร่ระบาดเกี่ยวกับโควิด-19 ก็เริ่มประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านรับรู้ เพื่อสร้างความเข้าใจ และป้องกันตัวเองในเบื้องต้น เมื่อเริ่มเห็นตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มขึ้น จึงตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังการระบาดไวรัส โควิด-19 เพื่อเตรียมรับมือ โดยศูนย์เฝ้าระวังฯดังกล่าว เป็นการทำงานร่วมกันของเทศบาล โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) อสม. กรรมการชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และตำรวจ โดยมีศูนย์เฝ้าระวังฯ ทำหน้าที่เป็นศูนย์อำนวยการวางแผน ติดตาม การเฝ้าระวังการระบาด จัดทำแผนปฏิบัติการ ใช้สื่อประชาสัมพันธ์รณรงค์เพื่อให้เกิดการตระหนักและเข้าใจ เช่น ใช้เสียงตามสายเน้นย้ำวันละ 3 เวลา สื่อแผ่นพับแจกชาวบ้าน ใช้การสื่อสารผ่านสื่อโซเชียล อย่าง FB และ Line จัดทำป้ายประชาสัมพันธ์ในพื้นที่เพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจยิ่งขึ้น

“เราจะมีการประชุมสรุปรายงานผลทุกวัน ผ่านการสื่อสารทางไลน์กลุ่มของคณะทำงาน แบ่งงานกันทำตามบทบาทหน้าที่ เทศบาลจะเป็นจุดอำนวยการ วางแผนการทำงาน ขณะเดียวกัน รพ.สต. และ อสม. จะลงพื้นที่ให้ความรู้ร่วมกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการชุมชน และชาวช้านจะช่วยกันเฝ้าระวังในพื้นที่ของตัวเอง ถ้ามีใครเข้ามาในหมู่บ้านก็จะต้องแจ้งหรือรายงานให้ผู้ใหญ่บ้านทราบก่อนเลย” นางจินตนา กล่าว

นางจินตนา กล่าวต่อว่า สำหรับพื้นที่ในการดูแลของเทศบาลตำบลพุเตย มีทั้งหมด 9 ชุมชน 6 หมู่บ้าน ประชากรรวม 7,800 คน แต่มีคนที่อยู่ในพื้นที่จริงประมาณ 3,000 คน ที่เหลือก็ออกไปทำงานนอกพื้นที่ จากการเฝ้าระวังที่ผ่านมา ยังไม่พบผู้ป่วยไวรัสโควิด-19 แต่มีเคสที่ต้องเฝ้าระวังและกักตัวไว้ 14 วัน แบ่งเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่กลับมาจากต่างประเทศ คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา แอฟริกาใต้ เกาหลี และ ญี่ปุ่น 7 ราย ซึ่งพ้นกำหนดการกักตัว 14 วันไปแล้ว 5 ราย ยังคงเหลืออีก 2 รายที่ต้องเฝ้าระวังต่อ ส่วนอีกกลุ่มเป็นผู้ที่เดินทางกลับมาจากกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ข้อมูล ณ วันที่ 22 มีนาคม 2563 มีจำนวน 67 ราย ขณะนี้ยังต้องกักตัวเอง 14 วัน เพื่อเฝ้าดูอาการ และทุกวันก็จะมี อสม. รพ.สต. กำนัน และ ผู้ใหญ่บ้าน ลงไปตรวจเยี่ยมวัดไข้

“การกักตัวและเฝ้าดูอาการทำทั้งการแยกห้อง ใส่หน้ากาก แยกจาน ชาม ทานอาหารแยกกับครอบครัว และถ้าเป็นไปได้ก็ให้อยู่เฉพาะในห้องตัวเอง ซึ่งทุกคนก็ให้ความร่วมมือ เพราะที่ผ่านมาเคยมีกรณีไม่ให้ความร่วมมือ เจ้าหน้าที่ก็ลงพื้นที่และนำตำรวจลงไปช่วยเจรจา ทำความเข้าใจ ตอนนี้ชาวบ้านและผู้นำชุมชน ช่วยกันเฝ้าระวัง ไม่ออกนอกบ้านโดยไม่จำเป็น หากไปซื้อของในตลาดสด ถ้าใครไม่สวมหน้ากากอนามัย แม่ค้าจะไม่ขายของให้ ชาวบ้านที่นี่จึงสวมหน้ากาก และ หมั่นล้างมือ เพราะ เขากลัวกัน ส่วนสภาพในหมู่บ้านตอนนี้ เงียบ ทุกคนพยายามอยู่ในบ้าน ระมัดระวัง เพราะกลัว เขาก็ปฏิบัติตัวกันอย่างเคร่งครัด ทั้งคณะกรรมการหมู่บ้าน หมอ อสม.ทำงานหนักมาก แต่ก็ช่วยกันทุกคน เพื่อให้ผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปให้ด้วยกัน.”นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลพุเตย กล่าว


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

INEX ชวนคุณช็อปอยู่บ้านรับส่วนลด 15 เปอร์เซ็นต์ กับสินค้าสำหรับนักประดิษฐ์และเมกเกอร์ทุกระดับ

INEX ตอบรับมาตรการ “อยู่บ้านเพื่อชาติ” จัดโปรโมชั่นพิเศษพร้อมงานสัปดาห์หนังสือออนไลน์ มอบส่วนลด 15% ทุกสินค้าแบบไม่มีเงื่อนไข ตั้งแต่ 25 มีนาคม ถึง 2 เมษายน 2563

อาจเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับนักประดิษฐ์ที่มีความจำเป็นต้องอยู่กับบ้านในช่วงกักตัว หรือต้องทำงานที่บ้านเนื่องจากการประกาศ พรก. ฉุกเฉิน

ดังนั้นเรามาเปลี่ยนวิกฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาส เสริมสร้างทักษะกับสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ ไปกับสื่อการเรียนรู้ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ ไมโครคอนโทรลเลอร์ และหุ่นยนต์ กับส่วนลด 15% เพียงกรอกรหัสคูปองส่วนลด bf2020 ในหน้าตะกร้าสินค้าที่ www.inex.co.th เท่านั้น


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

หัวเว่ยยื่นจดสิทธิบัตรมากที่สุดในยุโรป

บริษัทเทคยักษ์ใหญ่ครองอันดับหนึ่งด้วยยอดสิทธิบัตรที่ขอจดทะเบียนทั้งสิ้น 3,524 ฉบับ
ตอกย้ำว่าวงการสื่อสารดิจิทัลอยู่ในช่วงขาขึ้น ด้วยการต่อยอดนวัตกรรมจากเทคโนโลยี 5G

กรุงเทพฯ/ 27 มีนาคม 2563 – บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ส์ จำกัด ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งผู้ขอจดสิทธิบัตรรายใหญ่ที่สุดในยุโรปประจำปี 2562 ตามข้อมูลจากรายงานล่าสุดของสำนักงานสิทธิบัตรยุโรป (European Patent Office – EPO) โดยหัวเว่ยเป็นบริษัทจีนเพียงรายเดียวที่ก้าวขึ้นตำแหน่งสูงสุดนี้ หัวเว่ยได้ยื่นขอจดทะเบียนสิทธิบัตรทั้งสิ้น 3,524 ฉบับในปี 2562 นำห่างซัมซุง (2,858 ฉบับ) แอลจี (2,817 ฉบับ) ยูไนเต็ด เทคโนโลยี่ส์ (2,813 ฉบับ) และซีเมนส์ (2,619 ฉบับ) ที่ตามมาในลำดับที่สอง สาม สี่ และห้า ตามลำดับ

จากจำนวนสิทธิบัตรทั้งสิ้น 3,524 ฉบับที่หัวเว่ยขอขึ้นทะเบียนในปี 2562 ร้อยละ 64 จัดอยู่ในกลุ่มการสื่อสารดิจิทัล ร้อยละ 12 อยู่ในกลุ่มโทรคมนาคม และอีกร้อยละ 11 อยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ มร. ยาน เมนิแยร์ หัวหน้าทีมนักเศรษฐศาสตร์ของ EPO เผยว่า การสื่อสารดิจิทัลเป็นกลุ่มที่มีการขอยื่นจดทะเบียนสิทธิบัตรมากที่สุดในปี 2562 สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาอันรวดเร็วของเทคโนโลยี 5G

บริษัท หัวเว่ย ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองเซิ่นเจิ้น กำลังขึ้นเป็นผู้นำในตลาดการแข่งขัน 5G ระดับโลก ด้วยการคว้าสัญญา 5G เชิงพาณิชย์กับโอเปอเรเตอร์ทั่วโลกมากกว่า 90 ฉบับ ในขณะที่โลกกำลังเตรียมเปิดให้บริการ 5G อย่างเป็นทางการ มร. เหลียง หัว ประธานบริษัทหัวเว่ย ได้ประกาศเมื่อปลายปีที่ผ่านมาว่า บริษัทได้ส่งมอบสถานีฐาน 5G ไปแล้วกว่า 400,000 ชุด มร. เหริน เจิ้งเฟย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งของบริษัท ยังได้กล่าวว่า เขาเชื่อว่าบริษัทจะสามารถส่งมอบสถานีฐานได้ 1.5 – 2 ล้านชุดในปี 2563

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัทประกาศว่าจะสร้างโรงงานอุปกรณ์ 5G สำหรับยุโรปแห่งแรกในประเทศฝรั่งเศส โดยจะผลิตสถานีฐานเคลื่อนที่แบบเมดอินยุโรป “โรงงานแห่งนี้จะจัดส่งอุปกรณ์ให้ตลาดทั่วทั้งยุโรป ไม่ใช่แค่ในฝรั่งเศส” มร. เหลียง หัว กล่าว ฐานการผลิตในฝรั่งเศสซึ่งใช้เงินลงทุน 200 ล้านยูโร จะเป็นโรงงานผลิตสถานีฐาน 5G แห่งแรกของหัวเว่ยที่ตั้งอยู่นอกประเทศจีน


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

PM 2.5 กับผลกระทบทางผิวหนัง

โดย รศ. พญ.รังสิมา วณิชภักดีเดชา
ประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย

ถึงแม้ว่าในขณะนี้ทุกท่านกำลังกังวล และเตรียมตัวรับการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด 19 ทำให้พวกเราใส่หน้ากากตลอดเวลาที่ออกจากบ้าน ซึ่งถือว่าเกิดผลพลอยได้อีกประการ ซึ่งมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด 19 เลยก็คือ การป้องกันฝุ่นละออง PM 2.5 ที่ถือว่าเป็นภัยเงียบ ที่สามารถทำร้ายสุขภาพของประชาชนชาวไทยในระยะยาวได้

ฝุ่นละอองในอากาศเป็นปัญหาที่พบมากขึ้นทั่วโลก และกำลังเป็นปัญหาที่สำคัญสำหรับประเทศไทย โดยพบค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เรียกว่า PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล และอีกหลายจังหวัดในประเทศไทย PM ย่อมาจาก Particulate Matter ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในมลพิษที่ลอยในอากาศ (airborne particulate matter pollution) โดยปกติมลพิษประกอบไปด้วยสารหลายชนิดทั้ง ฝุ่นมลพิษ PM 2.5, ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ส่วน 2.5 มาจากขนาดของฝุ่นมลพิษ PM ที่เล็กเท่ากับขนาด 2.5 ไมครอน โดยรวมจึงเรียกว่า PM 2.5

ฝุ่นที่มีอนุภาคขนาดเล็กมากนี้ นอกจากทำให้มีปัญหาต่อระบบทางเดินหายใจ สามารถทำให้ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ เช่น หืดหอบ มีอาการกำเริบ และในระยะยาวจะส่งผลให้ปอดทำงานถดถอย จนอาจก่อให้เกิดโรคถุงลมโป่งพองและมะเร็งปอด ส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดแล้วนั้น งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าฝุ่นละอองยังสามารถแทรกซึมเข้าไปทางผิวหนัง และก่อให้เกิดการระคายเคืองได้อีกด้วย

ผิวหนังเป็นอวัยวะที่ปกคลุมอยู่ทั่วร่างกายของเรา ซึ่งทำหน้าที่เป็นด่านแรกในการป้องกันอันตรายจากพวกแบคทีเรีย, ไวรัส อีกทั้งยังมีหน้าที่ช่วยควบคุมการสูญเสียน้ำออกจากร่างกาย ควบคุมอุณหภูมิ และรับความรู้สึก ผิวหนังเป็นอวัยวะหลักที่ต้องเผชิญกับสิ่งแวดล้อมและมลภาวะต่าง ๆ ตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ฝุ่นละอองดังกล่าวจะส่งผลต่อผิวหนังด้วย โดยผลกระทบที่เกิดกับผิวหนังนี้มี 2 ระยะ โดยการส่งผลกระทบต่อผิวหนังในทั้งสองระยะ จะขึ้นอยู่กับความเข้มข้น และระยะเวลาของการสัมผัสฝุ่นมลพิษ PM 2.5

1.ผลกระทบแบบเฉียบพลัน

ข้อมูลจากงานวิจัยพบว่าฝุ่นละออง PM 2.5 สามารถทำลายเซลล์ผิวหนังกำพร้าของมนุษย์โดยตรง ทำให้เกิดการอักเสบของผิวหนังที่มากขึ้นได้ มีงานวิจัยจากประเทศเนเธอร์แลนด์ พบว่า ฝุ่นมลพิษ PM 2.5 เพียงแค่ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ก็สามารถกระตุ้นการอักเสบของผิวหนังได้แล้ว ซึ่งฝุ่นละอองนี้จะทำให้การทำงานของเซลล์ผิวหนังผิดปกติไป ทั้งในด้านกลไกการป้องกันของผิวหนังจากสิ่งแวดล้อมภายนอก และการซ่อมแซมผิวหนัง นอกจากนั้นยังทำลายโปรตีนที่ผิวหนังที่ชื่อ Filaggrin ซึ่งมีหน้าที่เป็นโปรตีนที่ช่วยป้องกันผิวหนัง และเพิ่มการหลั่งสารกระตุ้นการอักเสบที่ผิวหนัง ดังนั้นเมื่อผิวหนังสัมผัสกับฝุ่นละออง PM 2.5 ก็จะเกิดการอักเสบ ระคายเคืองที่ผิวหนังได้ อีกทั้งฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 สามารถจับตัวกับสารเคมีและโลหะต่าง ๆ และนำพาเข้าสู่ผิวหนัง มีผลทำร้ายเซลล์ผิวหนัง และ กระตุ้นให้เกิดกระบวนการอักเสบของเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิดผื่นคันที่ผิวหนัง โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีโรคผิวหนังเดิมอยู่แล้ว เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง ผื่นผิวหนังอักเสบ สะเก็ดเงิน สิว ผมร่วง จะทำให้มีการระคางเคือง คันมากขึ้น ผื่นกำเริบมากขึ้นได้ มีงานวิจัยในต่างประเทศถึงระยะเวลาของการสัมผัส ฝุ่นมลพิษ PM 2.5 ที่มีต่อเซลล์ผิวหนังมนุษย์โดยทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่า เซลล์ผิวหนังมนุษย์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อสัมผัส ฝุ่นมลพิษ PM 2.5 ที่ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่ 2 ชั่วโมงขึ้นไป

2.ผลกระทบแบบเรื้อรัง

การสัมผัสกับฝุ่นละออง PM 2.5 อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผิวเสื่อมชราได้เร็วยิ่งขึ้น นอกเหนือไปจากปัจจัยด้านการถูกแสงแดดและการสูบบุหรี่ มีงานวิจัยถึงผลของ ฝุ่นมลพิษ PM 2.5 ต่อผิวหนังมนุษย์ในระยะยาว พบว่าฝุ่นมลพิษ PM 2.5 ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระที่สามารถส่งผลร้ายต่อเซลล์ผิวหนังมนุษย์ ทั้งในกระบวนการสร้างเซลล์ ซึ่งส่งผลต่อภาวะความชราของผิวหนัง รวมถึงจุดด่างดำบนชั้นผิวหนังด้วย โดยพบว่ามีการเกิดจุดด่างดำบริเวณใบหน้าเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังมีการเกิดริ้วรอยบริเวณร่องแก้มมากขึ้นด้วย อีกทั้งยังพบการลดลงของการทำงานในระบบภูมิคุ้มกันที่ผิวหนังด้วยเช่นกัน

จากที่กล่าวมาข้างต้นพบว่า ฝุ่น PM 2.5 มีผลกระทบต่อผิวหนังได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ดังนั้นการปกป้องผิวหนังให้สัมผัสกับฝุ่นดังกล่าวให้น้อยที่สุด จึงเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่มีโรคผิวหนังอยู่เดิม เพื่อป้องกันไม่ให้โรคกำเริบมากยิ่งขึ้น สำหรับการดูแลรักษาตนเองให้ปลอดภัยจากฝุ่นมลพิษ PM 2.5 นั้น ควรทราบว่าตัวท่านเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ โดยผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการสัมผัส ฝุ่นมลพิษ PM 2.5 ได้แก่ กลุ่มที่ความต้านทานของผิวหนังน้อย เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง เช่น ภูมิแพ้ผิวหนัง ลมพิษ สะเก็ดเงิน ฯลฯ หากท่านอยู่ในกลุ่มเสี่ยงมีความจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัส ฝุ่นมลพิษ PM 2.5 ควรงดเว้นการออกไปในบริเวณที่มีปริมาณฝุ่นมลพิษปริมาณมาก หรือสัมผัสให้สั้นที่สุด การใส่เสื้อผ้าปกคลุมร่างกาย การทาโลชั่นหรือครีม การชะล้างทำความสะอาดผิวหนัง จะมีส่วนช่วยลดทอนการสัมผัสโดยตรงต่อ ฝุ่นมลพิษ PM 2.5 ได้

ทั้งนี้เรื่องของฝุ่นมลพิษ PM 2.5 ถือเป็นปัญหาระดับชาติซึ่งเกิดขึ้นมาแล้วในหลาย ๆ ประเทศ นอกจากประชาชนต้องดูแลตนเองให้พ้นจากผลเสียของฝุ่นมลพิษ PM 2.5 แล้ว ประชาชนยังต้องทำความเข้าใจและไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป ศึกษาข้อมูลเพื่อเป็นความรู้ประกอบเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้อย่างมีสติและปลอดภัย


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เปิดตัวหนังสือแปลเทคนิคงานโลหะ “การสร้างแม่พิมพ์” จากเยอรมัน

รองศาสตราจารย์บรรเลง ศรนิล อดีตอธิการบดี มจพ. และที่ปรึกษาคณบดีบัณฑิตวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์นานาชาติสิรินธร ไทย-เยอรมัน (TGGS) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เปิดตัวหนังสือแปลเทคนิคงานโลหะ “การสร้างแม่พิมพ์” ต้นฉบับจากเยอรมัน แปลกันแบบหน้าต่อหน้า แต่ยังคงแน่นด้วยเนื้อหา สาระ มากคุณภาพตามแบบฉบับหนังสือเยอรมันที่มีองค์ประกอบของรูปภาพและเทคนิคพิเศษในบทเรียน ที่ออกแบบให้สนุกกับการเรียนด้วยตนเอง ประกอบด้วยรูปภาพมากกว่า 700 รูปรวมทั้งตารางต่าง ๆ เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าถึงในบทเรียนได้อย่างถ่องแท้ รศบรรเลง เล่าให้ฟังว่า หนังสือแปลเทคนิคงานโลหะ “การสร้างแม่พิมพ์” เล่มนี้เป็นหนังสือใหม่ คือ การสร้างแม่พิมพ์เป็นอุตสาหกรรมสนับสนุน Supporting Industy ที่ไปสนับสนุนอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมสร้างเครื่องมือทั้งหมด เช่น เครื่องมือแพทย์ เพราะชิ้นส่วนต่างๆ ต้องผลิตด้วยแม่พิมพ์ เพราะฉะนั้นแม่พิมพ์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมทั่วๆ ไป ในเนื้อหาสาระของหนังสื่อมีจำนวน 8 บท ประกอบด้วย แม่พิมพ์ตัดชิ้นส่วนโลหะ แบ่งประเภทต่างๆ อาทิ แม่พิมพ์ตัดชิ้นโลหะ แม่พิมพ์ปั๊มขึ้นรูป เป็นต้น

นอกจากนี้ยังได้รวบรวมหลักการ แนวคิด และทฤษฎีที่สำคัญ ๆ พร้อมกับยกตัวอย่างจากรูปภาพประกอบที่เข้าใจง่าย เห็นเด่นชัด และจัดเตรียมแบบฝึกหัดที่เหมาะกับผู้เรียน ตลอดจนการใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ปัจจุบันจึงอาจกล่าวได้ว่า อุตสาหกรรมแม่พิมพ์ เป็นอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงอุตสาหกรรมอื่นๆ หรืออาจเรียกได้ว่า Mold and Die Mother of Industry โดยแม่พิมพ์ที่ดีจะส่งผลให้อุตสาหกรรมการผลิตสามารถผลิตชิ้นส่วนได้อย่างรวดเร็วเป็นจำนวนมาก ส่งผลต่อความได้เปรียบในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการผลิตที่เกี่ยวข้องอีกด้วย เมื่อเทรนด์ของอุตสาหกรรมในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป และการมาถึงของเทคโนโลยีในยุค 4.0 ด้วย หนังสือเทคนิคงานโลหะ “การสร้างแม่พิมพ์” จึงเหมาะสำหรับนักเรียนอาชีวศึกษาสาขาช่างทำแม่พิมพ์ และช่าง Fine mechanic ที่เน้นด้านแม่พิมพ์ ผู้ที่สนใจหาความรู้เสริมและหาความรู้เพิ่มเติม รวมทั้งนักศึกษาที่เตรียมสอบเป็น Meister และช่างเทคนิค รวมทั้งนักศึกษาที่ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยก็สามารถหาความรู้จากหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบทที่ 2 และบทที่ 5 เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานด้านเทคนิคการผลิตเรื่องพลาสติกและยาง

หนังสือเล่มนี้แปลมาจากหนังสือ Werkzeugbau ของสำนักพิมพ์ Europa-Lehrmittel แห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ซึ่งเป็นหนังสือที่มีการนำเอาไปแปลเป็นภาษาอื่น ๆ อีกหลายภาษา เช่น ภาษาจีน ภาษากรีก และภาษาในประเทศยุโรปตะวันออกอีกหลายประเทศ เนื่องจากเป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับการเรียนการสอนในสาขาช่างเครื่องมือกลและช่างสร้างแม่พิมพ์รวมทั้งใช้เป็นหนังสือค้นคว้าหาความรู้ของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ต่าง ๆ คณะผู้แปลและเรียบเรียงเห็นว่า น่าจะนำหนังสือเล่มนี้มาแปลเป็นภาษาไทย เพื่อให้บุคลากรในอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ของไทยมีศักยภาพไม่แพ้ประเทศอื่น

เนื้อหาสาระของหนังสือเล่มนี้ประกอบด้วย
– เทคนิคการปั๊มตัดและขึ้นรูปโลหะ
– การสร้างแม่พิมพ์ต่าง ๆ เช่น แม่พิมพ์พลาสติก แม่พิมพ์ Die Casting และแม่พิมพ์ Sintering
– อุปกรณ์จับยึดชิ้นงาน Jigs & Fixtures) – เครื่องมือวัดและตรวจสอบ
– กรรมวิธีการทำงานสร้างแม่พิมพ์ – วัสดุต่าง ๆ และการอบชุบโลหะ
– ตัวอย่างพร้อมการวิเคราะห์แม่พิมพ์และอุปกรณ์จับยึด – กรณีตัวอย่างสำหรับการเรียนการสอน

จุดเด่นของหนังสือมีเพิ่มเนื้อหาและปรับปรุงเนื้อหาเก่าให้สมบูรณ์ขึ้น เนื้อหาที่เพิ่มเติมได้แก่ เรื่อง “การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบแม่พิมพ์ปั้มตัด” “การบำรุงรักษาแม่พิมพ์” และ “แม่พิมพ์ที่ใช้ในงานปั๊มตัดขนาดใหญ่” บทที่นำเสนอใหม่ได้แก่เรื่อง Jigs & Fixtures, กรรมวิธีในการผลิตแม่พิมพ์และวัสดุทำแม่พิมพ์ และเรื่องกรรมวิธีทางความร้อนในงานสร้างแม่พิมพ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างความเข้าใจเนื้อหา จะแนบกรณีตัวอย่างของเรื่องเทคนิคการปั๊มตัด การสร้างแม่พิมพ์ และการสร้างเป็นพิเศษสำหรับการนำเสนอในการสอนในกรณีศึกษา มีหลักการทาง Jigs & Fixtures ไว้ในตอนท้าย ซึ่งเหมาะเทคโนโลยีและเทคนิควัสดุแล้ว ยังมีเนื้อหาของการวางแผนการทำงานและการคำนวณทางเทคนิคเอาไว้ด้วย ซึ่งผู้เรียบเรียงมีความตั้งใจเป็นพิเศษในการเชื่อมโยงไปสู่การใช้งานและการแก้ปัญหาในการทำงานจริง เพื่อเพิ่มหลักการในการสอน “การเรียนในกรณีศึกษา” และได้นำเสนอกรณีศึกษา 5 ถึง 14 ไว้ด้วย นอกจากนี้ยังมีผลงานหนังสือแปลจากภาษาเยอรมันอีกหลายเล่ม เช่น ตารางคู่มืองานโลหะ คู่มืองานวิศวกรรมไฟฟ้า คู่มือตารางเทคนิคยานยนต์ ทฤษฎีงานโลหะ เล่ม 1 และทฤษฎีงานโลหะ เล่ม 2

สำหรับท่านใดที่สนใจหนังสือเทคนิคงานโลหะ “การสร้างแม่พิมพ์” สามารถสั่งซื้อโดยตรงได้ที่ ศูนย์ผลิตตำราเรียน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ในราคาเล่มละ 300 บาท นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นดีๆ สำหรับสถาบันการศึกษา หรือหน่วยงานอื่นๆ ที่ต้องการสั่งคราวละหลายเล่มก็จะได้รับส่วนลดพิเศษ ดังนี้ 1)ยอดสั่งซื้อครบ 10,000 บาท ได้รับส่วนลด 20% 2) ยอดสั่งซื้อครบ 20,000 บาท ได้รับส่วนลด 25% และ 3) ยอดสั่งซื้อครบ 30,000บาท ได้รับส่วนลด 30% นอกจากนี้แล้วยังมีสำหรับช่องทางการสั่งซื้อที่อื่นๆ เช่น ร้านหนังสือซีเอ็ดบุ๊ค เซ็นเตอร์ (SE-ED) และ ร้านหนังสือ ศูนย์หนังสือจุฬาฯ อย่างไรแล้วขอฝากหนังสือเทคนิคงานโลหะ “การสร้างแม่พิมพ์” เล่มนี้ให้แก่ผู้ที่สนใจและกำลังมองหาเพื่อเติมเต็มด้านแม่พิมพ์ที่ตอบโจทย์ได้ครอบคลุมทั้งสายเรียนและสายอุตสาหกรรม ตลอดจนการนำไปใช้ให้ตรงจุดในการปฏิบัติงานและการแก้ปัญหาในขณะปฏิบัติงานได้จริง มีเล่มนี้แล้วคุ้มจริงๆ รศ.บรรเลง กล่าวท้ายที่สุด

การเปิดโลกการเรียนรู้ให้กว้างขึ้นด้วยตำราเรียนดีๆ สักเล่ม เพื่อเสริมแนวคิด (concept) ให้เกิดความเข้าใจและแนวทางปฏิบัติในเรื่องนั้นๆ อย่างลึกซึ้งเป็นการเสริมทับให้กับตนเองที่สามารถนําไปประยุกต์ใช้ได้จริง
ทําให้เห็นลําดับต่อเนื่องขององค์ความรู้ และเกิดทักษะให้ความรู้ที่ถูกต้องและร่วมสมัย ตลอดจนการขยายเนื้อหาเพื่อให้มีความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ เทคนิคงานโลหะ “การสร้างแม่พิมพ์” เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาสาระทางวิชาการถูกต้อง สมบูรณ์ และทันสมัยมีแนวคิดและการนำเสนอที่ชัดเจน เป็นประโยชน์ต่อการศึกษามาก

ขวัญฤทัย ข่าว-ภาพ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“เป๊ปซี่” ดับร้อนระเบิดแคมเปญ “เป๊ปซี่ ซัมเมอร์ซ่า” แจกรางวัลกว่า 40 ล้านบาท

เครื่องดื่ม “เป๊ปซี่” โดย บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ระเบิดแคมเปญดับร้อน เพิ่มความซ่าเต็มพิกัดไปกับกิจกรรม “เป๊ปซี่ ซัมเมอร์ซ่า” ชวนลุ้นโชคทองหล่นทับ กับทองคำแท้มูลค่า 10 ล้านบาท พร้อมพาเหรดของรางวัลอีกมากมาย ได้แก่ รถยนต์ BMW รุ่น X1 จำนวน 8 คัน รวม 15.92 ล้านบาท, สมาร์ทโฟนซัมซุง Galaxy S20+ จำนวน 270 รางวัล รวม 8.61 ล้านบาท และบัตรกำนัลจาก KFC จำนวน 20,000 รางวัล รวม 10 ล้านบาท รวมของรางวัลทั้งสิ้นมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท

กติกาง่ายๆ เพียงดื่มเครื่องดื่มเป๊ปซี่ มิรินด้า และเซเว่น – อัพ ทุกรสชาติ ทั้งแบบกระป๋องและแบบขวด ขนาดใดก็ได้ เฉพาะที่มีรหัสใต้ฝา หรือที่หูกระป๋อง 10 หลัก และ กด *775* รหัสใต้ฝา # แล้วโทรออก หรือ ส่งรหัสใต้ฝามาที่ Line @Pepsi สามารถร่วมสนุกได้ทั่วประเทศกันแบบฟรี ๆ ทั้ง 2 ช่องทาง ตั้งแต่วันนี้ – 24 เมษายน 2563 โดยงานนี้จับฉลากเลขรหัสใต้ฝาจริง แจกจริงทุกวันศุกร์ ที่บริษัท ลัคกี้วันกรุ๊ป จำกัด เริ่มประกาศรางวัลผู้โชคดีครั้งแรกในวันศุกร์ที่ 6 มีนาคมนี้ ทาง Facebook PepsiThai และทางเว็บไซต์ https://www.pepsipromotion.com โดยจับรางวัลทุกสัปดาห์ จำนวน 8 ครั้ง ตลอดระยะเวลากิจกรรม

มาร่วมดื่ม และปลุกความสดชื่นในแคมเปญ “เป๊ปซี่ ซัมเมอร์ซ่า” ยิ่งส่งมาก ยิ่งมีสิทธิ์มาก ทองคำมูลค่า 10 ล้าน รอคุณอยู่ เศรษฐีคนต่อไปอาจเป็นคุณ ดูรายละเอียดเงื่อนไขเพิ่มเติมที่ https://pepsipromotion.com/terms หรือ Facebook PepsiThai และ LINE Official Account: PepsiThai


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“อะโคนาติก” จับมือ “เพาเวอร์บาย” เปิดแคมเปญ…ช้อปคลายร้อน แจกทอง สนั่นเมือง

นายอานนท์ บัวดี ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ไฮไฟ โอเรียนท์ ไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมด้วย นางสาวภัณฑิลา สั่งสอน และ นางสาวจุรีภรณ์ อุทธา ผู้จัดการฝ่ายบริหารสินค้า บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด เปิดแคมเปญ “ช้อปคลายร้อน..แจกทองสนั่นเมือง” เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ อะโคนาติก “แอร์เคลื่อนที่” หรือ “พัดลมไอเย็น” ตั้งแต่วันนี้ แล้วถึง 31 พฤษภาคม 2563 ที่ เพาเวอร์บาย ลุ้นชิงรางวัล สร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท พร้อมทีวี ACONATIC Android TV 65″ จำนวน 10 รางวัลๆ ละ 99,974 บาท , รางวัลที่ 2 คือ ACONATIC TV 65″ จำนวน 10 รางวัลๆ ละ 21,900 บาท รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท

ทั้งนี้ สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ www.aconatic.com หรือ Facebook.com/Aconatic World


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เรียนรู้สู้โควิด

ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีความเป็นห่วงผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิดไปทั่วทุกภูมิภาคของโลกในเวลาอันสั้น ด้วยความเข้มแข็งของพลังภาครัฐและพลังภาคประชาชนในเกือบตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทยสามารถชะลอการระบาดของเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีการสูญเสียน้อย เมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศที่มีทรัพยากรสุขภาพสมบูรณ์กว่าเราเป็นอันมาก แม้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจะมียอดผู้ป่วยคนไทยรายใหม่เพิ่มขึ้นเร็ว จนหลายคนตระหนกว่าหน่วยงานการแพทย์ของภาครัฐและเอกชนจะเอาอยู่หรือไม่ ขอเรียนให้สบายใจ ณ ที่นี้ว่า ในนามของสมาชิกแห่งวิชาชีพนี้ซึ่งเปรียบเสมือนสถาบันหนึ่งที่ยืนเคียงคู่กับสังคมไทยมานาน นับแต่ก่อกำเนิดการแพทย์แผนใหม่ในแผ่นดินนี้โดยเจ้าฟ้ามหิดล เราจะไม่ยอมให้ศัตรูหน้าไหนมาคุกคามสุขภาพคนไทยในความรับผิดชอบของพวกเราได้โดยง่าย

เป็นธรรมดาของการออกศึกที่เราหวังผู้นำที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวและอาวุธที่มีประสิทธิภาพ เรายังต้องการกองหลังและกองหนุนที่มีวินัยในการควบคุมหมู่คณะ ไม่ให้เสียขวัญและไม่ให้เกิดช่องโหว่สำหรับศัตรูเข้ามาโจมตีได้ง่าย คำแนะนำสำหรับประชาชนเพื่อเรียนรู้จะอยู่กับโควิดและพิชิตมันในที่สุด มีดังนี้

• เชื้อนี้ไม่ชอบอากาศที่ร้อนและแสงแดด ถ้าเราสามารถยันมันไว้ได้ตลอดหน้าร้อน เมื่อเข้าฤดูฝนโอกาสที่โรคระบาดหนักจะลดลง

• ประชาชนต้องปรับกิจวัตรประจำวันให้ใช้บ้านและที่พักเป็นตำแหน่งอยู่หลัก ลดการออกนอกที่พัก ไม่ว่าจะเป็นการงาน การเรียน การสังสรรค์ หรือการชุมนุมของผู้คนทุกประเภท

• รักษาสุขภาพให้แข็งแรง กินอาหารถูกสุขลักษณะ ออกกำลังกายและนอนหลับให้เพียงพอ ล้างมือบ่อยๆ ทำจิตใจให้ผ่องแผ้วคิดดีทำดี ถ้าไม่สบายโดยเฉพาะมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ คือ ไข้ ไอ เจ็บคอ หรือมีน้ำมูก ให้โทรศัพท์ปรึกษาโรงพยาบาลใกล้บ้านเพื่อพิจารณาไปทำการตรวจรักษา และเมื่อถึงโรงพยาบาลให้ข้อมูลโอกาสเสี่ยงติดเชื้อโควิดของท่านโดยละเอียด

• สอดส่องดูแลสมาชิกครอบครัวหรือสมาชิกร่วมที่พัก ที่มีปัจจัยเสี่ยงติดเชื้อโควิดแล้วอาการรุนแรงง่าย ได้แก่ โรคปอด โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต ผู้สูงอายุ คนที่อ้วนมาก และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันผิดปกติ หากเจ็บป่วยโดยเฉพาะมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ให้รีบปรึกษาแพทย์

• ถ้าจำเป็นต้องออกนอกที่พักไปในที่สาธารณะ จัดเตรียมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า สวมใส่และถอดทิ้งให้ถูกวิธี หลีกเลี่ยงการสัมผัสวัตถุและวัสดุทุกชนิด ถ้าหลีกเลี่ยงการสัมผัสไม่ได้ให้ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจลหรือสบู่ทุกครั้ง ไม่สัมผัสถูกต้องตัวผู้อื่น ถ้าเป็นได้พยายามให้อยู่ห่างกันแต่ละคนราว 1 เมตร ไม่ใช้สิ่งของทุกชนิดร่วมกับผู้อื่น และหลีกเลี่ยงสถานที่แออัดและมีระบบระบายอากาศที่ไม่ดี

• ติดตามข่าวสารจากแหล่งต่าง ๆ อย่างมีสติ ไม่ส่งต่อข้อมูลที่ไม่มีแหล่งยืนยันชัดเจน ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของหน่วยงานด้านสุขภาพโดยเคร่งครัด

• ใส่ใจดูแลผู้คนใกล้ตัวหรือเพื่อนบ้าน ที่มีประวัติเสี่ยงหรือมีความเสี่ยงหรือติดเชื้อโควิดแล้วอาการไม่รุนแรงแพทย์อนุญาตให้มาสังเกตอาการต่อที่บ้าน โดยช่วยเหลือเกื้อกูลเท่าที่ทำได้และหลีกเลี่ยงการเลือกปฏิบัติที่ทำให้สังคมรังเกียจ เราจะต้องนำพาสมาชิกในชาติทุกคนให้ผ่านจุดวิกฤตนี้ไปได้ด้วยกันให้มากที่สุด

• สนับสนุนกิจกรรมจิตอาสาที่ทำได้ในที่พัก เช่น การจัดหาและจัดทำหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากแจกจ่ายให้ประชาชนที่ขาดแคลน สนับสนุนกิจกรรมการจัดเตรียมทรัพยากรสุขภาพของโรงพยาบาล
ผู้ที่แข็งแรงดีต้องช่วยกันไปบริจาคเลือดให้โรงพยาบาลมีใช้เพียงพอ

• ดูแลสุขภาพตัวเองและคนรอบข้างให้ดี หากมีโรคเรื้อรังแต่อาการคงที่ดีให้ติดต่อโรงพยาบาลเพื่อขอรับยาและเลื่อนนัดโดยตัวผู้ป่วยไม่ต้องไปโรงพยาบาล หากเจ็บป่วยเฉียบพลันเล็กน้อยให้รักษาตัวตามคำแนะนำสุขภาพที่หาได้ในสื่อต่าง ๆ หรือโทร.ปรึกษาโรงพยาบาลใกล้บ้านก่อน การไปใช้บริการที่โรงพยาบาลในช่วงนี้ นอกจากเพิ่มความเสี่ยงการรับเชื้อของตัวท่านแล้ว จะทำให้ระบบการรับมือเชื้อโควิดของโรงพยาบาลทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ


 

Exit mobile version