Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

สุดยอดหนังสือปกสวยสรรค์คว้ารางวัล OKMD Book Cover Award 2020

กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้ – สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี หรือ OKMD ประกาศผลการประกวดปกหนังสือสวยสร้างสรรค์ ครั้งที่ 2 (OKMD Book Cover Award 2020) โดยได้จัดโครงการประกวดอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 เพื่อเป็นเวทีแห่งโอกาสให้สำนักพิมพ์ที่มุ่งมั่นเสนอผลงานให้เป็นที่ยอมรับสู่สายตาสาธารณชน ได้นำเสนอความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นให้สังคมได้เห็นคุณค่าแห่งการออกแบบปกหนังสือ รวมถึงส่งเสริมและสนับสนุนให้สายอาชีพนักออกแบบปกหนังสือได้ออกแบบผลงานที่มีคุณภาพ สวยงาม สร้างสรรค์ และสอดคล้องกับเนื้อหา ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาซื้อและอ่านหนังสือมากขึ้น

ดร.อธิปัตย์ บำรุง ผู้อำนวยการ OKMD เปิดเผยว่า “สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ สานต่อการประกวดปกหนังสือสวยสร้างสรรค์ ครั้งที่ 2 (OKMD Book Cover Award 2020) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้สำนักพิมพ์ทั่วประเทศมีโอกาสส่งผลงานปกหนังสือที่มีความโดดเด่นเข้าร่วมการประกวด ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และสร้างแรงบันดาลใจในการผลิตผลงานปกหนังสือที่มีคุณภาพให้แก่นักออกแบบ โดยจะนำผลงานปกหนังสือที่ได้รับคัดเลือกไปเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่อไป เพื่อให้เห็นความสำคัญของศิลปะและอาชีพการออกแบบปกหนังสือซึ่งต้องอาศัยทักษะและความคิดสร้างสรรค์”

ทั้งนี้ คณะกรรมการตัดสินการประกวด ประกอบด้วย คุณสุรชัย พุฒิกุลางกูร นักสร้างสรรค์โฆษณาภาพนิ่ง (Illustrator) อันดับหนึ่งของโลกตั้งแต่ปี 2013 จนถึงปัจจุบันจากนิตยสาร Lurzer’s Archive กรรมการผู้จัดการบริษัท อิลลูชั่น จำกัด สตูดิโอสัญชาติไทยที่กวาดรางวัลระดับโลกมาแล้วกว่า 1,000 รางวัล คุณปัจฉิมา ธนสันติ อดีตอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ดร. เสรี นนทสูติ รองกรรมการผู้จัดการ มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาองค์กรภาครัฐ (IRDP) คุณอาภาภรณ์ โกศลกุล “โสมชบา” คอลัมนิสต์จากไทยรัฐ คุณชาลอต โทณวณิก ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ บริษัท อชิโต จำกัด ตัวแม่ด้านสื่อสารการตลาด คุณกฤษฎา บุญราช อดีตรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย คุณเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หรือ MCOT และสุดท้าย คุณเต็งหนึ่ง คณิศ ปิยะปภากรกูล เชฟ Owner April Trees Studio นักเขียน นักร้อง และนักแสดง ซึ่งร่วมกันตัดสินการประกวดปกหนังสือสวยสร้างสรรค์ ที่ 43 สำนักพิมพ์ทั่วประเทศส่งผลงานเข้าร่วมประกวดจำนวน 385 ชิ้นงาน ชิงเงินรางวัล รางวัลละ 50,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ โดยมี 5 ผลงาน ผู้ชนะรางวัลแต่ละประเภท ดังนี้

ผู้ชนะรางวัล Very Thai (เวรี่ไทย) : ปกหนังสือ “พระเสด็จโดยแดนชล” จากสำนักพิมพ์มติชน ออกแบบ โดยคุณนักรบ มูลมานัส

ผู้ชนะรางวัล Cute Cute (น่ารักยกกำลังสอง) : ปกหนังสือ “something sometime somewhere everyday special” จาก สำนักพิมพ์ FULLSTOP ออกแบบ โดยคุณศศิ วีระเศรษฐกุล และ FULLSTOP

ผู้ชนะรางวัล Striking Stumble (สวยสะดุด) : ปกหนังสือ “Sasi’s Sketch Book Japan Diary เล่ม1 Tokyo เล่ม2 Shirakawago” จาก สำนักพิมพ์ FULLSTOP ออกแบบ โดยคุณศศิ วีระเศรษฐกุล และ FULLSTOP

ผู้ชนะรางวัล One of a Kind (ไอเดียบรรเจิด) : ปกหนังสือ “The Old Man and the Sea” จากสำนักพิมพ์ แสงดาว ผู้ออกแบบ คุณกรมัยพล สิริมงคลรุจิกุล

ผู้ชนะรางวัล Best for Kids (ปกนี้เพื่อหนู) : ปกหนังสือ “Pirate Academy คู่มือล่าสมบัติ ฉบับโจรสลัดนามกระฉ่อน” จากสำนักพิมพ์ ห้องเรียน ผู้ออกแบบ ออกแบบลายเส้น – คุณสิทธิพร พวงสุข, ลงสี – คุณตรีโรจน์ รุ่งโรจน์ศิรวัช, กราฟิก – คุณกัลยา ภูอ่อน

สำหรับข้อมูลกิจกรรมสามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่ www.okmd.or.th หรือติดตามความคืบหน้าของกิจกรรมต่างๆ ได้ที่ www.facebook.com/OKMDInspire หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) สำนักนายกรัฐมนตรี โทร. 02-105-6517


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพจากมลพิษฝุ่นจิ๋ว PM2.5


โดย ศ.นพ.ชายชาญ โพธิรัตน์ 

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญหน่วยโรคระบบการหายใจ เวชบำบัดวิกฤตและภูมิแพ้อายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยมีความเป็นห่วงผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพจากมลพิษฝุ่นจิ๋ว PM2.5 ที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือตอนบนไม่ว่าจะเป็นจังหวัดเชียงใหม่  เชียงราย หรือจังหวัดใกล้เคียง โดยองค์การอนามัยโลก หรือ WHO  ได้กล่าวไว้ว่า “การหายใจด้วยอากาศที่มีคุณภาพถือเป็น  “สิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน” 

ดังนั้นเมื่ออนุภาคมลพิษอากาศขนาดเล็กที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 มีส่วนประกอบสำคัญหลัก คือ คาร์บอนอินทรีย์ สาร PAHs เกลือซัลเฟต เกลือไนเตรท โลหะหนัก มีสัดส่วน เปลี่ยนไปบ้างตามแหล่งกำเนิดมลพิษและฤดูกาล เนื่องจาก PM2.5 มีขนาดเล็กกว่าเม็ดเลือดแดงจึงเข้าสู่ทุกเซลล์ของระบบอวัยวะได้อย่างรวดเร็ว  เมื่อสูดหายใจเข้าไป จึงอาจมีผลกระทบต่อแทบทุกระบบอวัยวะของร่างกาย จะมีผลกระทบมากหรือน้อย ขึ้นกับปัจจัยสำคัญ ดังนี้

1. ระดับความเข้มข้นของ PM2.5 ที่ร่างกายได้รับ
2. ระยะเวลาสะสมที่ร่างกายได้รับ PM2.5
3. สัดส่วนของสารประกอบชนิดต่างๆใน PM2.5
4. สภาวะของร่างกายขณะได้รับ PM2.5 (ทารกในครรภ์มารดาและช่วงวัยต่างๆ ความไวต่อมลพิษของบุคคล ความเจ็บป่วยที่มีอยู่เดิม ความแข็งแรงของร่างกาย)

ผลกระทบดังกล่าวอาจมีได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่ยังไม่ปรากฏอาการ ไม่มีการอักเสบ ไม่ปรากฏอาการแต่มีการอักเสบแฝงในระบบอวัยวะจนเกิดอาการผิดปกติ ซึ่งเกิดได้ทั้งฉับพลันทันทีทันใด แบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรัง

โดยผลกระทบตามระยะต่างๆ อาจทำให้เกิดโรคขึ้นใหม่ หรือทำให้โรคเดิมรุนแรงขึ้นทำให้เซลล์ของอวัยวะ เสื่อมจนทำให้อวัยวะทำงานเสื่อมเร็วและรุนแรงขึ้นอาจทำให้เซลล์กลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็ง

ตัวอย่างผลกระทบจาก PM2.5 ต่อระบบอวัยวะสำคัญหลักในการดำรงชีวิต ได้แก่ ระบบการหายใจ (เช่น โพรงจมูกอักเสบทั้งแบบภูมิแพ้ และติดเชื้อหลอดคอ กล่องเสียงและหลอดลมอักเสบ หอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ปอดอักเสบ) การอักเสบจาก PM2.5 ส่งเสริมให้ระบบการหายใจมีการอักเสบ มากขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อได้รับสารก่อแพ้และการอักเสบจาก PM2.5 ยังทำให้ติดเชื้อ (เช่นไวรัสไข้หวัด ไวรัส ไข้หวัดใหญ่ แบคทีเรีย)ได้ง่ายและรุนแรงมากขึ้นหลายเท่า และจำนวนไม่น้อยที่เกิดการอักเสบทั้งแบบ ภูมิแพ้และแบบติดเชื้อผสมผสานกัน ระบบหัวใจ (กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจล้มเหลว) ระบบหลอดเลือด (หลอดเลือดไปเลี้ยงสมองเสื่อม โรstroke ของหลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบ หลอดเลือดดำอุดตัน) ระบบสมอง (สมองด้อยประสิทธิภาพ สมองเสื่อม สมาธิสั้นและระบบจิตประสาท (อารมณ์แปรปรวน ความผิดปกติทางจิตแบบซึมเศร้าและฆ่าตัวตาย) และมีส่วนทำให้เกิดมะเร็งของอวัยวะต่าง ๆ (โดยเฉพาะมะเร็งปอด)

ดังนั้น PM2.5 จึงเป็นมลพิษที่เป็นสาเหตุสำคัญต่อการเสียชีวิตทั้งแบบฉับพลัน เฉียบพลัน และทำให้อายุขัยสั้นลง เป็นสาเหตุสำคัญของการเจ็บป่วยทั้งฉับพลันและเฉียบพลันอาจรุนแรง ถึงกับต้องไปรับการรักษาที่แผนกฉุกเฉินหรือต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยเป็นโรคเรื้อรังโดยเฉพาะโรคภูมิแพ้ โรคระบบการหายใจ โรคหัวใจและหลอดเลือดหรือทำให้โรคเรื้อรังดังกล่าว มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นรวมทั้งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปอด

ส่วนระดับค่าเฉลี่ยของ PM2.5 รายวัน นิยมใช้ในการศึกษาวิจัยผลกระทบต่อการเสียชีวิตและสุขภาพในระยะสั้นและค่าเฉลี่ยรายปี นิยมใช้ในการศึกษาวิจัยผลกระทบระยะยาวต่อการเกิดโรค เรื้อรังของระบบอวัยวะต่างๆ รวมทั้งโรคมะเร็ง และช่วงอายุขัย

ส่วนค่า PM2.5 รายชั่วโมงมีผลกระทบต่อสุขภาพได้เช่นเดียวกัน ส่วนจะมากน้อยแตกต่างกันตามปัจจัยทั้ง 4 ที่กล่าวข้างต้น จึงนิยมใช้เตือนประชาชนในการวางแผนบริหารความเสี่ยงในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆในชีวิตประจาวันในชั่วโมงถัดไป

แม้จะไม่มีค่า PM2.5 ที่ต่ำสุดที่ถือว่าปลอดภัยไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ แต่องค์การอนามัยโลกได้แนะนำความเป็นไปได้ที่ประเทศต่างๆ ควรมีแผนการดำเนินการกำหนดเป้าหมายให้ระดับ PM2.5 ไม่เกินค่าที่แนะนำเพื่อลดผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพให้เหลือน้อยเท่าที่จะบริหารจัดการได้ตามหลักฐาน งานวิจัยทั่วโลกที่ใช้ประกอบคำแนะนำ (ค่าเฉลี่ยรายวันไม่เกิน 25 มคก./ลบ.ม และค่าเฉลี่ยรายปี ไม่เกิน 10 มคก./ลบ.ม)

ส่วนแต่ละประเทศจะกำหนดค่ามาตรฐานของประเทศตนเองอย่างไรขึ้นอยู่กับระดับมลพิษ PM2.5 การชั่งความสมดุลเรื่องชีวิตและสุขภาพกับงบประมาณการลงทุนเพื่อปรับปรุงสภาวะแวดล้อมของแต่ละประเทศ ตลอดจนความเข้าใจ ความตั้งใจและความจริงจังในการปรับปรุงคุณภาพอากาศของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยพิจารณาจากการมีฝ่ายปกครองมีคำมั่นสัญญาที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม กำหนดนโยบาย งบประมาณ แผนการดำเนินการ วิธีการดำเนินการและการประเมินผลที่มีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนทันต่อสถานการณ์แนวโน้มระดับมลพิษอากาศ

จากการศึกษาในต่างประเทศ หลายประเทศพบว่างบการลงทุนเพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศมีความคุ้มทุนสูงมากหลายสิบเท่าและเห็นผลดีอย่างรวดเร็วทั้งในด้านชีวิต สุขภาพ และเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจเจริญก้าวหน้าควบคู่ไปกับอากาศที่มีคุณภาพได้ ตัวอย่าง เช่น จีน สหรัฐอเมริกา ไนจีเรีย เป็นต้น

จากการศึกษาวิจัยพบว่าประชากรของประเทศไทยได้รับผลกระทบด้านชีวิตและสุขภาพ จากฝุ่นมลพิษแทบทุกภาคมาอย่างยาวนานกว่าทศวรรษและทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงฤดูแล้ง (ช่วง เดือนธันวาคม-เมษายน) โดยเฉพาะ 3-5 ปี ล่าสุด

โดยแหล่งกำเนิดมลพิษที่เป็นปัญหาและมีผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพของประชาชนมากที่สุดในช่วงฤดูแล้งคือ การเผาในพื้นที่เกษตรเพิ่มขึ้นจากการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตร (โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอ้อย ข้าวโพด และข้าว ในทุกภาคยกเว้นภาคใต้) และยังมีการทำเกษตรพืชเชิงเดี่ยวในพื้นที่ภูเขาบ่อยครั้งที่ไฟลุกลามออกนอกพื้นที่ปลูก กลายเป็นสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งของไฟป่า (ภาคเหนือตอนบน) ตลอดจนมีการเพิ่มการเผาพื้นที่เกษตรจากการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรในประเทศเพื่อนบ้านด้วยเช่นกัน ทำให้พื้นที่ทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ได้รับผลกระทบจาก PM2.5 ในช่วงฤดูแล้งกันอย่างถ้วนทั่ว รวมทั้งกรุงเทพฯและปริมณฑลที่ได้รับ PM2.5 จากการเผาอุตสาหกรรมเกษตรเป็นหลักด้วยเช่นกัน  เพราะกระแสลมที่พัดมวล PM2.5 จากแหล่งกำเนิดเข้าสู่กรุงเทพฯและปริมณฑลร่วมกับสภาพความกดอากาศ การกักขังอากาศไม่มีการถ่ายเทเอื้อให้มลพิษ PM2.5 ลอยแขวนในบรรยากาศอยู่นาน ทำให้สัดส่วนแหล่งกำเนิด PM2.5 มาจากการเผาอุตสาหกรรมเกษตรมีอิทธิพลมากกว่ามลพิษจากการจราจรหรือมลพิษจากปล่องโรงงานอุตสาหกรรม

กล่าวโดยสรุปได้ว่ามลพิษ PM2.5 ในประเทศไทยในช่วงฤดูแล้งเกิดจากการเผาอุตสาหกรรมเกษตร อ้อย ข้าวโพด และข้าว เป็นหลัก และถูกซ้ำเติมด้วยการเผาอุตสาหกรรมเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งสาธารณรัฐกัมพูชา และสาธารณรัฐเมียนมาร์

คำแนะนำหลักสำหรับประชาชนในการดูแลตนเองช่วงวิกฤตมลพิษ
1. ติดตามค่าดัชนีคุณภาพอากาศในบริเวณที่ตัวเองอยู่หรือใกล้เคียงที่สุดเป็นระยะ โดยเลือกดัชนีที่สะท้อนผลกระทบต่อสุขภาพในช่วงเวลาชั่วโมงล่าสุดเป็นสำคัญ หากไม่มีค่าคุณภาพอากาศในบริเวณใกล้เคียงที่ตัวเองอยู่ การใช้เครื่องวัด PM2.5 แบบพกพา แม้ไม่แม่นยำเท่าเครื่องมาตรฐาน แต่ได้ค่าสอดคล้องกันเป็นอย่างดี มีประโยชน์ในการติดตามแนวโน้มค่ามลพิษส่วนบุคคลและสามารถร่วมกันทำเป็นเครือข่ายในพื้นที่ที่ละเอียดขึ้น (แต่มีข้อจำกัดหากวัดในที่ความชื้นสูงมาก จึงต้องหมั่นตรวจสอบและปรับค่า) ไม่ควรใช้ดัชนีคุณภาพอากาศรายวันมาใช้ในการวางแผนดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวัน


2. ปิดประตูหน้าต่าง เพื่อไม่ให้มลพิษอากาศเข้ามาสะสมในอาคาร และใช้เครื่องฟอกอากาศในอาคารที่ทำงานหรืออยู่อาศัย เช่น ห้องทำงาน ห้องนอน หรือห้องที่อยู่อาศัยเป็นเวลานาน หากปิดห้องนาน ๆ ระบบไหลเวียนอากาศไม่เพียงพอ (รู้สึกอึดอัด ปวดหรือมึนศีรษะ)ให้เปิดแง้มห้องเพื่อระบายอากาศระยะสั้น ๆ แล้วปิดตามเดิม อาจต้องทำสลับเช่นนี้จนคุณภาพอากาศลดลงมาอยู่ในระดับที่ปลอดภัยสำหรับแต่ละบุคคล

3. ควรสวมหน้ากากที่สามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ (N-95) และสวมให้ถูกวิธี จำเป็นต้องเลือกขนาดที่ใส่ได้กระชับกับรูปจมูกและใบหน้า หากเริ่มอึดอัดหรือเหนื่อยให้ถอดออกเพียงชั่วครู่ ก็จะรู้สึกสบายขึ้นแล้วรีบสวมใหม่ ทำสลับกันไปเช่นนี้จนดัชนีคุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยกับตนเอง การใส่หน้ากากN95 ที่มีวาล์วระบายลมหายใจออกจะทำให้อึดอัดน้อยลงใส่ได้นานขึ้น

4. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายนอกอาคารหรือในอาคาร(โรงยิม)ที่ไม่มีระบบฟอกอากาศนาน ๆหรืออาจต้องงดออกกำลังกายขึ้นกับระดับคุณภาพอากาศในช่วงเวลานั้นและปัจจัยเสี่ยงของแต่ละบุคคล

5. หลีกเลี่ยงการอยู่ในอาคารที่ไม่มีระบบฟอกอากาศ (เช่น โรงแรม ศูนย์การค้า ร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ที่ไม่มีระบบฟอกอากาศ) ถ้าจำเป็นต้องอยู่ควรสวมหน้ากาก N-95 และทำตามข้อ 3

6. ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง หรือโรคระบบหายใจเรื้อรัง เช่นหอบหืด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง ควรหมั่นสังเกตอาการ โรคกำเริบ ถ้ามีอาการควรใช้ยาหรือรักษาเบื้องต้นตามที่แพทย์เคยแนะนำและไปพบแพทย์โดยเร็วหากอาการไม่หายเป็นปกติ

7. ผู้ที่ไม่มีโรคประจาตัวหรือแข็งแรง ถ้ามีอาการผิดปกติที่รบกวนชีวิตประจาวันควรรีบพบแพทย์เช่นกัน อาการสำคัญที่ควรรีบไปพบแพทย์อย่างฉุกเฉิน ได้แก่ แน่นอกหรือเจ็บอกหรือเจ็บท้องใต้ลิ้นปี่เหมือนมีของหนักกดทับ เหนื่อยหอบผิดปกติ ปวดมึนศีรษะ ชาหรืออ่อนแรงที่ใบหน้าหรือแขนขาซีกใดซีกหนึ่งอย่างฉับพลัน มุมปากตก ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด พูดไม่ออก สับสน มองไม่เห็นฉับพลัน อาการไอเป็นชุด ๆ ไอมีเสียงดังหวีด มีไข้และหอบเหนื่อย เป็นต้น

8. สวมแว่นตาขนาดใหญ่ เพื่อป้องกันดวงตาจากมลพิษ ใช้น้ำเกลือมาตรฐานล้างตาหากรู้สึกระคายเคืองตา

9. ใช้น้ำเกลือล้างจมูก เพื่อล้างฝุ่นควันลดอาการคัดจมูก หรือ กลั้วคอ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอ

10. ไม่เป็นผู้ก่อมลพิษเอง เช่น ไม่เผาทุกชนิด ไม่สูบบุหรี่ ไม่ใช้รถควันดำ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ออฟฟิศเมท มอบหน้ากาก Face Shield #สู้ไปด้วยกัน กับบุคลากรทางการแพทย์

บริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน) ธุรกิจออฟฟิศเมท รวมพลังพนักงานจิตอาสาร่วมแรงร่วมใจผลิตหน้ากากป้องกันละอองฝอย (Face Shield) เพื่อป้องกันสุขอนามัยของบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเป็นด่านหน้าในการรับมือกับเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยตั้งใจเดินหน้ามอบ Face Shield ให้โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง


นางสาวพิมพ์ตะวัน ทัลวัลลิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายทรัพยากรบุคคล กล่าวว่า ออฟฟิศเมท ห่วงใยและใส่ใจสุขอนามัยของบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้รวมพลังพนักงานจิตอาสาจากทุกหน่วยงานในองค์กร ทั้งสำนักงานใหญ่, ศูนย์ Contact Center และพนักงานร้านออฟฟิศเมท #เป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ โดยร่วมผลิตหน้ากากป้องกันละอองฝอย (Face Shield) เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยป้องกันไวรัสโควิด-19 โดยหน้ากากทุกชิ้นพนักงานทำด้วยใจ ให้ความสำคัญกับความสะอาดในทุกขั้นตอน ตั้งใจส่งมอบให้แก่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมเริ่มต้นที่ 10,000 ชิ้น เพื่อ #ฝ่าโควิด19 ไปด้วยกัน โดยบริจาคที่แรกจังหวัดกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้รับเกียรติจาก พลอากาศตรี ทวีพงษ์ ปาจรีย์ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ พร้อมทีมบุคลากรทางการแพทย์เป็นผู้รับมอบ จำนวน 1,000 ชิ้น


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

DITP เปิดตัวกิจกรรมออนไลน์ “จับคู่ธุรกิจ ติดปีกการค้าออนไลน์” เตรียม SMEs ไทยส่งออกออนไลน์ข้ามแดน

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ปรับกลยุทธ์รับสถานการณ์โควิด-19 ชูระบบออนไลน์ เพื่อผลักดันการส่งออกผ่าวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัส ริเริ่มการจัดกิจกรรมออนไลน์ “จับคู่ธุรกิจ ติดปีกการค้าออนไลน์” ที่มาพร้อม Online Business Matching ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สนับสนุนและขยายโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคได้เข้าใจรูปแบบการขยายช่องทางธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศผ่านช่องทางการค้าออนไลน์ร่วมกับแพลตฟอร์มพันธมิตรชั้นนำในตลาดศักยภาพ

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ปรับรูปแบบการส่งเสริมผู้ส่งออกให้สอดรับกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ ไวรัสโควิด-19 ตามนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) โดยให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาขับเคลื่อนกิจกรรมทางการค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสอันดีในช่วงเวลานี้ที่การค้าออนไลน์กำลังได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว กรมจึงได้ริเริ่มปรับรูปแบบการเจรจาธุรกิจจากเดิมที่ทำแบบออฟไลน์สู่ช่องทางออนไลน์ หรือเรียกได้ว่า Online Business Matching อย่างเต็มรูปแบบ และจะจัดควบคู่ไปกับรายการ “จับคู่ธุรกิจ ติดปีกการค้าออนไลน์” เพื่อให้ผู้ประกอบการณ์ที่สนใจสามารถทำความเข้าใจโมเดลธุรกิจการทำการค้าออนไลน์ระหว่างประเทศ (Cross-Border eCommerce) และประเมินความพร้อมของตนก่อนเริ่มธุรกิจ ซึ่งกรมฯ ได้ผนึกกำลังกับพันธมิตรชั้นนำที่มีความหลากหลายและมีศักยภาพในตลาดเป้าหมายจากหลายประเทศในการเข้าร่วมให้คำปรึกษาและจับคู่เจรจาธุรกิจ โดยจะเริ่มครั้งแรกวันที่ 21 เมษายนนี้ กับแพลตฟอร์มในตลาดกัมพูชา – Klangthai.com และมีแผนร่วมกับแพลตฟอร์มพันธมิตรต่างๆ อาทิ Amazon.com (ตลาดอเมริกา) Bigbasket.com (ตลาดอินเดีย) และ Tmall (ตลาดจีน) เป็นต้น โดยคาดว่าจะสามารถช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการไทยได้ภายใต้ช่วงสถานกาณ์ดังกล่าว

สำหรับกิจกรรม “จับคู่ธุรกิจ ติดปีกการค้าออนไลน์” มาในลักษณะการจัดรายการออนไลน์แบบ Live Steaming ที่ผสมผสานระหว่างการให้ความรู้และกิจกรรมเวิร์กช็อปจาก Thaitrade.com จัดสลับกับการพูดคุยกันแบบเจาะลึกกับพันธมิตรธุรกิจออนไลน์จากทั่วโลก ผู้ชมสามารถสอบถามข้อสงสัยในการส่งออกและรูปแบบการทำธุรกิจได้ทันที โดยจะถ่ายทอดสดผ่านช่องทาง Facebook เพจ : Thaitrade.com พร้อมทั้งสามารถจัดทำนัดหมายต่อเนื่องเพื่อเจรจาจับคู่ทางธุรกิจผ่านทางระบบออนไลน์กับแพลตฟอร์มชั้นนำ

ทั้งนี้ กิจกรรม “จับคู่ธุรกิจ ติดปีกการค้าออนไลน์” จะเริ่มครั้งแรกกับ ผู้แทนการค้าจากแพลตฟอร์ม Klangthai.com และผู้แทนจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศที่จะมาให้ข้อมูลการเข้าร่วมขายผ่านร้าน TOPTHAI Store บนแพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลส และวิธีขายสินค้าให้เป็นที่รู้จักในตลาดออนไลน์ในกัมพูชาและทั่วโลก ในวันอังคารที่ 21 เมษายน 2563 เวลา 13.00 – 14.00 น. ถ่ายทอดสด บน Facebook page: Thaitrade.com และ ในวันที่ 22 – 24 เมษายน 2563 จะเปิดให้มีการจับคู่เจรจาธุรกิจ ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม Online Business Matching ได้ที่ www.pynx.net/ditp หรือติดตามข่าวสารของการจัดงานดังกล่าวได้ผ่านช่องทาง Facebook page: Thaitrade.com


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อเมริกันสแตนดาร์ด สนับสนุนบุคลากรสาธารณสุขและหน่วยงานภาครัฐ สู้ Covid-19 ด้วยการส่งมอบเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ

อเมริกันสแตนดาร์ด แบรนด์สุขภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก เดินหน้าให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์และหน่วยงานภาครัฐสู้ Covid-19 โดยส่งมอบเจลแอลกอฮอล์ล้างมือจำนวนมากกว่า 30,000 ขวด ให้แก่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, มูลนิธิโรงพยาบาลรามาธิบดีฯ, มูลนิธิโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า, โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต, กรมกิจการเด็กและเยาวชน และกรมกิจการผู้สูงอายุ สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, รวมทั้งหน่วยงานทหาร 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (หน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 25) และสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า วัดดอนจั่น จังหวัดเชียงใหม่

โดยเจลแอลกอฮอล์ล้างมือเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยป้องกันในเบื้องต้น อเมริกันสแตนดาร์ดขอยกย่องและชื่นชมในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรด้านสาธารณสุขที่อยู่ด่านหน้าทุกท่านในการต่อสู้กับ COVID-19


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คาลเท็กซ์ ฮาโวลีน โฉมใหม่ เพิ่มพลังแกร่ง ให้รถจักรยานยนต์ของคุณ บิดได้เต็มแรง

บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นคุณภาพระดับโลก คาลเท็กซ์ ฮาโวลีน แนะนำ ผลิตภัณฑ์ใหม่ น้ำมันเครื่องสำหรับรถจักรยานยนต์ มาตรฐาน API SN มาตรฐานสูงสุดของผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นในกลุ่มรถจักรยานยนต์ ได้แก่ น้ำมันเครื่องสำหรับรถจักรยานยนต์เกียร์ธรรมดา ฮาโวลีน ซูเปอร์ 4ที ฟูลลี่ ซินเธติก SAE 5W-40, ฮาโวลีน ซูเปอร์ 4ที เซมิ-ซินเธติก SAE 10W-30 และ ฮาโวลีน ซูเปอร์ 4ที เซมิ-ซินเธติก SAE 10W-40 และน้ำมันเครื่องสำหรับรถจักรยานยนต์เกียร์ออโตเมติก ฮาโวลีน ซูเปอร์เมติก 4ที เซมิ-ซินเธติก SAE 10W-30 และ ฮาโวลีน ซูเปอร์เมติก 4ที เซมิ-ซินเธติก SAE 10W-40 ที่ได้พัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ขึ้นใหม่โดยเฉพาะ ด้วย C.O.R.E + Technology ที่ช่วยให้เครื่องยนต์สะอาดยิ่งกว่าเดิม ลดคราบเขม่าสะสม เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มสมรรถนะ (Cleans and Protects) ต้านทานการเกิดออกซิเดชั่น รักษาความหนืดได้ดีขึ้น (Oxidation Stability) ทนทานต่อความร้อนได้ยาวนานมากขึ้น น้ำมันมีความเสถียรสูง ช่วยลดความเสียหายของเครื่องยนต์จากความร้อน (Reduces Engine Heat Damage) และเพิ่มอัตราเร่งได้ดีกว่าด้วย เทคโนโลยี ZOOMTECH ที่ช่วยปรับแรงเสียดทานให้เหมาะสมทำให้การจับคลัทช์ดีขึ้น มั่นใจในทุกสภาวะการขับขี่ พร้อมปรับเปลี่ยนดีไซน์และรูปลักษณ์บรรจุภัณฑ์โฉมใหม่ ทันสมัย ฉลากดูเด่นชัด เพื่อง่ายต่อการมองเห็น

เติมพลังแกร่ง เต็มแรงบิดด้วยนวัตกรรมสำหรับการปกป้องรถจักรยานยนต์ ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย กับผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นคาลเท็กซ์ ฮาโวลีน ได้ตั้งแต่วันนี้ ที่สถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ทั่วประเทศ ร้านตัวแทนจำหน่ายของคาลเท็กซ์ ร้าน Havoline bikePro และจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ที่Lazada และ Shopee หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมของผลิตภัณฑ์ได้ที่ โทร 02 081 4123 ติดตามข้อมูลข่าวสารพร้อมกิจกรรมดี ๆ จากคาลเท็กซ์ได้ที่ www.caltex.co.thwww.facebook.com/CaltexThailand, @Line iLoveCaltex


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ซัสโก้ มอบหน้ากากผ้าให้กรุงเทพมหานคร

นายภิมุข สิมะโรจน์ (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานกรรมการบริหาร และ นายมาวีร์ สิมะโรจน์ (ซ้ายสุด) รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) และคณะ นำหน้ากากผ้า จำนวนกว่า 2,000 ชิ้น มอบให้ นายสกลธี ภัททิยกุล (กลาง) รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความสะอาด สังกัดกรุงเทพมหานคร ได้ใช้ขณะปฏิบัติงานด้านสาธารณะประโยชน์ เป็นการป้องกันตนเองจากเชื้อ “โควิด-19” พร้อมกันนี้ นายพรชัย พรศิริโกศล ผู้จัดการ Turkish Airlines Global Lounge ได้ร่วมมอบหน้ากากเฟสชิลล์ (ที่ 2 จากขวา) ด้วย ณ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เมื่อเร็วๆ นี้


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

วาปีปทุม เจ๋งผุดนวัตกรรม “ตู้ต้านโควิด”

สส.กำชับเครือข่ายตำบลสุขภาวะเข้มมาตรการชุมชนป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ทต.วาปีปทุม เจ๋งผุดนวัตกรรม “ตู้ต้านโควิด” ฆ่าเชื้อ ลดภาระหมอ-พยาบาล ด้านทต.ไทรย้อย ห่วงใย อสม.จัดซื้อเครื่องวัดอุณภูมิ-เจลแอลกกอฮอล์ อุปกรณ์ป้องกันตัวก่อนปฏิบัติงาน

น.ส.ดวงพร เฮงบุณยพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สำนัก 3) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส.สนับสนุนท้องถิ่นดำเนินโครงการเฝ้าระวังโรคติดต่อและโรคอุบัติใหม่ โดยจัดสรรงบประมาณให้แก่ตำบลสุขภาวะ 54 แห่ง และเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.)/คณะกรรมการพัฒนาตำบลอีก 424 ตำบล รวม 478 ตำบลเพื่อทำแนวทางเฝ้าระวัง ควบคุม และกำหนดมาตรการชุมชนป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด–19 พร้อมกำชับให้ภาคีเครือข่ายตำบลสุขภาวะทั้ง 2,979 ตำบล เข้มงวดมาตรการชุมชนด้วย ซึ่งหลายพื้นที่ตื่นตัวป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเทศบาลตำบล(ทต.) วาปีปทุม อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม พัฒนานวัตกรรม “ตู้ต้านโควิด” เป็นการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมาช่วยแก้ปัญหาสังคม โดยใช้น้ำอิเล็กโทรไลซ์ ค่า PH 5.5-6.5 ชนิดกรดอ่อนใกล้เคียงกับสภาวะผิวหนังคน ไม่ทำให้กัดกร่อน ซึ่งเป็นกรดไฮโปคลอรัส ความเข้มข้น 20-30 PPm มีประสิทธิภาพฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ในกลุ่มแบคทีเรียและไวรัสได้มากกว่า 99% ทดแทนแอลกอฮอล์ ซึ่งเทศบาลได้ทำประดิษฐ์ตู้ต้านโควิค-19 ครั้งแรกจำนวน 3 ตู้

       “ทต.วาปีปทุม ให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการปฏิบัติตัวทั้งกลุ่มเสี่ยงและไม่เสี่ยงอย่างเข้มข้น และใช้ประโยชน์จากข้อมูลตำบล (TCNAP) ติดตั้ง “ตู้ต้านโควิด” ไว้ที่สถานนีขนส่ง 1 จุด ตลาดสด 1 จุด เทศบาล 1 จุด เพราะเป็นจุดเสี่ยงที่มีผู้คนเข้าออก ยากต่อการควบคุมและคัดกรอง สำหรับตู้ต้านโควิด เป็นการคัดกรองเบื้องต้น ช่วยลดภาระการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ มีการกำหนดจุดให้ผู้เดินทางมีระยะห่างทางสังคม ยืนตามจุดที่กำหนดห่างกัน 1 เมตร ล้างมือที่อ่างล้างมือก่อน เช็ดมือให้แห้ง ก่อนเข้าตู้ต้านโควิด -19 เพื่อฆ่าเชื้อโรค 10 วินาที/คน นอกจากนี้ยังทำอ่างล้างมือเคลื่อนที่ โดยใช้วัสดุอุปกรณ์จากขยะรีไซเคิลโดยนำมาดัดแปลงเป็นอ่างล้างมือเอนกประสงค์ เพื่อให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงล้างมือทำความสะอาดฆ่าเชื้อคลอบคลุมทุกพื้นที่”น.ส.ดวงพร กล่าว

        นายสมเกียรติ เกรียงไกรอนันต์ นายกเทศมนตรีตำบลไทรย้อย อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ศูนย์ประสานงานลดโลกร้อน (ศปง.) ภายใต้การสนับสนุนของ สสส. กล่าวว่า ทางเทศบาลฯ ได้ประสานความร่วมมือกันทั้ง 4 องค์กรหลัก ทั้งเทศบาล กำนันผู้ใหญ่บ้าน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) และภาคประชาชน อย่างใกล้ชิด มีการประชุมรายงานสถานการณ์เป็นระยะ จนถึงวันนี้สถานการณ์ในพื้นที่ยังปกติ ประชาชนไม่ตื่นตระหนกเพราะทุกคนดูแลตัวเองเป็นอย่างดี มีการใช้เสียงตามสายไปยัง 17 หมู่บ้าน สร้างความรู้ความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง สำหรับผู้ที่เข้าสู่พื้นที่ต้องผ่านจุดคัดกรองที่ รพ.สต.ทั้ง 2 แห่ง ซึ่งกลไกที่ช่วยให้เทศบาลตำบลไทรย้อยทำงานอย่างมั่นใจคือมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.)ที่เข้มแข็ง คอยออกตรวจ คัดกรองตามชุมชนต่างๆ โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางกลับมาจากกรุงเทพฯ และต่างประเทศ

        “ขณะนี้เทศบาลเร่งจัดซื้อเครื่องวัดอุณหภูมิแบบเลเซอร์ด้วยงบของเทศบาลเองให้ทั้ง 17 หมู่บ้าน พร้อมมอบเจลแอลกอฮอล์ จัดหาอุปกรณ์ทำหน้ากาก เพื่อให้ทีม อสม.ทำงานอย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ” นายสมเกียรติกล่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ใส่หน้ากากอย่างไร ให้ถูกหลักอนามัย และปลอดภัยจากโควิด-19

ในช่วงเวลาที่ทั่วโลกเข้าสู่ภาวะวิกฤตจากการติดเชื้อโควิด-19( COVID -19 ) ถือเป็นโรคติดต่ออันตราย ซึ่งประชาชนทุกคนต่างต้องระมัดระวังตนเองเป็นอย่างมาก เพื่อป้องกันมิให้ได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ทั้งทางเดินหายใจ หรือ จากการสัมผัสถูกสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย การป้องกันตนเองประกอบไปด้วยการล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่ หรือ แอลกอฮอล์เจล และการใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งในเวลานี้ประชาชนต่างดูแลตนเองอย่างระมัดระวัง แต่หากการป้องกันตัวเองแบบผิดวิธี นอกจากจะไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อได้แล้ว ยังส่งผลให้เกิดผลเสียข้างเคียงได้อีก บทความจากสมาคมโรคผิวหนังแห่งประเทศไทยนี้ จะแนะนำวิธีการใส่หน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี โดยไม่ให้เกิดผลข้างต่อผิวหนัง

หลักการใส่หน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธีคำนึงดังนี้

1.ความสะอาดของหน้ากากอนามัย  เนื่องจากหน้ากากอนามัยมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้เชื้อจากผู้ป่วยติดต่อสู่ผู้อื่น และยังป้องกันมิให้มีการรับเชื้อจากผู้ป่วยเข้าสู่ร่างกายเราเช่นกัน ดังนั้น หน้ากากอนามัยที่ดีจะต้องมีความสะอาด ได้มาตรฐาน สามารถป้องกันเชื้อโรคจากสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยได้ การซื้อหน้ากากอนามัยจะต้องหาซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ถูกหลักการป้องกันโรค  และเมื่อมีการสัมผัสถูกสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยแล้ว ไม่ควรนำกลับมาใช้อีก ควรเปลี่ยนเป็นอันใหม่ที่สะอาดเพื่อความปลอดภัย ทุกครั้งที่ทิ้งหน้ากากอนามัย ควรทิ้งในอุปกรณ์ที่ปิดมิดชิด เพื่อป้องกันผู้อื่นมาสัมผัสและได้รับเชื้อนั้นไป  การซักหน้ากากอนามัย ควรทราบว่าหน้ากากชนิดไหน ซักได้ หรือ ซักไม่ได้ เช่น หน้ากากที่ตัดเย็บมาจากผ้าสามารถนำมาซักได้ ควรใส่ วันต่อวัน ซักและตากแดดทุกวัน ต่างจากหน้ากากอนามัยที่เป็นหน้ากากทางการแพทย์ (Surgical mask ) การซักจะทำให้ความสามารถในการป้องกันเชื้อ ลดลงอย่างมาก ส่วนหน้ากากทางการแพทย์ชนิดอื่นเช่น N95 ยังแนะนำให้ใช้ในกรณีป้องกันเชื้อที่ติดต่อทางอากาศเท่านั้น ซึ่งจากข้อมูลขณะนี้โควิด-19 ยังเป็นเชื้อที่ติดต่อกันทางสารคัดหลั่งซึ่งหน้ากากอนามัยสามารถป้องกันได้

2.ใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง : การใส่หน้าการจำเป็นต้องใส่ให้ถูกวิธี ถูกด้าน ถูกฝั่ง ดังรูปที่แสดง
หน้ากากอนามัยต้องปิดคลุมทั้งจมูกและปาก ครอบคลุมตั้งแต่สันจมูกคนถึงคาง เพื่อป้องกันสารคัดหลั่งติดสู่ผู้อื่น เวลาสวมหน้ากากสัมผัสแต่หูเกี่ยวเท่านั้น พยายามไม่สัมผัสถูกด้านในที่ติดกับจมูกและปาก นอกจากจะต้องใส่หน้ากากอนามัย ให้ถูกต้องแล้วยังต้องเลือกขนาดหน้ากากให้ถูกกับขนาดของหน้าผู้ใส่  การใส่หน้ากากอนามัยจะต้องไม่แน่นอึดอัดจนเกินไป  จนทำให้หายใจไม่สะดวกหรือเกิดรอยกดทับบนใบหน้า และจะต้องไม่หลวมจนหลุดออกจากจมูกทำให้การป้องกันไม่มีประสิทธิภาพ การใช้มือจับหน้ากากหรือขยับหน้ากากบนหน้าบ่อย ๆ ไม่เป็นการส่งผลดีต่อผู้ใส่ และยังทำให้ง่ายต่อการปนเปื้อนของเชื้อเข้าสู่ผู้ใส่เอง

3.ระยะเวลาของการใส่หน้ากาก ปกติแล้วเราไม่สามารถใส่หน้ากากอนามัยได้ตลอด 24 ชั่วโมง การใส่หน้ากากอนามัยเป็นเวลานาน ๆ อาจก่อให้เกิดอาการผื่นแพ้คัน จากการสัมผัสถูกเหงื่อ คราบสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่ภายใต้หน้ากากอนามัยหรือผิวหนังที่ต้องอยู่ภายใต้ความร้อน ความอับชื้น อาจก่อให้เกิดสิวหรือการติดเชื้อของผิวหนังบริเวณที่ใส่หน้ากาก ดังนั้นหากไม่จำเป็นสมควรใส่หน้ากากอนามัยเฉพาะในช่วงเวลาที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเท่านั้น เช่น การเข้าใกล้ผู้ที่ติดเชื้อ หรือ เข้าไปในที่ชุมชนแออัด หรือที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก การล้างหน้าหรือเช็ดทำความสะอาดบริเวณที่สัมผัสหน้ากากเพื่อให้ผิวหนังสะอาดอยู่เสมอ อาจไม่ใช่ทางแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง เพราะการสัมผัสถูกน้ำ หรือ น้ำยาทำความสะอาดบ่อย ๆอาจเกิดผลเสียและระคายเคืองต่อผิวหนังบริเวณนั้นได้

ทางสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย มีความเป็นห่วงประชาชนที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งยังคงต้องเผชิญกันต่อไปอีก  การรับมือกับภาวะวิกฤตครั้งนี้ จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนไทยและทั่วโลกทุกคน การป้องกันตัวเองอย่างมีสติจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก

โดย พญ.สุพิชญา ไทยวัฒน์


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

สมาคมแพทย์ผิวหนังฯ เปิดเว็บเพจและคลิปวิดีโอ ป้องกันโควิด-19

สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เป็นสมาคมที่ส่งเสริมการประกอบวิชาชีพเวชกรรมทางด้านผิวหนังให้แพร่หลายกว้างขวางอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการและให้การสนับสนุนส่งเสริมการวิจัยและเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน นี่คือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ เราทุกคนมีส่วนช่วยสกัดกั้นการแพร่ระบาดของการติดเชื้อโควิด-19 ไม่ให้หนักหน่วงไปกว่านี้  จึงจัดทำคลิปวิดีโอรณรงค์การป้องกันโควิด-19 ประชาชนทั่วไป COVID-19 Fighting By DST

โดยคณะแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิและกรรมการบริหารสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย สามารถรับชมได้ที่ลิงค์ https://youtu.be/z3w2Rr6nfVw โรคผิวหนังที่ไม่เร่งด่วนสามารถดูแลตัวเองที่บ้าน หรือหากไม่แน่ใจ สอบถามที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ “ครบเครื่องเรื่องผิวหนัง” สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยhttps://www.facebook.com/allaboutskin.thaiderm456


 

Exit mobile version