Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ปลื้ม คว้าใบรับรองความปลอดภัยทางไซเบอร์ขั้นสูง ให้โซลูชั่น EcoStruxure™ IT DCIM ได้สำเร็จเป็นเจ้าแรกในอุตสาหกรรม

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ ประกาศการเป็นเจ้าแรกในอุตสาหกรรมที่ Network Management Card 3 (NMC3) ของแพลตฟอร์ม EcoStruxure IT ได้รับใบรับรองความปลอดภัยทางไซเบอร์ในระดับที่เหนือชั้นขึ้นไปอีก โดยเป็นการ์ดจัดการเครือข่ายสำหรับการบริหารโครงสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ หรือ Data Center Infrastructure Management (DCIM) รายแรกในอุตสาหกรรมที่ได้รับมาตรฐาน IEC 62443-4-2 Security Level 2 (SL2) จาก IEC ซึ่งเป็นคณะกรรมการอิเล็กโทรเทคนิคระหว่างประเทศ (IEC)

TÜV Rheinland หนึ่งในผู้ให้บริการด้านการทดสอบชั้นนำรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้ให้การรับรองแพลตฟอร์ม NMC3 ด้วยความเป็นกลาง เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าจากผู้ผลิตที่ออกแบบมาสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์และสภาพแวดล้อม IT แบบกระจายศูนย์ จะเป็นไปตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด โดยผ่านการทดสอบ และการประเมินอย่างละเอียด

การรับรองความปลอดภัยไซเบอร์ใหม่ในระดับสูงนี้ นับเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมด้านการดำเนินงานด้วยความปลอดภัย และเพิ่มการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยการรับรอง SL2 มีข้อกำหนดที่เข้มงวดมากขึ้น และให้ความยืดหยุ่นด้านความปลอดภัยที่สูงกว่าระดับ SL1 ที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้รับในปีที่ผ่านมา

นอกจากมาตรฐานใหม่แล้ว TÜV Rheinland ยังให้การรับรองชไนเดอร์ อิเล็คทริค และกระบวนการทำงานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ อาทิ NMC3 ว่าเป็นไปตามข้อกำหนด ISASecure® Secure Development Lifecycle Assurance (SDLA)

เทคโนโลยี NMC3 ถูกผสานรวมอยู่ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ภายใต้ EcoStruxure IT DCIM ส่วนใหญ่ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค โดยให้การทำงานและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถเข้าถึงได้จากระยะไกลผ่านเครือข่าย สำหรับการควบคุมระบบไฟฟ้าและระบบโครงสร้างด้านการระบบความร้อนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง

“จากรายงาน Allianz Risk Barometer ประจำปี 2024 พบว่าปัญหาทางไซเบอร์ถูกจัดอันดับให้เป็นความกังวลอันดับหนึ่งของธุรกิจ โดยมีการรายงานค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่มากกว่า 4 ล้านดอลลาร์ต่อเหตุการณ์ เราจึงเข้าใจได้ว่าทำไมความปลอดภัยไซเบอร์ถึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ สำหรับ CIOs” เควิน บราวน์ รองประธานอาวุโสด้าน EcoStruxure IT และธุรกิจศูนย์ข้อมูลของชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “การได้รับการรับรองความปลอดภัยไซเบอร์ด้วยมาตรฐาน IEC 62443-4-2 SL2 และ ISASecure® SDLA ทำให้ชไนเดอร์ อิเล็คทริคเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่มีการรับรองทั้งสองด้าน จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานหลัก”

ลดความซับซ้อนในกระบวนการติดตั้งเฟิร์มแวร์

หลายบริษัทต่างพบอุปสรรคในการคอยติดตามการอัปเดตเฟิร์มแวร์ ลูกค้าองค์กรหลายรายบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน และระบบทำความเย็นหลัก ด้วยเครื่องมือการบริหารจัดการภายในองค์กร เครื่องมือบริหารจัดการเครือข่ายจากผู้ให้บริการรายอื่นๆ หรือระบบบริหารจัดการอาคาร ซึ่งระบบเหล่านี้ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่เฟิร์มแวร์ที่มีการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ปลายทาง โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมเอดจ์และการทำงานแบบกระจายศูนย์ จึงจำเป็นต้องมีการอัปเดต ระบบ EcoStruxure IT Secure NMC มีการจัดการเฟิร์มแวร์ที่ฝังอยู่ภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยเครื่องมือใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ โดยเครื่องมือ Secure NMC System Tool จะเปลี่ยนแปลงกระบวนการที่ยุ่งยาก ทั้งการค้นหา และการติดตั้งเฟิร์มแวร์เวอร์ชั่นล่าสุดบนอุปกรณ์ทั้งหมด ทำให้กระบวนการทำงานเร็วขึ้นถึง 90% ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องค้นหาเฟิร์มแวร์แบบเฉพาะกิจอีกต่อไป ไม่ต้องตรวจสอบว่าเฟิร์มแวร์นั้นเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดสำหรับอุปกรณ์หรือไม่ และไม่ต้องอ่านบันทึกการเปลี่ยนแปลงเพื่อทำความเข้าใจว่ามีอะไรรวมอยู่ในเวอร์ชั่นใหม่ก่อนที่จะดาวน์โหลดและอัปเดตอุปกรณ์ เพราะเครื่องมือ Secure NMC System Tool จะแจ้งเตือนลูกค้าเมื่อมีเฟิร์มแวร์ใหม่ที่พร้อมใช้งาน และแนะนำขั้นตอนการติดตั้งเวอร์ชั่นใหม่

ประโยชน์ของระบบ Secure NMC ได้แก่

  1. หมดปัญหากังวลใจเรื่องระบบไม่ทันสมัย โดยช่วยให้บริหารจัดการเฟิร์มแวร์ได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้นถึง 90% และช่วยลดความเสี่ยง
  2. ดำเนินการสอดคล้องตามข้อบังคับอย่างต่อเนื่องโดยลูกค้าจะมีแนวทางในการอัปเดตความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและระบบทำความเย็นหลักที่เป็นระบบและได้มาตรฐาน
  3. ลดความเสี่ยงต่อการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น การรับรองมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ IEC 62443-4-2 SL2 และ ISASecure® SDLA เมื่อมารวมกับเครื่องมือระบบ Secure NMC ช่วยให้มั่นใจได้ว่าอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อได้รับการป้องกันอีกระดับ ด้วยการอัปเดตความปลอดภัยล่าสุด

“EcoStruxure IT มอบแนวทางที่มีประสิทธิภาพให้กับลูกค้า ให้ความยืดหยุ่นในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานไอทีได้ตามต้องการโดยง่ายดาย รวมถึงการบริหารจัดการได้สอดคล้องตามข้อบังคับด้านความปลอดภัยไซเบอร์ เพราะการรักษาความปลอดภัยไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องยุ่งยาก” บราวน์กล่าว “เราเป็นรายแรกในอุตสาหกรรมที่นำเสนอทางออกดังกล่าว ขณะที่เรายังคงมุ่งมั่นในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่ให้ความยืดหยุ่น ปลอดภัย และยั่งยืน”

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ EcoStruxure IT ระบบ Secure NMC คลิกได้ที่นี่ การรับรองความปลอดภัยไซเบอร์ IEC 62443-4-2 SL2 ใหม่สามารถดูได้ที่นี่ การใช้งานเฟิร์มแวร์ต้องสมัครสมาชิก Secure NMC ก่อนเพื่อเข้าถึงเฟิร์มแวร์ที่ได้รับการรับรอง IEC ผ่านเครื่องมือ Secure NMC System


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จับมือ กรีนเยลโล่ ปรับโซลูชั่นระบบปรับอากาศใหม่ทั้งโรงงานเพื่อประสิทธิภาพที่ยั่งยืน

นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ประเทศไทย ลาว เมียนมา ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง กับ นายสเตฟาน ดูเฟรน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์และพันธมิตร กรีนเยลโล่ ประเทศไทย เพื่อยกระดับระบบปรับอากาศ HVAC ด้วยการออกแบบใหม่ตามเทคโนโลยีล่าสุดในโรงงานผลิตของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ณ นิคมอุตสาหกรรมบางปู เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ พร้อมทั้งรองรับสายการผลิตในอนาคต โดย กรีนเยลโล่ จะใช้โซลูชั่นจาก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่มีจุดเด่นในการสร้างความยั่งยืน พร้อมกันนี้ กรีนเยลโล่ จะดูแลเรื่องการบริการ การบำรุงรักษา ตามมาตรฐานของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค อีกด้วย

ความร่วมมือในครั้งนี้ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และ กรีนเยลโล่ มีเจตนารมณ์เดียวกัน คือ การยกระดับและตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล เพื่อสร้างความยั่งยืน โดยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและค่าบำรุงรักษา พร้อมทั้งลดการปล่อยคาร์บอนได้ในคราวเดียวกัน ซึ่งได้คาดการณ์ไว้ว่า หลังจากการติดตั้งระบบต่างๆ พร้อมใช้งาน จะช่วยให้โรงงานชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในประเทศไทย ลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 720 ตัน ต่อปี

เทคโนโลยีที่ กรีนเยลโล่ ใช้ในการปรับปรุงและยกระดับระบบปรับอากาศ HVAC ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมต่อกันได้แบบ IoT เซ็นเซอร์ที่ใช้ในการตรวจจับและรวบรวมข้อมูล โดยใช้ซอฟต์แวร์ EcoStruxure Building Operation รุ่นล่าสุด ช่วยในการบริหารจัดการอาคาร สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพในแบบเรียลไทม์ ลดกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อน ลดต้นทุนด้านการซ่อมบำรุง และที่สำคัญช่วยให้สามารถใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังมีความพร้อมในการถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านผู้เชี่ยวชาญของโรงงาน โดยใช้โรงงานเป็นต้นแบบและกรณีศึกษา ในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อให้คู่ค้าและลูกค้าที่มีเป้าหมายเดียวกัน ได้เห็นผลลัพธ์ที่แท้จริงตามเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และ Net Zero ในอนาคตอีกด้วย


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ปรับโฉมดาต้าเซ็นเตอร์ ให้พร้อมสำหรับ AI

โดย นาตาลยา มากาโรชกีนา รองประธานอาวุโส, Secure Power International, ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

ในปีที่ผ่านมา ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เติบโตอย่างรวดเร็วเหมือนการมาถึงของยุคดิจิทัล ที่สะท้อนภาพการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วสู่การใช้งานอินเทอร์เน็ตในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามาปฏิวัติอุตสาหกรรม และนิยามการใช้ชีวิตประจำวันในรูปแบบใหม่ อีกทั้งสร้างผลกระทบมากมายอย่างรวดเร็ว

แรงกระเพื่อมของ AI มีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มอย่างมากมายภายในไม่กี่ปีข้างหน้า การลงทุนด้าน generative AI ในปี 2023 มีมูลค่าสูงถึง 25,200 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าเม็ดเงินที่ลงทุนในปี 2022 ถึงเกือบ 9 เท่า และเมื่อเทียบเงินลงทุนในปี 2019 นับว่าเป็นอัตราเพิ่มที่สูงในราว 30 เท่า ทีเดียว เหล่านี้คือข้อเท็จจริงที่ถูกหยิบยกมาไฮไลท์ในรายงาน AI Index ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด

การเติบโตของ AI ยังชี้ให้บรรดาบริษัทดาต้าเซ็นเตอร์ เห็นถึงโอกาสในการสร้างนวัตกรรมและขยายการนำเสนอบริการใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการเปลี่ยนมาใช้แอปพลิเคชั่นที่ขับเคลื่อนด้วย AI รวมถึงตัวองค์กรเองเช่นกัน ซึ่งการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ พร้อมปรับโครงสร้างพื้นฐานและการดำเนินการให้เหมาะสม จะช่วยให้ศูนย์ข้อมูลมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการใช้งาน AI ในภาคส่วนต่างๆ อย่างแพร่หลายได้ประสบความสำเร็จ

อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้มาพร้อมต้นทุนที่ต้องจ่าย ปัจจุบัน AI ต้องการพลังงานจากศูนย์ข้อมูล 4.3 กิกะวัตต์ โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 18 กิกะวัตต์ภายในปี 2028 ซึ่งจะทำให้ความต้องการพลังงานจากศูนย์ข้อมูล แซงหน้าอัตราเติบโตของความต้องการด้านพลังงานในปัจจุบัน ทำให้ผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลต้องพบกับความท้าทายทั้งเรื่องของสมรรถนะ และความยั่งยืน ศูนย์ข้อมูลจึงต้องปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับความต้องการด้านพลังงานที่เปลี่ยนสู่การขับเคลื่อนด้วย AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

การขับเคลื่อนด้วย AI ต้องอาศัยศูนย์ข้อมูลแห่งอนาคต ไม่ใช่แค่การเพิ่มแอปพลิเคชั่นเข้าไปในศูนย์ข้อมูลที่มีอยู่ แต่ต้องใช้สถาปัตยกรรมที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานไอทีเฉพาะด้าน ระบบไฟฟ้า และระบบระบายความร้อนที่ออกแบบมาเฉพาะเช่นกัน

สร้างความยั่งยืน ให้ AI ดาต้าเซ็นเตอร์

เราคาดการณ์ว่าเวิร์กโหลด AI จะโตเร็วกว่าเวิร์กโหลดของศูนย์ข้อมูลแบบเดิมถึง 2-3 เท่า และคิดเป็น 15-20 เปอร์เซ็นต์ ของความจุของศูนย์ข้อมูลทั้งหมดภายในปี 2028  โดยจะมีเวิร์กโหลดจำนวนมากย้ายมาที่เอจด์ ซึ่งอยู่ใกล้ผู้ใช้ปลายทางมากขึ้น

การฝึกฝนโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM – Large Language Models) ต้องใช้ GPU หลายพันตัวทำงานร่วมกันในคลัสเตอร์ AI ขนาดใหญ่ ขนาดของคลัสเตอร์จะอยู่ที่ประมาณ 1 – 2 เมกะวัตต์ โดยที่ความหนาแน่นของแร็คจะอยู่ระหว่าง 25 -120 กิโลวัตต์ ขึ้นอยู่กับรุ่นและปริมาณของ GPU ซึ่งลักษณะเฉพาะเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างมากในเรื่องการใช้พลังงาน

ปัจจุบันศูนย์ข้อมูลส่วนใหญ่สามารถรองรับความหนาแน่นของพลังงานในแร็คสูงสุดได้เพียง 10 ถึง 20 กิโลวัตต์ ฉะนั้นในการติดตั้งแร็คจำนวนหลายสิบหรือหลายร้อยแร็ค โดยที่แต่ละแร็คใช้พลังงานเกิน 20 กิโลวัตต์ จะทำให้ศูนย์ข้อมูลในคลัสเตอร์ AI ต้องเจอกับความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างมาก ซึ่งชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีความเชี่ยวชาญในการปรับโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพให้ตอบสนองความต้องการด้าน AI ได้อย่างเหมาะสม โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมในไซต์มาช่วย จึงสามารถสนับสนุนให้ลูกค้าเปลี่ยนการตั้งค่าจากความหนาแน่นต่ำ (low-density) เป็นความหนาแน่นสูง (high-density) ได้เหมาะสมต่อการใช้งาน

ล่าสุดชไนเดอร์ อิเล็คทริคได้ร่วมมือกับ NVIDIA เพื่อปฏิวัติโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูล ซึ่งช่วยสร้างความก้าวหน้าในเทคโนโลยี edge AI และ digital twin ซึ่งนอกจากชไนเดอร์ อิเล็คทริคจะเปิดตัวดีไซน์อ้างอิง สำหรับงานดัดแปลง หรือ retrofit ถึงสามแบบ สำหรับผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลที่ต้องการเพิ่มคลัสเตอร์ AI ในสถานที่เดิมที่มีอยู่ ยังได้เปิดตัวดีไซน์ใหม่ที่สามารถปรับขยายได้ สำหรับผู้ให้บริการที่ต้องการสร้างพื้นที่ไอทีสำหรับคลัสเตอร์ AI โดยเฉพาะ  ซึ่งเป็นดีไซน์สำหรับคลัสเตอร์เร่งการประมวลผลของ NVIDIA โดยดีไซน์เหล่านี้ ได้ถูกปรับให้เหมาะกับการใช้งานด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผลข้อมูล การจำลองทางวิศวกรรม การออกแบบอิเล็กทรอนิกส์อัตโนมัติ การออกแบบยาโดยใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วย รวมถึง Generative AI

ดีไซน์อ้างอิงเหล่านี้ จะให้เฟรมเวิร์กที่มั่นคงเพื่อตอบโจทย์ความต้องการเวิร์กโหลด AI ที่เพิ่มขึ้น โดยผสานการทำงานของแพลตฟอร์มเร่งการประมวลผลของ NVIDIA ร่วมกับดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รองรับการปรับขยายและให้ความยั่งยืน

การที่ศูนย์ข้อมูลมีต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นและใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น จึงต้องให้ความสำคัญเรื่องฮาร์ดแวร์และโครงสร้างพื้นฐานที่ประหยัดพลังงาน รวมถึงแหล่งจ่ายไฟที่มีประสิทธิภาพสูง และแหล่งพลังงานหมุนเวียน เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงาน ลดปริมาณการปล่อยคาร์บอน ซึ่งการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานของชไนเดอร์ อิเล็คทริค นอกจากจะช่วยรองรับการทำงานของ AI ยังช่วยแก้ไขปัญหาพลังงานในอนาคต เอื้อต่อการพัฒนาศูนย์ข้อมูลที่ปรับขยายได้

การรักษาศูนย์ข้อมูล AI ให้เย็นอยู่เสมอ

ศูนย์ข้อมูล AI สร้างความร้อนในปริมาณมาก จึงต้องใช้การระบายความร้อนด้วยของเหลว เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงาน ที่ดีที่สุด ให้ความยั่งยืน และเชื่อถือได้

ในอีกมุมหนึ่ง ระบบระบายความร้อน ที่ไม่ได้รวมอยู่ในโครงสร้างพื้นฐานไอที ยังใช้พลังงานมากเป็นอันดับสองสำหรับศูนย์ข้อมูลแบบดั้งเดิม โดยคิดเป็น 20 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ของการใช้พลังงานทั้งหมดในศูนย์ข้อมูล

การระบายความร้อนด้วยของเหลวเป็นสถาปัตยกรรมที่ให้ประโยชน์มากสำหรับบริษัทที่ให้บริการศูนย์ข้อมูล เช่น การช่วยให้ใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้พื้นที่น้อยลง มีต้นทุนต่ำกว่า เสียงรบกวนน้อยลง และอื่นๆ อีกมากมาย โดยบริษัทศูนย์ข้อมูลในเอเชียกำลังเปลี่ยนมาใช้การระบายความร้อนด้วยของเหลวอย่างจริงจัง เพื่อลดการใช้พลังงาน

เมื่อความต้องการพลังประมวลผล AI เพิ่มมากขึ้น ทำให้ต้องแบกรับความร้อนที่เพิ่มขึ้นตาม การระบายความร้อนด้วยของเหลวจึงกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในการออกแบบศูนย์ข้อมูล การใช้แนวทางที่สร้างสรรค์ ครอบคลุม และยืดหยุ่นจึงเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งชไนเดอร์ ให้การสนับสนุนลูกค้าเรื่องการนำระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวมาใช้ มีโซลูชั่นหลากหลาย ครอบคลุมทั้งในส่วนพื้นที่ที่ไม่มีการใช้งาน (white space solutions) ตลอดจนกลยุทธ์ด้านการระบายความร้อน

นอกจากนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริคยังได้เผยแพร่เอกสารฉบับใหม่เมื่อไม่นานมานี้ ชื่อว่า “การนำร่องด้วยสถาปัตยกรรมระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวสำหรับศูนย์ข้อมูลสำหรับเวิร์กโหลด AI” ข้อมูลนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยนำร่องให้บริษัทศูนย์ข้อมูลสามารถก้าวข้ามความซับซ้อนของระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว พร้อมให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการออกแบบระบบ การนำไปใช้งาน และข้อควรพิจารณาในการปฏิบัติงาน

AI กับผลกระทบด้านความยั่งยืน

ผลกระทบของ AI เหมือนเหรียญสองด้าน แม้ AI ให้ศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน แต่ก็สร้างความกังวลเรื่องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมบางรายคาดการณ์ว่าการประมวลผลแบบเร่งความเร็ว ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนการปฏิวัติ AI จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ในขณะที่ใช้ทรัพยากรโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลน้อยลง เมื่อการประมวลผลถูกเร่งความเร็ว ความหนาแน่นของแต่ละแร็คก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้จำนวนแร็คในศูนย์ข้อมูลลดลงมาก โดยหลักๆ คือการประมวลผลแบบเร่งความเร็วให้ศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมได้มาก

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการประเมินผลกระทบของ AI ในวงกว้างอย่างรอบคอบทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงาน โดย Gartner เปิดเผยว่า 80% ของซีไอโอ จะใช้ตัวชี้วัดประสิทธิภาพที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนขององค์กรไอทีภายในปี 2027 การที่บริษัทต่างๆ ตั้งเป้าเพื่อลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยคาร์บอนในระบบไอที รวมถึงในศูนย์ข้อมูล จำเป็นจะสร้างพื้นฐานข้อมูลจากข้อเท็จจริง สามารถเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ และเข้าถึงข้อมูลในอดีตได้

ซอฟต์แวร์ช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถวัดผล และรายงานประสิทธิภาพของศูนย์ข้อมูล โดยอิงจากข้อมูลในอดีต และวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคต ซอฟต์แวร์ EcoStruxure IT สำหรับการจัดการโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูลของชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีการผสานรวม AI และการมอนิเตอร์แบบเรียลไทม์ เพื่อเปลี่ยนเป็นข้อมูลเชิงลึกให้ลูกค้านำมาใช้ดำเนินการเพื่อปรับปรุงความยั่งยืน ซึ่งจากการศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยรวมของ Forrester จัดทำโดย ชไนเดอร์ อิเล็คทริค พบว่าบริษัทต่างๆ สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าได้มากถึง 22.5% โดยใช้ความสามารถในการจัดการพลังงานขั้นสูงของ จาก EcoStruxure ที่ช่วยปรับการใช้พลังงานและประสิทธิภาพการระบายความร้อนได้เหมาะสมที่สุด

การเปิดตัวฟีเจอร์การรายงานความยั่งยืนอัตโนมัติรูปแบบใหม่ล่าสุด สำหรับซอฟต์แวร์ EcoStruxure IT ช่วยให้มองเห็นการใช้พลังงานและทรัพยากร มีการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีต และการวัดผลโดยละเอียดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ฟีเจอร์เหล่านี้ผสานความเชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน กฎระเบียบข้อบังคับ ศูนย์ข้อมูล รวมถึงความเชี่ยวชาญในการการพัฒนาซอฟต์แวร์ มากว่า 20 ปี รวมถึงแมชชีนเลิร์นนิ่ง เพื่อช่วยให้องค์กรต่างๆ ปฏิบัติตามข้อกำหนดการรายงานด้านกฎระเบียบที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ในอนาคต

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มุ่งสร้างความยั่งยืนให้ศูนย์ข้อมูล

การที่ศูนย์ข้อมูลทำงานโดยอาศัยพลังงานจำนวนมาก ทำให้เกิดความท้าทายต่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มุ่งมั่นในการช่วยให้ศูนย์ข้อมูลดำเนินการอย่างรับผิดชอบ เพื่อส่งเสริมอนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน ลดการปล่อยคาร์บอน และเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน

ตัวอย่างหนึ่งของความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในความร่วมมือกับอุตสาหกรรม โดยชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง Infrastructure Masons Climate Accord ร่วมกับบริษัท 50 แห่ง โดยมีข้อตกลงและจุดมุ่งหมายเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ และพลังงานของโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล นอกจากนี้ ข้อตกลงดังกล่าวยังมุ่งที่การกำหนดมาตรฐานระดับโลก สำหรับบัญชีคาร์บอนในโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมให้บรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน

นอกจากนี้ ชไนเดอร์ ยังได้เปิดตัวคู่มือฉบับแรกของอุตสาหกรรม เพื่อรับมือกับความท้าทายในการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพสำหรับศูนย์ข้อมูลใหม่ เพื่อรองรับเวิร์กโหลดที่เกิดจาก AI ซึ่งกำหนด gold standard ด้วยการออกแบบศูนย์ข้อมูลที่ปรับให้เหมาะกับ AI เอกสารเผยแพร่ดังกล่าวมีชื่อว่า “การเปลี่ยนแปลงของ AI: ความท้าทายและแนวทางสำหรับการออกแบบศูนย์ข้อมูล” จะให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าและทำหน้าที่เป็นต้นแบบที่สมบูรณ์สำหรับบริษัทต่างๆ ที่ต้องการนำ AI มาสร้างศักยภาพสูงสุดให้ศูนย์ข้อมูลของตน รวมถึงมุมมองเชิงคาดการณ์ของเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อรองรับคลัสเตอร์ AI แห่งอนาคตได้


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ภาคอุตสาหกรรมนำ AI มาช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันได้หรือไม่

โดย ฮีทเธอร์ ไซโคสกี รองประธานอาวุโส ธุรกิจอุตสาหกรรมและกระบวนการอัตโนมัติ

การใช้งาน AI เติบโตอย่างมหาศาลในช่วงหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา และเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นผลพวงจากการพัฒนาที่ล้ำหน้าของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ หรือ large language models (LLMs) นั่นเอง การเติบโตนี้ยังส่งแรงกระเพื่อมไปยังทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นกรณีการใช้งานโดยตรงที่พร้อมเปิดตัวสู่ตลาด หรือโดยอ้อมจากการปฏิรูปที่เกิดขึ้นรุนแรงและรวดเร็วเพื่อช่วยให้ธุรกิจเติบโตและสร้างความยั่งยืนได้ดีในโลกของ AI

แม้ว่า ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จะเป็นผู้นำด้านการปฏิรูปสู่ดิจิทัลและถือว่าเป็นผู้มาก่อนกาล ที่ประยุกต์ใช้ AI ตั้งแต่ยุคแรกๆ และ AI ก็แทรกซึมอยู่ในทุกที่ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในบ้าน ห้องนั่งเล่น  อาคารและกระทั่งในโรงงานของชไนเดอร์เองก็ตาม เราได้เห็นพัฒนาการของ AI ที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จนมาวันนี้ แทนที่บริษัทต่างๆ จะตั้งคำถามว่า “เราจะใช้ AI กันเมื่อไหร่ดี” ต้องเปลี่ยนเป็นคำถามที่ว่า “เราจะใช้ AI ได้เร็วแค่ไหน”

ภาคอุตสาหกรรมไม่สามารถหลีกเลี่ยงกระแสของการผสานรวม AI ที่ขยายสู่วงกว้างได้ พร้อมกับต้องคิดว่าจะใช้ AI ให้สอดคล้องไปในแนวทางเดียวกับกลยุทธ์หลักทางธุรกิจได้อย่างไร ซึ่งสำหรับชไนเดอร์ อิเล็คทริค เราได้ค้นหาแนวทางที่เป็นนวัตกรรมในการประยุกต์ใช้ระบบดิจิทัลที่มีอยู่แล้ว มาผสานรวมกับ AI เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึก และระบบธุรกิจอัจฉริยะที่ทำงานได้ดียิ่งขึ้นจากข้อมูล ด้วยการนำข้อมูลหลายสิบปีมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บางอย่างอยู่ในรูป AI สิ่งเหล่านี้แฝงอยู่ในเทคโนโลยีทั้งหมดของชไนเดอร์ ไม่ว่าจะเป็นในโรงงาน ภายในอุปกรณ์ หรือเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรก็ตาม ตั้งแต่อัลกอริทึมของแมชชีนเลิร์นนิ่ง ที่ช่วยสนับสนุนการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ ตลอดจนการผสานรวม LLM แบบบูรณาการ โดยทำหน้าที่เสมือนผู้ช่วยนักบิน ซึ่ง AI ช่วยเร่งการดำเนินงานตามแผนบริหารจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติด้านอุตสาหกรรมของชไนเดอร์ได้เร็วยิ่งขึ้น

ตัวอย่างเช่น เมื่อไม่นานมานี้ชไนเดอร์ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับ Hy Stor Energy เพื่อพัฒนาการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวแบบ off-grid และระบบกักเก็บพลังงานขนาดใหญ่ ภายใต้บันทึกความเข้าใจนี้ นอกจากชไนเดอร์จะมอบโซลูชันระบบอัตโนมัติ โซลูชันความปลอดภัย และแพลตฟอร์มควบคุมกระบวนการดำเนินงานของ AVEVA แล้ว ยังมอบซอฟต์แวร์เพิ่มประสิทธิภาพ AI ที่ช่วยปรับปรุงการวิเคราะห์สภาพอากาศ ช่วยให้ดำเนินงานในเชิงคาดการณ์ได้ และปรับปรุงโซลูชันการจัดการพลังงานแบบดิจิทัลให้แม่นยำขึ้นอีกด้วย การผสานกลยุทธ์ดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วย AI ช่วยให้ Hy Stor Energy สามารถส่งมอบพลังงานปลอดคาร์บอน 100 เปอร์เซ็นต์ ให้แก่ลูกค้า รวมถึงพลังงานหมุนเวียนที่ปลอดภัย และเชื่อถือได้ในทันทีที่ต้องการ

โครงการ AI จะประสบความสำเร็จได้ ต้องคำนึงถึง 3 ปัจจัย

องค์ประกอบด้านมนุษย์ของ AI

ปีเตอร์ เฮอร์เวค ซีอีโอของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้เคยกล่าวถึงมุมมองดังกล่าวในงาน CERA Week เมื่อตอนต้นปีว่า AI ทุกตัวเริ่มต้นและจบลงด้วยองค์ประกอบของมนุษย์ โดยอธิบาย AI ในแง่มุมที่เป็นการผสานปัญญาของมนุษย์ เข้ากับ AI หรือที่เรียกว่า “HI กับ AI” เมื่อรวมกันถึงจะสัมฤทธิ์ผลได้

ประการแรก มนุษย์มีความสำคัญต่อการสร้างและฝึกอบรมโมเดล AI เพื่อให้แน่ใจถึงความแม่นยำที่มากขึ้น และมีการป้อนข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้กับโมเดล AI ซึ่งเป็นข้อมูลจากประสบการณ์ความรู้ความเชี่ยวชาญของมนุษย์ ประการที่สอง มนุษย์เป็นแกนกลางในการเปลี่ยนแปลงการทำงาน ซึ่งจำเป็นต่อการผสานการทำงานร่วมกับ AI ได้สำเร็จ การบริหารการเปลี่ยนแปลงประเภทนี้ อาจหมายถึงการเอาคนใหม่มาร่วมในทีม หรือให้การสนับสนุนในการเรียนรู้ และพัฒนาทักษะให้ทีมงานที่มีอยู่ เพื่อช่วยสร้างความก้าวหน้าให้ AI ได้เร็วขึ้น การมุ่งเน้นที่องค์ประกอบสำคัญด้านมนุษย์ จะช่วยให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากชไนเดอร์จะใช้ประโยชน์ของนวัตกรรมเหล่านี้ในโรงงานของเราเองแล้ว ยังนำเรื่องเหล่านี้มาช่วยลูกค้าเช่นกัน  ขอให้ตระหนักว่าไม่ว่าพนักงานเจนไหนก็ตาม จะต้องใช้ AI เป็นตัวช่วยในการทำงานได้ง่ายขึ้น และจะดีมากหากพนักงานสามารถใช้ AI จัดการงานทุกอย่างได้อย่างสะดวก ปลอดภัย รับผิดชอบ และยั่งยืน

ในการใช้งานและผสานการทำงานร่วมกับ AI หากไม่มีการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่ดี แม้จะใช้โมเดล AI ที่ดีที่สุด ทำงานได้ลื่นไหลที่สุด ก็อาจล้มเหลวได้ ซึ่งนำไปสู่ประเด็นต่อไป นั่นคือ AI จะไม่มีทางประสบความสำเร็จได้หากขาดความน่าเชื่อถือ

ความเชื่อมั่นใน AI

สำหรับภาคอุตสาหกรรมสำคัญๆ อย่าง พลังงาน ความเชื่อมั่นใน AI ถือเป็นสิ่งจำเป็น และต้องให้ความสำคัญในระดับเดียวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ ในขณะที่จุดเริ่มต้น อยู่ที่คุณภาพของข้อมูลที่ใช้ในการสร้างและฝึกโมเดล แต่ความเชื่อมั่นใน AI ก็จะต้องเกิดจากการแนวทางออกแบบที่คำนึงถึงความปลอดภัยตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งหมายความว่า โปรโตคอลด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์จะต้องถูกสร้างและฝังไว้ในเครื่องมือ ในโซลูชัน AI รวมถึงกระบวนการต่างๆ ไม่ใช่ค่อยมาทำเพิ่มภายหลัง

การเสริมสร้างความเชื่อมั่นใน AI ยังหมายถึงการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา และสิ่งมีค่าสูงสุดขององค์กร สำหรับภาคพลังงาน ความเชื่อมั่นในระดับนี้มีความสำคัญสูงสุด เนื่องจากภาคพลังงาน มีการลงทุนกับการวิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างหรือพัฒนาเทคโนโลยีและแหล่งพลังงานใหม่ๆ ที่จำเป็นต่อการเร่งการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน

ตัวอย่างเช่น EcoStruxure™ Automation Expert ของ Schneider เป็นโซลูชันระบบอัตโนมัติสำหรับอุตสาหกรรมที่ใช้ซอฟต์แวร์เป็นตัวกำหนดในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ซึ่งลูกค้าสามารถนำข้อมูลหรือแหล่งความรู้จากชไนเดอร์ หรือส่วนอื่นๆ ขององค์กร ไปใช้ปรับปรุงการดำเนินงานได้ตลอดอายุการใช้งาน ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ให้ความปลอดภัยทางไซเบอร์

ความร่วมมือในโครงการ AI

อย่างที่เคยกล่าวไปว่า AI มีบทบาทอยู่ในทุกสิ่งที่ชไนเดอร์ทำ และในการผสานรวม AI อย่างเต็มรูปแบบได้สำเร็จ ความร่วมมือกับพันธมิตรคือสิ่งสำคัญ ซึ่งในความเป็นจริง ความร่วมมือ คือจุดเริ่มต้นในการทรานส์ฟอร์มสู่ AI เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในโลกที่ให้ความสำคัญกับ AI เป็นอันดับแรก

ตัวอย่างเช่น ชไนเดอร์ กำลังร่วมมือกับ Intel เพื่อนำเสนอโมดูล AI ที่เป็นส่วนหนึ่งในโซลูชัน EcoStruxure™ Automation Expert ตามที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ การทำงานร่วมกับ Intel ช่วยให้เราสามารถขยายศักยภาพของระบบอัตโนมัติที่ใช้ซอฟต์แวร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของอุตสาหกรรมตั้งแต่การออกแบบ ไปจนถึงการบำรุงรักษา การเป็นพันธมิตรถือเป็นแนวทางของทั้งภาคอุตสาหกรรมในการผสานรวมการทำงานกับ AI ได้อย่างแท้จริง

หากคุณเป็นบริษัทที่รวบรวมข้อมูลมานานหลายทศวรรษ เช่นเดียวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค คุณจะต้องแน่ใจว่าได้มีการจัดวางบริบทให้กับข้อมูลนั้น นั่นคือสิ่งที่เราทำ ในเวลาที่ทำงานร่วมกับลูกค้าในฐานะพันธมิตร ต้องมั่นใจได้ว่าข้อมูลจะช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจแก้ไขปัญหาที่เร่งด่วนที่สุดได้อย่างถูกต้อง

ขยายผลลัพธ์ของโอกาสที่ได้จาก AI

สิ่งที่แน่นอนที่สุด ก็คือ ถ้าใช้งาน AI ได้อย่างถูกต้อง จะช่วยสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน และความคล่องตัว ด้วยการเชื่อมต่อฮาร์ดแวร์ในระบบอัตโนมัติ และซอฟต์แวร์อุตสาหกรรม ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น แม้ว่าจะมาจากซัพพลายเออร์คนละรายก็ตาม กุญแจสำคัญของความสำเร็จคือการหาพันธมิตรที่มีประสบการณ์เชิงลึกด้าน AI อีกทั้งมีความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรม เพื่อขยายผลลัพธ์ของโอกาสที่ AI นำเสนอให้กับคุณ และธุรกิจของคุณได้มากที่สุด


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จับมือ AIS ส่ง APC Back-UPS Connect เสริมแกร่งหนุนเครือข่าย WiFi อัจฉริยะ ไฟตก ไฟดับ ให้ลูกค้ามั่นใจทำงานไม่สะดุด

การทำงานยุคดิจิทัล มีการดำเนินงานบนอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนใหญ่ อาทิ การประชุม หรือ พรีเซนต์งานออนไลน์ การโทรแบบ VoIP (Voice over Internet Protocol) การค้าออนไลน์ การอัพโหลดคอนเทนต์ การแคสเกม เกมเมอร์ การ Live & Stream หรือการทำงานบนคลาวด์เป็นต้น ดังนั้นสปีดของอินเทอร์เน็ต และ WiFi ที่มีความเสถียรจึงเป็นเรื่องสำคัญเพื่อให้การทำงานราบรื่น ไม่สะดุด แต่ก็มีปัจจัยที่ยากแก่การควบคุมนั่นคือ ไฟตก ไฟดับ

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จึงออกผลิตภัณฑ์ APC Back-UPS Connect สำหรับสำรองพลังงานเพื่อเราเตอร์ และโมเด็มที่รองรับระบบ VoIP รวมถึง Smart Home Assistant ทำให้การทำงานทั้งหมดที่อยู่บนโลกออนไลน์ไม่ขาดตอน ในระหว่างที่ไฟตก หรือไฟดับ มาพร้อมการออกแบบตัวอุปกรณ์ให้มีขนาดกะทัดรัด รองรับการเข้าและออกของกระแสไฟได้ถึง 36 วัตต์ แบบ DC 12 โวลต์ ล้ำหน้าด้วยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนให้ รันไทม์สูงสุด 4 ชั่วโมง (สำหรับเราเตอร์ทั่วไป) เพื่อให้มั่นใจในการเชื่อมต่อที่เชื่อถือได้ มีทิป DC เพิ่มเติมให้มาในกล่องช่วยให้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์เครือข่ายได้หลากหลายแบรนด์

ล่าสุด ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จับมือกับ AIS สานเจตนารมณ์ร่วมกัน สำหรับโซลูชั่นที่สามารถรองรับการทำงานยุคใหม่ได้อย่างไร้รอยต่อ ด้วยแพ็กเกจ SME AI-Powered Smart Router (เอสเอ็มอี เอไอ พาวเวอร์ สมาร์ท เราเตอร์) และ Office FibreLAN (ออฟฟิศ ไฟเบอร์แลน) ผ่านเครือข่าย WiFi อัจฉริยะ ตอบโจทย์ทุกการใช้งานเพื่อธุรกิจแต่ละขนาดได้อย่างลงตัว มาพร้อมความมั่นใจ ว่าการทำงานบนเครือข่าย WiFi ความเร็วสูงจะไม่สะดุดด้วย  APC Back-UPS Connect ฟรี มูลค่า 2,150 บาท ในทุกแพคเกจดังกล่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดโครงการ Schneider Electric Sustainability Impact Awards ปี3 ย้ำคำมั่น มุ่งสนับสนุนความยั่งยืนของพันธมิตร

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ด้านการจัดการพลังงาน และระบบอัตโนมัติ เปิดตัวโครงการ Schneider Electric Sustainability Impact Awards เป็นปีที่ 3 เพื่อยกย่องผลงานของพันธมิตร คู่ค้า ในระบบนิเวศของชไนเดอร์ ในการสร้างโลกที่ยั่งยืนและกระตุ้นการใช้พลังงานไฟฟ้า ที่มาจากพลังงานสะอาดให้มากขึ้น โดยสามารถส่งผลงานได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2024 โดยจะมีการประกาศผลผู้ชนะระดับโลกในช่วงต้นปี 2025

การรับสมัครและเกณฑ์การคัดเลือก สะท้อนถึงแนวทางด้านความยั่งยืนของชไนเดอร์ในแบบบูรณาการ โดยยังคงมุ่งเน้นที่ความพยายามในการลดคาร์บอนของผู้เข้าร่วมโครงการในเรื่องการใช้พลังงานไฟฟ้า ทั้งการลดและแทนที่ ขณะเดียวกันก็มีการพิจารณาให้ครอบคลุมวงกว้างมากขึ้น สำหรับความพยายามขององค์กรต่างๆ ในการสร้างอนาคตไฟฟ้า 4.0 (Electricity 4.0) ผ่านการดำเนินงาน ทั้งเรื่องการวางกลยุทธ์ การปรับใช้ดิจิทัล การลดการปล่อยคาร์บอน การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ตลอดจนการติดตั้งเครื่องมือดิจิทัล และเทคโนโลยี รวมไปถึงตัวอย่างของผลกระทบและนวัตกรรมอื่นๆ นอกจากผู้ชนะจะได้รับการยอมรับอันทรงคุณค่าแล้ว ยังได้ประโยชน์ในแง่ของการเป็นที่ประจักษ์จากทั่วโลก ซึ่งอาจนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ

“เราเชื่อว่าเมื่อนวัตกรรมเดินหน้าไปพร้อมคำมั่นสัญญา เราจะสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายและสร้างผลกระทบที่ยั่งยืนได้อย่างถาวร โครงการมอบรางวัลนี้ถือเป็นการเชิดชูเกียรติและฉลองชัยให้กับ #ImpactMakers ผู้ที่เดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง และมีแรงผลักที่กล้าแกร่งในการเปลี่ยนความปรารถนาอันแรงกล้า ให้กลายเป็นการกระทำที่นำไปสู่โลกที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและดิจิทัลได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น” คริส ลีออง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด และคณะกรรมการบริหาร กล่าว

Pia Oelze ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายดูแลลูกค้าหลัก ของ Henkel ผู้ได้รับรางวัลระดับโลกประจำปี 2023 เผยว่า “รางวัลนี้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จทั้งในแง่ส่วนตัว และการทำงานเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมระหว่าง Henkel และ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในการสร้างโปรแกรมความยั่งยืนที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหา และความก้าวหน้าร่วมกันเพื่อสร้างวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า”

การเข้าร่วมโครงการ

ผู้สนใจสามารถสมัครได้ตั้งแต่วันนี้ โดยต้องส่งผลงานภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2024 (สมัครที่นี่) โดยชื่อที่ได้รับการเสนอพร้อมผลงานทั้งหมดจะถูกคัดเลือกให้เข้ารอบสุดท้ายเพื่อรับรางวัลระดับประเทศ และผู้ชนะระดับประเทศจะได้เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศระดับภูมิภาค ก่อนที่จะได้รับการพิจารณาเพื่อชิงรางวัลระดับโลก โดยจะมีการประกาศผลผู้ชนะเลิศระดับโลกในเดือนเมษายน ปี 2025

โครงการในปี 2023 ได้มีผลงานเข้าประกวดมากกว่า 400 ชิ้น จาก 60 ประเทศ โดยมีบริษัท 12 แห่ง ที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าชิงรางวัล Sustainability Impact Awards ในระดับโลก และมีการประกาศผลในงาน Schneider Electric Innovation Summit ณ กรุงปารีส ไปเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2024

โครงการ Sustainability Impact Awards 2024 ยังคงเป็นแรงผลักดันอย่างต่อเนื่องสำหรับโครงการ Partnering for Sustainability initiative ของชไนเดอร์ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศพันธมิตรอันกว้างขวางของชไนเดอร์ เพื่อมอบอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีอีกก้าวที่สำคัญคือการเปิดตัว Schneider Electric Sustainability School ซึ่งเป็นทรัพยากรด้านการศึกษาที่พร้อมให้บริษัทต่างๆ ทั่วโลกเข้ามาใช้ได้ฟรี เพื่อเร่งกระบวนการลดคาร์บอนของแต่ละองค์กรได้เร็วขึ้น


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยลูกค้ายกระดับก้าวข้ามความเสี่ยงจากโอทีรุ่นเก่า

โดย อังเดร โชริ รองประธาน และประธานเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยของระบบสารสนเทศ ประจำภาคพื้น เอเชียแปซิฟิก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

ปัจจุบัน บทบาทของประธานเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยของระบบสารสนเทศ (CISO) มาพร้อมความรับผิดชอบอย่างหนักในเรื่องของสังคมและจริยธรรม ซึ่งทั้งองค์กรและทีมงานต่างมีความรับผิดชอบหลักในการปกป้องความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับโครงสร้างพื้นฐานหลัก ที่ให้บริการสำคัญ อย่าง ไฟฟ้า น้ำ น้ำมัน ก๊าซ เฮลธ์แคร์ และการผลิตอาหาร และอื่นๆ อีกมากมาย ในบทบาทการเป็นเจ้าของเทคโนโลยีการดำเนินงาน (OT) ที่ใช้เครื่องจักรในโรงงานเหล่านี้ ต้องมุ่งเน้นที่การสร้างความยืดหยุ่นทางธุรกิจ เพราะแค่โรงงานต้องหยุดดำเนินการเพียงไม่กี่นาที อาจทำให้บริษัทต้องสูญเสียเงินหลายสิบล้าน และความรับผิดชอบก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องนี้

เพราะ CISO ยังต้องดูแลทั้งเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยของบุคลากร ที่อาจได้รับผลกระทบร้ายแรงจากการโจมตีทางไซเบอร์ และต้องคิดไปไกลกว่าประเด็นเรื่องผลกระทบทางการเงิน เพราะการดำเนินงานที่ต้องหยุดชะงักจากการโจมตีทางไซเบอร์ อาจส่งผลอันตรายต่อความปลอดภัยของคนทำงาน กระทั่งอาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตหากได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ในระบบ OT

หนึ่งในปัญหาท้าทายด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ CISO ต้องเผชิญ คือการปกป้องระบบงานเดิมที่ล้าสมัย ซึ่งเป็นระบบที่ใช้กันมาอยู่ก่อนแล้ว และเนื่องจากเป็นระบบที่ใช้กันมานาน จึงเป็นเรื่องยากสำหรับทีมรักษาความปลอดภัยที่จะดูแลรักษาระบบเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม และหลายต่อหลายครั้งที่ระบบเหล่านี้ไม่สามารถป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ได้ ซึ่งผู้คุกคามในปัจจุบันก็รู้เรื่องนี้ดี

รู้จักจุดอ่อนในโครงสร้างพื้นฐาน OT

สิ่งอำนวยความสะดวกหลักด้าน OT เกือบทุกอย่างล้วนเป็นระบบเดิมที่ล้าสมัย เพราะถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์วัตถุประสงค์แค่อย่างเดียวมานานนับหลายสิบปี ไม่ว่าจะเป็นระบบที่ใช้ในโรงบำบัดน้ำ หรืออุปกรณ์ควบคุมการทำงานของเครื่องจักร (programmable logic controller) ในโรงงานผลิตยานยนต์ เครื่องจักรเหล่านี้หลายต่อหลายตัวถูกสร้างขึ้นก่อนที่จะมีอินเทอร์เน็ต ในช่วงที่คนยังไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยไม่ได้สร้างเพื่อให้เชื่อมต่อผ่านระบบดิจิทัลได้ หรือไม่ได้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยในตัว แต่ด้วยความแพร่หลายของ IIoT การปฏิรูปกระบวนการทำงานสู่ระบบดิจิทัล และอุตสาหกรรม 4.0 ทำให้ระบบ OT แบบเดิมเหล่านี้ถูกเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายบริษัทหรืออินเทอร์เน็ต และหลายระบบไม่มีการป้องกันทำให้กลายเป็นความเสี่ยง

ในโลกไอที เมื่ออุปกรณ์หรือระบบมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเนื่องจากเป็นระบบเก่าและไม่ทันสมัย ทางออกที่ง่ายที่สุดคือการซื้อใหม่ อย่างไรก็ตาม ในโลก OT เนื่องจากระบบมีขนาดใหญ่กว่าและซับซ้อนกว่า ทำให้เป็นทางเลือกที่มาพร้อมข้อจำกัดเรื่องค่าใช้จ่าย ด้วยเหตุนี้ CISO จึงต้องคอยรับมือกับปัญหาที่เกี่ยวกับความล้าสมัยของระบบและเครื่องจักร เช่นในประเด็นต่อไปนี้

การตั้งค่าที่ไม่ถูกต้อง ทันทีที่สภาพแวดล้อม OT พร้อมรองรับการเชื่อมต่อ หลายธุรกิจก็จะรีบทำการเชื่อมต่ออุปกรณ์ ระบบควบคุม หรืออุปกรณ์ที่ไม่มีการป้องกันเข้ากับเครือข่ายโดยตรง การที่ไม่มีระบบควบคุมความปลอดภัยที่เพียงพอ เช่น การใช้ไฟร์วอลล์ในการป้องกันระบบเหล่านี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเครื่องจักรเหล่านี้ จะถูกเปิดเผยบนอินเทอร์เน็ต โดยไม่มีการป้องกันทั้งพอร์ตและเว็บอินเตอร์เฟสในการบริหารจัดการ เหล่านี้คือโอกาสอันดีสำหรับผู้โจมตี ที่สามารถใช้สิ่งเหล่านี้เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทได้โดยง่าย และดำเนินการโจมตีที่เป็นอันตราย

ขาดการมองเห็นและไม่สามารถควบคุมสินค้าคงคลัง เนื่องจากระบบเหล่านี้ส่วนใหญ่ติดตั้งใช้กันมานานแล้ว ทำให้ไม่มีความสามารถในการสอดส่องหรือตรวจจับอย่างที่เครื่องจักรสมัยใหม่มีกัน ทำให้ไม่สามารถมองเห็นระบบเหล่านี้ได้ และไม่สามารถป้องกัน รวมถึงอัปเกรด หรือบำรุงรักษาได้ ส่งผลให้ CISO ไม่สามารถจัดการกับโครงสร้างเครือข่ายได้

การแพตช์และอัปเกรดเป็นเรื่องท้าทาย ในโลกไอที การแพตช์ และการอัปเกรด เป็นแนวปฏิบัติด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ได้รับการยอมรับและทำกันมาเรื่อยๆ แต่ระบบ OT แบบเก่านั้นบำรุงรักษายาก เพราะนอกจากจะเป็นระบบเก่าแล้วยังมีการปรับแต่งเยอะ และอาจจะไม่ได้รับการสนับสนุนแล้ว แม้ว่าจะสามารถแพตช์และอัปเกรดได้ก็ตาม แต่ค่อนข้างมีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากการที่ระบบต้องหยุดทำงาน 10 หรือ 15 นาทีเพื่ออัพเดตเครื่องจักร อาจทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นหลายล้านดอลลาร์สูงกว่ารายรับของโรงงาน

ยังคงมีการสร้างระบบที่ล้าสมัยอยู่  ทำให้เป็นปัญหาที่ซับซ้อนไปอีก เมื่อ OEM หลายรายที่สร้างอุปกรณ์ OT ยังคงส่งระบบที่ไม่รองรับการทำงานร่วมกับระบบใหม่ๆ อย่าง Microsoft Windows 7 ที่ไม่สามารถแพตช์ หรือป้องกันด้วยโซลูชันรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์สมัยใหม่ได้ หลายครั้ง ก็เป็นปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย เนื่องจากการอัปเกรดต้องใช้ไดรเวอร์ใหม่ ซอฟต์แวร์ที่อัปเดต รวมถึงการทดสอบ และอื่นๆ

ทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาแผนปฏิบัติการ

แม้จะระบบ OT แบบเก่าจะมีความท้าทายอยู่ แต่ก็มีหลายสิ่งที่ CISO และทีมชไนเดอร์ สามารถดำเนินการในเชิงรุกเพื่อปกป้องระบบเหล่านี้ ที่แม้จะเก่าแต่เป็นระบบสำคัญ อย่างการที่ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กำลังทุ่มเทความพยายามในการทำงานร่วมกับลูกค้า หน่วยงานระดับประเทศ และบรรดาผู้ผลิต OEM เพื่อลดความเสี่ยงของระบบ OT ในเชิงรุกผ่านโครงการความริเริ่มเหล่านี้

การแก้ไขระบบที่ตั้งค่าไม่ถูกต้องให้กับลูกค้าที่มีอยู่ โดยในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้ทำงานร่วมกับลูกค้า เพื่อตรวจจับอินเทอร์เฟซการจัดการเว็บที่ไม่ได้รับการป้องกันและ IP แบบเปิดในระบบเดิมที่ถูกเชื่อมเข้ากับระบบต่างๆ ที่อยู่ในการติดตั้งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเพราะระบบที่ตั้งค่ามาผิดหรือระบบที่เลิกใช้งานแล้วก็ตาม บริษัทกำลังช่วยลูกค้าระบุช่องโหว่ ประเมินความเสี่ยง และดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงและการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น 

การสร้างความตระหนักรู้ให้กับหน่วยงานในประเทศ โดยหน่วยงานภาครัฐบาลทั้งในระดับท้องถิ่นและในระดับภูมิภาค ล้วนต้องการรับรู้ถึงเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อชุมชน และประชาชน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานเหล่านี้ เพื่อสร้างการตระหนักรู้ถึงวิกฤตที่เกี่ยวข้องกับระบบ OT ที่ไม่ได้รับการป้องกัน พร้อมกับกระตุ้นให้หน่วยงานเหล่านี้ เป็นหัวหอกในโครงการริเริ่มเพื่อจัดการกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์เหล่านี้

ส่งเสริมแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ประกอบการ OEM ทั้งนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังตระหนักถึงคุณค่าของการเป็นพาร์ทเนอร์กับ OEM อีกทั้งทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ เพื่อนำแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดไปช่วยปรับปรุงความปลอดภัยทางไซเบอร์ ตัวอย่างเช่น บริษัทได้ดำเนินการตามกระบวนการพัฒนาวงจรการทำงานทั้งหมดโดยเน้นเรื่องความปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ ที่ได้รับการรับรองว่าสอดคล้องตามมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ ISA/IEC 62443-4-1 ซึ่งหาก OEM ปฏิบัติตามแนวทางเดียวกัน ก็จะทำให้ไม่มีการสร้างและจัดส่งอุปกรณ์ที่ล้าสมัย ไม่ปลอดภัย และไม่มีการป้องกันออกสู่ตลาด นอกจากนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังสนับสนุนให้ OEMS ออกแพตช์ และอัปเดตเฟิร์มแวร์ ได้ทันการในทันทีที่มีการระบุช่องโหว่ที่เป็นที่รู้จัก ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบ OT

ร่วมกันปกป้องระบบ OT เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้คน

ระบบ OT รุ่นเก่าที่ล้าสมัย ยังคงเป็นหนึ่งในความกังวลเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์อันดับต้นของ CISO มาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งเราก็ไม่ได้เพิกเฉย เราทุกคนต่างมีความรับผิดชอบร่วมกัน พร้อมความมุ่งมั่นที่จะทำให้โลกนี้ดีขึ้น ปลอดภัยขึ้นด้วยการพยายามปกป้องโครงสร้างพื้นฐาน OT ของเราให้ดีที่สุด


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค พลิกโฉมการจ่ายพลังงานไฟฟ้าด้วย MasterPacT MTZ Active เซอร์กิตเบรกเกอร์ สายพันธุ์ดิจิทัล

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ MasterPacT MTZ Active ซึ่งเป็นการปฏิวัติการออกแบบเซอร์กิตเบรกเกอร์ใหม่ ควบคู่กับการสร้างมาตรฐานด้านความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และความยั่งยืน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าธุรกิจจะดำเนินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าและดิจิทัลที่มากขึ้น MasterPacT MTZ Active ช่วยตอบโจทย์ลูกค้าต่อความท้าทายที่มีความซับซ้อนในแต่ละวัน รวมถึงความต้องการด้านเวลาในการทำงานตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ตลอดจนช่วยให้สามารถรับมือกับต้นทุนด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และข้อเรียกร้องด้านแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน

“โลกของไฟฟ้าและการใช้ดิจิทัลในด้านพลังงาน ในอุตสาหกรรม หรืออาคาร ที่มากขึ้น นับเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการกับวิกฤติพลังงานและสภาพภูมิอากาศ” นายโรฮาน เคลการ์ รองประธานอาวุโส ฝ่ายผลิตภัณฑ์ทั่วโลก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยว่า  “ทั้งเราและลูกค้ากำลังใช้ประโยชน์จากพลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) เพื่อลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ดังนั้น MasterPacT MTZ Active คือคำตอบล่าสุดของเรา ในการช่วยเร่งให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการลดคาร์บอน ยืดอายุการใช้งานของสินทรัพย์ โดยไม่กระทบต่อฟังก์ชั่นการทำงานหรือความปลอดภัย”

ปัจจุบันในหลายอุตสาหกรรม มีการใช้พลังงานมากขึ้น และมีความซับซ้อนในด้านการบริหารจัดการมากขึ้นอีกด้วยไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ อาคาร และภาคพลังงาน ไปจนถึงเคมีภัณฑ์ รวมถึง ธุรกิจ OEM ในขณะเดียวกันผู้ประกอบการธุรกิจ ต่างคาดหวังว่าไฟฟ้าจะพร้อมใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญที่ Gartner ได้มีการประเมินต้นทุนความเสียหาย หากมีการหยุดทำงานของดาต้าเซ็นเตอร์ อยู่ที่ 5,600 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อนาที หรือมากกว่า 300,000 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ทำให้เห็นว่าการรับรองความปลอดภัยของผู้ติดตั้ง ผู้ปฏิบัติงาน และเจ้าหน้าที่บำรุงรักษาก็ถือเป็นสิ่งสำคัญในอันดับแรกๆ เช่นกัน

MasterPacT MTZ Activeพร้อมสำหรับการปฏิบัติการ

เป็นเวลา 35 ปี ที่ชื่อ MasterPacT เป็นตัวแทนของความหมายว่า ‘นวัตกรรมแห่งเซอร์กิตเบรกเกอร์ และความน่าเชื่อถือ’ โดย ให้บริการแล้วหลายล้านตัวทั่วโลกขณะนี้ ด้วยระบบอัจฉริยะที่มีการเชื่อมต่อกับระบบการจ่ายพลังงาน กลายเป็นสิ่งจำเป็น ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จึงต่อยอดและพัฒนาประสิทธิภาพของเซอร์กิตเบรกเกอร์ จนกลายเป็นนวัตกรรม MasterPacT MTZ Active มีที่มีหน่วยควบคุมไฟฟ้า ที่ทำหน้าที่เป็นสมองของเบรกเกอร์ ช่วยให้ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลสิ่งอำนวยความสะดวก สามารถตรวจสอบ และวัดการใช้พลังงานได้ในแบบเรียลไทม์

“เหมือนกับโซลูชั่นการจ่ายพลังงานของชไนเดอร์ อิเล็คทริค จำนวนมาก MasterPacT MTZ Active ทำให้เรามองเห็นสิ่งที่มองไม่เห็น นั่นคือ ‘พลังงาน’ โดยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถดูและติดตามการใช้พลังงานได้แบบเรียลไทม์” นายไอโอนัต ฟาร์กัส รองประทานอาวุโสฝ่าย Europe Hub, Power Products ชไนเดอร์ อิเล็คทริค “ด้วยข้อมูลที่ดูได้อย่างรวดเร็ว บริษัทที่ใช้งาน จึงสามารถตัดสินใจด้านการบริหารจัดการพลังงานได้ดีขึ้น ลดการใช้โดยไม่จำเป็น ลดขยะ และลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์”

นอกจากนี้เมื่อเซอร์กิตเบรกเกอร์หยุดทำงาน (trips) ทั้งจากการโอเวอร์โหลด การลัดวงจร หรือมีกระแสไฟฟ้ารั่วไหลจากอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งหน่วยควบคุมเพื่อลดความเสียหายแบบเร่งด่วน พร้อมด้วยโซลูชั่น QR code รายแรกในอุตสาหกรรม ของ MasterPacT MTZ Active ช่วยให้ผู้ปฏิบัติการสามารถสแกน QR code เพื่อเข้าถึงแนวทางแก้ไขที่ดีที่สุดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ทราบถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดการหยุดทำงาน” ฟาร์กัส เผยต่อว่า “เมื่อเกิดการโอเวอร์โหลด คุณจะได้รับคำแนะนำเพื่อให้จ่ายโหลดใหม่ ให้สมดุลกันระหว่างวงจรอย่างรวดเร็ว”

ยกระดับความปลอดภัยและความยั่งยืน

MasterPacT MTZ Active มาตรฐานใหม่ด้านความปลอดภัยและความยั่งยืน มาพร้อม Energy Reduction Maintenance Setting (ERMS) ภายในตัว ช่วยปกป้องอันตรายจากประกายไฟ ที่อาจเกิดกับเจ้าหน้าที่บำรุงรักษา และด้วยการออกแบบที่ใช้งานง่ายของชุดควบคุม ช่วยให้การตั้งค่าฟังก์ชั่นการป้องกันทั้งหมดสะดวกขึ้น รวมถึงเรื่องของกระแสไฟฟ้า การทดเวลา และการแจ้งเตือน

MasterPacT MTZ Active ยังเป็นเบรกเกอร์ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อสอดรับกับนโยบายความยั่งยืน สามารถนำมาซ่อมแซมและใช้งานใหม่ได้ โดยหากมีการติดตั้ง MasterPacT รุ่น NT/NW อยู่ก่อนแล้ว ยังสามารถอัพเกรด trip unit ให้เป็นชุดควบคุมของ MTZ Active ได้ ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเบรกเกอร์ใหม่ เป็นการลดต้นทุน และลดการเกิดของเสีย

ในขณะที่การใช้พลังงานไฟฟ้า และการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ได้เปลี่ยนแปลงการผลิต และความต้องการด้านพลังงานทั่วโลก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังคงพัฒนานวัตกรรมของ MasterPacT อย่างต่อเนื่อง โดยอิงข้อมูลจากลูกค้า เพื่อมอบประสิทธิภาพของเบรกเกอร์ที่แข็งแกร่งและเชื่อถือได้


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

EcoStruxure IT พัฒนา DCIM ล้ำหน้าไปอีก ออกรายงานตัวชี้วัดความยั่งยืนได้อัตโนมัติในคลิกเดียว

โดย เควิน บราวน์ รองประธานอาวุโส ส่วน EcoStruxure Solutions กลุ่มธุรกิจ , Secure Power ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

การ์ทเนอร์ รายงานว่า 80% ของ CIO จะมีตัวชี้วัดประสิทธิภาพที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนขององค์กรไอที ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ไม่เกิน 2570

กฎระเบียบด้านไอทีกำลังยกระดับความร้อนแรงขึ้นทั่วโลก สหภาพยุโรปกำลังเป็นแกนนำ แต่ก็ไม่ได้ไปเพียงลำพัง เพราะสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาเพิ่งอนุมัติกฎที่จะกำหนดให้บริษัทมหาชนบางแห่ง ต้องรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สถิติ 80% ที่เอ่ยไปข้างต้น มีเพียง 43% ของผู้บริหารเท่านั้น ที่กล่าวว่าตนตระหนักดีถึงการปล่อยคาร์บอนจากไอทีในองค์กร หรือ IT Footprint นั่นเอง

ดังนั้น 80% ของ CIO จะต้องมีตัวชี้วัดประสิทธิภาพที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนของไอทีในองค์กร กระนั้นก็ตาม มีผู้บริหารเพียง 43% เท่านั้นที่ทราบเรื่องฟุตปริ้นด้านไอทีในองค์กร แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะสิ่งที่เราได้ยินจากลูกค้าตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็คือการรายงาน PUE (Power Usage Effectiveness) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพสำหรับการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล ที่ดูเหมือนตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การวัดผลความก้าวหน้าเป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะการเข้าถึงและส่งออกข้อมูลจะต้องทำได้ง่าย โดยผู้บริหารบอกเราว่าการจะเข้าใจว่าจะเริ่มต้นที่ไหนและอย่างไรอาจเป็นเรื่องยาก และกฎระเบียบใหม่ต้องการมากกว่าแค่การรายงานเรื่อง PUE

…ทั้งหมดนี้กำลังจะเปลี่ยนไป

ฟีเจอร์ใหม่ด้านความยั่งยืน ช่วยให้ออกรายงานตามต้องการได้รวดเร็ว นำไปใช้ต่อได้ง่าย

ซอฟต์แวร์ EcoStruxure IT DCIM รูปแบบใหม่มาพร้อมกับฟีเจอร์การออกรายงานความยั่งยืนได้โดยอัตโนมัติ พ่วงการการันตีด้วยรางวัล โดยวันนี้ผู้ใช้ EcoStruxure IT ทุกคนจะสามารถใช้ความสามารถใหม่ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าใจเทคนิคเชิงลึก และไม่ต้องคำนวณข้อมูลด้วยตัวเอง

โมเดลใหม่นี้แตกต่างจากที่มีอยู่ในตลาด เพราะเป็นโมเดลที่ให้เครื่องมือในการสร้างรายงานได้สะดวก รวดเร็ว และใช้งานง่าย ช่วยให้ลูกค้าสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ รวมถึง European Energy Efficiency Directive (EED) ซึ่งความสามารถใหม่จะให้มากกว่าตัวชี้วัดตามข้อกำหนด EED ทำให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าสามารถวัดข้อมูลประสิทธิภาพพลังงานในศูนย์ข้อมูลในแบบเรียลไทม์ รวมถึงในอดีตที่ผ่านมาได้ เทียบกับตัววัดการรายงานขั้นสูงทั้งหมดที่ระบุอยู่ใน White Paper ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค โดยมีการออกคู่มือตัวชี้วัดความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับศูนย์ข้อมูลในปีที่ผ่านมา และกลายเป็นคู่มือหลักสำหรับอุตสาหกรรมในการออกรายงานด้านความยั่งยืน

ซอฟต์แวร์ EcoStruxure IT ช่วยให้ทั้งเจ้าของและผู้ปฏิบัติงานสามารถวัด และรายงานประสิทธิภาพของศูนย์ข้อมูล ตามการวิเคราะห์แนวโน้ม และข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา โดยทำงานร่วมกับ AI และการมอนิเตอร์แบบเรียลไทม์ เพื่อเปลี่ยนเป็นข้อมูลเชิงลึก ที่นำไปใช้ดำเนินการได้จริงเพื่อสร้างความยั่งยืนได้ดียิ่งขึ้น โดยฟังก์ชันใหม่ด้านการดาวน์โหลด ช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถระบุปริมาณและการรายงานได้รวดเร็วแค่เพียงคลิก ช่วยตัดงานที่ต้องทำด้วยตัวเองออกไป ทำให้ควบคุมพลังของข้อมูลได้เร็วและง่ายขึ้น เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากศูนย์ข้อมูลของตน

ยุคใหม่ของ Green IT ชไนเดอร์ อิเล็คทริคคือลูกค้าเช่นกัน

EcoStruxure IT ได้รับการทดสอบ และถูกนำไปใช้ในหลายองค์กร รวมถึงในชไนเดอร์ อิเล็คทริคเองด้วย โดยในปี 2021 ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้เปิดตัว Schneider Sustainability Impact (SSIs) เพื่อเผยแพร่ความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนของบริษัท ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของ SSI  อลิซาเบธ แฮคเคนสัน ซึ่งเป็น CIO ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้ริเริ่มโครงการ Green IT ของบริษัท ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มด้านไอทีเพื่อความยั่งยืนขององค์กร โดยจะระบุวิธีการเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในรูปแบบใหม่อย่างชาญฉลาด เพื่อช่วยให้โครงการดังกล่าวบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซจากระบบ IT อย่างน้อย 5% ต่อปี

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ใช้ซอฟต์แวร์ EcoStruxure IT ที่ติดตั้งในไซต์งานหลักกว่า 140 แห่งทั่วโลก มาช่วยให้การดำเนินงานด้านไอที ให้มีความยืดหยุ่นและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดย Green IT แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สามารถนำศักยภาพใหม่ของ EcoStruxure IT ไปใช้เพื่อสร้างความยั่งยืนได้มากขึ้น ช่วยให้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มองเห็นการใช้พลังงานด้าน IT ในไซต์งานได้มากขึ้น ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จาก EcoStruxure IT ทำให้เห็นว่า โรงงานอัจฉริยะที่เล็กซิงตัน รัฐเคนตักกี้ มีการใช้พลังงานลดลง 30% ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2023 เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก

“การใช้ EcoStruxure IT ช่วยให้เรามีความคืบหน้าที่ดีอย่างต่อเนื่อง ในการปฏิบัติภารกิจ เพื่อลดการใช้พลังงานด้านไอที และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งช่วยให้บริษัทก้าวหน้าไปสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน” แฮคเคนสัน กล่าว “เรากำลังทำให้ลูกค้าทั่วโลกได้รับประโยชน์เหล่านี้เช่นกัน”


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค คว้าตำแหน่งบริษัทที่ยั่งยืนที่สุดในโลก จากนิตยสาร Time และ Statista

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นด้านการบริหารจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ ได้รับการจัดอันดับให้เป็น World’s Most Sustainable Companies for 2024 หรือ บริษัทที่ยั่งยืนที่สุดในโลก ประจำปี 2024 โดยนิตยสาร Time และ Statista โดยการจัดอันดับในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทและความมุ่งมั่นของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่แต่เฉพาะในองค์กรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความมุ่งมั่นในการช่วยลูกค้าประหยัดพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย

Time และ Statista ทำการคัดเลือกบริษัทที่มีความยั่งยืนมากที่สุดในโลกประจำปี 2024 อย่างโปร่งใสในหลายขั้นตอน เริ่มจากการจัดกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่ทรงอิทธิพลมากกว่า 5,000 แห่ง ไม่นับรวมบริษัทที่ไม่เข้าข่ายด้านความยั่งยืน และพิจารณา 4 ปัจจัยสำคัญหลัก ได้แก่ การให้คะแนนความยั่งยืนจากภายนอก คำมั่นสัญญา ผลรายงานการดำเนินงานขององค์กร และตัวชี้วัดประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งเกณฑ์การคัดเลือกดังกล่าวนำไปสู่การจัดอันดับบริษัท 500 แห่ง จากกว่า 30 ประเทศ

Time และ Statista มองเห็นถึงความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค รวมถึงความมุ่งมั่นในโครงการ Schneider Sustainability Impact (SSI) ซึ่งเป็นโครงการที่สร้างการขับเคลื่อนและชี้วัดความคืบหน้าในการดำเนินงานของบริษัท เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความยั่งยืนระดับโลกของปี 2021-2025 โดยยึดคำมั่นสัญญาสำคัญ 6 ข้อ ครอบคลุมทุกมิติในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) นับเป็นความมุ่งมั่นของบริษัทที่ช่วยให้ลูกค้าลดและหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ถึง 553 ล้านตันนับตั้งแต่ปี 2018 นอกจากนี้ บริษัทยังมีความคืบหน้าในการปฏิรูปซัพพลายเชนขององค์กรอีกด้วย ซัพพลายเออร์ชั้นนำของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จำนวน 1,000 ราย สามารถลดการปล่อยคาร์บอนลงถึง 27 เปอร์เซ็นต์ และพันธมิตรด้านซัพพลายเชนเชิงกลยุทธ์ของบริษัท 21 เปอร์เซ็นต์ สามารถบรรลุมาตรฐานการทำงานของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้เป็นอย่างดี

“เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นบริษัทที่ยั่งยืนที่สุดในโลก” ปีเตอร์ เฮอร์เวค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผย “ความสำเร็จครั้งนี้เป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของเราในการสร้างความยั่งยืน ซึ่งปลูกฝังอยู่ในทุกสิ่งที่เราทำ ทั้งในการตัดสินใจและการดำเนินงานประจำวันของเรา เราคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลที่ดี นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เราผลักดันอย่างเต็มที่ จนสามารถพัฒนาเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนของเรามากยิ่งขึ้นไป พร้อมมั่นใจได้ว่าทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างผลกระทบที่ดีได้อย่างยั่งยืน”

นอกจากนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังถูกจัดอยู่ใน Dow Jones Sustainability World Index เป็นปีที่ 13 ติดต่อกัน โดยครองอันดับ 1 ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน และครองตำแหน่งใน Europe index ความสำเร็จนี้สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) โดยมีความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์


Exit mobile version