Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

HIS MSC จัดงาน “The Future of Hospitality: AI-Powered Customer Experiences” Executive Lunch Talk

HIS MSC Company Limited ได้จัดงาน Executive Lunch Talk ภายใต้หัวข้อ “The Future of Hospitality: AI-Powered Customer Experiences” ณ โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ เมษายน 2568

ภายในงานได้รับเกียรติจาก คุณภูษิต อรุณรัตนดิลก รองประธานบริษัท HIS MSC Company Limited กล่าวเปิดงานและบรรยายถึงความสำคัญของการนำนวัตกรรม AI มาปรับใช้ในธุรกิจ โดยเน้นว่าองค์กรที่เริ่มต้นก่อนย่อมมีความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน

หนึ่งในไฮไลท์ของงานคือการบรรยายโดย คุณมีลาภ โสขุมารองผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจซอฟต์แวร์โซลูชั่น บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้นำเสนอการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI และระบบอัตโนมัติ (Automation) ในภาคธุรกิจโรงแรมและบริการ เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า ตัวอย่างเช่น การใช้ AI ChatBot สำหรับให้ข้อมูลเกี่ยวกับห้องพัก โปรโมชั่น แหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง วิธีการเดินทาง รวมถึงข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวันตลอดปี

หลังจบการบรรยาย ผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวัน พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการนำ AI ไปใช้ในภาคส่วนต่างๆ ของโรงแรม อีกทั้งยังได้เยี่ยมชมการใช้งาน Myra Omni Kiosk ซึ่งเป็นระบบเช็คอิน-เช็คเอาต์อัตโนมัติแบบ Self Service สำหรับโรงแรม

“HIS MSC Company Limited มุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพสูง ด้วยความเป็นมืออาชีพ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการเติบโตอย่างยั่งยืนของลูกค้า มากกว่า ทศวรรษ

สนใจข้อมูลเกี่ยวกับ HIS MSC เพิ่มเติมได้ที่ คุณภูษิต อรุณรัตนดิลก: (66) 062-646-6539 Email: phusith@metrosystems.co.th Website: https://www.hismsc.com


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เบื้องหลังหน้ากากบนโซเชียลแพลตฟอร์มนำไปสู่กลโกงด้านการเงินมูลค่าหลายล้านบาทและการทลายแก๊งอาชญากร

บทความโดย Binance.com

ภาพความร่ำรวยอย่างรวดเร็วที่ถูกขยายให้ดึงดูดใจยิ่งขึ้นด้วยโซเชียลมีเดีย ยังเป็นหลุมพรางดึงดูดผู้คนที่ไม่ทันระวังอยู่เรื่อย ๆ กรณีล่าสุดในประเทศไทยเป็นเครื่องเตือนใจที่ชัดเจนถึงพลังของอันตรายนี้ นักเทรดสินทรัพย์ดิจิทัลที่ดูเหมือนประสบความสำเร็จ อวดอ้างไลฟ์สไตล์หรูหราบน TikTok ได้วางแผนกลโกงการลงทุนที่ซับซ้อน ซึ่งฉ้อโกงเหยื่อไปกว่า 200 ล้านบาท (มากกว่า 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) กลอุบายอันแยบยลนี้ ซึ่งรู้จักกันในชื่อกลุ่ม FOX Wallet สัญญาถึงอิสรภาพทางการเงิน แต่กลับมอบเพียงความสูญเสียอันน่าเศร้าใจ ตอกย้ำถึงความจำเป็นอย่างยิ่งในการเฝ้าระวังในยุคดิจิทัล

วิธีการหลอกลวงนั้นคุ้นเคยอย่างน่าตกใจ เหยื่อที่ถูกล่อลวงด้วยบุคลิกออนไลน์ของนักลงทุนที่เชี่ยวชาญ ซึ่งแสดงสินค้าแบรนด์เนมและรถยนต์หรูหรา ถูกชักชวนเข้าสู่แพลตฟอร์มการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ดูเหมือนถูกต้องผ่านแอปพลิเคชัน LINE ในช่วงแรก การลงทุนเล็กน้อยให้ผลตอบแทนที่น่าประทับใจ สร้างความรู้สึกปลอดภัยจอมปลอมและกระตุ้นให้ลงทุนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาพลวงตาก็แตกสลายเมื่อความพยายามในการถอนเงินถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียม “ปลดล็อก” ที่สูงเกินจริง ทำให้นักลงทุนต้องเผชิญกับกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ว่างเปล่าและบทเรียนอันเจ็บปวด

ขนาดของการฉ้อโกง ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้คนกว่า 200 ราย ได้กระตุ้นการตอบสนองอย่างเด็ดเดี่ยวจากตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (TCSD) ของประเทศไทย ปฏิบัติการ FOX Hunt ได้เริ่มต้นขึ้น นำโดย พ.ต.อ.ชิตชนก ทับเจริญ เพื่อทลายเครือข่ายการหลอกลวงที่ซับซ้อนนี้ การสืบสวนเผยให้เห็นเครือข่ายที่แยบยลซึ่งใช้บัญชีม้าในจังหวัดต่างๆ เพื่อถ่ายเทเงิน เปลี่ยนเป็นเงินสดอย่างรวดเร็วเพื่อซื้อสินค้าหรูหรา หรือโอนไปยังกระเป๋าเงินดิจิทัลเพื่อพรางร่องรอย

นี่คือจุดที่ความโปร่งใสโดยธรรมชาติของเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งมักถูกผู้กระทำผิดเข้าใจผิด กลายเป็นจุดอ่อนของพวกเขา ณ จุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญนี้ หน่วยข่าวกรองทางการเงิน (FIU) ของ Binance ได้เข้ามามีบทบาทเป็นพันธมิตรที่สำคัญ ด้วยการใช้การวิเคราะห์บนเครือข่ายขั้นสูง FIU ได้ติดตามการไหลเวียนของเงินที่ผิดกฎหมายอย่างพิถีพิถัน ระบุธุรกรรมที่น่าสงสัย และเชื่อมโยงกิจกรรมของกระเป๋าเงินโดยตรงกับผู้ต้องสงสัยหลักภายในกลุ่ม การใช้ความเชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ดิจิทัลนี้ทำให้ บก.สอท. ได้รับหลักฐานสำคัญที่จำเป็นในการขอหมายจับ

จุดสูงสุดของปฏิบัติการ FOX Hunt คือการจับกุมผู้ต้องสงสัยแปดรายที่เกี่ยวข้องกับบทบาทต่างๆ ในการหลอกลวง ตั้งแต่ผู้ถือบัญชีเริ่มต้นไปจนถึงคนกลางที่จัดการการเงิน เจ้าหน้าที่ยังได้ยึดทรัพย์สินจำนวนมาก รวมถึงเงินสด รถยนต์หรูหรา และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นการสร้างความเสียหายอย่างมากต่อการดำเนินงานของกลุ่ม และมอบความหวังเล็กน้อยให้กับเหยื่อ

ความสำเร็จของปฏิบัติการ FOX Hunt ตอกย้ำถึงความสำคัญอย่างยิ่งของการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและอุตสาหกรรมสกุลเงินดิจิทัล ดังที่ พ.ต.อ.ชิตชนก ทับเจริญ กล่าวไว้อย่างเหมาะสมว่า “ความร่วมมือที่ประสบความสำเร็จกับ Binance ในครั้งนี้ ตอกย้ำถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในยุคดิจิทัล” โดยเน้นว่าความร่วมมือดังกล่าว “จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการสืบสวนทางการเงินและสนับสนุนการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

นิลส์ แอนเดอร์เซน-โรเอด หัวหน้าหน่วยข่าวกรองทางการเงินของ Binance สะท้อนความรู้สึกนี้ โดยเน้นย้ำถึงความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับโดยธรรมชาติของเทคโนโลยีบล็อกเชน โดยระบุว่า “นำมาซึ่งความโปร่งใสที่ไม่เคยมีมาก่อนสู่ระบบการเงิน ทำให้เราสามารถติดตามและตรวจสอบการเคลื่อนไหวของเงินทุนได้” กรณีนี้เป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าความโปร่งใสนี้ เมื่อรวมกับการวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญแล้ว สามารถเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการต่อต้านอาชญากรรมทางการเงินได้อย่างไร

การทลายเครือข่าย FOX Wallet ที่สำเร็จลุล่วง ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องเตือนใจว่าแม้แต่กลโกงคริปโตที่ซับซ้อนที่สุดก็สามารถถูกแกะรอยและจัดการได้เท่านั้น หากแต่ยังตอกย้ำถึงความสำคัญของการศึกษาและการสร้างความตระหนักรู้แก่สาธารณชน กลโกงเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้บนแพลตฟอร์มออนไลน์ใดๆ ก็ตาม ทำให้ประชาชนต้องตื่นตัวอยู่เสมอ ไม่หลงเชื่อคำแนะนำการลงทุนออนไลน์จากคนแปลกหน้าโดยง่าย และทำการวิจัยอิสระด้วยตนเองเสมอไป ปฏิบัติการหนึ่งครั้ง ผู้ใช้งานที่รู้เท่าทันหนึ่งคน การต่อสู้กับการก่ออาชญากรรมทางการเงินออนไลน์ยังคงดำเนินต่อไป

###

เกี่ยวกับไบแนนซ์ (BINANCE)

ไบแนนซ์เป็นผู้นำระบบนิเวศบล็อกเชนระดับโลก และเป็นผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งในด้านมูลค่าการซื้อขายและจำนวนผู้ใช้บริการที่ได้รับการยืนยันตัวตน ไบแนนซ์ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้บริการมากกว่า 260 ล้านคนในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ด้วยความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมด้านความมั่นคงปลอดภัย ความโปร่งใส ประสิทธิภาพของระบบการซื้อขาย การคุ้มครองผู้ลงทุน และความครอบคลุมของผลิตภัณฑ์และบริการสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่เหมือนใคร ตั้งแต่การซื้อขายและบริการทางการเงิน ไปจนถึงการให้ความรู้ การวิจัย การพัฒนาสังคม ระบบการชำระเงิน บริการสำหรับสถาบัน และบริการด้าน Web3 ไบแนนซ์มุ่งมั่นในการพัฒนาระบบนิเวศคริปโตที่ครอบคลุมทุกภาคส่วน เพื่อเสริมสร้างอิสรภาพทางการเงินและการเข้าถึงบริการทางการเงินสำหรับประชาชนทั่วโลก โดยมีคริปโตเป็นพื้นฐานสำคัญ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมได้ที่: https://www.binance.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. ติดอันดับ 1 ความเป็นเลิศทางวิชาการ ประจำปี 2025 โดย Times Higher Education

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)  ได้รับการประเมินเป็นเลิศทางวิชาการ (Academic Excellence) ของสาขาวิชา (THE Subject Ranking) โดย Times Higher Education (THE) สถาบันจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก ของประเทศอังกฤษ ประจำปี 2025 ดังนี้

อันดับ 1 ด้านคุณภาพงานวิจัยสาขาวิศวกรรมศาสตร์ (Research Quality in Engineering )
อันดับ 1 ด้านสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยของสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ของมหาวิทยาลัยไทย (Research Environment in Computer Science)
อันดับ 2 ด้านการสอนของสาขาบริหารธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ (Teaching in Business and Economics)

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ส่ง โมดูลาร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ แก้ปัญหาการเติบโตของ AI ที่เอดจ์

องค์กรธุรกิจในหลายภาคส่วนกำลังนำ AI มาช่วยจัดการกับปัญหาข้อมูลล้นจนเกินขีดความสามารถที่คนจะจัดการได้ ทั้งในแง่ของความเร็วและความเป็นไปได้ ซึ่งการปฏิวัติ AI ทำให้มีความต้องการด้านพลังการประมวลผลที่เอดจ์อย่างมาก เช่นเดียวกับกระแสการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ แต่ในครั้งนี้ มีความต้องการสูงกว่าที่ผ่านมามาก เนื่องจาก AI ต้องใช้ความหนาแน่นของแร็คในการประมวลผลที่เอดจ์สูงมากเป็นพิเศษ ซึ่งจุดนี้ โมดูลาร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ช่วยตอบโจทย์ได้อย่างดี โดยช่วยให้องค์กรมีโครงสร้างที่ยืดหยุ่นและสามารถขยายศักยภาพรองรับการเติบโตที่รวดเร็วของ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มีการคาดการณ์ว่า AI จะเติบโตในอัตราเฉลี่ย 33% ต่อปีระหว่างปี 2023 ถึง 2030 เพราะการพัฒนา Generative AI คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันกระแสของ AI โดยหลายองค์กรกำลังนำ AI มาใช้แทนที่หรือมาช่วยงานมนุษย์ในด้านต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพในการทำงานมากขึ้น เครื่องมืออย่าง ChatGPT และ Microsoft Copilot กำลังช่วยให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงและใช้ AI ได้ง่ายขึ้น

การใช้งาน AI นั้นแทบจะไม่มีขีดจำกัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเฮล์ธแคร์ การเงิน การผลิต การขนส่ง ตลอดจนความบันเทิง แม้แต่งานต่างๆ อย่างการทำพรีเซนเทชันหรือการทำรายงานการขาย ก็สามารถทำได้รวดเร็ว เพียงป้อนข้อมูลที่เกี่ยวข้องไปในระบบ AI และขอให้ AI จัดการกับข้อมูลตามรูปแบบที่ต้องการ

นอกจากนี้ องค์กรมากมายต่างกำลังนำเทคโนโลยี AI มาช่วยในการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ บริหารจัดการซัพพลายเชนได้อย่างฉลาด รวมถึงปรับบริการให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของลูกค้ามากขึ้น ซึ่งความต้องการด้านข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ AI กำลังผลักดันให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีชิปและเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ ทำให้ความหนาแน่นของพลังงานต่อแร็คสูงขึ้นมาก ขณะที่ความต้องการพลังประมวลผลที่มีความหนาแน่นสูงก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน

ความต้องการใช้งาน AI ที่เอดจ์

นอกจาก AI ช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจมากมายจากการพัฒนาและนำความสามารถใหม่ๆ มาใช้ แต่ก็มาพร้อมความท้าทายเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องการติดตั้งฮาร์ดแวร์และโครงสร้างพื้นฐานของดาต้าเซ็นเตอร์ที่จำเป็นต่องาน AI ทำให้ต้องมีแนวทางใหม่สำหรับเอดจ์ เช่น การใช้โครงสร้างดาต้าเซ็นเตอร์แบบโมดูลาร์ที่สามารถปรับขยายได้ตามต้องการ

การนำความสามารถด้าน AI ไปไว้ที่เอดจ์ จะเป็นเหตุผลลักษณะเดียวกับการผลักดันให้บริษัทต่างๆ หันมาใช้เอดจ์ตั้งแต่แรก

  • เพื่อควบคุมและรักษาความปลอดภัยข้อมูลในองค์กรได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ลดความหน่วงของระบบ และรองรับการประมวลผลได้แบบเรียลไทม์ หรือใกล้เคียง

AI เป็นเทคโนโลยีที่ต้องอาศัยข้อมูลจำนวนมาก เนื่องจากมีงานหลักอยู่ 2 ส่วนด้วยกัน คือการฝึก AI และการสรุปผลลัพธ์ (inference) ซึ่งในขั้นตอนการฝึกโมเดล ต้องมีการฟีดข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อให้ AI มีฐานความรู้ที่แน่นมากขึ้น ยิ่งมีข้อมูลป้อนให้อัลกอริธึมมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ AI ฉลาดมากขึ้นเท่านั้น หลังจากนั้น โมเดลจะนำความรู้ที่ได้มาใช้ในการสรุปผลลัพธ์เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความท้าทายของโครงสร้างพื้นฐาน IT

ในแง่ของโครงสร้างพื้นฐาน AI ต้องการพลังประมวลผลสูงมาก โดยปกติแล้ว ในหนึ่งเซิร์ฟเวอร์แร็คจะใช้พลังงานประมาณ 10 กิโลวัตต์ แต่ปัจจุบันความต้องการพลังงานไปไกลถึง 50–100 กิโลวัตต์ ตัวอย่างเช่น ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กำลังพัฒนาดีไซน์อ้างอิงเพื่อรองรับแร็คเซิร์ฟเวอร์พลังงานสูงเกือบ 90 กิโลวัตต์ ซึ่งพร้อมใช้งานตั้งแต่ปลายปี 2024  โดยเซิร์ฟเวอร์ที่ออกแบบมาสำหรับ AI นอกจากจะมีหน่วยประมวลผลหลายตัวแล้ว ยังต้องใช้ชิปเซ็ตขั้นสูงเพื่อเพิ่มพลังการประมวลผลและช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งความหนาแน่นสูงระดับนี้ อาจทำให้เกิดความร้อนปริมาณมาก ซึ่งระบบระบายความร้อนแบบเดิมอาจรับมือไม่ไหว

ดังนั้น จึงมีการนำเทคโนโลยีระบายความร้อนด้วยของเหลวมาใช้ เพื่อช่วยกระจายความร้อนจากตัวประมวลผล ด้วยการส่งผ่านน้ำหรือของเหลวชนิดอื่นไปยังชิปผ่านหน่วยกระจายสารหล่อเย็น (Coolant Distribution Unit – CDU) เพื่อดูดซับความร้อน จากนั้นของเหลวในลูปที่สองจะถูกส่งต่อไปยังหน่วยทำความเย็น (Chiller Unit) และส่งกลับมายัง CDU อีกครั้ง ซึ่งกระบวนการนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐาน และทำให้ต้องเพิ่มท่อ และท่อร่วม (Manifolds) เพื่อส่งของเหลวผ่านแร็คและระบายออกไปยังนอกอาคาร ซึ่งอาจสร้างความซับซ้อนเพิ่มขึ้น เพราะการที่โครงสร้างพื้นฐานต้องรองรับระบบท่อเพิ่ม ทำให้กินพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เอจด์ที่มีขนาดจำกัด

ด้วยภาระงานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น โซลูชั่นระบายความร้อนที่ดีขึ้น และระบบแร็คไอทีที่ซับซ้อน ทำให้ต้องมีการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ที่ให้ความล้ำหน้าและวางวิศวกรรมที่ให้ความยืดหยุ่น เพื่อรองรับ AI ยุคใหม่

โมดูลาร์ ดาต้าเซ็นเตอร์  ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด

คาดว่าในปี 2028 งานที่เกี่ยวข้องกับ AI จะใช้ 20% ของพลังงานทั้งหมดในดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งดาต้าเซ็นเตอร์แบบโมดูลาร์สามารถตอบสนองความต้องการของธุรกิจที่ใช้ AI ที่เอดจ์ได้อย่างตรงจุด ทั้งเรื่องของระบบโครงสร้างพื้นฐาน การประมวลผล และพลังงานไฟฟ้า รวมถึงระบบระบายความร้อนที่จำเป็นต่อการฝึกโมเดล AI และการสรุปผลลัพธ์

ซึ่งแต่ละยูนิตในโครงสร้างสร้างพื้นฐาน จะถูกออกแบบเพื่อให้ทำงานแยกส่วนเป็นโมดูลได้ตามกรณีการใช้งานแต่ละประเภท โดยดีไซน์นี้ มีการเปิดตัวไปในปีที่ผ่านมา และสามารถขยายเป็นคลัสเตอร์ที่ทำซ้ำๆ ได้  เพื่อช่วยให้ติดตั้งได้อย่างรวดเร็วและยืดหยุ่นในทุกที่ต้องการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการใช้ AI ในเชิงกลยุทธ์ได้ตามเป้าหมาย ดีไซน์ดังกล่าว ทำให้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค สามารถช่วยลูกค้าแก้ปัญหาท้าทายในการใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยช่วยให้องค์กรใช้เทคโนโลยีได้อย่างเต็มศักยภาพเพื่อสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน  

เมื่อมีการใช้ AI แพร่หลายมากยิ่งขึ้น คำถามจะไม่ใช่ประเด็นที่ว่าองค์กรจะขยายโครงสร้างพื้นฐานไอทีหรือไม่ แต่อยู่ที่จะขยายเมื่อไหร่ เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้โซลูชั่น AI ที่ต้องอาศัยทรัพยากรจำนวนมากทั้งข้อมูล พลังงาน และระบบระบายความร้อน ทั้งนี้ หากองค์กรต้องการเตรียมความพร้อมในการใช้งาน AI สามารถศึกษาแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด รวมถึงเอกสารวิชาการ และเข้าร่วมงานสัมมนาผ่านเว็บ และ ฯลฯ ได้ที่ Transitioning to AI-Ready Data Centers


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

INT ม.มหิดล เปิดเวที “INT Accelerate Demo Day” โชว์ศักยภาพสตาร์ตอัปสาย Healthcare-Oriented Deep Tech

สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (INT) มหาวิทยาลัยมหิดล จัดงาน “INT Accelerate Demo Day” เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 เปิดเวทีให้สตาร์ตอัปด้าน
Healthcare-Oriented Deep Tech
ภายใต้โครงการ iNT Accelerate แสดงศักยภาพและนวัตกรรมที่พร้อมต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)

งานนี้ได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ ดร. ชาลีดา บรมพิชัยชาติกุล รักษาการรองผู้อำนวยการ กลุ่มงานด้านกลยุทธ์วิจัย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยมหิดล อาทิ ศาสตราจารย์ ดร.ศันสนีย์ ไชยโรจน์ ที่ปรึกษาอธิการบดีฝ่ายวิจัย, รองศาสตราจารย์
ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย, รองศาสตราจารย์ นายแพทย์เชิดชัย นพมณีจำรัสเลิศ รองอธิการบดีฝ่ายสารสนเทศและดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน และ อาจารย์ ดร.เจษฎา อานิล ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายการศึกษา, รองศาสตราจารย์ ดร.วิริยะ เตชะรุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (INT) และ คุณอรวลัญช์ โลหิตหาญ รองผู้อำนวยการฝ่ายการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญา สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (INT) เข้าร่วมงาน

ชู 8 สตาร์ตอัปด้านสุขภาพที่โดดเด่น

ภายในงานมีการนำเสนอผลงาน Pitching จาก 8 สตาร์ตอัป พร้อมจัดแสดงนวัตกรรม ได้แก่

บริษัท เพอร์เฟค โพรเทคชั่น จำกัด (คณะวิทยาศาสตร์): น้ำยาเข้มข้นกำจัดกลิ่นและฆ่าเชื้อด้วยเอนไซม์นาโนไบโอคอนจูเกชัน

บริษัท เอเวอร์เจน เทคโนโลยี จำกัด (คณะวิทยาศาสตร์): หนังเทียมจากเส้นใยใบสับปะรด

บริษัท ซาฮาร่า ดราย จำกัด (สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้): ผลิตภัณฑ์ Sahara Dry Grip

บริษัท เอียร์เอสเซนส์ จำกัด (คณะวิศวกรรมศาสตร์): ระบบคัดกรองการได้ยินอัตโนมัติ

บริษัท เอ อาร์ ทิ เมด จำกัด (คณะเทคนิคการแพทย์): แขนเทียมซิลิโคนสำหรับฝึกเจาะเลือด

บริษัท พาสซีคูล จำกัด (คณะวิทยาศาสตร์): นวัตกรรมเจลเย็น Passi-Cool

บริษัท ไบโอวิต้า จำกัด (คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล): ทิชชู่เปียกสมุนไพรต้านไวรัสมือเท้าปาก

บริษัท นันนิล อินเทลลิเจนซ์ โรโบติกส์ จำกัด (คณะวิศวกรรมศาสตร์): อุปกรณ์คัดกรองภาวะ    เส้นประสาทเสื่อมจากโรคเบาหวาน

เชื่อมโยงนักลงทุนกับสตาร์ตอัปไทย

นอกจากการนำเสนอผลงานแล้ว ยังมีช่วง Special Talks หัวข้อ “Technology & Investment Trends” โดยนักลงทุนชั้นนำ (VC) มาร่วมแบ่งปันมุมมองและแนวโน้มการลงทุนในอุตสาหกรรมสุขภาพ พร้อมกิจกรรม Networking เพื่อสร้างโอกาสความร่วมมือระหว่างสตาร์ตอัปกับนักลงทุนและพันธมิตรในอุตสาหกรรม

สำหรับโครงการ iNT Accelerate ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างระบบนิเวศสตาร์ตอัปด้านสุขภาพในประเทศไทย ช่วยเร่งการพัฒนานวัตกรรมจากห้องปฏิบัติการสู่ตลาดเชิงพาณิชย์ สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรม Deep Tech และ Medical Hub ของประเทศ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เดลล์ เทคโนโลยีส์ เร่งนวัตกรรม AI ในองค์กร ด้วย NVIDIA ตั้งแต่พีซีจนถึงดาต้าเซ็นเตอร์

เดลล์ เทคโนโลยีส์ ในฐานะผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ AI  ได้ร่วมมือกับ NVDIA เพื่อมอบประสบการณ์การใช้ระบบโครงสร้าง ซอฟต์แวร์ และบริการด้าน AI ได้อย่างสอดประสาน ด้วยการนำเสนอโซลูชันครบวงจร เพื่อรองรับการขยายการใช้งาน AI ตั้งแต่ในระดับเวิร์กสเตชันที่โต๊ะทำงาน ไปจนถึงดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่

การขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์โครงสร้างพื้นฐาน AI ของเดลล์ มุ่งตอบโจทย์ความต้องการประสิทธิภาพสูงได้อย่างลงตัว

หัวใจสำคัญของ Dell AI Factory กับ NVDIA ในการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม คือโครงสร้างพื้นฐานครบวงจรแบบเอ็นด์-ทู-เอ็นด์ ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม AI ที่ครอบคลุมอุตสาหกรรมทุกภาคส่วน ตั้งแต่บริษัทสตาร์ทอัพ หน่วยงานภาครัฐ ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ที่สุดของโลก และผู้ให้บริการคลาวด์

กลุ่มผลิตภัณฑ์ Dell Pro Max รุ่นใหม่ สร้างมาตรฐานใหม่ของการเป็นพีซีสำหรับนักพัฒนา AI

ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านเวิร์กสเตชันที่มอบกราฟิกระดับมืออาชีพที่ทรงพลังที่สุดของ NVIDIA เดลล์ได้ขยายและพัฒนานวัตกรรม Dell Pro Max ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ AI PC ประสิทธิภาพสูง เพื่อตอบสนองความต้องการของนักพัฒนา AI และผู้ใช้งานระดับสูง รวมถึงผู้ใช้งานเฉพาะด้านในปัจจุบัน กลุ่มผลิตภัณฑ์นี้ประกอบด้วย AI PC ประสิทธิภาพสูงในหลากหลายรุ่น ซึ่งออกแบบมาสำหรับงานที่ต้องใช้ทรัพยากรสูง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา AI ขั้นต้น การวิเคราะห์ข้อมูล การจำลองการออกแบบ ตลอดจนถึงการฝึกฝน การอนุมานผลลัพธ์ (Inferencing) และการปรับจูนโมเดล LLM ที่ซับซ้อนที่สุด ก่อนขยายการใช้งานในวงกว้าง

  • Dell Pro Max รุ่น GB10 ใหม่ มาพร้อมประสิทธิภาพเหนือชั้น ด้วยรูปโฉมกระทัดรัด และให้ประสิทธิภาพด้านพลังงาน โดยเวิร์กสเตชันสำหรับนักพัฒนา AI นี้มาพร้อมชิป NVIDIA GB10 Grace Blackwell Superchip ซึ่งเป็นชิปที่รวมระบบไว้บนชิปเดียว (system-on-a-chip) ตามสถาปัตยกรรม NVIDIA Blackwell ที่ให้ประสิทธิภาพการประมวลผล AI ได้ถึง 1 เพตาฟล็อป (Petaflop หรือ 1000 TFLOPs) และหน่วยความจำรวม 128GB ซึ่งนักพัฒนา AI สามารถพัฒนา ฝึกฝน และทดสอบโมเดลก่อนจะนำไปใช้งานบนระบบโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ของเดลล์
  • Dell Pro Max รุ่น GB300 ใหม่ เป็นรุ่นสูงสุดในกลุ่มพีซีประสิทธิภาพสูง ให้การประมวลผลที่เหนือชั้นสำหรับนักพัฒนา AI และนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล โดยให้การประมวลผลในระดับเซิร์ฟเวอร์อยู่ในเครื่องเดสก์ท็อป ด้วยชิป NVIDIA GB300 Grace Blackwell Ultra Desktop Superchip ใหม่ โดยระบบนี้ให้ประสิทธิภาพการประมวลผล AI สูงถึง 20 เพตาฟล็อป และหน่วยความจำรวม 784GB (หน่วยความจำ GPU HBME3e สูงถึง 288GB และหน่วยความจำ CPU LPDDR5X 496GB) รวมถึงโซลูชันเครือข่ายที่เร็วที่สุดจาก NVIDIA ConnectX-8 SuperNIC เพื่อรองรับงานประมวลผล AI หนักหน่วงและมีขนาดใหญ่ที่สุดได้ ทั้งยังสามารถฝึกฝนโมเดลที่มีพารามิเตอร์ถึง 460 พันล้านตัว
  • โน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อป Dell Pro Max รุ่นใหม่ มอบขุมพลัง ความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการขยายที่โดดเด่น มาพร้อมกับ GPU NVIDIA RTX PRO TM Blackwell Generation และชิป  Intel® Core™ Ultra (ซีรีส์ 2) รวมถึง AMD Ryzen-powered Copilot+ PCs ให้ประสบการณ์ด้าน AI และตัวเลือกหน่วยประมวลผล AMD Threadripper  มาพร้อมการออกแบบใหม่ที่ทันสมัยและโดดเด่น ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสำหรับงานที่ต้องการพลังประมวลผลสูง อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประกาศผลิตภัณฑ์ Dell Pro Max ทั้งหมดได้ที่นี่

เซิร์ฟเวอร์ Dell PowerEdge และระบบเชื่อมต่อเครือข่ายรุ่นใหม่ เร่งขับเคลื่อน AI สำหรับองค์กร

  • Dell PowerEdge จะรองรับแพลตฟอร์ม NVIDIA Blackwell Ultra รวมถึง NVIDIA HGX B300 NVL16 NVIDIA GB300 NVL72 และ NVIDIA RTX PRO™ 6000 Blackwell Server Edition ที่กำลังจะมา โดยให้ระบบที่มีหน่วยความจำ HBM3e สูงถึง 288GB เพื่อจัดการโมเดล AI ที่ซับซ้อนด้วยความเร็วและความสามารถในการปรับขยาย โดยเซิร์ฟเวอร์ที่กำลังจะเปิดตัวนี้ จะให้ประสิทธิภาพคลัสเตอร์ AI ที่ดีที่สุดด้วยปริมาณการรับส่งข้อมูล 800 Gb/s พร้อมด้วย NVIDIA ConnectX-8 SuperNICs
  • เซิร์ฟเวอร์ Dell PowerEdge XE7740 และ XE7745 จะให้บริการพร้อมกับ Dell AI Factory ร่วมกับ NVIDIA ปัจจุบันเซิร์ฟเวอร์รุ่นนี้สามารถติดตั้ง NVIDIA H200 NVL GPUs ได้สูงสุดถึง 8 ตัว พร้อมสิทธิ์การใช้งานซอฟต์แวร์ NVIDIA AI Enterprise เป็นเวลา 5 ปี ที่ครอบคลุม NVIDIA NIM และโมเดล NVIDIA Llama Nemotron ด้วยความสามารถในการวิเคราะห์เหตุผล (reasoning) ทำให้เป็นแพลตฟอร์มที่ทรงพลังสำหรับการปรับจูน Gen AI การอนุมาน และการพัฒนา agentic reasoning applications รวมถึงงานประมวลผลประสิทธิภาพสูง (HPC) นอกจากนี้ยังสามารถรองรับ GPU NVIDIA RTX PRO™ 6000 Blackwell Server Edition PCIe สูงสุด 8 ตัว ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ AI ได้สูงขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า และให้ความยืดหยุ่นในการผสานเวิร์กโหลด AI เข้ากับกระบวนการทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • เซิร์ฟเวอร์ Dell PowerEdge XE8712 รุ่นใหม่ มาพร้อมแพลตฟอร์ม GB200 NVL4 ให้ขุมพลังที่ช่วยเร่งการประมวลผล AI ในแบบเน็กซ์เจน รองรับ NVIDIA B200 GPUs ได้สูงสุดถึง 144 ตัวต่อแร็ค Dell IR7000 โดยระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวนี้ถูกออกแบบเพื่อให้เหมาะกับการฝึกฝนโมเดล  AI และการจำลอง HPC ที่ซับซ้อน เป็นโซลูชันที่ปรับขยายความสามารถได้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และการประมวลผลให้ดีขึ้น พร้อมช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และประหยัดพื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ของเดลล์ได้ที่นี่

นวัตกรรมการจัดการข้อมูลของเดลล์ ช่วยลูกค้าควบคุมข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Dell AI Data Platform with NVIDIA เป็นโซลูชันแบบบูรณาการที่เพิ่มศักยภาพการใช้ Agentic AI และแอปพลิเคชัน AI อื่นๆ ในองค์กรได้อย่างปลอดภัย ด้วยการเข้าถึงข้อมูลคุณภาพสูงตลอดเวลา ทั้งข้อมูลที่มีโครงสร้าง กึ่งโครงสร้าง และไม่มีโครงสร้างก็ตาม แพลตฟอร์มนี้ผสานระบบจัดเก็บข้อมูลระดับองค์กรของเดลล์เข้ากับการประมวลผลแบบเร่งความเร็ว การเชื่อมต่อเครือข่าย และซอฟต์แวร์ AI ของ NVIDIA ทำให้สามารถประมวลผลข้อมูลได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมบริการจัดการข้อมูลที่แข็งแกร่งสำหรับการใช้งาน AI นอกจากนี้ แพลตฟอร์มยังผสานรวมการทำงานได้อย่างลื่นไหลด้วยการออกแบบอ้างอิงตาม NVIDIA AI Data Platform ที่ให้โครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมกับองค์กรมากที่สุด ช่วยปลดล็อกศักยภาพของข้อมูลทางธุรกิจได้อย่างเต็มที่ ผ่านข้อมูลเชิงลึกและการแก้ปัญหาที่ขับเคลื่อนด้วย AI พร้อมกันนี้ บริการจัดการข้อมูลของเดลล์ (Dell Data Management Services) ยังให้แนวทางที่เป็นระบบเพื่อให้มั่นใจเรื่องการค้นหาข้อมูล การบูรณาการ การทำงานแบบอัตโนมัติ ตลอดจนการควบคุมคุณภาพของข้อมูล

ส่วนสำคัญของ Dell AI Data Platform กับ NVIDIA คือ ระบบจัดเก็บข้อมูล Dell PowerScale ซึ่งได้รับการรับรองทั้งสำหรับโปรแกรม NVIDIA Cloud Partner และการรับรองใหม่ NVIDIA-Certified Storage สำหรับการปรับใช้ AI Factory ในองค์กรร่วมกับสถาปัตยกรรม NVIDIA Enterprise Reference Architectures โดยนวัตกรรมล่าสุดด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ช่วยให้ PowerScale ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้ GPU โดยให้ความเร็วในการนำเข้าข้อมูลเพิ่มขึ้น 220% และการเรียกค้นข้อมูลที่เร็วขึ้น 99% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ความก้าวล้ำนี้ทำให้ PowerScale อยู่เหนือข้อกำหนดของ NVIDIA DGX ในเรื่องการปรับใช้ AI ที่ขยายได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดเวลาในการฝึกฝน นอกจากนี้ สถาปัตยกรรมแบบปรับขยายได้ของ Dell PowerScale ยังสามารถรองรับความต้องการด้าน AI ประสิทธิภาพสูงทุกรูปแบบ

เดลล์ เทคโนโลยีส์ ยังประกาศสนับสนุน NVIDIA Dynamo ช่วยให้ลูกค้าเพิ่มพื้นที่หน่วยความจำ GPU โดยการโอนถ่ายข้อมูลแคช KV จากโหนดที่เร่งความเร็ว GPU ไปยังระบบจัดเก็บข้อมูล ของเดลล์อย่าง PowerScale เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Dell PowerScale และความก้าวหน้าของ Dell Data Lakehouse ได้ที่นี่

โซลูชันและบริการ AI ใหม่ ขยายศักยภาพด้าน AI ได้เหนือชั้น

Dell AI Factory ร่วมกับ NVIDIA เพิ่มโซลูชันและบริการใหม่ ช่วยเสริมพลังและปรับใช้ AI ได้ง่ายขึ้น โดยมีปัจจัยสำคัญบางประการได้แก่

  • เดลล์ช่วยให้พัฒนา Agentic AI ง่ายขึ้นด้วยการผสาน NVIDIA’s AI-Q Blueprint และ AgentIQ Toolkit เข้ากับแพลตฟอร์ม NVIDIA AI Enterprise ซึ่งประกอบด้วย NIM, NeMo Retriever และ AI Blueprints พร้อมโมเดล NVIDIA Llama Nemotron รุ่นใหม่สำหรับการให้เหตุผล (reasoning) ช่วยให้องค์กรสามารถสร้างแพลตฟอร์มเอเจนต์ AI  ที่แข็งแกร่งด้วยความสามารถที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ บริการใหม่ Dell Accelerator สำหรับ RAG (Retrieval-augmented generation) ยังช่วยในการติดตั้งและใช้โซลูชันแบบเอเจนต์ ที่ผสานรวมข้อมูลธุรกิจ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนได้สูงสุด
  • Dell AI Factory ร่วมกับ NVIDIA ให้การรับรอง NVIDIA Run:ai AI orchestration platform ช่วยให้องค์กรมีเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร GPU จัดการเวิร์กโหลดที่ซับซ้อน และเร่งเวิร์กโฟลว์ AI ในองค์กร (on-premises) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • บริการสำหรับผู้ช่วยดิจิทัล GenAI ของเดลล์ ได้ปรับให้สอดคล้องกับสถาปัตยกรรมต้นแบบที่ปรับขยายได้ของ NVIDIA ช่วยปฏิรูปการให้บริการด้วยตนเองภายในองค์กร ด้วยโซลูชันที่มีความคล้ายมนุษย์และรองรับการใช้งานได้หลายภาษา
  • Dell AI Code Assistant นำเสนอผู้ช่วยเขียนโค้ดระดับองค์กรแบบ on-premises อย่างเต็มรูปแบบ ที่ให้มาตรฐานความยืดหยุ่นและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลในระดับสูงสุด โซลูชันนี้ให้คำแนะนำด้านโค้ดที่แม่นยำและเข้าใจบริบท โดยใช้เครื่องมือ Agentic AI และกลไกวิเคราะห์บริบทขั้นสูง ขณะที่ Dell Implementation Services for AI Code Generation ซึ่งเป็นบริการการนำร่องของเดลล์สำหรับการสร้างโค้ดด้วย AI จะช่วยติดตั้งและปรับจูนโมเดลผู้ช่วยเขียนโค้ดให้เหมาะสมกับองค์กร

มุมมองของผู้บริหาร

ไมเคิล เดลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เดลล์ เทคโนโลยีส์ กล่าวว่า “เดลล์ กำลังฉลองครบรอบหนึ่งปีของ Dell AI Factory ร่วมกับ NVIDIA โดยมุ่งเน้นพันธกิจในการลดความซับซ้อนของ AI เพื่อให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับภาคธุรกิจ ด้วยฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของ NVIDIA ที่ทำงานสอดประสานกันอย่างลื่นไหล ตั้งแต่เดสก์ท็อปจนถึงดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งมีเดลล์เท่านั้นที่สามารถให้ความน่าเชื่อถือและการทำงานได้อย่างสอดคล้อง ในแบบที่องค์กรต้องการเพื่อสนับสนุนความริเริ่มด้าน AI ได้ นอกจากนี้ เดลล์กำลังทำลายข้อจำกัดในการใช้ AI และช่วยให้องค์กรต่างๆ ผสาน AI เข้ากับการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

เจนเซน หวง ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร NVIDIA กล่าวว่า “ทุกอุตสาหกรรมต่างเร่งสร้าง AI Factory ของตนเพื่อสร้างอัจฉริยภาพ ซึ่ง NVIDIA และเดลล์กำลังร่วมมือกันเพื่อมอบระบบโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่สมบูรณ์และครอบคลุมที่สุดในอุตสาหกรรม ช่วยให้องค์กรต่างๆ มีทุกสิ่งที่ต้องการในการพัฒนา ปรับใช้งาน และขยายการใช้งาน AI ตั้งแต่เวิร์กสเตชันจากโต๊ะทำงาน ไปจนถึง AI Factory ในระดับดาต้าเซ็นเตอร์ โดยแพลตฟอร์มนี้จะเป็นพลังผลักดันคลื่นลูกใหม่ของนวัตกรรม ด้าน AI”

อ่านความคิดเห็นของลูกค้าเกี่ยวกับ Dell AI Factory ได้ที่นี่

การวางจำหน่าย

  • เดสก์ท็อป และแล็ปท็อป Dell Pro Max พร้อมวางจำหน่ายตั้งแต่ มีนาคม 2568 และจะทยอยวางจำหน่ายเพิ่มเติมในเดือนถัดไป
  • Dell Pro Max รุ่น GB300 และ Dell Pro Max รุ่น GB10 จะวางจำหน่ายในช่วงปลายปีนี้
  • เซิร์ฟเวอร์ Dell PowerEdge XE7740 และ XE7745 ที่รองรับ NVIDIA RTX PRO™ 6000 Blackwell Server Edition PCIe GPUs จะวางจำหน่ายทั่วโลกในช่วงปลายปีนี้
  • Dell PowerEdge XE8712 จะวางจำหน่ายทั่วโลกในช่วงปลายปีนี้
  • องค์ประกอบทั้งหมดของ Dell AI Data Platform ร่วมกับ NVIDIA พร้อมวางจำหน่ายทั่วโลกแล้ว
  • Dell AI Factory และ NVIDIA ที่มอบ Agentic AI พร้อมวางจำหน่ายทั่วโลกแล้ว
  • Dell AI Factory ร่วมกับ NVIDIA ที่ตรวจสอบ NVIDIA Run:ai’s orchestration platform พร้อมวางจำหน่ายทั่วโลกแล้ว
  • Dell AI Code Assistant พร้อมวางจำหน่ายทั่วโลกแล้ว

 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ครบรอบ 50 ปี ลัคกี้เฟลม เดินหน้าก้าวใหม่สู่องค์กรแห่งความยั่งยืน มุ่งเป้าแบรนด์ไทยระดับสากล พัฒนาผลิตภัณฑ์อัจฉริยะตอบโจทย์โลกอนาคต

นายเชาว์เลิศ ลีลาศวัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ลัคกี้เฟลม จำกัด กล่าวถึงสภาพตลาดและการเติบโตของตลาดเตาแก๊สและเตาไฟฟ้าที่ใช้ในครัวเรือนว่า ในปีที่ผ่านมา (2567) การเติบโตของตลาดในเชิงคุณภาพถือว่ายังเติบโต โดยลูกค้ากลุ่มนี้เป็นระดับกลางถึงสูง (Middle to High-End) ซึ่งยังมีความสามารถในการจับจ่ายที่ดี แต่มีความต้องการสินค้าที่สอดคล้องกับพฤติกรรมในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบดีไซน์ที่มีความโดดเด่น มีนวัตกรรม เทคโนโลยีและฟังก์ชันการใช้งานที่ทันสมัย ซึ่งเมื่อผนวกกับประสิทธิภาพการใช้งานที่เหมาะกับลักษณะของครัวไทยและจุดแข็งด้านความปลอดภัยสูงแล้ว ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ ลัคกี้เฟลม ในกลุ่มนี้เติบโตได้ดีตามไปด้วย 

ปัจจุบัน ลัคกี้เฟลม มีผลิตภัณฑ์อยู่ในตลาดกว่า 500 SKUs ใน 8 กลุ่มผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย กลุ่มเตาแก๊สและเตาไฟฟ้า กลุ่มเครื่องดูดควัน กลุ่มเตาอบ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เครื่องทำน้ำอุ่น กลุ่มอ่างล้างจานและก็อกน้ำ กลุ่มอุปกรณ์แก๊ส รวมถึงผลิตภัณฑ์สำหรับธุรกิจร้านอาหาร โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเตาแก๊ส เตาไฟฟ้า อันดับหนึ่งของประเทศและเป็นผู้ผลิตเตาแก๊สอันดับต้นของอาเซียน มีสัดส่วนการขายในประเทศอยู่ที่ 80% ครองส่วนแบ่งตลาดเตาแก๊สในประเทศประมาณ 20% จากมูลค่าตลาดรวมประมาณ 3,500 ล้านบาท และส่งออกตลาดต่างประเทศมีสัดส่วนประมาณ 20% โดยตลาดหลัก คือ เวียดนาม พม่า อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และเยอรมันนี ส่วนผลกระทบจากมาตรการด้านภาษีของสหรัฐอเมริกานั้น แม้สหรัฐฯ จะไม่ใช่ตลาดส่งออกหลักโดยตรง แต่ก็ได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมถึงมีการเตรียมพร้อมในการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อรองรับกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ควบคู่ไปกับการจับมือกับพันธมิตรใหม่ๆ ที่มีศักยภาพในภูมิภาคต่างๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงในเชิงกลยุทธ์

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2568 นั้น ถือเป็นความท้าทายและเป็นก้าวใหม่สำคัญของ ลัคกี้เฟลม ที่ดำเนินธุรกิจมาถึง 50 ปี วันนี้การเดินหน้าธุรกิจต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกับโลกที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ซึ่งเป็นจุดยืนเดียวกับ ลัคกี้เฟลม ที่มีเป้าหมายในการเป็นแบรนด์ไทยที่มีศักยภาพระดับสากล ขยายตลาดในอาเซียน และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์โลกอนาคต ภายใต้การดำเนินงานที่มุ่งเน้นความยั่งยืน (ESG) อย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การปรับปรุงกระบวนการผลิตที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพทั้งการติดตั้งโซลาเซลล์ 600 กิโลวัตต์ ทำให้ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 1,500 ตัน รวมถึงกระบวนการบำบัดน้ำและอากาศจากการผลิต ทำให้ทางบริษัทฯ ได้รับการรับรองจากกระทรวงอุตสาหกรรมให้เป็น อุตสาหกรรมสีเขียว นอกจากนั้นยังมีการดำเนินนโยบายด้าน Circular Economy ทำการศึกษาและพัฒนาการนำเศษวัสดุจากการผลิต มาผลิตเป็นชิ้นส่วนใหม่ที่นำไปใช้ต่อได้ตามหลัก Upcycling ทำให้ลดต้นทุน ลดของเสียที่ทำให้เกิดขยะและใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า รวมถึงยังมีการลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การใช้แขนกลในกระบวนการ Die Casting การใช้ระบบ IT, ในการควบคุมคุณภาพในกระบวนการผลิต ฯลฯ

แนวทางดังกล่าวส่งผลถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีทั้งกับผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อมไปควบคู่กัน ซึ่งลัคกี้เฟลม เป็นผู้ผลิตเตาแก๊สรายแรกที่ได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรม หรือ มอก. ทั้งในด้านความปลอดภัย และ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ต่ำกว่า 1,000PPM. จากการพัฒนาเตาแก๊สให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ ใช้พลังงานได้คุ้มค่า และแม้จะไม่มีการประกาศบังคับใช้ มอก. แต่ลัคกี้เฟลมเล็งเห็นถึงความสำคัญเรื่องความปลอดภัยสูงสุด จึงมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพเพื่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง รวมถึงการพัฒนาให้เตาแก๊ส ลัคกี้เฟลม ประหยัดแก๊สได้มากถึง 30% เมื่อเทียบกับเตาแก๊สทั่วไปจนได้รับฉลากประหยัดพลังงานและมีประสิทธิภาพสูงจากกระทรวงพลังงาน

ส่วนด้านการตลาดนั้น ลัคกี้เฟลม จะยังคงรักษาฐานในกลุ่มแม่บ้าน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ Mass Market พร้อมกับให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าในเมืองและคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูงมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ประเภท Built-in และสินค้าสำหรับผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม ที่ต้องการความสะดวก ปลอดภัยและเหมาะสมกับพื้นที่จำกัด (Smart Function & Safety Innovation) ซึ่งผลิตภัณฑ์ใหม่ที่น่าสนใจสำหรับปี 2568 นั้น ประกอบด้วย Nexus ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวอัจฉริยะ (Smart Kitchen Appliances) ที่ประกอบด้วยเครื่องดูดควัน (Smart Hood) และเตาแก๊ซแบบฝัง (Smart Built-in Gas Hob) โดยเครื่องดูดควันมีคุณสมบัติเด่น ทั้งการเชื่อมต่อการทำงานระหว่างเตาแก๊สกับเครื่องดูดควันปรับความแรงเครื่องดูดควันตามกำลังไฟของเตา ม่านอากาศป้องกันควันออกสู่ภายนอก  หัวเตา มีระบบความปลอดภัยสูงตัดแก๊สทันทีที่เปลวไฟดับ (Flame Failure Device) พื้นผิวหน้าเตาเป็นกระจกนิรภัยเคลือบ AG Nano ลดการเกิดคราบ ทำความสะอาดง่าย รับประกันกระจกตลอดอายุการใช้งาน รวมถึงเตาแก๊สอัจฉริยะ i-Hob สามารถเชื่อมต่อ Application บนสมาร์ทโฟน เพิ่มความสะดวก และปลอดภัยต่อผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังจะมีการออกผลิตภัณฑ์ เตาไฟฟ้ารุ่น พิเศษ (Limited Edition) ฉลอง 50 ปี โดยจะร่วมกับนักออกแบบและดีไซน์เนอร์ชื่อดัง เพื่อขอบคุณลูกค้าที่อยู่เคียงข้างกับแบรนด์ ลัคกี้เฟลม มาโดยตลอด ส่วนเป้าหมายรายได้ในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มได้ 10% และคาดว่าในอีก 3ปี จะเติบโตได้ถึง 1,200 ล้านบาท จากปัจจัยการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาด การจับมือพันธมิตรใหม่ และการรุกตลาดส่งออกต่างประเทศที่มากขึ้นอีกด้วย

ผู้สนใจข้อมูลบริษัทและผลิตภัณฑ์ของลัคกี้เฟลมสามารถหารายละเอียดได้ที่https://www.luckyflame.co.th/ หรือ โทร 02-312-4330-40


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

CelcomDigi ร่วมมือกับอีริคสัน ยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้งานมือถือผ่านเครือข่ายอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI

CelcomDigi Berhad (“CelcomDigi”) และ อีริคสัน (มาเลเซีย) Sdn Bhd (“Ericsson”) ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) เพื่อร่วมมือกันพัฒนาการดำเนินงานเครือข่ายอัตโนมัติในประเทศมาเลเซีย โดยโครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อใช้ประโยชน์ด้านการวิเคราะห์เครือข่ายที่ขับเคลื่อนด้วย AI มาเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านเครือข่ายของ CelcomDigi ช่วยให้บริษัทฯ สามารถมอบประสบการณ์เครือข่ายที่มีประสิทธิภาพสูงให้แก่ผู้ใช้งานมือถือได้อย่างต่อเนื่อง

การนำเครือข่าย 5G มาใช้อย่างแพร่หลาย ก่อให้เกิดความซับซ้อนของเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีจำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อและยูสเคสการใช้งานที่หลากหลายเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเพื่อแก้ไขความท้าทายเหล่านี้ CelcomDigi และอีริคสันจะร่วมกันสำรวจแนวทางการพัฒนาเครือข่ายอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนตามเจตนารมณ์หรือ Intent-Driven Autonomous Networks โดยใช้ประสิทธิภาพจาก AI และระบบอัตโนมัติสำหรับมอบบริการการเชื่อมต่อที่แตกต่างและมีคุณภาพสูง

ความร่วมมือดังกล่าวประกอบด้วยสาระสำคัญดังนี้:

  • ระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI – ใช้เทคโนโลยี AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
  • การรับประกันบริการ 5G – การรับประกันบริการ 5G ที่มีประสิทธิภาพสูงและแตกต่าง สำหรับองค์กรและผู้บริโภค
  • มอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ผู้ใช้ – ปรับปรุงคุณภาพการบริการและประสิทธิภาพการดำเนินงานผ่านโซลูชันอัตโนมัติ

อีริคสันจะนำความเชี่ยวชาญระดับโลกและแนวคิด AI Intent-Based Operations (IBO) ที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมมาช่วยเร่งการพัฒนาการดำเนินงานเครือข่ายอัตโนมัติ โดยบูรณาการความสามารถอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI ต่าง ๆ มาใช้สนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายและการพัฒนาเครือข่ายของ CelcomDigi ให้มีความทันสมัยอย่างต่อเนื่อง สำหรับสร้างเครือข่ายดิจิทัลชั้นนำของประเทศ พร้อมมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับทั้งองค์กรและผู้บริโภคชาวมาเลเซีย

นาย Datuk Idham Nawawi ซีอีโอของ CelcomDigi ให้ความเห็นถึงความร่วมมือนี้ว่า “การใช้ 5G ในมาเลเซียกำลังเร่งขยายตัวมากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องพัฒนาความสามารถเครือข่ายเพื่อจัดการและรับมือกับความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ยังคงมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้ใช้งาน การขยายความร่วมมืออย่างต่อเนื่องกับอีริคสัน ทำให้เรากำลังก้าวไปสู่การดำเนินงานเครือข่ายอัตโนมัติตามเจตนารมณ์ หรือ Intent-Based Autonomous Networks โดยใช้ AI และระบบอัตโนมัติมาเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของเครือข่าย เพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมปรับปรุงด้านความยั่งยืน”

นาย David Hägerbro ประธานและซีอีโอของอีริคสัน มาเลเซีย ศรีลังกา และบังกลาเทศ กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ CelcomDigi ถือเป็นก้าวสำคัญเชิงกลยุทธ์สำหรับการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของมาเลเซีย พวกเราตื่นเต้นกับศักยภาพในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI เพื่อดำเนินงานเครือข่ายอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพและประสบการณ์ของผู้ใช้งานมือถือให้ดียิ่งขึ้น โดย MoU ฉบับนี้มีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการดำเนินงาน เพิ่มคุณภาพการให้บริการ และยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราต่อมาเลเซียที่ยังคงเหมือนเดิม และจากความร่วมมือนี้ เรายังมุ่งสนับสนุนให้ CelcomDigi เป็นผู้ให้บริการชั้นนำด้านนวัตกรรมดิจิทัล”

ความร่วมมือนี้ยังต่อยอดความมุ่งมั่นของ CelcomDigi ในการใช้ประโยชน์จากความร่วมมือกับพันธมิตรสำหรับขับเคลื่อนนวัตกรรมและสนับสนุนการทรานฟอร์มเมชันของประเทศไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยเครือข่าย 5G และเทคโนโลยี AI ด้วยการบุกเบิกการดำเนินงานเครือข่ายอัตโนมัติของ CelcomDigi และอีริคสันจะกำหนดมาตรฐานใหม่ในด้านประสิทธิภาพเครือข่าย การนำเสนอบริการที่แตกต่าง และสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ใช้งานที่ดียิ่งขึ้น


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะวิศวฯ มจพ. จับมือ สมาคมการจัดการระบบคลังสินค้าไทย อบรมนักวิเคราะห์ระบบอัตโนมัติ SA ในโครงการบัณฑิตพันธุ์ใหม่ พ.ศ 2568

คณะวิศวกรรมศาสตร์   มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ  (มจพ.)  ร่วมกับ สมาคมการจัดการระบบคลังสินค้าไทย (TIA : Thai  Intralogistics  Association)  และ เครือข่ายพันธมิตรของสมาคมการจัดการระบบคลังสินค้าไทย กำหนดจัดอบรมนักวิเคราะห์ระบบอัตโนมัติ System Analyst (SA ) รุ่นที่ 11 ภายใต้โครงการบัณฑิตพันธุ์ใหม่  .  2568  (Transformation to  Sustainable  Smart  Manufacturing)  ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย

คุณสมบัติผู้เข้าอบรม

สำเร็จการศึกษาด้านเทคโนโลยี ระดับปริญญาตรีเป็นต้นไป หรือเป็นผู้ที่สนใจอยู่ระหว่างการเรียนในระดับปริญญาตรี จำนวน 3 กลุ่มดังนี้

กลุ่ม 1 บุคลากรภาคการศึกษา ได้แก่ อาจารย์วิทยาลัยเทคนิค / มหาวิทยาลัยสายเทคโนโลยี
กลุ่ม 2 ผู้ประกอบการ ด้าน System Integrator / Maker ที่ทำงานด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม เอไอ และดิจิทัล
กลุ่ม 3 สถานประกอบการ ได้แก่ สายงานเทคโนโลยี ระดับหัวหน้างานขึ้นไป ที่ต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอุตสาหกรรม

เปิดรับสมัคร ตั้งแต่บัดนี้ – 20 เมษายน 2568

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทรศัพท์ 083-846-0056, 083-133-7895 หรือ 091-255-19999  Facebook : ThaiIntralogistics และ e-mail : thailntralogistics@gmail.com

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

STGT รุกงานเอกซ์โประดับโลก ลุยตลาดเกาหลี อินเดีย เยอรมนี โชว์ศักยภาพผู้ผลิตถุงมือยางอันดับหนึ่งของไทยมาตรฐานระดับแนวหน้าของโลก

บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์อันดับหนึ่งของประเทศไทยและอันดับต้นของโลก เดินหน้ายกทัพถุงมือยางศรีตรังโกลฟส์และผลิตภัณฑ์ในเครือบุก 3 ประเทศ ในเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยเข้าร่วมงานแสดงสินค้าระดับแนวหน้าของโลก ได้แก่ 1) งานแสดงอุปกรณ์การแพทย์และโรงพยาบาลนานาชาติเกาหลีครั้งที่ 40 “Korea International Medical & Hospital Equipment Show (KIMES) 2025” ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ วันที่ 20-23 มีนาคม 2568 2) งานแสดงสินค้าและการประชุมชั้นนำสำหรับโรงพยาบาล ศูนย์สุขภาพ และคลินิก “Medical Fair India 2025” ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย วันที่ 27-29 มีนาคม 2568 และ 3) งานแสดงสินค้าทางทันตกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก “IDS Dental industry and Dental trade fair 2025” ณ เมืองโคโลญจน์ สาธารณรัฐเยอรมนี วันที่ 25-29 มีนาคม 2568 พร้อมนำเสนอการดำเนินงานด้านความยั่งยืนภายใต้แนวคิด “Clean World Clean Gloves (CWCG)” หรือ “ถุงมือสะอาด โลกสะอาด”

นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าระดับโลกไม่เพียงแต่เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของ STGT ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ แต่ยังเป็นการยืนยันถึงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมถุงมือยางที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มลูกค้าปัจจุบันและขยายฐานตลาดใหม่ ซึ่ง STGT ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์ ที่อยู่ภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ และการผลิตในลักษณะ OEM ร่วมแสดงในงานแสดงสินค้าระดับโลกถึง 3 งาน ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทั้งภูมิภาคเอเชียและยุโรป โดยมีผู้ร่วมงานทั้ง 3 งานรวมกว่า 200,000 ราย เนื่องจากอุตสาหกรรมการแพทย์ถือเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ที่ทั่วโลกให้ความสนใจ และถุงมือยางถือเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในทุกขั้นตอนของการให้บริการทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็น การตรวจคัดกรองโรค การตรวจวินิจฉัยโรค หรือการตรวจในห้องปฏิบัติการ เป็นต้น

“ในปี 2568 เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเติบโตของผู้ผลิตถุงมือยางในประเทศไทย  เนื่องจากความต้องการสินค้ากลุ่มสุขภาพและการแพทย์ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ถึงแม้จะคลี่คลายไปแล้ว แต่ได้สร้างพฤติกรรม New Normal ให้กับผู้บริโภคทั่วโลกที่หันมาดูแลและใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ประกอบกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่ส่งเสริมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ อีกทั้งประเทศไทยมีข้อได้เปรียบด้านมาตรการภาษีระหว่างประเทศ ซึ่งโอกาสเหล่านี้เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ ในตลาดโลกอย่างมีนัยสำคัญ และ STGT มุ่งมั่นพัฒนาถุงมือยางให้ตอบโจทย์ทุกการใช้งานแก่ผู้บริโภคสินค้าในทุกอุตสาหกรรมและทุกครัวเรือน” นางสาวจริญญา กล่าว

นางสาวจริญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า การร่วมงานจัดแสดงสินค้าระดับนานาชาติเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการสื่อสารกับลูกค้าทั่วทุกมุมโลก และตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยกระบวนการผลิตถุงมือยางของ STGT ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและลดการปล่อยของเสีย มุ่งสู่ Net Zero นอกจากนี้ บริษัทยังนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติ (Automation) มาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและกระบวนการผลิตเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับการดำเนินงานภายใต้แนวคิดสำคัญที่เปรียบเสมือนหัวใจหลักของ STGT  คือ “Clean World Clean Gloves (CWCG)” ที่บริษัทฯ มุ่งมั่นผลิตถุงมือยางที่สะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและโลกของเรา STGT เราพร้อมที่จะส่งมอบการ “ปกป้องทุกสัมผัส ด้วยความห่วงใย” สู่ทุกชีวิตทั่วโลก และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมถุงมือยางไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน


Exit mobile version