Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

โรงไฟฟ้า BLCP ลงนามความร่วมมือ เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส เพื่อเสริมสร้าง ยกระดับวิชาชีพด้านวิศวกรรมและการบำรุงรักษาโรงไฟฟ้

ดร.กัมปนาท บำรุงกิจ (คนกลาง) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานปฏิบัติการ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือ (MOU) ในการเสริมสร้างและยกระดับวิชาชีพด้านวิศวกรรมและการบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า โดยมีนายยุทธนา เจริญวงศ์ (ที่สองจากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท  บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัดและ นายอดุลย์ อุดมวรวุฒิ (คนแรกซ้าย) รองผู้จัดการใหญ่โรงไฟฟ้า พร้อมด้วย นายสุทธิศักดิ์ แก้วมีแสง (ที่สองจากขวา)  กรรมการผู้จัดการ และ นายพิสิทธิ์ โสภณนรินทร์ (คนแรกขวา) ผู้จัดการส่วนอาวุโส-บริหารงานเดินเครื่อง บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด เป็นผู้ร่วมลงนาม เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาศักยภาพบุคลากรในการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน พร้อมพัฒนาแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ทั้งยังเป็นการยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานในอุตสาหกรรมพลังงานของไทย เมื่อเร็วๆ นี้

สำหรับโครงการความร่วมมือในการเสริมสร้างยกระดับวิชาชีพด้านวิศวกรรมและการบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าระหว่างโรงไฟฟ้า BLCP และ บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (ESCO) นั้น มีเป้าหมายในการเพิ่มขีดความสามารถของทั้งสององค์กร สร้างบุคลากรและเครือข่ายความรู้เฉพาะทางด้านวิศกรรมในธุรกิจผลิตไฟฟ้า  เตรียมความพร้อมให้กับบุคลากรในอุตสาหกรรมพลังงาน เพื่อรองรับความท้าทายที่ซับซ้อนในอนาคต รวมถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ได้อย่างต่อเนื่อง    พร้อมกับเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานของประเทศอย่างมั่นคงและยั่งยืน ในการก้าวไปสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) ของประเทศไทย

โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) “มุ่งพัฒนาพลังงานที่มั่นคง เพื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” ผู้สนใจค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.blcp.co.th/web/index หรือ Facebook : โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี – BLCP Power Limited


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประกาศจับมือพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญ ร่วมกับ “พร้อม เทคนิคคอล เซอร์วิสเซส” เร่งพัฒนาโซลูชั่นทรานส์ฟอร์มธุรกิจพลังงาน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ บริษัท พร้อม เทคนิคคอล เซอร์วิสเซส จำกัด เพื่อพัฒนาโซลูชั่นเชิงนวัตกรรมขับเคลื่อนการทรานส์ฟอร์มเมชั่นธุรกิจพลังงานและอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (Upstream Oil & Gas) สร้างผลกระทบเชิงบวก ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

นายซิงเจียง ปัง ประธานชไนเดอร์ อิเล็คทริคประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก กล่าวว่า ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีความมุ่งมั่นในการผลักดันพันธมิตรเพื่อเป้าหมายสำคัญในการสร้างผลกระทบเชิงบวกและความยั่งยืนให้กับระบบนิเวศ ความร่วมมือกับบริษัท พร้อม เทคนิคคอล เซอร์วิสเซส จำกัด จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่สำคัญของไทย จากความร่วมมือด้านข้อมูลที่ใช้พัฒนานวัตกรรมโซลูชั่นจากหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างนวัตกรรมดิจิทัลตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีให้กับกลุ่มธุรกิจพลังงาน ได้แก่ กระทรวงพลังงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.), บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT)

นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวเสริมว่า ธุรกิจพลังงานและอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียมคือกลไกที่เกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วนสำคัญในประเทศไทย ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้กับบริษัท พร้อม เทคนิคคอล เซอร์วิสเซส จำกัด ได้มุ่งเน้นไปที่การร่วมกันพัฒนาโซลูชั่นเชิงนวัตกรรมเพื่อเป้าหมายเปลี่ยนผ่านกระบวนการทำงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลสู่ผลลัพธ์ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีขอบเขตความร่วมมือสำคัญในด้านต่างๆ ดังนี้

1.การจัดการข้อมูลแบบใกล้เคียงเวลาจริง (Near Real-Time) 2. วิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science) และการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) 3.การดำเนินธุรกิจอัจฉริยะและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ 4.บริการคลาวด์ยุคใหม่ (Next-generation Cloud Services) 5.ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) 6.การสื่อสาร 5G และ 7.ศูนย์ข้อมูลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Data Centers) เพื่อสนับสนุนการลดคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรม

นายพงัน เชาวนการกิจ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พร้อม เทคนิคคอล เซอร์วิสเซส จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในครั้งนี้จะช่วยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholder) ในธุรกิจพลังงานและอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ได้นำความรู้และนวัตกรรมโซลูชั่นที่เกิดจากความร่วมมือ ใช้ประโยชน์ในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

สำหรับโซลูชั่นและผลิตภัณฑ์ที่จะพัฒนาร่วมกัน ด้านสำคัญ ได้แก่ 1.การวิเคราะห์ข้อมูลและความเป็นเลิศในการดำเนินงาน ด้วยการพัฒนาแอปพลิเคชั่นการวิเคราะห์ข้อมูลและยกระดับความเป็นเลิศในการดำเนินงาน โดยการผสมผสานโมเดล AI และ ML วมถึงโซลูชั่นอัจฉริยะเข้ากับความสามารถของคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง (HPC)

2.การพยากรณ์และวิเคราะห์พลังงานหมุนเวียน ด้วยการพัฒนาแอปพลิเคชั่นและโซลูชั่นที่มีประสิทธิภาพสำหรับแบบจำลองและแพลตฟอร์มการพยากรณ์พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวางแผนการเชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Grid Integration) และประสิทธิภาพการดำเนินงาน

3.แอปพลิเคชั่นจัดการข้อมูลพลังงานแบบใกล้เคียงเวลาจริง โดยจะพัฒนาระบบและเทคโนโลยีล้ำสมัยสำหรับการรวบรวมประมวลผล และวิเคราะห์ข้อมูลพลังงานแบบ Near Real-Time รวมถึงโซลูชั่นในรูปแบบบริการซอฟต์แวร์ (SaaS) ที่ยืดหยุ่นโดยใช้ประโยชน์จากบริการคลาวด์ยุคใหม่

และ4.ศูนย์ปฏิบัติการแบบบูรณาการ (IOC) ซึ่งจะพัฒนาโซลูชั่นศูนย์ปฏิบัติการแบบบูรณาการ (Integrated Operation Center) เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการสร้างความเป็นเลิศในการดำเนินงานมีหน้าจอควบคุมและติดตามแบบครบวงจรที่สามารถรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งทั้ง IT และOT ได้อย่างราบรื่น โดยสร้างขึ้นบนสถาปัตยกรรมระบบที่มีความพร้อมใช้งานสูง (High-Availability)

นายชัยวิชิต สารกุล ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจดิจิทัล บริษัท พร้อม เทคนนิคคอล เซอร์วิสเซส จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือในการพัฒนาโซลูชั่นร่วมกันจะช่วยผลักดันศักยภาพการให้บริการดิจิทัลแพลตฟอร์มในรูปแบบครบวงจร และสามารถนำเสนอบริการด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการดำเนินธุรกิจให้กับกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและธุรกิจพลังงาน และเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านพลังงานอย่างยั่งยืน

ชไนเดอร์อิเล็คทริค มุ่งมั่นขับเคลื่อนองค์กรต่างๆ ในระบบนิเวศ เพื่อร่วมกันสร้างผลกระทบเชิงบวกโดยเชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน ด้วยการเป็นพันธมิตรที่เชื่อมั่นได้ ทั้งในด้านการสร้างความยั่งยืนและสร้างประสิทธิภาพ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

CADT DPU จัด Flight Simulator Landing Challenge 2025 สร้างแรงบันดาลใจสู่อาชีพนักบิน พร้อมเปิดหลักสูตร ป.ตรี ควบใบอนุญาตนักบินพาณิชย์ตรี ภายใน 3.5 ปี

วิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน (CADT) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) จัดการแข่งขันการบินเสมือนจริงโดยเครื่องจำลองการบิน (Simulator) ภายใต้โครงการ Flight Simulator Landing Challenge 2025 เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนได้สัมผัสประสบการณ์การบินเสมือนจริงผ่านเครื่องจำลองการบิน เสริมสร้างทัศนคติที่ดีต่ออาชีพนักบิน และจุดประกายแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่มีความใฝ่ฝันในเส้นทางการบิน พร้อมเปิดหลักสูตรใหม่ “ปริญญาตรีควบใบอนุญาตนักบินพาณิชย์ตรี” ภายในระยะเวลา 3.5 ปี ภายใต้กิจกรรมดังกล่าว ยังมีรุ่นพี่นักบินจากสายการบินพาณิชย์ ร่วมแชร์ประสบการณ์ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับน้อง ๆ  โดยพิธีเปิดมี อาจารย์ปวรรัตน์ สุภิมารส รักษาการคณบดี วิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน และ นายพันธ์พิสุทธิ์ นุราช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย อินเตอร์ ไฟลอิ้ง จำกัด ร่วมเป็นประธานกล่าวเปิดงาน ณ วิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

อาจารย์ปวรรัตน์ สุภิมารส รักษาการคณบดี วิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน ( CADT ) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU ) เปิดเผยว่า CADT DPU มุ่งหวังให้โครงการนี้เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ การแสดงออก และการค้นพบศักยภาพของตนเอง โดยมีครูนักบินจากโรงเรียนการบิน Thai Inter Flying ร่วมให้คำแนะนำอย่างถูกต้องตามหลักวิชาชีพ พร้อมทั้ง ใช้โอกาสนี้ในการส่งต่อแรงบันดาลใจและองค์ความรู้ที่ถูกต้องแก่เยาวชนไทย โครงการนี้ยังสะท้อนถึงการใช้ทรัพยากรของมหาวิทยาลัยให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคม ด้วยการเปิดประตูสู่แหล่งเรียนรู้ด้านการบินที่มีมาตรฐานระดับสากล สร้างการมีส่วนร่วมระหว่างสถาบันและชุมชน พร้อมส่งเสริมบทบาทของมหาวิทยาลัยในการพัฒนาและสนับสนุนอนาคตของเยาวชนไทยอย่างยั่งยืน

การแข่งขันดังกล่าว มีนักเรียน-นักศึกษา กว่า 60 คน เข้าร่วมทดลองประสบการณ์การบินเสมือนจริง โดยผู้รับคะแนนสูงสุด จะได้รับรางวัลตั๋วเครื่องบินภายในประเทศ พร้อมชั่วโมงช่วยฝึกบินจำลองแบบ Boeing 737-800NG จำนวน 30 นาที พร้อมใบประกาศนียบัตรและเข็มนักบิน ส่วนลำดับที่ 2-3 ได้รับรางวัลเป็นชั่วโมงฝึกบินพร้อมใบประกาศนียบัตรและเข็มนักบิน เช่นกัน

โอกาสนี้ CADT DPU ยังได้เปิดตัวหลักสูตร ปริญญาตรีควบใบอนุญาตนักบินพาณิชย์ตรี  โดยเป็นความร่วมมือกับ Thai Inter Flying  ซึ่งเป็นโรงเรียนการบินชั้นนำ  โดยเป็นหลักสูตรนวัตกรรมใหม่ “Co-Creation : Pilot Pathway” ที่ออกแบบมาเพื่อสานฝันการเป็นนักบินพาณิชย์  ภายหลังจบการศึกษานักศึกษาจะได้รับทั้งวุฒิปริญญาตรีและใบอนุญาตนักบินพาณิชย์ตรี ในระยะเวลา 3.5 ปี ด้วยงบประมาณ 2.59 ล้านบาท

“จากข้อมูลที่น่าสนใจของสำนักงานสภานโยบาย การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สอวช.) ซึ่งได้ทำการสำรวจความต้องการบุคลากรทักษะสูงใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย 2568-2572  พบว่าอุตสาหกรรม ที่มีความต้องการมากที่สุด คือ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ จำนวนกว่า 440,573 ตำแหน่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน Customer Service และด้านเทคโนโลยีการบิน ด้วยเหตุนี้ หลักสูตรต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจการบิน การจัดการเทคโนโลยีการบินและการอำนวยการบิน รวมถึง Co-Creation : Pilot Pathway ที่วิทยาลัยฯ ได้พัฒนาขึ้น จึงตอบสนองต่อความต้องการแรงงานในภาคส่วนนี้โดยตรง” อาจารย์ปวรรัตน์ กล่าว

นายพันธ์พิสุทธิ์ นุราช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย อินเตอร์ ไฟลอิ้ง จำกัด กล่าวว่า  ความร่วมมือทางวิชาการในหลักสูตร  Co-Creation : Pilot Pathway บทบาทของ Thai Inter Flying เราจะรับผิดชอบดูแลการฝึกอบรมในส่วนของนักบินทั้งหมด ครอบคลุมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติทางอากาศ โดยสถานที่สำหรับการฝึกอบรมของโรงเรียนตั้งอยู่บนถนนวิภาวดีรังสิต ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และมีสนามบินสำหรับนักบินอยู่ที่คลอง 11 ปทุมธานีและจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นสถานฝึกที่ดีเยี่ยม ทั้งในด้านของทำเลที่ตั้งและการดูแลนักเรียน สำหรับการลงนามความร่วมมือครั้งนี้เน้นย้ำถึงมาตรฐานการฝึกอบรมระดับสูง หลักสูตรนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ที่สนใจรวมถึงผู้ปกครองที่ต้องการส่งบุตรหลานเข้าศึกษา ได้รับการดูแลที่ดีที่สุดตลอดหลักสูตรจากการประสานการทำงานของทั้งสององค์กร ทั้ง มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำ และโรงเรียนการบิน Thai  Inter Flying ซึ่งเป็นโรงเรียนการบินชั้นนำ เป้าหมาย คือ การดูแลนักศึกษาให้สำเร็จการศึกษาตามมาตรฐานที่กำหนดไว้


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว “New EasyPact MVS” เซอร์กิตเบรกเกอร์ดิจิทัลทรงสมาร์ท โชว์เคสเชื่อมต่อแบบไร้สัมผัส

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ เปิดตัว ‘New EasyPact MVS’ เซอร์กิตเบรกเกอร์ดิจิทัลใหม่ล่าสุด โชว์ประสบการณ์ใช้งานง่ายแบบไร้การสัมผัส ด้วยฟีเจอร์ NFC ผ่านแอปพลิเคชัน EcoStruxure Power Device ภายในงานสัมมนา Innovation Talk : Smart Solar Solution & Safer Switchgear

นายเผดิมศักดิ์ รัตนเรืองศักดิ์ รองประธานฝ่ายธุรกิจ เพาเวอร์ โพรดักส์ ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ไทย ลาว และเมียนมา กล่าวว่า New EasyPact MVS เซอร์กิตเบรกเกอร์ดิจิทัลรุ่นใหม่ในกลุ่มเซอร์กิตเบรกเกอร์ที่รองรับเครือข่ายกระแสไฟฟ้าแรงดันต่ำตั้งแต่ 630 ถึง 4,000 แอมแปร์ ได้รับการปรับโฉมการใช้งานใหม่ทั้งหมดด้วยฟีเจอร์ที่เน้นความสะดวกสบาย เชื่อมต่อง่าย สมาร์ททุกฟังก์ชัน คุ้มค่ามากขึ้น เพื่อตอบรับความต้องการใช้งานของกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMB) ล่าสุดเปิดตัวและโชว์ศักยภาพในงานสัมมนาทางด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าแสงอาทิตย์ เพื่อระบบที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ‘Innovation Talk : Smart Solar Solution & Safer Switchgear’

โดยงานนี้ได้มีผู้เชี่ยวชาญด้านระบบพลังงานร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ในหลากหลายหัวข้อ เช่น เจาะลึกโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์ครบวงจร (Solar Total Solutions), เทคโนโลยีการจัดเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่และระบบป้องกัน (Battery Energy Storage Technology and Protection), มาตรฐานและการเลือกใช้อปุกรณ์สำหรับตู้ไฟฟ้า และแนวทางการออกแบบระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เชิงวิศวกรรมสำหรับอาคารและภาคอุตสาหกรรม

New EasyPact MVS เซอร์กิตเบรกเกอร์ดิจิทัล มาพร้อมดีไซน์เรียบง่ายแต่สมาร์ท การันตีด้วยรางวัล reddot winner 2023 ด้วยคุณสมบัติหน้าจอแสดงผลทริปยูนิต (Trip Unit) ที่ใหญ่ขึ้น โดดเด่นด้านการแจ้งเตือนสถานะการทำงานต่างๆ ง่ายต่อผู้ใช้งาน ด้วยการเพิ่มแสงไฟสว่างแบบ LED ช่วยเปิดการมองเห็นที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นตั้งแต่ระยะ 10 เมตร และในกรณีที่เกิดภาวะโหลดเกิน หรือการลัดวงจร ผู้ใช้งานสามารถมองเห็นการแจ้งเตือนในระยะ 1 เมตร โดยหน้าจอจะแสดงผลแบบรหัสอักษรที่เข้าใจง่าย มองเห็นความผิดปกติได้ชัดเจน พร้อมปรับตำแหน่งการติดตั้งแบตเตอรี่ในส่วนหน้าของเซอร์กิตเบรกเกอร์ ซึ่งง่ายต่อการเปลี่ยนแบตเตอรี่

ส่วนไฮไลต์ฟังก์ชันของ New EasyPact MVS คือการเชื่อมต่อแบบไร้สัมผัสด้วย NFC (Near-field wireless) ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานไม่พลาดการเข้าถึงข้อมูล สถานะการทำงานอย่างละเอียดของเซอร์กิตเบรกเกอร์ได้ง่ายขึ้น ผ่านแอปพลิเคชัน Ecostruxure Power device ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เข้ากับกลุ่มผลิตภัณฑ์ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค โดยรองรับทั้งระบบปฏิบัติการ Android ,iOS และ iOS By Huawei

นอกจากนี้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ EPC (EcoStruxure Power Commission) ผ่านพอร์ต USB 3.0 เข้ากับแล็ปท็อป (Laptop) โดยซอฟต์แวร์ EPC ออกแบบเพื่อรองรับการเข้าถึงการตั้งค่าแบบยืดหยุ่นครอบคลุมการป้องกันอย่างละเอียดและเพิ่มความแม่นยำมากขึ้น ผู้ใช้งานสามารถทำการอัปเดตเฟิร์มแวร์ได้ง่ายขึ้น รวมถึงสามารถเรียกดูข้อมูลประวัติการป้องกันย้อนหลังได้ รวมถึงการติดตามตรวจสอบกระแสพลังงาน ช่วยให้หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด และนำข้อมูลมาใช้ประมวลผลเพื่อคาดการณ์อายุการใช้งาน ทำให้ช่วยลดต้นทุนและสร้างความคุ้มค่าให้กับผู้ประกอบการในระยะยาวได้

New EasyPact MVS เซอร์กิตเบรกเกอร์ดิจิทัลทรงสมาร์ท เชื่อมต่อง่าย ฟีเจอร์ทันสมัย คุ้มค่ามากขึ้น ตอบโจทย์ SMB วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ https://www.se.com/th/th/


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. ประกาศผลการประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ปี’ 68

.ดร.ธานินทร์ ศิลป์จารุ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กล่าวเปิดงาน โครงการประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ประจำปี 2568 (KMUTNB Innovation Awards 2025) ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 โดยประกวดรอบตัดสิน 12 ผลงานสุดท้าย จาก 60 ผลงานนวัตกรรมที่ผ่านรอบคัดเลือกจากทั่วประเทศ ในรูปแบบ Virtual Exhibition พร้อมการประกาศผลรางวัลถ้วยพระราชทานฯ ซึ่งการประกวดจัดแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1) INNOVATIVE IDEAS (ID) ผลงานมีการแสดงแนวคิดเริ่มต้นโดยการประยุกต์ใช้หลักการพื้นฐานมาสู่การพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ และ 2) INNOVATIVE PRODUCTS (IP) เมื่อวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน 2568

รศ. ดร.กัมปนาท เทียนน้อย ผู้อำนวยการสำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ได้รับพระมหากรุณา จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานถ้วยรางวัล Grand Prize แก่ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน โดยการจัดงานในครั้งนี้ ยังมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างผู้คิดค้นนวัตกรรมกับผู้ที่สนใจ เพื่อขับเคลื่อนผลงานประดิษฐ์สู่การพัฒนาต่อยอดในเชิงพาณิชย์ อุตสาหกรรม และเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม อันจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน

ผลการการตัดสินรางวัลงานประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ประจำปี 2568 (KMUTNB Innovation Awards 2025) ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้แก่

รางวัล Grand Prize จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี

ID21 การพัฒนาเครื่องเคาะปอดแบบพกพา เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเสมหะ“Development of a Portable Chest Physiotherapy Device  to Enhance Mucus Clearance Efficiency” โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย โดย น..จิรัชญา เมฆิน น..โกลัญญา มุสิกะเนตร น..รดา เอี่ยมวิทยากุล น..อริสา ดอกไม้งาม นางขัติยา ปิยะรังสี

ประเภท INNOVATIVE IDEAS (ID)

รางวัลชนะเลิศ ได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล จำนวนเงิน 20,000.00 บาท

ID21 การพัฒนาเครื่องเคาะปอดแบบพกพา เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเสมหะ จากโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย น..จิรัชญา เมฆิน น..โกลัญญา มุสิกะเนตร น..รดา เอี่ยมวิทยากุล น..อริสา ดอกไม้งาม นางขัติยา ปิยะรังสี

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล จำนวนเงิน 15,000.00 บาท

ID27 บีเอฟไดแอกซ์ จากภาควิชาเทคนิคการแพทย์ คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดย รศ.ดร.สิรินารถ ชูเมียน และ รศ.ดร.ฌลณต เกษตร

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล จำนวนเงิน 10,000.00 บาท

ID30 Glassense: กระจกอัจฉริยะที่มีเซนเซอร์ตรวจจับการสัมผัส จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ โดย Mr. Alexander Dressler โดย รศ.ดร.สุรเมธ  เฉลิมวิสุตม์กุล ผศ.ดร.กิตติศักดิ์  แพบัว นายอภิชาต  แก้วเจริญ และ Mr. Muhammad  Uzair

รางวัลชมเชย จำนวน 3 รางวัล ได้รับเกียรติบัตร และเงินรางวัล จำนวนเงิน 5,000.00 บาท

ID08 เครื่องเพาะเลี้ยงสาหร่ายแบบท่อขดเพื่อเพิ่มพื้นที่รับแสง จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ โดย อ. ดร.ปัทมา แนวกันยา อ. ดร.สุนิสา อึ้งวิวัฒน์กุล น..สุภาวดี กล่อมแก้ว น..สิริกิตติยา ตรองจิตต์ และนายพงศ์ภรณ์ เกิดเจริญ

ID13 กล้องวงจรปิดช่วยชีวิตจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือและมหาวิทยาลัยขอนแก่นโดยนายรพีพงศ์ กุลศรีวัฒนา นายธีรยุทธ  โสดายิ่ง และอ. ดร.วีระ  สอิ้ง

ID18 วีลแชร์ไฟฟ้าปีนพื้นต่างระดับแบบถอดประกอบได้สำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการควบคุมการทำงานผ่าน IoT (วีลไคลม์) จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ โดย นายจิรานุวัฒน์ คะเรรัมย์ นายณัฐวัฒน์ จันสังสาน..บูรณี ปรีชาชน และนายวโรดม ทาโสม

INNOVATIVE PRODUCTS (IP)

รางวัลชนะเลิศ ได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล จำนวนเงิน 40,000.00 บาท

IP03 เกตเวย์ IoT อัจฉริยะสำหรับมิเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีการสื่อสารแบบ Bluetooth จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ โดย รศ.ดร.ชัยยศ พิรักษ์ ดร.ณัฐนันท์ ตั้งสุนันท์ธรรม นายสมชาย เทพแพง และ นายธนายุทธ แสงสุวรรณ และ นายวรัญญู  นนทบุตร

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล จำนวนเงิน 30,000.00 บาท

IP09 โปรตีนจากน้ำหางกะทิ จาก มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดย ศ.เกียรติคุณ ดร.ฉวีวรรณ จั่นสกุล รศ.ดร.ภก.วิชาญ  เกตุจินดา และ ดร.จอมกานต์ ณ พัทลุง

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล จำนวนเงิน 20,000.00 บาท

IP10 Cricktones: เปปโตนจิ้งหรีดสำหรับเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ด้วยเทคนิคอัลตร้าโซนิคร่วมกับการไฮโดรไลซิสด้วยเอนไซม์ จาก มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง โดย น..วราภรณ์ ชำนาญกิจ นายศุภวัฒน์ บำรุงภักดิ์ น..พาณิภัค ผกากรอง และ ผศ.ดร.มณฑล เลิศวรปรีชา

รางวัลชมเชย จำนวน 3 รางวัล ได้รับเกียรติบัตร และเงินรางวัล จำนวนเงิน 5,000.00 บาท

IP01 นวัตกรรมสเปรย์ฟิล์มเคลือบผิวโซลาร์เซลล์สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้า  สู่แหล่งพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืนด้วยอนุภาคนาโนคาร์บอนดอทจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร จาก มหาวิทยาลัยมหิดล นายชนาธิป  อมรธรรมสถิต โดย นายเพชรเก้า กาญจนะวรรธนะ นายทัญชานนท์ ขาวเอียด นายนิธิศ ถิรโชติกุล และผศ.ดร.พูนทวีแซ่เตีย

IP19 เบทเทอร์รีแฮบ ระบบฟื้นฟูการทำงานของมือในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง จาก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดย ดร.ธีรศิลป์ คำปิคา รศ.ดร.พิศิษฐ์ สิงห์ใจ รศ.นพ.จักรกริช กล้าผจญ อ.ดร.พรสุรีย์ คูวิจิตรสุวรรณ และ รศ.ดร.วีระเดช ทองสุวรรณ

IP29 การพัฒนาวัตถุลอยจากวัสดุรีไซเคิลและยางพาราสำหรับปกคลุมผิวแหล่งน้ำ จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ โดย ดร.ภูตินันท์ เอื้อวงษ์สุวรรณ นายเอกณัฐ ชื่นภิรมย์ และ ผศ.ดร.อทิตยา โต๊ะสัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อีริคสันคว้าสัญญาร่วมบริหารเครือข่ายระยะยาวกับ Bharti Airtel ของอินเดีย

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) คว้าสัญญาระยะยาวการให้บริการด้านการจัดการในศูนย์ปฏิบัติการเครือข่าย หรือ NOC Managed Services (MS) จาก Bharti Airtel บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ในอินเดีย ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือที่มียาวนานระหว่างทั้งสองบริษัทให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยข้อตกลงเชิงกลยุทธ์นี้ยังตอกย้ำความเป็นผู้นำของอีริคสันในบริการด้านการจัดการหรือ Managed Services และสอดรับกับความมุ่งมั่นเพื่อนำเสนอบริการที่ยอดเยี่ยมให้กับผู้ใช้บริการของ Bharti Airtel

ภายใต้ข้อตกลงฉบับนี้ อีริคสันจะเปิดใช้ Intent-Based Operations ที่ขับเคลื่อนผ่านศูนย์ปฏิบัติการเครือข่าย หรือ Network Operations Center (NOC) เพื่อจัดการเครือข่ายที่ให้บริการของ Airtel ตั้งแต่ 4G, 5G NSA, 5G SA, Fixed Wireless Access (FWA), Private Networks และ Network Slicing

และในความร่วมมือนี้ อีริคสันจะเป็นผู้ดูแลและจัดการเครือข่ายทั่วประเทศอินเดียของ Airtel ผ่านศูนย์ NOC ที่ทันสมัย พร้อมขยายขนาดบริการ FWA และ Network Slicing ไปทั่วประเทศ

มร.รันดีป เซฆอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยีของ Bharti Airtel กล่าวว่า “เราตื่นเต้นที่ได้เสริมสร้างความร่วมมือกับอีริคสัน เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายของเราในการสร้างเครือข่ายที่พร้อมสำหรับอนาคต และมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกค้า เราเชื่อว่าเทคโนโลยีเชิงนวัตกรรมเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถให้บริการตอบสนองความต้องการการใช้ดาต้าที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคในอินเดียที่เชื่อมต่อผ่านระบบดิจิทัล”

มร. แอนเดรส วิเซนเต้ หัวหน้าประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โอเชียเนียและอินเดียของอีริคสัน กล่าวว่า “ข้อตกลงสำคัญกับ Bharti Airtel ในครั้งนี้ เสริมสร้างความมุ่งมั่นของเราในการช่วยให้ Airtel มอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้บริการ ด้วยการใช้ประสิทธิภาพจาก Intent-Based NOC Operations จะทำให้ Airtel ปลดล็อกบริการที่มีความหลากหลายและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น และยังเปิดโอกาสการสร้างรายได้ใหม่ ๆ ให้กับ Airtel”

ความร่วมมือระหว่าง อีริคสัน กับ Bharti Airtel ที่ยาวนานกว่า 25 ปี ครอบคลุมเทคโนโลยีการสื่อสารเคลื่อนที่หลายยุคสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกาศครั้งนี้เกิดขึ้นจากการประกาศความร่วมมือระหว่าง Bharti Airtel และ อีริคสัน ในการพัฒนาเครือข่ายหลัก 5G เพื่อขับเคลื่อน 5G Evolution


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

AMD เปิดตัวโปรเซสเซอร์ใหม่ Ryzen AI Z2 สำหรับเครื่องเล่นเกมพกพา

AMD เปิดตัวโปรเซสเซอร์ Ryzen Z2 Series ใหม่ ในส่วนหนึ่งของงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์จาก ASUS และ Microsoft ณ งาน Xbox Games Showcase ประกอบด้วย AMD Ryzen AI Z2 Extreme และ AMD Ryzen Z2 A เพื่อขับเคลื่อนประสิทธิภาพการเล่นเกมบนเครื่องเกมพกพาใหม่ ROG Xbox Ally และ ROG Xbox Ally X

โปรเซสเซอร์ Ryzen Z2 ใหม่ พร้อมมอบประสบการณ์การเล่นเกม AAA ในระดับชั้นนำในรูปแบบพกพา ผ่านโปรเซสเซอร์ทรงพลังทั้งสองรุ่น ประกอบด้วน

  • โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen AI Z2 Extreme มาในสถาปัตยกรรมล่าสุด “Zen 5” พร้อมคอร์ประมวลผล 8 คอร์/16 เธรด สถาปัตยกรรมกราฟิก RDNA 3.5 และขุมพลังการประมวลผล AI สูงสุดถึง 50 TOPS นับเป็นครั้งแรกที่มีการนำขุมพลังการประมวลผลที่ทรงประสิทธิภาพมาไว้ในเครื่องเล่นเกมพกพา
  • โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen Z2 A สร้างขึ้นบนสถาปัตยกรรม “Zen 2” ที่มุ่งเน้นด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงาน มาพร้อมคอร์ประมวลผล 4 คอร์/8 เธรด และสถาปัตยกรรมกราฟิก RDNA 2 ซึ่งได้รับการพัฒนามาเพื่อการเล่นเกมที่ลื่นไหลและยาวนาน

โปรเซสเซอร์ทั้งสองรุ่นนี้ใช้คุณประโยชน์จากชุดซอฟต์แวร์ Radeon เพื่อการพัฒนาด้านกราฟิกและประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ ซึ่งรวมถึงฟีเจอร์ AMD FidelityFX™ Super Resolution (FSR), Radeon Super Resolution (RSR), และ AMD Fluid Motion Frames (AFMF) สำหรับการสร้างเฟรม เพื่อมอบประสบการณ์การเล่นเกมที่สมจริงที่สุด


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ทีมหุ่นยนต์ iRAP_ECONOMY มจพ. คว้ารางวัลชนะเลิศ ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชฯ

ทีมหุ่นยนต์ iRAP_ECONOMY คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)คว้ารางวัลชนะเลิศ ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี  เป็นแชมป์สมัยที่ 2 ในการแข่งขันหุ่นยนต์  ส.ส.ท. ชิงแชมป์ประเทศไทย ประจำปี 2568 ครั้งที่ 32 เกมส์ “TPA SuperDunk – RoboBasketball” และอีก 2 รางวัล ได้แก่  รางวัลหุ่นยนต์อัตโนมัติยอดเยี่ยม (Best Autonomy)และรางวัล Popular vote เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ เป็นเวทีให้เยาวชนไทยได้เแสดงศักยภาพความรู้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์  เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์  รวมถึงเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ของนักเรียน นักศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาที่สนใจเรื่องวิทยาการหุ่นยนต์จากทั่วประเทศ จัดโดยสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) 

สำหรับปีนี้  มีผู้เข้าแข่งขันทั่วประเทศกว่า 500 ทีม จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ  อาทิ สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี วิทยาเขตกรุงเทพและราชบุรี สถาบันหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) โดยครั้งต่อไปเข้าร่วมแข่งขัน ABU Robocon Thailand ระหว่างวันที่ 20-22 มิถุนายน 2568 เพื่อคัดเลือกตัวแทนประเทศไทยในการแข่งขัน ABU Robocon International ที่จะจัดขึ้น ณ ประเทศมองโกเลีย 

ติดตามผลงานได้ที่เพจ iRAP Robot และ  https://www.facebook.com/iraprobot 

ขวัญฤทัย ข่าว/ภาพ- เพจ iRAP Robot 


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. จัดงานประชุมวิชาการระดับชาติ ด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ 21 (NCCIT2025)

สมาคมสภาคณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศร่วมกับ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมดิจิทัล มจพ. และมหาวิทยาราชภัฏกาญจนบุรีจัดงานประชุมวิชาการระดับชาติด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ

ครั้งที่ 21 The 21st National Conference on Computing and Information Technology (NCCIT2025) และงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ 21

The 21st International Conference on Computing  and Information Technology (IC2IT2025) ระหว่างวันที่ 15-16 พฤษภาคม 2568 ณ เฟลิกซ์ ริเวอร์แคว รีสอร์ท กาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี โดย ผศ.ดร. สุนันฑา สดสี คณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมดิจิทัล มจพ. เป็นประธานกล่าวในพิธีเปิดงาน

และได้รับความร่วมมือจาก Prof. Dr. Dursun Delen จาก Department of Management Science & Information Systems, Oklahoma State University, United States of America และ ดร.ไพโรจน์ ลิขิตธนเศรษฐ์ ผู้จัดการฝ่ายบริหารและสนับสนุนการขาย จากบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ให้เกียรติเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ และมีผู้เข้าร่วมงานประชุมวิชาการเพื่อนำเสนอผลงานทางวิชาการมากกว่า 100 คนจากหลากหลายสาขาวิชาเช่นวิทยาศาสตร์ข้อมูลกาเรรียนรู้เชิงลึกการประมวลผลภาพความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ

และระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ เป็นต้น โดย IC2IT2025 มีการเผยแพร่ตีพิมพ์โดย Springer Publisher และถูกระบุอยู่ในฐานข้อมูล SCOPUS


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ปลดล็อกคุณประโยชน์ทางธุรกิจด้วยโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่ยั่งยืน

โดย ออทัมน์ สแตนนิช ผู้อำนวยการฝ่ายนักวิเคราะห์ การ์ทเนอร์

เมื่อแรงกดดันด้านกฎระเบียบเข้มงวดขึ้นและราคาพลังงานพุ่งทะยาน ทำให้องค์กรต้องหันมาทบทวนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนและการลงทุนด้านเทคโนโลยีเร็วกว่าที่คาดไว้

จากการสำรวจของการ์ทเนอร์ พบว่า 79% ของซีอีโอในเอเชียแปซิฟิกมองว่าความยั่งยืนเป็นโอกาสของการเติบโตทางธุรกิจที่โดดเด่น เมื่อผู้บริหารปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ระยะยาวโดยที่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมยังเป็นหนึ่งในหัวใจหลักที่จะกำหนดกรอบการแข่งขัน

การตัดสินใจว่าเราควรลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่ยั่งยืนเมื่อใดและอย่างไร จึงเป็นการตัดสินใจทางธุรกิจที่สำคัญด้วยเหตุที่ความยั่งยืนส่งผลต่อทุกด้านขององค์กร 

ดาต้าเซ็นเตอร์ที่ยั่งยืนและบริการคลาวด์เผยให้เห็นข้อได้เปรียบด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน แต่มักถูกประเมินค่าของคุณประโยชน์ทางธุรกิจต่ำเกินไป หลายคนยังมองความยั่งยืนผ่านมุมมองผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การลดการปล่อยคาร์บอนและการลดขยะให้เหลือน้อยที่สุด

ผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานและการปฏิบัติการ (Infrastructure and operations หรือ I&O) ต้องก้าวข้ามการตอบสนองความคาดหวังและพิสูจน์คุณค่าทางธุรกิจของความพยายามด้านความยั่งยืนของพวกเขา

เพื่อปลดล็อกคุณค่าของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ยั่งยืน (Sustainable IT) อย่างเต็มที่ จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงกรอบความคิด สิ่งนี้กระตุ้นให้ผู้นำ I&O จัดกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนให้สอดคล้องกับผลลัพธ์ทางธุรกิจที่สำคัญ และก้าวข้ามเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม

ตระหนักถึงประโยชน์ทางอ้อม อาทิ ช่วยประหยัดต้นทุนทางด้านนวัตกรรมและการจัดการความเสี่ยง ซึ่งจะช่วยวางแนวทาง Sustainable IT ให้เป็นปัจจัยขับเคลื่อนสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจ นอกจากนี้ยังช่วยให้มีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับความสำเร็จด้านความยั่งยืน โดยการวัดความก้าวหน้าในรูปแบบที่ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพทางธุรกิจ

เพิ่มคุณค่าสูงสุดพร้อมลดการเกิดของเสียให้น้อยที่สุด 

การดำเนินการที่มีประสิทธิภาพของผู้นำ I&O สามารถเป็นประโยชน์ทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและงบประมาณ คือ การชะลอการซื้ออุปกรณ์ใหม่ ๆ รวมทั้งการจัดการ ปรับปรุง หรือนำสินทรัพย์ที่มีอยู่เดิมกลับมาใช้ใหม่ให้ดีขึ้น

แนวทางหนึ่งคือการกำหนดมาตรฐานวงจรชีวิตของอุปกรณ์ไอทีตามระยะเวลาการสนับสนุนของผู้ขาย และลดลงเฉพาะเมื่อจำเป็น เนื่องจากความต้องการด้านประสิทธิภาพ ผลการวิจัยของการ์ทเนอร์ชี้ให้เห็นว่าองค์กรไม่เพียงแต่ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ แต่ยังสามารถประหยัดต้นทุนได้สูงถึง 40% หากมีการขยายอายุการใช้งานอุปกรณ์

สิ่งนี้รวมไปถึงเทคโนโลยีที่พนักงานใช้และมีการยอมรับแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืนมากขึ้น ตามการสำรวจของการ์ทเนอร์พบว่า 75% ของพนักงานมีแนวโน้มที่จะใช้อุปกรณ์ที่ปรับปรุงประสิทธิภาพใหม่สำหรับการทำงานหากช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน

ดาต้าเซ็นเตอร์เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่การจัดการเซิร์ฟเวอร์และพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่มีอยู่ให้ดีขึ้นสามารถช่วยลดของเสียและประหยัดเงินได้ ในหลายองค์กรการใช้งานเซิร์ฟเวอร์มักจะน้อยกว่า 50% และบางครั้งต่ำถึง 20% เพื่อช่วยปรับปรุงสินทรัพย์เหล่านี้ องค์กรสามารถใช้โซลูชัน Performance Management และ Event Management เพื่อติดตามการใช้งานและประสิทธิภาพในโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ 

โอกาสทองในการสร้างนวัตกรรม 

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า 40% ของ AI Data Centres ที่มีอยู่จะเผชิญกับข้อจำกัดในการดำเนินงานเนื่องจากความพร้อมด้านพลังงานในปี 2570 ซึ่งการหันมาทบทวนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนเป็นกุญแจสำคัญ โดยความท้าทายนี้เป็นโอกาสทองสำหรับผู้นำ I&O ในการเปลี่ยนแปลงด้านนวัตกรรม สร้างโอกาสการเติบโตใหม่ ๆ รวมถึงการนำเทคโนโลยีและโมเดลธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่มาปรับใช้

ตัวอย่าง ควรพิจารณาแพลตฟอร์ม Open Telemetry ที่เป็นมาตรฐานเปิดในอุตสาหกรรมสำหรับการรวบรวมข้อมูลจากโครงสร้างพื้นฐานไอที สำหรับติดตามและปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน นอกจากนี้ยังสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญสำหรับทีมไอทีเพื่อทำความเข้าใจรูปแบบการใช้ข้อมูล ที่สามารถปรับให้เหมาะสมสำหรับประสิทธิภาพที่ดีขึ้นและสม่ำเสมอมากขึ้นของระบบ

การนำเทคโนโลยีการทำความเย็นด้วยของเหลว (Liquid Cooling) หรือการจุ่ม (Immersion Cooling) มาใช้ยังสามารถลดผลกระทบด้านพลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพ และนำความร้อนที่สูญเสียไปกลับมาใช้ใหม่ พร้อมมีต้นทุนการทำความเย็นและประสิทธิภาพที่มีความสอดคล้องกันมากยิ่งขึ้น

สร้างความยืดหยุ่นทางธุรกิจในระยะยาว 

ไอทีที่ยั่งยืน ทนทานและมีประสิทธิภาพคือหนึ่งในผลประโยชน์ที่สำคัญที่สุด ในการสร้างความยืดหยุ่นทางธุรกิจ

แท้จริงแล้วระบบนิเวศด้านไอทีขององค์กรขึ้นอยู่กับการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติและความมั่นคงของอุตสาหกรรมทั่วโลก จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้นำ I&O ในการพัฒนากลยุทธ์ด้านความยั่งยืนเพื่อรองรับการหยุดชะงักด้านต้นทุนพลังงานที่ผันผวนและความท้าทายในห่วงโซ่อุปทานและข้อกำหนด ESG ที่เปลี่ยนแปลงไป

เพื่อปกป้ององค์กรจากปัญหาการหยุดชะงักเหล่านี้และช่วยรักษาความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจ ผู้นำ I&O ควรนำแนวปฏิบัติการรีไซเคิลที่ยั่งยืนและการใช้ทรัพยากรมาใช้ ซึ่งอาจรวมถึงการมองหาสถานที่ที่มีคาร์บอนต่ำสำหรับการโฮสต์เวิร์กโหลดที่ทำงานอย่างรวดเร็วและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียนให้มากที่สุด เช่น พลังงานน้ำหรือเชื้อเพลิงฟอสซิล

เกี่ยวกับผู้เขียน

ออทัมน์ สแตนนิช เป็นผู้อำนวยการนักวิเคราะห์ที่การ์ทเนอร์ มุ่งเน้นความยั่งยืนด้านไอทีและบทบาทของผู้นำ I&O ในโครงการด้าน ESG ขององค์กร

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Exit mobile version