Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัวซอฟต์แวร์สำหรับการบริหารจัดการพลังงาน เพื่อความยั่งยืน ในงาน Future Energy Asia

พลังงานสะอาดปัจจุบัน มีอิทธิพลต่อภาคธุรกิจในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลก เพราะนอกจากจะช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานในระยะยาวแล้ว ยังเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักที่จะนำพาองค์กรไปสู่ความยั่งยืน และช่วยโลกในการแก้ปัญหาความรุนแรงด้านสภาพภูมิอากาศอีกด้วย ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จึงยกทัพโซลูชั่นดิจิทัลสุดล้ำมาเปิดตัวเพื่อสร้างปรากฏการณ์ด้านความยั่งยืน ในงาน Future Energy Asia 2024 เพื่อร่วมกันสร้างโลกที่ยั่งยืนด้วยกัน

โดยผลิตภัณฑ์สุดล้ำหน้าด้านพลังงานทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ อาทิ

Micro Grid Advisor เทคโนโลยีที่มุ่งเน้นด้านการวิเคราะห์พลังงาน การผลิตพลังงาน และแบตเตอรี่ สำหรับองค์กรที่มีเป้าหมายด้านการใช้พลังงานสะอาดโดยมีการติดตั้งแหล่งผลิตพลังงานทดแทนสำหรับการใช้พลังงานภายในพื้นที่ และลดต้นทุนทางด้านพลังงาน โดยสามารถวิเคราะห์คาดการณ์ได้ถึงแนวโน้มในการใช้พลังงาน  และการผลิตพลังงานที่จะเกิดขึ้น รวมไปถึงต้นทุนการใช้พลังงาน และปริมาณการปลดปล่อยคาร์บอน ในแบบเรียลไทม์ พร้อมทั้งสามารถรองรับซอฟต์แวร์การควบคุม HVAC และ EV ได้อย่างไร้รอยต่ออีกด้วย ช่วยให้สามารถควบคุมทรัพยากรพลังงานและโหลดได้แบบไดนามิก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานจากความสามารถในการผลิตพลังงานจากแหล่งผลิตพลังงานภายในพื้นที่ให้ได้มากที่สุด เพิ่มประสิทธิภาพ รวมถึงเวลาที่จะใช้ผลิตและจัดเก็บพลังงานให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีอินเทอร์เฟซสำหรับใช้งานบนเว็บช่วยให้เข้าใจข้อมูลการประหยัดรายได้ และการปล่อย CO2 แบบเรียลไทม์ได้อย่างง่ายดาย

Unified Operation Center จาก AVEVA หรือศูนย์การดำเนินงานแบบบูรณาการ ช่วยให้สามารถเห็นมุมมองในภาพรวมของการใช้พลังงานและทรัพยากรได้ทุกที่หรือทุกไซต์งาน ทำให้สามารถกำหนดมาตรฐานของอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์ รวมถึงการใช้งานได้อย่างเหมาะสมเต็มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินงานในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น น้ำมันและก๊าซ โครงสร้างพื้นฐานและเมืองอัจฉริยะ ศูนย์ข้อมูล การเดินเรือ พลังงาน และเหมืองแร่ ได้ในแบบเรียลไทม์ และมอบข้อมูลทำงานเพื่อให้บริการตามเป้าหมายขององค์กรและเป็นแนวทางการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ของคุณแบบ end to end

EcoStruxure™ Resource Advisor ซอฟต์แวร์โซลูชั่นที่ใช้สำหรับจัดการพลังงานและความยั่งยืน โดยแพลตฟอร์มนี้ช่วยให้บริษัทต่างๆ รวบรวม วิเคราะห์ และจัดแสดงข้อมูลด้านความยั่งยืน เพื่อเป็นการช่วยในการตัดสินใจและส่งเสริมการจัดการการทำกลยุทธ์ด้านพลังงานและความยั่งยืนแบบเฉพาะสำหรับแต่ละองค์กร เพื่อให้แต่ละองค์กรสามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมมุ่งเป้าสร้างองค์กรตามแนวทางพัฒนาอย่างยั่งยืนตามมาตรฐานสากลระดับโลกพร้อมด้วย ฟีเจอร์ AI Co-Pilot  ที่ใช้ช่วยในการใช้งานซอฟต์แวร์ให้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

RM AirSeT มาพร้อมเซ็นเซอร์อัจฉริยะเหนือระดับด้วยเทคโนโลยี IoT สามารถมอนิเตอร์ข้อมูลไฟฟ้า และควบคุมการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการตรวจสอบประสิทธิภาพของแอปพลิเคชั่น การจ่ายไฟฟ้า ได้ในแบบเรียลไทม์ และจะช่วยให้สามารถบำรุงรักษาเชิงป้องกัน และพยากรณ์การซ่อมบำรุงได้ ผู้ดูแลสามารถตรวจสอบการทำงานทั้งหมดได้จากระยะไกล เพื่อการดำเนินการที่รวดเร็ว ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์คือไม่ใช้ก๊าซ SF6 ในตู้และอุปกรณ์ย่อยภายในเพื่อเป็นฉนวนอีกต่อไป แต่ใช้อากาศบริสุทธิ์แทน เมื่ออุปกรณ์รั่วซึม หรือหมดอายุ จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการปรับเปลี่ยนที่จะส่งผลต่อสภาวะโลกร้อน

ผู้ที่สนใจลงทะเบียนล่วงหน้า เพื่อเข้าร่วมงาน วันที่ 15 – 17 พฤษภาคม 2567 ณ บูธ EG02 ฮอลล์ 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ผู้ดูแลระบบไฟฟ้า และผู้ประกอบการสามารถรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญจากชไนเดอร์ อิเล็คทริค ฟรี!!! ทุกเรื่องของพลังงานมีทางออกเสมอ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะอุตสาหกรรมเกษตรดิจิทัล มจพ. วิทยาเขตปราจีนบุรี รับสมัครศึกษา ป.โท ปี’67 ช่วงที่ 3

คณะอุตสาหกรรมเกษตรดิจิทัล  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตปราจีนบุรี รับสมัครศึกษาใหม่ ระดับบัณฑิตศึกษา  ภาคการศึกษา 1/2567 ประจำปีการศึกษา 2567 ช่วงที่ 3 รับสมัครวันที่ 11 มีนาคม – 12  พฤษภาคม 2567 หลักสูตร ปริญญาโท (วท..) สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมอาหาร (MFSI)

สมัครออนไลน์ที่ http://grad.admission.kmutnb.ac.th/ApplyLog

รายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์  www.agro.kmutnb.ac.th/ Line : https://lin.ee/rZNXf  หรือฝ่ายประชาสัมพันธ์ งานวิชาการ คณะอุตสาหกรรมเกษตรดิจิทัล มจพ. วิทยาเขตปราจีนบุรี โทรศัพท์ มือถือ 084-352-4447   โทรศัพท์ (037) 217-300 ต่อ 7900 

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ฟอร์ติเน็ต ร่วมมือ สกมช. คัดเลือก-ฝึกอบรมเสริมทักษะบุคลากรคลาวด์ เล็งเพิ่มทรัพยากรบุคคล เสริมความมั่นคงปลอดภัยบนคลาวด์ทุกรูปแบบ

ฟอร์ติเน็ต ประเทศไทย ผนึกสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ขยายขอบเขตความร่วมมือ เปิด Security Workshop ในหัวข้อการออกแบบ และใช้คลาวด์อย่างปลอดภัยตามมาตรฐานสากล เพื่อให้ความรู้และฝึกอบรมบุคคลทั่วไปที่ต้องการ Upskill/Re-Skill เพื่อเสริมทักษะทางด้านคลาวด์ ให้สามารถประยุกต์ใช้ระบบอัตโนมัติ และแพลตฟอร์มการทำงานของฟอร์ติเน็ตเพื่อการจัดการโครงสร้างความมั่นคงปลอดภัยของฟอร์ติเน็ตเข้าสู่สภาพแวดล้อมคลาวด์ทุกประเภทให้เป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
 
ในการทำงานร่วมกัน ฟอร์ติเน็ตและสกมช. ได้ดำเนินการคัดเลือกผู้ผ่านเกณฑ์การทำแบบทดสอบจำนวน 30 ท่านจากผู้ให้ความสนใจเข้าร่วม Webinar กว่า 380 ท่าน ก่อนเข้าสู่การทำ Workshop เพื่อให้เข้าใจและได้ลงมือปฏิบัติจริง ทั้งนี้ การมุ่งพัฒนาบุคลากรทางด้านคลาวด์ในครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายการใช้คลาวด์เป็นหลัก หรือ Cloud First Policy ของภาครัฐ โดยมุ่งเน้นที่การพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการใช้งานและบริหารจัดการระบบคลาวด์ และที่สำคัญ การฝึกอบรมที่เกิดขึ้นยังมีเป้าหมายเพื่อช่วย Up-Skill/Re-Skill ให้กับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนสายงาน หรือผู้ว่างงานที่มีพื้นฐานที่ต้องการเข้าสู่สายงาน เพื่อช่วยเพิ่มจำนวนผู้มีทักษะด้านคลาวด์และด้านความปลอดภัยบนไซเบอร์ไปพร้อมกัน ซึ่งทั้งหมดสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปต่อยอดเพื่อการออกแบบระบบและการทำงานด้านคลาวด์ที่มาพร้อมซีเคียวริตี้อย่างมีประสิทธิภาพ
Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค รุกตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ ด้วยนวัตกรรมไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ และ Easy UPS แบบโมดูลาร์ 3 เฟส

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ด้านการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ จัดทัพนวัตกรรมสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ยุคใหม่ ในงาน Future Energy Asia 2024  ด้วย EcoStruxure™ Micro Data Center R-Series มาพร้อมมาตรฐาน IP และ NEMA สำหรับสภาพแวดล้อมแบบเอดจ์ (Edge) ในโรงงาน ครบครันด้วยระบบปรับอากาศในตัว ตอบโจทย์ความต้องการในอุตสาหกรรม 4.0 ด้วยการทำให้ระบบไอทีในโรงงานมีความเสถียรมากขึ้น ถูกออกแบบเพื่อการใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ ให้ความปลอดภัย ช่วยบูรณาการระบบ IT และ OT เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างศักยภาพการใช้งาน IIoT เพื่อทำให้ระบบไอทีในโรงงานมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับระบบอัตโนมัติทุกรูปแบบ

EcoStruxure™ Micro Data Center R-Series ใช้งานง่าย ช่วยในการบริหารจัดการระบบโครงสร้าง เอดจ์ คอมพิวติ้ง เป็นระบบห้องดาต้าเซนเตอร์พร้อมใช้ในขนาดหนึ่งตู้แร็คแบบปิด ที่ประกอบมาล่วงหน้า สามารถตั้งค่าการทำงานได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังงาน ระบบทำความเย็น ระบบรักษาความปลอดภัย รวมถึงการบริหารจัดการ มีโมเดลใหม่ให้เลือก 4 แบบทั้งในรุ่นขนาด 15U ขนาด 24U และ 42U สามารถทำความเย็นได้ตั้งแต่ 500 ถึง 2000 วัตต์

ไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังมาพร้อม EcoStruxure IT Expert ซึ่งเป็นคลาวด์ซอฟต์แวร์ (cloud-based software) ที่ใช้ในการมอร์นิเตอร์และบริหารจัดการสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์โดยเฉพาะ สามารถมอร์นิเตอร์ ดูข้อมูลได้จากทุกที่ (remote monitoring)  แบบเรียลไทม์  มี mobile application ทำให้สามารถดูข้อมูลได้อย่างสะดวก รวดเร็วและไม่พลาดทุกการแจ้งเตือนผ่านสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต แม้ไม่ได้อยู่ที่ไซต์งาน ช่วยให้ง่ายต่อการแก้ปัญหา และด้วยฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ร่วมกับความสมารถของ AI มาช่วยคาดการณ์แนวโน้มและความเสี่ยงของการใช้งานพร้อมให้คำแนะนำในการป้องกันแก้ไขปัญหา ทำให้สามารถลดความเสี่ยงของเหตุขัดข้องอันไม่พึงประสงค์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ให้ความยืดหยุ่นสำหรับสภาพแวดล้อมไอที เพื่อรองรับเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมในยุค 4.0

นอกจากนี้ในงาน ยังพบกับเทคโนโลยี Easy UPS แบบโมดูลาร์ 3 เฟส มาพร้อมระบบอัจฉริยะอาทิ Scalablepower module เป็นสิทธิบัตรของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยให้เวลาในการสลับโหมดการทำงานเป็นศูนย์ ยกระดับความมั่นใจด้วยเทคโนโลยี Live Swap ออกแบบเพื่อการซ่อมบำรุงได้อย่างปลอดภัย ช่วยปกป้องพนักงาน และเสริมความต่อเนื่องให้กับธุรกิจมากขึ้น สามารถถอดเปลี่ยนได้โดยไม่ต้องกำหนดเวลาหยุดทำงาน จึงให้ประสิทธิภาพสูงสุดถึง 99 เปอร์เซ็นต์ รองรับการเพิ่มขนาดใช้งานได้ตั้งแต่ 50-250 กิโลวัตต์

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีอัจฉริยะสำหรับไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ และ Easy UPS แบบโมดูลาร์ 3 เฟส ลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อร่วมงาน Future Energy Asia 2024 วันที่ 15 – 17 พฤษภาคม 2567 ณ บูธ EG02 ฮอลล์ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ผู้ประกอบการ และผู้ที่สนใจ สามารถรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญจากชไนเดอร์ อิเล็คทริค ฟรี!!! เพราะทุกเรื่องของพลังงานมีทางออกเสมอ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

สยาม ซีเพลน ร่วมมือ โอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ เตรียมความพร้อมสำหรับจุดขึ้นและลงจอดเครื่องบินทะเล ณ โอเชียน มาริน่า จอมเทียน

พัทยา ประเทศไทยสยามซีเพลน ผู้ให้บริการเครื่องบินทะเล ระดับพรีเมี่ยมของประเทศไทย มีความยินดีที่จะประกาศความร่วมมือกับโอเชี่ยน มารีน่า จอมเทียน ภายใต้การบริหารจัดการของโอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้, รวมถึงผู้ดำเนินกิจการท่าเรือและโรงแรมชั้นนำต่างๆ  ภายใต้ความร่วมมือในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะแนะนำจุดขึ้นและลงจอดเครื่องบินทะเล ที่โอเชี่ยน มารีน่า จอมเทียน อันป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงของพัทยา ซึ่งจะช่วยยกระดับประสบการณ์การเดินทางในภาคตะวันออกของประเทศไทยไปอีกขั้น

สยามซีเพลน ได้รับการยกย่องในเรื่องของการให้บริการเครื่องบินเช่าเหมาลำระดับพรีเมี่ยมที่ราคาสามารถเข้าถึงได้ และกำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงในธุรกิจการบินในฐานะผู้ประกอบการเครื่องบินทะเลรายแรกของประเทศไทย ทั้งนี้ความร่วมมือกับ โอเชี่ยนมารีน่า จอมเทียน ที่ล่าสุดได้รับรางวัลท่าเทียบเรือที่ดีที่สุดของประเทศไทยปี 2567 อีกทั้งยังเป็นที่รู้จักในการดำเนินกิจการท่าเรือขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  รวมถึงการให้บริการเช่าเรือยอร์ต และโรงแรมหรุในเครือทั่วประเทศ ทำให้การร่วมมือในครั้งนี้สามารถยกระดับมาตรฐานการเดินทางรูปแบบใหม่ในประเทศไทยได้

ตามบันทึกความเข้าใจที่จัดทำขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้ทั้งสองบริษัทพร้อมที่จะบรรลุวิสัยทัศน์ในการสร้างศูนย์กลางสำหรับเครื่องบินทะเลระดับชั้นนำที่โอเชียน มารีน่า จอมเทียน โครงการนี้ริเริ่มโดยมีจุดมุ่งหมายไม่เพียงแต่เพิ่มความน่าดึงดูดด้านการท่องเที่ยวของจอมเทียนและพัทยาเท่านั้น แต่ยังเป็นประตูสู่การท่องเที่ยวให้กับทะเลตะวันออกของประเทศไทย

ใจความสำคัญในการร่วมมือ

กำหนดการเปิดการให้บริการ: ในปี 2567 มีกำหนดการให้ โอเชี่ยน มารีน่า จอมเทียน เป็นสถานที่นำร่องในการขึ้นและลงจอดเครื่องบินทางน้ำโดยเฉพาะ เพื่อรองรับและอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าที่ต้องการใช้บริการเรือยอชท์ หรือ เข้าพักโรงแรมโอเชี่ยนมารีน่า หรือ ลูกค้าที่ต้องการเข้าถึงการเดินทางแบบเร่งด่วนภายในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและอื่นๆ

เครือข่ายการบินที่คลอบคลุม:  เที่ยวบินที่คลอบคลุมและทั่วถึง: สยาม ซีเพลน จะมีการให้บริการทั้งเที่ยวบินชมวิวภูมิประเทศและเส้นทางการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกันอย่างกว้างขวาง โดยเริ่มจากเส้นทางหลักอย่าง จอมเทียน เพื่อไปยังจุดหมายต่างๆ เช่น กรุงเทพ, หัวหิน, ระยอง, เกาะช้าง, เกาะสมุย, และภูเก็ต อีกทั้ง นักเดินทางยังสามารถเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพของวิวทิวทัศน์ที่น่าทึ่งของ เกาะล้าน, หมู่เกาะต่างๆในชลบุรี และวิวท้องฟ้าอันงดงามของพัทยา

การยกระดับการบริการลูกค้า: โอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ให้คำมั่นใจว่าจะอำนวยความสะดวกสบายและบริการที่เหนือชั้นสำหรับแขกทุกท่านที่มาใช้บริการตั้งแต่มาถึงจนออกเดินทางเดิน ด้วยทีมงานมืออาชีพภาคพื้นดินที่ได้รับการฝึกอบรมจากสยามซีเพลนและปฏิบัติตามมาตรฐานกฎระเบียบ อีกทั้งความร่วมมือนี้ยังรวมถึงบริการรับส่งทางเรือไปยังรีสอร์ทโดยโรงแรมพันธมิตร เช่น เรเนซองส์ อินเตอร์คอนติเนนตัล และเมสัน

การบริการเครื่องบินเช่าเหมาลำ: ก่อนการเปิดตัวเครื่องบินทะเล ทาง Ocean Property ร่วมกับ Siam Scenic ซึ่งเป็นแบรนด์ในเครือ Siam Seaplane นำเสนอบริการเครื่องบินเช่าเหมาลำภาคพื้นดินสำหรับเที่ยวบินชมทัศนียภาพ โดยเที่ยวบินเหล่านี้จะเชื่อมต่อสนามบินอู่ตะเภากับสนามบินภายในประเทศที่สำคัญ เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง สนามบินหัวหิน และสนามบินสมุย นอกจากนั้นยังมีสนามบินส่วนตัวอย่าง Best Ocean Airpark และคลอง 11 อีกทั้งยังมีการเดินทางสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัยสามารถเดินทางไประยองเพื่อทำกิจกรรมอย่างสกายไดฟ์ที่ Skydive Dropzone Thailand หรือบินลงสนามบินส่วนตัวของ แรนโช ชาญวีร์ รีสอร์ท ที่เขาใหญ่สำหรับเล่นกอฟล์ นอกจากนี้ ความร่วมมือนี้ยังขยายไปสู่การรวมโรงแรมและรีสอร์ทในเครือของ Ocean Property ทั้งในหัวหิน เกาะสมุย ภูเก็ต และกรุงเทพฯ เข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มการเชื่อมต่อและเพิ่มประสบการณ์การเดินทางสำหรับแขกทุกท่าน

ในการร่วมมือกันในครั้งนี้ถือก้าวสำคัญและเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาการเดินทางท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องบินทะเลที่สามารถเดินทางได้ทั้งทางบกและทางน้ำ

เกี่ยวกับบริษัท สยาม ซีเพลน

บริษัท สยาม ซีเพลน จำกัด ก่อตั้งขึ้นในปี 2562 โดยแบรนด์ สยาม ซีเพลน ที่ให้บริการขนส่งด้วยเครื่องบินทะเลสะเทินน้ำสะเทินบก และแบรนด์ สยาม ซีนิค ที่ให้บริการเครื่องบินเช่าเหมาลำทางบกสำหรับเที่ยวบินชมทิวทัศน์

ความมุ่งมั่นของสยาม ซีเพลน คือการมอบประสบการณ์ระดับพรีเมียมให้กับแขกทุกท่านที่เดินทางกับเรา ในขณะที่พาทุกท่านไปยังจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย พร้อมกับการเดินทางที่ประหยัดเวลาแต่สร้างความทรงจำอันน่าจดจำตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวขึ้นเครื่องบิน โดยทุกท่านจะได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญและการบริการที่เหนือระดับตลอดการเดินทาง

เกี่ยวกับบริษัทโอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด

บริษัท โอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ก่อตั้งขึ้นในปี 2532 เป็นบริษัทในเครือของโอเชี่ยน กรุ๊ปที่มีผู้บริหารงานหลักคือกลุ่มตระกูลอัสสกุลซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาธุรกิจและได้แตกแขนงธุรกิจจนได้รับการยอมรับ ในแวดวงธุรกิจมาอย่างยาวนานกว่า 75 ปี ได้แก่ บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท โอเชี่ยน กลาส จำกัด (มหาชน) กลุ่มโรงแรมบันดารา รีสอร์ท แอนด์ สปา, โรงเรียนนานาชาติ เซนต์ สตีเฟ่นส์ กรุงเทพและเขาใหญ่, โรงเรียนนานาชาติไบรตัน คอลเลจ กรุงเทพกรีฑา อาคารสำนักงาน โอเชี่ยน ทาวเวอร์ 1 และ 2, โครงการซาน มารีโน่ คอนโดมิเนียม และ โอเชี่ยน พอร์โตฟีโน่ คอนโดมิเนียม พัทยา, โครงการโอทู คอนโดมิเนียม เพลินจิต, โครงการโอเชี่ยน เรสซิเดนซ์ คอนโดมิเนียม และ โอเชี่ยน แกรนด์ เรสซิเดนซ์ คอนโดมิเนียมขอนแก่น, โอเชี่ยน มารีน่า จอมเทียน (รีแบรนด์จากโอเชี่ยน มารีน่า ยอช์ทคลับ), โรงแรมโอเชี่ยน มารีน่า รีสอร์ท พัทยา จอมเทียน, และ โรงแรมเมอเวนพิค อัสสรา รีสอร์ท แอนด์ สปา หัวหิน เป็นต้น อีกทั้งยังเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบที่เชี่ยวชาญทั้งในโครงการที่อยู่อาศัย อาคารพาณิชย์ และการบริการคุณภาพสูง โดยมีเป้าหมายที่จะสร้ามความเชื่อมั่นให้เกินความคาดหวังขงลูกค้าผ่านนวัตกรรมการทำงานร่วมกันที่มีประสิทธิภาพ และคุณภาพ ซึ่งส่งเสริมการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดประวัติศาสตร์ของโอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ซีเมนส์และเมอร์เซเดส-เบนซ์พลิกโฉมอนาคตการวางแผนโรงงานอย่างยั่งยืนด้วย Digital Energy Twin

นวัตกรรม Digital Energy Twin ถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนเป้าหมายของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่จะใช้พลังงานหมุนเวียนในโรงงานที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของทั่วโลกได้ 100% ภายในปี 2582 โดย Digital Energy Twin ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความซับซ้อนและเร่งกระบวนการวางแผนพลังงานขั้นต้นในโรงงานทั้งที่มีอยู่ที่เดิมและโรงงานใหม่ ซึ่งช่วยลดระยะเวลาในการวางแผนได้อย่างมีนัยสำคัญ

ความร่วมมือดังกล่าวผสานองค์ความรู้ด้านการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และ Digital Energy Twin ของซีเมนส์เข้ากับความชำนาญด้านยานยนต์ของพันธมิตรระดับโลกของเรา เพื่อสร้างเครื่องมือที่สามารถปรับขยายได้สำหรับสภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยซีเมนส์จะให้การฝึกอบรมและการสนับสนุน รวมทั้งการบำรุงรักษาและพัฒนา Digital Energy Twin อย่างต่อเนื่องตามแผนการนำไปใช้ที่ครอบคลุมเครือข่ายการผลิตระดับโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ 

Digital Energy Twin ได้รับการออกแบบและทดสอบที่ ‘Factory 56’ ในโรงงานเมอร์เซเดส-เบนซ์เมืองซินเดลฟินเกน ประเทศเยอรมนี โดยใช้แบบจำลองพฤติกรรมของการใช้อาคาร อุปกรณ์ทางเทคนิค และการผลิตพลังงาน

Digital Energy Twin เชื่อมต่อข้อมูล เช่น สภาพอากาศ การจำลองการใช้พลังงานไฟฟ้า สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในอาคารรวมถึงขนาดและมิติ เพื่อจำลองระบบพลังงานและอุปกรณ์ไฟฟ้า ทำให้เห็นภาพการใช้พลังงานในสถานการณ์ต่าง ๆ และให้คำแนะนำการเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อบรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการ ซึ่งรวมถึงการประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่อง ตลอดจนการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

“ด้วยการจำลองสถานการณ์การปฏิบัติงานและการใช้พลังงานอย่างแม่นยำ Digital Energy Twin ช่วยให้สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและโปร่งใสมากขึ้นตั้งแต่ช่วงแรกของขั้นตอนการวางแผน” มัทเธียส รีเบลเลียส สมาชิกคณะกรรมการบริหารของซีเมนส์ เอจี และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะกล่าว “สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงวิธีที่ซีเมนส์ผสานโลกจริงและโลกดิจิทัล เข้าด้วยกันเพื่อขับเคลื่อนความก้าวหน้าอย่างยั่งยืนพร้อมขยายขอบเขตไปยังอุตสาหกรรมต่าง ๆ นับเป็นก้าวแรกที่น่าตื่นเต้นซึ่งนำไปสู่กระบวนการที่บูรณาการการวางแผน การปฎิบัติการอาคาร และการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด”

Digital Energy Twin แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ Siemens Xcelerator ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มธุรกิจดิจิทัลแบบเปิดที่เร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และเปิดโอกาสให้ลูกค้าและพันธมิตรร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันตามความต้องการสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซีเมนส์และเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้จัดตั้งความร่วมมือทางกลยุทธ์ในปี 2564 สำหรับการผลิตยานยนต์ที่ยั่งยืน ทำให้เกิดความร่วมมือผลักดันการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับวิธีการผลิตที่ยั่งยืน

“Digital Energy Twin เป็นคำตอบของเราในการนำเสนอแบบทำให้เห็นภาพ วิเคราะห์ และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการประหยัดพลังงานของอาคารอย่างยั่งยืน ด้วยนวัตกรรมนี้ เราได้รับประโยชน์จากความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับอาคารโรงงานที่มีอยู่และเปลี่ยนโฉมสู่อาคารอัจฉริยะ เราสามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพของอาคารได้อย่างเต็มที่ และวางมาตรฐานการใช้อาคารที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานและความยั่งยืนในเครือข่ายการผลิตระดับโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์” อาร์โน ฟาน เดอร์ แมร์เวอ รองประธานฝ่ายวางแผนการผลิต เมอร์เซเดส-เบนซ์คาร์ กล่าว

Digital Energy Twin มีความสำคัญอย่างมากในพอร์ตโฟลิโอโซลูชันของซีเมนส์สำหรับการสนับสนุนลูกค้าอุตสาหกรรมในการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนและการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซีเมนส์ประกาศเมื่อไม่นานมานี้ว่ากำลังทำงานร่วมกับพันธมิตรระดับนานาชาติอีกรายหนึ่ง เพื่อไปสู่การวางแผนการผลิตที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในระดับโลก ด้วยการใช้ Digital Energy Twin จำลองการใช้พลังงานและระบุความสามารถในการประหยัดพลังงานจากโรงงานผลิตเบียร์ 15 แห่งทั่วโลก จากการประมาณการของซีเมนส์ แต่ละโรงงานจะสามารถประหยัดพลังงานได้ระหว่าง 15-20 เปอร์เซ็นต์ โดยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เฉลี่ย 50 เปอร์เซ็นต์ต่อแห่ง

เกี่ยวกับซีเมนส์

ซีเมนส์ เอจี (เบอร์ลินและมิวนิค) เป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ทางด้านอุตสาหกรรม โครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคมขนส่ง และการดูแลสุขภาพ ธุรกิจของบริษัทฯ ครอบคลุมตั้งแต่การจัดการทรัพยากรในโรงงาน การบริหารห่วงโซ่อุปทาน ระบบอาคารอัจฉริยะและระบบโครงข่ายไฟฟ้า ไปจนถึงการขนส่งที่ใช้พลังงานสะอาด และการดูแลสุขภาพขั้นสูง บริษัทฯ พัฒนาเทคโนโลยีด้วยวัตถุประสงค์เพื่อมอบคุณค่าที่แท้จริงแก่ลูกค้า ซีเมนส์ช่วยให้ลูกค้าเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมและตลาด เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตของคนนับพันล้านโดยผสานโลกความจริงและโลกดิจิทัลเข้าไว้ด้วยกัน ซีเมนส์เป็นผู้ถือหุ้นหลักในซีเมนส์ เฮลทิเนียร์ส ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีการแพทย์และบริการดูแลสุขภาพดิจิทัล นอกเหนือจากนั้น ซีเมนส์ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยใน ซีเมนส์ เอนเนอร์ยี่ ผู้นำระดับโลกในด้านการผลิตและนำส่งพลังงานไฟฟ้า

ในปีงบประมาณ 2566 ซึ่งสิ้นสุดเมื่อ 30 กันยายน 2566 ซีเมนส์มีพนักงาน 320,000 คนทั่วโลก กลุ่มธุรกิจของซีเมนส์สร้างรายได้ 77.8 พันล้านยูโร และมีผลกำไร 8.5 พันล้านยูโร ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.siemens.com

เกี่ยวกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี

เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี เป็นส่วนหนึ่งของบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป เอจี ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบธุรกิจทั่วโลกของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และรถตู้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ด้วยจำนวนพนักงานกว่า 166,000 คนทั่วโลก โดยมี โอล่า คัลเลนเนียส เป็นประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนา ผลิต และจำหน่ายรถยนต์ รถตู้ และบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ นอกจากนั้น ยังมีเจตนารมณ์ในการเป็นผู้นำของโลกในด้านยานยนต์ไฟฟ้าและซอฟต์แวร์รถยนต์ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกอบด้วยแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และแบรนด์ย่อย เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี เมอร์เซเดส-มายบัค จี-คลาส และแบรนด์สมาร์ท โดยมีแบรนด์ Mercedes me ที่นำเสนอการเข้าถึงบริการด้านดิจิทัลจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทั้งนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์โดยสารระดับลักชัวรีรายใหญ่ที่สุดของโลก 

ในปี 2566 บริษัทฯ จำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลราว 2 ล้านคัน และรถตู้เกือบ 447,800 คัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ขยายเครือข่ายการผลิตใน 2 กลุ่มธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยมีฐานการผลิตมากกว่า 30 แห่งใน 4 ทวีป ควบคู่ไปกับแนวทางการพัฒนาที่ตอบสนองความต้องการในด้านยานยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกัน บริษัทได้พัฒนาเครือข่ายการผลิตแบตเตอรี่ของตัวเองทั่วโลกใน 3 ทวีป การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนล้วนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งทั้งต่อกลยุทธ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์และต่อบริษัท

สำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ความยั่งยืนหมายถึงการสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายในระยะยาว ทั้งลูกค้า พนักงาน นักลงทุน พันธมิตรทางธุรกิจ และสังคมโดยรวม โดยอาศัยพื้นฐานของกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของกลุ่ม เมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป ซึ่งมุ่งรับผิดชอบต่อผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม และสังคม จากกิจกรรมทางธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัท และให้ความสำคัญต่อห่วงโซ่คุณค่าโดยรวม


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ลงนามความร่วมมือวิจัยและพัฒนายานวัตกรรมและวัคซีน

กรุงเทพฯประเทศไทย 29 เมษายน 2567 –  บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด (บริษัทในเครือของ บริษัท เมอร์ค แอนด์ คัมปานี อินคอร์ปอเรท (Merck & Co.) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองราย์เวย์ มลรัฐนิวเจอร์ซี ประเทศสหรัฐอเมริกา) ได้ลงนามสัญญาความร่วมมือ กับ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ผ่านโครงการ “ความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนายานวัตกรรมและวัคซีน” ในประเทศไทย โดยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 8 ความร่วมมือของไซต์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการศึกษาวิจัย ทั้งยาและวัคซีนนวัตกรรม และยกระดับมาตรฐานการวิจัยทางคลินิก (Clinical Research) เพื่อให้เกิดการพัฒนางานด้านค้นคว้าวิจัยยาและวัคซีนใหม่ในการป้องกันโรค ที่สอดคล้องกับแนวโน้มการเกิดโรคในปัจจุบัน

นายดีเรก ซีเกอร์ หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติด้านการวิจัยทางคลินิกระดับโลก ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท เอ็มเอสดี จำกัด กล่าวว่า “เอ็มเอสดี ในฐานะผู้ค้นคว้า วิจัยและพัฒนายาและวัคซีนที่เป็นนวัตกรรมเพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการป้องกันและรักษาโรค  ปัจจุบันในโครงการนี้เราได้ดำเนินการพัฒนาความร่วมมือกับหน่วยงานด้านการวิจัย 31 แห่งในกว่า 18 ประเทศทั่วโลก และ 8 แห่งในประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อพัฒนาความร่วมมือในการศึกษาวิจัยและพัฒนายาและวัคซีน  ที่สามารถนำมาใช้สนับสนุนการป้องกันและรักษาโรคต่างๆ ที่เป็นปัญหาด้านสาธารณสุข อาทิ โรคมะเร็ง โรคติดเชื้อ และโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน สำหรับการลงนามสัญญาความร่วมมือ กับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ถือเป็นการตอกย้ำความตั้งใจ ความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่ให้ความสำคัญในการวิจัยทางคลินิก นอกจากนี้ ยังแสดงถึงศักยภาพของบุคลากรด้านการวิจัยค้นคว้าของเรา ที่มีความพร้อมในการประสานงานกับหน่วยงานด้านการวิจัยทั่วโลก รวมไปถึงในประเทศไทย ซึ่งเราได้ทำงานด้านการวิจัยทางคลินิกกับหน่วยวิจัยต่างๆ หลายแห่งทั่วประเทศมากกว่า 30 ปีอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งสัญญาความร่วมมือ กับทางคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลนี้ เปรียบเสมือนการยกระดับการวิจัยและการพัฒนานวัตกรรมทางด้านยาและวัคซีนควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพนักวิจัยของประเทศ ในระยะยาว พร้อมเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยเข้าถึงยานวัตกรรมในโครงการฯ เพื่อรักษาโรค  อันจะส่งผลดีกับการพัฒนาสุขภาวะของประชาชนไทยในอนาคต”

รองศาสตราจารย์ นายแพทย์วินัย รัตนสุวรรณ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นเป็นสถาบันที่ส่งเสริมการวิจัยด้านคลินิกแนวหน้าในระดับภูมิภาคเอชีย เพื่อพัฒนาและส่งเสริมระบบสุขภาพ รวมทั้งคุณภาพการดูแลรักษาผู้ป่วยผ่านนวัตกรรมการวิจัยขั้นสูงที่ได้มาตรฐานระดับสากล โดยทีมแพทย์ผู้วิจัยและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งความร่วมมือกับ บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด ผ่านโครงการวิจัยและพัฒนายานวัตกรรมและวัคซีนในครั้งนี้ ถือเป็นความมุ่งมั่นของทั้ง 2 ฝ่ายในการช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยในประเทศไทยเข้าถึงยาและวัคซีนใหม่ได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยยกระดับสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย” 

ดร. แมรี่ เสรฐภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า “เอ็มเอสดี ประเทศไทย มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการประสานให้เกิดความร่วมมือระหว่าง ฝ่ายปฏิบัติด้านการวิจัยทางคลินิกระดับโลก ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ตลอดระยะเวลากว่า 70 ปีที่ยาและวัคซีนของเอ็มเอสดี ได้เข้ามามีส่วนให้แพทย์ใช้ในการรักษาโรคให้กับผู้ป่วยและป้องกันโรคในประเทศไทย เราได้ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงหน่วยงานด้านสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการนำยาและวัคซีนที่ผ่านการวิจัยมาตรฐานในระดับโลกเข้ามาในประเทศไทย เพื่อตอบสนองต่อแนวโน้มการเจ็บป่วยที่ต้องการการป้องกันและรักษาด้วยวัคซีนและยานวัตกรรมมากยิ่งขึ้น และจะดำเนินการต่อไปซึ่งนั่นคือพันธกิจของเรา ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพในการวิจัยทางคลินิกเพื่อการพัฒนายาและวัคซีน ด้วยมีความพร้อมในทุกด้าน ทั้งด้านศักยภาพของบุคลากรทางการแพทย์ มีแพทย์นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาของโรค  และมีมาตรฐานด้านการวิจัยทางคลินิกในระดับสากล หากเรามีจำนวนโครงการวิจัยทางคลินิกมากเท่าไร ไม่เพียงแต่จะเกิดประโยชน์ด้านสาธารณสุข แต่ยังจะกระตุ้นให้เกิดประโยชน์ด้านเศรษฐกิจอีกด้วย”

จากการศึกษาผลกระทบจากการวิจัยทางคลินิกของดีลอยท์ในประเทศไทย[1]  (Deloitte’s clinical research impact study in Thailand) เผยว่า เงินทุกบาทที่ลงทุนสำหรับการวิจัยทางคลินิกสามารถสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจได้ถึง 3 เท่า ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่เล็งเห็นความสำคัญของกลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพและเล็งเห็นว่าจะมีบทบาทสำคัญด้านเศรษฐกิจในอนาคต และยังตอบโจทย์ความเชื่อที่ว่า “Health is Wealth” ถ้าประชากรมีสุขภาพที่ดี ประเทศก็สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ดี โดยเฉพาะการลงทุนในการวิจัยพัฒนาที่จะมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ดียิ่งขึ้น


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค นำเสนอโซลูชั่นดิจิทัลลุยตลาดอาคารอัจฉริยะเพื่อความยั่งยืน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ด้านการจัดการพลังงาน และระบบอัตโนมัติ เตรียมเปิดตัวเทคโนโลยีและโซลูชั่นซอฟต์แวร์ใหม่ๆ ด้านอาคารในงาน Future Energy Asia และFuture Mobility Asia พร้อมยกทัพระบบการบริหารจัดการพลังงาน สำหรับอาคาร ช่วยยกระดับธุรกิจในประเทศไทย ให้มีความมั่นคงด้านพลังงาน ประสิทธิภาพ และความยั่งยืน

สำหรับองค์กรที่ต้องการยกระดับอาคารไปสู่ความยั่งยืน ทั้งอาคารเก่า หรืออาคารที่กำลังดำเนินการสร้าง สามารถเยี่ยมชมนวัตกรรมไฮไลท์ ได้ที่บูธของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ซึ่งจะมีโซลูชั่นทั้งซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ โดยครอบคลุมทั้ง อาคารให้เช่า และอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงพยาบาล และคอนโดมิเนียม ช่วยให้ผู้บริหารสามารถบริหารจัดการอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ

  • อาคารสำนักงาน: โซลูชั่นในการบริหารจัดการพลังงานในอาคาร และระบบอัตโนมัติ ด้วยสถาปัตยกรรมที่ปลอดภัย ให้ศักยภาพด้าน IoT มีความยืดหยุ่น ให้ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์พลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้อย่างครบวงจรในหนึ่งเดียว ช่วยลดต้นทุนด้านการใช้พลังงาน ที่สำคัญช่วยลดคาร์บอนให้โลกของเราอีกด้วย
  • โรงแรม: โซลูชั่นห้องพักเชื่อมต่อ EcoStruxure สามารถช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าที่เข้าพัก ด้วยประสบการณ์ห้องพักส่วนตัวที่เชื่อมต่อกับความต้องการของลูกค้าอย่างสมบูรณ์ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ใช้งานง่าย และยังช่วยเจ้าหน้าที่ สามารถบริหารจัดการห้องพัก และสิ่งอำนวยความสะดวกได้อย่างราบรื่น ทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการห้อง โซนต่างๆ  ส่งผลต่อความสะดวกสบายแก่ผู้เข้าพัก เช่น การปรับแต่งซีน ความสว่าง ให้เหมาะกับผู้เข้าพัก หรือกิจกรรมตามโซนต่างๆ ของโรงแรม หรือห้องพักได้อีกด้วย โซลูชั่นของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ไม่ได้มีความสามารถในการบริหารจัดการเพียงโรงแรมเดียว แต่ยังสามารถช่วยในการบริหารจัดการโรงแรมในเครือได้ทั่วโลก
  • เฮลธ์แคร์: ความปลอดภัย มีความมั่นใจ และความผ่อนคลายเป็นสิ่งสำคัญ  ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จึงออกแบบโซลูชั่นที่เหมาะสมกับสถานพยาบาลโดยเฉพาะ อาทิ ห้องปฏิบัติการ ห้องผ่าตัด ห้องพักผู้ป่วย โซนไอโซเลชั่น ซึ่ง EcoStruxuture for Healthcare ช่วยให้ผู้ดูแลสามารถวิเคราะห์ และควบคุมในแต่ละโซน แต่ละห้องได้ตามความต้องการ และตามความจำเป็นตามเงื่อนไขทางสุขภาพของคนไข้ และยังสนับสนุนนโยบายเส้นทางสายกรีนที่ยั่งยืนอีกด้วย

นอกจากนี้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังมีการจัดแสดงเทคโนโลยีใหม่ ด้านอาคาร ไม่ว่าจะเป็น

PowerLogic™ P7 Protection Relay แพลตฟอร์มการป้องกันและควบคุม ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ใช้งานง่ายขึ้นเพียงสัมผัส และปรับค่าที่ดีที่สุดให้โดยอัตโนมัติ ได้รับการออกแบบมาเพื่อความยืดหยุ่นที่เหนือชั้นและการใช้งานง่าย ทำให้มั่นใจในความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของระบบไฟฟ้ากำลัง โดดเด่นด้วยการเชื่อมต่อแบบโมดูลาร์ขั้นสูง และความสามารถในการตรวจสอบสถานะในรูปแบบออนไซต์และออนไลน์ ทั้งยังมอบความปลอดภัยสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ดูแล ตลอดจนสินทรัพย์ ขณะเดียวกันก็เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านไฟฟ้าอีกด้วย

PowerTag Energy เซ็นเซอร์อัจฉริยะ ช่วยตรวจวัดกระแสไฟฟ้า รวมถึงแรงดัน กำลังไฟฟ้า ค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า และค่าพลังงานไฟฟ้า โดยข้อมูลจากการตรวจจับจะถูกส่งให้กับระบบบริหารจัดการพลังงาน โดยผู้ดูแลสามารถดูผ่านหน้าเว็บเพจ หรือให้สามารถแจ้งเตือนไปยังผู้ดูแลระบบไฟฟ้าเมื่อระบบไฟฟ้ามีปัญหา พร้อมสามารถตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าได้จากระยะไกล สามารถติดตั้งและใช้งานได้อย่างง่ายดายในทันที

นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมใหม่สำหรับอาคารอาทิ ซอฟต์แวร์สำหรับการบริหารจัดการอาคาร เพาเวอร์มิเตอร์ดิจิทัลรุ่นใหม่ให้ค่าที่ละเอียดอีกด้วย

ธุรกิจอาคาร โรงงาน หรือผู้วางระบบอาคาร ที่ต้องการอัปเดตเทคโนโลยีสำหรับอาคารที่ยั่งยืน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้ ใน วันที่ 15 – 17 พฤษภาคม 2567 ณ บูธ EG02 ฮอลล์ 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อรับของรางวัลในงานได้ที่นี่


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

งานวิจัย มจพ. ชี้ เครื่องดื่มผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นก ผลิตภัณฑ์สุขภาพแนวใหม่ ต้นทุนต่

ผลงานวิจัยผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นกเป็นงานวิจัยที่นำเอามะระขี้นกแห้งจำนวนมากที่เหลือจากการจำหน่ายของวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรบ้านคลองสิบสาม จังหวัดสระแก้ว มาแปรรูปเป็นเครื่องดื่มผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นกแห้งด้วยกระบวนการผลิตแบบตู้อบลมร้อนที่มีต้นทุนต่ำและไม่มีขั้นตอนซับซ้อน   ผงพร้อมชงก็ละลายและพร้อมดื่ม ไม่มีการใส่น้ำตาล และเลือกใช้หญ้าหวานเป็นสารให้ความหวานแทน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงเกินไป  และสารสกัดมะระขี้นก มีสารชาแรนติน (Charantin) ที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และสารโฟลีฟีนอล (Polyphenol) ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ยผงพร้อมชงมะระขี้นก มี 3 รส คือ รสดั้งเดิมเฉพาะมะระขี้นก รสกลิ่นใบเตย เสริมความหอมจากใบเตย และ รสกลิ่นมะลิเสริมความหอมจากมะลิ ซองบรรจุภัณฑ์เสริมอัตลักษณ์ของชุมชน ช่วยเพิ่มมูลค่ามะระขี้นกแห้งให้มีราคาเพิ่มสูงขึ้นถึง 2,500 – 3,000 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้เกษตรกรที่อยู่ในวิสาหกิจชุมชนมีรายได้ต่อครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งการการสร้างช่องทางในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งรูปแบบ On-line และ On-site    ได้การพัฒนาสูตรและออกแบบบรรจุภัณฑ์สินค้าให้เหมาะสมกับผู้บริโภคใช้งบประมาณ  จำนวน 500,000 บาท ใช้ระยะการในการดำเนินการโครงการ 1 ปี ตั้งแต่ 3 เมษายน 2566 ถึง 3 เมษายน 2567

ทีมวิจัยประกอบด้วยอาจารย์ดร.เปรมศักดิ์ พวงพลอย  หัวหน้าโครงการ  ผศ.ดร.เกตินันท์ กิตติพงศ์พิทยาอาจารย์ ดร.โกศล น่วมบาง อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมเกษตรและการจัดการ คณะอุตสาหกรรมเกษตรดิจิทัล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขต ปราจีนบุรี และ อาจารย์ สัญญา โพธิ์วงษ์  อาจารย์แผนกวิชาช่างอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยเทคนิคนครนายก  จังหวัดนครนายก

อาจารย์ดร.เปรมศักดิ์ เล่าให้ฟังว่า ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นกที่นำมาแปรรูปเป็นผลผลิตที่มีการวางจำหน่ายของเกษตรกรในวิสาหกิจชุมชนเป็นการจำหน่ายมะระขี้นกแห้งเพียงอย่างเดียว และไม่มีการแปรรูปมะระขี้นกเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพแต่อย่างใด โดยเกษตรกรจะจำหน่ายมะระขี้นกแห้งในราคาประมาณ 450 บาทต่อกิโลกรัม ส่งขายให้กับหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน เช่น มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เป็นต้น

จุดเด่นของผลิตภัณฑ์

1. เครื่องดื่มผงพร้อมชงมะระขี้นกขมน้อย พกพาง่าย เพียงฉีกซองแล้วเทลงในแก้วที่มีน้ำร้อนหรือน้ำเย็น

คนเพียงเล็กน้อย ผงพร้อมชงก็ละลายและพร้อมดื่ม ส่วนผสมของผงพร้อมชงไม่มีการใส่น้ำตาลและเลือกใช้หญ้าหวานเป็นสารให้ความหวานแทน ทำให้เครื่องดื่มผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นกเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงเกินไป เนื่องจากในเครื่องผงพร้อมชงมะระขี้นกมีสารชาแรนติน (Charantin) ที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และสารโฟลีฟีนอล (Polyphenol) ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น

2. ผลิตภัณฑ์มีการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่โดดเด่นและน่าสนใจได้แก่

2.1 ซองบรรจุผงพร้อมชงมีอัตลักษณ์ของชุมชนโดยใส่ภาพเขาฉกรรจ์ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ที่ตั้งวิสาหกิจชุมชนลงไปที่ซองบรรจุผงพร้อมชงเพื่อให้ผู้ที่เลือกซื้อได้กลิ่นความเป็นธรรมชาติและความเป็นเกษตรอินทรีย์

2.2 มีตัวเลือกสูตรของผงพร้อมชงมะระขี้นกที่หลากหลายตามความพึงพอใจชองผู้บริโภค โดยมีจำนวน 3 สูตร ได้แก่ 1) สูตรออริจินอล (Original) เป็นรสชาติดั้งเดิมของมะระขี้นก 2) สูตรกลิ่นมะลิ เป็นรสชาติมะระขี้นกผสมความหอมจากกลิ่นมะลิ และ3) สูตรกลิ่นใบเตยเป็นรสชาติมะระขี้นกผสมความหอมจากกลิ่นใบเตย

2.3 มีขนาดบรรจุซองให้เลือกหลายขนาดสำหรับผู้ใช้ ได้แก่ ซองกลาง มี 4 ซองเล็ก ซองละ 10 กรัม (ราคาซองกลาง ซองละ 100 บาท) และซองใหญ่ มี 10 ซองเล็ก ซองละ 10 กรัม (ราคาซองฬหญ่ ซองละ 250 บาท)

เครื่องดื่มผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นกได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยและนวัตกรรม ภายใต้แผนการจัดการความรู้การวิจัยและถ่ายทอดเพื่อการใช้ประโยชน์ (KM) ประจำปี 2566 ด้านการใช้ประโยชน์เชิงชุมชนสังคม จากสำนักวิจัยแห่งชาติ (วช.) สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ภายใต้ชื่อโครงการการเพิ่มมูลค่ามะระขี้นกแห้งด้วยการแปรรูปในรูปแบบเครื่องดื่มผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นกสำหรับวิสาหกิจชุมชนขนาดเล็กโดยมีวัตถุประสงค์ของโครงการเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตและแปรรูปเครื่องดื่มผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นกด้วยตู้อบลมร้อน  ให้มีมาตรฐานและเป็นผลิตภัณฑ์ที่พร้อมจำหน่ายออกสู่ท้องตลาด ซึ่งทีมนักวิจัยหวังว่าผลประโยชน์ที่ได้รับจากงานวิจัยนี้จะทำให้เกษตรกรสามารถนำมะระขี้นกสร้างเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพแนวใหม่ที่มีคุณภาพ และสามารถสร้างรายได้เพิ่มให้กับเกษตรผู้ปลูกมะระขี้นก

อย่างไรก็ตามเป้าหมายของโครงการคือการพัฒนาและถ่ายทอดองค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยให้กับเกษตรกรในวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรบ้านคลองสิบสามอำเภอเขาฉกรรจ์จังหวัดสระแก้วซึ่งวิสาหกิจชุมชนแห่งนี้ถือเป็นวิสาหกิจชุมชนหนึ่งในจังหวัดสระแก้ว  มีความพร้อมด้านการเพาะปลูก และแปรรูปสมุนไพรเพื่อส่งออกและจัดจำหน่ายเป็นอย่างมาก และได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ SDGs&PGS จากสมาพันธ์เกษตรกรรมยั่งยืนสระแก้ว โดยวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรบ้านคลองสิบสาม มีพื้นที่ทั้งหมดของสมาชิกครอบคลุม 198 ไร่ มีสมาชิกจำนวน 110 รายทั่วจังหวัดสระแก้ว กลุ่มวิสาหกิจชุมชนมีวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งเพื่อผลิตและจำหน่ายสมุนไพรท้องถิ่นในจังหวัดสระแก้วและใกล้เคียง เช่น ขมิ้นชัน มะระขี้นก ฟ้าทะลายโจร ลูกกระดอม และ หนุมานประกาย เป็นต้น โดยมีจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรให้กับหน่วยงานของรัฐและมีบริษัทเอกชนทั่วประเทศ ทำให้วิสาหกิจชุมชนแห่งนี้มีมูลค่าการจำหน่ายวัตถุดิบสมุนไพรปีละหลายล้านบาท โดยเฉพาะมะระขี้นกแห้งซึ่งกลุ่มเกษตรกรปลูกมากที่สุดมีมูลค่าการจำหน่ายประมาณ 1 ล้านบาทต่อปี  และด้วยโครงงานวิจัยนี้เน้นการสร้างงานวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าทางการเกษตรจำพวกมะระขี้นกแห้งให้สามารถแปรรูปเป็นเครื่องดื่มผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นกแห้งนั้นภายในโครงการได้มีการจัดการการถ่ายทอดความรู้ด้านการผลิตผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นกด้วยการใช้ตู้อบลมร้อนการสร้างคู่มือการผลิตผงพร้อมชงสำหรับวิสาหกิจชุมชนขนาดเล็กการพัฒนาสูตรและการออกแบบบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มผงพร้อมชงที่เหมาะสมกับผู้บริโภค

สำหรับการต่อยอดหรือสร้างองค์ความรู้ตัวเกษตรกรที่ได้รับการอบรมจากโครงการสามารถต่อยอดและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากพืชสมุนไพรที่มีในชุมชนให้เป็นเครื่องดื่มจากพืชสมุนไพรชนิดต่างๆได้ทำให้เกิดการสร้างผลิตภัณฑ์จากพืชสมุนไพรทางเลือกที่หลากหลายได้ในอนาคต  การแข่งขันการตลาดมีทิศทางที่ดีตอบโจทย์เทรนด์ธุรกิจแนวใหม่ เมื่อคนหันมาใส่ใจสุขภาพทั้งแนวโน้มทางการตลาด พฤติกรรมของคน และการสนับสนุนจากภาครัฐ ทำให้ประชาชนหันมาใส่ใจด้านสุขภาพมากขึ้น ทั้งด้านการออกกำลังกายและด้านการบริโภคอาหารที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้บริโภค โดยที่คำนึงถึงสุขภาพจากการบริโภค และเลือกบริโภคแต่ที่ดีต่อร่างกาย เป็นต้น  โอกาสของมูลค่าทางการตลาดเรื่องสุขภาพมีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว เพื่อตอบสนองต่อวิถีชีวิตของผู้คนที่รักสุขภาพทำให้ผลิตภัณฑ์น่าจะเป็นต้องการของตลาดได้  ตัวผงพร้อมชงที่บรรจุในซองซึ่งพกพาง่าย และสามารถละลายได้ทั้งละลายได้ทั้งน้ำร้อนและเย็น ทำให้ผลิตภัณฑ์มีความสะดวกในการรับประทาน เหมาะกับกลุ่มผู้ที่ต้องการรับประทานสินค้าที่ต้องการความรวดเร็ว  และลงทุนเริ่มต้นไม่สูงมาก เป็นช่องทางสำหรับวิสาหกิจชุมชนในการพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ด้วยตนเอง

ผลงานวิจัยผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มผงพร้อมชงจากสารสกัดมะระขี้นกสามารถติดต่อ หรือสนใจสินค้าวิสาหกิจชุมชน ติดต่อได้ที่  คุณธนวรรณ  กันกาญจนะ  ประธานวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรบ้านคลองสิบสาม (ฟาร์มจ่าทูล) เลขที่ 55/1 ตำบลเขาสามสิบ อำเภอเขาฉกรรจ์  จังหวัดสระแก้ว 27000  Line: ipetty.chic, Facebook: ฟาร์มจ่าทูลสมุนไพร โทรศัพท์: 090-2929059, 080-9657157 หรือติดต่อโดยตรง  อาจารย์ ดร.เปรมศักดิ์ พวงพลอย คณะอุตสาหกรรมเกษตรดิจิทัล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ โทรศัพท์ 063-0541379

ขวัญฤทัย  ข่าวภาพ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

แนวทางสร้างสมดุลระหว่าง “อันตรายต่อสิ่งแวดล้อม” และ “คำมั่นสัญญาของ Generative AI”

บทความโดย คริสติน โมเยอร์ รองประธานฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ 

การนำ ChatGPT มาใช้อย่างรวดเร็วได้ยกระดับผลกระทบเชิงลบด้านสิ่งแวดล้อมในหลายมิติ จากที่ Generative AI เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม ได้กลายเป็นความกังวลขององค์กรทันที เมื่อยูสเคสที่เหมือนจะดูดีและถูกขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีเกิดใหม่นี้กลับสร้างผลเสียมากกว่าผลดีในแง่ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) และปริมาณการใช้ไฟฟ้าและน้ำ

อย่างไรก็ตามหากใช้อย่างถูกวิธีและอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของมนุษย์ Generative AI ยังสามารถเร่งให้เกิดความยั่งยืนเชิงบวกพร้อมสร้างผลลัพธ์ทางการเงินได้ โดยเทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้บริษัทลดความเสี่ยงด้านความยั่งยืน ปรับต้นทุนให้เหมาะสม และขับเคลื่อนการเติบโตได้

เพื่อสร้างสมดุลระหว่างอันตรายและประโยชน์ของเทคโนโลยีนี้ องค์กรจำเป็นต้องดำเนินการ 2 ประการ ประการแรก คือ สร้างการรับรู้และลดการปล่อยพลังงานของ Generative AI เพื่อให้มันเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จากนั้นระบุ ประเมินและจัดลำดับความสำคัญยูสเคสที่เกี่ยวกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม

ตระหนักถึงปัญหาด้านการบริโภคพลังงานของ Generative AI

Generative AI นั้นพึ่งพาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่ได้รับการเทรนจากข้อมูลมหาศาล ซึ่งต้องระบายความร้อนด้วยน้ำหล่อเย็นและใช้พลังงานไฟฟ้า หรืออาจใช้พลังงานทั้งสองจำนวนมหาศาล แม้ในระยะยาวการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าจะลดลงเมื่อมีการใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ซึ่งโมเดล Generative AI ที่ทรงพลังยิ่งขึ้นจะต้องการความสามารถในการประมวลผลมากขึ้นตามไปด้วย

ปัญหาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับพลังงานไฟฟ้าและน้ำนั้นมีมากกว่าของ Generative AI การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2568 ผู้บริหาร 75% จะเผชิญกับข้อจำกัดของเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับพลังงานไฟฟ้า เนื่องจากความต้องการเทคโนโลยีและการแข่งขันกันทางด้านสังคมจะทวีความดุเดือดมากขึ้น ดังนั้นผู้บริหาร CIO จึงไม่ต้องการที่จะติดอยู่ในศึกการแย่งชิงทรัพยากรที่มีจำกัดกับชุมชนท้องถิ่น

มุ่งมั่นลดการปล่อยพลังงาน Generative AI

Generative AI จะต้องมีประสิทธิภาพการทำงานเทียบเท่ากับสมองมนุษย์ เพื่อให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สาเหตุหนึ่งที่ทำให้สมองประหยัดพลังงานมากก็คือ สมองสามารถจัดระเบียบความรู้ในโครงสร้างเครือข่ายได้ โดยแนวทางที่ใกล้เคียงที่สุดคือ Composite AI คือการรวมโมเดล AI หลายแบบเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและความแม่นยำที่ดีขึ้น ซึ่งใช้โครงสร้างเครือข่ายและเทคนิคคล้ายกันเพื่อเสริมกำลังมหาศาลด้วยวิธีการเรียนรู้เชิงลึกในปัจจุบัน

Generative AI ยังบริโภคพลังงานไฟฟ้าและน้ำเป็นหลัก ดังนั้นการหยุดเทรน AI ในทันทีหรือการเก็บข้อมูลการเทรนโมเดล การนำโมเดลที่ได้รับการเทรนแล้วกลับมาใช้ใหม่ และการใช้ฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์เครือข่ายที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น จะสามารถสร้างสมดุลแนวทางปริมาณงานในดาต้าเซ็นเตอร์แบบ “ตามสถานการณ์และความเป็นจริง – Follow The Sun” ซึ่งดีกว่าสำหรับการผลิตพลังงานสะอาด กับการใช้แนวทาง “แยกเดินออกมา Unfollow The Sun” สำหรับประสิทธิภาพการใช้น้ำที่ดีกว่า

อีกวิธีหนึ่งในการทำให้ Generative AI มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น คือการใช้งานในสถานที่ที่ใช่ ในเวลาที่เหมาะสม โดยความเข้มข้นของคาร์บอนจากแหล่งพลังงานในท้องถิ่นจะแตกต่างกันไปตามปัจจัยหลายประการ แนวปฏิบัติที่ดีที่สุดคือการใช้การจัดตารางเวลางานที่คำนึงถึงพลังงาน ควบคู่ไปกับบริการการติดตามและการคาดการณ์คาร์บอนเพื่อลดการปล่อยก๊าซที่เกี่ยวข้อง

พร้อมตั้งเป้าซื้อแหล่งพลังงานสะอาดใหม่ตามที่วางแผนไว้สำหรับนำมาใช้ The Greenhouse Gas Protocol ที่กำลังกำหนดให้บริษัทต่าง ๆ จัดทำการวิเคราะห์พลังงานสะอาดอย่างละเอียดเพิ่มเติมตามแหล่งสถานที่ ช่วงเวลาของวัน หรือทั้งสองอย่าง

ระบุยูสเคสความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมที่มีศักยภาพ

มี 3 กรอบการดำเนินงานกว้าง ๆ ที่ยูสเคส Generative AI สามารถเร่งความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การลดความเสี่ยง การเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุน และใช้ขับเคลื่อนการเติบโต 

การปฏิบัติตามกฎระเบียบเป็นวิธีการนึงที่ Generative AI สามารถช่วยองค์กรลดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมโดยการระบุและตีความตัวบทกฎหมาย มาตรฐาน คำสั่ง และข้อกำหนดการรายงานความยั่งยืน รวมถึงการอัปเดตอยู่ตลอดเวลา ที่สามารถพัฒนาแผนปฏิบัติการเพื่อให้บรรลุตามข้อกำหนดและเป็นเครื่องมือฝึกอบรมเพื่อให้ความรู้แก่พนักงานด้านกฎระเบียบเฉพาะ

จากมุมมองของการเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุน Generative AI สามารถช่วยสนับสนุนการตัดสินใจได้ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลความยั่งยืนภายใน และระบุรูปแบบ แนวโน้ม พื้นที่การปรับปรุง ความเป็นไปได้ ความเสี่ยง และเกณฑ์มาตรฐาน โดยสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกว่าการตัดสินใจขององค์กรจะส่งผลต่อความยั่งยืนอย่างไร และคาดการณ์ประสิทธิภาพในอนาคตที่อาจเกิดขึ้น องค์กรสามารถวางแผนและเลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุดเพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

Generative AI ยังสามารถใช้ขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืนโดยนำมาใช้เพื่อค้นหาแหล่งทรัพยากรและวัสดุทางเลือก สามารถให้คำแนะนำสิ่งทดแทนปัจจัยการผลิตแบบเดิมไปสู่ความยั่งยืน เช่น ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับนวัตกรรมทางเทคโนโลยีอย่างวัสดุนาโน และข้อมูลเกี่ยวกับความพร้อม ประสิทธิภาพ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

เมื่อพิจารณายูสเคส Generative AI เพื่อเป้าหมายความยั่งยืน การประเมินผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบเป็นสิ่งสำคัญ ผู้บริหารต้องเข้าใจมูลค่าธุรกิจเชิงบวกทั้งในแง่ของผลประโยชน์ทางการเงินและความยั่งยืน ตลอดจนความเป็นไปได้ และผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการวัดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงานไฟฟ้าและน้ำ 

จากนั้นจัดลำดับความสำคัญการลงทุนเป็น 3 ระดับ ได้แก่ 1.ลงทุนทันที 2.ลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงและลดการใช้พลังงานเป็นสำคัญ หรือ 3.ไม่ลงทุนเลย ด้วยวิธีการนี้ คุณจะใช้ Generative AI เร่งผลลัพธ์ด้านความยั่งยืนเชิงบวกขององค์กร โดยใช้ประโยชน์จากเคสการใช้งานที่สร้างมูลค่ามากกว่าทำลายเพียงอย่างเดียว 

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Exit mobile version