Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Printserv By Metro Systems เพิ่มศักยภาพงานพิมพ์ระบบดิจิตอล

คุณธงชัย หล่ำวีระกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจดิจิตอลพริ้นติ้ง บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MSC นำเสนอบริการงานพิมพ์ดิจิตอล ด้วยเครื่องพิมพ์ใหม่ล่าสุด Fuji Xerox IridesseTM Production Press

Fuji Xerox IridesseTM Production Press เป็นนวัตกรรมใหม่ของสิ่งพิมพ์ดิจิตอล ด้วยคุณสมบัติสีพิเศษ สีเงิน ทอง เมทัลลิค ได้หลากหลายรูปแบบพร้อมกันในขั้นตอนการพิมพ์เพียงครั้งเดียว แบบ Single – Press ระบบการพิมพ์สีแบบ Xerographic โดยหมึก Dry Ink พิเศษให้ภาพสวยงาม คมชัด ให้ความละเอียดถึง 2,400 dpi ต่อนิ้ว และสามารถพิมพ์กระดาษหนาที่ 400 แกรม ต่อตารางเมตร มีความเร็วสูงสุด 120 หน้า ต่อนาที

บนความสามารถเครื่อง Fuji Xerox IridesseTM ส่งผลให้ Printserv By MSC สามารถผลิตผลงานการพิมพ์แบบดิจิตอลให้ก้าวไปอีกขั้น มีคุณภาพโดดเด่นรองรับงานพิมพ์ได้หลากหลายรูปแบบ ด้วยคุณสมบัติพิเศษ สามารถมั่นใจได้ว่าสามารถมอบความแตกต่างให้ธุรกิจ และยังคงรักษาแนวคิดและกรอบการดำเนินธุรกิจ ในเรื่องของ “Print On Demand” ซึ่งเป็นการพิมพ์แบบไม่มีขั้นต่ำในปัจจุบัน Printserv ให้บริการงานพิมพ์แบบ Pure Digital Print สนับสนุนความสำเร็จ และส่งเสริมศักยภาพธุรกิจของลูกค้า ภายใต้ปรัชญาการดำเนินธุรกิจที่ว่า Customer Success is Our Business

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม Call Center 1640 หรือ 02-089-4545 email : customerservices@metrosystems.co.th , printserv@metrosystems.co.th


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

โรบินสันเดินหน้าขยายธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัลรีเทลอย่างต่อเนื่อง ทุ่มงบ 1,200 ล้านบาท เปิด “ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ บ่อวิน” สาขาใหม่ลำดับที่ 50

นายวุฒิเกียรติ เตชะมงคลาภิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) (บริษัทในเครือเซ็นทรัล รีเทล) เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกไทยที่มีสาขาให้บริการมากที่สุด โดยผนึกกำลังกับกว่า 200 คู่ค้าธุรกิจ เปิด “ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ บ่อวิน” เป็นแห่งที่ 4 ในจังหวัดชลบุรี บนทำเลศักยภาพในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ในรูปแบบคอมมูนิตี้มอลล์ “ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ บ่อวิน” สาขาลำดับที่ 50 ของบริษัทและเป็นสาขาลำดับที่ 24 ในรูปแบบศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ มีพื้นที่กว่า 35,000 ตารางเมตร ที่พร้อมตอบโจทย์ความต้องการและมอบประสบการณ์ใหม่ ทั้ง กิน ช้อป บันเทิงครบในที่เดียว

“แม้ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับวิกฤตนานับประการ ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่เราไม่หยุดนิ่ง โรบินสัน ยังคงเดินหน้าตามแผนการลงทุนของกลุ่มเซ็นทรัลรีเทลอย่างต่อเนื่อง” นายวุฒิเกียรติกล่าว ปัจจุบันโรบินสันเปิดให้บริการแล้วในจังหวัดชลบุรี 3 สาขา คือ 1. ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน สาขาศูนย์การค้าแปซิฟิคพาร์ค ศรีราชา, 2.ห้างสรรพสินค้าโรบินสันสาขาศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ชลบุรี และ 3.ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ ชลบุรี (อมตะนคร)

นายวุฒิเกียรติ กล่าวต่อว่า แม้จะเปิดให้บริการถึง 3 สาขาแล้ว บริษัทยังคงเปิดสาขาที่ 4 ในจังหวัดชลบุรี เนื่องจากเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีประชากรและรายได้สูงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จำนวนมาก และมีอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ “ย่านนิคมอุตสาหกรรมบ่อวิน” ยังประกอบไปด้วยนิคมอุตสาหกรรมขนาดเล็ก–ใหญ่ รวม 8 แห่ง ซึ่งนิคมขนาดใหญ่ 6 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง, นิคมอุตสาหกรรมเหมราช, นิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด, นิคมอุตสาหกรรมสยามอีสเทิร์น, นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร, นิคมชลบุรี (บ่อวิน) และอีก 2 แห่ง กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง เพื่อเป็นโรงงานผลิตเกี่ยวกับสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ นอกจากนี้ยังมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยพื้นที่ในรัศมี 30 กิโลเมตรของบ่อวิน มีประชากรตามทะเบียนฯ ที่อาศัยในพื้นที่อีกกว่า 180,000 คน และมีประชากรแฝงที่มีรายได้มั่นคงอีกราว 108,000 คน ซึ่งทำงานอยู่ใน 1,410 โรงงาน รวมถึงมีโรงเรียนระดับประถม-มัธยม ขนาดใหญ่อีก 36 โรงเรียน “เรามั่นใจว่า การลงทุนครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชุมชนและจังหวัดชลบุรีในทิศทางที่ดี และจะมีการจ้างงาน เพิ่มขึ้นอีกกว่า 500 อัตรา จากการเปิดศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ บ่อวิน ครั้งนี้”

สำหรับ ‘ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ บ่อวิน’ สร้างขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ Industrial to Community Park โดยได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากการนำความเป็นอุตสาหกรรมมาผสมผสานกับธรรมชาติ ผนวกกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ที่ถึงแม้จะมีความแตกต่าง แต่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสอดคล้อง ซึ่งถ่ายทอดออกมาในรูปแบบที่ทันสมัย ผสานเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนบ่อวินได้อย่างลงตัว จึงทำให้ที่แห่งนี้เป็นมากกว่าศูนย์การค้าฯ แต่เป็น Center of Community ที่พร้อมเปิดประสบการณ์ สร้างสีสันใหม่ และตอบทุกโจทย์ความต้องการทั้ง กิน ช้อป บันเทิง ให้แก่คอมมูนิตี้บ่อวินในที่เดียว (One Stop Destination) ทั้งห้างสรรพสินค้า ที่มาพร้อมสินค้าแบรนด์ชั้นนำหลากหลายแบรนด์ดัง และบริการที่ครบครัน ทั้งร้านสเปเชียลตี้สโตร์ ต่างๆ อาทิ ท็อปส์ มาร์เก็ต, ซูเปอร์สปอร์ต, เพาเวอร์บาย, บีทูเอส, ออโต้วัน, MR.DIY, Moshi Moshi , ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ธนาคารทหารไทย, Watsons, I Studio, Samsung, Big Camera, JIB, Ibiz, AIS, Dtac, True โซนไฮไลท์ต่างๆ ที่จะเติมเต็มความสมบูรณ์แบบไม่ว่าจะเป็น Mini Plaza ที่รวบรวมแฟชั่นอินเทรนด์ Echo Game สวนสนุกในร่มที่ใหญ่ที่สุดในบ่อวิน ร้านอาหารชั้นนำ ที่รวบรวมมาให้คุณได้อร่อยถึงที่อาทิ Starbuck, KFC, Shabushi, MK, BBQ Plaza, Yayoi, ญวนยำ, แดงแหนมเนือง, Washi, International Buffet, ก๋วยเตี๋ยวเรือวิศวะ, Pizza Hut, คัตสึยะ, Max beef, Swensens, Bonjour, Chobcha, Fuku, Amazon ฯ โรงภาพยนตร์ SF Cinema สัมผัสประสบการณ์ความบันเทิงกับ 3 โรงภาพยนตร์มาตรฐานระดับโลก พร้อมบริการที่จอดรถรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ กว่า 2,000 คัน

โรบินสัน ยังมีบริการเพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ของนักช้อปยุคใหม่ ที่ต้องการความคล่องตัว และก้าวสู่การเป็น ‘Omni Channel Department Store’ ที่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็น Robinson Online อยู่ที่ไหนก็ช้อปของห้างได้ ตลอด 24 ชั่วโมงที่ www.robinson.co.th หรือ เพิ่มความสะดวกมากขึ้นด้วยบริการสั่งสินค้าผ่านบริการ Robinson Chat & Shop ง่ายๆ เพียงทักแชตมาที่ Line@robinson ส่งรูปสินค้าที่ต้องการ แจ้งสี ขนาด และ รุ่น จากนั้นก็รอรับสินค้าที่บ้านได้เลย หรือสามารถใช้บริการ Click & Collect เลือกรับสินค้าได้ที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ใกล้บ้าน
และเพื่อฉลองในโอกาสเปิดสาขาใหม่ ของ ‘ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ บ่อวิน’ โรบินสัน จึงได้จัดโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษ ดังนี้
• ลดทั้งห้างฯ และศูนย์ฯ สูงสุด 50 % ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม 2563
• พิเศษ สำหรับสมาชิก เดอะวัน ต่อที่ 1 ลดเพิ่ม 12.5 % เมื่อใช้คะแนนเดอะวันแลกเท่ายอดช้อป (เฉพาะแบรนด์สินค้าที่ร่วมรายการ) ต่อที่ 2 รับคูปองส่วนลด สูงสุด 5,000 บาท เมื่อช้อปครบตามเงื่อนไข ที่แผนกเครื่องสำอาง น้ำหอม และอุปกรณ์ความงาม ต่อที่ 3 ช้อปเครื่องประดับ ยูบิลลี่ ไดมอนด์ ครบทุก 10,000 บาท รับคูปองเงิดสดเพิ่ม 500 บาท ตั้งแต่วันนี้ – 17 สิงหาคม 2563
• ต่อที่ 4 ลดและรับคืนรวมสูงสุด 30% เมื่อช้อปผ่านบัตรเครดิตชั้นนำที่ร่วมรายการ

ในส่วนของมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โรบินสันได้เตรียมแผนเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยมีการตรวจคัดกรองผู้ที่เข้ามาใช้บริการ ด้วยการวัดอุณหภูมิร่างกาย ตามมาตรฐานด้านสุขอนามัยของกรมควบคุมโรคฯ อย่างเคร่งครัด พร้อมคุมเข้มในพื้นที่ขาย ด้วย 8 มาตรการ ดังนี้ :-
1.) มีจุดติดตั้งเจลแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ ล้างมือในจุดต่างๆ
2.) ทำความสะอาดพื้นที่ที่มีการสัมผัสบ่อย โดยการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ ทุก 2 ชั่วโมง
3.) ฉีดสเปรย์ฆ่าเชื้อในลิฟท์โดยสาร และห้องลองเสื้อผ้า ทุก 2 ชั่วโมง
4.) เติมสบู่เหลว และกระดาษชำระในห้องน้ำอย่างเพียงพอตลอดเวลา
5.) ในส่วนห้างสรรพสินค้า (โดยเฉพาะแผนกสินค้าแม่และเด็ก) มีมาตรการในการทำความสะอาด ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ทุก 2 ชั่วโมง
6.) แผนกฟู้ดคอร์ท ให้รักษามาตรการดูแลความสะอาดอย่างเคร่งครัด เน้นย้ำกับทุกร้านค้า คุมเข้มมากขึ้น โดยบริษัทฯ ได้ใช้เครื่องล้างจาน ที่มีระบบไอน้ำอุณหภูมิสูงและผสมน้ำยาฆ่าเชื้อในการล้างจานชามอยู่แล้ว และทำความสะอาดบัตรฟู้ดคอร์ดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทุกครั้งก่อนนำไปใช้ใหม่
7.) ดำเนินการคัดแยกผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดและมาใช้บริการห้องพยาบาล ออกจากผู้ป่วยอื่นๆ
8.) ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ เข้าไปในระบบปรับอากาศ ภายในห้างฯ และศูนย์การค้าฯ
ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของคู่ค้าและผู้มาใช้บริการทุกท่าน โดยเป็นมาตรฐานเดียวกันในทุกสาขา ซึ่งสามารถมั่นใจในการเข้ามารับบริการได้อย่างแน่นอน”

ร่วมสัมผัสประสบการณ์ และสีสันใหม่ ที่จะตอบทุกโจทย์ความต้องการทั้ง กิน ช้อป บันเทิง ครบในที่เดียว กับ ‘ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ บ่อวิน’ พร้อมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งตั้งอยู่ที่ตําบลบ่อวิน อําเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยเปิดให้บริการทุกวัน วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 10.30 – 21.00 น. และวันเสาร์ – อาทิตย์ เวลา 10.00 – 21.00 น.


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ดาต้า เพาเวอร์ เผย ทิศทางการตลาดครึ่งปีหลัง

ดาต้า เพาเวอร์ เผยทิศทางการตลาดครึ่งปีหลัง ชูเรื่องสินค้าคุณภาพราคาเข้าถึงง่าย ปรับกลยุทธ์เน้นเรื่องการขายออนไลน์และโปรโมชั่นโดนใจ พร้อมจับมือผู้ประกอบการเฟอร์นิเจอร์ ผู้ผลิต และ ดีไซน์เนอร์ ยกระดับปลั๊กไฟธรรมดาไปสู่การใช้เป็นอุปกรณ์ประดับบ้าน และสร้างสรรค์สินค้างานดีไซน์ขายแบบ พรีออเดอร์ บนเวปไซต์ พร้อมออกสินค้าประเภท DIY ราคาถูก ให้รายย่อยสามารถต่อยอดธุรกิจ ลุยวิกฤตโควิด-19 และทำการ CSR อย่างเป็นกระบวนการโดยพยายามกระจายให้สู่ชุมชนที่ดาต้าเข้าถึงให้โตและยั่งยืนไปด้วยกัน

นายอภิสฤษฎิ์ นิรุชทรัพย์รดา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดาต้า เพาเวอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายปลั๊กไฟมากว่า 35 ปี ภายใต้แบรนด์ ดาต้า ( DATA ) “เชื่อในสิ่งที่ดีที่สุด” ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้นำการทำตลาดปลั๊กไฟในประเทศไทยที่มีการลงทุนด้านสินค้า นวัตกรรม การออกแบบ และทำตลาดมาอย่างต่อเนื่องยาวนานที่สุด เปิดเผยถึงทิศทางในการทำตลาดครึ่งปีหลังนี้ว่า ดาต้าพร้อมจับมือกับผู้ประกอบการ ในวงการเฟอร์นิเจอร์ และดีไซน์เนอร์ สร้างพันธมิตร สร้างงาน สร้างอาชีพ และทำการตลาดออนไลน์ ภายใต้คอนเซ็บต์ นวัตกรรม สวยงาม ใช้งานได้ โดยจะเน้นให้ผู้ประกอบการเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยน ทำสินค้าใหม่ และ
โปรโมทขายออนไลน์ และออฟไลน์ทางช่องทางที่ดาต้ามี เพื่อเป็นการส่งเสริม และสร้างงาน สร้างอาชีพ ให้กับคนที่มีไอเดีย มีความคิดสร้างสรรค์ที่ต้องการพันธมิตร ความรู้และช่องทางการขาย ในยุคโควิด-19 นี้ โดยผู้ประกอบการที่สนใจสามารถติดต่อมาได้ที่บริษัทโดยตรง www.facebook.com/datatrustedpower หรือ line official @datatrustedpower

“ ที่ผ่านมา ดาต้า ได้ใช้คอนเซ็บต์ เชื่อในสิ่งที่ดีที่สุด บนพื้นฐานของความเข้าใจในแบรนด์ ทำงานมาโดยตลอด เพราะคิดถึงทุกฝ่ายที่มีส่วนได้เลีย ตั้งแต่ลูกค้า คู่ค้า ซัพพลายเออร์ ลูกน้อง ในการทำงานเราจึงต่อยอดแนวความคิดกับดีไซน์เนอร์ต่างประเทศ สร้างขึ้นมาเป็นแพลตฟอร์ม สำหรับดีไซน์เนอร์และผู้ผลิต บนเว็บไซต์ Thedomani.com โดยหลักกการคือ นำเอาไอเดียมาเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์และขายบนช่องทางออนไลน์ในลักษณะ พรีออเดอร์ ( Preorder ) เพื่อร่วมกันออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรม สวยงาม สามารถใช้งานได้ทั้งฟังก์ชั่น และแก้ปัญหาจุดบกพร่องต่างๆ ผ่านมุมมองของผู้ออกแบบ รวมถึงการช่วยทำตลาดในประเทศไทยให้ โดยมีสินค้าพร้อมจำหน่ายแล้วหลายตัว ที่มาจากแนวคิดการออกแบบสำหรับวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าเดิม ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล 4.0 ที่มีมือถือ อุปกรณ์ไอที และ IOT เป็นตัวแปรสำคัญ ซึ่งเฟอร์นิเจอร์รุ่นแรกที่ออกแบบมา สามารถประยุกต์เอาปลั๊กไฟไปใช้ได้ทุกที่ในบ้านเรียกได้ว่า สามารถที่จะติดตั้ง หรือ วาง กูเกิ้ล โฮม หรือ อเมซอน อเล็กซ่า บนเฟอรฺ์นิเจอร์ที่ถูกออกแบบมาบน platform thedomani.com โดยจะวางไว้ในตำแหน่งไหนของบ้านก็ได้ เพื่อเป็นการตอบสนองต่อวิถีชีวิตแนวใหม่ที่ทุกคนอยากกำหนดชีวิตเองได้ เช่น การนำปลั๊กไฟไปอยู่กับเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น ทุกที่ เพื่อเชื่อมต่อ และใช้งานกับอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างลงตัว ยกตัวอย่างสินค้า The Cat ที่นำเอาอุปกรณ์สำหรับชาร์จไฟแบบยูเอสบี ผสานกับของตกแต่งบ้านอย่างลงตัว เหมาะกับการตกแต่งห้อง และชาร์จอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้แบบไม่รก และจะนำแนวคิดแบบนี้ ไปสร้างผลงานในสินค้ารุ่นต่อๆไป เป็นการสร้างอาชีพให้กับงานฝีมือในสาขาอื่นต่อไป ตั้งเป้าการสร้างงานให้ได้ถึง 1,000,000 บาทภายในสิ้นปี ดาต้า ยังเตรียมแผนส่งออกสินค้าดีไซน์ที่ผลิตในไทยไปต่างประเทศ นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับ บริษัท อาร์ ที บี เทคโนโลยี จำกัด นำนวัตกรรมสายชาร์จไฟมาต่อยอด เรียกว่าครบวงจร เสียบปลั๊กชาร์จไฟ เสริมความแข็งแกร่งไปด้วยกัน เป็นแบบอย่าง อีโค ซิสเต็ม ที่หาพันธมิตรโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน ” นายอภิสฤษฎิ์ กล่าว

สำหรับทุกคนที่กำลังต่อสู้กับวิกฤตโควิด-19 ดาต้า ยังสนับสนุนสินค้าประเภท DIY ให้อย่างเต็มที่ เพื่อตอบรับกระแสการตกแต่งต่อเติมบ้านด้วยการทำเอง หรือแม้แต่การประดิษฐ์เพื่อสร้างงานเชิงพาณิชย์ สอดคล้องกับกระแส work from home ต่อให้ปิดเมืองก็ต้องรอด ต้องมีอาชีพเลี้ยงดูครอบครัว คนอยู่บ้านสามารถทำอาหารขายผ่านทางช่องทางออนไลน์ หรือ หากคิดจะเริ่มต้นทำร้านธุรกิจเล็ก ๆ เช่น ร้านชา หรือ ร้านกาแฟ ดาต้า จะเป็นส่วนช่วยสนับสนุนด้วยชุดสินค้าประเภท DIY เริ่มต้นด้วยการเพิ่มช่องเสียบปลั๊ก เพิ่มจุดเชื่อมต่อปลั๊กไฟสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยมีสินค้าให้เลือกมากมาย เช่น ชุดเต้ารับเดี่ยว ชุดเต้ารับคู่ สวิตช์ไฟ สายไฟ และปลั๊กลอย เป็นต้น ในราคาที่ย่อมเยาว์ เริ่มต้นไม่ถึง 50 บาท

นอกจากนี้ ดาต้า ยังไม่เคยลืมสังคม สวนกระแสด้วยการสร้างกระบวนการ CSR แบบยั่งยืน โดยเน้นให้ชุมชน มีรายได้ ช่วยส่งเสริมการทำตลาด ทำผลิตภัณฑ์ ออแกนิกส์ ภายใต้แบรนด์ Nice Organic นำเอาผลิตภัณฑ์ชุมชนมาต่อยอด โดยมีชุมชนต้นแบบกว่า 14 ชุมชน ร่วมมือกัน เพื่อเป็นอาชีพเสริม พร้อมส่งต่อนวัตกรรม และรองรับอนาคตของชุมชน รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่จะเข้าร่วมกับชุมชนในอนาคต Nice Organic คือ สินค้าประเภท food packaging เพราะในช่วงโควิดเราเล็งเห็นว่า แนวโน้มในบรรจุภัณฑ์อาหารประเภทพลาสติกมีแนวโน้มสูงขึ้น และ ใช้เวลานาน พร้อมกระบวนการหลายขึ้นตอนในการกำจัดหรือย่อยสลาย จึงนำเอาผลิตภัณฑ์จากชุมชนต้นแบบ ซึ่งเราเป็นเจ้าแรกๆ ที่ผลิตมาจากวัสดุธรรมชาติ 100% มาต่อยอด เพื่อสร้างระบบนิเวศลดระยะเวลาการย่อยสลายผลิตภัณฑ์จากบรรจุภัณฑ์อาหาร แทนที่จะทิ้งเป็นขยะสามารถแปลงมาเป็น ปุ๋ยได้ เหมือนใบไม้


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เซลฟี่ติดแฮชแท็ก THECAT DATA รับอะแดปเตอร์ฟรี

บริษัท ดาต้า เพาเวอร์ จำกัด ผู้ผลิต และจัดจำหน่ายปลั๊กไฟมากว่า 30 ปี ภายใต้แบรนด์ ดาต้า ( DATA ) “ เชื่อในสิ่งที่ดีที่สุด ” เชิญร่วมกิจกรรมถ่ายรูป เซลฟี่ พร้อมติดแฮชแท็ก #THECATDATA ที่บูธ DATA TRUSTED POWER ในงานบ้านและสวนแฟร์ “ Midyear 2020 ” ณ ไบเทคบางนา ฮออล์ 104 บูธ 114-115 ตั้งแต่วันที่ 7-16 สิงหาคม 2563 เพื่อรับอะแดปเตอร์ จาก DATA POWER 1 ตัว มูลค่า 49 บาท ฟรี

นอกจากนี้ยังสามารถรับฟรี หน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์ มูลค่า 84 บาท ฟรี เพียงแค่กดแอดไลน์ datatrustedpower ภายในงาน โดยสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
https://www.datatrustedpower.com, Facebook : datatrustedpower Line : datatrustedpower


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ททท. ร่วมกับ ช้าง ยกระดับการจัดงานคอนเสิร์ต ให้คนเมืองสนุกบนรถตุ๊กตุ๊ก ได้แบบ “เว้นระยะห่าง” ใน Amazing Thailand TUK TUK Festival Powered by Chang Music Connection

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ เครื่องดื่มตราช้าง และพันธมิตร วู๊ดดี้เวิร์ล, Zaap มอบความสนุกให้คนเมือง จัดกองทัพรถตุ๊กตุ๊ก กว่า 200 ค้น ให้นั่งชมคอนเสิร์ต “Amazing Thailand TUK TUK Festival Powered By Chang Music Connection” โดยสนุกสุดเหวี่ยงได้ในรูปแบบ “เว้นระยะห่าง” ร่วมสัมผัสแสงสีเสียงและ สุดยอดศิลปิน ได้แก่ โปเตโต้, ปาล์มมี่, โจอี้บอย, แสตมป์ อภิวัชร์, ทรีแมนดาว (THREE MAN DOWN) และ ไท ทศมิตร (TAITOSMITH) ที่ได้มาร่วมเติมเต็มความสนุกให้กับทุก ๆ คน ได้เต็มอิ่มกันอย่างต่อเนื่อง ตลอด 7 ชั่วโมงเต็ม

“Amazing Thailand TUK TUK Festival Powered By Chang Music Connection” ภายใต้คอนเซ็ปต์ The world’s first TUK TUK drive-in music festival เป็นการแสดงคอนเสิร์ตรูปแบบใหม่ โดยคำนึงถึงสุขอนามัยของผู้เข้าชมทุกๆ คน ซึ่งไฮไลท์คือการนำ “รถตุ๊กตุ๊ก” จำนวนกว่า 200 คัน มาให้บริการเดินทางจากจุดนัดพบไปยังบริเวณภายในงาน ผู้ร่วมงานจะได้ประสบการณ์เหมือนได้ซิ่งรถตุ๊กตุ๊กท่องเที่ยวเข้าไปรับความสนุกถึงหน้าเวที แต่ยังคงรักษาระยะห่างระหว่างคันมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย Amazing Thailand Safety and Health Administration หรือ SHA เพื่อช่วยในการรักษาระยะห่างระหว่างการชมคอนเสิร์ต เมื่อมาผสานเข้ากับบรรยากาศในการตกแต่งสถานที่ ไม่ว่าจะเป็น เวที แสงสีเสียง และจุดให้บริการต่างๆ สะท้อนความทันสมัยควบคู่ไปกับการนำเสนอความเป็นไทยผ่าน “รถตุ๊กตุ๊ก” ที่ถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่โดดเด่น ทำให้ผู้เข้าร่วมชมคอนเสิร์ตครั้งนี้ ได้รับอรรถรสความสนุกอย่างเต็มที่ ทั้งยังมั่นใจในความปลอดภัย ด้วยจำนวนผู้เข้าชมคอนเสิร์ตที่อยู่ระดับที่พอดี ในขณะที่ความสนุกสุดเหวี่ยงอยู่ในระดับสูงเกินพิกัด

การจัดคอนเสิร์ต “Amazing Thailand TUK TUK Festival Powered By Chang Music Connection” ถือเป็นการร่วมมือของภาครัฐ ได้แก่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และภาคเอกชน เครื่องดื่มตราช้าง ที่จะสร้างมาตรฐานให้เป็นงานอีเว้นท์ต้นแบบ ที่จะทำให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ทางดนตรีที่ดี มีความสุขและความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยด้านสุขอนามัยไปพร้อมกัน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นกลับคืนมาอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ จะเห็นได้ว่าภายในงานคอนเสิร์ตทางผู้จัดมีความเคร่งครัดในด้านมาตรการป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้รถตุ๊กตุ๊ก โดยจำกัด 3 คนต่อ 1 คัน นั่งชมเพื่อรักษาระยะห่าง อีกทั้ง ยังให้ความสำคัญในจุดคัดกรองเข้า-ออกงาน พร้อมจัดเตรียมทีมแพทย์และพยาบาล, จุดวางเจลและแอลกอฮอลล์ เป็นจำนวนมากและพอเพียง ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย Amazing Thailand Safety and Health Administration หรือ SHA

ในส่วนของผู้เข้าชมคอนเสิร์ตฯ จะได้เต็มอิ่มทั้ง บูธอาหารไทยและเครื่องดื่ม ความอลังการของเวทีการแสดง รวมไปถึงศิลปิน โดยงานครั้งนี้ โปเตโต้, ปาล์มมี่, โจอี้บอย, แสตมป์ อภิวัชร์, ทรีแมนดาว (THREE MAN DOWN) และ ไท ทศมิตร (TAITOSMITH) ต่างถ่ายทอดบทเพลงและลีลาความสนุกในแบบฉบับของตนเอง สร้างรอยยิ้มให้กับผู้ชม “เติมเต็มคำว่าเพื่อน” ตลอด 7 ชั่วโมงเต็ม

นายนพปฎล ฤทธาภัย ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ เครื่องดื่มตราช้าง เปิดเผยว่า ทาง “เครื่องดื่มตราช้าง” รู้สึกยินดีที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนงาน Amazing Thailand TUK TUK Festival Powered By Chang Music Connection “ช้าง” ยังให้ความสำคัญกับการส่งมอบความสุขให้กับกลุ่มลูกค้าเสมอ จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมา เราเดินหน้าสร้างสรรค์กิจกรรมใหม่ๆ และพัฒนาแนวทางสื่อสารให้เข้าถึงและตอบโจทย์ความต้องการ รวมถึงรูปแบบการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งหมดเพื่อที่จะแสดงจุดยืน และตอกย้ำถึงมิตรภาพระหว่างแบรนด์ช้างกับลูกค้า ตามแนวคิด “วันเพื่อนมีได้ทุกวัน” โดยสำหรับการร่วมสนับสนุนงานคอนเสิร์ตในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการส่งมอบประสบการณ์ดนตรีแนวใหม่ในคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจแล้ว ยังช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ความเป็นไทยในรูปแบบที่ทันสมัยมากขึ้น ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งจากคนในประเทศเองและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะกลับเข้ามาท่องเที่ยวในอนาคตอีกด้วย

สำหรับ คอนเสิร์ต Amazing Thailand TUK TUK Festival Powered By Chang Music Connection จัดขึ้นที่ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ บริเวณพื้นที่ริมน้ำ อากาศปลอดโปร่ง โดยมีผู้เข้าร่วมชม จำนวนกว่า 600 คน ซึ่งจะมีการจัดให้นั่งอยู่บนรถตุ๊กตุ๊ก ที่จอดเว้นระยะห่างตามมาตรฐาน ทุกมุมสามารถชมคอนเสิร์ตได้อย่างชัดเจน มีบัสเลอร์เสิรฟ์อาหารและเครื่องดื่ม โดยผู้ร่วมงานไม่ต้องลุกออกไปซื้อเอง ทำให้แฟนเพลงของ โปเตโต้, ปาล์มมี่, โจอี้บอย, แสตมป์ อภิวัชร์, ทรีแมนดาว (THREE MAN DOWN) และ ไท ทศมิตร (TAITOSMITH) สามารถสนุกกันได้อย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่า ถึงแม้ต้องรักษาระยะห่าง แต่มิตรภาพ “ความเป็นเพื่อน” จะเติมเต็มให้กันและกันไม่มีที่สิ้นสุด เพราะ “วันเพื่อนมีได้ทุกวัน”


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

EXIM Bank ผนึกกำลังเครือข่ายพันธมิตร ร่วมยกระดับมาตรฐาน SMEsไทยในทุกมิติ ในงาน “The Exporter Forum”

ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ EXIM Bank ร่วมกับกลุ่มเครือข่ายพันธมิตร
ทางธุรกิจทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จัดงานสัมมนา “The Exporter Forum” ขึ้น ระหว่างวันที่ 5-7 สิงหาคม 2563 ณ ห้องประชุมศูนย์ EXAC ชั้น L อาคารเอ็กซิม กรุงเทพฯ เพื่อเป็นการยกระดับพร้อมทั้งช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยการแบ่งปันประสบการณ์ในด้านการบริหารธุรกิจเพื่อการส่งออกจากผู้บริหารในบริษัทชั้นนำระดับประเทศ บริการให้คำปรึกษาด้านธุรกิจอย่างครบวงจร และการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการที่เข้าร่วมงานสัมมนาผ่านโครงการต่อยอดต่างๆ เช่น การพัฒนาประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยี การสร้างแบรนด์ด้วยอัตลักษณ์ไทย และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดต่างประเทศ

คุณพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) กล่าวว่า “ สำหรับ “งานสัมมนา “The Exporter Forum” EXIM Bank เรามีแนวคิดในการจัดงานนี้ขึ้นเพื่อที่จะช่วยยกระดับ พัฒนา และเพิ่มขีดความสามารถผู้ส่งออกของไทย ให้เติบโตขึ้นและสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ผ่านการจัดงานสัมมนาให้ความรู้ แนวคิด และคําปรึกษาในการพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจในทุกมิติ พร้อมทั้งส่งเสริมให้เกิดโอกาสในการส่งออกให้เติบโตโดยการเชื่อมโยงหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ และเอกชน

โดยในงาน “The Exporter Forum” นี้จะประกอบไปด้วยการสัมมนาและร่วมรับฟังมุมคิดผ่านประสบการณ์ของผู้บริหารบริษัทชั้นนำของเมืองไทย ที่จะมาร่วมพูดคุย เปิดมุมมองและชี้ทางรอดสำหรับธุรกิจส่งออกไทย โดยให้ความรู้และคําปรึกษาในด้านการพัฒนาธุรกิจเพื่อการส่งออก เรียนรู้เทคนิกการบริหารธุรกิจเพื่อการส่งออกในโลกธุรกิจยุคใหม่ การยกระดับและพัฒนาศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจในการเผชิญกับความท้าทายของโลกธุรกิจยุคใหม่ในทุกมิติ ซึ่งผู้ประกอบการฯ ที่เข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ จะได้ทราบถึงศักยภาพของธุรกิจในการส่งออกและได้รับคำแนะนำในการปรับปรุงประสิทธิภาพในการบริหารในแต่ละด้าน อาทิ ด้านการเงิน การตลาด การวางกลยุทธ์ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และช่วยส่งเสริมให้เกิดโอกาสในการส่งออกให้เติบโตโดยการเชื่อมโยงหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้ธุรกิจส่งออกของไทยมีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปได้ครับ ”

งานสัมมนา “The Exporter Forum” นี้ คุณพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน โดยได้รับเกียรติจาก คุณกัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย, คุณชาติชาย พานิชชีวะ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย คุณสนั่น อังอุบลกุล รองประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และคุณอรไท เล็กสกุลชัย นักวิชาการพาณิชย์เชี่ยวชาญ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ มาร่วมพิธีเปิดครั้งนี้


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

พรีไซซ ผุดไอเดียอัจฉริยะ “PEMS” ช่วยลดพลังงานไฟฟ้าด้วยระบบบริหารจัดการพลังงาน

สายธุรกิจ Power Distribution and Energy Management ในเครือบริษัท พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRECISE ผู้นำด้านการพัฒนาไฟฟ้าและพลังงานอย่างครบวงจร ภายใต้คุณธรรมและความเป็นมืออาชีพ โชว์ไอเดียแนวคิดใหม่ที่ช่วยลดการใช้พลังงานลงได้จริงด้วยระบบบริหารจัดการพลังงานที่ออกแบบและวางแผนให้เข้ากับปริมาณการใช้พลังงานจริงที่มี ซึ่งทำให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและจุดเด่นที่ช่วยให้ผู้ที่ติดตั้งได้รับประโยชน์คือการประหยัดต้นทุนการใช้พลังงานงานอย่างยั่งยืนในทันที

นายวิทูร เจียมจิตต์ตรง ประธานกรรมการ บริษัท พรีไซซ อีเลคตริค แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด (PEM) เปิดเผยว่า “พรีไซซได้พัฒนาระบบบริหารจัดการพลังงานภายใต้แพลตฟอร์มที่มีชื่อ “PEMS” (Professional Energy Management System) ที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของพรีไซซเท่านั้น โดยถือว่าเป็นเครื่องมือสำหรับการจัดการบริหารพลังงานให้ทุกองค์กรที่ใช้พลังงานจำนวนมากและมีความต้องการลดการใช้พลังงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การติดตั้งระบบจะเริ่มต้นด้วยการเข้าไปตรวจสอบ ออกแบบ และวางแผนควบคุมการใช้พลังงานทั้งระบบ ด้วยระบบการวัดที่สามารถวัดพลังงานไฟฟ้าแบบ Real time ผ่านระบบการเชื่อมต่อเครื่องตรวจวัดข้อมูลแบบไร้สาย Wi-Fi, 3G/4G PEMS จะใช้ระบบสัญญาณของเครือข่าย AIS ซึ่งมีความเสถียรเป็นเครือข่ายไร้สายความเร็วสูง เชื่อมโยงกับระบบเครือข่าย Cloud Server ของ Huawei จึงมั่นใจได้ว่ามีความปลอดภัยและสามารถให้บริการได้อย่างรวดเร็วเมื่อเกิดปัญหาหรือการขัดข้องทางเทคนิค เนื่องจาก Huawei เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลกในด้านนี้ ในระบบนี้ลูกค้าไม่จำเป็นต้องมีการลงทุนเพิ่มในด้านการเก็บข้อมูลแบบด้วย Server ของตนเอง และมีความสะดวกในการติดตั้งและลดความยุ่งยากในการเดินสายเชื่อมต่อระบบต่างๆของการตรวจวัดพลังงาน เหมาะสมกับผู้ประกอบการทุกธุรกิจที่ต้องการลดต้นทุนการใช้พลังงานไฟฟ้าทุกธุรกิจ”

โปรแกรมบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะของพรีไซซ หรือ “PEMS” (Professional Energy Management System) นั้นสามารถบริหารการใช้ทำให้ลดต้นทุนการใช้พลังงานไฟฟ้าได้มากถึง 10-15% สามารถวางแผนลดต้นทุนด้านพลังงานในระยะยาวได้ถึง 50% ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมากกว่า 20% โดยระบบสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทันที ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านระบบการเชื่อมต่อแบบไร้สาย ซึ่งระบบ PEMS นี้จะเป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์การใช้พลังงานไฟฟ้า ,น้ำมันเตา , อากาศอัด และน้ำ ซึ่งครอบคลุมทุกพลังงานที่ต้องการลดการใช้งาน โดยระบบจะแสดงแนวโน้มและรายงานต่างๆ ซึ่งออกแบบสำหรับการตรวจวัด ติดตามและวิเคราะห์การใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง และยังสามารถออกรายงานการจัดการพลังงานได้ตามแบบฟอร์มของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.)ได้อย่างง่ายดาย มีความแม่นยำสูง และถูกต้อง ทั้งยังอำนวยความสะดวกต่อผู้ปฏิบัติงานที่ไม่ต้องเดินจดข้อมูล ลดปัญหาเกิดจากความผิดพลาดของคน (Human Error) สามารถรวบรวมข้อมูลต่างๆได้ทันทีที่ต้องการ ลดเวลาการทำงาน ระบบ PEMS จะประกอบด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ร่วมกันทำงาน ได้แก่ ระบบการตรวจวัดด้วยเครื่อง Digital Power Meter แบบ Din Rail และการตรวจวัดกระแสไฟฟ้า ด้วยเทคโนโลยี Rogowski coil จึงทำให้ลดขั้นตอนของการดับไฟในบางจุดได้เป็นอย่างดีในขั้นตอนการติดตั้ง Digital Power Meter จึงทำให้สามารถใช้ไฟในสถานประกอบการได้อย่างต่อเนื่อง และยังรองรับการเชื่อมต่อกับ Green Technology รูปแบบต่างๆ อาทิ Solar Rooftop , สถานีรถพลังงานไฟฟ้าและพลังงานทดแทนอื่นๆได้ในอนาคต ปัจจุบันระบบ PEMS ได้ทำการติดตั้งให้กับบริษัทในเครือและลูกค้า สามารถดูข้อมูลการใช้ค่าพลังงานได้จาก Dashboard ตลอดเวลา มีความสะดวกสบายไม่จำเป็นต้องลงพื้นที่หน้างาน สามารถเข้าดูข้อมูลได้ทุกที่ทั่วโลก อีกทั้งตอนนี้ยังมีลูกค้าติดต่อเข้ามาโดยตรงเพื่อทำการติดตั้งระบบ PEMS ไม่ต่ำกว่า 500 จุด

“ผมมองว่าในระยะยาวในอนาคตอันใกล้นี้ทุกธุรกิจทั่วโลกจะต้องมีการแผนปรับงบประมาณรายจ่ายต่างๆในองค์กรมากขึ้น โดยใช้จ่ายแค่สิ่งที่จำเป็นมากยิ่งขึ้น หรือต้องประหยัดมากขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากทั้งสภาพภูมิอากาศโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในหลายปีนี้และการใช้พลังงานอย่างไม่สมดุลของเราเอง รวมทั้งเรื่องของเศรษฐกิจของโลกที่อาจจะต้องชะลอตัวลง เราได้ประสบการณ์จากเหตุการณ์ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ โควิด-19 ที่ระบาดไปทั่วโลกแล้ว ไวรัสนี้สร้างผลกระทบต่อหลายธุรกิจและสุขภาพของมนุษย์ทำให้ทุกส่วนมีผลกระทบ ทำให้หลายธุรกิจจำเป็นต้องทบทวนค่าใช้จ่ายให้สามารถผ่านวิกฤตการณ์นี้ไปให้ได้ พรีไซซมีแนวคิดส่งเสริมการช่วยลดพลังงานแบบยั่งยืน โดยการจำหน่ายสินค้าที่มีแนวทางในการช่วยลดและประหยัดพลังงานในทางที่ดีที่สุดและเหมาะกับทุกธุรกิจและทุกภาคส่วน อย่างไรก็ตามเมื่อ PEMS ถูกนำมาประกอบรวมเข้าเป็นระบบที่ใหญ่ขึ้น ผ่านการเชื่อมต่อข้อมูลการสื่อสารถึงกัน และมีการควบคุมการทำงานร่วมกันก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของ โครงข่าย Total Customer Solution ที่พรีไซซ มีเป้าหมายอันจะนำไปสู่การเป็นผู้นำการลดพลังงานอย่างยั่งยืน และสร้างการเพิ่มปริมาณการใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้มากที่สุด

เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการพลังงานในภาพรวมที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งเราคือบริษัทเดียวที่สามารถตอบสนองความต้องการทุกส่วนของอุปกรณ์ได้ครบและยังมีบุคลากรที่เชี่ยวชาญในด้านต่างๆของพรีไซซที่พร้อมให้คำปรึกษาและเรายังเตรียมเปิดตัวโครงข่าย Total Customer Solution ของพรีไซซที่สมบูรณ์ครบและจบในระบบเดียว ที่จะเกิดขึ้นมาในอนาคตได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ” นายวิทูรกล่าวปิดท้าย

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ พรีไซซ สามารถชมสินค้าและนวัตกรรมการลดพลังงานอัจฉริยะ หรือดูรายละเอียดได้ที่ https://preciseproducts.in.th/ และ Line Official ID : @preciseproducts หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร. (+66) 02-584-2367 และ (+66)63 -227-2871


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“อนันดาฯ” จับมือ “The 1” ผนึกกำลังเพื่อมอบสิทธิพิเศษใช้คะแนน The 1 รับสิทธิ์เป็นเจ้าของคอนโดฯ

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ครองตำแหน่งผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า ตอกย้ำความเป็นผู้นำในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มุ่งเน้นตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมืองในทุกมิติ ล่าสุดจับมือ “The 1” ผู้นำดิจิทัลไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์มในประเทศไทย เพื่อมอบสิทธิพิเศษในการใช้คะแนน The 1 รับสิทธิ์เป็นเจ้าของคอนโดมิเนียม จาก 10 โครงการ ภายใต้แบรนด์คุณภาพ “ไอดีโอ” และ “ไอดีโอ โมบิ” ผ่านแคมเปญ “Ideo Mobi x Ideo Super Point” ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่มอบประสบการณ์สุดพิเศษเช่นนี้โดยลูกค้าสามารถใช้คะแนน The 1 เพียง 3,000 คะแนน แทนเงินจอง 3,000 บาท พร้อมสิทธิในการรับเพิ่มคะแนน The 1 เพิ่มเติมสูงสุดกว่า 80,000 คะแนน หลังจองโครงการฯ สำเร็จ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมนี้ เป็นต้นไป นอกจากนี้ ยังเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้ายุคดิจิทัลด้วยแพลตฟอร์ม P2M Store (Store.prop2morrow.com) ที่มาพร้อมบริการเสริมที่คุ้มค่ามากมาย

คุณมณีรัตน์ ธนัชญ์เศรษฐ์ กรรมการผู้จัดการ ไอดีโอ/ ไอดีโอ โมบิ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเข้าร่วมแคมเปญดังกล่าวถือว่าเป็นก้าวสำคัญของอนันดาฯ ในการขยายฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและเพิ่มขึ้น ซึ่งอนันดาฯ เป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ รายแรกของประเทศไทยที่ร่วมกับ “The 1” ในการมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าเช่นนี้ ผ่าน แคมเปญ “Ideo Mobi x Ideo Super Point” ที่ลูกค้าเพียงใช้คะแนน The 1 จำนวน 3,000 คะแนน แทนเงินจอง 3,000 บาท และยังรับสิทธิในการรับคะแนน The 1 เพิ่มสูงสุด 80,000 คะแนน หลังจองโครงการฯ สำเร็จ โดยอนันดาฯ ต้องการนำเสนอโปรโมชั่นให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า รวมถึงการบริการในสิทธิพิเศษต่างๆ ที่จะทำให้ลูกค้าได้รับประโยชน์และความสะดวกสบาย การให้คะแนน The 1 เพิ่มในกรณีที่จองสิทธิ์ซื้อห้องชุดคอนโดมิเนียมจาก 10 โครงการของ อนันดา ฯ ในราคาพิเศษ จะช่วยให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงและมีที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภค ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสและต่อยอดทางธุรกิจที่ดีให้กับองค์กร เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มุ่งเน้นตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมืองในทุกมิติ

โดยนำร่อง 10 โครงการคุณภาพ บนทำเลศักยภาพสูง ติดรถไฟฟ้า ที่นำมาร่วมแคมเปญ คือ ไอดีโอ รัชดา – สุทธิสาร , ไอดีโอ พระราม 9 ตัดใหม่ , ไอดีโอ ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ , ไอดีโอ สาทร วงเวียนใหญ่ , ไอดีโอ พระราม 9 – อโศก , ไอดีโอ จุฬา – สามย่าน , ไอดีโอ สุขุมวิท – พระราม 4 , ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท 66 , ไอดีโอ โมบิ รางน้ำ และ ไอดีโอ โมบิ อโศก นอกจากนี้โครงการยังให้พ้อยท์สะสมเพิ่มสำหรับลูกค้าในกรณีที่จองและทำสัญญาทันที 10,000 พ้อยท์* และรับเพิ่มอีก 70,000 พ้อยท์ ในวันโอนกรรมสิทธิ์* (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด)

ด้าน คุณระวี พัวพรพงษ์ – Head of The 1 Business ผู้บริหารจาก The 1 ผู้นำดิจิทัลไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์มในประเทศไทย ภายใต้กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวถึงการผนึกกำลังครั้งนี้ว่า “จากความตั้งใจของ The 1 ที่มุ่งมั่นมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับสมาชิก เราได้ร่วมมือกับพันธมิตร ผ่านการสร้างเครือข่ายพันธมิตร ใน Ecosystem (The 1 Ecosystem) ที่ประกอบด้วยพันธมิตรทั้งในและนอกกลุ่มเซ็นทรัล ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค รวมถึงธุรกิจเพื่อการอยู่อาศัย ซึ่งการร่วมมือกับอนันดาฯ ที่เป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำของประเทศไทยในครั้งนี้ ก็เป็นโอกาสที่ดีที่นำมาซึ่งสิทธิพิเศษอันยอดเยี่ยมที่พร้อมมอบให้สมาชิกของ The 1 เท่านั้น”

โดยการร่วมมือกันในครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นจากการร่วมมือกันทั้ง 3 ฝ่าย ได้แก่ The 1 อนันดาฯ และพร็อพทูมอร์โรว์ฯ ผู้ประกอบธุรกิจ ที่ปรึกษาด้านการตลาดและสื่อด้านอสังหาริมทรัพย์ สื่อออนไลน์ภายใต้ชื่อ www.prop2morrow.com ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ชื่อ “P2M Store” (Store.prop2morrow.com) ที่เป็นเสมือนแหล่งช้อปปิ้งแห่งใหม่ของผู้ที่สนใจที่อยู่อาศัย โดยรวบรวมโครงการดีลราคาพิเศษ และโปรโมชั่นที่คุ้มค่า พร้อมทั้งเพิ่มความสะดวกในการเลือกซื้อคอนโดฯ ให้กับลูกค้า

คุณกรณ์กวินท์ พีระเดชไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท พร็อพทูมอร์โรว์ จำกัด กล่าวว่า “เรียกว่าการร่วมมือกันในครั้งนี้เป็นกลยุทธ์แบบ Win-Win-Win คือ Win ทั้งในแง่เชิงธุรกิจของทั้ง The 1 และอนันดาฯ ในการมอบสิทธิพิเศษ และเพิ่ม Customer Value ให้กับลูกค้า รวมถึงสมาชิกและลูกค้าทุกท่านที่จะได้รับประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ดียิ่งขึ้นด้วย”


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Metro Connect ร่วมกับ HPE และ Cohesity ขยายตลาด Data Management Solutions สู่พันธมิตรทางธุรกิจ

คุณจิระศักดิ์ ตรังคิณีนาถ (ที่สองจากซ้าย) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมโทรคอนเนค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ คุณสุรชัย อรรถมงคลชัย (ที่สามจากซ้าย) ผู้จัดการประจำประเทศไทย กลุ่มธุรกิจไฮบริดไอที บริษัท ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) และคุณวัชรสิทธิ์ สันติสุขนิรันดร์ (ที่สี่จากซ้าย) ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท Cohesity ร่วมกันจัดงาน “HPE and Cohesity Open House” เพื่อแนะนำ “Data Platform Management Solution” ให้บริษัทคู่ค้าเพื่อนำไปต่อยอดการทำธุกิจ โดยจัดขึ้นในวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา ที่โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท

โดยวิทยากรในงาน คุณทรงพล แสงมาศ (ที่หนึ่งจากซ้าย) HPE Storage Lead บริษัท ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) และคุณณัฐพล พลประเสริฐกุล วิทยากรจาก บริษัท เมโทรคอนเนค จำกัด ร่วมบรรยายและอัพเดตโซลูชันการสำรองข้อมูล Backup Storage, File Sharing & Object และ Development and Testing จาก HPE และ Cohesity ที่นอกจากจะสามารถใช้งานได้อย่างง่ายดายและคุ้มค่าในแพลทฟอร์มเดียวแล้ว ก็ยังสามารถเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจของลูกค้าดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ บริษัท เมโทรคอนเนค จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ HPE และ COHESITY อย่างเป็นทางการ ได้รับความไว้วางใจจาก HPE และ Cohesity ให้เป็นส่วนหนึ่งในการขยายตลาดสู่บริษัทคู่ค้า เพื่อตอบสนองความต้องการทางด้านการจัดการข้อมูลต่างๆ รวมไปถึงช่วยเหลือและส่งต่อความรู้ความชำนาญให้แก่บริษัทคู่ค้าเพื่อพัฒนาและต่อยอดโซลูชันที่ตอบโจทย์กับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน

สนใจข้อมูลเพิ่มเติม https://www.metroconnect.co.th/products/hpe-hardware/


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

โครงการรับรองมาตรฐานวิชาชีพของหัวเว่ย เสริมแกร่งระบบนิเวศด้านบุคลากรไอซีทีในเอเชียแปซิฟิก

โครงการรับรองมาตรฐานวิชาชีพของหัวเว่ยเสริมแกร่งระบบนิเวศด้านบุคลากรไอซีทีในเอเชียแปซิฟิกบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เผยแผนระยะยาวเพื่อลดช่องว่างด้านบุคลากรไอซีที เร่งทุกภาคส่วนทำงานร่วมกันในงานประชุม Huawei Asia Pacific ICT Talent Forum 2020

กรุงเทพฯ/ 4 สิงหาคม 2563 – หัวเว่ย เทคโนโลยี่ จัดงานประชุม Huawei Asia Pacific ICT Talent Forum 2020 สำรวจเทรนด์แรงงานด้านไอซีทีและกลยุทธ์การพัฒนาบุคลากรในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ในงานประชุมออนไลน์ดังกล่าวซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 2,000 คน

หัวเว่ยได้ประกาศแผนระยะยาวในการพัฒนาระบบนิเวศด้านบุคลากรไอซีทีที่ครบรอบด้าน พร้อมโครงการรับรองมาตรฐานวิชาชีพใหม่เพื่อพัฒนาระบบนิเวศด้านบุคลากรไอซีที ปูทางสู่การทรานสฟอร์มด้านดิจิทัลอย่างยั่งยืน

งานสัมมนาได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมและศาสตราจารย์ด้านไอทีมาร่วมพูดคุยถึงความต้องการแรงงานทักษะสูงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังได้นำเสนอแผนดำเนินงานที่จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานด้านไอซีทีในภูมิภาคได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย

ในงานยังได้ประกาศเปิดโครงการ Huawei Asia Pacific ICT Certification ให้แก่นักศึกษาหรือผู้ทำงานในสาขาไอซีทีที่เคยเข้าร่วมหรือสนใจเข้าร่วมโครงการหัวเว่ย ไอซีที อะแคเดมี่ (Huawei ICT Academy) โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม ถึง 30 พฤศจิกายน 2563 ผู้เข้าร่วมโครงการที่สอบผ่านโดยใช้เวลาที่น้อยที่สุดจะได้รับรางวัลตามลำดับเวลาที่ทำได้

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เทคโนโลยีได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเราได้เห็นความสำเร็จในการคิดค้นเทคโนโลยีมากมายที่เข้ามาเปลี่ยนโลกของเรา “รากฐานของอุตสาหกรรมไอซีทียุคใหม่ในปัจจุบันประกอบด้วยคลาวด์คอมพิวติ้ง บิ๊กดาต้า อินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ และปัญญาประดิษฐ์” นายไมเคิล แมคโดนัลด์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและที่ปรึกษาผู้บริหารของหัวเว่ย เอเชีย แปซิฟิก เผยในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์เรื่องการสร้างอีโคซิสเต็มด้านไอซีทีที่รอบด้าน

การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่มีความแพร่หลายมากขึ้นทำให้ทักษะด้านไอทีพื้นฐานไม่เพียงพออีกต่อไป “องค์กรทั้งหลายเริ่มปรับเปลี่ยนคุณสมบัติที่พึงประสงค์ของพนักงาน ภูมิทัศน์ไอซีทีโฉมใหม่จะทำให้ตลาดขาดแรงงานที่มีทักษะขั้นสูงราว 5 ล้านคน เราตั้งเป้าที่จะพัฒนาแรงงานไอซีทีให้ได้ 2 ล้านคนในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อป้อนแรงงานที่มีทักษะซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการเข้าสู่ตลาด ในปี 2563 เราจะตั้งโครงการ Huawei ICT Academy อีกกว่า 200 แห่ง ตลอดจนฝึกอบรมและออกใบรับรองมาตรฐานวิชาชีพให้แก่นักศึกษาและพนักงานกว่า 10,000 คนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกระบบนิเวศบุคลากรด้านไอซีทีเป็นกลยุทธ์ระยะยาวของหัวเว่ย และเราจะทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยและพันธมิตรด้านการฝึกอบรมของหัวเว่ย (HALP – Huawei Authorized Learning Partner) ในแต่ละประเทศ เพื่อช่วยเสริมทักษะวิชาชีพให้แก่นักศึกษาและคนที่ทำงานด้านไอซีที”
นายไมเคิล กล่าว

ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชันไอซีทีชั้นนำระดับโลก หัวเว่ยมุ่งมั่นที่จะสร้างอีโคซิสเต็มด้านบุคลากรไอซีทีที่ครอบคลุมรอบด้าน ซึ่งจะช่วยให้ห่วงโซ่อุตสาหกรรมเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่อง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาปัญหาการขาดแคลนแรงงานทักษะสูงกลายมาเป็นความท้าทายของหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่อุตสาหกรรมไอซีทีมีการเติบโตเร็วที่สุดในโลก ในขณะที่เทคโนโลยีใหม่ ๆ อาทิ AI และ 5G
มีการใช้งานแพร่หลายมากขึ้น ภูมิภาคนี้จำเป็นต้องทำงานร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อกำหนดมาตรฐานที่ช่วยจับคู่บุคลากรกับโอกาสในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุคดิจิทัล

เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ หัวเว่ยได้สร้างระบบนิเวศด้านบุคลากร เพื่อสนับสนุนการสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพเข้าสู่อุตสาหกรรมไอซีทีอันสอดคล้องกับกลยุทธ์การบ่มเพาะบุคลากรของบริษัท ระบบนิเวศนี้ประกอบไปด้วยกิจกรรมหลัก 3 โครงการด้วยกัน คือ ประกาศนียบัตรมาตรฐานวิชาชีพของหัวเว่ย (Huawei Certification), โครงการหัวเว่ย ไอซีที อะแคเดมี่ (Huawei ICT Academy) และการแข่งขัน Huawei ICT Competition

ประกาศนียบัตรมาตรฐานวิชาชีพของหัวเว่ย (Huawei Certification) ซึ่งเป็นประกาศนียบัตรมาตรฐานด้านบุคลากรที่ครอบคลุมการสอบรับรองความรู้ถึง 100 หัวข้อ และสาขาเทคนิค 22 สาขา ที่ผ่านมาได้ออกใบรับรองนักศึกษาและพนักงานด้านไอซีทีไปแล้วกว่า 260,000 คน รวมถึง 19,000 คนในเอเชียแปซิฟิก โครงการ Huawei ICT Academy ซึ่งเปิดตัวในปี 2556 ได้จับมือกับสถาบันการศึกษาระดับสูงกว่า 900 แห่ง เพื่อเปิดคอร์สการสอนและฝึกอบรมด้านไอซีทีให้แก่นักศึกษากว่า 45,000 คนในแต่ละปี ปัจจุบัน หัวเว่ยได้จัดตั้งโครงการความร่วมมือไอซีทีอะแคเดมี่ ไปแล้ว 103 แห่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หัวเว่ยยังได้เริ่มจัดการแข่งขันด้านไอซีทีในปี 2558 เพื่อส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรผ่านการแข่งขันวัดความรู้ในระดับนานาชาติ “การแข่งขันจะช่วยให้นักศึกษาได้รับการยอมรับและมีโอกาสได้ทำงานที่มีคุณค่าในองค์กรชั้นนำ” มร. ไมเคิล กล่าว

ตลาดไอซีทีในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว หัวเว่ยได้ประกาศการทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายสิบแห่งเพื่อตั้งโครงการหัวเว่ย อะแคเดมี่ ในประเทศไทย การแข่งขัน Huawei ICT Competition ครั้งแรกในประเทศไทย จัดขึ้นเมื่อปี 2561 มีนักศึกษาจากทั่วประเทศเข้าร่วมการแข่งขันกว่า 2,000 คน ทีมผู้ชนะระดับประเทศจำนวน 3 คน ได้รับโอกาสเป็นตัวแทนประเทศในเวทีการแข่งขันระดับโลกที่เซินเจิ้น ประเทศจีน

หัวเว่ยมุ่งมั่นแสวงหาวิธีใหม่ ๆ ในการบ่มเพาะบุคลากรด้านไอซีทีอยู่เสมอ พร้อมสนับสนุนรัฐบาลในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีด้วยเป้าหมายสูงสุดในการเติมเต็มช่องว่างระหว่างความต้องการจากองค์กรและการจัดหาบุคลากรด้านไอซีทีของมหาวิทยาลัย หัวเว่ยมุ่งหวังที่จะช่วยหลากหลายประเทศในเอเชียแปซิฟิก วางรากฐานไอซีทีที่แข็งแกร่งมั่นคงเพื่อรองรับอนาคตที่จะมาถึง


 

Exit mobile version