Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อีริคสันประเทศไทย เปิดตัว 5G Innovation & Experience Studio ภายในโครงการ Thailand Digital Valley อย่างเป็นทางการ

บริษัท อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) ประเทศไทย ประกาศเปิดตัว 5G Innovation & Experience Studio อย่างเป็นทางการ ที่ตั้งอยู่ในโครงการ Thailand Digital Valley อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยสตูดิโอแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งในพันธกิจของบริษัทฯ ที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของประเทศไทย ภายใต้โครงสร้างพื้นฐาน 5G ที่มีความแข็งแกร่งและกำลังพัฒนายิ่งขึ้นในประเทศไทย

ด้วยการใช้ประสิทธิภาพจากโซลูชันเครือข่าย 5G ที่ทันสมัย ผนวกเข้ากับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการสร้างเครือข่าย 5G ที่มีประสิทธิภาพ เชื่อถือได้และยั่งยืนทั่วโลก ทำให้อีริคสันพร้อมมีบทบาทสำคัญเพื่อเร่งเดินหน้าประเทศไทยไปสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล

การจัดตั้ง 5G Innovation and Experience Studio ที่เพิ่งสร้างเสร็จนี้ คือ หมุดหมายสำคัญในแผนงานของอีริคสันเพื่อประเทศไทย โดยเป็นความร่วมมือกับรัฐบาลไทยผ่านทางสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa)

ห้องปฏิบัติการแห่งนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่เป็นพื้นที่สร้างสรรค์นวัตกรรม 5G ร่วมกัน โดยใช้เครือข่ายแซนด์บ็อกซ์ 5G ที่ทันสมัยของอีริคสัน มอบประโยชน์ทั้งในด้านการพัฒนา ทดสอบ ตรวจสอบ และรับรองยูสเคส 5G ใหม่ ๆ ร่วมกับพันธมิตรทั้งในประเทศไทยและจากทั่วโลก

ห้องปฏิบัติการนวัตกรรมแห่งนี้ยังจัดแสดงยูสเคส 5G ที่ล้ำสมัยไว้ในหลากหลายรูปแบบได้แก่หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ (AMR) เครื่องจักรการผลิตอัตโนมัติที่พัฒนาร่วมกับ Mitsubishi และกล้อง CCTV 360 องศา แบบสวมใส่ได้ ซึ่งนวัตกรรมเหล่านี้เผยให้เห็นถึงศักยภาพเทคโนโลยี 5G ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันบนเวทีโลก

มร.แอนเดอร์ส เรียน ประธานบริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “5G เป็นแพลตฟอร์มเพื่อนวัตกรรม ช่วยสร้างสรรค์บริการใหม่ ๆ สำหรับผู้บริโภค องค์กรธุรกิจ และอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยที่ต้องการนำดิจิทัลมาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ อีริคสันประเทศไทยมุ่งมั่นส่งเสริมความร่วมมือและนวัตกรรมเพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากเครือข่าย 5G ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ด้วยการทำงานร่วมกันกับผู้ให้บริการด้านการสื่อสารและหน่วยงานอื่น ๆ ในระบบนิเวศ เราจะสามารถขับเคลื่อนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งคนไทย เศรษฐกิจและประเทศชาติ”

อีริคสันประเทศไทยยังเปิดกว้างด้านความร่วมมือในอนาคตกับผู้มีส่วนร่วมสำคัญในระบบนิเวศ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงพันธมิตร ผู้ใช้ปลายทาง สถาบันการศึกษา และหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อพัฒนายูสเคส 5G ใหม่ ๆ สำหรับอุตสาหกรรม

จากรายงาน Ericsson Mobility ฉบับล่าสุด คาดการณ์ภายในปี 2572 จะมีจำนวนผู้ใช้ 5G ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย ประมาณ 560 ล้านราย และเมื่อสิ้นปี 2566 มียอดผู้ใช้ 5G ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ที่ 61 ล้านราย ซึ่งผู้ใช้บริการ 5G ในภูมิภาคยังคงเติบโตต่อเนื่อง เป็นผลมาจากที่ผู้ใช้ย้ายมาใช้เครือข่าย 5G โดยได้รับแรงหนุนจากอุปกรณ์ 5G ที่ราคาย่อมเยาลง รวมถึงโปรโมชั่นการขายที่ดึงดูดใจ ส่วนลดและแพ็กเกจที่รวมการใช้ปริมาณดาต้าขนาดใหญ่จากผู้ให้บริการ คาดว่าในปี 2572 ผู้สมัครใช้บริการมือถือ 5G จะมีสัดส่วน 43% ของยอดผู้สมัครใช้บริการมือถือทั้งหมดในภูมิภาค และคาดว่ายอดการใช้ดาต้าต่อสมาร์ทโฟนของผู้ใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเพิ่มขึ้นจาก 17 กิกะไบต์ต่อเดือน ในปี 2566 เป็น 42 กิกะไบต์ต่อเดือน ในปี 2572

ก่อนสิ้นปี 2572 คาดว่า 5G จะกลายเป็นเครือข่ายมือถือที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากยอดการสมัครใช้ แม้ว่าการครอบคลุมพื้นที่ให้บริการ 5G จะเติบโตขึ้น แต่ย่านความถี่ 5G Mid-Band กลับถูกนำไปใช้งานเพียง 25% ของไซต์ทั้งหมดทั่วโลกนอกจีนแผ่นดินใหญ่ โดย 5G Mid-Band มอบความลงตัวระหว่างการครอบคลุมพื้นที่และความจุ ขณะเดียวกันก็ปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้

รายงาน Ericsson Mobility เดือนมิถุนายน ปี 2567 เผยให้เห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่งของการสมัครใช้บริการ 5G โดยมีผู้ให้บริการด้านการสื่อสารประมาณ 300 รายทั่วโลก เปิดให้บริการ 5G และมี 50 ราย เปิดให้บริการ 5G Standalone (หรือ 5G SA) ซึ่ง 5G ยังคงเติบโตต่อเนื่องในทุกภูมิภาค และคาดว่าในปี 2572 จะมีผู้ใช้ 5G คิดเป็นสัดส่วน 60% ของยอดผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือทั้งหมด อีริคสันคือผู้นำ 5G ระดับโลก ปัจจุบันเปิดบริการเครือข่าย 5G ไปแล้วถึง 166 เครือข่าย ใน 69 ประเทศทั่วโลก

รายงานล่าสุดจาก Frost & Sullivan ยังตอกย้ำความเป็นผู้นำของอีริคสันในตลาดโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย 5G ซึ่งครอบคลุมถึง Radio Access Networks (RAN), Transport Networks และ Core Networks โดยอีริคสันได้รับการจัดอันดับเป็นผู้นำอันดับ 1 ในรายงานการวิเคราะห์ตลาดโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย 5G ของ Frost Radar™ ประจำปี 2567 เป็นปีที่สี่ติดต่อกัน ซึ่งเน้นย้ำถึงผลจากกลยุทธ์ของบริษัทในการตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้ให้บริการการสื่อสาร (CSPs)


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เปิดบ้านต้อนรับทุกคน “กิจกรรม KMUTNB OPEN HOUSE” (ADMISSION 2025)

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) จัดกิจกรรม KMUTNB OPEN HOUSE (ADMISSION 2025)

มจพ. นวัตกรรมและความยั่งยืน : ร่วมกันเพื่อวันพรุ่งนี้ (KMUTNB Innovation & Sustainability : Together for Tomorrow) ณ มจพ. กรุงเทพฯ  และวิทยาเขตระยอง ในวันที่ 4-5 ตุลาคม 2567 เวลา 09.00-16.00 . ณ ลานอเนกประสงค์ และคณะต่าง ๆ ภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ทั้ง 2 วิทยาเขต กิจกรรมเปิดบ้านครั้งนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนักเรียน นักศึกษาที่กำลังศึกษาหรือใกล้จะสำเร็จการศึกษา เพื่อวางแผนและเตรียมตัวเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาได้ทราบรายละเอียดหลักสูตร สาขาวิชา การจัดการเรียนการสอนของแต่ละคณะ รวมถึงได้สัมผัสถึงบรรยากาศและสภาพแวดล้อมภายในมหาวิทยาลัยและคณะต่าง ๆ รวมทั้งกิจกรรมอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

มจพ. ขอเชิญทุกท่านเข้าร่วมงาน KMUTNB OPEN HOUSE 2025 สามารถเข้าเว็บไซต์ลงทะเบียนร่วมงาน เปิดให้เข้าชมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย และสามารถติดตามชมการ LIVE สด ได้ตลอด 2 วัน คือ วันที่ 4-5 ตุลาคม 2567 มีกำหนดการแสดงที่เว็บไซต์ มีรายละเอียดการประกาศรับสมัคร แบ่งเป็น 2 ระดับ

ได้แก่ (1) ระดับปวช. และปริญญาตรี  และ (2) ระดับปริญญาโทและเอก

ผู้สนใจเข้าร่วมงานลงทะเบียนสแกน QR CODE ได้ล่วงหน้า หรือติดตามรายละเอียดได้ที่ https://openhouse.kmutnb.ac.th

สอบถามเพิ่มเติม โทรศัพท์ 0-2555-2000  ต่อ 1626-1628, 1121, 1166, 2091 หรือที่เว็บไซต์ www.kmutnb.ac.th

ขวัญฤทัยข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เทอร์ร่าฯ เสริมความแข็งแกร่งธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า
ชูจุดเด่นผู้นำด้านสถานีชาร์จแบบครบวงจรในไทย

หากจะมองถึงธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (XEV) ซึ่งในปัจจุบันมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศหลายปัจจัย รวมทั้งแนวโน้มกระแสนิยมในเรื่องสิ่งแวดล้อมและความเข้าใจในเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอาจเผชิญปัจจัยท้าทายจากแรงกดดันด้านการแข่งขันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และการเพิ่มขึ้นของสถานีชาร์จและเครื่องอัดประจุที่อาจยังไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ของผู้คน

บริษัท เทอร์ร่า ชาร์จ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทผู้ให้บริการสถานีชาร์จอันดับ1 ในญี่ปุ่น ด้านการขับขี่อย่างยั่งยืน (sustainable mobility) และ ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีการชาร์จและการจัดการที่ออกแบบมาเพื่อผู้ประกอบการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า เพราะ Terra Charge ประเทศไทยจัดตั้งขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะเป็นผู้ให้บริการในการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอย่างครบวงจร  โดยบริษัทคำนึงถึงรถยนต์ไฟฟ้าในไทยที่เพิ่มมากขึ้นและความต้องการของสถานีชาร์จที่สูงขึ้น จึงตั้งใจนำเสนอโซลูชั่นการติดตั้งสถานีชาร์จแบบครบวงจร (Turnkey Solution) แก่ผู้ประกอบการ พร้อมช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่ผู้ใช้งานในทุกด้าน

งานนี้ผู้บริหารหนุ่มไฟแรง โก ซูซูกิกรรมการผู้จัดการในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวถึงจุดมุ่งหมายที่แข็งแกร่งของเทอร์ร่าฯว่า

เทอร์ร่า ชาร์จ เราเชื่อว่า ความยั่งยืน หรือ การดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมจะส่งผลต่อการเติบโตของสังคมอย่างเสมอภาคเราจึงได้นำแนวคิดของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) สะท้อนให้เห็นผ่านการบริหารงาน และการดำเนินงานขององค์กรที่มีความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อสังคมที่ดีกว่า

ด้าน มาซาโนริ ทาคาฮาชิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านเทคโนโลยีในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้เน้นย้ำชัดเจนว่า

เทอร์ร่า ชาร์จ เราพร้อมนำนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต เราไม่ได้เป็นแค่สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยสิ่งสำคัญคือความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในญี่ปุ่น เราพร้อมผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมุ่งมั่นที่จะใช้พลังงานสะอาดทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้น เราพร้อมปฏิวัติวงการรถยนต์ไฟฟ้าให้ดีขึ้นด้วยโซลูชั่นการชาร์จของเราที่เน้นย้ำในเรื่องของคุณภาพและความน่าเชื่อถือ เราไม่เป็นเพียงผู้ขับเคลื่อนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่เรายังยึดมั่นความก้าวหน้าด้วยหลักการ ESG ที่คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล

สำหรับโซลูชั่นการให้บริการ ทางเทอร์ร่าฯ มีตั้งแต่บริการสถานีชาร์จครบวงจร ตอบโจทย์ทุกความต้องการในการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ครอบคลุมทุกมิติตั้งแต่จัดหาเครื่องชาร์จที่เหมาะสมกับพื้นที่ ดำเนินการขออนุญาตหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตั้ง พัฒนาแอปพลิเคชันและการจัดการระบบหลังบ้าน รวมถึงบริการหลังการขายทั้งการให้คำปรึกษา และ ซ่อมบำรุง ตลอดจนประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนสถานีชาร์จ ด้วยประสบการณ์ติดตั้งสถานีชาร์จมาแล้วกว่า 20,000 หัวชาร์จที่ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบัน ได้ติดตั้งสถานีชาร์จ ตามคอนโดและโรงแรมต่าง ๆ ในไทยกว่า 100 จุด อีกทั้งตั้งเป้าหมายขยายสถานีชาร์จอีก 1,000 จุด ในปี 2569 อีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีบริการเครื่องชาร์จ ทั้งการชาร์จแบบธรรมดา (AC Charger) และการชาร์จแบบเร็ว (DC Charger) เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า และความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่หรือธุรกิจขนาดเล็กไปจนขนาดใหญ่ รวมถึงบริการติดตั้งสถานีชาร์จ โดยทีมวิศวกรและช่างผู้ชำนาญการ พร้อมแอปพลิเคชันและระบบจัดการ

ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยการใช้งานที่สะดวก ง่ายดาย และมีประสิทธิภาพ

การดำเนินธุรกิจของเทอร์ร่าฯ คือมีวิสัยทัศน์ ก้าวเป็นผู้นำในการสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมทั้งส่งเสริมการขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้า โดยการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จที่คำนึงถึงการใช้ชีวิตของผู้ใช้งานเป็นหลัก เพื่อผลักดันการใช้พลังงานสะอาดขับเคลื่อนทุกการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อโลกและอนาคตของคนรุ่นต่อไป

สอบถามเพิ่มเติมหรือติดต่อซื้อสินค้าและบริการ ติดต่อได้ที่ Call Center 02-114-8961
(24
ชั่วโมง) หรือ Line: @terracharge_th ข้อมูลเพิ่มเติม www.terra-charge.co.th


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์คาดการณ์ค่าใช้จ่าย “ความปลอดภัยของข้อมูล” ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 15% ส่วนไทยเพิ่ม 12%

กรุงเทพฯ, 12 กันยายน 2567 – การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่ามูลค่าการใช้จ่ายด้านความปลอดภัยข้อมูล (Information Security) ของผู้ใช้ปลายทางทั่วโลกในปี 2568 จะเพิ่มขึ้น 15.1% หรือประมาณ 212 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ในปี 2567 ที่ 183.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

สำหรับประเทศไทย การ์ทเนอร์คาดว่าในปี 2568 ยอดใช้จ่ายด้านความปลอดภัยข้อมูลของผู้ใช้ปลายทางจะมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 18,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.3% จากปี 2567 ที่คาดว่าจะมีมูลค่าการใช้จ่ายรวมที่ 16,400 ล้านบาท 

ชัยเลนดรา อูปัดห์เญ หัวหน้าฝ่ายวิจัยอาวุโสการ์ทเนอร์กล่าวว่า “จากสภาพแวดล้อมที่ก่อให้เกิดภัยคุกคามเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการย้ายไปใช้ระบบคลาวด์และปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในด้านนี้ ทำให้ความปลอดภัยกลายเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ขององค์กร และกดดันให้ผู้บริหารด้านความปลอดภัยข้อมูลหรือ CISO ต้องเพิ่มงบประมาณการใช้จ่ายด้านความปลอดภัยให้กับองค์กร

นอกจากนั้น เวลานี้องค์กรต่าง ๆ อยู่ในขั้นของการประเมินประสิทธิภาพแพลตฟอร์มการป้องกันที่ปลายทางหรือ Endpoint Protection Platform (EPP) และ Endpoint Detection and Response หรือ EDR ซึ่งเป็นเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ช่วยตรวจสอบภัยคุกคามในตำแหน่งข้อมูลและลดภัยคุกคามได้โดยอัตโนมัติ เพื่อปรับเปลี่ยนและเพิ่มความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน รวมถึงตอบสนองต่อเหตุการณ์หลังการหยุดให้บริการของ CrowdStrike

การนำ AI และ GenAI มาใช้อย่างต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มการลงทุนในตลาดซอฟต์แวร์ความปลอดภัย (Security Software) มากขึ้น อาทิ ในด้านแอปพลิเคชันความปลอดภัย (Application Security), ความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัว (Data Security and Privacy) และการปกป้องโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Protection) ในปี 2568 GenAI จะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้แหล่งทรัพยากรความปลอดภัยทางไซเบอร์จำเป็นต้องเพิ่มการรักษาความปลอดภัยมากขึ้น และคาดว่าจะทำให้การใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์ความปลอดภัยเพิ่มขึ้น 15% (ดูตารางที่ 1)

ตารางที่ มูลค่าการใช้จ่ายของผู้ใช้ปลายทางด้านความปลอดภัยของข้อมูลทั่วโลกโดยจำแนกตามหน้าที่การทำงาน ช่วงปี 2566 – 2568 (หน่วย: ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

Segment 2023 Spending 2023 Growth (%) 2024 Spending 2024 Growth (%) 2025 Spending 2025 Growth (%)
Security Software 76,574 13.6 87,481 14.2 100,692 15.1
Security Services 65,556 13.6 74,478 13.6 86,073 15.6
Network Security 19,985 6.2 21,912 9.6 24,787 13.1
Total 162,115 12.7 183,872 13.4 211,552 15.1

ที่มา: การ์ทเนอร์ (สิงหาคม 2567)

 

นับตั้งแต่ GenAI เปิดตัว แฮกเกอร์ใช้เครื่องมือต่าง ๆ ร่วมกับโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) เพื่อสร้างการโจมตีแบบ Social Engineering โดยมุ่งเป้าขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ การ์ทเนอร์คาดว่าภายในปี 2570 การโจมตีทางไซเบอร์/การรั่วไหลของข้อมูล 17% จะเกี่ยวข้องกับ Generative AI ทั้งสิ้น

เมื่อองค์กรยังคงย้ายไปใช้ระบบคลาวด์ นักวิเคราะห์การ์ทเนอร์คาดว่าการลงทุนในโซลูชันความปลอดภัยบนคลาวด์จะเพิ่มขึ้น รวมถึงสัดส่วนการลงทุนในโซลูชันคลาวด์เนทีฟก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน สำหรับตลาดตัวกลางรักษาความปลอดภัยของการเข้าถึงระบบคลาวด์หรือ Cloud Access Security Brokers (CASB) และแพลตฟอร์มการปกป้องภาระงานในคลาวด์หรือ Cloud Workload Protection Platforms (CWPP) คาดว่าในปี 2568 จะมีมูลค่ารวมกันถึง 8.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ในปีนี้ ที่ 6.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

การขาดแคลนทักษะในอุตสาหกรรมความปลอดภัยทางไซเบอร์ทั่วโลก เป็นปัจจัยเร่งสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการลงทุนในตลาดบริการด้านความปลอดภัย (ซึ่งประกอบด้วย บริการที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยบริการด้านความปลอดภัยระดับมืออาชีพ และบริการการจัดการด้านความปลอดภัยและคาดว่าการลงทุนในด้านนี้จะเติบโตรวดเร็วกว่ากลุ่มการลงทุนด้านความปลอดภัยด้านอื่น ๆ

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. ลงนามความร่วมมือการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ กับ กระทรวงกลาโหม

.ดร.สุชาติ   เซี่ยงฉิน อธิการบดี  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)  .ดร.สมฤกษ์   จันทรอัมพร  รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ  และ รศ.ดร.สุรพันธ์  ยิ้มมั่น  รองอธิการบดีฝ่ายส่งเสริมอุตสาหกรรมและพัฒนาธุรกิจศึกษา  ร่วมลงนามความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กับ พล.ท เขมชาติ  ปัตตะนุ   เจ้ากรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม   พล.. อดิศร  จรัส  ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน  กรมยุทธการทหาร  เจ้ากรมยุทธการทหาร  และ พล.ต ระวี  ตั้งพิทักษ์กุล  ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพบก พร้อมด้วยผู้บริหารทั้งสองฝ่ายร่วมเป็นสักขีพยาน ในวันที่ 10 กันยายน 2568  ณ ห้อง Cloud 9 ชั้น 9 สำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มจพ.

พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาระหว่าง กระทรวงกลาโหม (กห.) และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) มีวัตถุประสงค์ เพื่อการพัฒนาศักยภาพการวิจัยและพัฒนาวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์และสาขาอื่น ๆ  เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการบริหารจัดการและการบูรณาการด้านการวิจัยและพัฒนาสร้างนวัตกรรมใหม่ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศให้สามารถขยายผลการวิจัยและพัฒนาสู่การผลิตและใช้งานของกองทัพอย่างเป็นรูปธรรม อันจะเป็นการส่งเสริมด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้เกิดการพึ่งพาตนเอง และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ รวมทั้งแลกเปลี่ยนความรู้ ทรัพยากร และบุคลากร  ด้านวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการผลิตและพัฒนาบุคลากรเพื่อการเพิ่มพูนความรู้ที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน เพื่อพัฒนาให้มีคุณภาพ มาตรฐาน และปริมาณ สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ โดยมีระยะเวลาความร่วมมือ 5 ปี

ขวัญฤทัย ข่าว/วุฒิสิทธิ์ ถ่ายภาพ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เอเซอร์ขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ Copilot+ PC เปิดตัว Acer Swift 14 AI และ Acer Swift Go 14 AI

เบอร์ลิน (5 กันยายน 2567) เอเซอร์ ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ Copilot+ PC เปิดตัว Acer Swift Go 14 AI และ Acer Swift 14 AI มอบประสิทธิภาพการใช้งานที่หลากหลายและยกระดับอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้อย่างน่าทึ่ง Acer Swift Go 14 AI มาพร้อมกับโปรเซสเซอร์ Snapdragon® X Plus 8-core ใหม่ในดีไซน์ที่พกพาสะดวก ขณะที่ Acer Swift 14 AI ใช้โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen™ AI 300 Series ใหม่ที่มาพร้อมกับสถาปัตยกรรม AMD XDNA™ 2 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI โดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพโดยรวม. โน้ตบุ๊กสองรุ่นนี้เหมาะสำหรับการทำงานด้านสร้างสรรค์ การทำงานทั่วไป หรือการสตรีมมิ่งขณะเดินทาง คอมพิวเตอร์ Copilot+ PC ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการเวิร์คโหลดและแอปพลิเคชัน AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับประสบการณ์ดิจิทัลให้ดียิ่งขึ้น

นายเจมส์ ลิน ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊ก, เอเซอร์ อิงค์ กล่าวว่า “คอมพิวเตอร์ซีรีย์ Swift AI ใหม่นี้ เป็นโน้ตบุ๊กที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาเพื่อการทำงาน การเรียนรู้ และเอนเตอร์เทนเมนต์ให้ตอบโจทย์การใช้งานทุกฟังก์ชัน โดยโน้ตบุ๊ก Swift ซีรีย์ มีระบบการประมวลผลบนโปรเซสเซอร์ AI ที่ทรงพลังที่สุดรุ่นหนึ่งในปัจจุบัน เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้นำเสนอความก้าวหน้าและประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยมให้กับทุกท่าน”

ประสบการณ์ Copilot+ PC และชุดฟีเจอร์ด้าน AI กับ Acer

Copilot+ PC ช่วยให้ผู้ใช้ได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ในการโต้ตอบ ความคิดสร้างสรรค์ และสื่อสารไปกับ Swift โดยมีฟีเจอร์ดังนี้:

  • Cocreator: ปลดปล่อยจิตนาการอย่างไร้ขีดจำกัด ใช้งานผ่านทางคำสั่งหรือรูปภาพในการสร้างสรรค์ผลงาน
  • Live Captions: แปลคำพูดจากภาษากว่า 44 ภาษาและแสดงคำบรรยายภาษาอังกฤษแบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นไลฟ์วิดีโอ บทสนทนาในภาพยนตร์ หรือคลิปบน YouTube
  • Windows Studio Effects: มาพร้อมฟีเจอร์เสริมจาก AI เช่น การเบลอพื้นหลัง ปรับการมองของคุณบนการสนทนาทางวิดีโอ ช่วยให้คุณอยู่ในตําแหน่งกึ่งกลางเฟรมระหว่างการสนทนา  การปรับแสงช่วยการมองเห็นได้ชัดเจน แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงน้อย และฟิลเตอร์สร้างสรรค์ เพื่อให้ผู้ใช้ดูดีที่สุดในระหว่างการประชุมทางไกล การสตรีมสด หรือวิดีโอคอล นอกจากนี้ยังสามารถเข้าถึงฟั่งชั่นต่างๆ ได้ด้วยการคลิกปุ่ม Copilot เพียงครั้งเดียว

แอปพลิเคชันที่ออกแบบด้วย AI ของ Acer มีให้ใช้งานบนโน้ตบุ๊ก Swift AI จะช่วยให้การใช้งานในชีวิตประจำวันสะดวกยิ่งขึ้น แอปพลิเคชัน AcerSense ทำให้การควบคุมการใช้งานของโน้ตบุ๊กเป็นเรื่องง่าย เช่น การเปลี่ยนการตั้งค่าระบบ การตรวจสอบ การเข้าถึงฟีเจอร์ AI ที่มีอยู่ และการปรับแต่งค่าต่างๆ ด้วยการคลิกเพียงปุ่ม AcerSense.

เครื่องมือการประชุมที่เพิ่มประสิทธิภาพด้วย AI ของ Acer ใน Acer PurifiedView™ 2.0 และ Acer PurifiedVoice™ 2.0 ทำงานร่วมกันเพื่อให้ผู้ใช้ดูดีและช่วยควบคุมเสียงให้ดี ระหว่างการสื่อสารบนช่องทางออนไลน์ ฟีเจอร์เหล่านี้สามารถเข้าถึงและตั้งค่าได้ทันทีด้วย Acer QuickPanel ที่จะปรากฏขึ้นอัตโนมัติเมื่อกล้องเว็บแคมและไมโครโฟนเปิดใช้งาน.

Acer User Sensing ช่วยปกป้องข้อมูลบนหน้าจอแม้ว่าผู้ใช้จะไม่อยู่ ด้วยเซ็นเซอร์ระยะใกล้ที่ติดตั้งในโน้ตบุ๊กจะตรวจจับระยะการเคลื่อนไหวของผู้ใช้งาน ส่งผลให้หน้าจอล็อกโดยอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้อยู่ห่างออกไป และเมื่อกลับมาเพื่อใช้งาน ก็สามารถเข้าสู่ระบบได้อย่างง่ายดายด้วย Windows Hello.

Acer Swift Go 14 AI: Copilot+ PC ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกการใช้งาน

Acer ได้เปิดตัวโน้ตบุ๊กซีรีย์ Swift Go ที่มาพร้อมกับ Copilot+ PC ที่มีประสิทธิภาพการประมวลผลระดับสูงเพื่อรองรับความต้องการการทำงานในปัจจุบัน Acer Swift Go 14 AI (SFG14-01) ใช้โปรเซสเซอร์ Snapdragon X Plus ที่มีการประมวลผลสูงถึง 8 คอร์ ความเร็วสูงสุด 3.4 GHz และ Qualcomm® Hexagon™ NPU ให้ประสิทธิภาพด้าน AI ถึง 45 TOPS รวมถึงหน่วยความจำ LPDDR5X สูงสุดที่ 32 GB และ SSD NVMe PCIe Gen 4 ขนาดสูงสุด 1 TB ซึ่งทำให้การทำงานมัลติทาสก์เป็นไปอย่างลื่นไหลและมีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลเพียงพอ สำหรับการทำงานและการเล่นวิดีโอได้ยาวนานถึง 28 ชั่วโมงแม้ในกรณีที่มีเวิร์คโหลดหนักก็ตาม.

ซัพพอร์ททุกฟังก์ชันเพื่อความบันเทิง จอแสดงผล WQXGA (2560X1600) ขนาด 14.5” อัตราการรีเฟรช 120 Hz และรองรับช่วงสี sRGB 100% โดยจอแสดงผลยังผ่านการรับรองจาก RPF 50 ซึ่งลดแสงสีฟ้าได้ 50% และลดความอันตรายของแสงสีฟ้าลงได้มากกว่า 20% โดยผู้ใช้งานจะได้รับประสบการณ์ในด้านคุณภาพเสียงจากลำโพงคู่ที่ผสานระบบเสียง DTS:X Ultra รวมถึงกล้อง QHD IR ความละเอียด 1440p พร้อมชัตเตอร์แบบไพรเวตเพื่อให้แน่ใจว่าจะได้รับการปกป้องความเป็นส่วนตัว แม้จะไม่ได้เปิดกล้องเพื่อใช้งานก็ตาม

โดยฟีเจอร์ทั้งหมดนี้อยู่ในโน้ตบุ๊กรุ่นล่าสุดนี้แสดงถึงความพร้อมด้านเทคโนโลยี AI และฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ได้รับการพัฒนามาอย่างดี โดยมีไอคอน AI บนฝาครอบอลูมิเนียมที่บางเบา และสัญลักษณ์ AI Activity Indicator บนทัชแพดที่สว่างขึ้นเมื่อ NPU หรือ Copilot กำลังทำงาน นอกจากนี้ยังมีการออกแบบฝาพับแบบ 180 องศาช่วยให้การแสดงผลมุมมองต่าง ๆ มีประสิทธิภาพและเปิดใช้งานได้ด้วยมือเดียว รวมถึงพอร์ตเชื่อมต่อมากมาย เช่น USB 4.0 Type-C สองพอร์ตที่รองรับการชาร์จเร็ว, USB Type-A สองพอร์ต, Wi-Fi 7 และ Bluetooth™ 5.4 เพื่อการเชื่อมต่อที่รวดเร็วและเชื่อถือได้

Acer Swift 14 AI: ประสบการณ์ Copilot+ PC ที่ยอดเยี่ยม กับ AMD Ryzen AI 300 รุ่นใหม่

Acer Swift 14 AI (SF14-61/T) ได้รับการออกแบบให้เข้ากับการทำงานและความต้องการด้านการประมวลผลรูปแบบต่าง ๆ ยกระดับความสามารถการทำงานด้วยเครื่องมือและผู้ช่วยด้าน AI ภายในอุปกรณ์ ช่วยให้การทำงานที่หนักหน่วงและการทำงานหลายอย่างพร้อมกันบน AI PC เป็นเรื่องง่ายดาย ด้วยโปรเซสเซอร์ AMD Ryzen AI 9 365  ได้รับการอัปเกรดผ่านสถาปัตยกรรม AMD XDNA 2 และสแต็คด้วยคอร์ “Zen 5”ประสิทธิภาพสูงสุดจำนวน 10 คอร์ เสนอพลังการประมวลผลด้าน AI สูงสุด 50 NPU TOPS ในขณะเดียวกันยังช่วยยืดระยะการใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานถึง 27 ชั่วโมง มาพร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X สูงสุด 32 GB และพื้นที่เก็บข้อมูล NVMe PCIe Gen 4 สูงสุด 2 TB เพื่อตอบสนองการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Acer Swift 14 AI มีดีไซน์พรีเมียมสุดบางเบา โดยฝาพับสามารถเปิดกว้างได้ถึง 180 องศาเพื่อการใช้งานที่หลากหลายและยังสะดวกต่อการพกพา ด้วยน้ำหนักเพียง 1.32 กิโลกรัม ปุ่ม Copilot บนแผงคีย์บอร์ดพร้อมไฟแบ็คไลท์จะแสดงสัญลักษณ์ส่องสว่างบนทัชแพตทันทีเมื่อมีการเปิดใช้งาน

Acer Swift 14 AI จอแสดงผล WQXGA ขนาด 14 นิ้ว (2880×1800) ที่ให้ภาพสมจริง รองรับฟีเจอร์ VESA DisplayHDR™ TrueBlack 500 และ Eyesafe 2.0 โดยมีความสว่างสูงสุด 500 nits และอัตราส่วนความคมชัด 1,000,000:1 จึงให้ภาพที่สดใสและคมชัด นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกจอ IPS WQXGA ที่อัตราการรีเฟรช 120 Hz และจอทัชสกรีนเพื่อเพิ่มประสบการณ์การโต้ตอบที่เพิ่มขึ้น คุณภาพด้านเสียงที่มาพร้อมลำโพงคู่ที่ใช้เทคโนโลยี DTS:X Ultra เพื่อเสียงที่คมชัด กล้อง QHD IR ความละเอียด 1440p มีไพรเวทชัตเตอร์ช่วยให้ทุกการโต้ตอบออนไลน์มีความคมชัดและเป็นส่วนตัวแม้เมื่อกล้องไม่ได้เปิดใช้งาน รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.4 พร้อมพอร์ตต่าง ๆ เช่น USB Type-C สองพอร์ต (รองรับ USB 4 และการชาร์จ USB), USB Type-A 3.2 สองพอร์ต, และ HDMI 2.1 

ราคาและการวางจำหน่าย

Acer swift Go 14 AI (SFG14-01) วางจำหน่ายในทวีปอเมริกาเหนือช่วงเดือนกันยายน ราคาเริ่มต้น 999.99 USD ภูมิภาคยุโรปตะวันออกกลางและแอฟริกา (EMEA) เริ่มวางจำหน่ายในเดือนกันยายน ราคาเริ่มต้นที่ 999 EUR และในออสเตรเลียจะเริ่มวางจำหน่ายช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2024 ในราคาเริ่มต้น 1,399 AUD

Acer Swift 14 AI (SF14-61/T) วางจำหน่ายในทวีปอเมริกาเหนือช่วงเดือนกันยายน ราคาเริ่มต้น 1,199.99 USD, ภูมิภาคยุโรปตะวันออกกลางและแอฟริกา (EMEA) วางจำหน่ายในเดือนกันยายน ราคาเริ่มต้นที่ 1,199.99 EUR, ในออสเตรเลียจะเริ่มวางจำหน่ายช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2024 ในราคาเริ่มต้น 2,799 AUD

ข้อมูลผลิตภัณฑ์ ราคา และการวางจำหน่าย มีความแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความพร้อมการวางจำหน่าย และราคาในแต่ละภูมิภาค กรุณาติดต่อ Acer ในแต่ละภูมิภาคผ่านทาง www.acer.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ภาคอุตสาหกรรมนำ AI มาช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันได้หรือไม่

โดย ฮีทเธอร์ ไซโคสกี รองประธานอาวุโส ธุรกิจอุตสาหกรรมและกระบวนการอัตโนมัติ

การใช้งาน AI เติบโตอย่างมหาศาลในช่วงหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา และเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นผลพวงจากการพัฒนาที่ล้ำหน้าของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ หรือ large language models (LLMs) นั่นเอง การเติบโตนี้ยังส่งแรงกระเพื่อมไปยังทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นกรณีการใช้งานโดยตรงที่พร้อมเปิดตัวสู่ตลาด หรือโดยอ้อมจากการปฏิรูปที่เกิดขึ้นรุนแรงและรวดเร็วเพื่อช่วยให้ธุรกิจเติบโตและสร้างความยั่งยืนได้ดีในโลกของ AI

แม้ว่า ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จะเป็นผู้นำด้านการปฏิรูปสู่ดิจิทัลและถือว่าเป็นผู้มาก่อนกาล ที่ประยุกต์ใช้ AI ตั้งแต่ยุคแรกๆ และ AI ก็แทรกซึมอยู่ในทุกที่ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในบ้าน ห้องนั่งเล่น  อาคารและกระทั่งในโรงงานของชไนเดอร์เองก็ตาม เราได้เห็นพัฒนาการของ AI ที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จนมาวันนี้ แทนที่บริษัทต่างๆ จะตั้งคำถามว่า “เราจะใช้ AI กันเมื่อไหร่ดี” ต้องเปลี่ยนเป็นคำถามที่ว่า “เราจะใช้ AI ได้เร็วแค่ไหน”

ภาคอุตสาหกรรมไม่สามารถหลีกเลี่ยงกระแสของการผสานรวม AI ที่ขยายสู่วงกว้างได้ พร้อมกับต้องคิดว่าจะใช้ AI ให้สอดคล้องไปในแนวทางเดียวกับกลยุทธ์หลักทางธุรกิจได้อย่างไร ซึ่งสำหรับชไนเดอร์ อิเล็คทริค เราได้ค้นหาแนวทางที่เป็นนวัตกรรมในการประยุกต์ใช้ระบบดิจิทัลที่มีอยู่แล้ว มาผสานรวมกับ AI เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึก และระบบธุรกิจอัจฉริยะที่ทำงานได้ดียิ่งขึ้นจากข้อมูล ด้วยการนำข้อมูลหลายสิบปีมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บางอย่างอยู่ในรูป AI สิ่งเหล่านี้แฝงอยู่ในเทคโนโลยีทั้งหมดของชไนเดอร์ ไม่ว่าจะเป็นในโรงงาน ภายในอุปกรณ์ หรือเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรก็ตาม ตั้งแต่อัลกอริทึมของแมชชีนเลิร์นนิ่ง ที่ช่วยสนับสนุนการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ ตลอดจนการผสานรวม LLM แบบบูรณาการ โดยทำหน้าที่เสมือนผู้ช่วยนักบิน ซึ่ง AI ช่วยเร่งการดำเนินงานตามแผนบริหารจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติด้านอุตสาหกรรมของชไนเดอร์ได้เร็วยิ่งขึ้น

ตัวอย่างเช่น เมื่อไม่นานมานี้ชไนเดอร์ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับ Hy Stor Energy เพื่อพัฒนาการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวแบบ off-grid และระบบกักเก็บพลังงานขนาดใหญ่ ภายใต้บันทึกความเข้าใจนี้ นอกจากชไนเดอร์จะมอบโซลูชันระบบอัตโนมัติ โซลูชันความปลอดภัย และแพลตฟอร์มควบคุมกระบวนการดำเนินงานของ AVEVA แล้ว ยังมอบซอฟต์แวร์เพิ่มประสิทธิภาพ AI ที่ช่วยปรับปรุงการวิเคราะห์สภาพอากาศ ช่วยให้ดำเนินงานในเชิงคาดการณ์ได้ และปรับปรุงโซลูชันการจัดการพลังงานแบบดิจิทัลให้แม่นยำขึ้นอีกด้วย การผสานกลยุทธ์ดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วย AI ช่วยให้ Hy Stor Energy สามารถส่งมอบพลังงานปลอดคาร์บอน 100 เปอร์เซ็นต์ ให้แก่ลูกค้า รวมถึงพลังงานหมุนเวียนที่ปลอดภัย และเชื่อถือได้ในทันทีที่ต้องการ

โครงการ AI จะประสบความสำเร็จได้ ต้องคำนึงถึง 3 ปัจจัย

องค์ประกอบด้านมนุษย์ของ AI

ปีเตอร์ เฮอร์เวค ซีอีโอของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้เคยกล่าวถึงมุมมองดังกล่าวในงาน CERA Week เมื่อตอนต้นปีว่า AI ทุกตัวเริ่มต้นและจบลงด้วยองค์ประกอบของมนุษย์ โดยอธิบาย AI ในแง่มุมที่เป็นการผสานปัญญาของมนุษย์ เข้ากับ AI หรือที่เรียกว่า “HI กับ AI” เมื่อรวมกันถึงจะสัมฤทธิ์ผลได้

ประการแรก มนุษย์มีความสำคัญต่อการสร้างและฝึกอบรมโมเดล AI เพื่อให้แน่ใจถึงความแม่นยำที่มากขึ้น และมีการป้อนข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้กับโมเดล AI ซึ่งเป็นข้อมูลจากประสบการณ์ความรู้ความเชี่ยวชาญของมนุษย์ ประการที่สอง มนุษย์เป็นแกนกลางในการเปลี่ยนแปลงการทำงาน ซึ่งจำเป็นต่อการผสานการทำงานร่วมกับ AI ได้สำเร็จ การบริหารการเปลี่ยนแปลงประเภทนี้ อาจหมายถึงการเอาคนใหม่มาร่วมในทีม หรือให้การสนับสนุนในการเรียนรู้ และพัฒนาทักษะให้ทีมงานที่มีอยู่ เพื่อช่วยสร้างความก้าวหน้าให้ AI ได้เร็วขึ้น การมุ่งเน้นที่องค์ประกอบสำคัญด้านมนุษย์ จะช่วยให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากชไนเดอร์จะใช้ประโยชน์ของนวัตกรรมเหล่านี้ในโรงงานของเราเองแล้ว ยังนำเรื่องเหล่านี้มาช่วยลูกค้าเช่นกัน  ขอให้ตระหนักว่าไม่ว่าพนักงานเจนไหนก็ตาม จะต้องใช้ AI เป็นตัวช่วยในการทำงานได้ง่ายขึ้น และจะดีมากหากพนักงานสามารถใช้ AI จัดการงานทุกอย่างได้อย่างสะดวก ปลอดภัย รับผิดชอบ และยั่งยืน

ในการใช้งานและผสานการทำงานร่วมกับ AI หากไม่มีการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่ดี แม้จะใช้โมเดล AI ที่ดีที่สุด ทำงานได้ลื่นไหลที่สุด ก็อาจล้มเหลวได้ ซึ่งนำไปสู่ประเด็นต่อไป นั่นคือ AI จะไม่มีทางประสบความสำเร็จได้หากขาดความน่าเชื่อถือ

ความเชื่อมั่นใน AI

สำหรับภาคอุตสาหกรรมสำคัญๆ อย่าง พลังงาน ความเชื่อมั่นใน AI ถือเป็นสิ่งจำเป็น และต้องให้ความสำคัญในระดับเดียวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ ในขณะที่จุดเริ่มต้น อยู่ที่คุณภาพของข้อมูลที่ใช้ในการสร้างและฝึกโมเดล แต่ความเชื่อมั่นใน AI ก็จะต้องเกิดจากการแนวทางออกแบบที่คำนึงถึงความปลอดภัยตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งหมายความว่า โปรโตคอลด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์จะต้องถูกสร้างและฝังไว้ในเครื่องมือ ในโซลูชัน AI รวมถึงกระบวนการต่างๆ ไม่ใช่ค่อยมาทำเพิ่มภายหลัง

การเสริมสร้างความเชื่อมั่นใน AI ยังหมายถึงการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา และสิ่งมีค่าสูงสุดขององค์กร สำหรับภาคพลังงาน ความเชื่อมั่นในระดับนี้มีความสำคัญสูงสุด เนื่องจากภาคพลังงาน มีการลงทุนกับการวิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างหรือพัฒนาเทคโนโลยีและแหล่งพลังงานใหม่ๆ ที่จำเป็นต่อการเร่งการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน

ตัวอย่างเช่น EcoStruxure™ Automation Expert ของ Schneider เป็นโซลูชันระบบอัตโนมัติสำหรับอุตสาหกรรมที่ใช้ซอฟต์แวร์เป็นตัวกำหนดในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ซึ่งลูกค้าสามารถนำข้อมูลหรือแหล่งความรู้จากชไนเดอร์ หรือส่วนอื่นๆ ขององค์กร ไปใช้ปรับปรุงการดำเนินงานได้ตลอดอายุการใช้งาน ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ให้ความปลอดภัยทางไซเบอร์

ความร่วมมือในโครงการ AI

อย่างที่เคยกล่าวไปว่า AI มีบทบาทอยู่ในทุกสิ่งที่ชไนเดอร์ทำ และในการผสานรวม AI อย่างเต็มรูปแบบได้สำเร็จ ความร่วมมือกับพันธมิตรคือสิ่งสำคัญ ซึ่งในความเป็นจริง ความร่วมมือ คือจุดเริ่มต้นในการทรานส์ฟอร์มสู่ AI เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในโลกที่ให้ความสำคัญกับ AI เป็นอันดับแรก

ตัวอย่างเช่น ชไนเดอร์ กำลังร่วมมือกับ Intel เพื่อนำเสนอโมดูล AI ที่เป็นส่วนหนึ่งในโซลูชัน EcoStruxure™ Automation Expert ตามที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ การทำงานร่วมกับ Intel ช่วยให้เราสามารถขยายศักยภาพของระบบอัตโนมัติที่ใช้ซอฟต์แวร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของอุตสาหกรรมตั้งแต่การออกแบบ ไปจนถึงการบำรุงรักษา การเป็นพันธมิตรถือเป็นแนวทางของทั้งภาคอุตสาหกรรมในการผสานรวมการทำงานกับ AI ได้อย่างแท้จริง

หากคุณเป็นบริษัทที่รวบรวมข้อมูลมานานหลายทศวรรษ เช่นเดียวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค คุณจะต้องแน่ใจว่าได้มีการจัดวางบริบทให้กับข้อมูลนั้น นั่นคือสิ่งที่เราทำ ในเวลาที่ทำงานร่วมกับลูกค้าในฐานะพันธมิตร ต้องมั่นใจได้ว่าข้อมูลจะช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจแก้ไขปัญหาที่เร่งด่วนที่สุดได้อย่างถูกต้อง

ขยายผลลัพธ์ของโอกาสที่ได้จาก AI

สิ่งที่แน่นอนที่สุด ก็คือ ถ้าใช้งาน AI ได้อย่างถูกต้อง จะช่วยสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน และความคล่องตัว ด้วยการเชื่อมต่อฮาร์ดแวร์ในระบบอัตโนมัติ และซอฟต์แวร์อุตสาหกรรม ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น แม้ว่าจะมาจากซัพพลายเออร์คนละรายก็ตาม กุญแจสำคัญของความสำเร็จคือการหาพันธมิตรที่มีประสบการณ์เชิงลึกด้าน AI อีกทั้งมีความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรม เพื่อขยายผลลัพธ์ของโอกาสที่ AI นำเสนอให้กับคุณ และธุรกิจของคุณได้มากที่สุด


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์เผยอีกไม่ถึงสองปี เทคโนโลยี ‘Everyday AI’ และ ‘Digital Employee Experience (DEX)’ จะถูกเอามาใช้เป็นกระแสหลัก

กรุงเทพฯ, 5 กันยายน 2567 — ข้อมูลจากรายงาน Hype Cycle for Digital Workplace Applications, 2024 ของการ์ทเนอร์ คาดว่าภายในไม่ถึง ปี นับจากนี้ Everyday AI และ Digital Employee Experience (DEX) จะกลายเป็นเทคโนโลยีที่อยู่ในกระแสหลัก

แมตต์ เคน รองประธานฝ่ายวิจัยหลักการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “Everyday AI ช่วยกำจัดความยุ่งยากด้านดิจิทัลให้แก่พนักงานด้วยการช่วยงานเขียน การค้นคว้า การทำงานร่วมกันและคิดไอเดีย และยังเป็นส่วนสำคัญของเทคโนโลยี DEX ในความพยายามขจัดความยุ่งยากและเพิ่มความชำนาญด้านดิจิทัลให้กับพนักงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการพาองค์กรไปสู่ความก้าวหน้าจากนี้จนถึงปี 2573”

ปี 2567 ถือเป็นปีสำคัญของผู้นำแอปพลิเคชัน Digital Workplace เนื่องจากการให้ความสำคัญกับรูปแบบการทำงานไฮบริดและการทำงานจากระยะไกลนั้นลดลง ประกอบกับธุรกิจต่างมุ่งเน้นไปที่การใช้เทคโนโลยี Everyday AI เพิ่มขึ้น ทำให้ Everyday AI ถูกวางไว้ให้อยู่ในจุดสูงสุดของความคาดหวังที่จะเติบโตในวงจรเทคโนโลยีสำหรับ Digital Workplace Applications ในปี 2567 ของการ์ทเนอร์ (ดูรูปที่ 1)

 

ภาพที่ 1: รายงานวงจรเทคโนโลยีสำหรับ Digital Workplace Applications ปี 2567

ที่มา: การ์ทเนอร์ (สิงหาคม 2567) 

Everyday AI สำคัญต่อการเพิ่มประสิทธิผลการทำงานของพนักงานอย่างยิ่ง 

อาดัม พรีเซต รองประธานฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “Everyday AI มีเป้าหมายเพื่อช่วยพนักงานทำงานได้อย่างรวดเร็ว ครอบคลุมและมั่นใจได้ โดยเทคโนโลยีนี้ยังสนับสนุนวิธีการทำงานแบบใหม่ ผ่านการใช้ซอฟต์แวร์อัจฉริยะทำหน้าที่เป็นผู้ร่วมงานมากกว่าเป็นแค่เครื่องมือ ซึ่งปัจจุบัน Digital Workplace กำลังเดินเข้าสู่ยุคการใช้ AI ในชีวิตประจำวัน

เมื่อผู้ขายเทคโนโลยีต่างหาวิธีเพิ่มประสิทธิผลการทำงานของพนักงานให้มากขึ้น ด้วยการพัฒนาฟีเจอร์และแอปพลิเคชันเดิมให้มีความสามารถเพิ่มขึ้น ซึ่ง Everyday AI นั้นตอบโจทย์ โดยเทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่มอบประโยชน์ด้านประสิทธิภาพการทำงานเท่านั้น แต่ยังมอบโอกาสใหม่ ๆ ในการทำตลาด อาทิ เป็นเครื่องมือช่วยพนักงานค้นหาและสังเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ตอบคำถามได้อย่างครอบคลุมและสร้างสรรค์งานศิลป์ได้ง่ายขึ้น

“Everyday AI จะมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น เปลี่ยนจากบริการที่ช่วยจัดเรียงและสรุปข้อความแชทหรืออีเมลไปสู่บริการที่ช่วยเขียนรายงานโดยป้อนคำสั่งเพียงเล็กน้อย ดังนั้น Everyday AI จึงเป็นอนาคตของการเพิ่มประสิทธิผลการทำงานให้กับพนักงานในหลากหลายด้าน

องค์กรควรให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ DEX มากขึ้น

วันนี้พนักงานเกือบทั้งหมดกลายเป็นพนักงานดิจิทัล เนื่องจากใช้เวลาทำงานกับเทคโนโลยีมากขึ้นกว่าที่เคย ดังนั้น องค์กรต้องมีกลยุทธ์ในการประเมินและพัฒนา DEX เพื่อดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีทักษะความสามารถและสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานให้เกิดขึ้น ขณะที่ยังคงเพิ่มความผูกพันของการทำงานและทำให้พวกเขายังอยู่กับองค์กรต่อไป 

ผู้นำธุรกิจกำลังมองหาแนวทางในการนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิผลขององค์กรได้อย่างเหมาะสม DEX คือแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการช่วยเพิ่มความชำนาญด้านดิจิทัล ดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีทักษะความสามารถพร้อมช่วยให้พนักงานบรรลุผลลัพธ์ทางธุรกิจได้

DEX กำลังอยู่ในช่วงขาลงในวงจรเทคโนโลยีฯ ซึ่งหมายถึงกำลังได้รับความสนใจลดลง เนื่องจากการทดลองและการใช้งานล้มเหลว ดังนั้นเพื่อเพิ่มความน่าสนใจและสร้างความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับ DEX ผู้นำทางธุรกิจควรใช้แนวทางแบบองค์รวม ร่วมมือกับทั้งพันธมิตรไอทีและที่ไม่ใช่ไอทีเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่มีความหมายต่อการส่งเสริมให้พนักงานนำวิธีการทำงานใหม่ ๆ มาปรับใช้

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จับมือ AIS ส่ง APC Back-UPS Connect เสริมแกร่งหนุนเครือข่าย WiFi อัจฉริยะ ไฟตก ไฟดับ ให้ลูกค้ามั่นใจทำงานไม่สะดุด

การทำงานยุคดิจิทัล มีการดำเนินงานบนอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนใหญ่ อาทิ การประชุม หรือ พรีเซนต์งานออนไลน์ การโทรแบบ VoIP (Voice over Internet Protocol) การค้าออนไลน์ การอัพโหลดคอนเทนต์ การแคสเกม เกมเมอร์ การ Live & Stream หรือการทำงานบนคลาวด์เป็นต้น ดังนั้นสปีดของอินเทอร์เน็ต และ WiFi ที่มีความเสถียรจึงเป็นเรื่องสำคัญเพื่อให้การทำงานราบรื่น ไม่สะดุด แต่ก็มีปัจจัยที่ยากแก่การควบคุมนั่นคือ ไฟตก ไฟดับ

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จึงออกผลิตภัณฑ์ APC Back-UPS Connect สำหรับสำรองพลังงานเพื่อเราเตอร์ และโมเด็มที่รองรับระบบ VoIP รวมถึง Smart Home Assistant ทำให้การทำงานทั้งหมดที่อยู่บนโลกออนไลน์ไม่ขาดตอน ในระหว่างที่ไฟตก หรือไฟดับ มาพร้อมการออกแบบตัวอุปกรณ์ให้มีขนาดกะทัดรัด รองรับการเข้าและออกของกระแสไฟได้ถึง 36 วัตต์ แบบ DC 12 โวลต์ ล้ำหน้าด้วยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนให้ รันไทม์สูงสุด 4 ชั่วโมง (สำหรับเราเตอร์ทั่วไป) เพื่อให้มั่นใจในการเชื่อมต่อที่เชื่อถือได้ มีทิป DC เพิ่มเติมให้มาในกล่องช่วยให้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์เครือข่ายได้หลากหลายแบรนด์

ล่าสุด ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จับมือกับ AIS สานเจตนารมณ์ร่วมกัน สำหรับโซลูชั่นที่สามารถรองรับการทำงานยุคใหม่ได้อย่างไร้รอยต่อ ด้วยแพ็กเกจ SME AI-Powered Smart Router (เอสเอ็มอี เอไอ พาวเวอร์ สมาร์ท เราเตอร์) และ Office FibreLAN (ออฟฟิศ ไฟเบอร์แลน) ผ่านเครือข่าย WiFi อัจฉริยะ ตอบโจทย์ทุกการใช้งานเพื่อธุรกิจแต่ละขนาดได้อย่างลงตัว มาพร้อมความมั่นใจ ว่าการทำงานบนเครือข่าย WiFi ความเร็วสูงจะไม่สะดุดด้วย  APC Back-UPS Connect ฟรี มูลค่า 2,150 บาท ในทุกแพคเกจดังกล่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

PRI เปิดตัว “น้องพรีโม่” หุ่นยนต์อัจฉริยะส่งของ และทำความสะอาด รุ่นใหม่สำหรับธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เสริมประสิทธิภาพงานบริการภายในคอนโด

พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น หรือ PRI ผู้นำธุรกิจการให้บริการเกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์สมัยใหม่แบบครบวงจร เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้แนวคิด “Elevate Your Living Experience” เสริมแกร่งงานบริการภายในคอนโด นำเทคโนโลยีหุ่นยนต์อัจฉริยะส่งของ และทำความสะอาดเข้ามาเสริมศักยภาพการให้บริการ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและประสบการณ์ของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น

นายสุรินทร์ สหชาติโภคานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การนำหุ่นยนต์อัจฉริยะส่งของ และทำความสะอาด หรือ น้องพรีโม่ เข้ามาใช้เพื่อให้บริการภายในคอนโดในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทฯ ในการยกระดับงานบริการด้วยระบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยหุ่นยนต์จะเข้ามาช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ในส่วนต่างๆ ทั้งงานส่งพัสดุ ส่งอาหาร และทำความสะอาด โดยการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์เข้ามา เป็นการเสริมการบริการเพื่อยกระดับประสิทธิภาพและความสะดวกสบายให้กับลูกค้า โดยเทคโนโลยีหุ่นยนต์ที่ถูกนำมาใช้ในครั้งนี้ได้รับการพัฒนาอย่างทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการในยุคดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

จุดเด่นของ น้องพรีโม่ส่งของ นั้นคือ มีช่องเก็บของที่สามารถปรับได้หลากหลาย มีการฆ่าเชื้อด้วยแสง UV 99.9% และสามารถปรับระดับความเร็วในระดับเทียบเท่ากับการเดินหรือเดินเร็วของคนได้ ซึ่งมั่นใจได้ว่าลูกบ้านจะได้รับพัสดุหรืออาหาร อย่างปลอดภัยและรวดเร็ว สำหรับ น้องพรีโม่ทำความสะอาด สามารถกวาดขัดดูดฝุ่น และถูพื้นได้ในเครื่องเดียว และยังสามารถปรับระบบให้เหมาะกับสภาพพื้นผิวได้ทุกพื้นผิว สามารถตรวจสอบสถานะการทำงานได้ตลอดเวลา และสามารถทำงานได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ดูแลอีกด้วย” นายสุรินทร์กล่าว

นายอิงครัต ไตรทรัพย์ Service Innovation บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า น้องพรีโม่หุ่นยนต์อัจฉริยะ ยังช่วยเพิ่มความแม่นยำความรวดเร็วในการทำงาน และสามารถทำงานในพื้นที่เข้าถึงยาก รวมทั้งสามารถใช้ลิฟต์ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งโดยสารลิฟต์ร่วมกับคนได้อย่างปลอดภัย การนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์มาใช้ในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ยกระดับเทคโนโลยีของบริษัทฯ และสร้างความพึงพอใจ รวมถึงเติมเต็มการใช้ชีวิต ให้กับลูกบ้านที่อาศัยภายในคอนโดฯระดับสูงสุด ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว

การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมบริการ หุ่นยนต์ไม่เพียงแค่ช่วยลดภาระของพนักงาน แต่ยังช่วยให้เราสามารถให้บริการที่มีคุณภาพสูงขึ้นและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น” นายสุรินทร์ กล่าวเสริม พร้อมทั้งให้ความมั่นใจว่า การเปิดตัว น้องพรีโม่ ในครั้งนี้เป็นอีกก้าวหนึ่งของ บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน)  ในการก้าวสู่อนาคตของธุรกิจบริการที่ทันสมัย และแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาบริการที่ดีที่สุดเพื่อลูกค้า

สำหรับ บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI เป็นผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ชั้นนำของประเทศ มีประสบการณ์กว่า 11 ปี ปัจจุบัน ดำเนินธุรกิจภายใต้ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่

1.กลุ่มธุรกิจต้นน้ำ – บริการก่อนเข้าอยู่อาศัย (Pre-Living Services) ได้แก่ บริการให้คำปรึกษาและควบคุมงานก่อสร้างโครงการอสังหาฯ บริการออกแบบสถาปัตยกรรมงานวิศวกรรมโครงสร้างควบคุมการก่อสร้าง และบริการควบคุมการก่อสร้าง งานวิศวกรรมและการให้คำปรึกษาทางด้านเทคนิค

2.กลุ่มกลางน้ำ – บริการการจัดการเพื่อการอยู่อาศัย (Living Services) ได้แก่ บริการบริหารนิติบุคคลอาคารชุด บ้านจัดสรร ห้างสรรพสินค้า อาคาร และสำนักงาน บริการนิติบุคคลอาคารชุดแบบลักชัวรี่ การบริหารจัดการ Residential Property และ Service Apartment บริการซื้อ-ขาย-ปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ตัวแทนในการซื้อ-ขาย-เช่าบริการจัดหาผู้ร่วมลงทุน บริการที่ปรึกษาด้านสื่อการตลาดและประชาสัมพันธ์ให้กับธุรกิจอสังหาฯ บริการ Personal Assistant ให้แก่ชาวต่างชาติ และบริการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการบริการ และเทคโนโลยีด้านการอยู่อาศัย

3.กลุ่มปลายน้ำ – บริการหลังการขายที่อยู่อาศัย (Living & Earning Services) ได้แก่ บริการออกแบบและตกแต่งภายใน บริการงานจ้าเหมาแบบเบ็ดเสร็จ บริการแม่บ้านทำความสะอาดและบริการงานช่างช่าง บริการจัดการอาคาร และจัดจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านและที่อยู่อาศัย แบบ Lifestyle


 

Exit mobile version