Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

โครงการ 50 ปี 50 สนาม Vi-Pafe

“โครงการ 50 ปี 50 สนาม Vi-Pafe” เพื่อเป็นการคืนประโยชน์ให้กับสังคม และเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราภายในประเทศ สำหรับโรงเรียน ชุมชน หรือหน่วยงานที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถดาวน์โหลดใบสมัครโครงการพร้อมกรอกรายละเอียดส่งมาที่

คุณณัฐพงษ์ ม่วงศรี แผนกการตลาด (50 ปี 50 สนาม)
บมจ. อีโนเว รับเบอร์ (ประเทศไทย)
157 หมู่ 5 ถนนพหลโยธิน ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13170

โดยมีหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกสนามดังนี้
1.แบบและสีเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
2.ขนาดสนาม

2.1 สนามเด็กเล่นอยู่ระหว่าง 50-75 ตารางเมตร
2.2 สวนสุขภาพไม่เกิน 100 ตารางเมตร

3.พื้นเดิมต้องเป็นพื้นคอนกรีตพร้อมปรับระดับ
โดยโรงเรียน ชุมชน หรือหน่วยงานที่สนใจ สามารถส่งใบสมัครได้ถึงวันที่ 31 มกราคม 2563

สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
– ทาง Pafe Vi-Pafe
– บมจ. อีโนเว รับเบอร์ (ประเทศไทย) โทร 02-996-1471 ต่อ 515,583
– ณัฐพงษ์ โทร 092-261-4812


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ ผุดไอเดียเจ๋ง เปลี่ยนของขวัญปีใหม่ ให้เป็นป่าชายเลน

คณะผู้บริหารและพนักงานชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ประเทศไทย ร่วมใจผุดแคมเปญเพื่อสังคมต้อนรับปีใหม่ ด้วยโครงการ “เปลี่ยนของขวัญของคุณ ให้เป็นของขวัญโลก” ซึ่งนับเป็นแนวคิดริเริ่มที่ไม่เหมือนใคร โดยการลดการแจกของขวัญปีใหม่ที่ทางชไนเดอร์ อิเล็คทริค จะมอบให้กับลูกค้าและเปลี่ยนมูลค่าให้เป็นต้นกล้าโกงกาง เพื่อฟื้นฟูป่าชายเลน เป็นกำแพงธรรมชาติลดแรงคลื่นกระทบฝั่ง โดยกิจกรรมปลูกป่าชายเลนกำลังจะมีขึ้นเร็วๆ นี้


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

หัวเว่ยเตรียมสร้างโรงงานผลิตอุปกรณ์ 5G ในยุโรป

กรุงเทพฯ/ 13 มกราคม 2563 – หัวเว่ย เทคโนโลยี่ส์ ผู้ผลิตอุปกรณ์ 5G อันดับหนึ่งของโลก มีแผนที่จะสร้างโรงงานผลิตอุปกรณ์ 5G ขนาดใหญ่ในยุโรป เพื่อสานสัมพันธ์ความร่วมมือกับประเทศในยุโรปให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น มร. เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของหัวเว่ย บอกกับ The Globe and Mail เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า การสร้างโรงงานในอนาคตในยุโรปเป็นการตอบโจทย์แผนการขยายธุรกิจในตลาดต่างประเทศของบริษัท เนื่องจากธุรกิจอุปกรณ์ 5G ของหัวเว่ยตอนนี้มุ่งเน้นการทำสัญญากับโอเปอเรเตอร์ในภูมิภาคดังกล่าวเป็นส่วนใหญ่

ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี มร. เหลียง หัว ประธานคณะกรรมการของหัวเว่ย กล่าวยืนยันคำกล่าวของมร. เหริน ว่าบริษัทกำลังวางแผนที่จะผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ของตัวเองที่โรงงานแห่งใหม่ในยุโรปในอนาคตจริง “เรากำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการเปิดโรงงานในยุโรปเพื่อผลิต 5G” มร. เหลียง ประกาศ “ส่วนประเทศที่เราจะตั้งโรงงานนั้นจะขึ้นอยู่กับผลการศึกษาดังกล่าว” เขากล่าวเสริม แม้ว่าจะยังไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน แต่ มร. เหลียง ก็บอกใบ้ให้ว่าการตัดสินใจอาจเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้

แม้ว่าต้นทุนค่าแรงและดำเนินการของโรงงานในยุโรปจะสูงกว่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือเม็กซิโก มร. เหริน ก็ยืนยันว่า เพื่อความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับนานาประเทศในทวีปยุโรป ต้นทุนไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล “ต้นทุนไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้องนำมาคิด เราต้องคิดเรื่องยุทธศาสตร์ต่างหาก” มร. เหริน อธิบาย พร้อมเสริมว่าโรงงานในอนาคตของหัวเว่ย จะมีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าแรง มร. เหริน เชื่อว่าโรงงาน 5G ขนาดใหญ่จะเพิ่มความเชื่อมั่น ช่วยสร้างงานสร้างอาชีพ รวมถึงช่วยกระชับความร่วมมือกับประเทศในยุโรปให้แนบแน่นยิ่งขึ้น

หัวเว่ยมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่เข้มแข็งและมั่นคงกับผู้ให้บริการเครือข่ายในยุโรป เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดเผยว่าสัญญา 5G เชิงพาณิชย์เกือบ 60% ของบริษัทมาจากยุโรป ในปี 2561 หัวเว่ยสร้างรายได้ถึง 204,500 ล้านหยวน (889,000 ล้านบาท) จากธุรกิจในยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา ซึ่งเป็นตลาดนอกประเทศจีนที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท โดยคิดเป็น 28% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทในปีดังกล่าว

เมื่อเดือนพฤศจิกายน มร. เหริน ได้กล่าวกับ CNN Business ว่า แม้ว่าจะได้รับแรงกดดันจากสหรัฐฯ เขามั่นใจว่าประเทศต่าง ๆ ในยุโรปจะตัดสินใจเองว่าจะเลือกใช้อุปกรณ์ 5G ของบริษัทใด “ผู้ประกอบการด้านโทรคมนาคมหลายรายในยุโรปใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ยมานานกว่า 10 ปี พวกเขาจึงเข้าใจเราเป็นอย่างดี” มร. เหริน กล่าว “ลูกค้าของเราจะโน้มน้าวรัฐบาลในประเทศของตนให้เลือกหัวเว่ย และอนุญาตให้เราเข้าไปทำธุรกิจที่ประเทศนั้น ๆ ได้” เขากล่าวทิ้งท้าย


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เดลล์โอโร กรุ๊ป เผย Wi-Fi 6 ของหัวเว่ยมีส่วนแบ่งการตลาด เป็นอันดับหนึ่งทั่วโลก

เซิ่นเจิ้น ประเทศจีน/ 10 มกราคม 2563 – หัวเว่ยครองส่วนแบ่งตลาด Wi-Fi 6 เป็นอันดับหนึ่งของโลก (ไม่รวมตลาดอเมริกาเหนือ) จากรายงานข้อมูลส่วนแบ่งตลาดอุปกรณ์กระจายสัญญาณ Access Point แบบใช้งานภายในอาคารรุ่น Wi-Fi 6 ทั่วโลก ที่จัดทำโดยเดลล์โอโร กรุ๊ป (Dell’Oro Group) ผู้นำด้านการวิเคราะห์และวิจัยตลาดระดับโลก ช่วงระหว่างไตรมาสที่ 3 ของปี 2561 ถึงไตรมาสที่ 3 ของปี 2562

เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2561กลุ่ม Wi-Fi Alliance ได้ประกาศระบบการตั้งชื่อรุ่น Wi-Fi แบบใหม่ โดยมาตรฐาน IEEE 802.11ax ได้มีชื่อเรียกที่ง่ายขึ้นเป็น Wi-Fi 6 ซึ่งเป็นรุ่นพัฒนามาจาก Wi-Fi 5 ที่มีแบนด์วิดท์ต่อผู้ใช้สูงสุดและการรองรับจำนวนผู้ใช้พร้อมกันเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่า รวมถึงมีค่าความหน่วง (Latency) ลดลงมากกว่า 3 เท่าเมื่อเทียบกับ Wi-Fi 5 ด้วยประสิทธิภาพที่ดีขึ้นมากมายหลายเท่าทำให้องค์กร โรงเรียน โรงพยาบาล และผู้นำในแวดวงต่าง ๆ จำนวนมาก เลือกใช้ Wi-Fi 6 เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์ทั้งหมดบนเครือข่ายขององค์กร และรองรับการใช้งานที่ล้ำสมัย เช่น การประชุมผ่านวิดีโอความคมชัดสูงระดับ 4K/8K การเรียนการสอนแบบอินเทอร์แอ็กทีฟด้วยเทคโนโลยี VR และ AR การแพทย์ทางไกล และหุ่นยนต์อัจฉริยะ

รายงานล่าสุดของเดลล์โอโร กรุ๊ป เป็นเครื่องยืนยันความเป็นที่นิยมของ Wi-Fi 6 ที่เพิ่มขึ้นในองค์กรระดับโลก รายงานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผลประกอบการโดยรวมของตลาด Wi-Fi 6 ทั่วโลกเติบโตขึ้นอย่างมากในสามไตรมาสแรกของปี 2562 คิดเป็น 30 เท่าจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 โดยในช่วงระยะเวลาเดียวกัน รายได้ของตลาด Wi-Fi 4 และ Wi-Fi 5 ปรับลดลงเล็กน้อย การเปลี่ยนแปลงของตลาดนี้ชี้ให้เห็นว่าปี 2562 เป็นปีแรกที่มีการนำ Wi-Fi 6 มาใช้ในเชิงพาณิชย์

หัวเว่ยเป็นผู้นำในตลาด Wi-Fi 6 ด้วยผลิตภัณฑ์ AirEngine Wi-Fi 6 หัวเว่ยเป็นผู้บุกเบิกในการนำเครือข่าย Wi-Fi 6 มาติดตั้งใช้งานในระดับองค์กรเป็นรายแรกของอุตสาหกรรมในนครเซี่ยงไฮ้ตั้งแต่ต้นปี 2561 และตั้งแต่นั้นมา ผลิตภัณฑ์ AirEngine Wi-Fi 6 ของหัวเว่ย ซึ่งขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี 5G ของหัวเว่ย ก็ได้กลายเป็นตัวเลือกอันดับ 1 ของลูกค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วโลก ในการสร้างเครือข่าย Wi-Fi 6 ที่ครอบคลุมแบบไร้ช่องโหว่ รวดเร็ว ไม่มีสะดุดและปราศจากการเชื่อมต่อที่ล้มเหลวระหว่างการโรมมิ่ง ตัวอย่างลูกค้า Wi-Fi 6 ของหัวเว่ย ได้แก่ เซิ่นเจิ้น เมโทร ประเทศจีน, สนามกีฬาบาเซิล เซนต์ จาคอบ พาร์ค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์, ธนาคารอากอส ประเทศอิตาลี, มหาวิทยาลัยมอนดรากอน ประเทศสเปน และมหาวิทยาลัยโจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้

มร. สตีเว่น จ้าว ประธานบริหาร ฝ่าย Campus Network Domain กลุ่มผลิตภัณฑ์การสื่อสารข้อมูลของหัวเว่ย กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทราบว่า AirEngine Wi-Fi 6 ของหัวเว่ยเป็นที่นิยมและมีการใช้งานกันอย่างกว้างขวางในหลายภาคส่วน ทั้งภาคการศึกษา ภาครัฐ องค์กรขนาดใหญ่และอุตสาหกรรมการผลิต ผลิตภัณฑ์ AirEngine Wi-Fi 6 ของหัวเว่ยมีส่วนช่วยองค์กรทั้งขนาดเล็กและใหญ่ สร้างเครือข่ายที่มุ่งเน้นประสบการณ์ของผู้ใช้เป็นหลัก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขององค์กรและการผลิต อันจะนำไปสู่การเปิดตัวบริการด้านดิจิทัลในสเกลใหญ่ และเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล

ความไว้วางใจที่ลูกค้ามอบให้แก่ Wi-Fi 6 ของหัวเว่ย เป็นแรงขับเคลื่อนให้หัวเว่ยมุ่งมั่นวิจัยและพัฒนา Wi-Fi 6 อย่างต่อเนื่อง โดยการดำเนินงานของหัวเว่ยเพื่อพัฒนา Wi-Fi 6 มีดังต่อไปนี้

โอซามา อาโบล มาจด์ ผู้เชี่ยวชาญจากหัวเว่ย ได้รับเลือกเป็นประธานของกลุ่มการทำงาน IEEE 802.11ax เมื่อปี 2557 และได้ร่วมแบ่งปันองค์ความรู้เพื่อกำหนดมาตรฐานการพัฒนาอุตสาหกรรม Wi-Fi 6 อย่างต่อเนื่อง
หัวเว่ยเป็นเวนเดอร์ที่เข้าไปมีส่วนร่วมในการนำเสนอการกำหนดมาตรฐานของ Wi-Fi 6 มากที่สุดจากบรรดาผู้ให้บริการอุปกรณ์เครือข่ายทั้งหมด
เดือนตุลาคมปี 2560 หัวเว่ยเปิดตัว Access Point Wi-Fi 6 เชิงพาณิชย์เป็นเจ้าแรก ตั้งแต่นั้นมา หัวเว่ยก็ขยายพอร์ตโฟลิโอ Wi-Fi 6 ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และโซลูชันล้ำสมัยที่ปรับให้เหมาะกับการใช้งานในสถานการณ์ที่หลากหลายมาโดยตลอด
หัวเว่ยและ Wireless Broadband Alliance หรือ WBA ได้ร่วมกันออกแบบระบบการเรียนการสอนและกรณีศึกษาที่ใช้ Wi-Fi 6 ที่มหาวิทยาลัยมอนดรากอน ประเทศสเปน

ในอนาคต หัวเว่ยจะมุ่งมั่นทำงานร่วมกับพันธมิตรทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ มุ่งเน้นรูปแบบการใช้งานของแต่ละอุตสาหกรรม และส่งมอบโซลูชันเครือข่าย Wi-Fi 6 ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการใช้งานดิจิทัลรูปแบบใหม่ หัวเว่ยจะยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชัน AirEngine Wi-Fi รุ่นใหม่ ๆ ที่ขับเคลื่อนโดย 5G ต่อไป เพื่อช่วยองค์กรสร้างสรรค์เครือข่ายอนาคตที่เชื่อมต่อกันโดยสมบูรณ์


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ออฟฟิศเมท ชวนช้อปรับปีใหม่ ลุ้น iPhone11 รวม 20 เครื่อง กับแคมเปญใหญ่ “Lucky Bill Lucky Bonus”

ออฟฟิศเมท จัดแคมเปญใหญ่ต้อนรับปีใหม่ เอาใจ SME จัดซื้อองค์กร และเหล่านักช้อป ให้ช้อปคุ้มกับสินค้าลดราคาแรงโดนใจ แล้วลุ้นฟินขั้นสุดรับเทศกาลแห่งความสุข กับ “Lucky Bill Lucky Bonus” #ออฟฟิศเมทใจดีแจกiPhone11ฟรี20เครื่อง ช้อปสินค้าอุปกรณ์สำนักงาน ไอที แก็ดเจ็ท เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงสินค้าเพื่อธุรกิจรายการใดก็ได้จากออฟฟิศเมททุกช่องทางการขาย ทุกใบเสร็จรับสิทธิ์ลงทะเบียนลุ้นรับ iPhone 11 (64 GB) รวมจำนวนทั้งสิ้น 20 รางวัล มูลค่ารวม 498,000 บาท ช้อปเท่าไหร่ก็มีสิทธิ์ลุ้น เพียงเก็บใบเสร็จเพื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์ โดย Add Line: @OfficeMate และกรอกข้อมูลลงทะเบียนให้ถูกต้องครบถ้วน ตั้งแต่วันนี้ – 31 ม.ค. 63 ประกาศรายชื่อผู้โชคดี ในวันที่ 18 กพ. 63 ที่ Facebook: OfficeMate

คุ้มแบบนี้ห้ามพลาด!…รีบช้อปได้ที่ร้านออฟฟิศเมท และออฟฟิศเมท พลัส ทุกสาขาทั่วไทย, Contact Center 1281 หรือ ผ่านช่องทางออนไลน์ที่เว็บไซต์ officemate.co.th, OfficeMate e-Procurement, Mobile App และ Chat & Shop ที่Line: @OfficeMate พร้อมบริการส่งฟรีถึงที่ เพียงช้อปครบ 499 บาทขึ้นไป (ตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด)


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

นศ. CIBA_มธบ. นำองค์ความรู้พลิกฟื้นชุมชนคลองศาลากุลเกาะเกร็ด สร้างเงิน สร้างรายได้ ชุมชนยั่งยืน

นศ. CIBA_มธบ. นำองค์ความรู้พลิกฟื้นชุมชนคลองศาลากุลเกาะเกร็ด สร้างเงิน สร้างรายได้ ชุมชนยั่งยืน

ภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือภูมิปัญญาชาวบ้าน เป็นองค์ความรู้และเทคนิคที่นำมาใช้ในการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ สืบทอดและเชื่อมโยงจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงปัจจุบัน การสั่งสมความรู้ ประสบการณ์มาเป็นระยะเวลายาวนาน จะช่วยให้คนในรุ่นถัดไปปรับตัวและอยู่รอดได้ เฉกเช่นชุมชนคลองศาลากุล ต.เกาะเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี พื้นที่ชุมชนแห่งนี้ตั้งอยู่คนละฟากฝั่งกับชุมชนปากเกร็ด ชาวบ้านในชุมชนประกอบอาชีพ ทำไร่ ทำสวน เป็นหลัก บางครัวเรือนผลิตสินค้าพื้นถิ่น รวมถึงทำขนมไทยขายเป็นอาชีพเสริม บ้างก็นำสมุนไพรพื้นบ้านมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งแตกต่างจากชุมชนอีกฟากของเกาะที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการทำเครื่องปั้นดินเผา เดิมสินค้าที่ผลิตขึ้นในชุมชนคลองศาลากุลจะขายให้นักท่องเที่ยวเป็นหลัก ในพื้นที่วัดปรมัยยิกาวาส แต่ปัจจุบันไม่สามารถไปวางสินค้าขายได้ดังเดิม เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายประการ

เมื่อช่องทางขายสินค้าในเกาะถูกตัดขาด ชาวบ้านจึงรวมตัวกันตั้งวิสาหกิจชุมชนขึ้น เพื่อสร้างเป็นศูนย์เรียนรู้และพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยผลิตภัณฑ์ของกลุ่มถูกคิดค้นมาจากภูมิปัญญาชาวบ้าน อาทิ ชาสมุนไพรหน่อกะลา ชาสมุนไพรรางแดง เป็นต้น นอกจากนี้ชาวบ้านยังช่วยกันหาช่องทางจัดจำหน่ายสินค้า โดยส่วนใหญ่จะเป็นการออกร้านตามห้างสรรพสินค้า หรือตามมหกรรมแสดงสินค้าต่างๆ แต่ด้วยอุปสรรคที่สำคัญคือ การเดินทางลำบากเพราะต้องนั่งเรือข้ามฟาก ทำให้ชาวบ้านมีรายได้ที่ไม่ยั่งยืน เนื่องจากไม่มีพื้นที่ขายประจำส่งผลให้การค้าขายไม่ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ชาวบ้านยังขาดองค์ความรู้และการจัดการสมัยใหม่ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ชุมชนไม่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืนได้

จากปัญหาข้างต้นทำให้ธนาคารออมสินเล็งเห็นความสำคัญดังกล่าว จึงร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) ผ่านโครงการ “ออมสินยุวพัฒน์รักษ์ถิ่น” ส่งเสริมให้นักศึกษานำองค์ความรู้ที่ได้เรียนจากภาคทฤษฎีมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาศักยภาพชุมชน อันจะนำไปสู่การพัฒนารายได้และความเป็นอยู่ของชุมชนอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้ส่งเสริมการเพิ่มศักยภาพ ผลิตภัณฑ์และบริการของวิสาหกิจชุมชนคลองศาลากุล ประกอบด้วย ชุมชนกระเป๋าผ้า กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปสมุนไพรและเบเกอรี่ 2 ผลิตภัณฑ์ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านนางรำ จำนวน 2 ผลิตภัณฑ์ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนดอกไม้ผ้าใยบัว และกลุ่มเกษตรกรทำสวนเกาะเกร็ด จากการลงพื้นที่เพื่อสำรวจและรับทราบปัญหา พบว่าชุมชนต้องการให้พัฒนาออกแบบบรรจุภัณฑ์สินค้าให้มีความทันสมัย พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย ยกระดับสินค้าชุมชนให้มีความน่าสนใจมากขึ้น รวมไปถึงสินค้าประเภทบริการ และการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวให้เชื่อมโยงกัน เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับชุมชนด้วย

นางสาวธันย์ชนก ทองนิ่ม (พัฟ) นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน วิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี (College of Innovative Business and Accountancy :CIBA) ตัวแทนกลุ่มสมุนไพรชารางแดง เล่าว่า จากการลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาพบว่า ชารางแดง เป็นสินค้าที่มีคุณภาพราคาไม่แพง แต่ขายไม่ค่อยได้จึงต้องการให้ช่วยหาช่องทางจัดจำหน่าย ทางทีมจึงนำข้อมูลต่างๆกลับมาวิเคราะห์ เพื่อหาสาเหตุและหาวิธีแก้ไข พบว่าชารางแดงมีกลิ่นที่ฉุนเกินไป จึงได้คิดค้นในการปรับปรุงกระบวนการผลิต ด้วยการลดไฟในการคั่ว วัดอุณหภูมิและเพิ่มการนวดใบชา จนได้สูตรที่ลงตัว ได้กลิ่นชาที่หอมละมุน หลังจากปรับสูตรและออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น จึงรู้สึกดีใจที่ได้นำความรู้ที่เรียนมา มาช่วยชาวบ้านได้จริง ทั้งนี้สิ่งที่ได้รับคือประสบการณ์หลายด้าน ตั้งแต่กระบวนการผลิต การออกแบบบรรจุภัณฑ์ การหาช่องทางการตลาด รวมถึงการทำงานเป็นทีม ซึ่งประสบการณ์และความรู้จากการลงพื้นที่จริงจะช่วยต่อยอดการทำงานหลังจบการศึกษาได้

นายธนกร พ่วงกลิ่น(ออม) นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาการตลาด วิทยาลัย CIBA ตัวแทนกลุ่มออกแบบบรรจุภัณฑ์ชาหน่อกะลาบ้านนางรำ กล่าวว่า โจทย์คือช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้น 50% ทางทีมได้รับมอบหมายให้ดูแลการออกแบบบรรจุภัณฑ์ชาหน่อกะลา เนื่องจากแพ็กเกจเดิมใช้ต้นทุนสูง เราจึงช่วยกันออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่โดยใช้โทนสีที่เรียบง่ายใช้วัสดุที่เป็นกระดาษและนำรูปเจดีย์เอียงที่เป็นสัญลักษณ์ของเกาะเกร็ดมาเป็นจุดขาย หลังจากนั้นยังช่วยทำเพจและบูทเพจให้คนเห็นมากขึ้น เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาด ผลที่ได้รับหลังจากแก้ไขบรรจุภัณฑ์และบูทเพจกว่า 1 เดือนพบว่า มีการสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์และหน้าร้านเพิ่มขึ้น 40% ซึ่งเป็นผลที่น่าพึงพอใจเป็นอย่างมาก จากการสะท้อนปัญหาของชาวบ้านที่ไม่มีหน้าร้านประจำ ทำให้พวกเราช่วยหาช่องทางขายใหม่ขึ้นจนประสบความสำเร็จและตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีที่ได้ไปคลุกคลีกับชาวบ้านทำให้นักศึกษาที่ร่วมโครงการได้ประสบการณ์ที่ดี จึงอยากให้มีโครงการนี้ต่อไป

“ต้องขอบคุณโครงการนี้ ที่เปิดโอกาสให้เราได้เข้าไปสัมผัสงานจริง เรียนรู้วิธีแก้ปัญหาและพัฒนาไปพร้อมกับชุมชน จากผลงานที่ช่วยกันสร้างขึ้น ทำให้ทางทีมงานได้เป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัย เพื่อไปร่วมโชว์ผลงาน ในพิธีส่งมอบโครงการออมสินยุวพัฒนรักษ์ถิ่นด้วย ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง”นายธนกรกล่าว

นางสาวธนภรณ์ เลิศศรีเทียนทอง (นุ่น) นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาการตลาด วิทยาลัย CIBA ตัวแทนกลุ่มออกแบบบรรจุภัณฑ์ชาหน่อกะลา บ้านนางรำ กล่าวเสริมว่า บรรจุภัณฑ์ใหม่ที่ออกแบบใหม่นั้นวัตถุดิบที่นำมาผลิตสามารถลดต้นทุนได้ประมาณ 7-8 บาทต่อห่อ ส่งผลให้มีกำไรต่อชิ้นเพิ่มขึ้น สำหรับโครงการออมสินยุวพัฒน์รักษ์ถิ่น เป็นโครงการที่น่าสนใจมาก ทำให้มีโอกาสได้นำความรู้ที่เรียนมาช่วยเหลือชุมชนได้จริง และชาวบ้านในชุมชนได้มีชีวิตที่ดีขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น จึงอยากให้มีโครงการนี้ต่อไป

นางสาวกนิษฐา เรืองฉาง(มุก) นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาการจัดการ วิทยาลัย CIBA ตัวแทนกลุ่มออกแบบผลิตภัณฑ์พลาสติกจักสาน กล่าวว่า การลงพื้นที่สำรวจผู้ประกอบการทำให้ทราบถึงปัญหาที่เขาต้องการให้ช่วย ส่วนปัญหาที่พบ ได้แก่ 1.ไม่มีสถานที่ขายสินค้า 2.รูปแบบของสินค้ายังไม่ตอบโจทย์ และ3.การจัดการขายยังไม่เป็นระบบ ทางทีมจึงนำความรู้ในสาขาการจัดการมาช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการออกแบบคู่สีให้อยู่ในโทนเดียวกัน พร้อมแนะนำระบบการขายผ่านระบบออนไลน์ และจัดจำหน่ายสินค้าหน้าร้าน โดยช่วยปรับภูมิทัศน์ให้กับศูนย์จักสานบนเกาะเกร็ด เพิ่มพื้นที่โชว์สินค้า ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาดูวิธีการจักสานและซื้อสินค้าเป็นของที่ระลึก ถือเป็นการสร้างจุดขายสินค้าในระยะยาวได้ หลังจากแนะนำวิธีแก้ปัญหาด้วยการบูรณาการวิทยาการสมัยใหม่ร่วมกับภูมิปัญญาดั้งเดิม เกิดจุดเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งดูได้จากยอดขายและการสั่งสินค้าเข้ามาเป็นระยะ รวมถึงการสั่งสินค้าเป็นของชำร่วยในงานมงคลด้วย


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เตรียมแผนธุรกิจของท่านให้พร้อมรับมือ “6 เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก แห่งปี 2020”

“สมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทยร่วมกับบริษัท เทค อี-บิสสิเนส เซ็นเตอร์ จำกัด ต้อนรับรองอธิบดีกรมอีคอมเมิร์ซและสารนิเทศ กระทรวงพาณิชย์จีน ผนึกกำลังวงการอีคอมเมิร์ซภาคเอกชนสนับสนุนผู้ประกอบการไทยขยายตลาดสู่จีน คาดโต 30% ในปี 2020”

กรุงเทพฯ 9 ธันวาคม 2562 – – สมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทยร่วมกับบริษัท เทค อี-บิสสิเนส เซ็นเตอร์ จำกัด หรือ Thailand e-Business Center (TeC) นำโดยนายสมเกียรติ ไชยศุภรากุลและนายปฐม อินทโรดม ให้การต้อนรับ MS. JIA SHUYING รองอธิบดีกรมอีคอมเมิร์ซและสารนิเทศ กระทรวงพาณิชย์จีนพร้อมด้วยคณะ เพื่อประชุมหารือในเรื่องของสภาพตลาดอีคอมเมิร์ซไทย-จีน และด้านความร่วมมือไทย-จีนที่ผ่านมา และที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา นับเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาและการส่งเสริมการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซจีน ภายใต้การขับเคลื่อนจากกลจักรสำคัญอย่างภาครัฐบาลจีน เช่นเดียวกันกับอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซไทยที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากความนิยมสินค้าไทยของนักท่องเที่ยวชาวจีนและยอดการส่งออกสินค้าไทย-จีน ตั้งแต่ปี 2018 ที่มากถึง 47,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ และด้วยความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของทั้งสองประเทศ กระทรวงพาณิชย์จีนและกระทรวงพาณิชย์ไทยจะทำข้อตกลงความร่วมมือ MOU ในปี 2020 ซึ่งคาดว่าจะสามารถเร่งอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซของทั้งสองประเทศได้มากกว่าสามเท่า

นายธนาวัฒน์ มาลาบุปผา นายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย กล่าวว่า “การพัฒนาตลาด อีคอมเมิร์ซในประเทศไทยให้เติบโตอย่างรวดเร็วและประสบความสำเร็จ สามารถศึกษาวิธีคิดและบทเรียนจากประเทศจีนได้ เช่น การผลักดันทั้งส่วนรัฐบาลใหญ่และรัฐบาลท้องถิ่น การศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคผ่านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการคิดค้นสินค้าและบริการใหม่ ๆ อยู่เสมอ”

ด้านนายปฐม อินทโรดม กรรมการ ครีเอทีฟ ดิจิทัลอีโคโนมี สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการบริหาร TeC ได้ให้แง่มุมด้านความสำคัญของเทคโนโลยีต่อตลาดอีคอมเมิร์ซจีนว่า “ประเทศไทยขาดดีมานด์ในการสร้างดิจิทัลแพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นอาวุธหลักในการแข่งขันทางธุรกิจใน 1-2 ปีข้างหน้า รวมถึงเราเชี่ยวชาญเพียงแค่การเปิดรับและใช้งานเทคโนโลยี ซึ่งต่างจากประเทศจีนที่ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง อันเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน และนี่อาจเป็นโอกาสดีที่เราจะสร้างความร่วมมือไทย-จีน เพื่อเปิดโอกาสให้ทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ เรียนรู้ ดูตัวอย่างความสำเร็จจากจีน สร้างความเข้าใจและนำมาประยุกต์ใช้อย่างจริงจัง”

ด้านนางสาวกุลธิรัตน์ ภควัชร์ไกรเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TeC และคณะกรรมการสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย กล่าวว่า “อีคอมเมิร์ซไทยในปี 2017-2018 มีอัตราการเจริญเติบโตประมาณ 17-18 % ซึ่งถือเป็นอับดับที่ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในปี 2018-2019 มีอัตราการเจริญเติบโตประมาณ 20 % กอปรกับนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาลปัจจุบันซึ่งให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซเป็นอย่างมาก และหากอาศัยโมเดลสวนอุตสาหกรรม “e-Industrial Park” หรือที่จีนเรียกว่า “e-Commerce Park” มาประยุกต์ใช้ในไทย โดยนำร่องที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการผลิต ส่งเสริมและพัฒนาสินค้า ผ่านการสนับสนุนจากภาครัฐ ตลอดจนการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านอีคอมเมิร์ซไปยังต่างประเทศ ก็จะยิ่งทำให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซไทยเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและเข้มแข็งยิ่งขึ้น”

ทั้งนี้ปัจจัยเร่งที่ทำให้อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซจีนเติบโตได้อย่างรวดเร็ว คือ การเติบโตของตลาดผู้บริโภค (consumer goods) ที่เติบโตถึง 20 % ในช่วง 10 ปี ด้วยการมียอดขายผ่านอีคอมเมิร์ซในปี 2019 ประมาณ 480,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.4 ล้านหยวน ส่วนด้านการค้าปลีกออนไลน์ในปี 2019 มีมูลค่าประมาณ 140,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณหนึ่งล้านหยวน ซึ่งอีคอมเมิร์ซมีส่วนช่วยกระตุ้นการบริโภคถึง 40% และทำให้เกิดการจ้างงานมากถึง 47 ล้านคนในปี 2018 และ 50 ล้านคนในปี 2019 ช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเกิดการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นมากขึ้น

ข้อมูลจากกรมศุลกากรจีน ระบุว่า ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2019 สินค้าภูมิภาคและสินค้าการเกษตรของจีน มียอดการค้าปลีกออนไลน์สูงถึง 40,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ มีตัวเลขการนำเข้าและส่งออกจีนกับต่างประเทศ ประมาณ 17,600 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งหากพิจารณา cross border ไทย-จีน พบว่ามีมูลค่าประมาณ 220 ล้านดอลล่าห์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นถึง 82.4% ทั้งสองทาง ซึ่งจะเห็นได้ว่าในกลุ่มอีคอมเมิร์ซที่เป็น cross border มีการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว เนื่องจากการนำอีคอมเมิร์ซมาเป็นใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยี ที่ช่วยให้วิสาหกิจทั้งขนาดกลางและขนาดย่อม (S&M) สามารถประหยัดต้นทุนทั้งในด้านการผลิต (Production Cost) และด้านต้นทุนทางการตลาด (Marketing Cost)

จากการหารือพบว่าบทเรียนความสำเร็จในการพัฒนาอีคอมเมิร์ซในประเทศจีนเกิดจากปัจจัยหลายๆด้านดังต่อไปนี้

1. ผู้ประกอบการจีนมีความกล้าลองในสิ่งใหม่ คิดค้นนวัตกรรม และมีกลุ่ม online consumers ที่กล้าลองสินค้าและบริการใหม่ๆ และการมีอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มขนาดกลางและเล็ก เช่น ซูหลิง หลิงเพ้ย เกิดขึ้นจำนวนมาก นอกเหนือจากอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ อย่าง อาลีบาบา หรือ JD

2. ตลาดจีนมีประชากรมากถึง 14,000 ล้านคน โดยรัฐบาลจีนกลางและท้องถิ่น ให้การสนับสนุนทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งอำนวยคามสะดวก และด้านเทคโนโลยีเป็นสำคัญ ทำให้มีการจัดซื้อผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ หรือ online shopping ถึง 639 ล้านคน โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและผู้สูงอายุซึ่งมีประสบการณ์ในการซื้อสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ต

3. มีมาตราการสนับสนุนผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซในประเทศจีน เช่น e-commerce park อย่างต่อเนื่อง และนโยบายการสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดต่าง ๆ รวมทั้งการการทำกฎหมายอีคอมเมิร์ซฉบับแรกของโลก ซึ่งเริ่มบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2019 ที่ผ่านมา

4. การพัฒนาและปรับปรุงอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ โดยพิจารณาถึงปัญหาและอุปสรรค เพื่อทางรัฐบาลสามารถวิเคราะห์สาเหตุและออกมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาและเกิดพัฒนาให้ดีมากยิ่งขึ้น

หลังจากที่ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างสมาคมฯ และผู้แทนจากรัฐบาลจีน ทางสมาคมฯ ได้เสนอแนวทางความร่วมมือของภาครัฐบาลจีนและเอกชนไทยไว้ดังนี้

1. ความร่วมมือในการถ่ายทอดองค์ความรู้ (Best practice) และกรณีศึกษา จากทั้งอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มขนาดใหญ่และของท้องถิ่น เนื่องจากภายในปี 2020 Huawei ได้นำเทคโนโลยี 5G มาลองใช้ในประเทศไทย และจะเกิดนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะยกระดับธุรกิจไทย เช่น เทคโนโลยี AI, Big data มาใช้มากขึ้น

2. ประเทศไทยทดลองนำโมเดล e-commerce park ที่มีมากถึง 4,000 แห่งทั่วประเทศจีน และโมเดลอีคอมเมิร์ซท้องถิ่นที่มี อีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มของตนเอง เช่น ฝั่งตะวันตกของจีน เฉินตู เฉฉวน ซี่งมีอัตราการเติบโตสูงมากมาปรับใช้ เพื่อเพิ่มโอกาสผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซไทยได้การเข้าสู่ตลาดจีนและท้องถิ่นจีนมากขึ้น

ด้าน MS. JIA SHUYING รองอธิบดีกรมอีคอมเมิร์ซและสารนิเทศ กระทรวงพาณิชย์จีนและคณะจากหน่วยงานจีน ได้ให้คำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการไทยไว้ว่า

1. ในส่วนการส่งออกเครื่องสำอางไทย ที่ใช้สมุนไพรท้องถิ่นผ่านไปยังประเทศจีน ต้องผ่านหน่วยงานควบคุมมาตรฐานเครื่องสำอาง สังกัดกระทรวงพาณิชย์จีน ให้ถูกต้องตามกฎหมาย (SDA) โดยทางคณะรัฐบาลจีนแนะนำ ผู้ประกอบการสามารถทดลองขายปลีกผ่านเว็บไซต์ไทย หรือนำเข้าเพื่อนำมาใช้ส่วนตัว ซึ่งทางประเทศจีนยังไม่มีนโยบายที่เข้มงวด แต่มีต้นทุนการขนส่งสูง

2. กลยุทธ์ในการเข้าอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มระดับท้องถิ่นในประเทศจีน ต้องพิจารณาความต้องการของผู้บริโภค การเรียนรู้ปรับปรุง พัฒนาและการสร้างแนวคิดใหม่ ๆ ให้เหมาะสม รวมทั้งสร้างความร่วมมือทั้งในระดับรัฐบาล-รัฐบาล เอกชนและรัฐบาล รังสรรค์โครงการและกิจกรรมใหม่ ๆ ให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งระบบสาธิตอีคอมเมิร์ซของจีน 3,000 แห่งทั่วประเทศนั้น รัฐบาลท้องถิ่นให้การสนับสนุนทั้งเชิงนโยบายและมาตรการต่าง ๆ อาทิ ด้านการขนส่ง ด้านการเงิน และด้านเทคโนโลยี

3. ทุก ๆ ปี ประเทศจีนจะมีการประชุม e-commerce expo ครั้งใหญ่ ซึ่งจะมีทั้งการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นจากทั้งฝั่งรัฐบาลกลาง รัฐบาลท้องถิ่น และผู้ประกอบการจีนทั่วประเทศ ซึ่งผู้ประกอบไทยสามารถเข้าร่วมเพื่อเก็บเกี่ยวความรู้ ประสบการณ์ รวมถึงได้แลกเปลี่ยนความเห็น และแง่มุมทางธุรกิจ อันจะนำไปสู่การต่อยอดเพื่อพัฒนาธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โอกาสนี้ TeC และสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ตลาดจีนได้อย่างมืออาชีพ และพร้อมสนับสนุนให้เหล่าผู้ประกอบการไทยสามารถพัฒนาให้ธุรกิจของตัวเองได้อย่างก้าวกระโดด เล็งเห็นช่องทางและโอกาสที่จะได้ทำการตลาดกับการตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างประเทศจีน ผ่านบริการด้านต่าง ๆ ของ TeC ซึ่งมีความพร้อมและยินดีช่วยเหลือผู้ประกอบการอย่างเต็มความสามารถ

สามารถติดต่อ TeC ได้ที่ www.tec.work ทางเพจ Facebook : Thailand e-business centre – Tec ทาง Line@ : @tecworld ทางโทรศัพท์ 02-115-8124 หรือทางอีเมล info@tec.work


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ออฟฟิศเมท เปิดตัวแคตตาล็อกปี 2020 ให้ขอรับได้ฟรี! สินค้าครบ สิทธิประโยชน์คุ้ม

ออฟฟิศเมท เปิดตัวแคตตาล็อกเล่มใหม่ล่าสุดประจำปี 2020 ให้ขอรับฟรีได้แล้ววันนี้…การันตีความพึงพอใจ ให้คุณมั่นใจได้ทุกคำสั่งซื้อ โดยรวบรวมสินค้าเพื่อธุรกิจจากแบรนด์ชั้นนำมาตรฐานสากลกว่า 20,000 รายการไว้ในที่เดียว พร้อมเพิ่มสินค้าไอเทมใหม่ๆ แบบจัดเต็ม ให้คุณอัพพลัง เพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจได้ตลอดปี ทั้งอุปกรณ์สำนักงาน ไอที เฟอร์นิเจอร์ สินค้าโรงงาน สินค้าเพื่อธุรกิจร้านอาหาร คาเฟ่ อุปกรณ์ทำความสะอาด และบริการสั่งผลิตสินค้าพรีเมียมและสื่อสิ่งพิมพ์เพื่อการสร้างแบรนด์ของ SME เรียกได้ว่า เล่มเดียวครบครัน พร้อมตอบโจทย์ธุรกิจทุกประเภทและทุกขนาดกิจการ

เพิ่มความคุ้มค่าในการช้อปให้ทุกธุรกิจ ออฟฟิศเมทเริ่มฉลองครบรอบ 25 ปี มอบสิทธิประโยชน์แทนคำขอบคุณสุดเซอร์ไพรซ์ในเล่มแคตตาล็อกใหม่นี้ให้ติดตามได้ตลอดทั้งปี ทั้งโปรโมชั่นพิเศษทุกวันที่ 25 ของเดือน, โปรโมชั่นพิเศษทุกวันศุกร์ของสัปดาห์ และโค้ดส่วนลดสำหรับช้อปออนไลน์สุดคุ้มอีกมากมาย นอกจากนี้ยังจัดเต็มสิทธิประโยชน์สำหรับลูกค้าองค์กร ด้วยสินค้าราคาคุ้มค่า พร้อมจัดส่งฟรี *เพียงช้อปครบ 499 บาท (ตามเงื่อนไขที่กำหนด) และเพิ่มสภาพคล่องให้ลูกค้าองค์กรสมัครรับเครดิตเทอมนาน 30 วัน สมัครง่าย เอกสารครบ อนุมัติทันที พร้อมด้วยสิทธิพิเศษจากบัตรเครดิตธนาคารชั้นนำและ The1

ติดต่อขอรับแคตตาล็อกฟรี! ได้แล้ววันนี้ที่ OfficeMate Contact Center โทร. 1281, Line: @OfficeMate หรือที่ร้านออฟฟิศเมททุกสาขาทั่วประเทศ พิเศษ! ลงทะเบียนขอรับแคตตาล็อก หรือ ดาวน์โหลด e-Catalog ผ่านออนไลน์ได้ง่ายและรวดเร็วที่เว็บไซต์ officemate.co.th #ออฟฟิศเมทการันตีพร้อมเคียงข้างทุกเส้นทางธุรกิจ #บอสเลือกแล้วต้องออฟฟิศเมท


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

SEED ประเทศไทย ขอเชิญร่วมงานประชุมวิชาการ “SEED Symposium Bangkok 2020”

SEED ประเทศไทย ขอเชิญร่วมงานประชุมวิชาการ “SEED Symposium Bangkok 2020” การรวมตัวกันของกว่า 150 องค์กร ทั้งกิจการขนาดเล็กและกลาง ภาคธุรกิจ สถาบันการเงิน ผู้วางนโยบาย ผู้บริจาค ผู้ให้บริการพัฒนาธุรกิจและอื่น ๆ เพื่อพัฒนานวัตกรรมทั้งเชิงความคิดและความร่วมมือในการส่งเสริมผู้ประกอบกิจการทางสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและตอบสนองวาระเศรษฐกิจสีเขียว โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-22 มกราคม 2563 ที่ ทรู ดิจิตอล พาร์ค กรุงเทพฯ

สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่อีเมล symposium@seed.uno หรือลงทะเบียนร่วมงานได้ที่ http://bit.ly/38MhA33


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มิวเซียมสยามชวนหนูน้อยนักประดิษฐ์คิดแบบไทย ร่วมกิจกรรมวันเด็ก ตอน “ไทยบรรเจิด : เกิดไอเดีย”

มิวเซียมสยามขอเชิญชวนคุณน้องๆ หนูๆ และครอบครัวมาร่วมเป็นนักคิด นักประดิษฐ์ถอดรหัสความเป็นไทยในกิจกรรมวันเด็ก ตอน “ไทยบรรเจิด : เกิดไอเดีย” โดยในปีนี้มิวเซียมสยามได้หยิบยกความเป็นไทยในห้องนิทรรศการ “ไทย Only” มาให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ความเป็นไทยจากการเป็นคนช่างคิด ช่างประดิษฐ์ สามารถนำสิ่งของใกล้ตัวมาปรับปรุง ดัดแปลง เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต ผ่านฐานกิจกรรมสนุกๆ 4 ฐานกิจกรรม คือ

1. สารลับเครื่องบินกระดาษ

2. พิชิตภัยแล้ง

3. ปฏิบัติการคลายร้อน

4. มิวเซียมพาณิชย์

รวมถึงกิจกรรมสำหรับเด็กเล็กๆ ที่ไม่ต้องแข่งขันกัน เช่น

1. LandLab กิจกรรมทดลองดอกไม้พันธุกรรม

2. YF Culture กิจกรรมลากเส้นเขาวงกต พร้อมรับของรางวัลสุดพิเศษมากมาย

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมจาก FLOCK LEARNING และ Bangkok Expressway and Metro Public Company Limited (BEM) ที่จะมาร่วมสร้างความสนุกให้กับเด็กๆ และครอบครัวกันแบบเต็มพื้นที่มิวเซียมสยาม พร้อมเข้าชมนิทรรศการถาวรชุด “ถอดรหัสไทย” โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ในวันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2563 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 18.00 น. ณ มิวเซียมสยาม ท่าเตียน กรุงเทพฯ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-225-2777 หรือwww.facebook.com/museumsiamfan


 

Exit mobile version